image
imagewidth (px)
16
7k
text
stringlengths
25
184k
title
stringlengths
3
76
Infobox scientist | name = แอลัน ทัวริง | honorific_suffix = | image = Alan Turing az 1930-as években.jpg | caption = ทัวริง ในช่วงคริสต์ทศวรรษที่ 1930 | birth_date = | birth_place = ไมดาเวล กรุงลอนดอน ประเทศอังกฤษ | death_date = | death_place = วิล์มสโลว์ เชชเชอร์ ประเทศอังกฤษ | resting_place = Ashes scattered near Woking Crematorium | death_cause = การเป็นพิษจากไซยาไนด์ | residence = วิล์มสโลว์ ชีไชร์ ประเทศอังกฤษ | field = Plainlist| * ตรรกศาสตร์ * คณิตศาสตร์ * Cryptanalysis * วิทยาศาสตร์คอมพิวเตอร์ * คณิตศาสตร์ชีววิทยา | work_institutions = | education = Sherborne School | alma_mater = | doctoral_advisor = อลอนโซ เชิร์ช | doctoral_students = Robin Gandycite thesis|degree=PhD|publisher=University of Cambridge|title=On axiomatic systems in mathematics and theories in physics|first= Robin Oliver|last=Gandy|date=1953|url=https://www.repository.cam.ac.uk/handle/1810/245090|id=|website=repository.cam.ac.uk|doi=10.17863/CAM.16125 | influences = Max NewmanIvor Grattan-Guinness|Grattan-Guinness, Ivor, Chapter 40, ''Turing's mentor, Max Newman''. In | thesis_title = Systems of Logic Based on Ordinals | thesis_url = https://webspace.princeton.edu/users/jedwards/Turing%20Centennial%202012/Mudd%20Archive%20files/12285_AC100_Turing_1938.pdf | thesis_year = 1938 | signature = Alan Turing signature.svg | known_for = | prizes = Smith's Prize (1936) '''แอลัน แมธิสัน ทัวริง''' (; 23 มิถุนายน พ.ศ. 2455 (ค.ศ. 1912) – 7 มิถุนายน พ.ศ. 2497 (ค.ศ. 1954)) เป็นนักคณิตศาสตร์, นักตรรกศาสตร์, นักรหัสวิทยาและวีรบุรุษสงครามชาวอังกฤษ และเป็นที่ยอมรับว่าเป็นบิดาของวิทยาการคอมพิวเตอร์ เขาได้สร้างรูปแบบที่เป็นทางการทางคณิตศาสตร์ของการระบุขั้นตอนวิธีและการคำนวณ โดยใช้เครื่องจักรทัวริง ซึ่งตามข้อปัญหาเชิร์ช-ทัวริงได้กล่าวว่าเป็นรูปแบบของเครื่องจักรคำนวณเชิงกลที่ครอบคลุมทุก ๆ รูปแบบที่เป็นไปได้ในทางปฏิบัติ ในระหว่างสงครามโลกครั้งที่สอง ทัวริงมีส่วนในการแกะการเข้ารหัสลับ|รหัสลับของฝ่ายประเทศเยอรมนี|เยอรมัน โดยเขาเป็นหัวหน้าของกลุ่ม Hut 8 ที่ทำหน้าที่ในการแกะรหัสของเครื่องเอนิกมาที่ใช้ในฝ่ายทหารเรือ ซึ่งประมาณกันว่าเขาสามารถย่นเวลาสงครามได้ถึง 2 ปี หลังสงครามเขาได้ออกแบบเครื่องคอมพิวเตอร์อิเล็กทรอนิกส์ที่สามารถโปรแกรมได้เครื่องแรก ๆ ของโลกที่ห้องปฏิบัติการฟิสิกส์แห่งชาติ และได้สร้างเครื่องคอมพิวเตอร์ขึ้นจริง ๆ ที่มหาวิทยาลัยแมนเชสเตอร์ รางวัลทัวริงได้รับการก่อตั้งขึ้นเพื่อยกย่องเขาในเรื่องนี้ นอกจากนั้นแล้ว การทดสอบของทัวริงที่เขาได้เสนอนั้นมีผลอย่างสูงต่อการศึกษาเรื่องปัญญาประดิษฐ์ แต่มีข้อถกเถียงว่า ''เป็นไปได้หรือไม่ที่จะกล่าวว่าเครื่องจักรนั้นมีสำนึกและสามารถคิดได้'' == ประวัติ == แอลัน ทัวริงเป็นชาวอังกฤษ เกิดเมื่อปี พ.ศ. 2455 (ค.ศ. 1912) ที่ลอนดอน และอาศัยอยู่กับพี่ชาย บิดาและมารดาของทัวริงพบกันและทำงานที่ประเทศอินเดีย ในสมัยมัธยม ทัวริงสนิทและนับถือรุ่นพี่คนหนึ่งชื่อ คริสโตเฟอร์ มอร์คอม (Christopher Morcom) ซึ่งเสียชีวิตไปเสียก่อน ทัวริงเสียใจมากจึงตั้งใจสานต่อสิ่งที่รุ่นพี่เขาอยากทำให้สำเร็จ ตลอดสามปีหลังจากนั้น เขาเขียนจดหมายอย่างสม่ำเสมอให้คุณแม่ของมอร์คอม ว่าเขาคิดและสงสัยเรื่องความคิดของคนว่าไปจับจดอยู่ในเรื่องหนึ่ง ๆ ได้อย่างไร (how the human mind was embodied in matter) และปล่อยเรื่องนั้น ๆ ออกไปได้อย่างไร (whether accordingly it could be released from matter) แล้ววันหนึ่งเขาก็ไปเจอหนังสือดังในยุคนั้นชื่อ "The Nature of the Physical World" อ่านไปก็เกิดนึกไปเองว่ากลศาสตร์ควอนตัม|ทฤษฏีกลศาสตร์ควอนตัมมันต้องเกี่ยวกับปัญหาเรื่อง mind and matter ที่เขาคิดอยู่ === การเสียชีวิต === วันที่ 7 มิถุนายน พ.ศ. 2497 (ค.ศ.1954) ทัวริงถูกพบเสียชีวิตในบ้านพัก ขณะอายุเพียง 41 ปี หลังการชันสูตรพบว่าเขารับสารไซยาไนด์ในปริมาณที่ฆ่าคนได้ แต่จนถึงทุกวันนี้ยังไม่มีใครทราบเหตุผลที่ทำให้เขาตาย บ้างว่าเขาฆ่าตัวตายเพราะแรงกดดันจากข้อหารักร่วมเพศและการถูกฉีดยาลดความต้องการทางเพศ บ้างก็ว่าเขารับไซยาไนด์โดยบังเอิญเพราะเป็นสารเคมีที่เขาใช้ในการทำงาน บ้างก็ว่าเขาถูกลอบสังหารเพื่อป้องกันความลับของรัฐบาลรั่วไหลhttps://www.posttoday.com/world/595043 อลัน ทัวริงผู้ช่วยชีวิตคนนับล้าน แต่กลายเป็นอาชญากรเพราะรักผู้ชาย === ล้างมลทิน === ในปี พ.ศ. 2556 (ค.ศ.2013) อลัน ทิวริง ได้รับพระราชทานอภัยโทษหลังการเสียชีวิตจากสมเด็จพระราชินีนาถเอลิซาเบธที่ 2 และอังกฤษได้บังคับใช้กฎหมายลดทอนความเป็นอาชญากรรมของการรักร่วมเพศระหว่างผู้ชาย หรือ 'ทิวริงส์ลอว์' (Turing's Law) ซึ่งส่งผลให้ชายที่ถูกกล่าวหาว่ามีความผิดตามกฎหมายรักร่วมเพศที่ถูกยกเลิกไปก่อนหน้านี้ ทั้งผู้ที่เสียชีวิตไปแล้วและยังมีชีวิตอยู่ พ้นจากความผิด โดยจะได้รับการล้างมลทินและข้อหาดังกล่าวจะถูกลบออกจากประวัติอาชญากรรมhttps://www.bbc.com/thai/international-49007726 ธนบัตร 50 ปอนด์ : อลัน ทิวริง สำคัญอย่างไรในประวัติศาสตร์โลกจึงได้รับเกียรติบนแบงก์รุ่นใหม่ === สันนิษฐานเกี่ยวกับการเสียชีวิต === มีการสันนิษฐานว่าแอลัน ทัวริงนั้นได้ทำการฆ่าตัวตาย ได้สันนิษฐานได้หลายสาเหตุ ว่าจะมาจากการหนักใจเรื่องการรักษาด้วยยาปรับฮอร์โมน ที่รัฐบาลอังกฤษได้สั่งให้ทำการรักษาเพื่อไม่ให้เป็นเกย์แทนการจำคุก และยังมีอีกทฤษฎีหนึ่งคือ อาจจะเกิดการฆาตกรรมเนื่องจากรักษาความปลอดภัยความลับทางทหารเกี่ยวกับภารกิจเมื่อสมัยสงครามโลกครั้งที่ 2 แต่อย่างไรก็ตาม สิ่งที่พบอยู่ภายในห้องนอนของเขาคือผลแอปเปิ้ลที่ถูกกัดแหว่ง ได้ทำการคาดเดาว่าการตายโดยแอปเปิ้ลของทัวริงไม่จำเป็นต้องมีเจตนา หรืออาจจะเจตนา จากการตรวจพบสารไซยาไนด์บนผลแอปเปิ้ล ซึ่งอาจจะคล้ายกับภาพยนตร์แอนิเมชั่นสโนว์ไวท์เกี่ยวกับแอปเปิ้ลอาบยาพิษ หรืออีกสาเหตุหนึ่งคือการวางผลแอปเปิ้ลโดนสารไซยาไนด์ในห้องทดลองของเขาแล้วเผลอรับประทานเข้าไป แต่ก็ยังไม่สามารถหาข้อสรุปการเสียชีวิตของแอลัน ทัวริงได้https://www.mentalfloss.com/article/64049/did-alan-turing-inspire-apple-logo == การศึกษาและงาน == ใน พ.ศ. 2474 เขาเข้าเรียนคณิตศาสตร์ที่คิงส์คอลเลจ มหาวิทยาลัยเคมบริดจ์ (หมายเหตุ: ยุคนั้นคิงส์คอลเลจเป็นที่พักชายล้วน ซึ่งทัวริงก็อยู่อย่างเปิดเผยว่าเขาเป็นเกย์ และเข้าร่วมกิจกรรมชมรม) ทัวริงมีความสุขกับชีวิตที่นี่มากและทำกิจกรรมหลายอย่าง เช่น พายเรือ, เรือใบเล็ก และ วิ่งแข่ง ทัวริงพูดเสมอว่า "งานของผมนั้นเครียดมาก และทางเดียวที่ผมจะเอามันออกไปจากหัวได้ก็คือ วิ่งให้เต็มที่" และเขาก็วิ่งอย่างจริงจัง โดยที่ผลการวิ่งมาราธอนของเขา ชนะเลิศการแข่งขันของสมาคมนักกรีฑาสมัครเล่น ด้วยเวลา 2 ชั่วโมง 43 นาที 3 วินาที ใน พ.ศ. 2489 ซึ่งในการแข่งขันวิ่งมาราธอนโอลิมปิก เมื่อ พ.ศ. 2491 (ค.ศ. 1948) คนที่ได้เหรียญทอง ทำเวลาได้เร็วกว่าเขาเพียง 11 นาที ส่วนในเรื่องวิชาการในวงการคณิตศาสตร์ยุคนั้น เบอร์ทรันด์ รัสเซลล์|รัสเซลล์ (Russell) เสนอเอาไว้ว่า "mathematical truth could be captured by any formalism" แต่ยุคนั้น คูร์ท เกอเดิล|เกอเดิล (Gödel) โต้ว่า "the incompleteness of mathematics: the existence of true statements about numbers which could not be proved by the formal application of set rules of deduction". พอปี พ.ศ. 2476 ทัวริงก็ได้เจอกับรัสเซลล์แล้วก็ตั้งคำถาม พร้อมถกเรื่องราวเหล่านี้ขึ้นมา ทำให้เขาสนใจ ใน พ.ศ. 2477 ทัวริงก็จบจากมหาวิทยาลัยเคมบริดจ์ ด้วยเกียรตินิยมอันดับหนึ่ง ทางมหาวิทยาลัยก็เลยเชิญเขาอยู่เป็น Fellow ด้านคณิตศาสตร์ต่อ (ส่วนใหญ่ Fellow ของเคมบริดจ์จะเป็นพวกที่จบปริญญาเอก แต่ทัวริงจบเพียงปริญญาตรี) ปี พ.ศ. 2478 ทัวริงไปเรียนกับจอห์น ฟอน นอยมันน์ เรื่อง ปัญหาของการตัดสินใจ (Entscheidungs problem) ที่ถามว่า "Could there exist, at least in principle, a definite method or process by which it could be decided whether any given mathematical assertion was provable?" ทัวริงก็เลยมาคิด ๆ โดยวิเคราะห์ว่า คนเราทำอย่างไรเวลาทำงานที่เป็นกระบวนการที่มีกฎเกณฑ์ (methodical process) แล้วก็นึกต่อว่า วางกรอบว่าให้เป็นอะไรซักอย่างที่สามารถทำได้อย่างเป็นกลไก (mechanically) ล่ะ? เขาก็เลยเสนอทฤษฏีออกมาเป็น "The analysis in terms of a theoretical machine able to perform certain precisely defined elementary operations on symbols on paper tape". โดยยกเรื่องที่เขาคิดมาตั้งแต่เด็กว่า 'สถานะความคิด' (state of mind) ของคน ในการทำกระบวนการทางความคิด มันเกี่ยวกับการเก็บ และเปลี่ยนสถานะจากจุดหนึ่งไปอีกจุดหนี่ง ได้ตามการกระทำทางความคิด โดยทัวริงเรียกสิ่งนี้ว่า คำสั่งตรรกะ (logical instructions) แล้วก็บอกว่าการทำงานต้องมี กฎเกณฑ์ที่แน่นอน (definite method) (ต่อมาเรียกว่า ขั้นตอนวิธี) เมื่อ พ.ศ. 2479 เขาจึงเตรียมออกบทความวิชาการที่มืชื่อเสียง "On Computable Numbers with an application to the Entscheidungsproblem" แต่ก่อนเขาออกบทความนี้ มีอีกงานของฝั่งอเมริกาของ Church ออกมาทำนองคล้าย ๆ กันอย่างบังเอิญ เขาเลยถูกบังคับให้เขียนอิงงาน Church ไปด้วย (เพราะบทความเขาออกทีหลัง) แต่พอบทความเขาออกมาจริง ๆ คนอ่านก็เห็นว่าเป็นคนละทฤษฏีกันและของเขามีเนื้อหา relied upon an assumption internal to mathematics แม่นกว่า การเน้นเรื่อง operation ใน physical world (ยุคต่อมาคนก็เลยนำ concept เขาไปประยุกต์ใช้และให้เกียรติว่า เครื่องทัวริง|Turing machine จึงเป็นที่มาของการยกย่องให้ทัวริงเป็นบิดาของวิทยาการคอมพิวเตอร์) ปลายปีนั้นเองเขาก็ได้รับรางวัลสมิธ (Smith's Prize) ไปครอง แล้วเขาก็ไปทำปริญญาโทและปริญญาเอกต่อที่ศูนย์วิจัยของมหาวิทยาลัยปรินซ์ตัน ซึ่งสงบเงียบตัดห่างจากผู้คน แล้วก็ออกบทความว่า โลกทางความคิดกับโลกทางกายมันเชื่อมถึงกันได้ ผ่านออกมาด้วยการกระทำ (ในยุคนั้นคนยังไม่คิดแบบนี้กัน) แล้วก็เสนอความคิดออกมาเป็น Universal Turing Machine (เครื่องจักรทัวริง) ในยุคนั้นยังไม่เรียกว่าคอมพิวเตอร์ แต่เรียกว่าเป็นเครื่องคำนวณที่สามารถป้อนข้อมูลได้ ต่อมาทัวริงก็สร้างเครื่องเข้ารหัส (cipher machine) โดยใช้รีเลย์คลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า สำหรับการคูณเลขฐานสอง หลังจากเขาสำเร็จการศึกษา มหาวิทยาลัยปรินซ์ตันก็เสนอตำแหน่งให้เขา แต่เขาตัดสินใจกลับเคมบริดจ์ เลยทิ้งทีมเพื่อน ๆ ไว้และจอห์น ฟอน นอยมันน์ก็เข้ามาสานต่อพอดี ส่วนตัวทัวริงก็เลือกไปทำงานด้าน 'ordinal logic' ต่อแทน เพราะเขาบอกว่าเป็น "my most difficult and deepest mathematical work, was an attempt to bring some kind of order to the realm of the uncomputable" เพราะทัวริงเชื่อว่าคนเรา โดยสัญชาตญาณสามารถตอบโต้ต่อเหตุการณ์ได้โดยไม่ต้องคำนวณ ("Human 'intuition' could correspond to uncomputable steps in an argument") แต่งานยังไม่เสร็จ ก็มีสงครามโลกครั้งที่สองเสียก่อน คือก่อนหน้านั้นเขาก็ทำงาน (อย่างเป็นความลับ) ให้กับ British Cryptanalytic department (หรือเรียกกันว่า Government code & cypher school) พอสงครามเริ่มเขาเลยเปิดเผยตัวเอง (ปกติจะทำเป็น fellow ที่คิงส์คอลเลจ เคมบริดจ์ อยู่หน้าฉากงานเดียว) เลยออกย้ายไปทำงานที่ the wartime cryptanalytic headquaters, Bletchley Park เป้าหมายคือเจาะรหัสของเครื่องเข้ารหัสเอนิกมา (Enigma Cipher Machine) ของเยอรมันให้ได้ ช่วงนั้น ทัวริงทำงานกับ W.G. Welchman นักคณิตศาสตร์ชื่อดังของเคมบริดจ์อีกคน (คนนี้ทำ critical factors, ทัวริงทำ machanisation of subtle logical deduction) ทัวริงบอกว่าเขาเจาะรหัสได้แล้วคร่าว ๆ ในปี ค.ศ. 1939 แต่ต้องได้เครื่องเอนิกมา มาวิเคราะห์การคำนวณทางสถิติเป็นขั้นสุดท้ายก่อน แล้วทุกอย่างจะออกหมด แต่ต้องรอถึงปี ค.ศ. 1942 ที่เรือดำน้ำ U-boat ของสหรัฐไปยึดมาได้ และแล้วหลังจากนั้นอีนิกมาก็ไม่มีความหมายอีกต่อไป พอสงครามโลกครั้งที่สองเริ่มสงบ ค.ศ. 1944 ทัวริงก็เริ่มสานต่อโครงการเก่าตั้งชื่อ "Buiding the Brain" แต่ตัดสินใจล้มโครงการไปในปี ค.ศ. 1945 พอได้ข่าวว่าจอห์น ฟอน นอยมันน์ออกบทความเรื่อง EDVAC ออกมาจากฝั่งอเมริกา ปี ค.ศ. 1946 ทัวริงกลับมาดูงานใหม่ ก็พบว่าเป็นงานคนละแนวคิดกัน ทางอเมริกาเน้นด้านอิเลกทรอนิกส์ แต่ทัวริงคิดแบบคณิตศาสตร์ ("I would like to implement arithmetical functions by programming rather than by building in electronic components, a concept different from that of the American-derived designs). โครงการตอนนั้นของทัวริงคือเครื่องคำนวณ (computation machine) ที่สามารถเปลี่ยนได้ตามใจชอบจาก numerical work เป็น algebra เป็น code breaking เป็น file handling หรือแม้กระทั่งเกมส์. ปี ค.ศ. 1947 ทัวริงเสนอว่า ต้องมีระบบจัดเก็บข้อมูล และ โปรแกรมคอมพิวเตอร์|ชุดคำสั่งคอมพิวเตอร์ต้องขยายตัวเองออกเป็น ชุดคำสั่งย่อย ๆ ได้ โดยการใช้รูปย่อแบบ รหัสย่อ (คำสั่ง ซึ่งเป็นจุดเริ่มต้นของภาษาโปรแกรม) แต่ปรากฏว่าไม่ได้รับการสนันสนุน มหาวิทยาลัยเคมบริดจ์ ยังคงเสนอตำแหน่งให้เขา แต่ทัวริงตัดสินใจเปลี่ยนสายขอพัก ไม่ทำด้านคณิตศาสตร์ ไม่ทำด้านเทคโนโลยี แต่ไปทำเรื่อง neurology กับ physiology sciences แทน แล้วก็ออกบทความเรื่องเครือข่ายประสาท ขึ้นมาว่า "a sufficiently complex mechanical system could exhibit learning ability" แล้วส่งบทความไปตีพิมพ์กับ NPL แต่ NPL ก็ทำงานช้า อยู่ ๆ ทีมนักวิจัยที่เคมบริดจ์เอง (สมัยนั้นยังชื่อ Mathematical Laboratory อยู่ ยังไม่ได้เปลี่ยนเป็น Computer Laboratory) ก็ผลิตเครื่อง EDSAC ขึ้นมา (เป็นเครื่อง storage computer machine เครื่องแรก) โดยใช้หลักของชาร์ล แบบเบจ พร้อมๆ กับ มหาวิทยาลัยแมนเชสเตอร์ ได้ทีมของทัวริงไปทำเครื่องในแนวทัวริงได้สำเร็จ ทัวริงเลยขี้เกียจยุ่งเรื่องการแข่งขันผลงานทางวิทยาศาสตร์ (ช่วงนั้นผลิตกันเร็วมาก) เลยไปวิ่งแข่งแทน เพราะเวลาที่เขาวิ่งในปี ค.ศ. 1946 นั้น ทำให้เขามีสิทธิ์ลุ้นเหรียญทองวิ่งมาราธอนโอลิมปิก แต่โชคร้ายเขาประสบอุบัติเหตุรถยนต์ก่อน เลยไม่สามารถไปแข่งโอลิมปิกในปี ค.ศ. 1948 ได้ (ในปีนั้นคนที่ได้เหรียญเงินเวลารวมก็แพ้ทัวริง) สุดท้ายทัวริงก็เลยตัดสินใจกลับเคมบริดจ์ ผ่านไประยะนึง ทีมงานเก่าเขาที่ย้ายไปมหาวิทยาลัยแมนเชสเตอร์ ก็เชิญเขาไปเป็นหัวหน้าภาควิชาใหม่ (ภาควิชาคอมพิวเตอร์) ทัวริงเลยตัดสินใจย้ายไป คราวนี้ไปเน้นด้านซอฟต์แวร์ ออกบทความวิชาการชื่อดังอีกอันในยุคนั้น "Computer Machine and Intelligence" ในปี ค.ศ. 1950 ซึ่งเป็นรากฐานของแนวคิดพัฒนา ปัญญาประดิษฐ์ ในวงการคอมพิวเตอร์ ใน ค.ศ. 1951 เขาก็จับงานใหม่อีกเล่นอีกแนว morphogenetic theory ออกบทความเรื่อง "The Chemical Basis of Morphogenesis" ซึ่งต่อมาเป็น founding paper of modern non-linear dynamical theory (พวก pattern formation of instability into the realm of spherical objects, e.g. radiolaria, cylinder, model of plant stems) ใน ค.ศ. 1952 เขาถูกจับ โทษฐานมีเพศสัมพันธ์กับผู้ชาย ทัวริงไม่ปฏิเสธและยอมรับโทษแต่โดยดี มีทางเลือกให้เขาสองทางคือ จำคุกกับการฉีดฮอร์โมนเอสโตรเจนเป็นเวลาหนึ่งปีเพื่อลดความต้องการทางเพศ ซึ่งเขาเลือกที่จะรับการฉีดยา และแล้วปี ค.ศ. 1954 ร่างของทัวริงก็ถูกพบโดยพนักงานทำความสะอาด ในสภาพมีแอปเปิลครึ่งลูกหล่นอยู่ข้าง ๆ และมีร่องรอยการทำการทดลองทางเคมีอยู่ใกล้ ๆ ในที่สุดเมื่อวันที่ 10 กันยายน ค.ศ. 2009 หลังจากการรณรงค์ทางอินเทอร์เน็ต กอร์ดอน บราวน์นายกรัฐมนตรีแห่งสหราชอาณาจักรก็ทำการขอโทษอย่างเป็นทางการในนามของรัฐบาลบริติชต่อวิธีอันไม่ถูกต้องที่รัฐบาลปฏิบัติต่อทัวริงหลังสงครามhttp://news.bbc.co.uk/1/hi/technology/8249792.stm BBC coverage of Gordon Brown's apology for Turing's mistreatment by the British government หลายปีต่อมา มีการเปิดเผยขึ้นมาว่า ตั้งแต่สงครามโลกครั้งที่สองสงบลง เขายังคงทำงานให้กับองค์การ 'รหัสลับ' แบบลับ ๆ ของรัฐบาลอยู่ อยู่ในสภาพที่ไม่สามารถบอกเพื่อน ๆ ได้ว่าทำอะไรบ้างและปิดบังมาตลอด ช่วงนั้นกำลังมีสงครามเย็น สหราชอาณาจักรกับสหรัฐเป็นพันธมิตรกัน สู้กับยุโรปตะวันออก, แต่เพื่อนชาวยุโรปตะวันออก ที่เคยร่วมงานกันมาก่อนพยายามติดต่อตัวเขา เช่นในปี ค.ศ. 1953 เพื่อนเขาชาวนอร์เวย์ (เป็นสังคมนิยม) ถึงกับมาเยี่ยม ขณะที่เขากำลังพักผ่อนอยู่ที่ประเทศกรีซ ทำให้พอเขากลับมาถึงอังกฤษ ก็ถูกเรียกไปคุยกับเจ้าหน้าที่ความมั่นคง แต่ก็ไม่มีใครรู้ว่าจริง ๆ แล้วมันเกิดเรื่องอะไรและมีเบื้องหลังอย่างไร สำหรับผลงานที่เด่น ๆ ของทัวริง เช่น การคิดโมเดลที่สามารถทำงานได้เทียบเท่ากับคอมพิวเตอร์ (แต่อาจมีความเร็วต่ำกว่า) โดยใช้คำสั่งพื้นฐานง่าย ๆ เพียง เดินหน้า ถอยหลัง เขียน ลบ == เกียรติยศ / เชิดชู == === อนุสรณ์ === * '''อนุสรณ์ของแอลัน ทัวริง''' เป็นประติมากรรมลอยตัว สวมสูท นั่งบนม้านั่ง มือด้านขวาถือแอปเปิ้ลที่ถูกกัด ปฏิมากรรมสร้างขึ้นด้วยเหล็กสำริด บนพื้นมีลายธง :en:Pride|Pride ทำด้วยกระเบื้องโมเสค ปฏิมากรรมนี้ตั้งอยู่ ณ สวนสาธารณะ Sackville Park ถนน Sackville Street ลอนดอน|กรุงลอนดอน (London)https://www.manchestereveningnews.co.uk/news/nostalgia/manchester-public-art-alan-turing-8054356 , สหราชอาณาจักร * ไฟล์:Alan Turing Memorial Closer.jpg|thumb|อนุสรณ์ แอลัน ทัวริง ณ Sackville Gardens , กรุงลอนดอนไฟล์:Alan Turing by Stephen Kettle 2007.jpg|thumb|ประติมากรรมแอลัน ทัวริง ปั้นขึ้นโดยนักประติมากรชาวอังกฤษ Stephen Kettle '''ประติมากรรมแอลัน ทัวริง''' เป็นประติมากรรมลอยตัว สร้างสรรค์ผลงานโดยนักประติมากรชาวอังกฤษ Stephen Kettle ที่มีเอกลักษณ์เฉพาะโดยการใช้วัสดุหินฉนวน ตั้งอยู่ ณ Bletchley Park ที่ทำการเมื่อครั้งแอลัน ทัวริง กับคณะใช้ในการปฏิบัติการณ์ทำลายรหัสนาซี ในสงครามโลกครั้งที่ 2 ตั้งอยู่ที่ มณฑลบักกิงแฮมเชอร์ สหราชอาณาจักร|, สหราชอาณาจักรhttps://en.wikipedia.org/wiki/Stephen_Kettle === สลักรูปบนธนบัตร === * พ.ศ. 2564 (ค.ศ. 2021) ธนบัตร 50 ปอนด์สเตอร์ลิง ของประเทศอังกฤษ ได้ทำการสลักรูป "อลัน ทิวริง" เพื่อเชิดชูผลงานและสร้างคุณูปการและช่วยชีวิตผู้คนจำนวนมากบนโลก ในสงครามโลกครั้งที่ 2https://www.bbc.com/thai/international-49007726 === เกมคอมพิวเตอร์ === * ชื่อของแอลัน ทัวริง ยังถูกพาดพิงถึงในเนื้อเรื่องของเกมคอมพิวเตอร์แนวสยองขวัญชื่อว่า "เอาท์ลาสท์" (Outlast) โดยในเนื้อเรื่องที่ถูกสมมุติขึ้นมานี้กล่าวว่า ทัวริงเป็นผู้ร่วมก่อตั้งองค์กรเมอร์กออฟร่วมกับ ดร.รูดอล์ฟ เวอร์นิค ซึ่งเป็นตัวละครสมมุติในเนื้อเรื่องของเกม === ภาพยนตร์ === * ภาพยนตร์ ถอดรหัสลับ อัจฉริยะพลิกโลก (The Imitation Game) เป็นภาพยนตร์อิงประวัติศาสตร์/ชีวิต/ระทึกขวัญ กำกับโดยMorten Tyldum|มอร์เทน ทิลดัม เขียนบทโดยเกรแฮม มัวร์ โดยดัดแปลงจากหนังสือ Alan Turing: The Enigma โดยแอนดรูว์ ฮอดจ์ส นำแสดงโดย เบเนดิกต์ คัมเบอร์แบตช์ถอดรหัสลับ อัจฉริยะพลิกโลก === โลโก้ === * ได้มีการคาดเดาว่าโลโก้ปัจจุบันของแบรนด์ "Apple" ที่ก่อตั้งขึ้นโดย สตีฟ จอบส์ มีลักษณะเป็นลูกแอปเปิ้ลแหว่ง ซึ่งตรงกับการตายของแอลัน ทัวริง ที่กัดแอปเปิ้ลที่มีสารพิษอยู่ไป 1 คำ เนื่องจากแบรนด์ Apple ก็ได้ผลิตคอมพิวเตอร์ ซึ่งตรงกับแอลัน ทัวริง ที่ถูกยกย่องว่าเป็นบิดาของวิทยาการคอมพิวเตอร์ ดังนั้นบริษัท Apple ได้ออกแบบโลโก้เพื่อเคารพต่อ แอลัน ทัวริง หรือไม่ แต่อย่างไรก็ตาม ก็ได้มีการถามหาข้อเท็จจริงเกี่ยวกับแรงบรรดารใจของโลโก้ Rob Janoff นักออกแบบผู้สร้างโลโก้ กล่าว ''“ผมเกรงว่ามันจะไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกัน”'' แต่สตีฟ จ็อบส์ ได้กล่าวว่า ''“พระเจ้า! เราหวังว่ามันจะเป็นอย่างนั้น”''https://www.mentalfloss.com/article/64049/did-alan-turing-inspire-apple-logo Did Alan Turing Inspire the Apple Logo? == อ้างอิง == * Campbell-Kelly, Martin (ed.) (1994). ''Passages in the Life of a Philosopher''. London: William Pickering. ISBN 0-8135-2066-5 * Campbell-Kelly, Martin, and Aspray, William (1996). ''Computer: A History of the Information Machine''. New York: Basic Books. ISBN 0-465-02989-2 * Ceruzzi, Paul (1998). ''A History of Modern Computing''. Cambridge, Massachusetts|Cambridge, Massachusetts, and London: MIT Press. ISBN 0-262-53169-0 * Chandler, Alfred (1977). ''The Visible Hand: The Managerial Revolution in American Business''. Cambridge, Massachusetts: Belknap Press. ISBN 0-674-94052-0 หมวดหมู่:นักคณิตศาสตร์ชาวอังกฤษ หมวดหมู่:นักวิทยาการคอมพิวเตอร์ หมวดหมู่:ศิษย์เก่าจากมหาวิทยาลัยเคมบริดจ์ หมวดหมู่:ศิษย์เก่าจากมหาวิทยาลัยพรินซ์ตัน หมวดหมู่:บุคคลจากมหาวิทยาลัยแมนเชสเตอร์ หมวดหมู่:ผู้ได้รับเครื่องราชอิสริยาภรณ์เอ็มบีอี‎ หมวดหมู่:ผู้ได้รับเครื่องราชอิสริยาภรณ์โอบีอี หมวดหมู่:ผู้ฆ่าตัวตายด้วยพิษไซยาไนด์ หมวดหมู่:ผู้ฆ่าตัวตายในสหราชอาณาจักร หมวดหมู่:บุคคลจากลอนดอน หมวดหมู่:บุคคลจากวิล์มสโลว์ หมวดหมู่:ชายรักร่วมเพศชาวอังกฤษ หมวดหมู่:นักวิชาการที่มีความหลากหลายทางเพศ
แอลัน ทัวริง
ไฟล์:CharlesBabbage.jpg|thumb|right|ชาลส์ แบบเบจ (26 ธันวาคม พ.ศ. 2334 - 18 ตุลาคม พ.ศ. 2414) ไฟล์:Babbage - On the economy of machinery and manufactures, 1835 - 5864499.tif|thumb|''On the economy of machinery and manufactures'', 1835 '''ชาลส์ แบบเบจ''' () ( 26 ธันวาคม ปี ค.ศ. 1791 (พ.ศ. 2334) - 18 ตุลาคม พ.ศ. 2414) แบบบิจเกิดที่แคว้นอังกฤษ|อังกฤษ ในครอบครัวของนายธนาคาร แบบบิจเติบโตมาในยุคที่อังกฤษเป็นมหาอำนาจ และกำลังอยู่ในช่วงการปฏิวัติอุตสาหกรรม โดยรัฐบาลสนับสนุนให้ทุนการพัฒนาในสาขาต่าง ๆ อย่างเต็มที่. แบบบิจศึกษาระดับมหาวิทยาลัยที่ ทรินิตี้ คอลเลจ มหาวิทยาลัยเคมบริดจ์ ที่คณะคณิตศาสตร์ (Mathematical Laboratory) ช่วงเป็นนักศึกษา เขารวมกลุ่มกับเพื่อน ทำ induction of the Leibnitz notation for the Calculus ขึ้นจนมีชื่อเสียง ทำให้มหาวิทยาลัยต้องเปลี่ยนหลักสูตรการเรียนการสอน. พอเรียนจบ แบบเบจก็ตัดสินใจเป็นอาจารย์ต่อที่คณะ. ในปี ค.ศ. 1814, แบบเบจสมรสกับ Geogiana Whitmore นักคณิตศาสตร์หญิงคนเก่งคนหนึ่งในยุคนั้น ในทางคณิตศาสตร์ แบบเบจเน้นศึกษาด้านแคลคูลัสเป็นพิเศษ ปี ค.ศ. 1816 ได้รับการแต่งตั้งให้เป็น Fellow ของ Royal Society ปี ค.ศ. 1820 เขาตั้งชมรมด้านดาราศาสตร์ขึ้น พร้อม ๆ กับเริ่มทำงานวิจัยสำคัญของเขาในยุคต้น ที่ทำให้เขาโด่งดังมากคือ Difference Engine (ใช้ Newton's method of successive differences) ในปี ค.ศ. 1828 แบบเบจได้รับแต่งตั้งให้เป็น the Lucasian Chair of Mathematics at Cambridge (เหมือนกับ ไอแซก นิวตัน|เซอร์ ไอแซก นิวตัน และ สตีเฟ่น ฮอว์คิง) ต่อมา แบบเบจขยายงานมาศึกษาเครื่องวิเคราะห์ (Analytical Engine) เพื่อสร้างเป็น เครื่องจักรที่สามารถรองรับการคำนวณทุกชนิด (ซึ่งได้รับการยอมรับว่าเป็นต้นแบบของเครื่องคอมพิวเตอร์) แต่ก็เป็นเพียงทฤษฎีเท่านั้น เพราะเขาไม่สามารถสร้างออกมาในช่วงที่เขามีชีวิตอยู่ เนื่องจากมีคนไม่เห็นด้วยมากมาย เพราะความคิดของเขาทันสมัยเกินกว่าเทคโนโลยีในยุคนั้น จนทุก ๆ คนคิดว่ามันเป็นไปไม่ได้ จึงโดนตัดงบวิจัยในปี ค.ศ. 1832 แต่แบบเบจก็ฝืนทำต่อแบบไม่มีงบประมาณ จนทำไม่ไหว จนต้องปิดโครงการนี้ไป ในปี ค.ศ. 1842 พอปี ค.ศ. 1856, แบบเบจก็เริ่มมีฐานะขึ้นมาจากงานอื่นๆ เพราะนอกจากเป็นนักคณิตศาสตร์แล้ว เขาก็ยังเป็นผู้เชี่ยวชาญด้านดนตรี การเมือง และเศรษฐกิจ อีกด้วย (เป็น a Celebrated Policial Economist แห่งยุค) เขาจึงเอาเงินทุนมาลงทุนทำวิจัยด้านเครื่องวิเคราะห์ต่อ แต่ก็ต้องทำและแก้หลายครั้ง จนเขาเสียชีวิตไปในปี ค.ศ. 1871 (แล้วลูกชายเขามาสานต่อ) ช่วงก่อนตาย เขาเขียนหนังสือชื่อดัง (ดังยุคหลัง) ชื่อ ''Passages from the life of a Philosopher'' เพราะในปีที่เขาเสียชีวิต โลกยังไม่ค่อยรู้จักเขา เครื่องวิเคราะห์ของเขาไม่มีคนสนใจลงมือสร้างเป็นชิ้นเป็นอัน จนกระทั่งอีกประมาณ 40 ปีต่อมา หลังจากเขาตาย มีคนเอางานเขาไปเผยแพร่จนเป็นที่ชื่นชม แล้วคนยุคหลังก็นำสมองของเขา (ที่ดองเอาไว้ในแอลกอฮอล์) มาผ่าเพื่อศึกษาความสามารถในการคิดของเขา (ถูกนิยามไว้ว่าเป็นหนึ่งในนักคิดที่ลึกซึ้งที่สุดแห่งศตวรรษ) ตลอดเวลาที่มีชีวิตอยู่ แบบเบจเชื่อว่า โลกเรานี้สามารถวิเคราะห์ทำนายได้ (a world where all things were dutifully quantified and could be predicted) โดยได้รับความสนับสนุนจากเอดา เลิฟเลซซึ่งเป็นเพื่อนสนิทในวงการว่า ถ้าจิตใจมนุษย์สามารถเข้าใจพฤติกรรมของอนุภาคเล็กๆ มันจะอธิบายทุกอย่างได้ (if a mind could know everything about particle behavior, if could describe everything: nothing would be uncertain, and the future, as the past, could be present to our eyes) ปี ค.ศ. 1856, แบบบิจเสนองาน "Table of Constants of the Nature and Art" ที่อ้างว่า รวบรวมข้อเท็จจริงทุกอย่าง สำหรับอธิบายศาสตร์ทางวิทย์และศิลป์ ด้วยตัวเลข แบบเบจชอบไฟมาก ขนาดลองเอาเตาอบมาอบตัวเองเล่นที่ 265 องศาฟาเรนไฮต์เป็นเวลา 5-6 นาที หรือพยายามปีนภูเขาไฟเวซูเวียส เพื่อที่จะไปดูลาวาเดือด ๆ == ดูเพิ่ม == * วิทยาการคอมพิวเตอร์ * คณิตศาสตร์ หมวดหมู่:นักคณิตศาสตร์ชาวอังกฤษ|บแบเบจ, ชาลส์ หมวดหมู่:นักวิทยาการคอมพิวเตอร์|บแบเบจ, ชาลส์ หมวดหมู่:นักประดิษฐ์ชาวอังกฤษ หมวดหมู่:บุคคลจากมหาวิทยาลัยเคมบริดจ์ หมวดหมู่:บุคคลจากเอ็กซิเตอร์
ชาลส์ แบบบิจ
กล่องข้อมูล ผู้นำประเทศ | honorific-prefix = | name = | honorific-suffix = | image = Pridi Banomyong in 1945.jpg | caption = ปรีดีใน พ.ศ. 2488 | order = ผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ (ประเทศไทย)|ผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ | term_start = 16 ธันวาคม พ.ศ. 2484 | term_end = 5 ธันวาคม พ.ศ. 2488 () | monarch = พระบาทสมเด็จพระปรเมนทรมหาอานันทมหิดล พระอัฐมรามาธิบดินทร | primeminister = | order2 = สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรจังหวัดพระนครศรีอยุธยา | term_start2 = 5 สิงหาคม พ.ศ. 2489 | term_end2 = 23 สิงหาคม พ.ศ. 2489 () | monarch2 = | predecessor2 = เลือกตั้งเพิ่มเติม | successor2 = หม่อมเจ้านิตยากร วรวรรณInfobox officeholder |embed=yes | order3 = รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังของไทย|รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง | term_start4 = 20 ธันวาคม พ.ศ. 2481 | term_end4 = 16 ธันวาคม พ.ศ. 2484 () | primeminister4 = จอมพล แปลก พิบูลสงคราม | predecessor4 = พระยาไชยยศสมบัติ (เสริม กฤษณามระ)|เสริม กฤษณามระ | successor4 = เภา เพียรเลิศ บริภัณฑ์ยุทธกิจ | term_start3 = 24 มีนาคม พ.ศ. 2489 | term_end3 = 23 สิงหาคม พ.ศ. 2489 () | primeminister3 = ตนเอง | predecessor3 = พระยาศรีวิสารวาจา (เทียนเลี้ยง ฮุนตระกูล) | successor3 = วิจิตร ลุลิตานนท์ | order5 = รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศของไทย|รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ | term_start5 = 12 กรกฎาคม พ.ศ. 2479 | term_end5 = 13 ธันวาคม พ.ศ. 2481 () | primeminister5 = พระยาพหลพลพยุหเสนา (พจน์ พหลโยธิน) | predecessor5 = พระยาศรีเสนา (ศรีเสนา สมบัติศิริ) | successor5 = เจ้าพระยาศรีธรรมาธิเบศ (จิตร ณ สงขลา) | order6 = รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทยของไทย|รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย | term_start6 = 29 มีนาคม พ.ศ. 2477 | term_end6 = 12 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2478 () | primeminister6 = พระยาพหลพลพยุหเสนา (พจน์ พหลโยธิน) | predecessor6 = พระยาพหลพลพยุหเสนา (พจน์ พหลโยธิน) | successor6 = พลเรือตรี ถวัลย์ ธำรงนาวาสวัสดิ์ | birth_name = ปรีดี | birth_date = | birth_place = จังหวัดพระนครศรีอยุธยา|อยุธยา มณฑลอยุธยา|เมืองกรุงเก่า อาณาจักรรัตนโกสินทร์ (สมัยสมบูรณาญาสิทธิราชย์)|ประเทศสยาม | death_date = | death_place = ปารีส ประเทศฝรั่งเศส | nationality = ประเทศไทย|ไทย | party = คณะราษฎรพรรคสหชีพ|สหชีพ | otherparty = เสรีไทย | spouse = | children = | father = เสียง พนมยงค์ | mother = ลูกจันทน์ พนมยงค์ | relations = อรรถกิจ พนมยงค์ (น้องชายร่วมบิดา) | alma_mater = | signature = Thai-PM-pridi signature.svg | footnotes = | order1 = นายกรัฐมนตรีไทย คนที่ 7 | termstart1 = 24 มีนาคม พ.ศ. 2489 | termend1 = 23 สิงหาคม พ.ศ. 2489 () | predecessor1 = ควง อภัยวงศ์ | successor1 = พลเรือตรี ถวัลย์ ธำรงนาวาสวัสดิ์ | monarch1 = พระบาทสมเด็จพระปรเมนทรมหาอานันทมหิดล พระอัฐมรามาธิบดินทรพระบาทสมเด็จพระมหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร ศาสตราจารย์ '''ปรีดี พนมยงค์''' หรืออำมาตย์ตรี '''หลวงประดิษฐ์มนูธรรม''' (11 พฤษภาคม พ.ศ. 2443 – 2 พฤษภาคม พ.ศ. 2526) เป็นนักกฎหมาย ครู|อาจารย์ นักกิจกรรม นักการเมือง และเจ้าหน้าที่การทูต|นักการทูตชาวไทย ผู้ได้รับการยกย่องเกียรติคุณอย่างสูง เป็นรัฐบุรุษ|รัฐบุรุษอาวุโส ผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ (ประเทศไทย)|ผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ นายกรัฐมนตรีไทยคนที่ 7 และรัฐมนตรีหลายกระทรวง หัวหน้าคณะราษฎรสายพลเรือน อธิการบดี|ผู้ประศาสน์การมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์|มหาวิทยาลัยวิชาธรรมศาสตร์และการเมือง (ปัจจุบันคือ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์) และเป็นผู้ก่อตั้งธนาคารชาติไทย (ปัจจุบันคือ ธนาคารแห่งประเทศไทย) เขาเกิดในครอบครัวชาวนาที่กรุงเก่า แต่ได้รับการส่งเสียให้ได้รับการศึกษาที่ดี สำเร็จการศึกษาจากเนติบัณฑิตยสภา ในพระบรมราชูปถัมภ์|เนติบัณฑิตยสภา และสอบไล่ได้เป็นเนติบัณฑิตตั้งแต่อายุ 19 ปี เป็นนักเรียนทุนศึกษาต่อด้านกฎหมายที่ประเทศฝรั่งเศส จนสำเร็จการศึกษาขั้นดุษฎีบัณฑิต ณ มหาวิทยาลัยปารีส ในปี 2469 เขาเป็นหนึ่งในสมาชิกผู้ก่อตั้งคณะราษฎรในประเทศฝรั่งเศสในปีเดียวกัน จากนั้นเดินทางกลับประเทศเพื่อประกอบอาชีพเป็นผู้พิพากษา ผู้ช่วยเลขานุการกรมร่างกฎหมาย และอาจารย์ผู้สอนวิชากฎหมายปกครอง ณ โรงเรียนกฎหมาย หลังการปฏิวัติสยาม พ.ศ. 2475|การปฏิวัติสยามในปี 2475 เขามีบทบาทสำคัญในการร่างรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย|รัฐธรรมนูญสองฉบับแรกของประเทศ และวางแผนเศรษฐกิจ หลังเดินทางออกนอกประเทศช่วงสั้น ๆ เนื่องจากปฏิกิริยาต่อแผนเศรษฐกิจของเขา เขาเดินทางกลับมารับตำแหน่งรัฐมนตรีหลายกระทรวงในรัฐบาลพระยาพหลพลพยุหเสนา (พจน์ พหลโยธิน)|พระยาพหลพลพยหุเสนา(พจน์ พหลโยธิน)และแปลก พิบูลสงคราม มีบทบาทสำคัญในการปรับปรุงกฎหมายให้ทันสมัย การวางรากฐานการบริหารราชการแผ่นดินโดยเฉพาะราชการส่วนท้องถิ่น (ประเทศไทย)|ราชการส่วนท้องถิ่น การเจรจาแก้ไขสนธิสัญญาไม่เป็นธรรมกับต่างประเทศ ตลอดจนการปฏิรูปภาษี ความเห็นของเขาแตกกับแปลก พิบูลสงคราม เขาได้รับแต่งตั้งเป็นผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ในพระบาทสมเด็จพระปรเมนทรมหาอานันทมหิดล พระอัฐมรามาธิบดินทรระหว่างปี 2484 ถึง 2488 และเป็นผู้นำขบวนการเสรีไทยในประเทศช่วงสงครามโลกครั้งที่สองในประเทศไทย|สงครามโลกครั้งที่สอง เขาพยายามบ่อนทำลายความชอบธรรมของประกาศสงครามกับฝ่ายสัมพันธมิตรในสงครามโลกครั้งที่สอง|ฝ่ายสัมพันธมิตรในสมัยรัฐบาลจอมพล ป. จนฝ่ายสัมพันธมิตรไม่ถือโทษเป็นประเทศผู้แพ้สงคราม หลังสงครามยุติพระบาทสมเด็จพระปรเมนทรมหาอานันทมหิดล พระอัฐมรามาธิบดินทรมีพระบรมราชโองการโปรดเกล้าฯ ยกย่องในฐานะรัฐบุรุษอาวุโส ความขัดแย้งกับกลุ่มการเมืองอื่นทวีความรุนแรงขึ้น หลังการสวรรคตของพระบาทสมเด็จพระปรเมนทรมหาอานันทมหิดล|กรณีสวรรคตของสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวอานันทมหิดลซึ่งเขาถูกใส่ความว่าเป็นผู้บงการส. ศิวรักษ์, http://www.openbase.in.th/files/pridibook116.pdf เรื่องปรีดี พนมยงค์ ตามทัศนะ ส.ศิวรักษ์ , สำนักพิมพ์มูลนิธิโกมลคีมทอง, 2540 ทำให้เขาลาออกจากตำแหน่งนายกรัฐมนตรีสองครั้ง ต่อมาเกิดรัฐประหารในประเทศไทย พ.ศ. 2490|รัฐประหารปี 2490 เป็นเหตุให้เขาต้องลี้ภัยการเมืองนอกประเทศ ปี 2492 เขากับพันธมิตรทางการเมืองกบฏวังหลวง|พยายามรัฐประหารรัฐบาลในขณะนั้นแต่ล้มเหลว ทำให้เขาและพันธมิตรหมดอำนาจทางการเมืองโดยสิ้นเชิง จากนั้นเขาลี้ภัยการเมืองในประเทศจีนและฝรั่งเศสโดยไม่ได้กลับสู่ประเทศไทยอีก เขายังแสดงความเห็นทางการเมืองในประเทศไทยและโลกอยู่เรื่อย ๆ จนถึงแก่อสัญกรรมในปี 2526 ณ ปารีส|กรุงปารีส ประเทศฝรั่งเศสวาณี สายประดิษฐ์, http://www.pridi-phoonsuk.org/pridi-a-displaced ปรีดีในต่างแดน, ห้องสมุดอิเล็กทรอนิกส์ ปรีดี-พูนศุข, เรียกข้อมูลวันที่ 10 พ.ย. 2552 มีการนำอัฐิเขากลับประเทศในปี 2529 และพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช บรมนาถบพิตร|พระบาทสมเด็จพระมหาภูมิพลอดุลยเดช บรมนาถบพิตร พระราชทานผ้าไตรในพิธีทักษิณานุประทาน อนุสรณ์ของเขาประกอบด้วยวันปรีดี พนมยงค์, สถาบันปรีดี พนมยงค์ ตลอดจนอนุสาวรีย์ และสถานที่และสิ่งมีชีวิตต่าง ๆ ที่ตั้งตามชื่อเขา เขามีภาพลักษณ์ตั้งแต่เป็นนักประชาธิปไตยไม่นิยมเจ้าไปจนถึงผู้นิยมสาธารณรัฐ การถูกกล่าวหาว่าเป็นผู้บงการปลงพระชนม์พระเจ้าอยู่หัวอานันทมหิดลเป็นจุดด่างพร้อยในชีวประวัติของเขา และศัตรูเขานำมาใช้โจมตีแม้หลังสิ้นชีวิตไปแล้ว อย่างไรก็ตาม ในคดีหมิ่นประมาทที่ปรีดีเป็นโจทก์ฟ้องนั้น ศาลยุติธรรมให้เขาชนะทุกคดีสัจจา วาที, http://www.openbase.in.th/files/pridibook097.pdf ท่านผู้หญิงพูนศุข พนมยงค์ เปิดเผยต่อศาล ปรีดี พนมยงค์ คือผู้บริสุทธิ์ , สถาบันวิทยาศาสตร์สังคม เขาเป็นสัญลักษณ์ของผู้ต่อต้านเผด็จการทหาร เสรีนิยม มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ในปี 2542 องค์การการศึกษา วิทยาศาสตร์ และวัฒนธรรมแห่งสหประชาชาติ|ยูเนสโกยกให้เขาเป็นรายพระนามและรายนามบุคคลสำคัญของโลกชาวไทยโดยยูเนสโก|บุคคลสำคัญของโลก และร่วมเฉลิมฉลองในวาระครบรอบ 100 ปี ชาตกาลhttp://erc.unesco.org/cp/cp.asp?country=TH&language=E UNESCO: MS Data Thailand , UNESCO == ปฐมวัยและการงาน == ไฟล์:Pridi Banomyong 1915.jpg|thumb|150px|left|ปรีดี สมัยเรียนมัธยมศึกษา ปรีดี พนมยงค์เกิดเมื่อวันที่ 11 พฤษภาคม 2443 ณ เรือนแพหน้าวัดพนมยงค์ ตำบลท่าวาสุกรี อำเภอกรุงเก่า จังหวัดพระนครศรีอยุธยา|เมืองกรุงเก่า ในครอบครัวชาวนา เป็นบุตรของเสียงและลูกจันทน์ พนมยงค์ บรรพบุรุษของปรีดีตั้งถิ่นฐานอยู่ใกล้วัดพนมยงค์มาช้านาน บรรพบุรุษข้างบิดานั้นสืบเชื้อสายมาจากพระนมในสมัยอาณาจักรอยุธยา|กรุงศรีอยุธยาชื่อ "ประยงค์"http://www.openbase.in.th/files/pridibook078.pdf ชีวประวัติย่อของปรีดี พนมยงค์ สกุล พนมยงค์ และ สกุล ณ ป้อมเพชร์ , โครงการปรีดีพนมยงค์กับสังคมไทย, 2526, หน้า 163 พระนมประยงค์เป็นผู้สร้างวัดในที่สวนของตัวเอง วัดนั้นได้ชื่อตามผู้สร้างว่า วัดพระนมยงค์ หรือ วัดพนมยงค์ ล่วงมาจนมีการประกาศใช้พระราชบัญญัติขนานนามสกุล พ.ศ. 2456 ทายาทจึงได้ใช้นามสกุลว่า "พนมยงค์" บรรพบุรุษรุ่นปู่-ย่าของปรีดีประกอบกิจการค้าขายมีฐานะเป็นคหบดีใหญ่ แต่บิดาชอบชีวิตอิสระไม่ชอบประกอบอาชีพค้าขาย จึงหันไปยึดอาชีพกสิกรรม เริ่มต้นด้วยการทำป่าไม้ และต่อมาได้ไปบุกเบิกถางพงร้างเพื่อจับจองที่ทำนาบริเวณทุ่งหลวง อำเภอวังน้อย แต่ประสบปัญหาภัยธรรมชาติและสัตว์รังควานทำให้ผลผลิตออกมาไม่ดี ซ้ำรัฐบาลให้สัมปทานบริษัทแห่งหนึ่งขุดคลองผ่านที่ดินของบิดาและยังเรียกเก็บค่าขุดคลองนาวี รังสิวรารักษ์. (2544). http://www.openbase.in.th/files/pridibook137.pdf รัฐบุรุษผู้ยิ่งใหญ่ ปรีดี พนมยงค์ , สำนักพิมพ์ดับเบิ้ลนายน์, ISBN 974-604-957-7 ซึ่งบิดาของปรีดีต้องกู้เงินมาจ่ายเป็นค่ากรอกนา ทำให้ฐานะทางเศรษฐกิจของครอบครัวเลวลงจนเป็นหนี้สินอยู่หลายปี จากการเติบโตในครอบครัวชาวนา เขาจึงทราบซึ้งถึงสภาพความเป็นอยู่และความทุกข์ยากของชนชั้นชาวนา และการถูกเอารัดเอาเปรียบจากเจ้าที่ดินศักดินา เหล่านี้เป็นแรงกระตุ้นให้ปรีดีดำริเปลี่ยนแปลงสังคม เศรษฐกิจ และการเมืองของประเทศในเวลาต่อมา เขาเริ่มมีความสนใจเรื่องการเมืองมาตั้งแต่อายุ 11 ปี จากเหตุการณ์การปฏิวัติซินไฮ่|ปฏิวัติในจักรวรรดิชิงที่นำโดย ซุน ยัตเซ็น และเหตุการณ์กบฏ ร.ศ. 130 ในสยาม ซึ่งเขาแสดงความเห็นอกเห็นใจอย่างมากต่อผู้ที่ถูกลงโทษในครั้งนั้นปรีดี พนมยงค์, เรื่องการมีจิตสำนึกอภิวัฒน์ของข้าพเจ้า http://www.openbase.in.th/files/pridibook080.pdf ชีวิตผันผวนของข้าพเจ้าและ 21 ปีที่ลี้ภัยในสาธารณรัฐราษฎรจีน , สำนักพิมพ์เทียนวรรณ, 2529, หน้า 14 === การศึกษา === ไฟล์:Pridi Banomyong at Université de Caen 1.jpg|thumb|left|upright=1.2|ปรีดีขณะศึกษาอยู่ ณ มหาวิทยาลัยก็อง แม้นเกิดในครอบครัวชาวนา แต่บิดาของเขาเป็นผู้ใฝ่รู้และเล็งเห็นประโยชน์ของการศึกษา และสนับสนุนให้บุตรได้รับการศึกษาที่ดีมาโดยตลอดไสว สุทธิพิทักษ์, http://openbase.in.th/files/pridibook163.pdf ดร.ปรีดี พนมยงค์ , บพิธการพิมพ์, 2493 ปรีดีเริ่มเรียนหนังสือที่บ้านครูแสง ตำบลท่าวาสุกรี และสำเร็จการศึกษาในระดับประถมที่โรงเรียนวัดศาลาปูนวิชัย ภู่โยธิน. (2538). http://www.openbase.in.th/files/pridibook087.pdf ก้าวแรกแห่งความสำเร็จ ดร.ปรีดี พนมยงค์ , ไทยวัฒนาพานิช, ISBN 974-08-2445-5 อำเภอกรุงเก่า จากนั้นไปศึกษาชั้นมัธยมเตรียมที่โรงเรียนมัธยมวัดเบญจมบพิตร แล้วย้ายไปศึกษาต่อที่โรงเรียนตัวอย่างประจำมณฑลกรุงเก่า (ปัจจุบันคือ โรงเรียนอยุธยาวิทยาลัย) จนสอบไล่ได้ชั้นมัธยม 6 ซึ่งเป็นชั้นสูงสุดสำหรับหัวเมือง แล้วไปศึกษาต่อที่โรงเรียนสวนกุหลาบวิทยาลัย ในปี 2460 อายุได้ 17 ปี เข้าศึกษาที่โรงเรียนกฎหมาย กระทรวงยุติธรรม และศึกษาภาษาฝรั่งเศสที่เนติบัณฑิตยสภา รู้สึกประทับใจกับอาจารย์ชาวฝรั่งเศสคนหนึ่งชื่อ เลเดแกร์ (Laydeker) ซึ่งเป็นที่ปรึกษากระทรวงยุติธรรมด้วย ต่อมาสอบไล่วิชากฎหมายชั้นเนติบัณฑิตได้ในขณะมีอายุ 19 ปี เขาเคยว่าความคดีเดียว โดยเป็นทนายความจำเลยในคดีที่จำเลยก่อให้เกิดความเสียหายต่อบริเวณสถานที่ของพระมหากษัตริย์ ซึ่งเขาให้เหตุผลจนชนะคดีว่าเป็นเหตุสุดวิสัย ต่อมาเขาทำงานเป็นเสมียนกรมราชทัณฑ์โดยได้รับการสนับสนุนจากอธิบดี พระยาชัยวิชิตวิศิษฏ์ธรรมธาดา (ขำ ณ ป้อมเพชร์) ซึ่งปรีดียกย่องว่าได้รับความรู้เรื่องการบริหารรัฐกิจจากเขา ต่อมาได้รับการคัดเลือกจากกระทรวงยุติธรรมให้ทุนไปศึกษาต่อที่ประเทศฝรั่งเศสในปี 2463 เขาใช้เวลาเรียนเตรียมภาษาฝรั่งเศส ภาษาละติน และภาษาอังกฤษก่อนหนึ่งปี แล้วสามารถสอบเข้าศึกษาวิชากฎหมายที่มหาวิทยาลัยก็อง (Université de Caen) จนสอบไล่ได้ปริญญารัฐเป็น "บาเชอลีเย" สาขากฎหมาย (bachelier en droit) และได้ปริญญารัฐเป็น "ลีซ็องซีเย" สาขากฎหมาย (Licencié en Droit) ตามลำดับ ทั้งนี้หลักสูตรลิซองซิเอของฝรั่งเศสได้รวบรวมความรู้หลายด้าน ทั้งการยุติธรรม ศาล มหาดไทย คลัง ต่างประเทศ เขาสำเร็จการศึกษาระดับปริญญาเอกสาขานิติศาสตร์ จากคณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยปารีสในปี 2469 โดยเขาเสนอวิทยานิพนธ์ชื่อ "ในกรณีที่หุ้นส่วนคนหนึ่งถึงแก่ความตาย ฐานะของห้างหุ้นส่วนส่วนบุคคลจะเป็นอย่างไร (ศึกษาตามกฎหมายฝรั่งเศสและกฎหมายเปรียบเทียบ)" (Du Sort des Sociétés de Personnes en cas de Décès d'un Associé (Étude de droit français et de droit comparé)) ซึ่งอุทิศให้แก่เลเดแกร์ นับเป็นคนไทยคนแรกที่ได้ปริญญาเอกแห่งรัฐ (doctorat d'état) เป็น "ดุษฎีบัณฑิตกฎหมาย" (docteur en droit) ฝ่ายนิติศาสตร์ (sciences juridiques) นอกจากนี้เขายังสอบไล่ได้ประกาศนียบัตรการศึกษาชั้นสูงในสาขาเศรษฐศาสตร์การเมือง (diplôme d'études supérieures d'économie politique) อีกด้วยปรีดี พนมยงค์, ชีวประวัติย่อของปรีดี พนมยงค์, สำนักพิมพ์มูลนิธิเด็ก, 2544, ISBN 974-7834-15-4 ในปี 2467 ปรีดีก่อตั้งสมาคมนักเรียนไทยในกรุงปารีส สามัคยานุเคราะห์สมาคม และได้รับเลือกตั้งเป็นประธานสมาคม ต่อมาเขาเกิดพิพาทกับพระวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าจรูญศักดิ์กฤดากร อัครราชทูตสยามประจำกรุงปารีส เนื่องจากขัดคำสั่งพระองค์ที่ห้ามส่งตัวแทนสมาคมนักเรียนไปยังสหราชอาณาจักรในปี 2469 ต่อมา บรรดาผู้บริหารสมาคมฯ กำลังร่างคำร้องทุกข์ขอเพิ่มเงินเดือนเนื่องจากเงินบาทแข็งค่าขึ้นเมื่อเทียบกับสกุลฟรังก์ ทำให้อัครราชทูตหมดขันติ พระองค์ทำหนังสือกราบบังคมทูลว่า ปรีดีเป็นหัวหน้าชักชวนนักเรียนขัดคำสั่งเอกอัครราชทูตเห็นจะเป็นภัยต่อราชบัลลังก์และให้เรียกตัวกลับ ด้านพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงดำริว่าไม่ทรงถือปรีดีเป็นภัยคุกคามต่อราชบัลลังก์ แต่มีการกระทำที่อวดดีแบบคนหนุ่ม และให้ยุบสมาคมฯ อย่างไรก็ดี บิดาของปรีดีถวายฎีกาขอให้ผ่อนผันการเรียกตัวปรีดีกลับประเทศจนกว่าจะสำเร็จปริญญาเอก กระทรวงยุติธรรมโดยเจ้าพระยาพิชัยญาติ (ดั่น บุนนาค)|เจ้าพระยาพิชัยญาติขอเอาตัวเองเป็นประกันขอให้ปรีดีศึกษาต่อจนสำเร็จการศึกษา อีกหลายปีถัดมา ปรีดีให้สัมภาษณ์ยอมรับว่าเขาตั้งใจปลุกปั่นนักเรียนให้เกิดสำนึกทางการเมืองจริงซึ่งจะนำไปสู่การเปลี่ยนแปลงทางการเมืองในอนาคต นอกจากนี้ ปรีดียังถูกเพ่งเล็งจากกรณีไปพบผู้แทนสาธารณรัฐจีน (ค.ศ. 1912–1949)|สาธารณรัฐจีนคนหนึ่งโดยไม่ทราบสาเหตุ === วิชาชีพกฎหมาย === เมื่อกลับถึงจังหวัดพระนครในเดือนเมษายน 2470 เขาเริ่มทำงานในตำแหน่งผู้พิพากษาประจำกระทรวงยุติธรรม (ประเทศไทย)|กระทรวงยุติธรรม ต่อมาได้เลื่อนตำแหน่งเป็นผู้ช่วยเลขานุการกรมร่างกฎหมาย (ปัจจุบันคือ สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา (ประเทศไทย)|สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา) และได้รับพระราชทานบรรดาศักดิ์เป็น "หลวงประดิษฐ์มนูธรรม"ราชกิจจานุเบกษา, http://www.ratchakitcha.soc.go.th/DATA/PDF/2471/D/2718.PDF พระราชทานบรรดาศักดิ์ , เล่ม 45, วันที่ 2 ธันวาคม พ.ศ. 2471, หน้า 2718 (ต่อมาได้ลาออกจากบรรดาศักดิ์ในปี 2485ราชกิจจานุเบกษา http://www.ratchakitcha.soc.go.th/DATA/PDF/2484/D/4525_1.PDF ประกาศสำนักนายกรัฐมนตรี เรื่อง พระราชทานพระบรมราชานุญาตให้ข้าราชการ กราบถวายบังคมลาออกจากบรรดาศักดิ์ ) เขาเกี่ยวข้องกับการร่างกฎหมายโดยเฉพาะประมวลกฎหมาย นอกจากนี้ยังเป็นที่ปรึกษากฎหมายของแผ่นดิน และทำหน้าที่เป็นศาลปกครองพิจารณาข้อพิพาทระหว่างข้าราชการและราษฎร เมื่อปี 2471 ขณะมีอายุ 28 ปี ต่อมาในปี 2475 ได้รับแต่งตั้งเป็นกรรมการกรมร่างกฎหมาย ระหว่างนั้นเขาได้รวบรวมกฎหมายไทยตั้งแต่กฎหมายตราสามดวงจนถึงเวลานั้นเป็นเล่มเดียว ใช้ชื่อว่า ''ประชุมกฎหมายไทย'' และได้รับการตีพิมพ์ในปี 2473 ที่โรงพิมพ์นิติสาสน์ซึ่งเป็นกิจการส่วนตัวของเขาเอง หนังสือเล่มนี้ได้รับความนิยมและสร้างรายได้ให้แก่เขาเป็นอย่างมาก นอกจากงานที่กรมร่างกฎหมายแล้ว ปรีดียังเป็นอาจารย์ผู้สอนที่โรงเรียนกฎหมาย กระทรวงยุติธรรม ในชั้นแรกได้สอนวิชากฎหมายแพ่งและพาณิชย์ บรรพ 3 ว่าด้วยลักษณะหุ้นส่วน บริษัทและสมาคม ต่อมาได้สอนวิชากฎหมายระหว่างประเทศ แผนกคดีบุคคล ในปี 2474 ปรีดีเป็นคนแรกที่เริ่มสอนวิชากฎหมายปกครอง (Droit Administratif) กล่าวกันว่าวิชากฎหมายปกครองนี้ เป็นวิชาที่สร้างชื่อเสียงแก่ปรีดีเป็นอย่างมาก เพราะสาระของวิชานี้ เป็นส่วนหนึ่งของวิชากฎหมายมหาชน ซึ่งอธิบายการแยกใช้อำนาจ|การแยกใช้อำนาจอธิปไตยซึ่งขัดต่อหลักสมบูรณาญาสิทธิราชย์ทิพวรรณ (บุญทวี) เจียมธีรสกุล, http://www.openbase.in.th/files/pridibook018.pdf วิทยานิพนธ์เรื่องความคิดทางการเมืองของปรีดี พนมยงค์ : ระยะเริ่มแรก , 2528, หน้า 409-421, 423-424 จูงใจให้ผู้ศึกษาใส่ใจกิจการบ้านเมือง รู้สึกอยากปกครองตนเอง ในคำบรรยายของเขากล่าวถึงหลักการรัฐธรรมนูญ การพัฒนาการบริหารราชการแผ่นดินของสยาม และเศรษฐกิจการเมืองและการคลังสาธารณะเบื้องต้น หนังสือวิชากฎหมายปกครองของเขากลายเป็นเครื่องมือสำคัญในการปลุกเร้ามวลชนในการปฏิวัติสยาม == สมาชิกคณะราษฎรกับบทบาทการเมืองช่วงแรก == === ส่วนร่วมในการปฏิวัติสยาม === ไฟล์:Paris rue du sommerard.jpg|thumb|upright=1.2|ถนนซอเมอราร์ในกรุงปารีส ประเทศฝรั่งเศส เป็นที่ประชุมครั้งแรกของผู้ก่อตั้งคณะราษฎร ระหว่างศึกษาอยู่ในประเทศฝรั่งเศส ปรีดี พนมยงค์เริ่มตกลงความคิดในการเปลี่ยนแปลงการปกครองกับร้อยโท ประยูร ภมรมนตรี ในเดือนสิงหาคม 2467 และร่วมกับผู้คิดเห็นตรงกันอีก 5 คน ประชุมอย่างเป็นทางการครั้งแรกเพื่อก่อตั้ง "คณะราษฎร" เมื่อเดือนกุมภาพันธ์ 2469 ณ เลขที่ 5 ถนนซอเมอราร์ กรุงปารีส ผู้ร่วมประชุมประกอบด้วยร้อยโท แปลก พิบูลสงคราม|แปลก ขิตตะสังคะ, ร้อยตรี ทัศนัย มิตรภักดี, ตั้ว ลพานุกรม, หลวงสิริราชไมตรี (จรูญ สิงหเสนี), แนบ พหลโยธิน โดยมีปณิธานให้สยามบรรลุเป้าหมาย 6 ประการ ซึ่งต่อมาเรียก "หลัก 6 ประการของคณะราษฎร" ปรีดีได้รับมอบหมายให้ร่างนโยบายและโครงการต่าง ๆ เพื่อใช้หลังเปลี่ยนแปลงการปกครอง เมื่อปรีดีเป็นอาจารย์สอนวิชากฎหมายในสยาม เขามีศิษย์หลายคนที่เลื่อมใสระบอบประชาธิปไตยและระบบเศรษฐกิจแบบสังคมนิยมและตัดสินใจเข้าร่วมขบวนการ เช่น สงวน ตุลารักษ์, ดิเรก ชัยนาม และหาผู้มีความประสงค์ร่วมกัน เช่น ประจวบ บุนนาค, จรูญ สืบแสง, วิลาศ โอสถานนท์ เป็นต้น ในการประชุมสมาชิกคณะราษฎรครั้งหนึ่ง ปรีดีได้แจกจ่ายโครงร่างแผนเศรษฐกิจของตนที่เป็นรูปแบบสหกรณ์ ซึ่งทั้งหมดเห็นพ้องและยกให้ปรีดีเป็นผู้ดำเนินการตามแผนนั้น สำหรับในการปฏิวัตินั้น ปรีดีเป็นผู้เสนอให้จับเจ้านายและสมาชิกรัฐบาลพระองค์สำคัญเป็นตัวประกันเพื่อเลี่ยงการเสียเลือดเนื้ออย่างการปฏิวัติฝรั่งเศสและการปฏิวัติเดือนตุลาคม|การปฏิวัติรัสเซีย วันที่ 24 มิถุนายน 2475 ปรีดีร่วมกับสมาชิกคณะราษฎรการปฏิวัติสยาม พ.ศ. 2475|ปฏิวัติการปกครองจากพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัวได้สำเร็จโดยไม่มีการเสียเลือดเนื้อ หลังจากนั้นคณะราษฎรโดยปรีดี พนมยงค์ ได้จัดให้มีการประชุมระหว่างคณะราษฎร และเสนาบดี ปลัดทูลฉลอง ขึ้น ณ พระที่นั่งอนันตสมาคม เพื่อชี้แจงจุดประสงค์ หลักการระบอบใหม่ กฎหมายพระธรรมนูญการปกครองแผ่นดินโดยย่อ และขอความร่วมมือในการบริหารราชการแผ่นดินต่อไปhttp://www.prachatai.com/journal/2009/06/24781 ชัยพงษ์ สำเนียง เล่าเรื่องอภิวัฒน์ 2475, ประชาไท, 20 มิ.ย. 2552, เรียกข้อมูลวันที่ 10 พ.ย. 2552 === การประนีประนอมกับอำนาจเก่า === ภายหลังการปฏิวัติ ปรีดีถือเป็นผู้มีบทบาทสำคัญในการจัดวางรูปแบบการปกครองในระบอบใหม่ เป็นผู้ร่างพระราชบัญญัติธรรมนูญการปกครองแผ่นดินสยามชั่วคราว พุทธศักราช 2475|พระราชบัญญัติธรรมนูญการปกครองแผ่นดินสยามชั่วคราว เช่นเดียวกับรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรสยาม พุทธศักราช 2475|รัฐธรรมนูญฉบับ 10 ธันวาคม 2475 อันเป็นรัฐธรรมนูญถาวรฉบับแรกของสยาม สำหรับรัฐธรรมนูญฉบับหลังนี้ปรีดีได้ถวายแก้ข้อข้องใจของพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัวจนเป็นที่พอพระราชหฤทัย ที่ใช้เป็นบรรทัดฐานของการปกครองในระบอบใหม่ เขายังได้รับแต่งตั้งจากสภาผู้แทนราษฎรให้เป็นเลขาธิการสภาผู้แทนราษฎรคนแรก ด้วยตำแหน่งดังกล่าว ทำให้เขามีบทบาทด้านนิติบัญญัติในการวางหลักสิทธิ เสรีภาพ และความเสมอภาคให้แก่ราษฎร โดยเป็นผู้ยกร่างพระราชบัญญัติการเลือกตั้งฉบับแรก และเป็นผู้ริเริ่มสิทธิออกเสียงเลือกตั้งทั่วไปประมาณ อดิเรกสาร, Unseen ราชครู, สื่อวัฏสาร, 2547, หน้า 186, ISBN 974-92685-3-9 เขาเป็นสมาชิกคณะกรรมการราษฎรและรัฐมนตรีไม่สังกัดกระทรวงในรัฐบาลพระยามโนปกรณนิติธาดา (ก้อน หุตะสิงห์)|พระยามโนปกรณ์นิติธาดา นายกรัฐมนตรีคนแรก พระยามโนฯ แสดงออกหลายครั้งว่าปรีดีเป็นผู้บงการรัฐบาลบ้าง เป็นผู้คุมเสียงในสภาบ้าง ในการร่างรัฐธรรมนูญถาวรฉบับแรก เขากับพระยามโนฯ เป็นปรปักษ์กันเพราะฝ่ายพระยามโนฯ พยายามร่างรัฐธรรมนูญให้คล้ายกับรัฐธรรมนูญเมจิที่พระมหากษัตริย์มีพระราชอำนาจอย่างกว้างขวาง นอกจากนี้ ปรีดียังเสนอให้ปรับปรุงภาษีอากรบางชนิดโดยเร็ว เช่น ยกเลิกอากรนาเกลือ ภาษีสมพัตสร ปรับปรุงภาษีการธนาคารและการประกันภัย ลดภาษีโรงเรือนที่ดิน ลดและเลิกอัตราเก็บเงินค่าที่สวน การเก็บเงินค่านา มีการออกพระราชบัญญัติว่าด้วยการยึดทรัพย์สินของกสิกรเพื่อให้ทรัพย์สินที่มีความจำเป็นต่อการสร้างตัวของกสิกรถูกเจ้าหนี้ยึดไปไม่ได้ รัฐบาลยังออกกฎหมายหลายฉบับ เช่น พระราชบัญญัติห้ามเรียกดอกเบี้ยเกินอัตรา พระราชบัญญัติสำนักงานจัดหางาน พระราชบัญญัติภาษีเงินได้ซึ่งมีอัตราภาษีแบบก้าวหน้า Quote box | width=30% |1 = การคิดที่จะบำรุงความสุขสมบูรณ์ของราษฎรนี้ ข้าพเจ้าได้เพ่งเล็งถึงสภาพอันแท้จริง ตลอดจนใจคอของราษฎรส่วนมากว่า การที่จะส่งเสริมให้ราษฎรได้มีความสุขสมบูรณ์นั้น ก็มีอยู่ทางเดียว ซึ่งรัฐบาลจะต้องเป็นผู้จัดการเศรษฐกิจเสียเอง โดยแบ่งการเศรษฐกิจนั้นออกเป็นสหกรณ์ต่าง ๆ ความคิดที่ข้าพเจ้าได้มีอยู่เช่นนี้ ไม่ใช่เป็นด้วยข้าพเจ้าได้มีอุปาทานผูกมั่นอยู่ในลัทธิใด ๆ ข้าพเจ้าได้หยิบเอาส่วนที่ดีของลัทธิต่าง ๆ ที่เห็นว่าเหมาะสมแก่ประเทศสยามแล้ว จึงได้ปรับปรุงยกขึ้นเป็นเค้าโครงการ |2 = —ปรีดี พนมยงค์ ในปี 2476 เขาได้เสนอเค้าโครงการเศรษฐกิจ ชื่อร่างว่า "พระราชบัญญัติว่าด้วยการประกันความสุขสมบูรณ์ของราษฎร" หรือ "เค้าโครงการเศรษฐกิจ พ.ศ. 2475|สมุดปกเหลือง" ต่อรัฐบาลเพื่อใช้เป็นนโยบายเศรษฐกิจของประเทศ โดยดำเนินเศรษฐกิจแบบสหกรณ์ ทั้งยังมีวิสัยทัศน์เรื่องการตั้งหลักประกันสังคมสถาบันวิทยาศาสตร์สังคม (ประเทศไทย), เค้าโครงการเศรษฐกิจของหลวงประดิษฐ์มนูธรรม, ศิษย์อาจารย์ฉบับที่ 3, สำนักพิมพ์สุขภาพใจ, 2541 เขาประสงค์ให้รัฐบาลเป็นเจ้าของที่ดินและแรงงาน ให้จัดสรรที่ดินที่ไม่ได้ใช้ประโยชน์มาใช้เพื่อการกสิกรรม และให้แบ่งปันกำไรอย่างเสมอภาค ฐาปนันท์ นิพิฏฐกุล อาจารย์มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ระบุว่าความคิดทางเศรษฐกิจของปรีดีมาจากปรัชญาภราดรภาพนิยม (solidaritism) ซึ่งผสานระหว่างความคิดแบบสังคมนิยมกับเสรีนิยมแบบฌ็อง-ฌัก รูโซ|รูโซ หม่อมเจ้าวัลภากร วรวรรณ ซึ่งถือเป็นผู้เชี่ยวชาญด้านเศรษฐกิจผู้หนึ่ง ทรงเห็นด้วยกับเค้าโครงของปรีดีเช่นกัน รายงานการประชุมกรรมการพิจารณาเค้าโครงเศรษฐกิจ เมื่อวันที่ 12 มีนาคม 2475 (นับแบบเก่า) ระบุว่าผู้เข้าร่วมประชุมส่วนใหญ่เห็นชอบกับแผนดังกล่าว รัฐมนตรีบางคนไม่เห็นชอบโดยอ้างว่าทำไม่ได้บ้าง หรือใช้เวลา 50–100 ปีบ้าง นอกจากนี้พระยามโนฯ ยังให้มีมติของที่ประชุมว่าที่ประชุมยังเห็นไม่ลงรอยกัน และหากรัฐบาลเห็นชอบและประกาศใช้แผนดังกล่าว ถือว่าปรีดีประกาศโครงการเศรษฐกิจในนามของตนแต่ผู้เดียว ไฟล์:Pridi Banomyong 1933.jpg|thumb|ปรีดีขณะเดินทางไปประเทศฝรั่งเศส ปี 2476 หลังความขัดแย้งเรื่องสมุดปกเหลือง เค้าโครงเศรษฐกิจดังกล่าวถูกคัดค้านอย่างหนักจากกลุ่มอนุรักษนิยมและถูกกล่าวหาว่าเป็นคอมมิวนิสต์เฉลิมเกียรติ ผิวนวล, http://www.openbase.in.th/files/pridibook161.pdf ความคิดทางการเมืองของปรีดี พนมยงค์ , สำนักพิมพ์มูลนิธิโกมลคีมทอง, 2529, หน้า 146-147 พระยามโนปกรณนิติธาดา (ก้อน หุตะสิงห์)|พระยามโนปกรณนิติธาดา ยกพระบรมราชวินิจฉัยของพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัวที่ทรงไม่เห็นด้วยมาเป็นเครื่องชี้ขาดและตีตกไป สุพจน์ ด่านตระกูลเขียนว่าในสมุดปกเหลืองยังมีแผนตั้งสภาเศรษฐกิจแห่งชาติ หลักประกันสังคมหรือสังคมสงเคราะห์ และการตั้งธนาคารแห่งชาติซึ่งถูกล้มไปพร้อมกับแผนนั้น ในเวลาต่อมามีการจัดตั้งขึ้นทั้งสิ้น เกิดความขัดแย้งขึ้นตามมาจนนำไปสู่รัฐประหารในประเทศไทย เมษายน พ.ศ. 2476|การปิดสภาผู้แทนราษฎรและงดใช้รัฐธรรมนูญบางมาตรา ซึ่งพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัวมีส่วนสนับสนุนด้วยเพราะทรงวิตกเรื่องการจัดสรรที่ดินใหม่ พระยามโนปกรณนิติธาดาแถลงพาดพิงปรีดีว่า การโฆษณาความเห็นต่อแผนเค้าโครงเศรษฐกิจของเขาโดยกลุ่มเจ้าและอนุรักษนิยมทำให้เกิดการต่อต้านและมีการแห่ถอนเงินจากธนาคาร การต่อต้านดังกล่าวทำให้ปรีดีเดินทางออกนอกประเทศชั่วคราวเพื่อลดความขัดแย้ง วันที่ 6 เมษายน พระยามโนปกรณ์เข้าพบปรีดีและแจ้งเขาว่าการให้เขาออกนอกประเทศไปจะเป็นประโยชน์ต่อบ้านเมือง และรัฐบาลจะออกค่าใช้จ่ายให้ 1,000 ปอนด์ต่อปี ก่อนถึงวันเดินทาง กระทรวงการต่างประเทศออกหนังสือสำคัญให้แก่ปรีดีโดยระบุว่าเขาเดินทางไปเพื่อ "ศึกษาภาวะทางเศรษฐกิจอื่น ๆ" เขาเดินทางออกนอกประเทศโดยทางท่าเรือบีไอ ในวันที่ 12 เมษายน 2476 หนังสือพิมพ์ ''ศรีกรุง'' ลงข่าวว่า มีคนไปส่งปรีดีที่ท่าเรือ 2,000 คน "ด้วยน้ำตาไหลพรากไปตาม ๆ กันเป็นส่วนมาก" พร้อมกับภรรยา และเพื่อนอีก 3 คน เดินทางถึงสิงคโปร์เมื่อวันที่ 15 เมษายน และได้รับการต้อนรับให้พักอยู่กับคหบดีชาวไทยที่พำนักอยู่ที่นั่น เขาและคณะเดินทางต่อไปยังเมืองท่ามาร์แซย์ของฝรั่งเศส แล้วนั่งรถไฟต่อไปยังกรุงปารีส เขาพำนักอยู่ที่ชานกรุงและพบปะกับนักเศรษฐศาสตร์และนักการเมือง บ้างก็เดินทางไปยังสหราชอาณาจักร หลังจากนั้นรัฐบาลใหม่ออกกฎหมายต้านคอมมิวนิสต์ ซึ่งทำให้เข้าใจได้ว่าต้องการขัดขวางปรีดีมิให้เดินทางกลับประเทศอีก === รัฐบาลคณะราษฎร === หลังรัฐประหารในประเทศไทย มิถุนายน พ.ศ. 2476|รัฐประหารเดือนมิถุนายน 2476 ส่งผลให้พระยาพหลพลพยุหเสนา (พจน์ พหลโยธิน)|พระยาพหลพลพยุหเสนา สมาชิกคณะราษฎร เป็นนายกรัฐมนตรี รัฐบาลเรียกตัวปรีดีกลับสยามในเดือนกันยายนปีเดียวกัน สุพจน์ ด่านตระกูลเล่าว่าขณะนั้นปรีดีกำลังศึกษาปริญญาด้านศาสนาและปรัชญา ส่วนไสว สุทธิพิทักษ์เล่าว่าปรีดีจะขอรัฐบาลเดินทางไปประเทศสเปนซึ่งขณะนั้นมีสาธารณรัฐสเปนที่ 2|การปฏิวัติเป็นสาธารณรัฐแล้ว โดยก่อนหน้านั้นรัฐบาลกราบทูลพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัวว่าจะไม่รื้อฟื้นแผนเค้าโครงเศรษฐกิจอีก ปรีดีเดินทางออกจากท่ามาร์แซย์ในวันที่ 1 กันยายน และถึงประเทศสยามในวันที่ 29 กันยายน โดยมีหลวงธำรงนาวาสวัสดิ์ เลขาธิการคณะรัฐมนตรี เดินทางมาต้อนรับ นับแต่นั้นปรีดีปรากฏชื่ออยู่ในรัฐบาลที่มีนายกรัฐมนตรีเป็นสมาชิกคณะราษฎรสองคน คือ พระยาพหลพลพยุหเสนา และจอมพล ป. พิบูลสงคราม ==== รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย ==== เขาได้รับแต่งตั้งเป็นรัฐมนตรีลอยในวันที่ 1 ตุลาคม 2476 ความไม่พอใจในตัวปรีดีในหมู่อำนาจเก่ายังมีอยู่ จนเป็นชนวนเหตุของกบฏบวรเดชในที่สุด อย่างไรก็ดี กระแสต่อต้านปรีดีเสื่อมกำลังลงหลังกบฏบวรเดชเป็นฝ่ายปราชัย เมื่อพระยาพหลฯ จะกราบบังคมทูลพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าฯ เพื่อมีพระบรมราชโองการแต่งตั้งปรีดีเป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย ทรงมีพระราชโทรเลขตอบว่า "ว่าการมหาดไทยไม่ขัดข้อง แต่ถ้าว่าการศึกษา ขัดข้อง" ทีแรกปรีดียังไม่รับเป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทยเพราะยังมีมลทินเรื่องคอมมิวนิสต์อยู่ มีสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรเปิดญัตติให้สอบสวนว่าปรีดีเป็นคอมมิวนิสต์หรือไม่ในวันที่ 25 ธันวาคม 2476 โดยมีหม่อมเจ้าวรรณไวทยากร วรวรรณเป็นประธานกรรมการ ซึ่งคณะกรรมาธิการของสภาผู้แทนราษฎรได้มีมติเอกฉันท์ว่าไม่ได้เป็น เมื่อพ้นมลทินแล้ว มีการแต่งตั้งเขาเป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทยในวันที่ 24 มีนาคม 2476 (นับแบบเก่า) เขาเป็นผู้มีบทบาทสำคัญในการร่างพระราชบัญญัติระเบียบราชการบริหารแห่งราชอาณาจักรสยาม พ.ศ. 2476 แบ่งการบริหารราชการแผ่นดินออกเป็นราชการส่วนกลาง ส่วนภูมิภาคและส่วนท้องถิ่น เพื่อกระจายอำนาจสู่ท้องถิ่นให้สอดคล้องกับหลักการประชาธิปไตย และยังร่างพระราชบัญญัติจัดระเบียบเทศบาล พ.ศ. 2476 ถือได้ว่าเป็นผู้ให้กำเนิดระบบเทศบาลในประเทศไทย สำหรับการจัดระเบียบการปกครองนั้น เนื่องจากเขาเป็นผู้รู้ด้านระเบียบแบบแผนการปกครองและบริหารราชการ จึงได้แนะนำซักซ้อมกับข้าราชการกระทรวงมหาดไทยทุกระดับตั้งแต่ปลัดกระทรวงจนถึงนายอำเภอ อย่างไรก็ดี แผนงานของเขาถูกขัดขวางจากรัฐมนตรีด้วยกัน เช่น คำขอให้ข้าหลวงประจำจังหวัดและนายอำเภอท้องที่ชายแดนให้ตั้งจากนายทหาร ขณะที่ปรีดีต้องการให้ตั้งจากพลเรือน ไสว สุทธิพิทักษ์เล่าว่าปรีดีจวนเจียนจะเดินทางออกนอกประเทศอยู่แล้วเพื่อรักษาความสามัคคีในหมู่คณะ แต่พระยาพหลฯ มาขอให้อยู่ต่อ เมื่อพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงสละราชสมบัติในปี 2477 (นับแบบเก่า) รัฐบาลที่มีปรีดีเป็นหัวแรงขอความเห็นชอบของสภาผู้แทนราษฎรอัญเชิญพระบาทสมเด็จพระปรเมนทรมหาอานันทมหิดล พระอัฐมรามาธิบดินทร|พระวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าอานันทมหิดลสืบราชสมบัติต่อ นอกจากนี้ปรีดียังมีส่วนสำคัญในการคัดเลือกคณะผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ในยุวกษัตริย์ ไฟล์:ปรีดี พนมยงค์ กำลังให้โอวาทที่มหาวิทยาลัยวิชาธรรมศาสตร์และการเมือง พ.ศ. 2478.jpg|thumb|upright=1.2|ปรีดีขณะให้โอวาทบัณฑิตมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์และการเมืองรุ่นแรก, ปี 2478 ในเวลานั้นเห็นว่าการพัฒนาคนมีความสำคัญมากกว่าแผนโครงการเศรษฐกิจแล้ว และเขายังเห็นว่าข้าราชการควรมีความรู้นิติศาสตร์ เศรษฐศาสตร์ รัฐศาสตร์และสาขาที่เกี่ยวข้อง เรียกว่า "จริยศาสตร์" จึงได้สถาปนามหาวิทยาลัยวิชาธรรมศาสตร์และการเมือง (มธก.) ขึ้นเมื่อ 27 มิถุนายน 2477 เขามีบทบาทเป็นผู้ร่างโครงการ หาที่ตั้ง และวางหลักสูตร เกิดจากการรวมโรงเรียนกฎหมาย กระทรวงยุติธรรมกับคณะนิติศาสตร์และรัฐศาสตร์ของจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย เขาได้รับแต่งตั้งเป็นผู้ประศาสน์การ (ปี 2477–2490) โดยตั้งใจให้เป็นมหาวิทยาลัยตลาดวิชาให้ราษฎรมีความเสมอภาคในการเข้าถึงการศึกษาhttp://www.openbase.in.th/files/pridibook115.pdf ปรีดี พนมยงค์ : ชีวิต งาน และธรรมศาสตร์ , สำนักพิมพ์มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์, 2529, หน้า 31, 59-60 เงินทุนของมหาวิทยาลัยอาศัยเงินค่าสมัครเข้าเรียนของนักศึกษาและดอกผลของธนาคารเอเชีย|ธนาคารแห่งเอเชียเพื่อพาณิชยกรรมและอุตสาหกรรมซึ่งปรีดีเป็นผู้ก่อตั้ง โดยให้มหาวิทยาลัยถือหุ้นถึง 80%สุพจน์ ด่านตระกูล, http://www.openbase.in.th/files/pridibook085.pdf จากรัฐบุรุษอาวุโส ปรีดี พนมยงค์ ถึงรัฐบุรุษ พล.อ.เปรม ติณสูลานนท์ , สำนักพิมพ์สันติธรรม, 2531 นอกจากนี้ปรีดียังได้ยกกิจการโรงพิมพ์นิติสาส์นของตนให้มหาวิทยาลัยเพื่อพิมพ์ตำราefn|ภายหลังจากที่ปรีดีต้องลี้ภัยทางการเมือง รัฐบาลได้เปลี่ยนชื่อมหาวิทยาลัย โดยตัดคำว่า "วิชา" และ "การเมือง" ออก เหลือเพียงมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ เพื่อไม่ให้นักศึกษายุ่งเกี่ยวกับการเมือง ทั้งยังขายหุ้นทั้งหมดของมหาวิทยาลัย จนไม่มีความสามารถที่จะเลี้ยงตัวเองได้ กลายเป็นมหาวิทยาลัยปิดที่ต้องอาศัยงบประมาณจากรัฐบาลชาญวิทย์ เกษตรศิริ, http://www.pridi-phoonsuk.org/pridi-and-thammasat ฯพณฯ ปรีดี พนมยงค์กับมหาวิทยาลัยวิชาธรรมศาสตร์และการเมือง, ห้องสมุดอิเล็กทรอนิกส์ ปรีดี-พูนศุข, เรียกข้อมูลวันที่ 10 พ.ย. 2552มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์, http://www.tu.ac.th/intro/about/swf/history1.htm ประวัติมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ , www.tu.ac.th ต่อมา มธก. ถูกกล่าวหาว่าเป็นฐานอำนาจของปรีดีเพื่อใช้แข่งขันกับจอมพล ป. พิบูลสงครามที่มีฐานอำนาจในกองทัพ ปรีดีมีความสนใจตั้งองค์การของรัฐที่มีหน้าที่พิทักษ์ประโยชน์ของราษฎร ให้ยกฐานะกรมร่างกฎหมายเป็นคณะกรรมการกฤษฎีกา (ประเทศไทย)|คณะกรรมการกฤษฎีกาเป็นองค์การอิสระไม่ขึ้นกับกระทรวงยุติธรรม การแต่งตั้งคณะกรรมการกฤษฎีกาต้องได้รับความเห็นชอบของสภา ทำหน้าที่ยกร่างกฎหมายและเป็นที่ปรึกษากฎหมายของแผ่นดิน ทั้งยังพยายามผลักดันให้คณะกรรมการกฤษฎีกาทำหน้าที่ศาลปกครองอีกด้วย แต่ความพยายามประสบอุปสรรคมาโดยตลอดefn|สุพจน์ ด่านตระกูลเล่าว่าเป็นเพราะขุนนางเก่ามีความคิดแบบจารีตนิยม ไม่เห็นชอบให้ประชาชนกล่าวโทษข้าราชการ ให้ยกกรมตรวจเงินแผ่นดินเป็นสำนักงานการตรวจเงินแผ่นดินมีหน้าที่ตรวจตราการใช้จ่ายของราชการทุกส่วนตามกฎหมาย โดยไม่ต้องฟังคำสั่งผู้บังคับบัญชาเหมือนแต่ก่อน มีการปรับปรุงกลไกการปกครอง โดยออกพระราชบัญญัติระเบียบข้าราชการพลเรือน พระราชบัญญัติระเบียบข้าราชการตุลาการ และพระราชบัญญัติจัดระเบียบป้องกันราชอาณาจักร เขายังจัดทำกฎหมายว่าด้วยครอบครัว มรดก กฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งและอาญา และกฎหมายว่าด้วยพระธรรมนูญศาลยุติธรรม ซึ่งความสำเร็จในครั้งนี้มีผลสืบเนื่องกับการประกาศใช้ประมวลกฎหมาย และความสำเร็จในการเจรจาขอแก้ไขสนธิสัญญาไม่เป็นธรรมกับต่างประเทศดังที่จะกล่าวต่อไปด้วย วันหนึ่งที่ประชุมคณะรัฐมนตรีพบว่ารัฐบาลชุดก่อนสมัยสมบูรณาญาสิทธิราชย์ไปกู้จากต่างประเทศโดยเสียดอกเบี้ยสูงมาก ปรีดีรับไปเจรจาขอลดอัตราดอกเบี้ยเงินกู้ดังกล่าวพร้อมกับไปเจริญสัมพันธไมตรีกับต่างประเทศ เขาออกเดินทางไปถึงนครตรีเยสเต ราชอาณาจักรอิตาลี ในเดือนตุลาคม 2479 โดยเบนิโต มุสโสลินี|มุสโสลินีสัญญาจะยกเลิกสัญญาอันไม่เป็นธรรมโดยเร็วที่สุด สำหรับการเจรจากับสาธารณรัฐฝรั่งเศส นาซีเยอรมนีและสหราชอาณาจักรนั้นเพียงแต่ได้รับคำตอบว่าจะไปพิจารณาแก้ไขสนธิสัญญาอันไม่เป็นธรรม แต่เซอร์ Samuel Hoare, 1st Viscount Templewood|ซามูเอล ฮอร์ (Samuel Hoare) ตกลงลดดอกเบี้ยเงินกู้ให้ คือ ลดจากร้อยละ 6 เหลือร้อยละ 4 ทำให้ประหยัดงบประมาณได้ 600,000–700,000 บาทต่อปีในระยะเวลา 30 ปี รัฐสภาแสดงความขอบคุณปรีดีในโอกาสดังกล่าว ต่อมา ปรีดีเข้าพบรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศสหรัฐ คอร์ดัล ฮัลที่กรุงวอชิงตัน และได้รับคำตอบว่ายกเลิกสนธิสัญญาไม่เป็นธรรมโดยเร็ว สุดท้ายเขาเข้าเฝ้าจักรพรรดิฮิโรฮิโตะแห่งญี่ปุ่นและนายกรัฐมนตรีญี่ปุ่น เขาปฏิเสธเข้ากับนโยบายผิวเหลือง-ผิวขาว แต่ในเรื่องสนธิสัญญาไม่ธรรมญี่ปุ่นยอมยกเลิก ==== รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ ==== ไฟล์:Pridi Banomyomg at Europe 1935.jpg|thumb|left|upright=1.2|ปรีดีขณะเดินทางไปเจรจาแก้ไขสนธิสัญญากับชาติยุโรป, ปี 2481 เมื่อจัดระเบียบวางแผนให้กระทรวงมหาดไทยแล้ว เขามอบหมายงานต่อให้พลเรือตรี ถวัลย์ ธำรงนาวาสวัสดิ์ ส่วนตัวเขาหันมารับตำแหน่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศของไทย|รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศในวันที่ 12 กุมภาพันธ์ 2478 (นับแบบเก่า) ปรีดีมีนโยบายเป็นมิตรกับทุกประเทศ และดำริปลดเปลื้องพันธกรณีของประเทศจากสนธิสัญญาอันไม่เป็นธรรม ได้แก่ สิทธิสภาพนอกอาณาเขต|สิทธิถอนคดีของกงสุลต่างประเทศจนกว่าออกประมวลกฎหมายแล้ว 5 ปี ซึ่งเป็นการเสียเอกราชทางการศาล การถูกจำกัดด้านเอกราชทางเศรษฐกิจ เช่น การห้ามเก็บอากรศุลกากรสินค้าบางชนิด การให้สัญชาติอังกฤษและฝรั่งเศสแก่คนในบังคับอังกฤษและฝรั่งเศสที่เกิดในประเทศ และห้ามเก็บอากรศุลกากรในแม่น้ำโขง เป็นต้น ปรีดีเจรจาเรื่องสนธิสัญญาทางไมตรี พาณิชย์และการเดินเรือใหม่และสิ้นสุดลงในเดือนพฤศจิกายน 2479 นานาประเทศลงนามในสนธิสัญญาฉบับใหม่ในปี 2480 ได้แก่ สวิตเซอร์แลนด์ เบลเยียม สวีเดน เดนมาร์ก สหรัฐ นอร์เวย์ สหราชอาณาจักร อิตาลี ฝรั่งเศส (รวมการยกเลิกการห้ามเก็บภาษีศุลกากรในเขต 25 กิโลเมตรจากชายแดนด้วย) ญี่ปุ่นและเยอรมนี โดยเจรจาขอยกเลิกสิทธิถอนคดี ส่วนเรื่องอัตราศุลกากร ปรีดีเจรจาแก้ไขสนธิสัญญาจนเริ่มจากสหรัฐในปี 2463 แม้ยังมีการกำหนดเพดานสูงสุดของภาษีศุลกากรที่สยามสามารถเรียกเก็บได้อยู่เป็นเวลา 10 ปี จนในช่วงปี 2480–1 สนธิสัญญาใหม่ทำให้ไทยมีอิสระเต็มที่ทางรัษฎากร ความชอบในการแก้ไขสนธิสัญญากับต่างประเทศทำให้รัฐบาลขอพระราชทานเหรียญดุษฎีมาลา เข็มราชการแผ่นดินให้เป็นบำเหน็จ เขายังมีส่วนเจรจาปักปันเขตแดนใหม่กับบริเตน ทำให้สยามได้ดินแดนเพิ่มขึ้นในแม่น้ำลายที่จังหวัดเชียงราย และดินแดนที่อยู่ในลุ่มแม่น้ำปากจั่นที่จังหวัดระนอง เมื่อพระยาพหลพลพยุหเสนาลาออกจากตำแหน่งนายกรัฐมนตรีและไม่ขอรับตำแหน่งอีกในปี 2481 กลุ่มคณะราษฎรเสนอชื่อบุคคลเพื่อรับตำแหน่งนายกรัฐมนตรีรวม 4 คน รวมทั้งปรีดีด้วย แต่ผลปรากฏว่าแพ้หลวงพิบูลสงคราม เชื่อว่าสาเหตุส่วนหนึ่งเป็นเพราะปรีดีมีความคิดก้าวหน้าและถูกมองว่านิยมระบอบสาธารณรัฐ อีกส่วนหนึ่งคือจำเป็นต้องเตรียมการป้องกันประเทศท่ามกลางสถานการณ์โลกที่ผันผวน ==== รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง ==== image frame | caption = ปรีดี พนมยงค์ในคณะรัฐมนตรีไทย คณะที่ 9|คณะรัฐมนตรี ป. พิบูลสงคราม | content = เมื่อปรีดีเป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังในปี 2481 เขาประกาศใช้พิกัดอัตราอากรศุลกากรใหม่หลังเจรจายกเลิกอัตราเดิมไปแล้วก่อนหน้านี้ เขาลดหรือเลิกเก็บอากรศุลกากรสินค้าบางประเภทเพื่อส่งเสริมการนำเข้า เช่น สินค้าเพื่ออุดหนุนเกษตรกรรมหรืออุตสาหกรรม การแพทย์ วิทยาศาสตร์และการศึกษา เป็นต้น ทั้งมีการเปลี่ยนให้เก็บภาษีขาออกเป็นตามราคา โดยยอมลดรายได้จากภาษีขาออกเพื่อให้ชาวนาส่งออกข้าวได้มากขึ้น เขายังปฏิรูปโดยตัดภาษีที่มีอัตราถอยหลัง ประกอบด้วยภาษีรัชชูปการ อากรค่านา อากรสวน ภาษีไร่อ้อยและภาษีไร่ยาสูบซึ่งจะทำให้งบประมาณขาดดุลประมาณ 12 ล้านบาทต่อปี และเพิ่มรายได้โดยการปรับปรุงภาษีที่มีอยู่แล้วให้มีความเป็นธรรมมากขึ้น ประกอบด้วยภาษีเงินได้ ภาษีโรงค้า ภาษีธนาคาร อากรสแตมป์ และเพิ่มอากรใหม่ ประกอบด้วยอากรมหรสพ เงินช่วยบำรุงท้องที่ (เสียให้ราชการท้องถิ่น) เงินช่วยบำรุงการประถมศึกษา จนสุดท้ายมีการประมวลเป็นประมวลรัษฎากรในวันที่ 1 เมษายน 2482 ผลทำให้รายได้ภาครัฐเพิ่มขึ้นร้อยละ 25 (132 ล้านบาทในปี 2481 เป็น 194 ล้านบาทในปี 2484) สำหรับรายได้ที่ยังขาดดุลอยู่นั้น ปรีดีเพิ่มอากรศุลกากรสินค้าที่ผลิตได้เองในประเทศเพื่อสนับสนุนอุตสาหกรรม และเพิ่มภาษีสรรพสามิตโดยเรียกเก็บจากสุรา รัฐผูกขาดและจำหน่ายฝิ่นเพื่อหวังลดการบริโภค มีการขยายชลประทานเพื่อส่งเสริมการทำนาเกลือ เขายังส่งเสริมให้รัฐบาลร่วมลงทุนในเขตดังกล่าวและประกันรับซื้อเกลือสมุทร เขาให้กรมสรรพสามิตซื้อบริษัทบริติชอเมริกันทูแบโก ซึ่งมีการออกกฎหมายให้รัฐบาลผูกขาดยาสูบ อีกทั้งเข้าเป็นเจ้าของโรงงานสุรา เช่น โรงงานสุราบางยี่ขัน เป็นต้น ปรีดีศึกษาเรื่องยาสูบอย่างใกล้ชิด จนมีหนังสือพิมพ์ลงข่าวว่าเขาทดลองผสมยาสูบและสูบเองจนมึนเมา ปรีดียังสั่งให้ตรวจสอบทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์ จนเกิด:s:คำพิพากษาศาลอุทธรณ์ ในคดีหมายเลขแดงที่ ๒๗๘ พ.ศ. ๒๔๘๒|คดีแพ่งระหว่างสำนักงานทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์กับพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว ไฟล์:หลวงประดิษฐ์แสดงทองคำแท่งที่รัฐบาลได้ซื้อไว้ให้ผู้แทนหนังสือพิมพ์ต่างๆชม.jpg|thumb|left|upright=1.2|ปรีดีแสดงทองคำแท่งที่รัฐบาลซื้อมาแก่ผู้แทนสื่อมวลชน, ปี 2483 ต่อมาก็ได้รื้อฟื้นเรื่องการจัดตั้งธนาคารกลางหรือธนาคารแห่งชาติมาพิจารณาใหม่อย่างจริงจัง โดยเริ่มจากจัดตั้งสำนักงานธนาคารชาติไทยขึ้นก่อน มีหน้าที่เหมือนธนาคารพาณิชย์อย่างเดียว และเร่งฝึกพนักงาน ต่อมาจึงจัดตั้งธนาคารชาติไทยขึ้นในปี 2483 ซึ่งมีหน้าที่ออกธนบัตรเพิ่มขึ้นมาด้วย ในเวลานั้นเป็นช่วงใกล้สงครามโลกครั้งที่สองปะทุขึ้น ปรีดีคาดการณ์ว่าเงินปอนด์สเตอร์ลิงซึ่งสยามประเทศใช้เป็นทุนสำรองระหว่างประเทศอยู่ในขณะนั้นอาจมีมูลค่าลดลงได้ จึงนำเงินปอนด์ไปซื้อทองคำแท่งมาเก็บสำรองแทน นอกจากนี้ยังแลกเปลี่ยนเป็นสกุลดอลลาร์สหรัฐ ธุรกรรมครั้งนั้นทำให้รัฐบาลได้กำไร 5.05 ล้านบาท ทุนนี้เป็นทุนตั้งต้นของสำนักงานธนาคารชาติไทยโดยไม่ต้องพึ่งงบประมาณแผ่นดินแม้แต่บาทเดียว ปรีดีได้ฝากทองคำบางส่วนไว้ในต่างประเทศ ประกอบด้วยบริเตน สหรัฐและญี่ปุ่น ซึ่งในเวลาต่อมาจะเป็นทุนสำหรับขบวนการเสรีไทยในต่างประเทศด้วย เขาริเริ่มการจัดทำงบประมาณแผ่นดินให้เป็นแบบแผนและให้ขึ้นกับความเห็นชอบของสภาผู้แทนราษฎร ในปี 2482 เกิดกรณีพิพาทอินโดจีน เขาดำริจะเรียกร้องดินแดนของอินโดจีนคืนแก่สยามด้วยวิถีทางตามกฎหมาย แต่จอมพล ป. พิบูลสงคราม นายกรัฐมนตรี เลือกใช้วิธีทวงดินแดนด้วยกำลังแทน ช่วงก่อนสงครามเขาขัดขวางคำขอกู้ของรัฐบาลญี่ปุ่น โดยกำหนดเงื่อนไขให้ญี่ปุ่นชำระคืนเป็นทองคำแท่ง ทำให้ญี่ปุ่นไม่พอใจมาก และมองว่าปรีดีเป็นตัวการขัดขวาง นอกจากนี้ เขายังเป็นผู้มีบทบาทในการปฏิรูปการปกครองของสงฆ์โดยร่างพระราชบัญญัติสงฆ์ พ.ศ. 2484 ใช้แทนพระราชบัญญัติคณะสงฆ์ ร.ศ. 121 ทำให้การปกครองสงฆ์เป็นประชาธิปไตย == บทบาทในช่วงสงครามโลกครั้งที่สอง == === ผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ === เมื่อการบุกครองไทยของญี่ปุ่น|ญี่ปุ่นเคลื่อนพลเข้าประเทศไทยในวันที่ 8 ธันวาคม 2484 ปรีดีกับดิเรก ชัยนาม รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศขณะนั้น เป็นผู้คัดค้านการยอมให้ทัพญี่ปุ่นเคลื่อนทัพผ่านประเทศของทูตญี่ปุ่น และคัดค้านการเข้าเป็นพันธมิตรกับญี่ปุ่น ปรีดีพ้นจากตำแหน่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังและรับตำแหน่งผู้สำเร็จราชการแทนพระบาทสมเด็จพระปรเมนทรมหาอานันทมหิดล พระอัฐมรามาธิบดินทร|พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวอานันทมหิดลในวันที่ 16 ธันวาคม 2484 ซึ่งเป็นตำแหน่งที่ถูกมองว่าไร้อำนาจ โดยมติของสภาผู้แทนราษฎร การแต่งตั้งนี้มีมูลเหตุมาจากความขัดแย้งส่วนตัวระหว่างปรีดีกับจอมพล ป. พิบูลสงคราม ตลอดจนอิทธิพลบีบบังคับของญี่ปุ่นเนื่องจากปรีดีในฐานะรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังขัดขวางมิให้ญี่ปุ่นนำเงินสกุลเยนมาแลกเงินบาทเพื่อใช้ซื้อเสบียงเลี้ยงกองทัพญี่ปุ่น และไม่ยอมให้กู้ยืมเงินบาท คล้อยหลังปรีดีพ้นจากตำแหน่งรัฐมนตรี รัฐบาลก็ได้ทำสัญญาเป็นพันธมิตรทางทหารกับญี่ปุ่นในวันที่ 21 ธันวาคม และเมื่อรัฐบาลการประกาศสงคราม|ประกาศสงครามต่อสหราชอาณาจักรและสหรัฐเมื่อวันที่ 25 มกราคม 2485 ปรีดีในฐานะหนึ่งในคณะผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์หลีกเลี่ยงการร่วมลงนามในประกาศสงคราม อันจะทำให้ประกาศไม่มีผลสมบูรณ์ ระหว่างสงคราม ปรีดีถวายความปลอดภัยให้แก่พระบรมวงศานุวงศ์โดยจัดให้ไปพำนักอยู่ที่พระราชวังบางปะอิน ช่วงเดือนกุมภาพันธ์ 2486 ปรีดีได้รับคำสั่งจากจอมพล ป. พิบูลสงครามในฐานะผู้บัญชาการทหารสูงสุด ให้ไปประจำกองบัญชาการทหารสูงสุดในฐานะผู้เชี่ยวชาญทางกฎหมาย แต่เขาไม่ยอมปฏิบัติตามเพราะเห็นว่าการสั่งผู้สำเร็จราชการเป็นโมฆะตามกฎหมาย ในที่สุดปรีดีได้รับการอารักขาจากทหารเรือ ในวันที่ 22 กันยายน 2486 จอมพล ป. ตั้งกรรมการสอบสวนปรีดีโดยกล่าวหาว่าเขาว่าแผนจะจับตนเพื่อเป็นการต่อต้านญี่ปุ่น แต่รอดพ้นจากข้อหาไปได้อย่างหวุดหวิด ปรีดีเป็นผู้มีบทบาทสำคัญผลักดันให้ควง อภัยวงศ์ เป็นนายกรัฐมนตรีในปี 2487 หลังรัฐบาลจอมพล ป. ลาออกจากตำแหน่งเนื่องจากแพ้เสียงร่างพระราชบัญญัติสำคัญ 2 ฉบับefn|ควง อภัยวงศ์เล่าว่า พระเจ้าวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าอาทิตย์ทิพอาภาไม่กล้าลงพระนามแต่งตั้งพันตรี ควง อภัยวงศ์ เป็นนายกรัฐมนตรี จึงลาออกจากตำแหน่งผู้สำเร็จราชการ เขายังแต่งตั้งพลเอก พจน์ พหลโยธินเป็นรัฐมนตรีลอย, แม่ทัพใหญ่ (แทนตำแหน่งผู้บัญชาการทหารสูงสุดที่ถูกยกเลิกไป) และผู้บัญชาการทหารบก ตลอดจนตั้งให้จอมพล ป. พิบูลสงครามเป็นที่ปรึกษาราชการแผ่นดิน เพื่อป้องกันรัฐประหาร === หัวหน้าขบวนการเสรีไทย === ปรีดี พนมยงค์เป็นผู้นำจัดตั้งองค์การต่อต้านญี่ปุ่นหรือขบวนการเสรีไทยในประเทศ ทวี บุณยเกตุ เล่าว่า ปรีดีติดต่อฝ่ายสัมพันธมิตรแล้วส่งคนออกนอกประเทศเป็นสาย ๆ และดำริแผนให้ทวีได้รับเลือกเป็นประธานสภาผู้แทนราษฎรแล้วจัดตั้งรัฐบาลพลัดถิ่นนอกประเทศ แต่จอมพล ป. ขัดขวาง เมื่อแผนตั้งรัฐบาลพลัดถิ่นไม่สำเร็จ จึงเปลี่ยนมาใช้วิธีตั้งขบวนการเสรีไทยในประเทศ ซึ่งสำนักงานบริการด้านยุทธศาสตร์ (โอเอสเอส) และหน่วย 136 ที่เป็นฝ่ายข่าวกรองของสหรัฐ และบริเตนในอินเดียตามลำดับ ตั้งรหัสนามให้ว่า "รู้ธ" (Ruth) ทั้งสองประเทศก็ขอส่งตัวแทนมาขอตั้งหน่วยปฏิบัติการลับในพระนครด้วย ในเดือนพฤษภาคม 2488 ปรีดีแจ้งให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศทราบว่า ไทยจะใช้อุบายบอกเลิกสัญญาต่าง ๆ กับญี่ปุ่น และเสรีไทยจำนวน 8 หมื่นคนทั่วประเทศพร้อมที่จะลุกฮือขึ้นเพื่อทำสงครามกับทหารญี่ปุ่นอย่างเปิดเผย แต่ฝ่ายสัมพันธมิตรได้ร้องขอให้ชะลอแผนนี้ไว้ก่อนวิชิตวงศ์ ณ ป้อมเพชร, http://www.openbase.in.th/files/pridibook095.pdf ปรีดี พนมยงค์ กับปฏิบัติการเสรีไทย , คณะกรรมการดำเนินงานฉลอง 100 ปี ชาตกาล ปรีดี พนมยงค์ รัฐบุรุษอาวุโส ภาคเอกชน, 2543, ISBN 974-7833-69-7, หน้า 47–56 อย่างไรก็ดี สำหรับการเจรจาการเมืองเรื่องการรับรองเอกราชของไทยนั้น สหราชอาณาจักรไม่ยอมตอบ สุดท้ายมีการกำหนดวันที่ 1 กันยายน 2488 เป็นวันจับอาวุธลุกขึ้นสู่กับทหารญี่ปุ่นในประเทศ อย่างไรก็ดี การยอมจำนนของญี่ปุ่น|จักรวรรดิญี่ปุ่นยอมจำนนต่อฝ่ายสัมพันธมิตรในวันที่ 15 สิงหาคมก่อนวันลงมือ == บทบาททางการเมืองหลังสงครามโลกครั้งที่สอง == === ประกาศสันติภาพ === ไฟล์:ปรีดี ประกาศสันติภาพ.jpg|thumb|upright=1.2|ปรีดีประกาศสันติภาพในปี 2488 วันที่ 16 สิงหาคม 2488 ปรีดี พนมยงค์ ในฐานะผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ ออกประกาศสันติภาพ ใจความว่าการประกาศสงครามต่อสหรัฐและบริเตนใหญ่เมื่อวันที่ 25 มกราคม 2485 เป็นโมฆะ และประเทศไทยพร้อมที่จะให้ความร่วมมือกับสหประชาชาติในการสถาปนาสันติภาพในโลกนี้ ต่อมารัฐบาลได้ประกาศให้วันที่ 16 สิงหาคม ของทุกปีเป็นวันสันติภาพไทยชาญวิทย์ เกษตรศิริ, http://www.prachatai.com/journal/2009/08/25472 16 สิงหาคม 2488 ประวัติศาสตร์ที่ "ให้จำ" กับ "ให้ลืม", ประชาไท, เรียกข้อมูลวันที่ 17 พ.ย. 2552 ภายหลังประกาศสันติภาพ ปรีดีประกาศยกเลิกขบวนการเสรีไทย เมื่อญี่ปุ่นยอมจำนน จอมพล เจียง ไคเชก หัวหน้ารัฐบาลชาตินิยมจีนเรียกร้องจะเข้ามาปลดอาวุธทหารญีปุ่นที่อยู่เหนือเส้นขนานที่ 16 องศาเหนือ หรือเกือบครึ่งประเทศ ปรีดีได้ขอแฮร์รี ทรูแมน ประธานาธิบดีสหรัฐให้ยับยั้งคำขอดังกล่าวได้สำเร็จ ฝ่ายสัมพันธมิตรเรียกร้องให้ไทยจับตัวผู้ที่ถูกระบุตัวเป็นอาชญากรสงครามไปขึ้นศาลทหารระหว่างประเทศสำหรับตะวันออกไกลในประเทศญี่ปุ่น ด้านจอมพล ป. พิบูลสงครามก็เขียนจดหมายถึงปรีดีขอให้ฝ่ายหลังช่วยเหลือ สุดท้ายด้วยการเจรจาของปรีดีทำให้ไทยได้รับความยินยอมให้มีกฎหมายอาชญากรสงครามของไทยโดยเฉพาะมาใช้บังคับ และจัดตั้งศาลอาชญากรสงครามขึ้นในประเทศไทย ฝ่ายสัมพันธมิตรแจ้งให้ปรีดีทราบว่า สัมพันธมิตรไม่ถือว่าประเทศไทยเป็นผู้แพ้สงคราม ประเทศไทยไม่ต้องถูกยึดครอง รัฐบาลไทยไม่ต้องยอมจำนน กองทัพไทยไม่ต้องวางอาวุธ และให้รีบออกแถลงการณ์ปฏิเสธการประกาศสงครามระหว่างไทยกับสัมพันธมิตร เพื่อลบล้างข้อผูกพันทั้งหลายที่รัฐบาลจอมพล ป. พิบูลสงคราม ได้ทำไว้กับญี่ปุ่นhttp://www.openbase.in.th/files/pridibook084.pdf จดหมายของปรีดี พนมยงค์ ถึง พระพิศาลสุขุมวิท เรื่องหนังสือจดหมายเหตุของเสรีไทยเกี่ยวกับปฏิบัติการในแคนดี นิวเดลฮี และ สหรัฐอเมริกา , อมรินทร์การพิมพ์, 2522United States Department of State, http://images.library.wisc.edu/FRUS/EFacs/1945v06/reference/frus.frus1945v06.i0017.pdf Foreign relations of the United States : diplomatic papers, 1945 , Volume VI, 1945, pp.1278-1279 เมื่อบ้านเมืองสงบเรียบร้อยดีแล้วปรีดี พนมยงค์จึงขออัญเชิญสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวอานันทมหิดลเสด็จนิวัติประเทศไทยเพื่อทรงบริหารราชการแผ่นดินด้วยพระองค์เองต่อไป โดยได้เสด็จกลับถึงพระนครวันที่ 5 ธันวาคม 2488 สมเด็จพระเจ้าอยู่หัวมีพระราชดำรัสตอบปรีดีที่ไปเฝ้ารับเสด็จบางตอนว่า "ข้าพเจ้าขอขอบใจท่านเป็นอันมากที่ได้ปฏิบัติกรณียกิจแทนข้าพเจ้า ด้วยความซื่อสัตย์สุจริตต่อข้าพเจ้าและประเทศชาติ ข้าพเจ้าขอถือโอกาสนี้ แสดงไมตรีจิตในคุณงามความดีของท่าน ที่ส่งเสริมความเจริญรุ่งเรืองให้แก่ประเทศชาติ และช่วยบำรุงรักษาความเป็นเอกราชของชาติไว้"สุพจน์ ด่านตระกูล, http://www.openbase.in.th/files/pridibook099.pdf ปรีดี พนมยงค์ กับ ในหลวงอานันท์ และกรณีสวรรคต , สถาบันวิทยาศาสตร์สังคม (ประเทศไทย), 2541 ด้วยคุณูปการที่เป็นผู้นำในการกอบกู้บ้านเมืองในยามคับขัน พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวอานันทมหิดลจึงมีพระบรมราชโองการโปรดเกล้าฯ ยกย่องปรีดี พนมยงค์ในฐานะรัฐบุรุษอาวุโส ลงในราชกิจจานุเบกษาวันที่ 8 ธันวาคม 2488 ในโอกาสนี้พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวได้ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ พระราชทานเครื่องราชอิสริยาภรณ์อันเป็นโบราณมงคลนพรัตนราชวราภรณ์ ซึ่งเป็นเครื่องราชอิสริยาภรณ์ชั้นสูงสุดที่สามัญชนพึงได้รับพระราชทานแก่เขา เมื่อวันที่ 11 ธันวาคม 2488 === นายกรัฐมนตรีและทูตสันถวไมตรี === ไฟล์:ปรีดี และ ในหลวงอานันท.jpg|thumb|upright=1.2|ปรีดีกับพระบาทสมเด็จพระปรเมนทรมหาอานันทมหิดล พระอัฐมรามาธิบดินทร|สมเด็จพระเจ้าอยู่หัวอานันทมหิดล ในปี 2489 หลังสงคราม ปรีดีพยายามรักษาฐานอำนาจของตนผ่านการควบคุมตำรวจ สารวัตรทหารและกลุ่มเสรีไทย ซึ่งสถานเอกอัครราชทูตอเมริกันวิจารณ์ว่า อาวุธในมือเสรีไทยเป็น "คลังแสงส่วนตัวของกองทัพส่วนตัว" ในเดือนมกราคม 2489 หลังการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรไทยเป็นการทั่วไป มกราคม พ.ศ. 2489|การเลือกตั้งใหม่แทนสภาชุดเดิมที่ยุบไปหลังสงครามยุติ ปรีดีด้วยเห็นว่าความคิดทางการเมืองของควงเปลี่ยนไปจากคณะปฏิวัติเดิมแล้ว จึงสนับสนุนให้ดิเรก ชัยนามเป็นนายกรัฐมนตรี แต่แพ้เสียงควง อภัยวงศ์ พรรคประชาธิปัตย์จึงได้จัดตั้งรัฐบาลช่วงสั้น ๆ ระหว่างเดือนมกราคมถึงมีนาคม 2489 ต่อมา รัฐบาลไม่เห็นด้วยกับร่างกฎหมายที่ผ่านสภา จึงลาออกจากตำแหน่ง พรรคสหชีพและพรรคแนวรัฐธรรมนูญสนับสนุนปรีดีให้ดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีไทย|นายกรัฐมนตรี คนที่ 7 เขาเจรจาแก้ไขความตกลงสมบูรณ์แบบในข้อที่ไทยจะต้องส่งข้าวเปล่าให้แก่สหราชอาณาจักร กลายเป็นต้องซื้อข้าวไทยแทน เขาเป็นผู้ก่อตั้งหอสมุดดำรงราชานุภาพ รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2489 ที่ได้ชื่อว่าเป็นประชาธิปไตยมากที่สุดเนื่องจากสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรและวุฒิสภาไทย|พฤฒสภามาจากการเลือกตั้งทั้งสองสภา ก็ได้ประกาศใช้ในสมัยของเขาด้วย ผู้แทนทางทูตอเมริกันประเมินว่า นโยบายของรัฐบาลเขา "ไม่มีสังคมนิยมเจือปน" จะมีก็แต่การสนับสนุนสหกรณ์เกษตรกรและรัฐวิสาหกิจเท่านั้น วันที่ 9 มิถุนายน 2489 การสวรรคตของพระบาทสมเด็จพระปรเมนทรมหาอานันทมหิดล|สมเด็จพระเจ้าอยู่หัวอานันทมหิดลเสด็จสวรรคต รัฐบาลปรีดีที่เพิ่งชนะการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรไทยเพิ่มเติม สิงหาคม พ.ศ. 2489|เลือกตั้งตามรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ จึงขอความเห็นชอบต่อรัฐสภาให้อัญเชิญพระบาทสมเด็จพระมหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร|พระเจ้าน้องยาเธอ เจ้าฟ้าภูมิพลอดุลยเดช ขึ้นครองราชย์สืบสันตติวงศ์ต่อไป เมื่อสภามีมติเห็นชอบแล้ว ปรีดีก็ลาออกจากตำแหน่งนายกรัฐมนตรีในวันที่ 11 มิถุนายน 2489 แต่สภาผู้แทนราษฎรก็สนับสนุนให้ปรีดีดำรงตำแหน่งตามเดิมสุพจน์ ด่านตระกูล, http://www.openbase.in.th/files/pridibook275.pdf ท่านปรีดี พนมยงค์ กับกับสถาบันกษัตริย์และกรณีสวรรคต , นิตยสารสารคดี, ฉบับที่ 182, เมษายน พ.ศ. 2543 เขายังได้รับเลือกตั้งเป็นสมาชิกพฤฒสภาช่วงสั้น ๆ ก่อนลาออกไปสมัครรับเลือกตั้งเป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร จังหวัดพระนครศรีอยุธยา เขต 2 ซึ่งเขาได้รับเลือกตั้งเพราะไม่มีผู้อื่นลงสมัครแข่ง สำหรับบทบาทของปรีดีในกรณีสวรรคต ส. ศิวรักษ์เขียนว่า เขาปกป้องเชื้อพระวงศ์ที่ประพฤติผิด และไม่ได้ให้อธิบดีกรมตำรวจและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทยชันสูตรพระศพแต่แรก และจับกุมผู้ทำลายหลักฐาน กรณีสวรรคตของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวอานันทมหิดลได้ทำให้ศัตรูทางการเมืองของปรีดี ซึ่งประกอบด้วยกลุ่มทหารสายจอมพล ป. พิบูลสงคราม ที่สูญเสียอำนาจหลังสงครามโลกครั้งที่สอง พรรคการเมืองฝ่ายค้านนำโดย พรรคประชาธิปัตย์ และกลุ่มอำนาจเก่าประมาณ อดิเรกสาร, Unseen ราชครู, สื่อวัฏสาร, 2547, หน้า 260, ISBN 974-92685-3-9 ฉวยโอกาสนำมาใช้ทำลายปรีดีทางการเมือง โดยการกระจายข่าวไปตามหนังสือพิมพ์ และสถานที่ต่าง ๆ รวมทั้งส่งคนไปตะโกนในศาลาเฉลิมกรุงว่า ''"ปรีดีฆ่าในหลวง"''ประสิทธิ์ ลุลิตานนท์, http://www.openbase.in.th/files/pridibook217.pdf ลายพระหัตถ์ ม.จ.ศุภสวัสดิ์ฯ , แผนกงานจ้าง อัลลายด์พริ้นเตอรส์, โรงพิมพ์โพสต์พับลิชชิ่ง จำกัด, วันที่ 30 ตุลาคม พ.ศ. 2517, หน้า 3-4 และนำไปสู่การลาออกจากตำแหน่งนายกรัฐมนตรีของเขาในเดือนสิงหาคม 2489 โดยหลังจากนั้นหลวงธำรงนาวาสวัสดิ์ได้รับการสนับสนุนจากกลุ่มปรีดีให้ขึ้นเป็นนายกรัฐมนตรีแทน ต้นเดือนพฤศจิกายน 2489 ภายหลังจากที่ปรีดีลาออกจากตำแหน่งนายกรัฐมนตรีแล้ว ก็ได้รับเชิญจากรัฐบาลหลายประเทศให้ไปเยือนประเทศเหล่านั้น รัฐบาลไทยทราบจึงแต่งตั้งเขาเป็นทูต|ทูตสันถวไมตรี โดยได้ไปเยือนประเทศจีนเป็นแห่งแรก จากนั้นก็ไปฟิลิปปินส์ สหรัฐ อังกฤษ ฝรั่งเศส สวิตเซอร์แลนด์ เดนมาร์ก สวีเดน และนอร์เวย์ รวม 9 ประเทศ และกลับมาถึงกรุงเทพมหานคร เมื่อวันที่ 20 กุมภาพันธ์ 2490วิชิตวงศ์ ณ ป้อมเพชร, http://www.openbase.in.th/files/pridibook101.pdf บางหน้าในประวัติศาสตร์ไทย อัตชีวประวัติของรัฐบุรุษอาวุโส ปรีดี พนมยงค์ , แสงดาว, 2549, ISBN 974-9818-83-0, หน้า 409-416วันชัย ตันติวิทยาพิทักษ์, http://www.sarakadee.com/feature/2000/04/100y_pridi2.htm 100 ปี ของ สามัญชนนาม ปรีดี พนมยงค์, นิตยสารสารคดี, เรียกข้อมูลวันที่ 28 ม.ค. 53 ประเทศไทยเข้าเป็นสมาชิกสหประชาชาติลำดับที่ 55 ในวันที่ 16 ธันวาคม 2489 โดยปรีดีใช้สายสัมพันธ์ส่วนตัวกับผู้นำประเทศฝรั่งเศสและสหภาพโซเวียตมิให้ทั้งสองประเทศนี้ในฐานะสมาชิกถาวรของคณะมนตรีความมั่นคงแห่งสหประชาชาติใช้อำนาจยับยั้งการสมาชิกเข้าเป็นสมาชิกของไทย เขายังได้มีข้อเสนอแนะด้านการพัฒนาเกษตรกรรมแก่รัฐบาล เช่น ส่งเสริมการผสมพันธุ์ฝ้าย การใช้เครื่องจักรช่วยในการกสิกรรม จัดระเบียบอุตสาหกรรมเลี้ยงสัตว์และการจับปลาใหม่ ส่งเสริมโครงการสร้างบ้านเป็นงานอาคารสงเคราะห์ สร้างสวนสาธารณะ ส่งเสริมการท่องเที่ยวจากต่างประเทศ เขาเสนอให้สร้างเขื่อนชัยนาทโดยรัฐบาลก็เห็นชอบข้อเสนอดังกล่าว ในปี 2490 ปรีดีพยายามขอการสนับสนุนจากชาติตะวันตกแก่รัฐบาลเขา แต่นอกเหนือจากนั้น ยังเป็นไปเพื่อขอการสนับสนุนแก่บริษัทเขาและเขื่อนชัยนาท นอกจากนี้ยังเป็นผู้นำคนแรกที่ขอรับการช่วยเหลือทางเศรษฐกิจและทหารจากสหรัฐ เขายังพยายามเข้าเป็นพันธมิตรทางทหารของสหรัฐ และขอที่ปรึกษาทางทหารมาเพื่อปรับปรุงกองทัพไทย แต่สหรัฐปฏิเสธว่าไม่ได้รับอนุมัติจากรัฐสภา อย่างไรก็ดี เขามีความสัมพันธ์อันดีกับฝ่ายเรียกร้องเอกราชในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ โดยเฉพาะเวียดนาม โดยผู้แทนเวียดนามระบุว่า มีความปรารถนาก่อตั้งสหพันธ์ชาติเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ และเชื่อว่าปรีดีจะเป็นหัวหน้าสหพันธ์ดังกล่าวโดยธรรมชาติ == ลี้ภัย == ไฟล์:ปรีดี พนมยงค์ลี้ภัยสิงคโปร์.jpg|thumb|ปรีดีลี้ภัยที่สิงคโปร์หลังรัฐประหารปี 2490 ต่อมาในวันที่ 8 พฤศจิกายน 2490 คณะทหารแห่งชาติที่มีพลโท ผิน ชุณหะวัณ เป็นผู้นำ และมีจอมพล ป. พิบูลสงครามเป็นหัวหน้าใหญ่ รัฐประหารในประเทศไทย พ.ศ. 2490|ยึดอำนาจการปกครองประเทศจากรัฐบาลพลเรือตรี ถวัลย์ ธำรงนาวาสวัสดิ์ คณะรัฐประหารยังหยิบยกข้อกล่าวหารุนแรงว่าปรีดีเป็นผู้บงการลอบปลงพระชนม์อดีตพระมหากษัตริย์ด้วย หลังจากยึดอำนาจสำเร็จ คณะรัฐประหารได้นำกำลังทหารพร้อมรถถังบุกยิงทำเนียบท่าช้างวังหน้าซึ่งปรีดีและครอบครัวอาศัยอยู่หวังจะจับกุมตัวเขา แต่เขาก็หลบหนีไปได้ภายใต้การอารักขาของทหารเรือและได้อาศัยฐานทัพเรือสัตหีบเป็นที่หลบภัยอยู่ชั่วระยะหนึ่ง เมื่อพิจารณาเห็นว่ายังไม่พร้อมต่อต้านคณะรัฐประหาร จึงได้ลี้ภัยการเมืองโดยความช่วยเหลือของสถานทูตสหราชอาณาจักรและสหรัฐไปยังอาณานิคมสิงคโปร์|ประเทศสิงคโปร์ จนถึงปลายเดือนพฤษภาคม 2491 จึงออกเดินทางต่อไปยังสาธารณรัฐจีน (ค.ศ. 1912–1949)|สาธารณรัฐจีนประทีป สายเสน, http://www.openbase.in.th/files/pridibook062.pdf กบฏวังหลวงกับสถานะของปรีดี พนมยงค์ , สำนักพิมพ์อักษรสาส์น, 2532, ISBN 974-7248-22-7 ระหว่างนั้นทางการไทยออกหมายจับปรีดีในคดีลอบปลงพระชนม์ อีกทั้งขอให้ทางการสหราชอาณาจักรส่งตัวปรีดีเป็นผู้ร้ายข้ามแดนด้วย แต่ทางการสหราชอาณาจักรปฏิเสธ ทั้งนี้ ทางการสหรัฐปฏิเสธตรวจลงตราเดินทางแก่ปรีดีเพราะไม่อยากสร้างความขุ่นเคืองแก่จอมพล ป. พิบูลสงคราม หลังลี้ภัยอยู่ในประเทศจีนได้ประมาณ 7 เดือน ก็ลอบกลับเข้าประเทศเพื่ออำนวยการ "ขบวนการประชาธิปไตย 26 กุมภาพันธ์" ซึ่งประกอบด้วยนายทหารเรือและอดีตเสรีไทยหลายนาย ในความพยายามยึดอำนาจคืนเมื่อวันที่ 26 กุมภาพันธ์ 2492 แต่กระทำไม่สำเร็จ (เรียกกันว่า "กบฏวังหลวง") หลังเหตุการณ์ ปรีดีลอบพำนักอยู่ในประเทศไทย 6 เดือนก่อนโดยสารเรือจำปลาขนาดเล็กหนีไปพำนักยังสิงคโปร์ ก่อนมุ่งหน้าต่อไปยังฮ่องกงของบริเตน|ฮ่องกง ปรีดีเขียนเล่าว่า ขณะเปลี่ยนเรือไปชิงเต่า ได้รับการต้อนรับจากพรรคคอมมิวนิสต์จีนในฐานะผู้ลี้ภัยการเมือง และได้เชิญเข้าร่วมพิธีสถาปนาสาธารณรัฐประชาชนจีนด้วย ระหว่างนั้น ปรีดีอยู่ในฐานะแขกของรัฐบาลจีนซึ่งออกค่าใช้จ่ายให้ทั้งหมด ซ้ำยังได้รับข้อเสนอว่าทางการจีนพร้อมเปิดสงครามกลางเมืองคอมมิวนิสต์ในไทยเพื่อให้ปรีดีกลับไปมีอำนาจ แต่เขาปฏิเสธ ขณะพำนักอยู่ในประเทศจีน ปรีดีได้มีโอกาสพบปะสนทนาแลกเปลี่ยนความคิดเห็นกับผู้นำพรรคและรัฐบาลจีนไม่ว่าจะเป็นประธานาธิบดีเหมา เจ๋อตง, นายกรัฐมนตรีโจว เอินไหล, เติ้ง เสี่ยวผิง เลขาธิการพรรคคอมมิวนิสต์จีน, นอกจากนี้ได้รับเชิญไปงานศพของโฮจิมินห์ ผู้นำปฏิวัติเวียดนาม, พบเจ้าสุวรรณภูมา นายกรัฐมนตรีลาว ในปี 2499 ขั้วอำนาจจอมพล ป. และพลตำรวจเอก เผ่า ศรียานนท์ พยายามชักชวนปรีดีกลับประเทศเพื่อต่อสู้คดีสวรรคตอีก เพื่อช่วยคานอำนาจกับขั้วอำนาจจอมพล สฤษดิ์ ธนะรัชต์ และศักดินา ด้านรัฐบาลสหรัฐเตือนจอมพล ป. ว่าจะทำให้เกิดความวุ่นวายhttps://prachatai.com/journal/2010/10/31599 สมศักดิ์ เจียมธีรสกุล: พูนศุข พนมยงค์ ให้สัมภาษณ์กรณีสวรรคต พฤษภาคม 2500 ในปี 2501 ปรีดีเสนอให้รัฐบาลจอมพลถนอมขุดคลองที่คอคอดกระ ไฟล์:Pridi Banomyong and Mao Ze Dong in 1965.jpg|thumb|upright=1.2|ปรีดีเข้าพบเหมา เจ๋อตง ผู้นำจีน ในปี 2508 ต้นเดือนพฤษภาคม 2513 นายกรัฐมนตรีจีนโจว เอินไหลทราบความประสงค์ของปรีดีที่ต้องการเดินทางไปกรุงปารีสเพื่ออยู่กับครอบครัว จึงออกหนังสือเดินทางคนต่างด้าวให้ปรีดีเดินทางจากประเทศจีนไปยังกรุงปารีส ด้วยความช่วยเหลือจากกีโยม จอร์จ-ปีโก (Guillaume Georges-Picot) มิตรเก่าซึ่งเคยเป็นอุปทูตฝรั่งเศสประจำประเทศสยาม ถึงกรุงปารีสในวันที่ 8 พฤศจิกายน 2513 ปรีดีจึงได้พำนักอยู่ ณ ประเทศฝรั่งเศสนับแต่นั้น มาถึงไม่นานเกิดความขัดแย้งที่ทางการไทยไม่ยอมออกหนังสือรับรองการมีชีวิตอยู่และไม่ยอมจ่ายเงินบำนาญให้ จึงฟ้องร้องจนได้รับทั้งสองประการ ปรีดีจึงได้รับความรับรองจากทางราชการในฐานะคนไทยโดยสมบูรณ์ตามกฎหมายทุกประการ และได้รับเงินบำนาญตลอดจนได้รับหนังสือเดินทางไทย|หนังสือเดินทางของไทยสุพจน์ ด่านตระกูล, http://www.openbase.in.th/files/pridibook129.pdf ม.จ. ศุภสวัสดิ์ฯ รับสั่งว่า ในหลวงและสมเด็จพระราชชนนีไม่ทรงเชื่อว่า...ปรีดีฯ สมคบปลงพระชนม์ ร.8 , สำนักพิมพ์สันติธรรม, 2529, หน้า 46, 69 เวลา 11 นาฬิกาเศษ ของวันที่ 2 พฤษภาคม 2526 ณ บ้านอ็องโตนี ชานกรุงปารีส ปรีดี พนมยงค์ สิ้นใจด้วยอาการหัวใจวายขณะกำลังเขียนหนังสืออยู่ที่โต๊ะทำงาน ครอบครัวให้อัญเชิญอัฐิของปรีดีกลับประเทศไทยเมื่อวันที่ 7 พฤษภาคม 2529 พระบาทสมเด็จพระมหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร โปรดเกล้าฯ พระราชทานผ้าไตร 10 ไตรในการบำเพ็ญกุศลทักษิณานุปทานอัฐิในวันที่ 8 พฤษภาคม ซึ่งอาจตีความได้ว่าทรงให้ความสำคัญกับปรีดี หรือพระราชทานอภัยโทษก็ได้ == ชีวิตส่วนตัว == === ครอบครัว === ปรีดีสมรสกับพูนศุข พนมยงค์|พูนศุข ณ ป้อมเพชร์ ธิดาพระยาชัยวิชิตวิศิษฏ์ธรรมธาดา (ขำ ณ ป้อมเพชร์)|มหาอำมาตย์ตรี พระยาชัยวิชิตวิศิษฎ์ธรรมธาดา (ขำ ณ ป้อมเพชร) กับคุณหญิงเพ็ง ชัยวิชิตวิศิษฏ์ธรรมธาดา (สุวรรณศร) เมื่อวันที่ 16 พฤศจิกายน 2471นรุตม์, http://www.openbase.in.th/files/pridibook157.pdf หลากบทชีวิต ท่านผู้หญิงพูนศุข พนมยงค์ , แพรวสำนักพิมพ์, อมรินทร์พริ้นติ้งกรุ๊พ, หน้า, 2535, ISBN 974-8359-86-7 ซึ่งมีอายุอ่อนกว่าปรีดี 12 ปี มีบุตร-ธิดาด้วยกันทั้งหมด 6 คน คือ # ลลิตา พนมยงค์​ # ปาล พนมยงค์ # สุดา พนมยงค์ # ศุขปรีดา พนมยงค์ # ดุษฎี พนมยงค์ # วาณี พนมยงค์ === ภาพยนตร์ === ไฟล์:Pridi Banomyong (Pha Chao Chang Phuek Film) 1940 (3).jpg|thumb|upright=1.2|ปรีดีขณะอำนวยการภาพยนตร์ ''พระเจ้าช้างเผือก'', ปี 2483 ก่อนสงครามโลกครั้งที่สองจะอุบัติขึ้น ปรีดี พนมยงค์ เล็งเห็นว่าลัทธิเผด็จการทหารกำลังจะจุดชนวนให้เกิดสงครามโลก จึงอำนวยการสร้างภาพยนตร์เรื่อง "พระเจ้าช้างเผือก (ภาพยนตร์)|พระเจ้าช้างเผือก"http://www.thaifilm.com/newsDetail.asp?id=25 พระเจ้าช้างเผือก ถ่ายช้างได้ดีที่สุดในโลก , มูลนิธิหนังไทย, เรียกข้อมูลวันที่ 11 พ.ย. 2552 เพื่อสื่อทัศนะสันติภาพและคัดค้านการทำสงครามผ่านไปยังนานาประเทศ โดยแสดงจุดยืนอย่างแจ่มชัดด้วยพุทธภาษิตที่ปรากฏในภาพยนตร์ที่ว่า "นตฺถิ สนฺติปรํ สุขํ" (ไม่มีสุขใดเสมอด้วยความสงบสันติ) ยิ่งไปกว่านั้นเขายังสื่อให้เห็นว่าชาวสยามพร้อมที่จะต่อสู้เพื่อต่อด้านสงครามรุกรานอย่างมีศักดิ์ศรีสุรัยยา (เบ็ญโส๊ะ) สุไลมาน, http://www.openbase.in.th/files/pridibook008.pdf กระบวนทัศน์สันติวิธีของปรีดี พนมยงค์ กรณีศึกษาเรื่องพระเจ้าช้างเผือก , เรือนแก้วการพิมพ์, 2544, ISBN 974-7834-10-3 === งานเขียน === ปรีดีเป็นผู้ใฝ่หาความรู้ทางด้านวิทยาการต่าง ๆ ทั้งสังคมศาสตร์ ขณะพำนักอยู่ในประเทศจีน ได้ศึกษาค้นคว้าเพื่อรู้แจ้งเห็นจริงทั้งทฤษฎีและการปฏิบัติ รวมทั้งผลงานของเมธีทางด้านปรัชญาและสังคมศาสตร์ เช่น คาร์ล มาร์กซ์|มาร์กซ์ ฟรีดริช เองเงิลส์|เองเงิลส์ วลาดีมีร์ เลนิน|เลนิน โจเซฟ สตาลิน|สตาลิน และเหมา เจ๋อตุง ในเชิงเปรียบเทียบสภาพสังคมไทยทุกแง่ทุกมุม เช่น ระบอบเศรษฐกิจ การเมือง ทัศนะสังคม ประวัติศาสตร์ ชนชาติ ศาสนา ขนบธรรมเนียม ประเพณี แล้วได้เรียบเรียงเป็นบทความ ซึ่งได้ตีพิมพ์ในโอกาสต่อมา งานเขียนชิ้นสำคัญของเขาที่นำพุทธปรัชญามาวิเคราะห์วิวัฒนาการของมนุษยสังคมคือ "ความเป็นอนิจจังของสังคม" ซึ่งได้รับการตีพิมพ์หลายครั้งและเป็นที่สนใจของผู้ที่ต้องการศึกษาอยู่ตลอดมา เพราะข้อความที่เขียนอันเป็นสัจจะอธิบายเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นได้ทุกยุคทุกสมัย ผลงานงานเขียนบางส่วนของปรีดี ได้แก่http://www.pridi-phoonsuk.org/pridi-bibliography บรรณานุกรมงานของปรีดี พนมยงค์, ห้องสมุดอิเล็กทรอนิกส์ ปรีดี-พูนศุข, เรียกข้อมูลวันที่ 11 พ.ย. 2552 * '''คำชี้แจงเค้าโครงการเศรษฐกิจและเค้าร่างพระราชบัญญัติว่าด้วยการประกันความสุขสมบูรณ์ของราษฎรกับเค้าร่างพระราชบัญญัติว่าด้วยการประกอบเศรษฐกิจ''',โรงพิมพ์ลหุโทษ,2476 * '''บันทึกข้อเสนอเรื่อง ขุดคอคอดกระ''', กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2502 * '''ชีวิตผันผวนของข้าพเจ้าและ 21 ปีที่ลี้ภัยในสาธารณรัฐราษฎรจีน (Ma vie mouvementee et mes 21 ans d' exil en Chine Populaire)''' * '''ความเป็นมาของชื่อ “ประเทศสยาม” กับ “ประเทศไทย”''' * '''จงพิทักษ์เจตนารมณ์ประชาธิปไตยสมบูรณ์ของวีรชน 14 ตุลาคม''' * '''ประชาธิปไตย เบื้องต้นสำหรับสามัญชน''' * '''ประชาธิปไตยและรัฐธรรมนูญเบื้องต้นกับการร่างรัฐธรรมนูญ''' * '''ปรัชญาคืออะไร''' * '''"ความเป็นไปบางประการในคณะผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์” ใน บางเรื่องเกี่ยวกับพระบรมวงศานุวงศ์'''… * '''บางเรื่องเกี่ยวกับการก่อตั้งคณะราษฎรและระบบประชาธิปไตย''' * '''ข้อสังเกตบางประการเกี่ยวกับเอกภาพของชาติและประชาธิปไตย''' * '''สำเนาจดหมายของนายปรีดีตอบบรรณาธิการสามัคคีสารเรื่อง ขอทราบความเห็นเกี่ยวกับเหตุการณ์ ๑๔-๑๕ ตุลาคม ๒๕๑๖ และสังคมสัญญาอันศักดิ์สิทธิ์แห่งรัฐธรรมนูญประชาธิปไตย''',ปราโมทย์ พึ่งสุนทร,2516 * '''ความเป็นเอกภาพกับปัญหาสามจังหวัดภาคใต้''', สหพันธ์นิสิตนักศึกษาชาวปักษ์ใต้แห่งประเทศไทย, 2517 * '''อนาคตของเมืองไทยกับสถานการณ์ของประเทศเพื่อนบ้าน''', ประจักษ์การพิมพ์, 2518 === ความคิดทางการเมืองและเศรษฐกิจ === หน่วยข่าวกรองฝรั่งเศสระบุว่า ปรีดีในวัยหนุ่ม "เป็นตัวการได้รับค่าจ้างของพวกโซเวียต ... เป็นสาวกลัทธิคอมมิวนิสต์" แต่หลังสงครามโลกครั้งที่สอง กระทรวงสงครามสหรัฐและโอเอสเอส ระบุว่า ปรีดีเป็นผู้นิยมประชาธิปไตยอย่างแท้จริง "นักเสรีนิยมและรูปเคารพของเหล่าปัญญาชนหนุ่มชาวสยาม" คณะผู้แทนทางทูตอเมริกันก็ระบุว่า ในอดีตเขาอาจโน้มเอียงไปทางคอมมิวนิสต์ แต่ปัจจุบัน (ปี 2488) เป็นแค่นักสังคมนิยมอ่อน ๆ เท่านั้น === ความสนใจ === ปรีดีมีความสนใจในแนวคิดระบอบประชาธิปไตยจากท่านอาจารย์เทียนวรรณและ ก.ศ.ร. กุหลาบ สมัยเรียนระดับมัธยมศึกษาhttps://pridi.or.th/th/content/2020/10/463 ปรีดีเคยเจอเขาทั้งสอง ! ก.ศ.ร. กุหลาบ และ เทียนวรรณ สถาบันปรีดี สืบค้นเมื่อ 19 ตุลาคม 2563 และเขายังสนใจในด้านศาสนาพุทธอีกด้วยสัมพันธ์ ก้องสมุทร, http://www.openbase.in.th/files/pridibook127.pdf ดอกโมกข์ ดอกไม้แห่งพุทธะและธรรมมาตา , ปีที่ 2 ไตรมาสที่ 1 ฉบับที่ 5, หน้า 93 โดยเฉพาะหนังสือเรื่อง "กฎบัตรของพุทธบริษัท" ที่พุทธทาสภิกขุส่งไปให้ ปรีดีพกไว้ในกระเป๋าเสื้อนอกติดตัวอยู่ตลอดเวลาตราบจนวาระสุดท้ายของชีวิตข่าวสด, http://www.khaosod.co.th/view_news.php?newsid=TUROd01ERXhOREV5TURrMU13PT0= เปิดหนังสือกฎบัตรพุทธบริษัท, วันที่ 12 กันยายน พ.ศ. 2553 ปีที่ 20 ฉบับที่ 7227 ข่าวสดรายวัน == เครื่องราชอิสริยาภรณ์ == ปรีดี พนมยงค์ ได้รับพระราชทานเครื่องราชอิสริยาภรณ์ทั้งไทยและต่างประเทศ ดังนี้ === เครื่องราชอิสริยาภรณ์ไทย === ราชกิจจานุเบกษา, https://ratchakitcha.soc.go.th/documents/1123167.pdf แจ้งความสำนักนายกรัฐมนตรี เรื่อง พระราชทานเครื่องราชอิสริยาภรณ์, เล่ม ๖๒ ตอนที่ ๗๐ ง หน้า ๑๙๐๐, ๑๑ ธันวาคม ๒๔๘๘ ราชกิจจานุเบกษา, https://ratchakitcha.soc.go.th/documents/1113945.pdf แจ้งความสำนักนายกรัฐมนตรี เรื่อง พระราชทานเครื่องราชอิสริยาภรณ์, เล่ม ๕๘ ตอนที่ ๐ ง หน้า ๑๙๔๕, ๑๙ มิถุนายน ๒๔๘๔ ราชกิจจานุเบกษา, https://ratchakitcha.soc.go.th/documents/1105366.pdf ประกาศ พระราชทานเครื่องราชอิสริยาภรณ์, เล่ม ๕๔ ตอนที่ ๐ ง หน้า ๒๒๑๓, ๑๓ ธันวาคม ๒๔๘๐ ราชกิจจานุเบกษา, https://ratchakitcha.soc.go.th/documents/1100585.pdf แจ้งความ พระราชทานเหรียญพิทักษ์รัฐธรรมนูญ, เล่ม ๕๒ ตอนที่ ๐ ง หน้า ๑๓๙, ๒๑ เมษายน ๒๔๗๘ ราชกิจจานุเบกษา, https://ratchakitcha.soc.go.th/documents/1107991.pdf แจ้งความสำนักนายกรัฐมนตรี เรื่อง พระราชทานเหรียญดุษฎีมาลา เข็มราชการแผ่นดิน, เล่ม ๕๕ ตอนที่ ๐ ง หน้า ๔๐๓๒, ๒๗ กุมภาพันธ์ ๒๔๘๑ ราชกิจจานุเบกษา, https://ratchakitcha.soc.go.th/documents/1113946.pdf แจ้งความสำนักนายกรัฐมนตรี เรื่อง พระราชทานเหรียญช่วยราชการเขตภายใน, เล่ม ๕๘ ตอนที่ ๐ ง หน้า ๑๙๔๗, ๒๓ มิถุนายน ๒๔๘๔ ราชกิจจานุเบกษา, https://ratchakitcha.soc.go.th/documents/1107498.pdf แจ้งความสำนักนายกรัฐมนตรี เรื่อง พระราชทานเหรียญรัตนาภรณ์, เล่ม ๕๕ ตอนที่ ๐ ง หน้า ๒๙๕๙, ๒๘ พฤศจิกายน ๒๔๘๑ === เครื่องราชอิสริยาภรณ์ต่างประเทศ === * : ** พ.ศ. 2478 – ไฟล์:JPN Kyokujitsu-sho 1Class BAR.svg|80px เครื่องราชอิสริยาภรณ์อาทิตย์อุทัย ชั้นที่ 1ราชกิจจานุเบกษา, https://ratchakitcha.soc.go.th/documents/1101795.pdf แจ้งความ เรื่อง ให้ประดับตราต่างประเทศ, เล่ม ๕๒ ตอนที่ ๐ ง หน้า ๓๓๗๔, ๑๖ กุมภาพันธ์ ๒๔๗๘ปรีดี พนมยงค์. '''Ma Vie Movementee et mes 21 Ans D' Exil en Chine Populaire''', แปลและเรียบเรียงโดย วิชิตวงศ์ ณ ป้อมเพชร จากหนังสือ ''บางหน้าของประวัติศาสตร์ ประสบการณ์ของบุคคลสำคัญต่าง ๆ ในอดีต'' -- กรุงเทพฯ : สำนักพิมพ์พิทยาคาร, พ.ศ. 2522 * : ** พ.ศ. 2481 – ไฟล์:Ribbon of Order of the German Eagle.svg‎|80px เครื่องอิสริยาภรณ์อินทรีเยอรมัน ชั้นสูงสุดราชกิจจานุเบกษา, https://ratchakitcha.soc.go.th/documents/1106397.pdf แจ้งความสำนักนายกรัฐมนตรี เรื่อง ให้ประดับเครื่องราชอิสริยาภรณ์ต่างประเทศ, เล่ม ๕๕ ตอนที่ ๐ ง หน้า ๑๖๒, ๑๘ เมษายน ๒๔๘๑ปรีดี พนมยงค์, http://www.openbase.in.th/files/pridibook080.pdf ชีวิตผันผวนของข้าพเจ้า และ 21 ปีที่ลี้ภัยในสาธารณรัฐราษฎรจีน , บทที่ 3 การเข้าพบมุสโสลินีฯ, สำนักพิมพ์เทียนวรรณ, 2529, หน้า 43 * : ** พ.ศ. 2473 – ไฟล์:Palmes academiques Officier ribbon.svg|80px เครื่องอิสริยาภรณ์วิชาการศึกษา ชั้นที่ 2ราชกิจจานุเบกษา, https://ratchakitcha.soc.go.th/documents/1089330.pdf พระราชทานพระบรมราชานุญาตประดับตราต่างประเทศ, เล่ม ๔๗ ตอนที่ ๐ ง หน้า ๔๑๖๔, ๘ กุมภาพันธ์ ๒๔๗๓ ** พ.ศ. 2482 – ไฟล์:Legion Honneur GC ribbon.svg|80px เครื่องอิสริยาภรณ์เลฌียงดอเนอร์ ชั้น สูงสุด ราชกิจจานุเบกษา, https://ratchakitcha.soc.go.th/documents/1109272.pdf แจ้งความสำนักนายกรัฐมนตรี เรื่อง ให้ประดับเครื่องอิสริยาภรณ์ต่างประเทศ, เล่ม ๕๖ ตอนที่ ๐ ง หน้า ๙๒๘, ๒๖ มิถุนายน ๒๔๘๒ปรีดี พนมยงค์ http://www.openbase.in.th/files/pridibook080.pdf ชีวิตผันผวนของข้าพเจ้า และ 21 ปีที่ลี้ภัยในสาธารณรัฐราษฎรจีน , สำนักพิมพ์เทียนวรรณ, 2529, หน้า 9 * : ** พ.ศ. 2482 – ไฟล์:BEL - Order of Leopold - Grand Cordon bar.svg|80px เครื่องราชอิสริยาภรณ์เลออปอล ชั้นที่ สูงสุดราชกิจจานุเบกษา, https://ratchakitcha.soc.go.th/documents/1109747.pdf แจ้งความสำนักนายกรัฐมนตรี เรื่อง ให้ประดับเครื่องราชอิสริยาภรณ์ต่างประเทศ, เล่ม ๕๖ ตอนที่ ๐ ง หน้า ๑๗๙๘, ๒๕ กันยายน ๒๔๘๒ * : ** พ.ศ. 2482 – ไฟล์:Cavaliere di gran Croce SSML BAR.svg|80px เครื่องราชอิสริยาภรณ์นักบุญมอริซและลาซารัส ชั้นที่ 1ราชกิจจานุเบกษา, https://ratchakitcha.soc.go.th/documents/1110026.pdf แจ้งความสำนักนายกรัฐมนตรี เรื่อง ให้ประดับเครื่องราชอิสริยาภรณ์ต่างประเทศ, เล่ม ๕๖ ตอนที่ ๐ ง หน้า ๒๕๕๖, ๒๐ พฤศจิกายน ๒๔๘๒ * : ** พ.ศ. 2482 – ไฟล์:UK Order St-Michael St-George ribbon.svg|80px เครื่องราชอิสริยาภรณ์นักบุญไมเคิลและจอร์จ ชั้นที่ 1ราชกิจจานุเบกษา, https://ratchakitcha.soc.go.th/documents/1110084.pdf แจ้งความสำนักนายกรัฐมนตรี เรื่อง ให้ประดับเครื่องราชอิสริยาภรณ์ต่างประเทศ, เล่ม ๕๖ ตอนที่ ๐ ง หน้า ๒๖๕๐, ๔ ธันวาคม ๒๔๘๒ * : ** พ.ศ. 2489 – ไฟล์:Medal of Freedom stripe gullpalme.svg|80px เหรียญออฟฟรีดอม ประดับใบปาล์มทอง * : ** พ.ศ. 2490 – ไฟล์:SWE Order of Vasa - Commander Grand Cross BAR.png|80x80px เครื่องราชอิสริยาภรณ์วาซา ชั้นที่ 1 == มรดก == ไฟล์:Statues of Pridi Banomyong (I).jpg|thumb|right|อนุสาวรีย์ปรีดี พนมยงค์ ณ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ไฟล์:Pridixx.JPG|thumb|right|ถนนสุขุมวิท 71 (ปรีดี พนมยงค์) === วันสำคัญ === ทุกวันที่ 11 พฤษภาคมของทุกปีเป็นวันปรีดี พนมยงค์ ซึ่งเป็นวันคล้ายวันเกิดของปรีดี พนมยงค์ ในวาระครบรอบ 100 ปีชาตกาล เมื่อปี 2543 ปรีดีได้รับการประกาศยกย่องจากยูเนสโกให้เป็นบุคคลสำคัญของโลก และได้มีการบรรจุชื่อไว้ในปฏิทินเฉลิมฉลองบุคคลสำคัญของยูเนสโกhttp://www.unesco.org/eri/cp/cp-print.asp?country=TH&language=E This system is currently under maintenance ในโอกาสนั้น คีตกวี สมเถา สุจริตกุล ประพันธ์ซิมโฟนีชื่อ ปรีดีคีตานุสรณ์ เพื่อยอเกียรติกฤษณา อโศกสิน, http://www.sakulthai.com/DSakulcolumndetail.asp?stauthorid=14&stcolcatid=2&stcolumnid=156&stissueid=2387 หน้าต่างบานใหม่ , สกุลไทย, ฉบับที่ 2387 ปีที่ 46 ประจำวันอังคารที่ 18 กรกฎาคม 2543 === พันธุ์สัตว์ === เมื่อ พ.ศ. 2546 มีการค้นพบปลาปล้องทองปรีดี (''Schistura pridii'') ในเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าเชียงดาว|เขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าดอยเชียงดาว อำเภอเชียงดาว จังหวัดเชียงใหม่ โดยตั้งชื่อตามนามของเขา ชวลิต วิทยานนท์, ''ปลาปล้องทองปรีดี ปลาชนิดใหม่ของโลก'', นิตยสารสารคดี ปีที่ 19 ฉบับที่ 222, หน้า 38 และเอช.จี.ไดแนน (H.G.Deignan) ค้นพบชนิดย่อยใหม่ของนกเขียวก้านตองหน้าผากสีทอง สถาบันสมิทโซเนียนแห่งสหรัฐตั้งชื่อว่า นกปรีดี (''Chloropsis aurifrons pridii'') ที่ดอยอ่าง ดอยอินทนนท์ ไดแนน ยังตั้งชื่อนกเขียวก้านตองปีกสีฟ้าอีกชนิดย่อยหนึ่ง ที่พบกระจายพันธุ์อยู่ทางภาคใต้ เพื่อเป็นเกียรติแก่ขบวนการเสรีไทยว่า ''Chloropsis cochinchinensis seri-thai'' (ชื่อสามัญว่า นกเขียวก้านตองปีกสีฟ้าเสรีไทย หรือนกเสรีไทย) === สถานที่ === * อนุสรณ์สถานปรีดี พนมยงค์ มีอยู่ 2 ที่คือ บริเวณที่ดินถิ่นกำเนิดของปรีดี จังหวัดพระนครศรีอยุธยา เป็นอนุสรณ์สถานรำลึกปรีดี พนมยงค์ ตั้งอยู่ริมแม่น้ำเมือง ตรงข้ามวัดพนมยงค์ อนุสาวรีย์ปรีดีพนมยงค์เป็นรูปสัญลักษณ์ที่แสดงถึงอุดมการณ์อันสำคัญยิ่งของปรีดี 3 ประการคือ สันติภาพ เสรีไทยและประชาธิปไตยhttp://202.143.176.132/ict/dw57/5121/Predeepanomyong.html อนุสรณ์สถานปรีดีพนมยงค์ และห้องอนุสรณ์สถานบนตึกโดม มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ เป็นอนุสรณ์แห่งแรกที่ก่อสร้างขึ้นเพื่อรำลึกถึงปรีดี พนมยงค์https://es.foursquare.com/v/ลานปรด-พนมยงค/4c3b06c55810a59398e9b93c ลานปรีดี พนมยงค์ จาก es.foursquare.com * สถาบันปรีดี พนมยงค์ มูลนิธิปรีดี พนมยงค์ ได้จัดสร้างอาคารสถาบันปรีดี พนมยงค์ ขึ้น ณ ซอยทองหล่อ ถนนสุขุมวิท 55 สำหรับใช้ดำเนินกิจกรรมอันเป็นประโยชน์ต่อสังคมและราษฎรไทย เปิดอย่างเป็นทางการเมื่อวันที่ 24 มิถุนายน 2538http://www.pridiinstitute.com/autopage/show_page.php?h=6&s_id=7&d_id=1 ประวัติสถาบันปรีดี พนมยงค์, เว็บไซต์สถาบันปรีดี พนมยงค์ * ในมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์มีการตั้งอนุสรณ์แก่เขา ได้แก่ หอสมุดปรีดี พนมยงค์ เป็นหอสมุดกลางของมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์, วิทยาลัยนานาชาติปรีดี พนมยงค์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์|วิทยาลัยนานาชาติปรีดี พนมยงค์ ใช้สำหรับการเรียนการสอนหลักสูตรนานาชาติ โดยจัดตั้งขึ้นในวาระครบ 100 ปี ชาตกาลของเขาDMNEWS บล็อกข่าวส่งเสริมคนดี. (11 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2552). '''วิทยาลัยนานาชาติ"ปรีดี พนมยงค์" มิติใหม่ธรรมศาสตร์ สร้างนักศึกษาสู่ตลาดโลก.''' ออนไลน์. เข้าถึงได้จาก http://downmerngnews.blogspot.com/2009/02/blog-post_9025.html. (เข้าถึงเมื่อ: 21 กรกฎาคม 2553). เช่นเดียวกับมหาวิทยาลัยธุรกิจบัณฑิตย์ มีการตั้งคณะนิติศาสตร์ปรีดี พนมยงค์|ชื่อคณะนิติศาสตร์ตามชื่อเขาhttp://www.dpu.ac.th/law/about.html เกี่ยวกับคณะ–คณะนิติศาสตร์ ปรีดี พนมยงค์ * ห้องประชุมเฉลิมพระเกียรติฯ 6-1 (ปรีดี พนมยงค์) ชั้น 6 อาคารเฉลิมพระเกียรติฯ ใช้เป็นห้องประชุมสำหรับพิธีปฐมนิเทศนักศึกษาใหม่ และพิธีประสาทปริญญาบัตรสำหรับผู้สำเร็จการศึกษา และกิจกรรมอื่นๆ ตั้งอยู่ภายในมหาวิทยาลัยธุรกิจบัณฑิตย์ File:ช่องบรรจุอัฐิ ปรีดี-พูนศุข พนมยงค์ ภายในพระเจดีย์ วัดพระศรีมหาธาตุวรมหาวิหาร.jpg|thumb|ช่องเก็บอัฐิของปรีดี และท่านผู้หญิงพูนศุข พนมยงค์ ภริยา ภายในพระเจดีย์ วัดพระศรีมหาธาตุวรมหาวิหาร === อื่น ๆ === * ถนนปรีดี พนมยงค์ มีอยู่ 3 สาย คือที่ถนนสุขุมวิท 71, ถนนใจกลางเมืองพระนครศรีอยุธยา และภายในมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ศูนย์รังสิต * สะพานปรีดี-ธำรง สะพานข้ามแม่น้ำป่าสักอันเป็นทางเข้าออกหลักของเกาะเมืองพระนครศรีอยุธยา ตั้งตามชื่อปรีดี พนมยงค์ และหลวงธำรงนาวาสวัสดิ์เกื้อกูล ยืนยงอนันต์. (2527). ความเปลี่ยนแปลงภายในเกาะเมืองพระนครศรีอยุธยาระหว่าง พ.ศ. 2438-2500. พระนครศรีอยุธยา : ภาควิชาประวัติศาสตร์ คณะวิชามนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์ วิทยาลัยครูพระนครศรีอยุธยา. ถ่ายเอกสาร. * ถนนประดิษฐ์มนูธรรม เป็นถนนเลียบทางพิเศษฉลองรัช (ทางด่วนสายรามอินทรา-อาจณรงค์) มีความยาว 12 กิโลเมตร * แสตมป์ ชุดที่ระลึก 111 ปีชาตกาล ปรีดี พนมยงค์ โดยบริษัท ไปรษณีย์ไทย จำกัด วางจำหน่ายครั้งแรก 11 พฤษภาคม พ.ศ. 2554http://www.thairath.co.th/content/170565 ปณท ออกแสตมป์100ปี หลวงพ่อปัญญา-ปรีดี พนมยงค์  == ในวัฒนธรรมสมัยนิยม == ในปี พ.ศ. 2567 ได้มีการสร้างแอนิเมชันเรื่อง ''๒๔๗๕ รุ่งอรุณแห่งการปฏิวัติ'' โดยมีตัวละคร ปรีดี พนมยงค์ พากย์เสียงโดย สุเมธ องอาจ == ภาพลักษณ์ == Quote box |quote = พ่อนำชาติด้วยสมองและสองแขน พ่อสร้างแคว้นธรรมศาสตร์ประกาศศรี พ่อของข้านามระบือชื่อ 'ปรีดี' แต่คนดีเมืองไทยไม่ต้องการ |source = —พรรคแสงธรรม มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ไฟล์:Pridi Banomyong 1947.jpg|thumb|180px|ปรีดี พนมยงค์ ในปี 2490 ภาพลักษณ์ของปรีดี พนมยงค์ถูกสร้างไปสองทางทั้งบวกและลบ มีความสำคัญเชิงสัญลักษณ์ในการเมืองและสังคมไทย ซึ่งสะท้อนถึงการต่อสู้ระหว่างเผด็จการทหาร อนุรักษนิยมและนิยมเจ้า กับเสรีนิยมและสังคมนิยม เผด็จการทหารสร้างภาพลักษณ์เขาในทางลบเพื่อสร้างความมั่นคงทางการเมืองแก่ตนเอง อนุรักษนิยมและนิยมเจ้าพยายามรักษาบทบาทของพระมหากษัตริย์ในระบอบประชาธิปไตย ส่วนฝ่ายหลังพยายามสร้างภาพลักษณ์ในทางที่ดีเพื่อเป็นสัญลักษณ์ของการต่อสู้กับเผด็จการ สำหรับสุลักษณ์ ศิวรักษ์ เขายกย่องปรีดีว่ามีความสำคัญเทียบเท่าเหมาเจ๋อตงของจีน โฮจิมินห์ของเวียดนาม และชวาหะร์ลาล เนห์รูของอินเดีย และจากกรณียกิจเป็นผู้นำขบวนการกู้ชาติของเขาทำให้เขาอยู่ในสถานะที่ไม่แพ้สมเด็จพระนเรศวรมหาราชและสมเด็จพระเจ้ากรุงธนบุรี เขาได้รับยกย่องว่าเป็นมันสมองของคณะราษฎร เป็นนักการเมืองผู้ซื่อสัตย์และมีอุดมการณ์ ทั้งมีความคิดก้าวหน้า จุดยืนทางการเมืองของเขานำมาซึ่งปัญหาทางการเมือง จากความในประกาศคณะราษฎร ฉบับที่ 1 เขาถูกมองว่าเป็นนักประชาธิปไตยที่ไม่นิยมเจ้าไปจนถึงเป็นผู้นิยมระบอบสาธารณรัฐ ภาพลักษณ์ของเขาค่อย ๆ ดีขึ้นหลังกบฏบวรเดชล้มเหลว จนระหว่างสงครามโลกครั้งที่สองที่เขาได้เป็นหัวหน้าขบวนการเสรีไทย และได้ดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีหลังสงครามยุตินับเป็นช่วงที่เขามีภาพลักษณ์ทางบวกสูงสุด อย่างไรก็ดี แม้เขาจะหันมาแสดงว่าจะฟื้นฟูบทบาทของสถาบันพระมหากษัตริย์ในสังคมไทยแล้วก็ตาม แต่กลุ่มการเมืองอนุรักษนิยมและนิยมเจ้ายังคงแคลงใจอยู่ จากกรณีสวรรคตของรัชกาลที่ 8 เกิดข่าวลือว่าพระเจ้าอยู่หัวถูกลอบปลงพระชนม์แพร่ไปไม่หยุด พลโท ผิน ชุณหะวัณ และกาจ กาจสงคราม|หลวงกาจสงคราม (เก่ง ระดมยิง) เป็นผู้มีส่วนสำคัญในการกระพือข่าวกล่าวหาว่าปรีดีเป็นผู้บงการกรณีสวรรคต ต่อมา รัฐประหารในประเทศไทย พ.ศ. 2490|คณะทหารนอกราชการผู้ก่อรัฐประหารปี 2490 ออกหมายจับปรีดีฐานลอบปลงพระชนม์ ในระหว่างคดียังไม่สิ้นสุดนั้น คณะรัฐประหารก็กุเรื่องเพิ่มเติมว่าปรีดีเป็นคอมมิวนิสต์และอยากเป็นประธานาธิบดีด้วยเพื่อลดแรงต่อต้านจากคู่แข่งทางการเมือง สำหรับกลุ่มอนุรักษนิยม-นิยมเจ้าเองก็พยายามสร้างให้ปรีดีเป็นปีศาจการเมืองด้วยเช่นกัน พระพินิจชนคดี (พินิจ อินทรทูต) ซึ่งได้รับแต่งตั้งจากคณะรัฐประหารให้เป็นประธานคณะกรรมการสืบสวนกรณีสวรรคต พยายามสรุปคดีโดยโทษว่าปรีดีเป็นผู้บงการ หม่อมราชวงศ์เสนีย์ ปราโมชเขียนอธิบายลดบทบาทของปรีดีในขบวนการเสรีไทยในประเทศไทย โดยว่าเป็นเพียงผู้จัดตั้งกำลังติดอาวุธเท่านั้น มีคนบางส่วนพยายามแก้ต่างให้ปรีดี ส่วนหนึ่งเพราะเป็นศิษย์และพันธมิตรทางการเมือง ส่วนหนึ่งเป็นปัญญาชนที่ไม่เห็นด้วยกับวิธีสร้างปรีดีเป็นปีศาจการเมือง เดือน บุนนาคและไสว สุทธิพิทักษ์เขียนหนังสือชีวประวัติให้ปรีดีเพื่อเชิดชูเกียรติ นักเขียน 4 คน ประกอบด้วยอัศนี พลจันทร (กุลิศ อินทุศักดิ์), อิศรา อมันตกุล, ดาวหาง และ อ. อุดากร เขียนแสดงความเห็นใจที่ปรีดีแพ้ในกบฏวังหลวง|ความพยายามรัฐประหารที่ล้มเหลวในปี 2492 และว่าเป็นโศกนาฏกรรมของคนดี อย่างไรก็ดี ความพยายามเหล่านี้ไม่เพียงพอบดบังกระแสปีศาจการเมืองปรีดีที่ครอบงำการเมืองไทยในพุทธทศวรรษ 2490 ได้ ตำนานปีศาจการเมืองปรีดีเริ่มเสื่อมพลังลงในทศวรรษต่อมา หลังกลุ่มทหารที่ครองอำนาจทางการเมืองหันไปให้ความสนใจกับการแสดงออกของกลุ่มนักศึกษาแทน ในช่วงเวลานั้นยังมีการกล่าวหาปรีดีถึงกรณีสวรรคตอยู่ ได้มอบหมายทนายให้ฟ้องร้องหมิ่นประมาทต่อบริษัทสยามรัฐ, หม่อมราชวงศ์คึกฤทธิ์ ปราโมช กับพวกและชนะคดี ในสมัยรัฐบาลจอมพลถนอม กิตติขจร เขาปฏิเสธเป็นตัวแทนรัฐบาลไทยเพื่อเจรจาปัญหาผู้ลี้ภัยอินโดจีนเพราะเห็นว่าพลังนักศึกษาขณะนั้นกำลังต่อต้านจอมพลถนอม หลังเหตุการณ์ 14 ตุลา ปรีดีสามารถถ่ายทอดความคิดของตนผ่านทางหนังสือพิมพ์ที่ตนมีสายสัมพันธ์ดีด้วย และเปิดโอกาสให้หนังสือพิมพ์ต่าง ๆ เข้าสัมภาษณ์หลังถูกหนังสือพิมพ์ตะวันตกโจมตีระหว่างลี้ภัยในจีน ชีวประวัติของปรีดีได้รับการเผยแพร่โดยงานเขียนของปราโมทย์ พึ่งสุนทรและสุพจน์ ด่านตระกูลตั้งแต่ปี 2513 นิสิตนักศึกษาและปัญญาชนให้ความสนใจกับการติดต่อปรีดีมากเพิ่มขึ้นสูงสุดแต่ก็ลดลงอย่างรวดเร็ว ปัจจัยหนึ่งเพราะปรีดีต้องการเปลี่ยนแปลงทางการเมืองแบบค่อยเป็นค่อยไป แต่นักศึกษาต้องการเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว อีกทั้งสถานการณ์การเมืองต่อมายังผลักดันให้นักศึกษามองว่าการร่วมกับพรรคคอมมิวนิสต์แห่งประเทศไทยเป็นทางออก แม้หลังเหตุการณ์ 6 ตุลา 2519 ยังมีงานเขียนพาดพิงถึงปรีดีในแง่ลบอยู่บ้าง และเขาเคลื่อนไหวโดยการฟ้องคดีหมิ่นประมาทและชนะคดี ปัญญาชนก็หันมามองเขาว่าเป็นสัญลักษณ์แห่งเสรีนิยม ในปี 2527 มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ที่ตกอยู่ใต้การควบคุมของรัฐบาลที่มองปรีดีเป็นศัตรูมาหลายยุคสมัยจึงเกิดวิกฤตด้านอัตลักษณ์ จึงมีความพยายามให้ความสำคัญแก่ปรีดีเป็นสัญลักษณ์ของมหาวิทยาลัย อนุสาวรีย์ปรีดีได้รับก่อสร้างขึ้นในมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ซึ่งสะท้อนถึงการต่อสู้เพื่อสร้างความทรงจำร่วมของสังคม ภาพลักษณ์เสรีนิยมดังกล่าวพรรคประชาธิปัตย์ยังนำไปใช้หาเสียงในปี 2535 การเชิดชูปรีดีให้เป็นบุคคลสำคัญของโลกโดยยูเนสโกในปี 2543 ส่งผลลบล้างมลทินของเขา สัญลักษณ์ว่ารัฐบาลยอมรับการเปลี่ยนแปลงภาพลักษณ์ของปรีดี เริ่มจากการเปลี่ยนชื่อถนนสุขาภิบาล 2 เป็นถนนเสรีไทย ตามมาด้วยการเปลี่ยนชื่อสถานที่ต่าง ๆ ว่าเกี่ยวข้องกับปรีดี สุลักษณ์ ศิวรักษ์ยังกลายมาเป็นผู้มีส่วนสำคัญคนหนึ่งในการตั้งกองทุน 100 ปี ชาตกาล ศาสตราจารย์ ดร.ปรีดี พนมยงค์ โดยให้เหตุผลว่าต้องการไถ่โทษที่ตนเคยเข้าใจปรีดีผิด นอกจากนี้เขายังได้รับเสนอชื่อเป็นชาวเอเชียแห่งศตวรรษด้วยAsia Week, http://www-cgi.cnn.com/ASIANOW/asiaweek/aoc Asian of the century == ลำดับสาแหรก == == เชิงอรรถ == == อ้างอิง == == แหล่งข้อมูลอื่น == * https://pridi.or.th/ สถาบันปรีดี พนมยงค์ เว็บไซต์สถาบันปรีดี พนมยงค์ * http://www.pridi-phoonsuk.org/ ห้องสมุดอิเล็กทรอนิกส์ ปรีดี-พูนศุข รวบรวมประวัติ ภาพ และผลงานของ ปรีดี พนมยงค์ และภรรยา พูนศุข พนมยงค์ * http://www.sarakadee.com/feature/2000/04/index.htm 100 ปีของสามัญชน นาม ปรีดี พนมยงค์ นิตยสารสารคดี ฉบับที่ 182 เดือน เมษายน 2543 * http://www.bbc.co.uk/thai/highlights/story/2006/03/060309_pick_of_bbc_interview.shtml สัมภาษณ์ปรีดี พนมยงค์ รัฐบุรุษอาวุโส เมื่อ พ.ศ. 2525 ในโอกาสครบรอบ 50 ปี การปฏิวัติเปลี่ยนแปลงการปกครอง พ.ศ. 2475 * http://www.openbase.in.th/files/pridibook151.pdf สัมภาษณ์พิเศษ ฯพณฯ ปรีดี พนมยงค์ ในโอกาสครบรอบ 48 ปีแห่งการเปลี่ยนแปลงการปกครอง (24 มิ.ย. 2523) Navboxes| |list1= หมวดหมู่:ปรีดี พนมยงค์| หมวดหมู่:สกุลพนมยงค์ หมวดหมู่:นายกรัฐมนตรีไทย หมวดหมู่:รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทยไทย หมวดหมู่:รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศไทย หมวดหมู่:รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังไทย หมวดหมู่:รัฐมนตรีไทยที่ไม่ได้ประจำกระทรวง หมวดหมู่:สมาชิกคณะราษฎร หมวดหมู่:สมาชิกขบวนการเสรีไทย หมวดหมู่:สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรไทยแบบแต่งตั้ง หมวดหมู่:สามัญสมาชิกเนติบัณฑิตยสภา หมวดหมู่:นักปฏิวัติ หมวดหมู่:นักปรัชญา หมวดหมู่:นักกฎหมายชาวไทย หมวดหมู่:นักกฎหมายมหาชน หมวดหมู่:นักการทูตชาวไทย หมวดหมู่:นักเศรษฐศาสตร์ชาวไทย หมวดหมู่:นักประวัติศาสตร์ชาวไทย หมวดหมู่:นักวิชาการชาวไทย หมวดหมู่:นักเขียนชาวไทย หมวดหมู่:ผู้อำนวยการสร้างภาพยนตร์ชาวไทย หมวดหมู่:ผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ของไทย หมวดหมู่:ผู้ได้รับเครื่องอิสริยาภรณ์เลฌียงดอเนอร์ หมวดหมู่:บรรดาศักดิ์ชั้นหลวง|ประดิษฐมนูธรรม หมวดหมู่:บุคคลจากโรงเรียนมัธยมวัดเบญจมบพิตร หมวดหมู่:บุคคลจากโรงเรียนสวนกุหลาบวิทยาลัย หมวดหมู่:บุคคลจากโรงเรียนอยุธยาวิทยาลัย หมวดหมู่:ศิษย์เก่ามหาวิทยาลัยก็อง หมวดหมู่:บุคคลจากมหาวิทยาลัยปารีส หมวดหมู่:อธิการบดีมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ หมวดหมู่:ศาสตราจารย์ หมวดหมู่:บุคคลจากอำเภอพระนครศรีอยุธยา หมวดหมู่:ชาวไทยเชื้อสายจีน หมวดหมู่:ข้าราชการฝ่ายตุลาการชาวไทย หมวดหมู่:บุคคลในสงครามโลกครั้งที่สอง หมวดหมู่:ชาวไทยที่เสียชีวิตในประเทศฝรั่งเศส หมวดหมู่:สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรจังหวัดพระนครศรีอยุธยา หมวดหมู่:ผู้เขียนอัตชีวประวัติชาวไทย หมวดหมู่:สมาชิกเครื่องราชอิสริยาภรณ์อาทิตย์อุทัยชั้นที่ 1 หมวดหมู่:ผู้ลี้ภัยชาวไทย หมวดหมู่:บุคคลในประวัติศาสตร์ไทย พ.ศ. 2475–2516 หมวดหมู่:บุคคลในประวัติศาสตร์ไทย พ.ศ. 2516–2544 หมวดหมู่:ผู้ก่อตั้งพรรคการเมืองในประเทศไทย หมวดหมู่:ชาวไทยในสงครามโลกครั้งที่สอง
ปรีดี พนมยงค์
Infobox scientist | name = สตีเฟน ฮอว์กิง | image = Stephen Hawking.StarChild.jpg | image_size = 200p 1980 | birth_date = | birth_place = ออกซฟอร์ด, อังกฤษ | death_date = | death_place = เคมบริดจ์, อังกฤษ | residence = สหราชอาณาจักร | citizenship = | nationality = อังกฤษ | religion = การไม่มีศาสนา|ไม่มีศาสนา | ethnicity = | fields = | workplaces = | alma_mater = | doctoral_advisor = Dennis William Sciama|Dennis Sciama | academic_advisors = Bob Berman|Robert Berman | doctoral_students = | notable_students = | known_for = | author_abbrev_bot = | author_abbrev_zoo = | influenced = | influences = | awards = | spouse = | footnotes = | signature = Hawkingsig.svg '''สตีเฟน วิลเลียม ฮอว์กิง''' (; 8 มกราคม ค.ศ. 1942 – 14 มีนาคม ค.ศ. 2018) เป็นนักฟิสิกส์ทฤษฎี นักจักรวาลวิทยา และนักเขียน ศาสตราจารย์ประจำมหาวิทยาลัยเคมบริดจ์ หนังสือวิทยาศาสตร์ของเขาและการปรากฏตัวต่อสาธารณะได้ทำให้เขาเป็นผู้มีชื่อเสียงด้านวิชาการ ผลงานวิทยาศาสตร์สำคัญของเขาจนถึงปัจจุบันมีการบัญญัติทฤษฎีบทเกี่ยวกับภาวะเอกฐานเชิงความโน้มถ่วงในกรอบของทฤษฎีสัมพัทธภาพทั่วไป ร่วมกับโรเจอร์ เพนโรส และการทำนายเชิงทฤษฎีที่ว่าหลุมดำควรปล่อยรังสี ซึ่งปัจจุบันมีชื่อว่า รังสีฮอว์กิง (บางครั้งเรียก รังสีเบเคนสไตน์-ฮอว์กิง) ฮอว์กิงป่วยจากโรคอะไมโอโทรฟิก แลเทอรัล สเกลอโรซิส (ALS) ชนิดหายาก ซึ่งเริ่มมีอาการเร็ว แต่ดำเนินโรคช้า ทำให้เขามีอาการกล้ามเนื้ออ่อนแรงลงเรื่อย ๆ เป็นเวลาหลายสิบปี จนกระทั่งต้องสื่อสารโดยใช้Speech-generating device|อุปกรณ์สังเคราะห์เสียงพูด ควบคุมผ่านกล้ามเนื้อมัดเดียวในแก้ม เขาแต่งงานสองครั้งและมีลูกสามคน ฮอว์กิงประสบความสำเร็จกับผลงานวิทยาศาสตร์สำหรับบุคคลทั่วไป (popular science) ซึ่งเขาอภิปรายทฤษฎีของเขาและจักรวาลวิทยาโดยรวม ซึ่งมีประวัติย่อของกาลเวลา (''A Brief History of Time'') และจักรวาลในเปลือกนัท (T''he Universe in a Nutshell'') ซึ่งอยู่ในรายการขายดีที่สุดของบริติชซันเดย์ไทมส์ทำลายสถิตินานถึง 237 สัปดาห์ สตีเฟน ฮอว์กิง เสียชีวิตในวันที่ 14 มีนาคม ค.ศ. 2018 อายุ 76 ปี == ประวัติ == '''สตีเฟน ฮอว์กิง'''เกิดเมื่อวันที่ 8 มกราคม พ.ศ. 2485 ที่เมืองออกซฟอร์ดไชร์ ประเทศอังกฤษ ในวัยเด็กเข้าเรียนหนังสือที่โรงเรียนเซนต์แอลแบน จากนั้นเข้าศึกษาต่อสาขาคณิตศาสตร์และฟิสิกส์จากมหาวิทยาลัยออกซฟอร์ด และรับปริญญาตรี เกียรตินิยมอันดับ 1 เมื่อปี พ.ศ. 2505 ต่อมาได้เข้าศึกษาที่ทรินิตีคอลเลจ มหาวิทยาลัยเคมบริดจ์ ในสาขาจักรวาลวิทยา และได้รับปริญญาดุษฎีบัณฑิตเมื่อปี พ.ศ. 2509 หลังจากนั้นก็ได้รับการคัดเลือกเป็นนักวิจัยที่มหาวิทยาลัยออกซฟอร์ด ต่อมาเขาได้ก่อตั้งและรับหน้าเป็นผู้อำนวยการ ศูนย์วิจัยทฤษฎีทางจักรวาลวิทยา (Centre for Theoretical Cosmology) แห่งมหาวิทยาลัยเคมบริดจ์ จวบจนสิ้นอายุขัย ในต้นทศวรรษที่ 1960 (ประมาณ พ.ศ. 2503-2508) สตีเฟน ฮอว์กิงก็มีอาการที่เรียกว่า amyotrophic lateral sclerosis (ALS) อันเป็นอาการผิดปกติของระบบประสาทโดยไม่ทราบสาเหตุ โดยมีผลกับประสาทสั่งการ (motor neurons) นั่นคือ เส้นประสาทที่ควบคุมการเคลื่อนไหวของ กล้ามเนื้อ กล้ามเนื้อส่วนนั้นจะอ่อนแอลงจนเกือบเป็นอัมพาต แต่เขายังคงทำงานวิชาการต่อไป == การทำงาน == ฮอว์กิงเริ่มทำงานในสาขาสัมพัทธภาพทั่วไป และเน้นที่ฟิสิกส์ของหลุมดำ เมื่อปี พ.ศ. 2508 ขณะที่กำลังทำงานวิจัยสำหรับดุษฎีนิพนธ์เพื่อทำดุษฎีบัณฑิต ฮอว์กิงได้อ่านรายงานของนักคณิตศาสตร์และนักฟิสิกส์ ชื่อ โรเจอร์ เพนโรส (Roger Penrose) ซึ่งเพนโรสเสนอทฤษฎีที่ว่าดวงดาวที่ระเบิดอยู่ภายใต้แรงโน้มถ่วงของตัวเอง จะมีปริมาตรเป็นศูนย์ และมีความหนาแน่นเป็นอนันต์ อันเป็นสภาพที่นักฟิสิกส์เรียกว่า ซิงกูลาริตี้ (singularity) ผลลัพธ์ที่ได้ก็คือ'''หลุมดำ''' ซึ่งไม่ว่าแสงหรือวัตถุใด ๆ ก็หนีออกมาไม่ได้ จากนั้น ในปี พ.ศ. 2513 ฮอว์กิงและเพนโรสก็ได้ร่วมกันเขียนรายงานสรุปว่าทฤษฎีสัมพัทธภาพทั่วไปของไอน์สไตน์ นั้นกำหนดให้เอกภพต้องเริ่มต้นในซิงกูลาริตี้ ซึ่งปัจจุบันนี้รู้จักกันว่า บิ๊กแบง และจะสิ้นสุดลงที่ หลุมดำ|หลุมดำ (black hole) ฮอว์กิงเสนอว่า หลุมดำไม่ควรจะเป็นหลุมดำเสียทีเดียว แต่ควรจะแผ่รังสีอะไรออกมาบ้าง โดยเริ่มที่วัตถุจำนวนมหาศาลนับพันล้านตัน แต่มีความหนาแน่นสูง คือกินเนื้อที่ขนาดเท่าโปรตอน เขาเรียกวัตถุเหล่านี้ว่า'''หลุมดำจิ๋ว''' (mini black hole) ซึ่งมีแรงโน้มถ่วงและมวลมหาศาล แต่สุดท้ายหลุมดำนี้ก็จะระเหิดหายไป การค้นพบนี้ถือเป็นงานชิ้นเยี่ยมชิ้นหนึ่งของฮอว์กิง เมื่อ ปี พ.ศ. 2517 เขาได้เป็นสมาชิกที่มีอายุน้อยที่สุดของราชบัณฑิตยสถานของอังกฤษ และได้รับตำแหน่งศาสตราจารย์สาขาฟิสิกส์แรงโน้มถ่วง ที่มหาวิทยาลัยเคมบริดจ์ในปี พ.ศ. 2520 และเมื่อในปี พ.ศ. 2522 ก็ได้รับการแต่งตั้งเป็น “เมธีคณิตศาสตร์ลูเคเชียน” (Lucasian Chair of Mathematics - เป็นตำแหน่งที่ตั้งขึ้นครั้งแรกเมื่อ พ.ศ. 2206 (ตรงกับรัชสมัยสมเด็จพระนารายณ์มหาราช) บุคคลที่ 2 ที่ได้รับตำแหน่งนี้ก็คือ เซอร์ไอแซก นิวตัน คนทั่วไปจึงเปรียบเทียบสตีเฟน ฮอว์กิง กับนิวตันและไอนสไตน์) สตีเฟน ฮอว์กิงคิดว่ามีความเป็นไปได้ที่นักฟิสิกส์จะพัฒนาทฤษฎีที่จะรวมเอาแรงทั้ง 4 ของธรรมชาติเข้าด้วยกัน นั่นคือ แรงโน้มถ่วง, แรงแม่เหล็กไฟฟ้า, แรงนิวเคลียร์แบบอ่อน และแรงนิวเคลียร์แบบเข้ม อันจะนำไปสู่ '''ทฤษฎีสรรพสิ่ง''' (Theory of Everything) ที่เคยกล่าวกันมา ส่วนเรื่องการขยายตัวของเอกภพนั้น ฮอว์กิงคิดว่า เอกภพขยายตัวออกไปโดยมีความเร่ง == ชีวิตส่วนตัว == สตีเฟน ฮอว์กิงแต่งงานครั้งแรกกับ'''เจน ไวลด์''' ภายหลังได้หย่าร้าง และแต่งงานใหม่กับพยาบาล ชื่อ '''เอเลน เมสัน''' สตีเฟน ฮอว์กิงต้องนั่งรถไฟฟ้าที่ควบคุมด้วยระบบคอมพิวเตอร์ เนื่องจากเขาพูดและขยับตัวไม่ได้ ทำได้เพียงขยับนิ้วและกะพริบตา แต่ก็ยังสามารถสื่อสารกับโลกภายนอกได้ด้วยอุปกรณ์พิเศษที่สังเคราะห์เสียงพูดได้จากตัวอักษร ==การเสียชีวิต== ฮอว์กิงเสียชีวิตเมื่อตอนเช้าวันที่ 14 มีนาคม พ.ศ. 2561 ที่บ้านของเขาในเมืองเคมบริดจ์ ประเทศอังกฤษ สาเหตุการเสียชีวิตยังนั้นไม่เป็นที่เปิดเผย โดยทางครอบครัวได้ออกมาแสดงความเศร้าเสียใจ และกล่าวแต่เพียงว่าเขาเสียชีวิตอย่างสงบ == ผลงาน == * Plan of The Blume "Road to Smart City" (1965) * A Large Scale Structure of Space-Time ร่วมกันเขียนกับ G.F.R. Ellis (1973) * Superspace and Supergravity (1981) * The Very Early Universe (1983) * http://en.wikipedia.org/wiki/A_Brief_History_of_Time A Brief History of Time : from the Big Bang to Black Holes (1988) * Black Holes and Baby Universe and Other Essays (1994) * http://en.wikipedia.org/wiki/The_Universe_in_a_Nutshell The Universe In A Nutshell (2001) *:en:The_Grand_Design_(book)|The Grand Design ร่วมกันเขียนกับ Leonard Mlodinow (2010) ซึ่งเยอะมากๆ == อ้างอิง == == หนังสืออ่านเพิ่ม == * A layman's guide to Stephen Hawking * Ferguson, Kitty (1991). ''Stephen Hawking: Quest For A Theory of Everything''. Franklin Watts. ISBN 0-553-29895-X * Highly influential in the field. * A much cited centennial survey. * * * Clifford A. Pickover|Pickover, Clifford, ''Archimedes to Hawking: Laws of Science and the Great Minds Behind Them'', Oxford University Press, 2008, ISBN 978-0-19-533611-5 == แหล่งข้อมูลอื่น == * http://www.hawking.org.uk/ เว็บไซต์ของสตีเฟน ฮอว์กิง หมวดหมู่:นักฟิสิกส์ชาวอังกฤษ หมวดหมู่:บุคคลจากออกซฟอร์ด หมวดหมู่:ผู้ได้รับอิสริยาภรณ์เหรียญแห่งอิสรภาพของประธานาธิบดี หมวดหมู่:บุคคลจากมหาวิทยาลัยเคมบริดจ์ หมวดหมู่:คนพิการ หมวดหมู่:ผู้ได้รับเครื่องราชอิสริยาภรณ์ซีบีอี หมวดหมู่:ชาวอังกฤษเชื้อสายสกอตแลนด์
สตีเฟน ฮอว์กิง
กล่องข้อมูล ชีวประวัติ 2 | name = อัลเบิร์ต ไอน์สไตน์ | image = Einstein1921 by F Schmutzer 2.jpg | alt = | caption = ภาพถ่ายของไอน์สไตน์ขณะมีอายุ 42 ปี | birth_date = 14 มีนาคม พ.ศ. 2422 | birth_place = อุล์ม ราชอาณาจักรเวือร์ทเทิมแบร์ค จักรวรรดิเยอรมัน | death_date = 18 เมษายน พ.ศ. 2498 (76 ปี) | death_place = พรินสตัน รัฐนิวเจอร์ซีย์ สหรัฐ | nationality = ราชอาณาจักรเวือร์ทเทิมแบร์ค|เวือร์ทเทิมแบร์ค (พ.ศ. 2422–2439) ความไร้สัญชาติ|ไร้สัญชาติ (พ.ศ. 2439–2444) ประเทศสวิตเซอร์แลนด์|สวิตเซอร์แลนด์ (พ.ศ. 2444-2498) จักรวรรดิออสเตรีย-ฮังการี|ออสเตรีย-ฮังการี (พ.ศ. 2454-2455) จักรวรรดิเยอรมัน (พ.ศ. 2457–2461) สาธารณรัฐไวมาร์ (พ.ศ. 2462–2476) สหรัฐ (พ.ศ. 2483–2498) | other_names = | known_for = ทฤษฎีสัมพัทธภาพทั่วไปทฤษฎีสัมพัทธภาพพิเศษปรากฏการณ์โฟโตอิเล็กทริกการเคลื่อนที่ของบราวน์สมการสนามของไอน์สไตน์ทฤษฎีแรงเอกภาพ | occupation = นักฟิสิกส์|นักฟิสิกส์ทฤษฎี | signature = Albert Einstein signature 1934.svg '''อัลเบิร์ต ไอน์สไตน์''' (, ) หรือ '''อัลแบร์ท ไอน์ชไตน์''' (; 14 มีนาคม ค.ศ. 1879 – 18 เมษายน ค.ศ. 1955) เป็นฟิสิกส์ทฤษฎี|นักฟิสิกส์ทฤษฎีชาวเยอรมันมาแต่โดยกำเนิด ซึ่งเป็นที่ยอมรับกันอย่างกว้างขวางว่าเป็นหนึ่งในนักฟิสิกส์ที่ยิ่งใหญ่ที่สุดตลอดกาล ไอน์สไตน์ได้เป็นที่รู้จักกันในการพัฒนาทฤษฎีสัมพัทธภาพ แต่เขายังมีส่วนสำคัญในการพัฒนากลศาสตร์ควอนตัม|ทฤษฎีกลศาสตร์ควอนตัม ทฤษฎีสัมพัทธภาพและทฤษฎีกลศาสตร์ควอนตัมเป็นสองเสาหลักของฟิสิกส์สมัยใหม่ สูตรความสมมูลมวล–พลังงานของเขา ''E'' = ''mc''2 ซึ่งเกิดจากทฤษฎีสัมพัทธภาพจึงได้รับการขนานนามว่า เป็น "สมการที่มีชื่อเสียงที่สุดในโลก" ผลงานของเขาได้เป็นที่รู้จักจากอิทธิพลที่มีต่อปรัชญาทางวิทยาศาสตร์ เขาได้รับรางวัลโนเบลสาขาฟิสิกส์ในปี ค.ศ. 1921 "สำหรับทำหน้าที่ทางด้านฟิสิกส์ทฤษฏี" โดยเฉพาะอย่างยิ่งสำหรับการค้นพบปรากฏการณ์โฟโตอิเล็กทริก ขั้นตอนสำคัญในการพัฒนาทฤษฎีกลศาสตร์ควอนตัม ความสำเร็จทางปัญญาและความคิดริเริ่มของเขาส่งผลให้ "ไอน์สไตน์" กลายเป็นคำพ้องที่มีความหมายตรงกับคำว่า "จีเนียส"(อัจฉริยะ) ในปี ค.ศ. 1905 ปีนั้นได้ถูกเรียกกันเป็นบางครั้งว่า ''annus mirabilis'' (ปีที่มหัศจรรย์) ไอน์สไตน์ได้ตีพิมพ์บทความถึงการค้นพบครั้งใหม่ถึงสี่ฉบับ สิ่งเหล่านี้แสดงให้เห็นถึงทฤษฏีปรากฏการณ์โฟโตอิเล็กทริก ซึ่งได้อธิบายถึงการเคลื่อนที่แบบบราวน์ เป็นการนำเสนอทฤษฎีสัมพัทธภาพพิเศษและแสดงให้เห็นถึงความสมมูลมวล–พลังงาน ไอน์สไตน์คิดว่ากฏของกลศาสตร์คลาสสิคไม่อาจสอดคล้องกับสนามแม่เหล็กไฟฟ้าได้อีกต่อไป ซึ่งทำให้เขาพัฒนาทฤษฏีสัมพันธภาพพิเศษ จากนั้นเขาได้ขยายทฤษฏีสนามแรงโน้มถ่วง เขาได้ตีพิมพ์บทความเกี่ยวกับทฤษฎีสัมพัทธภาพทั่วไปในปี ค.ศ. 1916 เป็นการนำเสนอทฤษฏีแรงโน้มถ่วง ในปี ค.ศ. 1917 เขาได้ใช้ทฤษฎีสัมพัทธภาพทั่วไปเพื่อสร้างแบบจำลองโครงสร้างของจักรวาล เขายังคงจัดการกับปัญหาของกลศาสตร์เชิงสถิติและทฤษฎีควอนตัม ซึ่งนำไปสู่การอธิบายทฤษฎีอนุภาคและการเคลื่อนที่ของโมเลกุล นอกจากนี้เขายังตรวจสอบคุณสมบัติทางความร้อนของแสงและทฤษฎีควอนตัมของการแผ่รังสี ซึ่งเป็นรากฐานของทฤษฎีโฟตอนของแสง อย่างไรก็ตาม ในช่วงเวลาต่อมาของอาชีพการงานของเขา เขาคิดค้นงานวิจัยอยู่สองอย่าง ซึ่งท้ายที่สุดแล้วก็ไม่ประสบความสำเร็จเลย งานแรก แม้ว่าเขาจะมีส่วนอย่างมากในกลศาสตร์ควอนตัม เขาไม่เห็นด้วยกับทฤษฎีของกลศาสตร์ควอนตัมที่พัฒนามาในภายหลังโดยปฏิเสธว่า ธรรมชาติ "จะไม่ทอยลูกเต๋า" งานที่สอง เขาได้พยายามคิดค้นทฤษฎีสนามรวม โดยสรุปทฤษฎีความโน้มถ่วงทางเรขาคณิตเพื่อรวมเข้ากับทฤษฎีแม่เหล็กไฟฟ้า เป็นผลทำให้เขาตีตัวออกห่างจากกระแสหลักของฟิสิกส์สมัยใหม่มากขึ้นเรื่อย ๆ ไอน์สไตน์เกิดในจักรวรรดิเยอรมัน แต่ย้ายไปอยู่ที่สวิตเซอร์แลนด์ในปี ค.ศ. 1895 ได้ละทิ้งสัญชาติเยอรมัน (เป็นเรื่องของราชอาณาจักรเวือร์ทเทิมแบร์ค) ภายหลังปีต่อมา ในปี ค.ศ. 1897 เมื่อมีอายุได้ 17 ปี เขาได้สมัครเรียนหลักสูตรการสอนคณิตศาสตร์และฟิสิกส์ระดับอนุปริญญาที่สถาบันเทคโนโลยีแห่งสหพันธ์สวิส ซือริช|โรงเรียนสารพัดช่างแห่งสหพันธรัฐสวิตเซอร์แลนด์ (ภายหลังเปลี่ยนชื่อเป็นสถาบันเทคโนโลยีแห่งสหพันธ์สวิส ซือริช) ในเมืองซือริช ซึ่งจบการศึกษาในปี ค.ศ. 1900 ในปี ค.ศ. 1901 เขาได้รับสัญชาติสวิส ซึ่งเขาได้เก็บเอาไว้ตลอดชีวิตที่เหลืออยู่ และในปี ค.ศ. 1903 เขาได้ดำรงตำแหน่งอย่างถาวรที่สำนักงานสิทธิบัตรสวิสในกรุงเบิร์น ในปี ค.ศ. 1905 เขาได้รับปริญญาเอกจากมหาวิทยาลัยซือริช ในปี ค.ศ. 1914 ไอน์สไตน์ได้ย้ายไปยังกรุงเบอร์ลินตามคำสั่งในการเข้าร่วมกับสถาบันวิทยาศาสตร์แห่งปรัสเซียและมหาวิทยาลัยฮุมบ็อลท์แห่งเบอร์ลิน ในปี ค.ศ. 1917 ไอน์สไตน์ได้ดำรงตำแหน่งเป็นผู้อำนวยการสถาบันฟิสิกส์ไคเซอร์วิลเฮล์ม เขายังได้กลายเป็นพลเมืองชาวเยอรมันอีกครั้ง - ปรัสเซียในช่วงเวลานั้น ในปี ค.ศ. 1933 ในขณะที่ไอน์สไตน์ได้ไปเยือนที่สหรัฐอเมริกา อดอล์ฟ ฮิตเลอร์ก็ก้าวขึ้นสู่อำนาจ ไอน์สไตน์ไม่ได้เดินทางกลับเยอรมนีเพราะเขาคัดค้านนโยบายของนาซีเยอรมนี|รัฐบาลที่นำโดยนาซีซึ่งได้รับเลือกตั้งขึ้นมาใหม่ เขาได้ตั้งรกรากในสหรัฐอเมริกาและกลายเป็นพลเมืองอเมริกันในปี ค.ศ. 1940 ในช่วงก่อนสงครามโลกครั้งที่สอง เขาได้เขียนจดหมายไปถึงประธานาธิบดีสหรัฐแฟรงกลิน ดี. โรสเวลต์ เพื่อย้ำเตือนเขาถึงโครงการอาวุธนิวเคลียร์ของเยอรมนีที่อาจจะเกิดขึ้นได้ และแนะนำให้สหรัฐเริ่มทำการวิจัยโครงการแมนฮัตตัน|โครงการแบบเดียวกัน ไอน์สไตน์ได้ให้การสนับสนุนแก่ฝ่ายสัมพันธมิตรในสงครามโลกครั้งที่สอง|ฝ่ายสัมพันธมิตรแต่ส่วนใหญ่ก็ประณามแนวคิดเรื่องอาวุธนิวเคลียร์ == ประวัติ == === วัยเด็กและในวิทยาลัย === ไฟล์:Albert Einstein as a child.jpg|thumb|left|150px|ภาพถ่ายไอน์สไตน์ในวัยเด็ก เมื่อปี พ.ศ. 2436 ไอน์สไตน์เกิดในเมืองอุล์ม ราชอาณาจักรเวือร์ทเทิมแบร์ค สมัยจักรวรรดิเยอรมัน ห่างจากเมืองชตุทการ์ทไปทางตะวันออกประมาณ 100 กิโลเมตร ซึ่งในปัจจุบันคือรัฐบาเดิน-เวือร์ทเทิมแบร์ค ประเทศเยอรมนี บิดาของเขาชื่อว่า แฮร์มานน์ ไอน์สไตน์ เป็นพนักงานขายทั่วไปซึ่งกำลังทำการทดลองเกี่ยวกับเคมีไฟฟ้า มารดาชื่อว่า พอลลีน โดยมีคนรับใช้หนึ่งคนชื่อ คอช ทั้งคู่แต่งงานกันในโบสถ์ในสตุ๊ทการ์ท (ภาษาเยอรมัน|เยอรมัน: Stuttgart-Bad Cannstatt) ครอบครัวของเขาเป็นยิว|ชาวยิว (แต่ไม่เคร่งครัดนัก) อัลเบิร์ตเข้าเรียนในโรงเรียนคาธอลิก|โรงเรียนประถมคาธอลิก และเข้าเรียนไวโอลิน ตามความต้องการของแม่ของเขาที่ยืนยันให้เขาได้เรียน เมื่อเขาอายุได้ห้าขวบ พ่อของเขานำเข็มทิศพกพามาให้เล่น และทำให้ไอน์สไตน์รู้ว่ามีบางสิ่งบางอย่างในพื้นที่ที่ว่างเปล่า ซึ่งส่งแรงผลักเข็มทิศให้เปลี่ยนทิศไป เขาได้อธิบายในภายหลังว่าประสบการณ์เหล่านี้คือหนึ่งในส่วนที่เป็นแรงบันดาลใจให้แก่เขาในชีวิต แม้ว่าเขาชอบที่จะสร้างแบบจำลองความคิด|แบบจำลองและกลศาสตร์พื้นฐาน|อุปกรณ์กลได้ในเวลาว่าง เขาถือเป็นผู้ที่เรียนรู้ได้ช้า สาเหตุอาจเกิดจากการที่เขามีความพิการทางภาษา|ความพิการทางการอ่านหรือเขียน (dyslexia) ความเขินอายซึ่งพบได้ทั่วไป หรือการที่เขามีโครงสร้างสมองที่ไม่ปกติและหาได้ยากมาก (จากการชันสูตรสมองของเขาหลังจากที่ไอน์สไตน์เสียชีวิต) เขายกความดีความชอบในการพัฒนาทฤษฎีของเขาว่าเป็นผลมาจากความเชื่องช้าของเขาเอง โดยกล่าวว่าเขามีเวลาครุ่นคิดถึงอวกาศและเวลามากกว่าเด็กคนอื่น ๆ เขาจึงสามารถสามารถพัฒนาทฤษฎีเหล่านี้ได้ โดยการที่เขาสามารถรับความรู้เชิงปัญญาได้มากกว่าและนานกว่าคนอื่น ๆ ไอน์สไตน์เริ่มเรียนคณิตศาสตร์เมื่อประมาณอายุ 12 ปี โดยที่ลุงของเขาทั้งสองคนเป็นผู้อุปถัมถ์ความสนใจเชิงปัญญาของเขาในช่วงย่างเข้าวัยรุ่นและวัยรุ่น โดยการแนะนำและให้ยืมหนังสือซึ่งเกี่ยวกับวิทยาศาสตร์และคณิตศาสตร์ ใน พ.ศ. 2437 เนื่องมาจากความล้มเหลวในธุรกิจเคมีไฟฟ้าของพ่อของเขา ทำให้ครอบครัวไอน์สไตน์ย้ายจากเมืองมิวนิก ไปยังเมืองพาเวีย ประเทศอิตาลี|พาเวีย (ใกล้กับเมืองมิลาน) ประเทศอิตาลี ในปีเดียวกัน เขาได้เขียนผลงานทางวิทยาศาสตร์ชิ้นหนึ่งขึ้นมา (คือ "การศึกษาสถานะของสถานะการเปล่งแสงของแก่นสาร|อีเธอร์ในสนามแม่เหล็ก") โดยที่ไอน์สไตน์ยังอาศัยอยู่ในบ้านพักในมิวนิกอยู่จนเรียนจบจากโรงเรียน โดยเรียนเสร็จไปแค่ภาคเรียนเดียวก่อนจะลาออกจากโรงเรียนมัธยมศึกษา กลางฤดูใบไม้ผลิ ในปี พ.ศ. 2438 แล้วจึงตามครอบครัวของเขาไปอาศัยอยู่ในเมืองพาเวีย เขาลาออกโดยไม่บอกพ่อแม่ของเขา และโดยไม่ผ่านการเรียนหนึ่งปีครึ่งรวมถึงการสอบไล่ ไอน์สไตน์เกลี้ยกล่อมโรงเรียนให้ปล่อยตัวเขาออกมา โดยกล่าวว่าจะไปศึกษาเป็นนักศึกษาแพทย์ฝึกหัดตามคำเชิญจากเพื่อนผู้เป็นแพทย์ของเขาเอง โรงเรียนยินยอมให้เขาลาออก แต่นี่หมายถึงเขาจะไม่ได้รับใบรับรองการศึกษาชั้นเรียนมัธยม แม้ว่าเขาจะมีความสามารถชั้นเลิศในสาขาวิชาคณิตศาสตร์และวิทยาศาสตร์ แต่การที่เขาไร้ความรู้ใด ๆ ทางด้านศิลปศาสตร์ ทำให้เขาไม่ผ่านการสอบคัดเลือกเข้าสถาบันเทคโนโลยีแห่งสหพันธ์สวิสในเมืองซือริช (ภาษาเยอรมัน|เยอรมัน: Eidgenössische Technische Hochschule หรือ ETH) ทำให้ครอบครัวเขาต้องส่งเขากลับไปเรียนมัธยมศึกษาให้จบที่เมืองอารอ|อารอในสวิตเซอร์แลนด์ เขาสำเร็จการศึกษาและได้รับใบอนุปริญญาในเดือนพฤศจิกายน พ.ศ. 2439 และสอบเข้า ETH ได้ในเดือนตุลาคม แล้วจึงย้ายมาอาศัยอยู่ในเมืองซือริช ในปีเดียวกัน เขากลับมาที่บ้านเกิดของเขาเพื่อเพิกถอนภาวะการเป็นพลเมืองของเขาในเวอร์เทมบูรก์ ทำให้เขากลายเป็นผู้ไร้สัญชาติ ใน พ.ศ. 2443 เขาได้รับประกาศนียบัตรสำเร็จการศึกษาจากสถาบันเทคโนโลยีแห่งสมาพันธรัฐสวิส ได้รับสิทธิ์พลเมืองสวิสในปี พ.ศ. 2444 และ พ.ศ. 2448 อัลเบิร์ต ไอน์สไตน์เรียนจบปริญญาเอกจากมหาวิทยาลัยซือริช === งานในสำนักงานสิทธิบัตร === หลังจากจบการศึกษา ไอน์สไตน์ไม่สามารถหางานสอนหนังสือได้ หลังจากเพียรพยายามอยู่เกือบสองปี พ่อของอดีตเพื่อนร่วมชั้นคนหนึ่งก็ช่วยให้เขาได้งานทำที่สำนักงานสิทธิบัตรในกรุงแบร์นปัจจุบันคือ . ดูเพิ่มที่ ในตำแหน่งผู้ช่วยตรวจสอบเอกสาร หน้าที่ของเขาคือการตรวจประเมินใบสมัครของสิทธิบัตรในหมวดหมู่อุปกรณ์แม่เหล็กไฟฟ้า ในปี พ.ศ. 2446 ไอน์สไตน์ก็ได้บรรจุเข้าเป็นพนักงานประจำ หลังจากถูกมองข้ามมานานจนกระทั่งกลายเป็นผู้เชี่ยวชาญด้านเทคโนโลยีจักรกลPeter Galison, "Einstein's Clocks: The Question of Time" ''Critical Inquiry'' 26, no. 2 (Winter 2000) : 355–389. ไอน์สไตน์กับเพื่อนหลายคนที่รู้จักกันในแบร์น ได้รวมกลุ่มกันเป็นชมรมเล็กๆ สำหรับคุยกันเรื่องวิทยาศาสตร์และปรัชญา ตั้งชื่อกลุ่มอย่างล้อเลียนว่า "The Olympia Academy" พวกเขาอ่านหนังสือร่วมกันเช่น งานของอองรี ปวงกาเร|ปวงกาเร เอิร์นสต์ แม็ค|แม็ค และเดวิด ฮูม|ฮูม ซึ่งส่งอิทธิพลต่อแนวคิดด้านวิทยาศาสตร์และปรัชญาของไอน์สไตน์มาก ตลอดช่วงเวลาเหล่านี้ ไอน์สไตน์แทบจะไม่ได้เข้าไปข้องเกี่ยวใดๆ กับชุมชนทางฟิสิกส์เลยE.g. งานที่สำนักงานสิทธิบัตรของเขาโดยมากจะเกี่ยวกับปัญหาเรื่องการส่งสัญญาณไฟฟ้าและการซิงโครไนซ์ทางเวลาระหว่างระบบไฟฟ้ากับระบบทางกล ซึ่งเป็นสองปัญหาหลักทางเทคนิคอันเป็นจุดสนใจของการทดลองในความคิดยุคนั้น ซึ่งในเวลาต่อมาได้ชักนำให้ไอน์สไตน์ไปสู่ผลสรุปอันลึกซึ้งเกี่ยวกับธรรมชาติของแสงและความเกี่ยวพันพื้นฐานระหว่างอวกาศกับเวลา === ชีวิตครอบครัว === ไฟล์:Mileva Maric.jpg|thumb|'''มิเลวา มาริค''' ภรรยาของไอน์สไตน์ ก่อนหน้านี้ เขามีแฟนคนแรกตอนเรียนมัธยมชื่อ มารี วินเทเลอร์ แต่ต้องแยกย้ายกันไปเมื่อเขาเข้าเรียนมหาวิทยาลัย ไอน์สไตน์มีบุตรสาวหนึ่งคนกับมิเลวา มาริค ชื่อว่า ไลแซล (Lieserl) คาดว่าเกิดในตอนต้นปี พ.ศ. 2445 ที่เมือง Novi Sadข้อสันนิษฐานนี้มาจากจดหมายที่ไอน์สไตน์เขียนติดต่อกับมาริค ไลแซลถูกเอ่ยถึงในจดหมายครั้งแรกจากจดหมายที่ไอน์สไตน์เขียนถึงมาริค (หล่อนยังอยู่กับครอบครัวที่ Novi Sad หรือเมืองใกล้กันนั้นในเวลาที่ไลแซลเกิด) ลงวันที่ 4 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2445 (''Collected papers'' Vol. 1, document 134). ไอน์สไตน์แต่งงานกับมิเลวาเมื่อวันที่ 6 มกราคม พ.ศ. 2446 แม้จะถูกมารดาคัดค้านเพราะนางมีอคติกับชาวเซิร์บ และคิดว่ามาริคนั้น "แก่เกินไป" ทั้งยัง "หน้าตาอัปลักษณ์": "she did not seem to care that Mileva was not Jewish" This web site, companion to the controversial Geraldine Hilton documentary of the same name, is currently under review for historical accuracy. (See .) ความสัมพันธ์ของคนทั้งสองค่อนข้างจะเป็นส่วนตัวและเป็นคู่ชีวิตที่มีสติปัญญา ในจดหมายฉบับหนึ่งถึงหล่อน ไอน์สไตน์เรียกมาริคว่า "สิ่งมีชีวิตที่เสมอกันกับผม ผู้ซึ่งแข็งแรงและมีอิสระเฉกเช่นเดียวกัน"Letter Einstein to Marić on 3 October 1900 (''Collected Papers'' Vol. 1, document 79). มีการถกเถียงกันอยู่เป็นบางคราวว่า มาริคมีอิทธิพลต่องานของไอน์สไตน์บ้างหรือไม่ อย่างไรก็ตาม นักประวัติศาสตร์ทางวิทยาศาสตร์ต่างลงความเห็นเป็นเอกฉันท์ว่า ไม่มี บุตรคนแรกของไอน์สไตน์กับมิเลวา คือ ฮันส์ อัลเบิร์ต ไอน์สไตน์ เกิดเมื่อวันที่ 14 พฤษภาคม พ.ศ. 2447 ที่กรุงแบร์น ประเทศสวิตเซอร์แลนด์ บุตรคนที่สองคือ เอดูอาร์ด เกิดที่ซือริชเมื่อวันที่ 28 กรกฎาคม พ.ศ. 2453 อัลเบิร์ตกับมาริคหย่ากันเมื่อวันที่ 14 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2462 หลังจากแยกกันอยู่ 5 ปี ในวันที่ 2 มิถุนายนปีเดียวกันนั้น ไอน์สไตน์แต่งงานกับ เอลซา โลเวนธาล (นี ไอน์สไตน์) นางพยาบาลที่ช่วยดูแลอภิบาลระหว่างที่เขาป่วย เอลซาเป็นญาติห่างๆ ทั้งทางฝั่งพ่อและฝั่งแม่ของไอน์สไตน์ ครอบครัวไอน์สไตน์ช่วยกันเลี้ยงดู มาร์ก็อต และ อิลเซ ลูกสาวของเอลซาจากการแต่งงานครั้งแรกของเธอ แต่ทั้งสองคนไม่มีลูกด้วยกัน อยู่ด้วยกันตลอดจนเธอป่วยเสียชีวิตในปีคศ 1936 === วาระสุดท้ายของชีวิต === ในช่วงปลายทางของชีวิตไอน์สไตน์พยายามคิดค้นทฤษฎีที่จะสามารถอธิบายแรงพื้นฐานธรรมชาติทุกชนิดได้ภายในทฤษฏีเดียวเรียกว่าทฤษฎีสนามรวม (Unified field theory) แต่ไม่สำเร็จ เขาเคยถูกเทียบเชิญมารับตำแหน่งประธานาธิบดีอิสราเอลพร้อมมอบสัญชาติในปี พ.ศ. 2495 โดยเดวิด เบนกูเรียน นายกรัฐมนตรีอิสราเอลในขณะนั้น ได้ส่งจดหมายผ่านสถานเอกอัครราชทูตอิสราเอล แต่ไอน์สไตน์ปฏิเสธด้วยเหตุผลถึงความไม่เชี่ยวชาญในด้านการเมืองและการบริหารของตนเองhttps://www.jewishvirtuallibrary.org/offering-the-presidency-of-israel-to-albert-einstein วันที่ 18 มิถุนายน พ.ศ. 2498 อัลเบิร์ต ไอน์สไตน์ (Albert Einstein) นักฟิสิกส์ผู้ยิ่งใหญ่แห่งศตวรรษที่ 20 เสียชีวิตด้วยโรคหัวใจวาย ที่เมืองพรินซ์ตัน รัฐนิวเจอร์ซี สหรัฐอเมริกา ด้วยวัย 76 ปี ทฤษฎีในฝันของไอน์สไตน์คงต้องรอยอดอัจฉริยะคนใหม่มาสานงานต่อให้ลุล่วง แต่ผลงานของเขานั้นมากมายและยิ่งใหญ่มากแทบไม่น่าเชื่อว่ามนุษย์คนหนึ่งจะทำได้ == งานด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี == === การคิดค้นทฤษฎีสัมพัทธภาพพิเศษ === ปี พ.ศ. 2448 ขณะที่ไอน์สไตน์ทำงานอยู่ที่สำนักงานสิทธิบัตร ก็ได้ตีพิมพ์บทความ 4 เรื่องใน ''Annalen der Physik'' ซึ่งเป็นวารสารทางฟิสิกส์ชั้นนำของเยอรมนี บทความทั้งสี่นี้ในเวลาต่อมาเรียกชื่อรวมกันว่า "Annus Mirabilis Papers" * บทความเกี่ยวกับธรรมชาติเฉพาะตัวของแสง นำไปสู่แนวคิดที่ส่งผลต่อการทดลองที่มีชื่อเสียง คือปรากฏการณ์โฟโตอิเล็กทริก หลักการง่ายๆ ก็คือ แสงมีปฏิกิริยากับสสารในรูปแบบของ "ก้อน" พลังงาน (ทฤษฎีควอนตัม|ควอนตา) เป็นห้วงๆ แนวคิดนี้เคยนำเสนอมาก่อนหน้านี้แล้วโดย แมกซ์ พลังค์ ในปี พ.ศ. 2443 ซึ่งเป็นแนวคิดที่ขัดแย้งกับทฤษฎีเกี่ยวกับคลื่นแสงที่เชื่อกันอยู่ในยุคสมัยนั้น ซึ่งเขาอธิบายได้ว่า พลังงานของโฟตอนย่อมเท่ากับฟังก์ชันงาน(พลังงานที่น้อยที่สุดของโฟตอน) รวมอยู่กับพลังงานจลน์สูงสุดของโฟโต้อิเล็กตรอน * * บทความเกี่ยวกับการเคลื่อนที่ของบราวน์ อธิบายถึงการเคลื่อนไหวแบบสุ่มของวัตถุขนาดเล็กมากๆ ซึ่งเป็นผลโดยตรงจากการกระทำของโมเลกุล แนวคิดนี้สนับสนุนต่อทฤษฎีอะตอม * บทความเกี่ยวกับอิเล็กโตรไดนามิกส์ของวัตถุที่กำลังเคลื่อนที่ เป็นกำเนิดของทฤษฎีสัมพัทธภาพพิเศษ แสดงให้เห็นว่าความเร็วของแสงที่กำลังสังเกตอย่างอิสระ ณ สภาวะการเคลื่อนที่ของผู้สังเกตจะต้องมีการเปลี่ยนแปลงโดยพื้นฐานไปเหมือนๆ กัน ผลสืบเนื่องจากแนวคิดนี้รวมถึงกรอบของกาล-อวกาศของวัตถุที่กำลังเคลื่อนที่จะช้าลงและหดสั้นลง (ตามทิศทางของการเคลื่อนที่) โดยสัมพัทธ์กับกรอบของผู้สังเกต บทความนี้ยังโต้แย้งแนวคิดเกี่ยวกับ luminiferous aether ซึ่งเป็นเสาหลักทางฟิสิกส์ทฤษฎีในยุคนั้น ว่าเป็นสิ่งที่ไม่จำเป็น * บทความว่าด้วยสมดุลของมวล-พลังงาน (ซึ่งก่อนหน้านี้เชื่อว่ามันไม่เกี่ยวข้องกันเลย) ไอน์สไตน์ปรับปรุงสมการสัมพัทธภาพพิเศษของเขาจนกลายมาเป็นสมการอันโด่งดังที่สุดแห่งคริสต์ศตวรรษที่ 20 คือ E = mc2 ซึ่งบอกว่า มวลขนาดเล็กจิ๋วสามารถแปลงไปเป็นพลังงานปริมาณมหาศาลได้ ซึ่งเป็นจุดกำเนิดการพัฒนาของพลังงานนิวเคลียร์ === แสง กับทฤษฎีสัมพัทธภาพทั่วไป === ปี พ.ศ. 2449 สำนักงานสิทธิบัตรเลื่อนขั้นให้ไอน์สไตน์เป็น Technical Examiner Second Class แต่เขาก็ยังไม่ทิ้งงานด้านวิชาการ ปี พ.ศ. 2451 เขาได้เข้าเป็นอาจารย์ที่มหาวิทยาลัยแบร์น พ.ศ. 2453 เขาเขียนบทความอธิบายถึงผลสะสมของแสงที่กระจายตัวโดยโมเลกุลเดี่ยวๆ ในบรรยากาศ ซึ่งเป็นการอธิบายว่า เหตุใดท้องฟ้าจึงเป็นสีน้ำเงินLevenson, Thomas. "http://www.pbs.org/wgbh/nova/einstein/genius/ Einstein's Big Idea." ''Public Broadcasting Service.'' 2005. เก็บข้อมูลเมื่อ 25 กุมภาพันธ์ 2006. ระหว่าง พ.ศ. 2452 ไอน์สไตน์ตีพิมพ์บทความ "Über die Entwicklung unserer Anschauungen über das Wesen und die Konstitution der Strahlung" (พัฒนาการของมุมมองเกี่ยวกับองค์ประกอบและหัวใจสำคัญของการแผ่รังสี) ว่าด้วยการพิจารณาแสงในเชิงปริมาณ ในบทความนี้ รวมถึงอีกบทความหนึ่งก่อนหน้านั้นในปีเดียวกัน ไอน์สไตน์ได้แสดงว่า พลังงานควอนตัมของมักซ์ พลังค์ จะต้องมีโมเมนตัมที่แน่นอนและแสดงตัวในลักษณะที่คล้ายคลึงกับอนุภาคที่เป็นจุด บทความนี้ได้พูดถึงแนวคิดเริ่มต้นเกี่ยวกับโฟตอน (แม้ในเวลานั้นจะยังไม่ได้เรียกด้วยคำนี้ ผู้ตั้งชื่อ 'โฟตอน' คือ กิลเบิร์ต เอ็น. ลิวอิส ในปี พ.ศ. 2469) และให้แรงบันดาลใจเกี่ยวกับความเกี่ยวพันกันระหว่างคลื่นกับอนุภาค ในวิชากลศาสตร์ควอนตัม พ.ศ. 2454 ไอน์สไตน์ได้เป็นผู้ช่วยศาสตราจารย์ที่มหาวิทยาลัยซือริช แต่หลังจากนั้นไม่นานเขาก็ยอมรับตำแหน่งศาสตราจารย์ที่มหาวิทยาลัยเยอรมัน ชาร์ลส์-เฟอร์ดินานด์ ในกรุงปราก ที่นี่ไอน์สไตน์ได้ตีพิมพ์บทความเกี่ยวกับผลกระทบของแรงโน้มถ่วงที่มีต่อแสง ซึ่งก็คือการเคลื่อนไปทางแดงเนื่องจากแรงโน้มถ่วง และการหักเหของแสงเนื่องจากแรงโน้มถ่วง บทความนี้ช่วยแนะแนวทางแก่นักดาราศาสตร์ในการตรวจสอบการหักเหของแสงระหว่างการเกิดสุริยคราส (also in ''Collected Papers'' Vol. 3, document 23) นักดาราศาสตร์ชาวเยอรมัน เออร์วิน ฟินเลย์-ฟรอนด์ลิค ได้เผยแพร่ข้อท้าทายของไอน์สไตน์นี้ไปยังนักวิทยาศาสตร์ทั่วโลกCrelinsten, Jeffrey. "http://www.pupress.princeton.edu/titles/8165.html Einstein's Jury: The Race to Test Relativity ." ''สำนักพิมพ์มหาวิทยาลัยพรินซ์ตัน.'' 2006. เก็บข้อมูลเมื่อ 13 มีนาคม 2007. ISBN 978-0-691-12310-3 พ.ศ. 2455 ไอน์สไตน์กลับมายังสวิตเซอร์แลนด์และรับตำแหน่งศาสตราจารย์ที่มหาวิทยาลัยเดิมที่เขาเป็นศิษย์เก่า คือ ETH เขาได้พบกับนักคณิตศาสตร์ มาร์เซล กรอสมานน์ ซึ่งช่วยให้เขารู้จักกับเรขาคณิตของรีมานน์และเรขาคณิตเชิงอนุพันธ์ และโดยการแนะนำของทุลลิโอ เลวี-ซิวิตา นักคณิตศาสตร์ชาวอิตาลี ไอน์สไตน์จึงได้เริ่มใช้ประโยชน์จากความแปรปรวนร่วมเข้ามาประยุกต์ในทฤษฎีแรงโน้มถ่วงของเขา มีช่วงหนึ่งที่ไอน์สไตน์รู้สึกว่าแนวทางนี้ไม่น่าจะใช้ได้ แต่เขาก็หันกลับมาใช้อีก และในปลายปี พ.ศ. 2458 ไอน์สไตน์จึงได้เผยแพร่ทฤษฎีสัมพัทธภาพทั่วไปซึ่งยังคงใช้อยู่ตราบถึงปัจจุบัน ทฤษฎีนี้อธิบายถึงแรงโน้มถ่วงว่าเป็นการบิดเบี้ยวของโครงสร้างกาลอวกาศโดยวัตถุที่ส่งผลเป็นแรงเฉื่อยต่อวัตถุอื่น === ทฤษฎีแรงเอกภาพ === งานวิจัยของไอน์สไตน์หลังจากทฤษฎีสัมพัทธภาพทั่วไปมีหัวใจหลักอยู่ที่การพยายามทำให้ทฤษฎีแรงโน้มถ่วงสามารถอธิบายคุณสมบัติของแม่เหล็กไฟฟ้าได้ ปี พ.ศ. 2493 เขาได้พูดถึงแนวคิดเรื่อง "ทฤษฎีแรงเอกภาพ" ในวารสาร Scientific American ในบทความชื่อว่า "On the Generalized Theory of Gravitation" แม้เขาจะได้รับความยกย่องอยู่พอสมควร แต่ก็ไม่ค่อยได้รับการสนับสนุนในการวิจัยเรื่องนี้ และความทุ่มเทส่วนใหญ่ของเขาก็ไม่ประสบความสำเร็จ ในความพยายามของไอน์สไตน์ที่จะรวมแรงพื้นฐานทั้งหมดเข้าในกฎเดียวกัน เขาได้ละเลยการพัฒนากระแสหลักในทางฟิสิกส์ไปบางส่วน ที่สำคัญคือแรงนิวเคลียร์อย่างเข้มและแรงนิวเคลียร์อย่างอ่อน ซึ่งไม่มีใครเข้าใจมากนักตราบจนอีกหลายปีผ่านไปหลังจากเขาเสียชีวิตไปแล้ว ขณะเดียวกัน แนวทางพัฒนาฟิสิกส์กระแสหลักเองก็ละเลยแนวคิดของไอน์สไตน์เกี่ยวกับการรวมแรงเช่นเดียวกัน ครั้นต่อมาความฝันของไอน์สไตน์ในการรวมกฎฟิสิกส์ทั้งหลายเกี่ยวกับแรงโน้มถ่วงจึงเป็นแรงบันดาลใจสำคัญต่อแนวทางศึกษาฟิสิกส์ยุคใหม่ โดยเฉพาะอย่างยิ่งต่อทฤษฎีแห่งสรรพสิ่งและทฤษฎีสตริง ขณะที่มีความตื่นตัวมากขึ้นในสาขากลศาสตร์ควอนตัมด้วย === แบบจำลองแก๊สของชเรอดิงเจอร์ === ไอน์สไตน์แนะนำให้แอร์วิน ชเรอดิงเงอร์นำเอาแนวคิดของมักซ์ พลังค์ไปใช้ ที่มองระดับพลังงานของแก๊สในภาพรวมมากกว่าจะมองเป็นโมเลกุลเดี่ยวๆ ชเรอดิงเงอร์ประยุกต์แนวคิดนี้ในบทความวิจัยโดยใช้การกระจายตัวของโบลทซ์มันน์เพื่อหาคุณสมบัติทางอุณหพลศาสตร์ของแก๊สอุดมคติกึ่งคลาสสิก ชเรอดิงเงอร์ขออนุญาตใส่ชื่อไอน์สไตน์เป็นผู้เขียนบทความร่วม แต่ต่อมาไอน์สไตน์ปฏิเสธคำเชิญนั้น === ตู้เย็นไอน์สไตน์ === พ.ศ. 2469 ไอน์สไตน์กับลูกศิษย์เก่าคนหนึ่งคือ ลีโอ ซีลาร์ด นักฟิสิกส์ชาวฮังการีผู้ต่อมาได้ร่วมในโครงการแมนฮัตตัน และได้รับยกย่องในฐานะผู้ค้นพบห่วงโซ่ปฏิกิริยา ทั้งสองได้ร่วมกันประดิษฐ์ ตู้เย็นไอน์สไตน์ ซึ่งเป็นอุปกรณ์ที่ไม่มีชิ้นส่วนเคลื่อนไหวเลย และใช้พลังงานนำเข้าเพียงอย่างเดียวคือพลังงานความร้อน สิ่งประดิษฐ์นี้ได้จดสิทธิบัตรในปี พ.ศ. 2473Goettling, Gary. http://gtalumni.org/Publications/magazine/sum98/einsrefr.html Einstein's refrigerator ''Georgia Tech Alumni Magazine.'' 1998. เก็บข้อมูลเมื่อ 21 พฤศจิกายน 2005.วันที่ 11 พฤศจิกายน พ.ศ. 2473 อัลเบิร์ต ไอน์สไตน์ และ ลีโอ ซีลาร์ด ได้รับสิทธิบัตร สำหรับการประดิษฐ์เครื่องทำความเย็น === บอร์กับไอน์สไตน์ === ราวคริสต์ทศวรรษ 1920 มีการพัฒนากลศาสตร์ควอนตัมให้เป็นทฤษฎีที่สมบูรณ์ยิ่งขึ้น ไอน์สไตน์ไม่ค่อยเห็นด้วยนักกับการตีความโคเปนเฮเกนว่าด้วยทฤษฎีควอนตัม ซึ่งพัฒนาขึ้นโดย นีลส์ บอร์ กับ แวร์เนอร์ ไฮเซนแบร์ก ซึ่งอธิบายปรากฏการณ์ทางควอนตัมว่าเป็นเรื่องของความน่าจะเป็น ที่จะส่งผลต่อเพียงอันตรกิริยาในระบบแบบดั้งเดิม มีการโต้วาทีสาธารณะระหว่างไอน์สไตน์กับบอร์สืบต่อมาเป็นเวลายาวนานหลายปี (รวมถึงในระหว่างการประชุมซอลเวย์ด้วย) ไอน์สไตน์สร้างการทดลองในจินตนาการขึ้นเพื่อโต้แย้งการตีความโคเปนเฮเกน แต่ภายหลังก็ถูกบอร์พิสูจน์แย้งได้ ในจดหมายฉบับหนึ่งซึ่งไอน์สไตน์เขียนถึง มักซ์ บอร์น ในปี พ.ศ. 2469 เขาบอกว่า "ผมเชื่อว่า พระเจ้าไม่ได้สร้างสรรพสิ่งด้วยการทอยเต๋า"A reprint of this book was published by Edition Erbrich in 1982, ISBN 3-88682-005-X ไอน์สไตน์ไม่เคยพอใจกับสิ่งที่เขาได้รับรู้เกี่ยวกับการอธิบายถึงธรรมชาติที่ไม่สมบูรณ์ในทฤษฎีควอนตัม ในปี พ.ศ. 2478 เขาค้นคว้าเพิ่มเติมในประเด็นเหล่านี้ร่วมกับเพื่อนร่วมงานอีก 2 คน คือ บอริส โพโดลสกี และ นาธาน โรเซน และตั้งข้อสังเกตว่า ทฤษฎีดังกล่าวดูจะต้องอาศัยอันตรกิริยาแบบการแบ่งแยกถิ่น|ไม่แบ่งแยกถิ่น ต่อมาเรียกข้อโต้แย้งนี้ว่า EPR พาราด็อกซ์ (มาจากนามสกุลของไอน์สไตน์ โพโดลสกี และโรเซน) การทดลอง EPR ได้จัดทำขึ้นในเวลาต่อมา และได้ผลลัพธ์ที่ช่วยยืนยันการคาดการณ์ตามทฤษฎีควอนตัม The first of many experimental tests relating to EPR. สิ่งที่ไอน์สไตน์ไม่เห็นด้วยกับแนวคิดของบอร์เกี่ยวพันกับแนวคิดพื้นฐานในการพรรณนาถึงวิทยาศาสตร์ ด้วยเหตุนี้การโต้วาทีระหว่างไอน์สไตน์กับบอร์จึงได้ส่งผลสืบเนื่องออกไปเป็นการวิวาทะในเชิงปรัชญาด้วย == รางวัลโนเบล == พ.ศ. 2465 ไอน์สไตน์ได้รับรางวัลโนเบลสาขาฟิสิกส์ประจำปี 2464 ในฐานะที่ "ได้อุทิศตนแก่ฟิสิกส์ทฤษฎี โดยเฉพาะอย่างยิ่งการค้นพบกฎที่อธิบายปรากฏการณ์โฟโตอิเล็กทริก" ซึ่งเป็นการอ้างอิงถึงงานเขียนของเขาในปี 2448 "โดยใช้มุมมองจากจิตสำนึกเกี่ยวกับการเกิดและการแปรรูปของแสง" แนวคิดของเขาได้รับการพิสูจน์อย่างหนักแน่นจากผลการทดลองมากมายในยุคนั้น สุนทรพจน์ในการมอบรางวัลยังระบุไว้ว่า "ทฤษฎีสัมพัทธภาพของเขาเป็นหัวข้อถกเถียงที่น่าสนใจที่สุดในวงวิชาการ (และ) มีความหมายในทางฟิสิกส์ดาราศาสตร์ซึ่งประยุกต์ใช้อย่างชัดเจนในปัจจุบัน"Einstein, Albert (11 July 1923), "Fundamental Ideas and Problems of the Theory of Relativity", Nobel Lectures, Physics 1901–1921, Amsterdam: Elsevier Publishing Company, http://nobelprize.org/nobel_prizes/physics/laureates/1921/einstein-lecture.pdf, retrieved on 2007-03-25 เชื่อกันมานานว่าไอน์สไตน์มอบเงินรางวัลจากโนเบลทั้งหมดให้แก่ภรรยาคนแรก คือมิเลวา มาริค สำหรับการหย่าขาดจากกันในปี พ.ศ. 2462 แต่จดหมายส่วนตัวที่เพิ่งเปิดเผยขึ้นในปี พ.ศ. 2549 บ่งบอกว่าเขานำไปลงทุนในสหรัฐอเมริกา และสูญเงินไปเกือบหมดจากเหตุการณ์เศรษฐกิจตกต่ำครั้งใหญ่ ไอน์สไตน์เดินทางไปนิวยอร์ก สหรัฐอเมริกา เป็นครั้งแรก เมื่อ 2 เมษายน พ.ศ. 2464 เมื่อมีผู้ถามว่า เขาได้แนวคิดทางวิทยาศาสตร์มาจากไหน ไอน์สไตน์อธิบายว่า เขาเชื่อว่างานทางวิทยาศาสตร์จะก้าวหน้าได้จากการทดลองทางกายภาพและการค้นหาความจริงที่ซ่อนเอาไว้ โดยมีคำอธิบายที่สอดคล้องกันได้ในทุกสภาวการณ์โดยไม่ขัดแย้งกันเอง ไอน์สไตน์ยังสนับสนุนทฤษฎีที่ค้นหาผลลัพธ์ในจินตนาการด้วยEinstein, Albert (1954), Ideas and Opinions, New York: Random House, ISBN 0-517-00393-7 == มรดก == ระหว่างที่เดินทางท่องเที่ยว ไอน์สไตน์ได้เขียนบันทึกประจำวันส่งให้ภรรยาของเขา คือเอลซา กับบุตรบุญธรรมอีกสองคนคือมาร์ก็อตและอิลซา จดหมายเหล่านี้รวมอยู่ในเอกสารที่ยกให้แก่มหาวิทยาลัยฮีบรู มาร์ก็อต ไอน์สไตน์ อนุญาตให้เผยแพร่จดหมายส่วนตัวแก่สาธารณชนได้ แต่จะต้องเป็นเวลา 20 ปีหลังจากเธอเสียชีวิตแล้วเท่านั้น (มาร์ก็อตเสียชีวิตในปี พ.ศ. 2529New York Times obituary http://query.nytimes.com/gst/fullpage.html?res=9A0DEFD9153FF931A25754C0A960948260) บาร์บารา โวลฟ์ ผู้ดูแลรักษาเอกสารของไอน์สไตน์ที่มหาวิทยาลัยฮีบรู ให้สัมภาษณ์กับสถานีโทรทัศน์บีบีซีว่า มีจดหมายติดต่อส่วนตัวระหว่างช่วงปี พ.ศ. 2455-2498 เป็นจำนวนมากกว่า 3,500 หน้า สถาบันวิทยาศาสตร์แห่งชาติ สหรัฐอเมริกา|สถาบันวิทยาศาสตร์แห่งชาติของสหรัฐอเมริกา จัดสร้างรูปปั้นอนุสรณ์อัลเบิร์ต ไอน์สไตน์ เป็นทองแดงและหินอ่อนและสลักโดยโรเบิร์ต เบิร์คส์ ในปี พ.ศ. 2522 ตั้งอยู่ที่กรุงวอชิงตัน ดี.ซี ใกล้กับ National Mall ไอน์สไตน์ทำพินัยกรรมยกลิขสิทธิ์การใช้งานภาพของเขาทั้งหมดให้แก่มหาวิทยาลัยฮีบรู กรุงเยรูซาเล็ม ต่อมา บริษัท คอร์บิส คอร์ปอเรชั่น ได้รับอนุญาตให้ใช้ชื่อและภาพต่างๆ ของเขา ในฐานะตัวแทนผู้มีอำนาจแทนมหาวิทยาลัยฮีบรู; == เกียรติคุณและอนุสรณ์ == ไฟล์:Gedenktafel Ehrenbergstr 33 (Dahl) Albert Einstein.JPG|thumb|ป้ายอนุสรณ์อัลเบิร์ต ไอน์สไตน์ ในกรุงเบอร์ลิน พ.ศ. 2542 อัลเบิร์ต ไอน์สไตน์ ได้รับยกย่องเป็น "บุคคลแห่งศตวรรษ" โดยนิตยสารไทม์ กัลลัพโพล ได้บันทึกว่าเขาเป็นบุคคลผู้ได้รับการยกย่องสูงที่สุดอันดับ 4 แห่งคริสต์ศตวรรษที่ 20 และจากการจัดอันดับ 100 บุคคลผู้มีอิทธิพลอย่างสูงในประวัติศาสตร์ ไอน์สไตน์เป็น "นักวิทยาศาสตร์ผู้ยิ่งใหญ่ที่สุดแห่งคริสต์ศตวรรษที่ 20 และหนึ่งในสุดยอดอัจฉริยะตลอดกาล" ต่อไปนี้เป็นรายชื่ออนุสรณ์ส่วนหนึ่ง * สหพันธ์นานาชาติฟิสิกส์บริสุทธิ์และฟิสิกส์ประยุกต์ ได้กำหนดให้ปี พ.ศ. 2548 เป็น "ปีฟิสิกส์โลก" เพื่อเป็นการเฉลิมฉลอง 100 ปีครบรอบการตีพิมพ์ ''Annus Mirabilis Papers'' * สถาบันอัลเบิร์ต ไอน์สไตน์ * อนุสรณ์สถานอัลเบิร์ต ไอน์สไตน์ โดย โรเบิร์ต เบิร์คส์ * หน่วยวัดในวิชาโฟโตเคมี ชื่อว่า ''ไอน์สไตน์ (หน่วย)|ไอน์สไตน์'' * เคมีธาตุลำดับที่ 99 ชื่อ ''ไอน์สไตเนียม'' (einsteinium) * ดาวเคราะห์น้อย 2001 ไอน์สไตน์ * รางวัลไอน์สไตน์ * รางวัลสันติภาพไอน์สไตน์ ปี พ.ศ. 2533 ชื่อของไอน์สไตน์ถูกจารึกในวิหารวัลฮัลลา หอเกียรติยศซึ่งตั้งอยู่ริมแม่น้ำดานูบ ประเทศเยอรมนี == รายชื่อผลงาน == :''งานเขียนของไอน์สไตน์ที่แสดงไว้ที่นี้ คืองานเขียนที่ใช้ในการอ้างอิงภายในบทความ สำหรับรายชื่อผลงานตีพิมพ์ทั้งหมดของเขา ดูที่ รายชื่องานตีพิมพ์ทางวิทยาศาสตร์ของอัลเบิร์ต ไอน์สไตน์'' * * . เป็นงานเขียนในชุด annus mirabilis paper เกี่ยวกับปรากฏการณ์โฟโตอิเล็กทริก ซึ่งทาง Annalen der Physik ได้รับไว้เมื่อ 18 มีนาคม * . งานวิจัยปริญญาเอกชิ้นนี้สำเร็จสมบูรณ์เมื่อ 30 เมษายน และนำส่งตีพิมพ์เมื่อ 20 กรกฎาคม * . เป็นงานเขียนในชุด annus mirabilis paper เกี่ยวกับการเคลื่อนที่ของบราวน์ สำนักพิมพ์รับไว้เมื่อ 11 พฤษภาคม * . เป็นงานเขียนในชุด annus mirabilis paper เกี่ยวกับทฤษฎีสัมพัทธภาพพิเศษ สำนักพิมพ์รับไว้เมื่อ 30 มิถุนายน * . เป็นงานเขียนในชุด annus mirabilis paper เกี่ยวกับความสมมูลระหว่างมวล-พลังงาน สำนักพิมพ์รับไว้เมื่อ 27 กันยายน * * * * * . เป็นบทความแรกในชุดงานเขียนเกี่ยวกับหัวข้อนี้ * . ว่าด้วย Baer's law และ meander ของเส้นทางเดินของแม่น้ำ * * * * * * * * . การทดลองในความคิด เรื่อง ''ไล่ตามลำแสง'' มีบรรยายอยู่ในหน้า 48–51 * Collected Papers: ข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับการตีพิมพ์หนังสือในชุดนี้จนถึงปัจจุบัน อ่านได้จาก http://www.einstein.caltech.edu/index.html Einstein Papers Project และเว็บไซต์มหาวิทยาลัยพรินซ์ตัน http://press.princeton.edu/einstein/ Einstein Page ==หมายเหตุ== == อ้างอิง == == แหล่งข้อมูลอื่น == * https://www.bbc.com/thai/features-48612393 อัลเบิร์ต ไอน์สไตน์ : เหตุใดทฤษฎีสัมพัทธภาพทั่วไปจึงปฏิวัติวงการวิทยาศาสตร์ บีบีซีไทย * https://web.ku.ac.th/schoolnet/snet2/mathematicians/einstein.htm ประวัติอัลเบิร์ต ไอน์สไตน์ สำนักบริการคอมพิวเตอร์ มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ * https://www.khaosod.co.th/bbc-thai/news_1217066 บันทึกส่วนตัวเผยอัลเบิร์ต ไอน์สไตน์ มีมุมมองเหยียดคนเอเชีย ข่าวสด หมวดหมู่:อัลเบิร์ต ไอน์สไตน์ หมวดหมู่:ผู้ได้รับรางวัลโนเบลสาขาฟิสิกส์ หมวดหมู่:ชาวเยอรมันผู้ได้รับรางวัลโนเบล หมวดหมู่:ชาวสวิสผู้ได้รับรางวัลโนเบล หมวดหมู่:ชาวอเมริกันผู้ได้รับรางวัลโนเบล หมวดหมู่:นักฟิสิกส์ชาวเยอรมัน หมวดหมู่:นักฟิสิกส์ชาวยิว หมวดหมู่:นักฟิสิกส์ชาวสวิส หมวดหมู่:นักฟิสิกส์ชาวอเมริกัน หมวดหมู่:บุคคลจากเบอร์ลิน หมวดหมู่:บุคคลจากแบร์น หมวดหมู่:บุคคลจากมิวนิก หมวดหมู่:บุคคลจากซือริช หมวดหมู่:บุคคลจากอุล์ม หมวดหมู่:บุคคลจากรัฐนิวเจอร์ซีย์ หมวดหมู่:ชาวเยอรมันเชื้อสายยิว หมวดหมู่:ผู้ได้รับพัวร์เลอเมรีท (ชั้นพลเรือน) หมวดหมู่:ศิษย์เก่าจากสถาบันเทคโนโลยีแห่งสหพันธ์สวิส ซือริช หมวดหมู่:ศิษย์เก่าจากมหาวิทยาลัยซือริช หมวดหมู่:บุคคลจากมหาวิทยาลัยแบร์น หมวดหมู่:บุคคลจากมหาวิทยาลัยซือริช หมวดหมู่:บุคคลจากมหาวิทยาลัยชาลส์ หมวดหมู่:บุคคลจากสถาบันเทคโนโลยีแห่งสหพันธ์สวิส ซือริช หมวดหมู่:บุคคลจากมหาวิทยาลัยฮุมบ็อลท์แห่งเบอร์ลิน
อัลเบิร์ต ไอน์สไตน์
กล่องข้อมูล มหาวิทยาลัย | ชื่อ = สถาบันเทคโนโลยีแห่งเอเชีย | ภาพ = ไฟล์:AIT_logo.gif‎|160px | ชื่ออังกฤษ = Asian Institute of Technology | ชื่อย่อ = เอไอที / AIT | คำขวัญ = Learning beyond Boundaries | ก่อตั้ง = 8 กันยายน พ.ศ. 2502 ( ปี) | ประเภท = องค์การระหว่างประเทศhttp://www.mfa.go.th/main/en/information/3009 รายชื่อองค์การระหว่างประเทศ | กระทรวงการต่างประเทศ | อธิการบดี = ศ.คาซูโอะ ยามาโมโตะ | students = 2,192 คน (2559) | colours = ubl| สีเขียว | campus = 2 ศูนย์หลัก | ที่ตั้ง = • '''ศูนย์หลัก'''58 หมู่ 9 ถนนพหลโยธิน ตำบลคลองหนึ่ง อำเภอคลองหลวง จังหวัดปทุมธานี 12120 ประเทศไทย • '''ศูนย์เวียดนาม'''อาคาร B3 มหาวิทยาลัยการสื่อสารและคมนาคม Lang Thuong Ward, Dong Da Dist. ฮานอย ประเทศเวียดนาม | former_names = โรงเรียนวิศวกรรม สปอ. SEATO Graduate School of Engineering | มาสคอต = | เครือข่าย = LAOTSE, ASAIHL, GMSARN | เว็บไซต์ = http://www.ait.ac.th/ www.ait.ac.th | logo = '''สถาบันเทคโนโลยีแห่งเอเชีย''' () หรือ '''เอไอที''' เป็นสถาบันการศึกษาที่มีสถานะเป็นองค์การระหว่างประเทศhttp://www.mfa.go.th/main/en/information/3009/36133-AIT.html INTERNATIONAL ORGANIZATIONS : AIT | กระทรวงการต่างประเทศ ก่อตั้งเมื่อ พ.ศ. 2502 โดยความร่วมมือจากกลุ่มประเทศสนธิสัญญาป้องกันภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ (ซีโต้ หรือ สปอ.) ในชื่อ '''โรงเรียนวิศวกรรม สปอ.''' (SEATO Graduate School of Engineering) ก่อนจะเปลี่ยนมาเป็นสถาบันอิสระในชื่อปัจจุบันเมื่อเดือนพฤศจิกายน พ.ศ. 2510 เปิดสอนระดับอุดมศึกษา (ปริญญาโท และปริญญาเอก) โดยเน้นทางด้านวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี และการจัดการ ในสาขาที่เป็นประโยชน์ต่อการพัฒนาในทวีปเอเชีย|ภูมิภาคเอเชีย มีศูนย์กลางการบริหารงานตั้งอยู่ที่จังหวัดปทุมธานี ประเทศไทย นอกจากนี้ยังมีศูนย์การศึกษาในประเทศเวียดนามด้วย สถาบันเทคโนโลยีแห่งเอเชีย เป็นสมาชิกของเครือข่าย LAOTSE ซึ่งเป็นความร่วมมือระหว่างมหาวิทยาลัยชั้นนำในทวีปเอเชีย|เอเชียและทวีปยุโรป|ยุโรป ตามกรอบความร่วมมือการประชุมรัฐมนตรีต่างประเทศเอเชีย-ยุโรป|อาเซม โดยได้รับการยกย่องว่าเป็นสถาบันการศึกษานานาชาติที่ดีที่สุดในโลกเมื่อปี พ.ศ. 2558 โดย U-Multirankhttp://www.ryt9.com/s/prg/2136526 RYT9 ขณะเดียวกันยังได้รับการประเมินจากสำนักงานกองทุนสนับสนุนการวิจัยให้เป็นสถาบันที่มีผลงานวิจัยเป็นเลิศhttps://www.prachachat.net/news_detail.php?newsid=1277284605 สกว. ยืนยันว่า สถาบันเอไอที ยังเป็นมหาวิทยาลัยที่มีผลงานวิจัยเป็นเลิศในประเทศไทย ประชาชาติธุรกิจออนไลน์ == ประวัติ == เมื่อปี พ.ศ. 2500 องค์การสนธิสัญญาป้องกันภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ได้มีแนวคิดที่จะก่อตั้งโรงเรียนวิศวกรรมขึ้น โดยได้รับการสนับสนุนจากประเทศสมาชิกองค์กรซีโต้ ทั้งประเทศออสเตรเลีย ประเทศฝรั่งเศส ประเทศนิวซีแลนด์ สหราชอาณาจักร และสหรัฐ รวมถึงประเทศสมาชิกในภูมิภาค ได้แก่ ประเทศปากีสถาน ประเทศฟิลิปปินส์ และประเทศไทย โดยแนวคิดนี้ได้รับการอนุมัติในการประชุมที่กรุงมะนิลาในปีถัดมา จนกระทั่งมีการประกาศก่อตั้งโรงเรียนวิศวกรรม สปอ. ขึ้นภายหลังจากการประชุมที่กรุงเวลลิงตันในปี พ.ศ. 2502 ต่อมาโรงเรียนวิศวกรรม สปอ. ได้เปลี่ยนสถานะเป็นสถาบันเทคโนโลยีแห่งเอเชียในปี พ.ศ. 2510 เมื่อสภาร่างรัฐธรรมนูญ (ประเทศไทย)|สภาร่างรัฐธรรมนูญได้ประกาศให้กฎบัตรสถาบันเทคโนโลยีแห่งเอเชียมีผลตามกฎหมาย ซึ่งทำให้สถาบันเทคโนโลยีแห่งเอเชียเป็นสถาบันอิสระและไม่ขึ้นตรงกับหน่วยงานใด เมื่อปี พ.ศ. 2532 สถาบันเทคโนโลยีแห่งเอเชียได้รับรางวัลรามอน แมกไซไซ ในสาขาสันติภาพและความเข้าใจระหว่างประเทศ จากการพัฒนาทรัพยากรบุคคลยุคใหม่ โดยเฉพาะวิศวกรและผู้จัดการ ในทวีปเอเชีย โดยมีบรรยากาศการเรียนการสอนที่ดีเยี่ยมและมีความเป็นมิตรThe 1989 Ramon Magsaysay Award for International Understanding http://www.rmaf.org.ph/Awardees/Citation/CitationAIT.htm ต่อมาในปี พ.ศ. 2536 สถาบันเทคโนโลยีแห่งเอเชียได้ลงบันทึกความร่วมมือกับรัฐบาลเวียดนามในการเปิดศูนย์เวียดนามที่กรุงฮานอย ทำให้หลังจากนั้นรัฐบาลเวียดนามได้มอบรางวัลเหรียญมิตรภาพให้สถาบันเทคโนโลยีแห่งเอเชียในปี พ.ศ. 2549 ซึ่งถือเป็นรางวัลที่สูงที่สุดที่มีการมอบในระดับระหว่างประเทศ และมีการเสนอไปยังสถาบันระหว่างประเทศที่กระจายการฝึกทักษะทรัพยากรบุคคลแก่เวียดนาม และการพัฒนาความสัมพันธ์ระหว่างเวียดนามกับประเทศอื่น จากการที่สถาบันเทคโนโลยีแห่งเอเชียเป็นสถาบันการศึกษาที่มีสถานะแตกต่างจากสถาบันการศึกษาอื่นในประเทศไทย เนื่องจากมีสถานะเป็นองค์การระหว่างประเทศ จึงไม่ได้เป็นทั้งสถาบันของรัฐบาลและเอกชน แต่มีสถานะเทียบเท่ากับสถาบันอิสระระหว่างประเทศ โดยเมื่อปี พ.ศ. 2555 ได้เกิดประเด็นเกี่ยวกับการไม่รับรองในระบบราชการไทยขึ้นจากการที่ไม่ได้เป็นสถาบันการศึกษาเอกชน แต่ปัญหาดังกล่าวได้รับการแก้ไขในเวลาต่อมา ซึ่งสำนักงานคณะกรรมการข้าราชการพลเรือน (สำนักงาน ก.พ.) ได้ให้การรับรองคุณวุฒิจากสถาบันเทคโนโลยีแห่งเอเชียจัดอยู่ในการรับรองคุณวุฒิต่างประเทศhttp://e-accreditation.ocsc.go.th/acc/search/interpdf/ait.pdf การพิจารณารับรองคุณวุฒิและกำหนดอัตราเงินเดือนของผู้สำเร็จการศึกษาจาก Asian Institute of Technology สำนักงาน ก.พ. == ทำเนียบอธิการบดี == | class="wikitable" |- ! rowspan="2"| ที่ ! rowspan="2"| ชื่อ ! colspan="2"| การอยู่ในตำแหน่ง |- ! เริ่ม ! สิ้นสุด |- | 1 | ศาสตราจารย์ มิลตัน เบนเดอร์ จูเนียร์ | พ.ศ. 2511 | พ.ศ. 2520 |- | 2 | ศาสตราจารย์ โรเบิร์ต แบงส์ | พ.ศ. 2520 | พ.ศ. 2526 |- | 3 | ศาสตราจารย์ อลาสแตร์ นอร์ต | พ.ศ. 2526 | พ.ศ. 2539 |- | 4 | ศาสตราจารย์ โรเจอร์ ดาวเนอร์ | พ.ศ. 2539 | พ.ศ. 2541 |- | 5 | ศาสตราจารย์ ฌอง หลุยส์ อาร์มองด์ | พ.ศ. 2541 | พ.ศ. 2547 |- | 6 | ศาสตราจารย๋ ซาอิด อิรานดุส | พ.ศ. 2547 | พ.ศ. 2556 |- | 7 | ศาสตราจารย์ วรศักดิ์ กนกนุกุลชัย | พ.ศ. 2556 | พ.ศ. 2561 |- | 8 | ศาสตราจารย์ เอเดน วูน | พ.ศ. 2561 | พ.ศ. 2565 |- |9 | ศาสตราจารย์ คาซูโอะ ยามาโมโตะ |พ.ศ. 2565 |ปัจจุบัน | == การศึกษา == ไฟล์:Asian Institute of Technology 34.jpg|thumb|พื้นที่ภายในสถาบันเทคโนโลยีแห่งเอเชีย สถาบันเทคโนโลยีแห่งเอเชียมีการจัดการเรียนการสอนในระดับปริญญาโทและปริญญาเอกhttps://www.ait.ac.th/admissions/eligibility/ Eligibility Asian Institute of Technology โดยทุกหลักสูตรของสถาบันจะใช้ภาษาอังกฤษทั้งหมด เนื่องจากเป็นสถาบันที่เกิดขึ้นจากความร่วมมือของหลายประเทศ ทำให้นักศึกษาและบุคลากรของสถาบันส่วนใหญ่เป็นชาวต่างประเทศ ซึ่งสถาบันเทคโนโลยีแห่งเอเชียเป็นสถาบันที่มีชื่อเสียงอย่างมากในกลุ่มวิชาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี โดยเฉพาะในด้านวิศวกรรม สิ่งแวดล้อม และการจัดการข้อมูลเทคโนโลยีสารสนเทศhttps://www.ait.ac.th/education/academics/ Academics Asian Institute of Technology มีการจำแนกสำนักวิชาออกเป็น 3 คณะ ได้แก่ คณะวิศวกรรมและเทคโนโลยี คณะสิ่งแวดล้อม ทรัพยากร และการพัฒนา และคณะการจัดการhttps://www.ait.ac.th/education/schools/ Schools Asian Institute of Technology === คณะวิศวกรรมศาสตร์และเทคโนโลยี === คณะวิศวกรรมศาสตร์และเทคโนโลยี (School of Engineering and Technology) ประกอบด้วยภาควิชาและสาขาต่าง ๆ ดังต่อไปนี้ * ภาควิชาวิศวกรรมโยธาและโครงสร้างพื้นฐาน (Department of Civil and Infrastructure Engineering) ** สาขาวิศวกรรมการก่อสร้างและการจัดการโครงสร้างพื้นฐาน (Construction, Engineering and Infrastructure Management) ** สาขาวิทยาการเตรียมความพร้อมบรรเทาและจัดการภัยพิบัติ (Disaster Preparedness Mitigation and Management) ** สาขาวิศวกรรมธรณีเทคนิคและธรณีสิ่งแวดล้อม (Geotechnical and Earth Resources Engineering) ** สาขาวิศวกรรมโครงสร้าง (Structural Engineering) ** สาขาวิศวกรรมการขนส่ง (Transportation Engineering) * ภาควิชาเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร (Department of Information and Communication Technologies) ** สาขาวิทยาการคอมพิวเตอร์ (Computer Science) ** สาขาวิทยาการข้อมูลและปัญญาประดิษฐ์ (Data Science and AI) ** สาขาเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร (Information & Communication Technologies) ** สาขาการจัดการสารสนเทศ (Information Management) ** สาขาวิศวกรรมระบบไอโอที (Internet of Things (IoT) Systems Engineering) ** สาขาการสำรวจระยะไกลและระบบสารสนเทศภูมิศาสตร์ (Remote Sensing and Geographic Information Systems) ** สาขาโทรคมนาคม (Telecommunications) * ภาควิชาวิศวกรรมระบบอุตสาหการ (Department of Industrial Systems Engineering) ** สาขาวิทยาศาสตร์และวิศวกรรมวัสดุไบโอนาโน (Bio-Nano Materials Science and Engineering) ** สาขาวิศวกรรมอุตสาหการและการบริหาร (Industrial and Manufacturing Engineering) ** สาขาวิศวกรรมการแพทย์ (Medical Engineering) ** สาขาเมคคาทรอนิกส์และเครื่องกล (Mechatronics and Machine Intelligence) *ภาควิชาทรัพยากรน้ำและวิศวกรรมสิ่งแวดล้อม (Department of Water Resources and Environmental Engineering) **สาขาวิศวกรรมสิ่งแวดล้อมและการจัดการ (Environmental Engineering and Management) **สาขาวิศวกรรมทางน้ำและการจัดการ (Water Engineering and Management) === คณะสิ่งแวดล้อม ทรัพยากร และการพัฒนา === คณะสิ่งแวดล้อม ทรัพยากร และการพัฒนา (School of Environment, Resources, and Development) ประกอบด้วยภาควิชาและสาขาต่าง ๆ ดังต่อไปนี้ * ภาควิชาการพัฒนาและความยั่งยืน (Department of Development and Sustainability) ** สาขาการจัดการวางแผนพัฒนาและนวัตกรรม (Development Planning Management and Innovation) ** สาขาโครงการพัฒนาและความยั่งยืน (Development and Sustainability Program) ** สาขาการพัฒนาบทบาทหญิงชาย (Gender and Development Studies) ** สาขาเมืองเชิงนวัตกรรมและความยั่งยืน (Urban Innovation and Sustainability) * ภาควิชาพลังงานและการเปลี่ยนแปลงภูมิอากาศ (Department of Energy and Climate Change) ** สาขาการเปลี่ยนแปลงภูมิอากาศและการพัฒนาอย่างยั่งยืน (Climate Change and Sustainable Development) ** สาขาการเปลี่ยนแปลงพลังงานอย่างยั่งยืน (Sustainable Energy Transition) * ภาควิชาอาหาร เกษตรกรรม และทรัพยากรธรรมชาติ (Department of Food, Agriculture and Natural Resources) ** สาขาการเพาะเลี้ยงสัตว์น้ำและการจัดการทรัพยากรทางน้ำ (Aquaculture and Aquatic Resources Management) ** สาขาการจัดการธุรกิจเกษตรกรรม (AgriBusiness Management) ** สาขาวิศวกรรมและระบบการเกษตร (Agricultural Systems & Engineering) ** สาขาวิศวกรรมอาหารและเทคโนโลยีชีวภาพ (Food Engineering and Bioprocess Technology) ** สาขานวัตกรรมอาหาร โภชนาการ และสุขภาพ (Food Innovation, Nutrition and Health) ** สาขาการจัดการทรัพยากรธรรมชาติ (Natural Resources Management) === คณะการจัดการ === คณะการจัดการ (School of Management) ประกอบด้วยสาขาวิชาต่าง ๆ ดังต่อไปนี้ * สาขาการบริหารธุรกิจ (Business Administration) * สาขาธุรกิจระหว่างประเทศ (International Business - Management of Technology) === หน่วยงานอื่น === * ศูนย์เอไอทีเวียดนาม * โครงการพัฒนาการจัดการ สวิส-เอไอที-เวียดนาม * ศูนย์การศึกษาทางไกล * ห้องสมุดเอไอที * สถาบันภาษา == ที่ตั้งและวิทยาเขต == ไฟล์:Asian Institute of Technology environment.jpg|thumb|right|อาคารเรียนและสภาพแวดล้อมภายในเอไอที ระยะแรกของการก่อตั้ง บัณฑิตวิทยาลัยวิศวกรรมศาสตร์ สปอ. ''(ชื่อของสถาบันในขณะนั้น)'' ตั้งอยู่ในพื้นที่ของคณะวิศวกรรมศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ต่อมาได้รับการอนุมัติให้ใช้พื้นที่ประมาณ 1,000 ไร่ซึ่งเป็นที่ดินของรัฐบาลไทย อยู่บริเวณติดกับมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์|มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ศูนย์รังสิตในปัจจุบัน จึงได้พัฒนาเป็นที่ตั้งจนถึงทุกวันนี้ ด้านหน้าของสถาบันฯ เป็นพื้นที่สีเขียวเป็นแนวกว้าง เดิมได้ออกแบบเพื่อเป็นพื้นที่ถอยร่นใช้กันเสียงและมลภาวะจากภายนอก และใช้เป็นพื้นที่สนามกอล์ฟ 9 หลุมสำหรับนักศึกษาและบุคลากรของสถาบันฯ จนเมื่อปี พ.ศ. 2546 ได้มีโครงการเปลี่ยนพื้นที่สนามกอล์ฟเป็นพื้นที่สวนพฤกษศาสตร์เปิดให้บุคคลภายนอกได้ใช้ เป็นหนึ่งในพื้นที่สีเขียวที่สำคัญของจังหวัดปทุมธานี นอกจากมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์แล้ว พื้นที่ติดกับสถาบันยังเป็นที่ตั้งของหน่วยงานทางวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีสำคัญอย่าง อุทยานวิทยาศาสตร์ประเทศไทย และสำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ นอกจากศูนย์หลักที่ตั้งอยู่ในประเทศไทยแล้ว ยังมีศูนย์เอไอทีเวียดนามที่ตั้งกระจายอยู่ตามเมืองสำคัญในประเทศเวียดนาม ได้แก่ กรุงฮานอย นครโฮจิมินห์ซิตี และเกิ่นเทอ ซึ่งเป็นศูนย์หลักในประเทศเวียดนามทั้ง 3 แห่ง และยังมีสำนักงานย่อยกระจายในเมืองต่างๆอีก 4 แห่ง โดยศูนย์เอไอทีเวียดนามนั้นก่อตั้งขึ้นตั้งแต่ปี พ.ศ. 2536 ภายใต้ข้อตกลงร่วมกับรัฐบาลเวียดนาม ทำให้เป็นสถาบันการศึกษานานาชาติแห่งแรกที่ตั้งอยู่ในประเทศเวียดนาม == ชีวิตนักศึกษา == ปัจจุบันสถาบันเทคโนโลยีแห่งเอเชียมีการเปิดการเรียนการสอนในระดับปริญญาโทและปริญญาเอก โดยจากรายงานประจำปี พ.ศ. 2559 พบว่า สถาบันเทคโนโลยีแห่งเอเชียมีนักศึกษาเข้าใหม่มาจากประเทศต่างๆในทุกปี สามารถแบ่งออกเป็นเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ร้อยละ 60 เอเชียใต้และเอเชียตะวันตก ร้อยละ 27 เอเชียตะวันออกและเอเชียกลาง ร้อยละ 7 ทวีปยุโรป ร้อยละ 4 และทวีปแอฟริกา ร้อยละ 2 รวมมีนักศึกษารวมทุกระดับจำนวน 2,192 คน ที่มาจาก 49 ประเทศทั่วโลก เป็นนักศึกษาไทยเพียงร้อยละ 30 ส่วนเพศของนักศึกษาส่วนใหญ่เป็นเพศชายถึงร้อยละ 65 และเป็นเพศหญิงร้อยละ 35https://d2oc0ihd6a5bt.cloudfront.net/wp-content/uploads/sites/2404/2017/07/annualreport2016-ilovepdf-compressed.pdf Annual Report 2016 นักศึกษาในสถาบันเทคโนโลยีแห่งเอเชียส่วนใหญ่เป็นนักศึกษาที่มีผลการเรียนดี จึงได้รับทุนการศึกษาที่สถาบัน โดยแบ่งออกเป็นนักศึกษาที่ได้รับทุนให้เปล่าแบบเต็มจำนวน เช่น ทุนรัฐบาลไทย ทุนญี่ปุ่น ฯลฯ ร้อยละ 46 และมีเพียงนักศึกษาร้อยละ 20 เท่านั้น ที่ออกค่าใช้จ่ายในการศึกษาเองทั้งหมด ส่วนที่เหลือเป็นนักศึกษาที่ได้รับทุนบางส่วนhttps://blog.eduzones.com/magazine/177165 ทุนเยอะ!เอไอทีเปิดบ้านโชว์หลักสูตร-แจงข้อมูลทุนhttps://www.ait.ac.th/admissions/scholarships/ Scholarships โดยอีกเหตุผลหนึ่งที่ทำให้นักศึกษาส่วนใหญ่เป็นนักเรียนทุนคือการที่สถาบันกำหนดค่าเล่าเรียนไว้ค่อนข้างสูง == อันดับและมาตรฐานมหาวิทยาลัย == === การประเมินคุณภาพผลงานวิจัยเชิงวิชาการโดยสำนักงานกองทุนสนับสนุนการวิจัย === สำนักงานกองทุนสนับสนุนการวิจัย (สกว.) ได้มีการประกาศผลการประเมินคุณภาพผลงานวิจัยเชิงวิชาการด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีของสถาบันอุดมศึกษาในประเทศไทย ปี พ.ศ. 2557 โดยสถาบันเทคโนโลยีแห่งเอเชียได้รับการประเมินให้เป็นสถาบันที่มีจำนวนหน่วยงานได้รับการประเมินในระดับ "ดีเยี่ยม" (TRF Index 5.0) มากที่สุดในสถาบันระดับอุดมศึกษาทั่วประเทศ ซึ่งสาขาที่ได้รับการประเมินในระดับดีเยี่ยม ได้แก่ สาขาวิชาวิศวกรรมโยธา สาขาวิชาวิศวกรรมอุตสาหการ สาขาวิชาเทคโนโลยีพลังงาน สาขาวิชาเทคโนโลยีสิ่งแวดล้อม และสาขาวิชาเทคโนโลยีสารสนเทศhttps://www.trf.or.th/index.php?option=com_content&view=article&id=9274%3A2016-03-01-11-26-07&catid=44%3A2013-11-25-06-49-47&Itemid=369&option=com_content&view=article&id=9274%3A2016-03-01-11-26-07&catid=44%3A2013-11-25-06-49-47&Itemid=369 สกว.ประกาศผลประเมินคุณภาพผลงานวิชาการ สำนักงานกองทุนสนับสนุนการวิจัย === การจัดอันดับโดยเว็บโอเมตริกซ์ (Webometrics) === การจัดอันดับโดยเว็บโอเมตริกซ์ (Webometrics) ซึ่งจัดทำขึ้นเพื่อแสดงความตั้งใจของสถาบันต่าง ๆ ในการเผยแพร่ความรู้สู่เว็บไซต์ และเป็นความริเริ่มเพื่อส่งเสริมการเข้าถึงความรู้อย่างเปิดกว้าง (Open Access) ทั่วโลก โดยบ่งบอกถึงปริมาณและคุณภาพของสิ่งตีพิมพ์อิเล็กทรอนิกส์ของสถาบัน เพื่อใช้ร่วมกับตัวชี้วัดอื่น ๆ ในการประเมินผลงานวิจัยของสถาบัน ซึ่งทางเว็บโอเมตริกซ์ได้จัดอันดับปีละ 2 ครั้งในเดือนมกราคม และกรกฎาคม โดยเดือนกรกฎาคม พ.ศ. 2553 สถาบันเทคโนโลยีแห่งเอเชีย อยู่ในอันดับที่ 1,104 ของโลก อันดับที่ 35 ของเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ อันดับที่ 13 ของมหาวิทยาลัยในประเทศไทยhttp://www.webometrics.info/top100_continent.asp?cont=SE_Asia Ranking Web of World Universities Top South East Asia === การจัดอันดับโดย U-Multirank === สถาบันเทคโนโลยีแห่งเอเชียได้การจัดอันดับมหาวิทยาลัยนานาชาติยอดเยี่ยมของโลกจาก U-Multirank 2015 International Ranking ในฐานะมหาวิทยาลัยที่มุ่งเน้นความเป็นนานาชาติเมื่อปี พ.ศ. 2558 โดยเป็นสถาบันการศึกษานานาชาติเพียงแห่งเดียวในทวีปเอเชียที่ได้รับการจัดระดับในระดับ A ครบทั้ง 5 ด้าน ได้แก่ การเรียนการสอน การวิจัย การถ่ายทอดองค์ความรู้ การมุ่งเน้นความเป็นนานาชาติ และความเกี่ยวข้องในระดับภูมิภาคhttp://www.thaipost.net/home/?q=%E0%B8%AA%E0%B8%96%E0%B8%B2%E0%B8%9A%E0%B8%B1%E0%B8%99%E0%B9%80%E0%B8%AD%E0%B9%84%E0%B8%AD%E0%B8%97%E0%B8%B5-%E0%B8%A2%E0%B8%AD%E0%B8%94%E0%B9%80%E0%B8%A2%E0%B8%B5%E0%B9%88%E0%B8%A2%E0%B8%A1%E0%B9%82%E0%B8%A5%E0%B8%81-%E0%B8%90%E0%B8%B2%E0%B8%99%E0%B8%B0%E0%B8%A1%E0%B8%AD%E0%B8%B4%E0%B8%99%E0%B9%80%E0%B8%95%E0%B8%AD%E0%B8%A3%E0%B9%8C สถาบัน"เอไอที" ยอดเยี่ยมโลก ฐานะ"ม.อินเตอร์" ไทยโพสต์ นอกจากนี้ สถาบันเทคโนโลยีแห่งเอเชียยังได้รับการให้คะแนนระดับ A ถึง 11 ตัวชี้วัด จากทั้งหมด 31 ตัวชี้วัด ซึ่ง U-Multirank ให้การยกย่องว่าเป็นสถาบันที่แสดงให้เห็นถึงประสิทธิภาพดีและมีความกว้างขวาง โดยเป็นสถาบันการศึกษาที่ดีที่สุดในประเทศไทย และเป็นอันดับที่ 15 ของทวีปเอเชีย ในการวัดระดับในภาพรวมhttps://www.thairath.co.th/content/493070 "เอไอที" ติดอันดับโลกเร่งเสริมจุดแข็ง ไทยรัฐออนไลน์http://newsinfo.inquirer.net/686622/ait-ranked-top-international-university-in-the-world#ixzz5C5HEJlIz AIT ranked ‘top international university’ in the world Inquirer == การเดินทาง == นักศึกษา บุคลากร และบุคคลทั่วไปสามารถเดินทางมายังสถาบันเทคโนโลยีแห่งเอเชียได้หลายเส้นทาง เช่นเดียวกับมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ศูนย์รังสิต ที่มีพื้นที่ติดต่อกัน โดยสามารถเดินทางได้ทั้งทางรถยนต์โดยผ่านถนนพหลโยธิน หรือ ทางพิเศษอุดรรัถยา และ ถนนกาญจนาภิเษก โดยผ่านทางหลวงแผ่นดินหมายเลข 3214|ถนนเชียงราก/ถนนคลองหลวง รถเมล์ สาย 29 39 และ 510 รถตู้โดยสารร่วม ขสมก. สาย ต.85 จาก อนุสาวรีย์ชัยสมรภูมิ และ สาย ต.118 จาก สถานีหมอชิต|รถไฟฟ้าบีทีเอส สถานีหมอชิต/สถานีสวนจตุจักร|รถไฟฟ้ามหานคร สถานีสวนจตุจักร รถตู้โดยสารปรับอากาศท่าพระจันทร์–ศูนย์รังสิต และรถตู้โดยสารปรับอากาศจากฟิวเจอร์พาร์ค รังสิต รวมทั้งสามารถเดินทางโดยรถไฟ มาลงที่สถานีรถไฟมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ได้อีกทางหนึ่ง สำหรับสถานีรถไฟมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ สร้างขึ้นเพื่อรองรับการแข่งขันเอเชียนเกมส์ ครั้งที่ 13 โดยตั้งอยู่หลังมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ศูนย์รังสิต ปัจจุบันมีขบวนรถชานเมืองและธรรมดา หยุดรับส่งผู้โดยสาร 11 ขบวนต่อวัน == บุคคลที่มีชื่อเสียงจากสถาบัน == === ชาวไทย === * สุบิน ปิ่นขยัน - อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ กระทรวงพาณิชย์ และทบวงมหาวิทยาลัย และผู้ก่อตั้ง บริษัท เอ็มดีเอ็กซ์ จำกัด * ศาสตราจารย์ ศรีศักดิ์ จามรมาน - อดีตหัวหน้าคณะทำงานหลายคณะในคณะกรรมการคอมพิวเตอร์ของรัฐ สำนักนายกรัฐมนตรี และผู้ได้รับการยกย่องเป็นบิดาแห่งระบบอิเล็กทรอนิกส์ไทย * ศาสตราจารย์ อาณัติ อาภาภิรม - อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ * ทองฉัตร หงศ์ลดารมภ์ - ผู้ว่าการการปิโตรเลียมแห่งประเทศไทยคนแรก * ประเสริฐ ภัทรมัย - ผู้ก่อตั้งบริษัท ทีม คอนซัลติ้ง เอนจิเนียริ่ง แอนด์ แมเนจเมนท์ จำกัด * พลเอก บุญสร้าง เนียมประดิษฐ์ - อดีตผู้บัญชาการทหารสูงสุด * ประสาร ไตรรัตน์วรกุล - อดีตผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย * รองศาสตราจารย์ กิตติชัย ไตรรัตนศิริชัย - อธิการบดีมหาวิทยาลัยขอนแก่น คนที่ 10 * พนิตา กำภู ณ อยุธยา - อดีตปลัดกระทรวงศึกษาธิการ * สามารถ ราชพลสิทธิ์ - อดีตรองผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร ฝ่ายโยธาและจราจร * ผู้ช่วยศาสตราจารย์ นพดล อินนา - อดีตสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรในระบบบัญชีรายชื่อของพรรคไทยรักไทย และอดีตรองอธิการบดีมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ * ยงยุทธ ติยะไพรัช - อดีตประธานรัฐสภา และอดีตประธานสภาผู้แทนราษฎร * ห้างทอง ธรรมวัฒนะ - อดีตสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร กรุงเทพมหานคร พรรคประชากรไทย * มณทิพย์ ศรีรัตนา - อดีตรองปลัดกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม * โสภณ พรโชคชัย - นักวิชาการด้านอสังหาริมทรัพย์ การประเมินค่าทรัพย์สิน การพัฒนาเมือง * อริยา อรุณินท์ - อาจารย์ประจำคณะสถาปัตยกรรมศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย และผู้ร่วมออกแบบงานผังของ สวนหลวง ร.9 * รองศาสตราจารย์ ยงธนิศร์ พิมลเสถียร - อาจารย์ประจำคณะสถาปัตยกรรมศาสตร์และการผังเมือง มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ และหนึ่งในคณะอนุกรรมการอนุรักษ์ และพัฒนาเกาะกรุงรัตนโกสินทร์ *สุรเชษฐ์ ประวีณวงศ์วุฒิ - ผู้ช่วยศาสตราจารย์ด้านวิศวกรรมจราจรและขนส่ง สถาบันเทคโนโลยีแห่งเอเชีย และสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรในระบบบัญชีรายชื่อของพรรคอนาคตใหม่ *มานะ มหาสุวีระชัย - อดีตสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรจังหวัดศรีสะเกษ สังกัดพรรคประชาธิปัตย์ *วรรณสิงห์ ประเสริฐกุล-นักแสดง นักเขียน และผู้ผลิตรายการ *ณัฐพงศ์ เปรมพูลสวัสดิ์ - สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร กรุงเทพมหานคร สังกัดพรรคก้าวไกล === ชาวต่างประเทศ === * เหมา จื้อกั๋ว - อดีตนายกรัฐมนตรีสาธารณรัฐจีนhttps://www.ait.ac.th/2015/02/ait-alumnus-is-premier-of-taiwan/ AIT alumnus is Premier of Taiwan * Bindu Lohani - อดีตรองประธานธนาคารพัฒนาเอเชียhttps://www.ait.ac.th/2007/04/adb-names-ait-alumnus-bindu-lohani-as-vice-president/ ADB names AIT alumnus Bindu Lohani as Vice-President * Dang Hoang An - รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงอุตสาหกรรมและการค้าเวียดนามhttps://www.ait.ac.th/2018/05/ait-alumnus-appointed-minister-viet-nam/ AIT alumnus appointed Minister in Viet Nam * ยู่ เสี่ยวกัง - นักสิ่งแวดล้อมชาวจีน และผู้ได้รับรางวัลรามอน แมกไซไซ 2009https://www.ait.ac.th/2006/04/ait-doctoral-candidate-yu-xiaogang-was-one-of-six-winners-of-this-years-goldman-prize/ AIT doctoral candidate Yu Xiaogang was one of six winners of this year’s Goldman Prize == อ้างอิง == == แหล่งข้อมูลอื่น == * http://www.ait.ac.th/ สถาบันเทคโนโลยีแห่งเอเชีย * http://www.aitthai.or.th/ สมาคมนักเรียนเก่าเอไอที (ประเทศไทย) หมวดหมู่:สถาบันเทคโนโลยีแห่งเอเชีย| หมวดหมู่:มหาวิทยาลัยเทคโนโลยี|อเชีย,สถาบันเทคโนโลยีแห่ง หมวดหมู่:สถาบันอุดมศึกษานานาชาติในประเทศไทย|อเชีย,สถาบันเทคโนโลยีแห่ง หมวดหมู่:สถาบันอุดมศึกษาในจังหวัดปทุมธานี|อเชีย หมวดหมู่:ผู้ได้รับรางวัลแมกไซไซ หมวดหมู่:เครือข่ายการศึกษาและการวิจัยแห่งลุ่มแม่น้ำโขง หมวดหมู่:องค์การระหว่างประเทศ หมวดหมู่:สถานศึกษาในอำเภอคลองหลวง
สถาบันเทคโนโลยีแห่งเอเชีย
Infobox basketball biography | name = ไมเคิล จอร์แดน | image = Michael Jordan in 2014.jpg | caption = จอร์แดนในปี 2021 | alt = Michael Jordan smiling at the camera | league = NBA | team = ชาล็อต ฮอร์เน็ตส์ | position = เจ้าของ | birth_date = | birth_place = รัฐนิวยอร์ก สหรัฐ | height_ft = 6 | height_in = 6 | weight_lbs = 216 | weight_footnote = efn|Jordan's weight fluctuated from during the course of his professional career; his NBA listed weight was . | high_school = Emsley A. Laney High School|Emsley A. Laney(Wilmington, North Carolina) | college = มหาวิทยาลัยนอร์ทแคโรไลนา แชเปลฮิลล์ (1981–1984) | draftyear = 1984 | draftround = 1 | draftpick = 3 | draftteam = Golden state | career_start = 1984–1993, 1995–1998, 2001 | career_end = 2003 | career_position = ชู้ตติ้งการ์ด | career_number = 23, 12, 45 | years1 = –,– | team1 = ชิคาโก บูลส์ | years2 = – | team2 = :en:Washington Wizards|วอชิงตัน วิซารดส์ | highlights = ผู้เล่นแห่งปีบาสเกตบอลชายใน ACC (1984) USBWA College Player of the Year (1984) Naismith College Player of the Year (1984) John R. Wooden Award (1984) Adolph Rupp Trophy (1984) ผู้เล่นหน้าใหม่ยอดเยี่ยม (1985) ผู้เล่นเกมรับยอดเยี่ยม (1988) รางวัลผู้เล่นทรงคุณค่าเอ็นบีเอ|ผู้เล่นทรงคุณค่าเอ็นบีเอ (1988, 1991, 1992, 1996, 1998) ผู้เล่นทรงคุณค่าเอ็นบีเอรอบไฟนอล (1991, 1992, 1993, 1996, 1997, 1998) NBA's 50th Anniversary All-Time Team (1997) 2000 ESPY Athlete of the Century 2000 ESPY Male Athlete Decade Award (1990s) 2000 ESPY Pro Basketballer Decade Award (1990s) 2000 ESPY Play of the Decade (สำหรับลูกโยนด้วยมือซ้ายในเกมรอบไฟนอลปี 1991 ที่แข่งกับลอสแอนเจลิส เลเกอรส์) |stats_league=เอ็นบีเอ |stat1label = แต้ม |stat1value = 32,292 (30.1 ต่อเกม) |stat2label = รีบาวด์ |stat2value = 6,672 (6.2 ต่อเกม) |stat3label = แอสซิสต์ |stat3value = 5,633 (5.3 ต่อเกม) |bbr = jordami01 |HOF_player = michael-jordan |FIBA_HOF_player = Michael-JORDAN |medaltemplates = Medal|Country| '''ไมเคิล เจฟฟรีย์ จอร์แดน''' (; เกิด 17 กุมภาพันธ์ ค.ศ. 1963) เป็นอดีตนักบาสเกตบอล|บาสเกตบอลอาชีพ สังกัดทีมชิคาโก บูลส์|ชิคาโก บูลส์ (Chicago Bulls) เล่นในตำแหน่งชู้ตติ้งการ์ด ในลีกเอ็นบีเอ|เอ็นบีเอ (NBA: National Basketball Association) ในสหรัฐ เป็นนักกีฬาที่ยอดเยี่ยมที่สุดคนหนึ่งในประวัติศาสตร์การกีฬาบาสเกตบอล ปัจจุบันเป็นเจ้าของทีมชาล็อต ฮอร์เน็ตส์ (Charlotte Hornets) == ประวัติ == ไมเคิล จอร์แดน เกิดเมื่อวันที่ 17 กุมภาพันธ์ ค.ศ. 1963 ที่บรู๊กลิน ในรัฐนิวยอร์ก จบการศึกษาระดับไฮสคูลที่เลนีย์ ไฮสคูลในวิลมิงตั้น รัฐนอร์ทแคโรไลนา และจบการศึกษาระดับวิทยาลัยที่มหาวิทยาลัยนอร์ทแคโรไลนา แชเปิลฮิลล์ == การเล่นบาสเกตบอล == ไมเคิล จอร์แดน มีความสูงถึง 198 เซนติเมตร (6 ฟุต 6 นิ้ว) จึงมีความโดดเด่นในวงการบาสเกตบอล ได้เริ่มเล่นบาสเกตบอลให้กับทีมมหาวิทยาลัยนอร์ทแคโรไลนา แชเปิลฮิลล์ และภายหลังได้รับเลือกไปเล่นให้กับทีม ชิคาโก บูลส์ ในการดราฟ เป็นอันดับที่ 3 === การเล่นให้กับทีมชิคาโก บูลส์ และ ทีมชาติ === ไมเคิล จอร์แดนเล่นให้ทีม ชิคาโก บูลส์ (Chicago Bulls) ในปี ค.ศ. 1984 สามารถทำให้ ทีมชิคาโกบูลล์ เป็นแชมป์ เอ็น บี เอ ถึง 6 สมัย และได้รับรางวัลผู้เล่นทรงคุณค่าของเอ็นบีเอ 5 สมัย (ค.ศ. 1988, 1991, 1992, 1996 และ 1998) และได้รับ รางวัลผู้เล่นทรงคุณค่า 3 ประเภท (MVP triple-crown) 2 สมัย (ที่หมายถึงการได้รับรางวัลผู้เล่นทรงคุณค่า (MVP) 3 ประเภท คือ รางวัลผู้เล่นทรงคุณค่าในฤดูกาล, รางวัลผู้เล่นทรงคุณค่าหลังฤดูกาลในช่วงแข่งชิงแชมป์เอ็นบีเอ, และ รางวัลผู้เล่นทรงคุณค่าในเกมรวมดาราเอ็นบีเอ|การแข่งรวมดาวนักกีฬา ในฤดูกาลเดียวกัน) นักกีฬาคนอื่น ๆ ที่เคยได้รับรางวัลทั้งสามในฤดูกาลเดียวกัน ได้แก่ วิลลิส รีด (Willis Reed) (ค.ศ. 1970) และ แชคิล โอนีล (Shaquille O'Neal) (ค.ศ. 2000) ไมเคิล จอร์แดนเป็นหนึ่งใน ดรีมทีม ของสหรัฐฯ ในการแข่งขันโอลิมปิกฤดูร้อน เมื่อปี ค.ศ. 1992 ร่วมกับผู้เล่นระดับดาราคนอื่น ๆ อย่าง แมจิก จอห์นสัน และ แลร์รี่ เบิร์ด และทีมของสหรัฐอเมริกามีชัยชนะได้เหรียญทองโอลิมปิกในการแข่งขัน === เกียรติประวัติในการเล่นบาสเกตบอล === # ผู้เล่นดาวรุ่งแห่งปีในปี ค.ศ. 1985 ติดทีมรวมดาวรุ่งเอ็นบีเอในปีเดียวกัน # ติดทีมออลสตาร์ในปี ค.ศ. 1987, 1988, 1989, 1990, 1991, 1992, 1993, 1996, 1997 และ 1998 และเป็นผู้เล่นเกมรับยอดเยี่ยมในปี 1988 # เป็นผู้เล่นทรงคุณค่าของเอ็นบีเออีก 5 สมัยในปี ค.ศ. 1988, 1991, 1992, 1996 และ 1998 # ได้รับเลือกเป็นผู้เล่นทรงคุณค่าในนัดชิงชนะเลิศเอ็นบีเออีก 6 สมัย ในปี ค.ศ. 1991, 1992, 1993, 1996, 1997 และ 1998 # เป็นสมาชิกของทีมชาติบาสเกตบอลสหรัฐอเมริกา คว้าเหรียญทองในโอลิมปิกเกมส์อีก 2 สมัย ด้วยความที่ ไมเคิล จอร์แดน เป็นนักกีฬาบาสเกตบอลที่มีชื่อเสียงมาก และกีฬาบาสเกตบอลก็เป็นที่แพร่หลายมากทั่วโลก โดยเฉพาะในหมู่วัยรุ่น ทำให้สินค้ามากมายหลายชนิด ต่างก็อยากได้ตัวเขาไปเป็นผู้เสนอสินค้า (พรีเซนเตอร์) หรือเอาชื่อของเขาไปใส่ในชื่อสินค้าหรือการส่งเสริมการขายต่าง ๆ ค่าตัวของจอร์แดน จึงสูงมาก และทำให้เขาเป็นนักกีฬาที่มีรายได้อันดับต้น ๆ ของโลก เขาเข้ามาในปี ค.ศ. 1985 จากการดราฟด์เป็นอันดับที่ 3 โดยทีมชิคาโก บูลส์ ส่วนอันดับ 1 คือ ฮาคีม โอลาจูวอน อันดับสอง คือ แซม โบวี่ สาเหตุที่สองทีม ไม่เลือกจอร์แดนเพราะ ในยุคนั้นเน้นการดราฟเซ็นเตอร์ตัวใหญ่ และจอร์แดนเล่นการ์ดซึ่งตัวเล็กเกินไป ในปี ค.ศ. 1996 ไมเคิล จอร์แดน เล่นภาพยนตร์เรื่อง สเปซแจม (Space Jam) โดยเป็นพระเอกร่วมกับตัวละครการ์ตูนของ Warner Bros ได้แก่ บั๊กส์ บันนี่ และ แดฟฟี่ ดั๊ก เนื้อเรื่องของจอร์แดนได้หลุดเข้าไปในแดนมหัศจรรย์ และช่วยตัวละครการ์ตูนแข่งบาสเกตบบอลกับมนุษย์ต่างดาว ปัจจุบัน ไมเคิล จอร์แดนเลิกเล่นบาสเกตบอลแล้ว แต่ก็ยังอยู่ในวงการกีฬาเหมือนเดิม โดยเขาได้เข้าซื้อหุ้น ทีม วอชิงตัน วิซาร์ดส์โดย เข้ามาเป็น ประธานทีม ดราฟ ตัวผู้เล่น คาวาเม่ บราวน์ มาเป็นอันดับที่ 1 และได้กลับเข้ามาใน NBA อีกครั้ง โดยเล่นให้กับ สังกัด ทีม วอชิงตัน วิซาร์ดส์ ใน ฤดูกาล 2001-2002 ถึง 2002-2003 โดยเขาได้เข้าเล่น ออล สตาร์ ทั้ง 2 สมัย ก่อนจะขายหุ้น ทิ้ง เนื่องจากมีปากเสียงกับทีมบริหารด้วยกัน โดยเขาได้มองที่จะซื้อทีมใหม่เพื่อเป็นเจ้าของ ในขณะนั้นเอง ชิคาโก บูลส์ อดีตทีมต้นสังกัดของเขาได้ยื่นข้อเสนอให้หุ้นฟรีแก่เขา พร้อมเสนอตำแหน่ง รองประธาน ในบอร์ดบริหาร แต่เขาได้ปฏิเสธ ด้วยเหตุผลที่ว่าต้องการเป็นเจ้าของเท่านั้น โดยในขณะนั้น เขาได้เข้าไปคุยกับ บอร์ดบริหาร มิววอกกี้ บักส์ ถึง เรื่องการเข้าซื้อหุ้นเพื่อเป็นเจ้าของ หลังจากได้ข่าวว่าเจ้าของทีม มิววอกกี้ บักส์ ให้สัมภาษณ์ว่าต้องการขายทีม แต่เขาได้ปฏิเสธ ไมเคิล จอร์แดน เนื่องจากเขาต้องการขายทีมให้กับ ชาวเมือง มิววอกกี้ เท่านั้น ภายหลัง เจ้าของทีม ชาล็อต บ็อบแคทส์ เสนอขายหุ้นให้เขามาเป็นเจ้าของร่วม โดย ให้ ไมเคิล จอร์แดน เป็น ประธานด้านกีฬาบาสเกตบอล และ บริหารส่วนอื่นของทีมอีกด้วย ซึ่ง ไมเคิล จอร์แดน ก็พอใจกับข้อเสนอดังกล่าว เขาได้ซื้อหุ้นของทีมชาล็อต บ็อบแคทส์ และเป็นผู้ร่วมบริหารทีมอยู่ในขณะนี้ นอกจากนั้นก็ยังเป็นเจ้าของทีมฮอกกี้น้ำแข็ง วอชิงตัน แคพิตอลส์ งานทางด้านการกุศล ไมเคิล จอร์แดน ได้ก่อตั้งศูนย์ เจมส์ อาร์.จอร์แดน บอยส์ แอนด์ เกิร์ลส์ คลับ แอน แฟมิลี่ ไลฟ์ เซ็นเตอร์ ซึ่งให้ความช่วยเหลือเด็ก ๆ จากทั่วประเทศทั้งด้าน ชีวิตความเป็นอยู่ การศึกษา และให้การอบรมทางด้านกีฬาแก่เยาวชนผู้สนใจ โดยมูลนิธินี้ตั้งตามชื่อ เจมส์ จอร์แดน ซึ่งเป็นบิดาของเขา == ชีวิตครอบครัว == ไมเคิล จอร์แดน แต่งงาน กับ ฮัวนิต้า จอร์แดน มีบุตร 3 คน คือ เจฟฟรีย์ มาร์คัส และ จัสมิน มีสุนัขคู่ใจหนึ่งตัวชื่อ อกิต้า แต่ปัจจุบันภรรยาใหม่ชื่อว่า อีเวต์ ปิเอโตร == ส่วนเกี่ยวข้อง == * ในวัยเด็กจอร์แดนเคยประสบอุบัติเหตุทางทะเล จนทำให้เพื่อนเขาเสียชีวิตแต่ตัวเองรอดมาได้ จากนั้นมาจอร์แดนจึงไม่ชอบทะเลและการว่ายน้ำ * จอร์แดนเคยถูกตัดจากทีมบาสไฮสคูลที่เขาเรียน หลังจากนั้นจอร์แดนจึงขยันฝึกซ้อมอย่างหนักวันละหลายชั่วโมง * ในวัยเด็กเขาชอบเล่นเบสบอลมาก แต่ก็เล่นบาสเกตบอลกับอเมริกันฟุตบอลบ้าง แต่เริ่มมารักบาสเกตบอล หลังจากที่เขาเล่นบาสเกตบอล หนึ่งต่อหนึ่ง กับพี่แล้วก็แพ้ทุกครั้งไป * พ่อของเขา เจมส์ จอร์แดน ถูกฆาตกรรมระหว่างเดินทางโดยโจรปล้นรถ ซึ่งรถที่ถูกปล้นไปคือรถที่ไมเคิลซื้อให้ จากการเสียชีวิตของพ่อทำให้เขาประกาศเลิกเล่นครั้งแรก ก่อนจะกลับมาอีกครั้ง * ทีมชิคาโก บูลส์ ประกาศเลิกใช้เสื้อหมายเลข 23 ของเขา ในการประกาศเลิกเล่นครั้งแรกของไมเคิล จากนั้นเขากลับมาเล่นใหม่ โดยใส่หมายเลข 45 ในช่วงแรก ก่อนจะกลับมาใส่หมายเลข 23 อีกครั้ง หลังจากไมเคิลไปเล่นให้กับ วอชิงตัน วิซาร์ดส์ ทีมไมอามี ฮีท ก็ประกาศเลิกใช้หมายเลข 23 เช่นกัน ซึ่งเป็นการเลิกใช้หมายเลขโดยทีมที่จอร์แดนไม่เคยไปเล่นหรือเกี่ยวข้องแต่อย่างใด * มีช่วงหนึ่งที่ไมอามีเกิดจลาจล มีการหยุดการจลาจลหนึ่งวันเพราะวันนั้น ทีมชิคาโก บูลส์ ที่จอร์แดนเล่นอยู่มาแข่งกับ ทีมไมอามี ฮีท นายกเทศมนตรีถึงกลับกล่าวว่า อยากให้จอร์แดนมาแข่งทุกวัน * ไมเคิล จอร์แดน ที่จริงแล้วอยากใส่เสื้อเบอร์ 45 มากกว่า 23 ตั้งแต่เรียนไฮสคูลแล้ว เนื่องจาก จอร์แดน มีพี่ชายของเขาเป็น Hero เสมอมา และที่ใส่ไม่ได้ก็เพราะว่ามาเข้าโรงเรียนเดียวกัน และเสื้อหมายเลข 45 พี่ชายของเขาก็ใส่อยู่แล้ว เขาเลยตัดครึ่งของ 45 ออกมาและเป็นเบอร์ที่ไม่มีใครใช้ ผลสรุป คือเบอร์ 23 จอร์แดน เคยพูดไว้ว่า "อย่างน้อยผมต้องเก่งให้ได้ซักครึ่งนึงของเขา (พี่ชาย ชื่อว่า (แลลี่ย์ จอร์แดน) ) " และเรื่องหมายเลขเสื้อของชายผู้นี้ก็ยังไม่จบ เขาเคยใส่เสื้อหมายเลข 12 ด้วย เนื่องจากมีเกมส์นึง เสื้อหมายเลข 23 ของเขาถูกขโมยไปจากล็อกเกอร์ แล้วในล็อกเกอร์ของทีมก็เหลือเสื้อแบบไม่ปัก นามสกุลอยู่ ซึ่งเป็นเสื้อที่ไม่มีผู้เล่นคนไหนเป็นเจ้าของนี่เอง จอร์แดน จึงเลือกเบอร์ 12 เนื่องจากการหักครึ่ง ของเบอร์ 23 เช่นกัน * จุดเด่นของ จอร์แดนคือ จอร์แดนกระโดดได้สูงและค้างตัวกลางอากาศได้นานมาก * ลูกชู้ตที่จอร์แดนถนัดคือ ลูกชู้ตเฟดอเวย์ (fade-away jump shot) และการลอยตัวเข้าไปทำคะแนน * ทุกนัดที่จอร์แดนลงแข่ง เขาจะเอากางเกงบาส สมัยเรียนใส่ไว้หลังรถเสมอ * จอร์แดน ยังก่อตั้งศูนย์ เจมส์ อาร์.จอร์แดน บอยส์ แอนด์ เกิร์ลส์ คลับ แอน แฟมิลี่ ไลฟ์ เซ็นเตอร์ ซึ่งให้ความช่วยเหลือเด็ก ๆ จากทั่วประเทศทั้งด้านชีวิตความเป็นอยู่ การศึกษาและให้การอบรมทางด้านกีฬาแก่เยาวชนผู้สนใจด้วย โดยมูลนิธินี้ ตั้งตามชื่อเจมส์ จอร์แดนพ่อของเขานั่นเอง == อ้างอิง == * http://www.nba.com/history/players/jordan_bio.html ประวัติ ไมเคิล จอร์แดน จากเว็บเอ็นบีเอ หมวดหมู่:นักบาสเกตบอลชาวอเมริกัน หมวดหมู่:ชาวอเมริกันเชื้อสายแอฟริกา หมวดหมู่:บุคคลจากบรุกลิน หมวดหมู่:นักลงทุนชาวอเมริกัน
ไมเคิล จอร์แดน
กล่องข้อมูล ชีวประวัติ 2 | name = จิตร ภูมิศักดิ์ | image = Chit.jpg | alt = | caption = จิตร ไม่ทราบปีที่ถ่าย | birth_name = สมจิตร ภูมิศักดิ์ | birth_date = | birth_place = อำเภอประจันตคาม จังหวัดปราจีนบุรี ประเทศสยาม | death_date = | death_place = อำเภอวาริชภูมิ จังหวัดสกลนคร ประเทศไทย | partner = | death_cause = ถูกล้อมยิง | alma_mater = คณะอักษรศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย | party = พรรคคอมมิวนิสต์แห่งประเทศไทย (พ.ศ. 2508–2509) | father = ศิริ ภูมิศักดิ์ | mother = แสงเงิน ฉายาวงศ์ | other_names = สหายปรีชา | notable_works = | occupation = นักเขียน, อาจารย์, นักประวัติศาสตร์, นักภาษาศาสตร์, นักกิจกรรม | criminal_charge = กระทำการเป็นคอมมิวนิสต์ | criminal_status = ถูกคุมขังก่อนพิจารณาคดี และยกฟ้อง | signature = ChitPhumisakSignature.png '''จิตร ภูมิศักดิ์''' (25 กันยายน พ.ศ. 2473 – 5 พฤษภาคม พ.ศ. 2509) เกิดที่อำเภอประจันตคาม จังหวัดปราจีนบุรี เป็นนักประวัติศาสตร์ นักกิจกรรม นักคิดด้านการเมือง นักภาษาศาสตร์ชาวไทย ผลงานของเขาได้รับยกย่องเป็นหนังสือดี 100 เล่มที่คนไทยควรอ่านถึง 3 รายการ จิตรเป็นนักวิชาการคนแรก ๆ ที่กล้าถกเถียงคัดค้านปราชญ์คนสำคัญ ด้วยวิธีคิดที่มีเหตุผลลุ่มลึก มีความโดดเด่นจากผลงานการค้นคว้าทางวิชาการที่แปลกใหม่และลึกซึ้ง ขณะเดียวกันจิตรยังมีความคิดต่อต้านระบบเผด็จการและการใช้อำนาจกดขี่ของชนชั้นสูงมาโดยตลอด แม้ว่าจะมีผลงานหลากหลายแขนง แต่อุดมการณ์ทางการเมืองและเศรษฐกิจของเขาเป็นปรปักษ์กับระบอบทหารที่ต่อต้านคอมมิวนิสต์อย่างเข้มข้นในเวลานั้น จนทำให้ตัดสินใจไปเข้าร่วมต่อสู้กับพรรคคอมมิวนิสต์แห่งประเทศไทย ก่อนถูกยิงเสียชีวิต กระนั้นผลงานและแนวคิดของเขาเป็นส่วนหนึ่งของพลังผลักดันให้เกิดเหตุการณ์ 14 ตุลาธนาพล อิ๋วสกุล และคณะ. https://www.silpa-mag.com/history/article_8924 5 พ.ค. 2509 จิตร ภูมิศักดิ์ จบชีวิตอย่างไร้ค่าที่สกลนคร ก่อนกำเนิดอีกครั้งหลัง 14 ตุลาฯ ''ศิลปวัฒนธรรม ฉบับพฤษภาคม 2547'' สืบค้น 5 พฤษภาคม พ.ศ. 2564. . และยังมีอิทธิพลอยู่เรื่อยมา == ประวัติ == ไฟล์:Chit Phumisak - Childhood.jpg|thumbnail|จิตร ภูมิศักดิ์ ในวัยเด็ก จิตรเป็นบุตรของศิริ ภูมิศักดิ์ กับแสงเงิน ฉายาวงศ์ มีชื่อเดิมว่า ''สมจิตร ภูมิศักดิ์'' แต่ต่อมาเปลี่ยนเป็น ''จิตร'' เพียงคำเดียว ตามนโยบายตั้งชื่อให้ระบุเพศชายหญิงอย่างชัดเจน ของ แปลก พิบูลสงคราม|จอมพล ป. พิบูลสงคราม บิดาเป็นผู้มีความคิดก้าวหน้าและถือว่าหัวสมัยใหม่มากสำหรับคนในยุคนั้น มีการรับเทคโนโลยีใหม่ ๆ จากต่างประเทศเข้ามาใช้ เป็นผลทำให้ความคิดของผู้เป็นบุตรมีความก้าวหน้าและเปิดกว้างมากกว่าเด็กในสมัยนั้น พ.ศ. 2479 จิตรติดตามบิดา ซึ่งรับราชการเป็นนายตรวจสรรพสามิต เดินทางไปรับราชการยังจังหวัดกาญจนบุรี และเข้ารับการศึกษาชั้นประถมที่โรงเรียนประจำจังหวัดกาญจนบุรี จนถึงปี พ.ศ. 2482 จิตรย้ายมาอยู่ที่จังหวัดสมุทรปราการ อีก 7 เดือนบิดาก็ได้รับคำสั่งย้ายไปรับราชการในจังหวัดพระตะบอง|เมืองพระตะบอง (ปัจจุบันอยู่ในประเทศกัมพูชา) จิตรจึงย้ายตามไปด้วย และได้เข้าศึกษาชั้นมัธยมที่นั้น พ.ศ. 2490 ประเทศไทยเสียพระตะบองให้ฝรั่งเศส จิตรจึงอพยพตามมารดากลับไทย ระหว่างที่ครอบครัวเขายังอยู่ที่เมืองพระตะบอง มารดาเดินทางไปค้าขายที่จังหวัดลพบุรี ขณะที่จิตรและพี่สาว เดินทางมาศึกษาต่อในกรุงเทพมหานคร โดยจิตรเข้าเรียนที่โรงเรียนเบญจมบพิตร (โรงเรียนมัธยมวัดเบญจมบพิตรในปัจจุบัน) และสอบเข้าโรงเรียนเตรียมอุดมศึกษา และคณะอักษรศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ในที่สุด จิตร เคยคบหากับเวียน เกิดผล ตั้งแต่สมัยเรียนมัธยม แล้วใช้ชีวิตอยู่ร่วมกันอยู่นาน แต่ก็เลิกรากันไป โดยไม่ได้แต่งงานกัน == การเคลื่อนไหวทางการเมือง == ไฟล์:Chit_Phumisak_-_Angor_Wat_Cambodia.jpg|thumb|จิตร ภูมิศักดิ์ ณ ที่ นครวัดกัมพูชา จิตรเริ่มเป็นที่รู้จักจากกรณี "โยนบก" เมื่อครั้งที่เขาเป็นสาราณียากรให้กับหนังสือประจำปีของจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ในปี พ.ศ. 2496 ในครั้งนั้นเขาเปลี่ยนเนื้อหาของหนังสือโดยลงบทความสะท้อนปัญหาสังคม ประณามผู้เอารัดเอาเปรียบในสังคม ระหว่างการพิมพ์หนังสือได้ถูกตำรวจสันติบาลอายัด และมีการสอบสวนจิตรที่หอประชุมใหญ่ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ในเหตุการณ์นั้น จิตรถูกกลุ่มนิสิตที่นำโดยนายสีหเดช บุนนาค คณะวิศวกรรมศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย|คณะวิศวกรรมศาสตร์ จับโยนบกลงจากเวทีหอประชุม ทำให้จิตรได้รับบาดเจ็บต้องเข้าโรงพยาบาลและพักรักษาตัวอยู่หลายวัน ต่อมาทางมหาวิทยาลัยได้ตั้งคณะกรรมการพิจารณาโทษและมีมติให้จิตรถูกพักการเรียนเป็นเวลา 1 ปี คือในปี พ.ศ. 2497https://www.silpa-mag.com/this-day-in-history/article_8702 จิตร ภูมิศักดิ์ กับกรณีโยนบก “28 ตุลาคม 2496” ''ศิลปวัฒนธรรม ฉบับพฤษภาคม 2547'' สืบค้นเมื่อ 28 ตุลาคม พ.ศ. 2563. . ระหว่างถูกพักการเรียน จิตรได้ไปสอนวิชาภาษาไทยที่โรงเรียนอินทร์ศึกษา แต่สอนได้ไม่นานก็ถูกไล่ออก เนื่องจากถูกกล่าวหาว่ามีหัวก้าวหน้ามากเกินไป จิตรจึงไปทำงานกับหนังสือพิมพ์ไทยใหม่ ในช่วงเวลาดังกล่าวนี้เอง ที่จิตรได้สร้างสรรค์ผลงานการวิจารณ์ที่มีคุณค่าต่อวงวิชาการไทยหลายเรื่อง เช่น การวิจารณ์วรรณศิลป์ วิจารณ์หนังสือ วิจารณ์ภาพยนตร์ โดยใช้นามปากกา "บุ๊คแมน" และ "มูฟวี่แมน" ในงานเขียน ''โฉมหน้าศักดินาไทย'' จิตรใช้วิธีวิเคราะห์แบบวัตถุนิยมทางประวัติศาสตร์ในสำนักลัทธิมากซ์ ปี พ.ศ. 2498 เขากลับเข้าเรียนอีกครั้งและสำเร็จปริญญาอักษรศาสตร์บัณฑิตในปี พ.ศ. 2500 จากนั้นก็เข้าเป็นอาจารย์ที่"วิทยาลัยเพชรบุรีวิทยาลงกรณ์" และศึกษาต่อระดับปริญญาโทที่วิทยาลัยวิชาการศึกษาประสานมิตร จิตรถูกจับเมื่อวันที่ 21 ตุลาคม พ.ศ. 2501 ในข้อหากระทำการอันเป็นคอมมิวนิสต์ โดยมีการนำตัวไปคุมขังหลายที่ และย้ายไปขังที่คุกลาดยาวใน พ.ศ. 2503 วันที่ 3 ธันวาคม พ.ศ. 2506 อัยการศาลทหารกรุงเทพฯ ยื่นฟ้องจิตรตามพระราชบัญญัติป้องกันการกระทำอันเป็นคอมมิวนิสต์ พ.ศ. 2495 ในคดีนี้ผู้พิพากษาให้สัมภาษณ์ว่า รัฐบาลได้ออกกฎหมายนิรโทษกรรมในโอกาสครบรอบ 25 พุทธศตวรรษ พ.ศ. 2499 ไปแล้ว การฟ้องคดีดังกล่าวเป็นการฟ้องคดีซ้ำซึ่งขัดต่อหลักการพื้นฐานของกฎหมาย ศาลทหารยกฟ้องและมีคำสั่งปล่อยตัวจิตรเมื่อวันที่ 30 ธันวาคม พ.ศ. 2507 เนื่องจากเขาถูกติดตามคุกคามจากทางการและเจ้าหน้าที่บ้านเมืองอย่างหนักทำให้เดือนตุลาคม พ.ศ. 2508 จิตรได้เดินทางสู่ชนบทภาคอีสาน เพื่อเข้าร่วมต่อสู้กับการปกครองด้วยระบบทหาร ในนาม ''สหายปรีชา'' เมื่อ พ.ศ. 2508 ต่อมาด้วยการคุกคามจากอำนาจรัฐ จิตรถูกอดีตกำนันตำบลคำบ่อ อาสาสมัคร และทหาร ล้อมยิงจนเสียชีวิตที่ทุ่งนากลางป่าละเมาะในบ้านหนองกุง ตำบลคำบ่อ อำเภอวาริชภูมิ จังหวัดสกลนคร เมื่อวันที่ 5 พฤษภาคม พ.ศ. 2509 จากแนวคิดและอิทธิพลของเขาทำให้บ้างมีการเรียกเขาว่าเป็น "เช เกบาราเมืองไทย"https://www.voicetv.co.th/read/361485 50 ปีจิตร ภูมิศักดิ์ เช เมืองไทย ''Volce online'' สืบค้นเมื่อ 6 พฤษภาคม 2016. == ผลงานเขียน == จิตรมีความสามารถในด้านภาษาศาสตร์และนิรุกติศาสตร์อย่างมาก และยังมีความสามารถระดับสูงในด้านอื่น ๆ เช่น ประวัติศาสตร์ ถือว่าเป็นอัจฉริยะบุคคลของไทยคนหนึ่ง ในด้านภาษาศาสตร์นั้น จิตรมีความเชี่ยวชาญในภาษาฝรั่งเศส ภาษาบาลี ภาษาสันสกฤต ภาษาเขมร โดยเฉพาะภาษาเขมรนั้น จิตรมีความเชี่ยวชาญทั้งภาษาเขมรปัจจุบันและภาษาเขมรโบราณด้วย นอกจากนี้ จิตรได้เขียนพจนานุกรม"ภาษาละหุ" (มูเซอ) โดยเรียนรู้กับชาวมูเซอขณะอยู่ในคุกลาดยาว ผลงาน 3 รายการของเขาได้รับยกย่องเป็น หนังสือดี 100 เล่มที่คนไทยควรอ่าน ประกอบด้วย โฉมหน้าศักดินาไทย|โฉมหน้าของศักดินาไทยในปัจจุบัน (2500), ความเป็นมาของคำสยาม ไทย, ลาว และขอม และลักษณะทางสังคมของชื่อชนชาติ และ บทกวีของจิตร ภูมิศักดิ์ รายการบทความและงานเขียนเท่าที่ปรากฏเช่น * จากพญาฝันถึงทยอยใน (2496) * นวนิยายเรื่องขวัญเมือง * การปฏิวัติในฝรั่งเศส * ตำนานนครวัด (2498-2499) * ศิลปะเพื่อชีวิต ศิลปะเพื่อประชาชน (2500) * บทบาททางวรรณคดีของพระมหามนตรี (2500) * ชีวิตและศิลปะ (2500-2501) * โฉมหน้าศักดินาไทย|โฉมหน้าของศักดินาไทยในปัจจุบัน (2500) * เพลงยาวบัตรสนเท่ห์ (2500) * คนขี่เสือ งานแปล (2501) * โองการแช่งน้ำ และ ข้อคิดใหม่ในประวัติศาสตร์ไทยลุ่มน้ำเจ้าพระยา (2505) * ความเป็นมาของคำสยาม ไทย, ลาว และขอม และลักษณะทางสังคมของชื่อชนชาติ|ความเป็นมาของคำสยาม ไทย, ลาว และ ขอม และลักษณะทางสังคมของชื่อชนชาติ ฉบับสมบูรณ์ เป็นผลงานรวมเล่มระหว่าง ข้อเท็จจริงว่าด้วยชนชาติขอม กับ ความเป็นมาของคำสยาม ไทย, ลาว และ ขอม และลักษณะทางสังคมของชื่อชนชาติ * ศัพท์สันนิษฐานและอักษรวินิจฉัย * ภาษาและนิรุกติศาสตร์ * บทวิเคราะห์วรรณกรรมยุคศักดินา * ความเรียงว่าด้วยศาสนา งานแปล * ว่าด้วยงานศิลปะวรรณคดี งานแปล * เสียงเพลงแห่งการต่อต้าน * บทวิเคราะห์มรดกวรรณคดีไทย * โคทาน งานแปล * นิราศหนองคายวรรณคดีที่ถูกสั่งเผา * บทวิพากษ์ว่าด้วยศิลปวัฒนธรรม * ความอบอุ่นอันอ่อนหวาน * คาร์ลมาซ์ก งานแปล * แม่ งานแปล * กรณี'โยนบก' ๒๓ ตุลา * พระเจ้ากำเนิดข้ามาเสรี * ความใฝ่ฝันแสนงาม * หลุมฝังศพของดนตรีไทย '''บทเพลงและบทกวีเท่าที่ปรากฏ''' * เพลง ภูพานปฏิวัติ * เพลง มาร์ชเยาวชนไทย * เพลง มาร์ชกรรมกร * เพลง เปิบข้าว * เพลง ธรรมศาสตร์-จุฬาฯ ชิงชัย * เพลง แสงดาวแห่งศรัทธา * เพลง ทะเลชีวิต * บทกวี เธอคือหญิงรับจ้างแท้ใช่แม่คน * บทกวี อะไรแน่ ศาสนา ข้าสงสัย * บทกวี ฉันท์ ๒๙ มีน์ ๙๓ งานถวายพระเพลิง * บทกวีของจิตร ภูมิศักดิ์ == นามปากกา == นามปากกา ของจิตรมีเป็นจำนวนมาก เช่น *นาคราช *ศูล ภูวดล *ศรีนาคร *ทีปกร *สมสมัย ศรีศูทรพรรณ *ศิลป์ พิทักษ์ชน *สมชาย ปรีชาเจริญ *สุธรรม บุญรุ่ง *ขวัญนรา *สิทธิ ศรีสยาม *กวีการเมือง *กวี ศรีสยาม *บุคแมน *มูฟวี่แมน (มูวี่แมน) *ศิริศิลป์ อุดมทรรศน์ *จักร ภูมิสิทธิ์ ฯลฯ == อนุสรณ์ == ไฟล์:HBD จิตร ภูมิศักดิ์ 2020.jpg|thumb|ป้ายโฆษณาสุขสันต์วันเกิดจิตรเมื่อปี 2563 อนุสาวรีย์จิตร ภูมิศักดิ์ตั้งอยู่ที่บ้านหนองกุง ตำบลคำบ่อ อำเภอวาริชภูมิ จังหวัดสกลนคร ซึ่งเป็นสถานที่จัดงานวัน "จิตร ภูมิศักดิ์" ในวันที่ 5 พฤษภาคม ของทุกปี ในวันที่ 5 พฤษภาคม พ.ศ. 2547 ปานชัย บวรรัตนปราณ ผู้ว่าราชการจังหวัดสกลนคร (ในขณะนั้น) ร่วมกับ องค์การบริหารส่วนจังหวัดสกลนคร และเทศบาลตำบลคำบ่อ ดำเนินการปรับภูมิทัศน์บริเวณที่จิตรถูกยิงเสียชีวิต พร้อมสร้างรูปปั้นจิตรแบบครึ่งตัวไว้ในพื้นที่ดังกล่าว ในโอกาสการรำลึก 80 ปีชาตกาลจิตร ภูมิศักดิ์ ในวันที่ 2 พฤษภาคม พ.ศ. 2553 ได้มีพิธีวางศิลาฤกษ์การสร้างอนุสรณ์สถานจิตร ภูมิศักดิ์ และมีพิธีเปิดเมื่อวันที่ 5 พฤษภาคม พ.ศ. 2556 ''ราษฎารานุสาวรีย์ของจิตร ภูมิศักดิ์'' เป็นผลงานของสันติ พิเชฐชัยกุล ใน พ.ศ. 2563 กรรมการนิสิตคณะวิศวกรรมศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยออกแถลงการณ์ขอโทษกรณีโยนบกจิตร == อ้างอิง == == แหล่งข้อมูลอื่น == * http://www.sameskybooks.org/jit-complete-works/ โครงการจัดพิมพ์สรรพนิพนธ์ ของจิตร ภูมิศักดิ์ รวบรวมผลงานเขียนของจิตร ภูมิศักดิ์ หมวดหมู่:นักเขียนชาวไทย หมวดหมู่:นักเคลื่อนไหวชาวไทย หมวดหมู่:นักประวัติศาสตร์ชาวไทย หมวดหมู่:นักภาษาศาสตร์ชาวไทย หมวดหมู่:นักโบราณคดีชาวไทย หมวดหมู่:นักปรัชญา หมวดหมู่:นักปฏิวัติ หมวดหมู่:บุคคลจากโรงเรียนวิสุทธรังษี หมวดหมู่:บุคคลจากโรงเรียนมัธยมวัดเบญจมบพิตร หมวดหมู่:บุคคลจากโรงเรียนเตรียมอุดมศึกษา หมวดหมู่:บุคคลจากคณะอักษรศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย หมวดหมู่:บุคคลจากอำเภอประจันตคาม หมวดหมู่:พรรคคอมมิวนิสต์แห่งประเทศไทย หมวดหมู่:เสียชีวิตจากอาวุธปืน หมวดหมู่:นักแต่งเพลงชาวไทย หมวดหมู่:บุคคลในประวัติศาสตร์กรุงรัตนโกสินทร์ หมวดหมู่:บุคคลจากพระตะบอง
จิตร ภูมิศักดิ์
'''ซูว์ลี พรูว์ดอม''' () เป็นนามปากกาของ '''เรอเน-ฟร็องซัว อาร์ม็อง พรูว์ดอม''' () กวีและนักเขียนชาวฝรั่งเศส เกิดเมื่อวันที่ 16 มีนาคม เป็นบุตรของเจ้าของร้านค้าชาวฝรั่งเศส จบการศึกษาด้านวิศวกรรม แต่สนใจด้านงานเขียนจนเข้ารับการศึกษาใหม่ด้านวรรณคดี และหันมาเอาดีด้านวรรณกรรมนับแต่บัดนั้น ได้รับเกียรติให้เป็นสมาชิกของบัณฑิตยสถานฝรั่งเศสเมื่อปี ค.ศ. 1881 จนกระทั่งเสียชีวิตเมื่อวันที่ 6 กันยายน ค.ศ. 1907 พรูว์ดอมได้รับรางวัลโนเบลสาขาวรรณกรรม เมื่อปี ค.ศ. 1901 == ผลงานสำคัญ == === กวีนิพนธ์ === * Stances et poèmes, 1865. * Les épreuves, 1866. * Les solitudes: poésies, A. Lemerre (Paris), 1869. * Les destins, 1872. * La France, 1874. * Les vaines tendresses, 1875. * Le Zénith , ตีพิมพ์ในวารสาร journal Revue des deux mondes, 1876. * La justice (poem), 1878. * Poésie, 1865-88, A. Lemerre, 1883-88. * Le prisme, poésies diverses, A. Lemerre (Paris), 1886. * Le bonheur, 1888. * Epaves, A. Lemerre, 1908. === งานเขียนอื่น ๆ === * Oeuvres de Sully Prudhomme, 8 volumes, A. Lemerre, 1883-1908. (ร้อยกรอง และร้อยแก้ว) * Que sais-je?, 1896. (ปรัชญานิพนธ์) * Testament poétique , 1901. (ความเรียง) * La vraie religion selon Pascal, 1905. (ความเรียง) * Journal intime: lettres-pensée, A. Lemerre, 1922. (อนุทิน) == ดูเพิ่ม == * รายชื่อผู้ได้รับรางวัลโนเบลสาขาวรรณกรรม หมวดหมู่:กวีชาวฝรั่งเศส หมวดหมู่:นักเขียนชาวฝรั่งเศส หมวดหมู่:ผู้ได้รับรางวัลโนเบลสาขาวรรณกรรม หมวดหมู่:ชาวฝรั่งเศสผู้ได้รับรางวัลโนเบล หมวดหมู่:บุคคลจากปารีส
ซูว์ลี พรูว์ดอม
รายชื่อนายกรัฐมนตรีไทยเรียงตามลำดับเวลา ปัจจุบันประเทศไทยมีนายกรัฐมนตรีแล้วทั้งสิ้น 31 คน multiple image | perrow = 2 | total_width = 300 | image1 = Phraya Manopakorn Nititada.jpg | alt1 = รูปภาพของพระยามโนปกรณ์นิติธาดา | image2 = แปลก พิบูลสงคราม ในหนังสือธรรมศาสตร์ (cropped).jpg | alt2 = รูปภาพของแปลก พิบูลสงคราม | image3 = Yingluck Shinawatra at US Embassy, Bangkok, July 2011.jpg | alt3 = รูปภาพของยิ่งลักษณ์ ชินวัตร | image4 = Paetongtarn Shinawatra October 2023.jpg | alt4 = รูปภาพของแพทองธาร ชินวัตร | footer = | align = left | direction = | caption1 = | caption2 = == รายชื่อนายกรัฐมนตรีไทย == : : : : | width=100% class="wikitable" ! style="background:#D3D3D3" rowspan="2" width=3%|ลำดับ(สมัย) ! style="background:#D3D3D3" rowspan="2" width=5% | รูป ! style="background:#D3D3D3" rowspan="2" width=20% | ชื่อเขตเลือกตั้ง ! style="background:#D3D3D3" rowspan="2" width=5% | คณะรัฐมนตรีไทยคณะที่ ! style="background:#D3D3D3"width=40% colspan="3" | การดำรงตำแหน่ง ! style="background:#D3D3D3" rowspan="2" width=10% colspan="2" | พรรคการเมือง ! style="background:#D3D3D3" rowspan="2" width=10% | รัชสมัย |- ! style="background:#D3D3D3"width=15% | เริ่มวาระ(เริ่มต้นโดย) ! style="background:#D3D3D3" width=15% | สิ้นสุดวาระ(สิ้นสุดโดย) ! style="background:#D3D3D3" width=10% | ระยะเวลา |- align="center" | rowspan = 3 | 1(1-3) | rowspan = 3 | ไฟล์:Kon Hutasing.jpg|center|144x144px | rowspan = 3 | พระยามโนปกรณ์นิติธาดา (ก้อน หุตะสิงห์)|พระยามโนปกรณ์นิติธาดา (ก้อน หุตะสิงห์) | คณะกรรมการราษฎร (ประเทศสยาม)|1 | bgcolor = "#99FF66" | 28 มิถุนายน พ.ศ. 2475(การลงมติเลือกนายกรัฐมนตรีไทย|มติของผู้แทนราษฎรชั่วคราว) | bgcolor = "#99FF66" | 10 ธันวาคม พ.ศ. 2475(ประกาศใช้รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรสยาม) | rowspan="3" | | style="background:#BEBEBE" rowspan="3" | | rowspan="3" | อิสระ | rowspan="6" | ไฟล์:King Prajadhipok portrait photograph.jpg|center|100pxพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว |- align="center" | คณะรัฐมนตรีสยาม คณะที่ 2|2 | 10 ธันวาคม พ.ศ. 2475(มติของผู้แทนราษฎรชั่วคราว) | 1 เมษายน พ.ศ. 2476(รัฐประหารในประเทศสยาม เมษายน พ.ศ. 2476|รัฐประหารโดยพระราชกฤษฎีกา) |- align="center" | คณะรัฐมนตรีสยาม คณะที่ 3|3 | bgcolor = "#F0E68C" | 1 เมษายน พ.ศ. 2476(รัฐประหารในประเทศสยาม เมษายน พ.ศ. 2476|พระราชกฤษฎีกา) | bgcolor = "#F0E68C" | 21 มิถุนายน พ.ศ. 2476(รัฐประหารในประเทศสยาม มิถุนายน พ.ศ. 2476|รัฐประหารและลาออก) |- align="center" | rowspan = 6 | 2(1-5) | rowspan = 6 | ไฟล์:Phraya_Pahol.jpg|center|100px | rowspan = 6 | พันเอก พระยาพหลพลพยุหเสนา (พจน์ พหลโยธิน)|พระยาพหลพลพยุหเสนา (พจน์ พหลโยธิน) | คณะรัฐมนตรีสยาม คณะที่ 4|4 | 21 มิถุนายน พ.ศ. 2476(มติของผู้แทนราษฎรชั่วคราว) | 16 ธันวาคม พ.ศ. 2476(ลาออกและการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรไทยเป็นการทั่วไป พ.ศ. 2476|เลือกตั้งทั่วไป) | rowspan="6" | | rowspan="10" style="background:#FF0000" | | rowspan="10" | คณะราษฎร |- align="center" | คณะรัฐมนตรีสยาม คณะที่ 5|5 | 16 ธันวาคม พ.ศ. 2476(มติของสภาผู้แทนราษฎรไทย ชุดที่ 1) | 22 กันยายน พ.ศ. 2477(ลาออกเนื่องจากสภาไม่อนุมัติสนธิสัญญาจำกัดยางของรัฐบาล) |- align="center" | rowspan="2" | คณะรัฐมนตรีสยาม คณะที่ 6|6 | rowspan="2" | 22 กันยายน พ.ศ. 2477(มติของสภาผู้แทนราษฎรไทย ชุดที่ 1) | rowspan="2" | 9 สิงหาคม พ.ศ. 2480(ลาออกเนื่องจากกรณีกระทู้เรื่องขายที่ดินพระคลังข้างที่) |- align="center" | rowspan = 11 | ไฟล์:King Ananda Mahidol portrait photograph.jpg|center|100pxพระบาทสมเด็จพระปรเมนทรมหาอานันทมหิดล พระอัฐมรามาธิบดินทร |- align="center" | คณะรัฐมนตรีสยาม คณะที่ 7|7 | 9 สิงหาคม พ.ศ. 2480(มติของสภาผู้แทนราษฎรไทย ชุดที่ 1) | 21 ธันวาคม พ.ศ. 2480(สภาครบวาระและจัดการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรไทยเป็นการทั่วไป พ.ศ. 2480|เลือกตั้งทั่วไป) |- align="center" | คณะรัฐมนตรีสยาม คณะที่ 8|8 | 21 ธันวาคม พ.ศ. 2480(มติของสภาผู้แทนราษฎรไทย ชุดที่ 2) | 16 ธันวาคม พ.ศ. 2481(การยุบสภาผู้แทนราษฎรไทย|ยุบสภาผู้แทนราษฎรและการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรไทยเป็นการทั่วไป พ.ศ. 2481|เลือกตั้งทั่วไป) |- align="center" | rowspan = 2 | 3(1-2) | rowspan = 2 | ไฟล์:Field Marshal Plaek Phibunsongkhram.jpg|100px | rowspan = 2 | พลตรี แปลก พิบูลสงคราม|หลวงพิบูลสงครามจอมพล แปลก พิบูลสงคราม|ป. พิบูลสงคราม | คณะรัฐมนตรีไทย คณะที่ 9|9 | 16 ธันวาคม พ.ศ. 2481(มติของสภาผู้แทนราษฎรไทย ชุดที่ 3) | 7 มีนาคม พ.ศ. 2485(ลาออกเนื่องจากต้องเปลี่ยนแปลงคณะรัฐมนตรีให้เหมาะสม) | rowspan="2" | |- align="center" | คณะรัฐมนตรีไทย คณะที่ 10|10 | 7 มีนาคม พ.ศ. 2485(มติของสภาผู้แทนราษฎรไทย ชุดที่ 3) | 1 สิงหาคม พ.ศ. 2487(ลาออกเนื่องจาก ส.ส. ไม่อนุมัติร่าง พ.ร.บ. และ พ.ร.ก.) |- align="center" | 4(1) | ไฟล์:ควง อภัยวงศ์ 2475.jpg|center|100px | พันตรี ควง อภัยวงศ์ | คณะรัฐมนตรีไทย คณะที่ 11|11 | 1 สิงหาคม พ.ศ. 2487(มติของสภาผู้แทนราษฎรไทย ชุดที่ 3) | 31 สิงหาคม พ.ศ. 2488(ลาออกเนื่องจากสงครามโลกครั้งที่สองสิ้นสุดลง) | |- align="center" | 5 | ไฟล์:Tawee Boonyaket.jpg|center|100px | ทวี บุณยเกตุ | คณะรัฐมนตรีไทย คณะที่ 12|12 | 31 สิงหาคม พ.ศ. 2488(มติของสภาผู้แทนราษฎรไทย ชุดที่ 3) | 17 กันยายน พ.ศ. 2488(ลาออกเนื่องจากให้ผู้ที่เหมาะสมมาแทน) | |- align="center" | 6(1) | ไฟล์:Prime Minister Seni Pramoj.jpg|center|100px | หม่อมราชวงศ์เสนีย์ ปราโมช | คณะรัฐมนตรีไทย คณะที่ 13|13 | 17 กันยายน พ.ศ. 2488(มติของสภาผู้แทนราษฎรไทย ชุดที่ 3) | 31 มกราคม พ.ศ. 2489(ยุบสภาผู้แทนราษฎรและการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรไทยเป็นการทั่วไป มกราคม พ.ศ. 2489|เลือกตั้งทั่วไป) | | style="background:#FF0000" rowspan="1" | | เสรีไทย|ขบวนการเสรีไทย |- align="center" | 4(2) | ไฟล์:ควง อภัยวงศ์ 2475.jpg|center|100px | พันตรี ควง อภัยวงศ์ | คณะรัฐมนตรีไทย คณะที่ 14|14 | 31 มกราคม พ.ศ. 2489(มติของสภาผู้แทนราษฎรไทย ชุดที่ 4) | 24 มีนาคม พ.ศ. 2489(ลาออกเนื่องจากแพ้มติสภาที่เสนอ พ.ร.บ. ที่รัฐบาลรับไม่ได้) | | rowspan="5" style="background:#FF0000" | | rowspan="5" | คณะราษฎร |- align="center" | rowspan = 4 | 7(1-3) | rowspan = 4 | ไฟล์: Pridi Banomyong in 1945.jpg|center|100px | rowspan = 4 | หลวงประดิษฐ์มนูธรรม (ปรีดี พนมยงค์) | คณะรัฐมนตรีไทย คณะที่ 15|15 | 24 มีนาคม พ.ศ. 2489(มติของสภาผู้แทนราษฎรไทย ชุดที่ 4) | 7 มิถุนายน พ.ศ. 2489(ลาออกเนื่องจากประกาศใช้รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2489|รัฐธรรมนูญ พ.ศ. 2489) | rowspan="4" | |- align="center" | rowspan = "2" | - | rowspan = "2" | 7 มิถุนายน พ.ศ. 2489(มติของสภาผู้แทนราษฎรไทย ชุดที่ 4) | rowspan = "2" | 11 มิถุนายน พ.ศ. 2489(ลาออกเนื่องจากการสวรรคตของพระบาทสมเด็จพระปรเมนทรมหาอานันทมหิดล) |- align="center" | rowspan = 60 | ไฟล์:King Bhumibol Adulyadej in 1969.jpg|100pxพระบาทสมเด็จพระมหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร |- align="center" | คณะรัฐมนตรีไทย คณะที่ 16|16 | 11 มิถุนายน พ.ศ. 2489(มติของสภาผู้แทนราษฎรไทย ชุดที่ 4) | 23 สิงหาคม พ.ศ. 2489(ลาออก) |- align="center" | rowspan = 2 | 8(1-2) | rowspan = 2 | ไฟล์:ถวัลย์ ธำรงนาวาสวัสดิ์.jpg|center|100px | rowspan = 2 | พลเรือตรี ถวัลย์ ธำรงนาวาสวัสดิ์ | คณะรัฐมนตรีไทย คณะที่ 17|17 | 23 สิงหาคม พ.ศ. 2489(มติของสภาผู้แทนราษฎรไทย ชุดที่ 4) | 30 พฤษภาคม พ.ศ. 2490(ลาออกเนื่องจากมีกระแสกดดันที่รุนแรง) | rowspan="2" | | style="background:#FF0000" rowspan="2" | | rowspan = 2 | พรรคแนวรัฐธรรมนูญ |- align="center" | คณะรัฐมนตรีไทย คณะที่ 18|18 | 30 พฤษภาคม พ.ศ. 2490(มติของสภาผู้แทนราษฎรไทย ชุดที่ 4) | 8 พฤศจิกายน พ.ศ. 2490(รัฐประหารในประเทศไทย พ.ศ. 2490|รัฐประหาร) |- align="center" style="background:#FA8072" | colspan = 4 | คณะทหารแห่งชาติ (หัวหน้าคณะ: จอมพล ผิน ชุณหะวัณ) | 8 พฤศจิกายน พ.ศ. 2490 | 9 พฤศจิกายน พ.ศ. 2490 | colspan = 3 |(ใช้อำนาจนายกรัฐมนตรี) |- align="center" | rowspan = 2 | 4(3-4) | rowspan = 2 | ไฟล์:ควง อภัยวงศ์ 2475.jpg|center|100px | rowspan = 2 | พันตรี ควง อภัยวงศ์ | คณะรัฐมนตรีไทย คณะที่ 19|19 | bgcolor = "#F0E68C" | 9 พฤศจิกายน พ.ศ. 2490(มติคณะทหารแห่งชาติ) | bgcolor = "#F0E68C" | 21 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2491(ลาออกเพื่อจัดการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรไทยเป็นการทั่วไป พ.ศ. 2491|การเลือกตั้งทั่วไป) | rowspan="2" | | style="background:#00A1F1" rowspan="2" | | rowspan = 2 | พรรคประชาธิปัตย์ |- align="center" | คณะรัฐมนตรีไทย คณะที่ 20|20 | 21 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2491(มติของสภาผู้แทนราษฎรไทย ชุดที่ 5) | 8 เมษายน พ.ศ. 2491(ลาออกเนื่องจากรัฐประหารในประเทศไทย พ.ศ. 2491|คณะรัฐประหารบังคับให้ลาออกภายใน 24 ชั่วโมง) |- align="center" | rowspan = 6 | 3(3-8) | rowspan = 6 | ไฟล์:Field Marshal Plaek Phibunsongkhram.jpg|100px | rowspan = 6 | จอมพล แปลก พิบูลสงคราม|ป. พิบูลสงคราม | คณะรัฐมนตรีไทย คณะที่ 21|21 | 8 เมษายน พ.ศ. 2491(มติของสภาผู้แทนราษฎรไทย ชุดที่ 5) | 25 มิถุนายน พ.ศ. 2492(ประกาศใช้รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2492|รัฐธรรมนูญ พ.ศ. 2492 และมีการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรไทยเป็นการทั่วไป พ.ศ. 2492|การเลือกตั้งทั่วไป) | rowspan="6" | | style="background:#FFB6C1" rowspan="2" | | rowspan = 2 | พรรคธรรมาธิปัตย์ (พ.ศ. 2498)|พรรคธรรมาธิปัตย์ |- align="center" | คณะรัฐมนตรีไทย คณะที่ 22|22 | 25 มิถุนายน พ.ศ. 2492(มติของสภาผู้แทนราษฎรไทย ชุดที่ 5) | 29 พฤศจิกายน พ.ศ. 2494(นำรัฐธรรมนูญ พ.ศ. 2475 กลับมาใช้อีกครั้ง) |- align="center" | คณะรัฐมนตรีไทย คณะที่ 23|23 | bgcolor = "#F0E68C" | 29 พฤศจิกายน พ.ศ. 2494(รัฐประหารในประเทศไทย พ.ศ. 2494|มติคณะบริหารประเทศชั่วคราว) | bgcolor = "#F0E68C" | 6 ธันวาคม พ.ศ. 2494(มีการแต่งตั้งสมาชิกประเภทที่ 2 ขึ้นใหม่) | style="background:#D2B48C" rowspan="1" | | คณะบริหารประเทศชั่วคราว |- align="center" | คณะรัฐมนตรีไทย คณะที่ 24|24 | 6 ธันวาคม พ.ศ. 2494(มติของสภาผู้แทนราษฎรไทย ชุดที่ 6) | 23 มีนาคม พ.ศ. 2495(ประกาศใช้รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2475 แก้ไขเพิ่มเติม พุทธศักราช 2495|รัฐธรรมนูญ พ.ศ. 2495 และมีการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรไทยเป็นการทั่วไป พ.ศ. 2495|การเลือกตั้งทั่วไป) | style="background:#FFB6C1" rowspan="2" | | rowspan = 2 | พรรคธรรมาธิปัตย์ (พ.ศ. 2498)|พรรคธรรมาธิปัตย์ |- align="center" | คณะรัฐมนตรีไทย คณะที่ 25|25 | 24 มีนาคม พ.ศ. 2495(มติของสภาผู้แทนราษฎรไทย ชุดที่ 7) | 21 มีนาคม พ.ศ. 2500(สภาครบวาระและจัดการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรไทยเป็นการทั่วไป กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2500|การเลือกตั้งทั่วไป) |- align="center" | คณะรัฐมนตรีไทย คณะที่ 26|26 | 21 มีนาคม พ.ศ. 2500(มติของสภาผู้แทนราษฎรไทย ชุดที่ 8) | 16 กันยายน พ.ศ. 2500(รัฐประหารในประเทศไทย พ.ศ. 2500|รัฐประหาร) | style="background:#FF69B4" rowspan="1" | | พรรคเสรีมนังคศิลา |- align="center" style="background:#FA8072" | colspan = 4 | คณะปฏิวัติ (หัวหน้าคณะ: จอมพล สฤษดิ์ ธนะรัชต์) | 16 กันยายน พ.ศ. 2500 | 21 กันยายน พ.ศ. 2500 | colspan = 3 |(ใช้อำนาจนายกรัฐมนตรี) |- align="center" | 9 |ไฟล์:Pote Sarasin, Ambassador of Thailand.jpg|100px | พจน์ สารสิน | คณะรัฐมนตรีไทย คณะที่ 27|27 | bgcolor = "#F0E68C" | 21 กันยายน พ.ศ. 2500(ทูลเกล้าฯเสนอชื่อโดยผู้รักษาพระนครฝ่ายทหาร) | bgcolor = "#F0E68C" | 1 มกราคม พ.ศ. 2501(ลาออกและจัดการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรไทยเป็นการทั่วไป ธันวาคม พ.ศ. 2500|การเลือกตั้งทั่วไป) | | style="background:#BEBEBE" rowspan="1" | | rowspan="1" | อิสระ |- align="center" | 10(1) | ไฟล์:Prime Minister Thanom Kittikachorn.jpg|center|100px | จอมพล ถนอม กิตติขจร | คณะรัฐมนตรีไทย คณะที่ 28|28 | 1 มกราคม พ.ศ. 2501(มติของสภาผู้แทนราษฎรไทย ชุดที่ 9) | 20 ตุลาคม พ.ศ. 2501(ลาออกและรัฐประหารในประเทศไทย พ.ศ. 2501|รัฐประหาร) | | style="background:#D2691E" rowspan="1" | | พรรคชาติสังคม |- align="center" style="background:#FA8072" | colspan = 4 | คณะปฏิวัติ(หัวหน้าคณะ: จอมพล สฤษดิ์ ธนะรัชต์) | 20 ตุลาคม พ.ศ. 2501 | 9 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2502 | colspan = 3 |(ใช้อำนาจนายกรัฐมนตรี) |- align="center" | 11 | ไฟล์:Prime Minister Sarit Thanarat.jpg|center|100px | จอมพล สฤษดิ์ ธนะรัชต์ | คณะรัฐมนตรีไทย คณะที่ 29|29 | bgcolor = "#F0E68C" | 9 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2502(มติสภาร่างรัฐธรรมนูญ) | bgcolor = "#F0E68C" | 8 ธันวาคม พ.ศ. 2506(ถึงแก่อสัญกรรม) | | rowspan="2" style="background:#D2B48C" | | rowspan="2" | คณะปฏิวัติ |- align="center" | rowspan = 2 | 10(2-3) | rowspan = 2 | ไฟล์:Prime Minister Thanom Kittikachorn.jpg|center|100px | rowspan = 2 | จอมพล ถนอม กิตติขจร | คณะรัฐมนตรีไทย คณะที่ 30|30 | 9 ธันวาคม พ.ศ. 2506(มติสภาร่างรัฐธรรมนูญ) | 7 มีนาคม พ.ศ. 2512(ประกาศใช้รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2511|รัฐธรรมนูญ พ.ศ. 2511 และจัดการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรไทยเป็นการทั่วไป พ.ศ. 2512|การเลือกตั้งทั่วไป) | rowspan="2" | |- align="center" | คณะรัฐมนตรีไทย คณะที่ 31|31 | 7 มีนาคม พ.ศ. 2512(มติของสภาผู้แทนราษฎรไทย ชุดที่ 10) | 17 พฤศจิกายน พ.ศ. 2514(รัฐประหารในประเทศไทย พ.ศ. 2514|รัฐประหาร) | style="background:#D2691E" rowspan="1" | | พรรคสหประชาไทย |- align="center" style="background:#FA8072" | colspan = 4 | คณะปฏิวัติ (หัวหน้าคณะ: จอมพล ถนอม กิตติขจร) | 17 พฤศจิกายน พ.ศ. 2514 | 18 ธันวาคม พ.ศ. 2515 | colspan = 3 |(ใช้อำนาจนายกรัฐมนตรี) |- align="center" | 10(4) | ไฟล์:Prime Minister Thanom Kittikachorn.jpg|center|100px | จอมพล ถนอม กิตติขจร | คณะรัฐมนตรีไทย คณะที่ 32|32 | bgcolor = "#F0E68C" | 18 ธันวาคม พ.ศ. 2515(มติสภานิติบัญญัติแห่งชาติ) | bgcolor = "#F0E68C" | 14 ตุลาคม พ.ศ. 2516(ลาออกเนื่องจากเกิดเหตุการณ์ 14 ตุลา) | rowspan="1" | | style="background:#D2B48C" rowspan="1" | | คณะปฏิวัติ |- align="center" | rowspan = 2 | 12 (1-2) | rowspan = 2 |ไฟล์:Sanya_Dharmasakti_1974_(cropped).jpg|center|100px | rowspan = 2 | สัญญา ธรรมศักดิ์ | คณะรัฐมนตรีไทย คณะที่ 33|33 | 14 ตุลาคม พ.ศ. 2516(ทูลเกล้าฯเสนอชื่อโดยรองประธานสภานิติบัญญัติแห่งชาติ (ประเทศไทย) พ.ศ. 2516|สภานิติบัญญัติแห่งชาติ) | 22 พฤษภาคม พ.ศ. 2517(ลาออก) | rowspan="2" | | style="background:#BEBEBE" rowspan="2" | | rowspan = 2 | อิสระ |- align="center" | คณะรัฐมนตรีไทย คณะที่ 34|34 | 27 พฤษภาคม พ.ศ. 2517(มติสภานิติบัญญัติแห่งชาติ) | 15 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2518(ประกาศใช้รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2517|รัฐธรรมนูญ พ.ศ. 2517 และจัดการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรไทยเป็นการทั่วไป พ.ศ. 2518|การเลือกตั้งทั่วไป) |- align="center" | 6(2) | ไฟล์:Prime Minister Seni Pramoj.jpg|center|100px | หม่อมราชวงศ์เสนีย์ ปราโมช|หม่อมราชวงศ์เสนีย์ ปราโมช | คณะรัฐมนตรีไทย คณะที่ 35|35 | 15 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2518(มติของสภาผู้แทนราษฎรไทย ชุดที่ 11) | 14 มีนาคม พ.ศ. 2518(ลาออกเนื่องจากไม่ได้รับความไว้วางใจในการแถลงนโยบาย) | rowspan="1" | | style="background:#00A1F1" rowspan="1" | | พรรคประชาธิปัตย์ |- align="center" | 13 |ไฟล์:คีกฤทธิ์ ปราโมช.jpg|100px | หม่อมราชวงศ์คึกฤทธิ์ ปราโมช | คณะรัฐมนตรีไทย คณะที่ 36|36 | 14 มีนาคม พ.ศ. 2518(มติของสภาผู้แทนราษฎรไทย ชุดที่ 11) | 20 เมษายน พ.ศ. 2519(ยุบสภาผู้แทนราษฎรและจัดการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรไทยเป็นการทั่วไป พ.ศ. 2519|การเลือกตั้งทั่วไป) | rowspan="1" | | style="background:#000080" rowspan="1" | | พรรคกิจสังคม |- align="center" | rowspan = 2 | 6(3-4) | rowspan = 2 | ไฟล์:Prime Minister Seni Pramoj.jpg|center|100px | rowspan = 2 | หม่อมราชวงศ์เสนีย์ ปราโมช | คณะรัฐมนตรีไทย คณะที่ 37|37 | 20 เมษายน พ.ศ. 2519(มติของสภาผู้แทนราษฎรไทย ชุดที่ 12) | 25 กันยายน พ.ศ. 2519(ลาออกเนื่องจากปัญหาความไม่สงบ) | rowspan="2" | | style="background:#00A1F1" rowspan="2" | | rowspan = 2 | พรรคประชาธิปัตย์ |- align="center" | คณะรัฐมนตรีไทย คณะที่ 38|38 | 25 กันยายน พ.ศ. 2519(มติของสภาผู้แทนราษฎรไทย ชุดที่ 12) | 6 ตุลาคม พ.ศ. 2519(รัฐประหารในประเทศไทย พ.ศ. 2519|รัฐประหาร เนื่องจากเกิดเหตุการณ์ 6 ตุลา) |- align="center" style="background:#FA8072" | colspan = 4 | คณะปฏิรูปการปกครองแผ่นดิน (หัวหน้าคณะ: พลเรือเอก สงัด ชลออยู่) | 6 ตุลาคม พ.ศ. 2519 | 8 ตุลาคม พ.ศ. 2519 | colspan = 3 |(ใช้อำนาจนายกรัฐมนตรี) |- align="center" | 14 | ไฟล์:Thanin and Whitehouse (cropped).jpg|100px | ธานินทร์ กรัยวิเชียร | คณะรัฐมนตรีไทย คณะที่ 39|39 | bgcolor = "#F0E68C" | 8 ตุลาคม พ.ศ. 2519(มติคณะปฏิรูปการปกครองแผ่นดิน) | bgcolor = "#F0E68C" | 20 ตุลาคม พ.ศ. 2520(รัฐประหารในประเทศไทย พ.ศ. 2520|รัฐประหาร) | rowspan="1" | | style="background:#BEBEBE" rowspan="1" | | อิสระ |- align="center" style="background:#FA8072" | colspan = 4| คณะปฏิวัติ (หัวหน้าคณะ: พลเรือเอก สงัด ชลออยู่) | 20 ตุลาคม พ.ศ. 2520 | 11 พฤศจิกายน พ.ศ. 2520 | colspan = 3 |(ใช้อำนาจนายกรัฐมนตรี) |- align="center" | rowspan = 2 | 15(1-2) | rowspan = 2 | ไฟล์:Kriangsak Chomanan 1976 (cropped).jpg|100px | rowspan = 2 | พลเอก เกรียงศักดิ์ ชมะนันทน์ | คณะรัฐมนตรีไทย คณะที่ 40|40 | bgcolor = "#F0E68C" | 11 พฤศจิกายน พ.ศ. 2520(มติคณะปฏิวัติ) | bgcolor = "#F0E68C" | 12 พฤษภาคม พ.ศ. 2522(ประกาศใช้รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2521|รัฐธรรมนูญ พ.ศ. 2521 และจัดการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรไทยเป็นการทั่วไป พ.ศ. 2522|การเลือกตั้งทั่วไป) | rowspan="2" | | style="background:#D2B48C" rowspan="1" | | rowspan = 1 |กองทัพ |- align="center" | คณะรัฐมนตรีไทย คณะที่ 41|41 | 12 พฤษภาคม พ.ศ. 2522(มติของสภาผู้แทนราษฎรไทย ชุดที่ 13) | 3 มีนาคม พ.ศ. 2523(ลาออกเนื่องจากเกิดวิกฤตการณ์น้ำมันและผู้ลี้ภัย) | style="background:#BEBEBE" rowspan="1" | | rowspan = 1 |อิสระ |- align="center" | rowspan = 3 | 16(1-3) | rowspan = 3 | ไฟล์:Prem Tinsulanonda 1984.jpg|center|100px | rowspan = 3 | พลเอก เปรม ติณสูลานนท์ | คณะรัฐมนตรีไทย คณะที่ 42|42 | 3 มีนาคม พ.ศ. 2523(มติของสภาผู้แทนราษฎรไทย ชุดที่ 13) | 30 เมษายน พ.ศ. 2526(ยุบสภาผู้แทนราษฎรและจัดการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรไทยเป็นการทั่วไป พ.ศ. 2526|การเลือกตั้งทั่วไป) | rowspan="3" | | style="background:#D2B48C" rowspan="1" | | กองทัพ |- align="center" | คณะรัฐมนตรีไทย คณะที่ 43|43 | 30 เมษายน พ.ศ. 2526(มติของสภาผู้แทนราษฎรไทย ชุดที่ 14) | 5 สิงหาคม พ.ศ. 2529(ยุบสภาผู้แทนราษฎรและจัดการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรไทยเป็นการทั่วไป พ.ศ. 2529|การเลือกตั้งทั่วไป) | style="background:#BEBEBE" rowspan="2" | | rowspan = 2 |อิสระ |- align="center" | คณะรัฐมนตรีไทย คณะที่ 44|44 | 5 สิงหาคม พ.ศ. 2529(มติของสภาผู้แทนราษฎรไทย ชุดที่ 15) | 4 สิงหาคม พ.ศ. 2531(ยุบสภาผู้แทนราษฎรและจัดการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรไทยเป็นการทั่วไป พ.ศ. 2531|การเลือกตั้งทั่วไป) |- align="center" | rowspan = 2 | 17(1-2) | rowspan = 2 | ไฟล์:Chatichai Choonhavan.jpg|center|100px | rowspan = 2 | พลเอก ชาติชาย ชุณหะวัณ | คณะรัฐมนตรีไทย คณะที่ 45|45 | 4 สิงหาคม พ.ศ. 2531(มติของสภาผู้แทนราษฎรไทย ชุดที่ 16) | 9 ธันวาคม พ.ศ. 2533(ลาออก) | rowspan="2" | | rowspan="2" style="background:#FF1493" | | rowspan="2" | พรรคชาติไทย |- align="center" | คณะรัฐมนตรีไทย คณะที่ 46|46 | 9 ธันวาคม พ.ศ. 2533(มติของสภาผู้แทนราษฎรไทย ชุดที่ 16) | 23 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2534(รัฐประหารในประเทศไทย พ.ศ. 2534|รัฐประหาร) |- align="center" style="background:#FA8072" | colspan = 4| คณะรักษาความสงบเรียบร้อยแห่งชาติ(หัวหน้าคณะ:พลเอก สุนทร คงสมพงษ์) | 23 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2534 | 2 มีนาคม พ.ศ. 2534 | colspan = 3 |(ใช้อำนาจนายกรัฐมนตรี) |- align="center" | 18(1) | ไฟล์:Anand_Panyarachun.jpg|center|100px | อานันท์ ปันยารชุน | คณะรัฐมนตรีไทย คณะที่ 47|47 | bgcolor = "#F0E68C" | 2 มีนาคม พ.ศ. 2534(มติคณะ รสช.) | bgcolor = "#F0E68C" | 7 เมษายน พ.ศ. 2535(ประกาศใช้รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2534|รัฐธรรมนูญ พ.ศ. 2534 และจัดการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรไทยเป็นการทั่วไป มีนาคม พ.ศ. 2535|การเลือกตั้งทั่วไป) | rowspan="1" | | style="background:#BEBEBE" rowspan="1" | | rowspan="4" | อิสระ |- align="center" | 19 | ไฟล์:Suchinda Kraprayoon early 1970s.jpg|100px | พลเอก สุจินดา คราประยูร | rowspan = 2 | คณะรัฐมนตรีไทย คณะที่ 48|48 | 7 เมษายน พ.ศ. 2535(ทูลเกล้าฯ เสนอชื่อโดยสุนทร คงสมพงษ์ ประธานสภา รสช.https://www.asoke.info/09Communication/DharmaPublicize/Book/jumlonglife/jumlong_003.html ร่วมกันสู้ หน้า 35-48ค้านนายกฯhttps://www.youtube.com/watch?v=9siM704h2Vo สารคดีเหตุการณ์พฤษภาทมิฬ และมติพรรคร่วมรัฐบาลhttp://mgronline.com/mgrWeekly/ViewNews.aspx?NewsID=9500000018595 ย้อนรอย “สามัคคีธรรม” ยุคสุรยุทธ์-สนธิ ฟื้นคืนชีพ!?)|| 24 พฤษภาคม พ.ศ. 2535(ลาออกเนื่องจากเกิดเหตุการณ์พฤษภาทมิฬ) | rowspan="1" | | rowspan="3" style="background:#BEBEBE" | |- align="center" | - | ไฟล์: Meechai Acting Primeminister.png|100px | มีชัย ฤชุพันธุ์ | bgcolor = "#FFE4B5" | 24 พฤษภาคม พ.ศ. 2535(นายกรัฐมนตรีลาออกจากตำแหน่ง) | bgcolor = "#FFE4B5" | 10 มิถุนายน พ.ศ. 2535(มีนายกรัฐมนตรีคนใหม่) | rowspan="1" |(ปฏิบัติหน้าที่แทนนายกรัฐมนตรี) |- align="center" | 18(2) | ไฟล์:Anand_Panyarachun.jpg|center|100px | อานันท์ ปันยารชุน | คณะรัฐมนตรีไทย คณะที่ 49|49 | 10 มิถุนายน พ.ศ. 2535(ทูลเกล้าฯ เสนอชื่อโดยอาทิตย์ อุไรรัตน์ ประธานสภาผู้แทนราษฎร) | 23 กันยายน พ.ศ. 2535(ยุบสภาผู้แทนราษฎรและจัดการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรไทยเป็นการทั่วไป กันยายน พ.ศ. 2535|การเลือกตั้งทั่วไป) | rowspan="1" | |- align="center" | 20(1) | ไฟล์:Chuan Leekpai 2010-04-01.jpg|center|100px | ชวน หลีกภัย | คณะรัฐมนตรีไทย คณะที่ 50|50 | 23 กันยายน พ.ศ. 2535(มติของสภาผู้แทนราษฎรไทย ชุดที่ 18) | 13 กรกฎาคม พ.ศ. 2538(การยุบสภาผู้แทนราษฎรไทย|ยุบสภาผู้แทนราษฎร และจัดการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรไทยเป็นการทั่วไป พ.ศ. 2538|การเลือกตั้งทั่วไป) | rowspan="1" | | style="background:#00A1F1" rowspan="1" | | พรรคประชาธิปัตย์ |- align="center" | 21 | ไฟล์:Banharn Silpa-archa (cropped).jpg|center|100px | บรรหาร ศิลปอาชา | คณะรัฐมนตรีไทย คณะที่ 51|51 | 13 กรกฎาคม พ.ศ. 2538(มติของสภาผู้แทนราษฎรไทย ชุดที่ 19) | 25 พฤศจิกายน พ.ศ. 2539(การยุบสภาผู้แทนราษฎรไทย|ยุบสภาผู้แทนราษฎร และจัดการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรไทยเป็นการทั่วไป พ.ศ. 2539|การเลือกตั้งทั่วไป) | rowspan="1" | | style="background:#FF1493" rowspan="1" | | พรรคชาติไทย |- align="center" | 22 | ไฟล์:Chavalit Yongchaiyudh.jpg|center|100px | พลเอก ชวลิต ยงใจยุทธ | คณะรัฐมนตรีไทย คณะที่ 52|52 | 25 พฤศจิกายน พ.ศ. 2539(มติของสภาผู้แทนราษฎรไทย ชุดที่ 20 | 9 พฤศจิกายน พ.ศ. 2540(ลาออก เนื่องจากเกิดวิกฤตการณ์การเงินในเอเชีย พ.ศ. 2540|วิกฤตการณ์เศรษฐกิจ) | rowspan="1" | | style="background:#FFFF00" rowspan="1" | | พรรคความหวังใหม่ |- align="center" | 20(2) | ไฟล์:Chuan Leekpai 2010-04-01.jpg|center|100px | ชวน หลีกภัย | คณะรัฐมนตรีไทย คณะที่ 53|53 | 9 พฤศจิกายน พ.ศ. 2540(มติของสภาผู้แทนราษฎรไทย ชุดที่ 20) | 9 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2544(การยุบสภาผู้แทนราษฎรไทย|ยุบสภาผู้แทนราษฎร และจัดการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรไทยเป็นการทั่วไป พ.ศ. 2544|การเลือกตั้งทั่วไป) | rowspan="1" | | style="background:#00A1F1" rowspan="1" | | พรรคประชาธิปัตย์ |- align="center" | rowspan = 2 | 23(1-2) | rowspan = 2 | ไฟล์:Thaksin DOD 20050915 (crop).jpg|center|100px | rowspan = 2 | ทักษิณ ชินวัตร | คณะรัฐมนตรีไทย คณะที่ 54|54 | 9 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2544(การลงมติเลือกนายกรัฐมนตรีไทย พ.ศ. 2544|มติของสภาผู้แทนราษฎรไทย ชุดที่ 21) | 11 มีนาคม พ.ศ. 2548(สภาครบวาระ และจัดการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรไทยเป็นการทั่วไป พ.ศ. 2548|การเลือกตั้งทั่วไป) | rowspan="2" | | style="background:#FF0000" rowspan="2" | | rowspan = 2 | พรรคไทยรักไทย |- align="center" | คณะรัฐมนตรีไทย คณะที่ 55|55 | 11 มีนาคม พ.ศ. 2548(การลงมติเลือกนายกรัฐมนตรีไทย พ.ศ. 2548|มติของสภาผู้แทนราษฎรไทย ชุดที่ 22) | 19 กันยายน พ.ศ. 2549(การยุบสภาผู้แทนราษฎรไทย|ยุบสภาผู้แทนราษฎร จัดการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรไทยเป็นการทั่วไป พ.ศ. 2549|การเลือกตั้งทั่วไป และเกิดรัฐประหารในประเทศไทย พ.ศ. 2549|รัฐประหาร) |- align="center" style="background:#FA8072" | colspan = 4 | คณะปฏิรูปการปกครองในระบอบประชาธิปไตย อันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข(หัวหน้าคณะ: พลเอก สนธิ บุญยรัตกลิน) | 19 กันยายน พ.ศ. 2549 | 1 ตุลาคม พ.ศ. 2549 | colspan = 3 |(ใช้อำนาจนายกรัฐมนตรี) |- align="center" | 24 | ไฟล์:Surayud cropped 2007.jpg|center|100px | พลเอก สุรยุทธ์ จุลานนท์ | คณะรัฐมนตรีไทย คณะที่ 56|56 | bgcolor = "#F0E68C" | 1 ตุลาคม พ.ศ. 2549(มติคณะ คปค.) | bgcolor = "#F0E68C" | 29 มกราคม พ.ศ. 2551(ประกาศใช้รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2550|รัฐธรรมนูญ พ.ศ. 2550 และจัดการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรไทยเป็นการทั่วไป พ.ศ. 2550|การเลือกตั้งทั่วไป) | rowspan="1" | | style="background:#BEBEBE" rowspan="1" | | อิสระ |- align="center" | 25 | ไฟล์:Samak Sundaravej.JPG|center|100px | สมัคร สุนทรเวช | rowspan = 2 | คณะรัฐมนตรีไทย คณะที่ 57|57 | 29 มกราคม พ.ศ. 2551(การลงมติเลือกนายกรัฐมนตรีไทย มกราคม พ.ศ. 2551|มติของสภาผู้แทนราษฎรไทย ชุดที่ 23) | 9 กันยายน พ.ศ. 2551(ศาลรัฐธรรมนูญ (ประเทศไทย)|ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยให้พ้นจากตำแหน่ง) | rowspan="1" | | rowspan="3" style="background:#FF0000" | | rowspan="3" | พรรคพลังประชาชน (พ.ศ. 2541)|พรรคพลังประชาชน |- align="center" | rowspan = 2 | 26 | rowspan = 2 | ไฟล์:The Prime Minister of Thailand, Mr. Somchai Wangsawat meeting the Prime Minister, Dr. Manmohan Singh, in New Delhi on November 13, 2008 (cropped) (cropped).jpg|center|100px | rowspan = 2 | สมชาย วงศ์สวัสดิ์ | bgcolor = "#FFE4B5" | 9 กันยายน พ.ศ. 2551(นายกรัฐมนตรีพ้นจากตำแหน่ง) | bgcolor = "#FFE4B5" | 18 กันยายน พ.ศ. 2551(มีนายกรัฐมนตรีคนใหม่) |(ปฏิบัติหน้าที่แทนนายกรัฐมนตรี) |- align="center" | rowspan = 2 | คณะรัฐมนตรีไทย คณะที่ 58|58 | 18 กันยายน พ.ศ. 2551(การลงมติเลือกนายกรัฐมนตรีไทย กันยายน พ.ศ. 2551|มติของสภาผู้แทนราษฎรไทย ชุดที่ 23) | 2 ธันวาคม พ.ศ. 2551(พ้นจากตำเเหน่งเนื่องจากคดียุบพรรคการเมือง พ.ศ. 2551|เพิกถอนสิทธิเลือกตั้ง 5 ปี) | rowspan="1" | |- align="center" | - | ไฟล์:Chaovarat Chanweerakul (cropped).jpg|center|100px | ชวรัตน์ ชาญวีรกูล | bgcolor = "#FFE4B5" | 3 ธันวาคม พ.ศ. 2551(นายกรัฐมนตรีพ้นจากตำแหน่ง) | bgcolor = "#FFE4B5" | 17 ธันวาคม พ.ศ. 2551(มีนายกรัฐมนตรีคนใหม่) | rowspan="1" |(ปฏิบัติหน้าที่แทนนายกรัฐมนตรี) | style="background:#BEBEBE" rowspan="1" | | อิสระ |- align="center" | 27 | ไฟล์:Abhisit Vejjajiva 2010.jpg|center|100px | อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ | คณะรัฐมนตรีไทย คณะที่ 59|59 | 17 ธันวาคม พ.ศ. 2551(การลงมติเลือกนายกรัฐมนตรีไทย ธันวาคม พ.ศ. 2551|มติของสภาผู้แทนราษฎรไทย ชุดที่ 23) | 5 สิงหาคม พ.ศ. 2554(ยุบสภาผู้แทนราษฎร และจัดการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรไทยเป็นการทั่วไป พ.ศ. 2554|การเลือกตั้งทั่วไป) | rowspan="1" | | style="background:#00A1F1" rowspan="1" | | พรรคประชาธิปัตย์ |- align="center" | 28 | ไฟล์:Prime Minister of Thailand (8182792228) cropped.jpg|center|100px | ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร | rowspan = 2 | คณะรัฐมนตรีไทย คณะที่ 60|60 | 5 สิงหาคม พ.ศ. 2554(การลงมติเลือกนายกรัฐมนตรีไทย พ.ศ. 2554|มติของสภาผู้แทนราษฎรไทย ชุดที่ 24) | 7 พฤษภาคม พ.ศ. 2557(ศาลรัฐธรรมนูญ (ประเทศไทย)|ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยให้พ้นจากตำแหน่งขณะรักษาการ หลังจากยุบสภาผู้แทนราษฎร และจัดการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรไทยเป็นการทั่วไป พ.ศ. 2557|การเลือกตั้งทั่วไป) | rowspan="1" | | rowspan="2" style="background:#FF0000" | | rowspan="2" | พรรคเพื่อไทย |- align="center" | - | ไฟล์:Niwatthamrong Boonsongpaisan at Ministerial Conference 2013 crop.jpg|center|100px | นิวัฒน์ธำรง บุญทรงไพศาล | bgcolor = "#FFE4B5" | 7 พฤษภาคม พ.ศ. 2557(นายกรัฐมนตรีพ้นจากตำแหน่ง) | bgcolor = "#FFE4B5" | 22 พฤษภาคม พ.ศ. 2557(รัฐประหารในประเทศไทย พ.ศ. 2557|รัฐประหาร) | rowspan="1" |(ปฏิบัติหน้าที่แทนนายกรัฐมนตรี) |- align="center" style="background:#FA8072" | colspan = 4 | คณะรักษาความสงบแห่งชาติ(หัวหน้าคณะ: พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา) | 22 พฤษภาคม พ.ศ. 2557 | 24 สิงหาคม พ.ศ. 2557 | colspan = 3 | (ใช้อำนาจนายกรัฐมนตรี) |- align="center" | rowspan = 3 | 29(1-2) | rowspan = 3 | ไฟล์:Prayut 2022.jpg|center|100px | rowspan = 3 | พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา | rowspan = 2 | คณะรัฐมนตรีไทย คณะที่ 61|61 | rowspan = 2 bgcolor = "#F0E68C" | 24 สิงหาคม พ.ศ. 2557(การลงมติเลือกนายกรัฐมนตรีไทย พ.ศ. 2557|มติของสภานิติบัญญัติแห่งชาติ (ประเทศไทย) พ.ศ. 2557|สภานิติบัญญัติแห่งชาติ) | rowspan = 2 bgcolor="#F0E68C" | 9 มิถุนายน พ.ศ. 2562(ประกาศใช้รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2560|รัฐธรรมนูญ พ.ศ. 2560 และจัดการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรไทยเป็นการทั่วไป พ.ศ. 2562|การเลือกตั้งทั่วไป) | rowspan = 3 | | style="background:#D2B48C" rowspan="2" | | rowspan = 2 | คณะรักษาความสงบแห่งชาติ |- align="center" | rowspan="7" | ไฟล์:King Rama X official (crop).png|center|100pxพระบาทสมเด็จพระวชิรเกล้าเจ้าอยู่หัว |- align="center" | rowspan="3" | คณะรัฐมนตรีไทย คณะที่ 62|62 | 9 มิถุนายน พ.ศ. 2562(การลงมติเลือกนายกรัฐมนตรีไทย พ.ศ. 2562|มติของรัฐสภาไทย ประกอบด้วยสภาผู้แทนราษฎรไทย ชุดที่ 25 และวุฒิสภาไทย ชุดที่ 12) | 24 สิงหาคม พ.ศ. 2565(ศาลรัฐธรรมนูญมีคำสั่งให้หยุดปฏิบัติหน้าที่ระหว่างรอคำวินิจฉัย) | style="background:#BEBEBE" rowspan="1" | | อิสระ |- align="center" | - | ไฟล์: Prawit Wongsuwan (2018) cropped.jpg|center|100px | พลเอก ประวิตร วงษ์สุวรรณ | bgcolor = "#FFE4B5" | 24 สิงหาคม พ.ศ. 2565 (ศาลรัฐธรรมนูญมีคำสั่งให้นายกรัฐมนตรีหยุดปฏิบัติหน้าที่ระหว่างรอคำวินิจฉัย) | bgcolor = "#FFE4B5" | 30 กันยายน พ.ศ. 2565 (นายกรัฐมนตรีกลับมาปฏิบัติหน้าที่ตามปกติ) | rowspan="1" |(ปฏิบัติหน้าที่แทนนายกรัฐมนตรี)https://www.pptvhd36.com/news/%E0%B8%81%E0%B8%B2%E0%B8%A3%E0%B9%80%E0%B8%A1%E0%B8%B7%E0%B8%AD%E0%B8%87/179180 เปิดคำสั่ง จัดลำดับรักษาราชการแทนนายกฯ แต่! แต่งตั้ง- อนุมัติงบไม่ได้ | style="background:#285aaf" rowspan="1" | | พรรคพลังประชารัฐ |- align="center" | 29(2) | ไฟล์:Prayut 2022.jpg|center|100px | พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา | 30 กันยายน พ.ศ. 2565 (ศาลรัฐธรรมนูญมีมติให้กลับมาปฏิบัติหน้าที่ตามปกติ) | 22 สิงหาคม พ.ศ. 2566 (ยุบสภาผู้แทนราษฎร และจัดการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรไทยเป็นการทั่วไป พ.ศ. 2566|การเลือกตั้งทั่วไป) | (รวมทั้งหมด 8 ปี 363 วัน) | style="background:#BEBEBE" rowspan="1" | | อิสระ |- align="center" | rowspan = 1 | 30 | rowspan = 1 | File:PM Srettha Thavisin 2023 (cropped).jpg|center|100px | rowspan = 1 | เศรษฐา ทวีสิน | rowspan = 2 | คณะรัฐมนตรีไทย คณะที่ 63|63 | rowspan = 1 | 22 สิงหาคม พ.ศ. 2566(การลงมติเลือกนายกรัฐมนตรีไทย พ.ศ. 2566|มติของรัฐสภาไทย ประกอบด้วยสภาผู้แทนราษฎรไทย ชุดที่ 26 และวุฒิสภาไทย ชุดที่ 12) | rowspan = 1 | 14 สิงหาคม พ.ศ. 2567(ศาลรัฐธรรมนูญ (ประเทศไทย)|ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยให้พ้นจากตำแหน่ง) | rowspan="1" | | style="background:#FF0000" rowspan="3" | | rowspan = 3 | พรรคเพื่อไทย |- align="center" | - | ไฟล์:Phumtham Wechayachai.jpg|center|100px | ภูมิธรรม เวชยชัย | bgcolor = "#FFE4B5" | 14 สิงหาคม พ.ศ. 2567(นายกรัฐมนตรีพ้นจากตำแหน่ง) | bgcolor = "#FFE4B5" | 16 สิงหาคม พ.ศ. 2567(มีนายกรัฐมนตรีคนใหม่) | rowspan="1" | (ปฏิบัติหน้าที่แทนนายกรัฐมนตรี) |- align="center" | rowspan = 1 | 31 | rowspan = 1 | File:Paetongtarn Shinawatra October 2023.jpg|center|100px | rowspan = 1 | แพทองธาร ชินวัตร | rowspan = 1 | คณะรัฐมนตรีไทย คณะที่ 64|64 | rowspan = 1 | 16 สิงหาคม พ.ศ. 2567 (การลงมติเลือกนายกรัฐมนตรีไทย พ.ศ. 2567|มติของสภาผู้แทนราษฎรไทย ชุดที่ 26) | rowspan = 1 | ปัจจุบัน | rowspan = 1 | | == เชิงอรรถ == == ดูเพิ่ม == * นายกรัฐมนตรีไทย ** รายชื่อนายกรัฐมนตรีไทยเรียงตามระยะเวลาดำรงตำแหน่ง ** การลงมติเลือกนายกรัฐมนตรีไทย * รายชื่อประธานรัฐสภาไทย * รายพระนามและชื่ออธิบดีศาลฎีกาและประธานศาลฎีกา|รายชื่อประธานศาลฎีกาไทย * รายชื่อคู่สมรสนายกรัฐมนตรีไทย * รายชื่อผู้นำฝ่ายค้านในสภาผู้แทนราษฎรไทย == อ้างอิง == == แหล่งข้อมูลอื่น == * https://www.soc.go.th/?page_id=182 ประวัตินายกรัฐมนตรีไทย จากสำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรี * http://www.thaiswatch.com/timeline แผนผังการเมืองไทย ตั้งแต่ พ.ศ. 2475 - ปัจจุบัน จากเว็บไซต์ศูนย์ข้อมูลนักการเมือง - ThaisWatch.com หมวดหมู่:รายชื่อนายกรัฐมนตรีแบ่งตามประเทศ|ไทย หมวดหมู่:นายกรัฐมนตรีไทย| หมวดหมู่:รายชื่อผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองในประเทศไทย|นายกรัฐมนตรี
รายชื่อนายกรัฐมนตรีไทย
Infobox writer | honorific_prefix = ดิออนอระเบิล | name = จา เหลียงยง | honorific_suffix = | image = Jin Yong, July 2007.jpg | image_size = | image_upright = | alt = | caption = กิมย้งในเดือนกรกฎาคม ค.ศ. 2007 | native_name = 查良鏞 | native_name_lang = zh | pseudonym = กิมย้ง | birth_date = | birth_place = ไห่หนิง มณฑลเจ้อเจียง สาธารณรัฐจีน (2455–2492)|สาธารณรัฐจีน | death_date = | death_place = Hong Kong Sanatorium & Hospital, Happy Valley, Hong Kong|แฮปปีแวลลีย์ ฮ่องกง | resting_place = หอ Hoi Wui, Ngong Ping, เกาะลันเตา ฮ่องกง | occupation = | language = จีน | nationality = | citizenship = | education = | alma_mater = Soochow University (Suzhou)|มหาวิทยาลัยซูโจวมหาวิทยาลัยเคมบริดจ์มหาวิทยาลัยปักกิ่ง | home_town = | period = 1955–1972 | genre = บันเทิงคดีกำลังภายใน | spouse = Unbulleted list | | | | children = 4 | signature = | website = | module = Chinese |child=yes |c=金庸 |p=Jīn Yōng |w=Chin1 Yung1 |mi= |j=Gam1 Jung4 |y=Gām Yùhng |ci= |altname=ชื่อเกิด |t2=查良鏞 |s2=查良镛 |p2=Zhā Liángyōng |w2=Cha Liang-yung |sl2=Cha4 Leung4 Yung4 |j2=Caa4 Loeng4 Jung4 |y2=Chàh Lèuhng Yùhng |footnote= '''กิมย้ง''' (; 10 มีนาคม ค.ศ. 1924 – 30 ตุลาคม ค.ศ. 2018)cite news |title=Renowned Chinese martial arts novelist Jin Yong dies at 94 - Xinhua English.news.cn |url=http://www.xinhuanet.com/english/2018-10/31/c_137569926.htm |access-date=12 February 2021 |work=www.xinhuanet.com |archive-date=2022-06-28 |archive-url=https://web.archive.org/web/20220628153135/http://www.xinhuanet.com/english/2018-10/31/c_137569926.htm |url-status=dead หรือชื่อจริง '''จา เหลียงยง''' (; ) เป็นนักเขียนนิยายกำลังภายในที่ได้รับความนิยมมาก มักเขียนนิยายโดยแฝงเนื้อหาทางการเมืองบางอย่างไว้ โดยเฉพาะการวิจารณ์ระบบกษัตริย์ พรรคคอมมิวนิสต์ และลัทธิเชื้อชาติฮั่นเป็นใหญ่ กิมย้งมีหนังสือพิมพ์เป็นของตัวเองและดูแลกิจการหนังสือพิมพ์ ชื่อ หมิงเป้า (明報) == ประวัติ == เกิดเมื่อวันที่ 10 มีนาคม ค.ศ. 1924 (ตรงกับ พ.ศ. 2467 ตามปฏิทินไทยในสมัยนั้น) ที่ไห่หนิง|อำเภอไห่หนิง มณฑลเจ้อเจียง แห่งภาคตะวันออกของจีน เป็นบุตรคนที่สองของตระกูลที่มีฐานะ เริ่มอ่านหนังสือตั้งแต่วัยเด็ก เมื่อตอนอายุ 9 ขวบ ก็อ่านทั้งนิยายของจีนทั้งหมด และนิยายแปลของต่างประเทศ ในวัยเยาว์ได้อ่านวรรณกรรมคลาสสิกทั้ง 4 เรื่องของจีน ได้แก่ สามก๊ก (三国演义) ซ้องกั๋ง (水浒传) ไซอิ๋ว (西游记) และความฝันในหอแดง (红楼梦) เริ่มศึกษาในปี ค.ศ. 1929 ที่โรงเรียนเจียเซียง ไห่หนิง (嘉兴海宁小学) มณฑลเจ้อเจียง, ปี ค.ศ. 1944 เข้าเรียนในภาควิชาภาษาต่างประเทศที่มหาวิทยาลัยการเมืองแห่งรัฐบาลกลาง (國立中央政治大學) ต่อมาปี ค.ศ. 1946 ได้ย้ายมาเรียนที่ภาควิชากฎหมาย มหาวิทยาลัยตงอู๋ (東吳大學) แห่งเซี่ยงไฮ้ เอกกฎหมายระหว่างประเทศ ในปี ค.ศ. 2005 ได้รับปริญญาดุษฎีบัณฑิตกิตติมศักดิ์จากมหาวิทยาลัยเคมบริดจ์ และ ศึกษาปริญญาเอกในภาควิชาการศึกษาตะวันออก เอกประวัติศาสตร์จีนที่ :en:St_John's_College,_Cambridge|เซนต์จอห์นคอลเลจ มหาวิทยาลัยเคมบริดจ์ ในปี ค.ศ. 2013 ได้รับปริญญาดุษฎีบัณฑิตทางด้านวรรณคดีจีนจากมหาวิทยาลัยปักกิ่ง (北京大學) กิมย้งเสียชีวิตวันที่ 30 ตุลาคม พ.ศ. 2561 อายุรวม 94 ปี 7 เดือน 20 วัน == ผลงาน == กิมย้ง หรือ จาเหลียงย้ง ได้สร้างผลงานจำนวน 15 เรื่อง โดยทั้งหมดที่กิมย้งเขียนล้วนเป็นนิยายกำลังภายใน เป็นเรื่องยาว 12 เรื่อง เรื่องขนาดกลาง 2 เรื่อง และ เรื่องสั้น 1 เรื่อง อันได้แก่ ** ตีพิมพ์ในชุดเรื่องสั้น เทพธิดาม้าขาว (ชุดเรื่องสั้น กระบี่นางพญา) #จอมใจจอมยุทธ - 書劍恩仇錄 - Book and Sword: Gratitude and Revenge (พ.ศ. 2498) #เพ็กฮวยเกี่ยม - 碧血劍 - Sword Stained with Royal Blood (พ.ศ. 2499) #มังกรหยก|มังกรหยก ภาค 1 - 射雕英雄传 - The Eagle shooting hero (พ.ศ. 2500) #จิ้งจอกภูเขาหิมะ - 雪山飛狐 - Fox Volant of the Snowy Mountain (พ.ศ. 2502) #มังกรหยก ภาค 2 - 神雕侠侣 - The Return of the Condor Heroes (พ.ศ. 2502) #'''จิ้งจอกอหังการ''' - 飛狐外傳 - The Young Flying Fox (พ.ศ. 2503) #เทพธิดาม้าขาว ** - อักษรจีนตัวเต็ม|จีนตัวเต็ม: 白馬嘯西風 S: 白马啸西风 - Swordswoman Riding West on White Horse (พ.ศ. 2504) #ดาบนกเป็ดน้ำ ** - จีนตัวเต็ม: 鴛鴦刀 จีนตัวย่อ: 鸳鸯刀 - Blade-dance of the Two Lovers (พ.ศ. 2504) #ดาบมังกรหยก|มังกรหยก ภาค 3 หรือ '''ดาบมังกรหยก''' 倚天屠龍記 - Heaven Sword and Dragon Sabre (พ.ศ. 2504) #กระบี่ใจพิสุทธิ์ - จีนตัวเต็ม: 連城訣 จีนตัวย่อ: 连城诀 - A Deadly Secret (พ.ศ. 2506) #แปดเทพอสูรมังกรฟ้า - 天龙八部 - Semi-Gods and Semi-Devils (พ.ศ. 2506-2509) #'''มังกรทลายฟ้า''' - จีนตัวเต็ม: 俠客行 จีนตัวย่อ: 侠客行 - Ode to Gallantry (พ.ศ. 2509-2510) #กระบี่เย้ยยุทธจักร หรือ '''ผู้กล้าหาญคะนอง''' 笑傲江湖 - The Smiling, Proud Wanderer (พ.ศ. 2510-2512) #'''กระบี่นางพญา **''' - จีนตัวเต็ม: 越女劍 จีนตัวย่อ: 越女剑 - Sword of the Yue Maiden (พ.ศ. 2513) #อุ้ยเสี่ยวป้อ หรือ '''อุ้ยเสี่ยวป้อ เหยียบยอดยุทธจักร''' - จีนตัวเต็ม: 鹿鼎記 จีนตัวย่อ: 鹿鼎记 - Deer and the Cauldron (พ.ศ. 2512-2515) == อ้างอิง == ==อ่านเพิ่ม== *''Stateless Subjects: Chinese Martial Arts Literature and Postcolonial History'', Chapters 3 and 4. Petrus Liu. (Cornell University, 2011). ==แหล่งข้อมูลอื่น== * * http://jinyong.ylib.com.tw Jin Yong Teahouse (金庸茶館) – fansite of Jin Yong's novels in Chinese * http://www.jyjh.cn/bbs/forum.php Jin Yong Jianghu (金庸江湖) – fansite, forums and complete works of Jin Yong's novels * * http://www.sf-encyclopedia.com/entry/jin_yong Jin Yong in the Encyclopaedia of Science Fiction หมวดหมู่:นักเขียนนิยายกำลังภายใน หมวดหมู่:นักเขียนชาวจีน หมวดหมู่:บุคคลจากมณฑลเจ้อเจียง
กิมย้ง
กล่องข้อมูล นักวิทยาศาสตร์ | honorific_prefix = เซอร์ |name = ไอแซก นิวตัน |image = Portrait of Sir Isaac Newton, 1689.jpg |caption = ภาพเขียนของไอแซกนิวตันขณะอายุ 46 ปี |birth_date = 4 มกราคม ค.ศ. 1643 (ปฏิทินกริกอเรียน) 25 ธันวาคม ค.ศ. 1642 (ปฏิทินจูเลียน) |birth_place = วูลสธอร์ปลิงคอนเชียร์ ราชอาณาจักรอังกฤษ สหภาพกษัตริย์ระหว่างราชอาณาจักรอังกฤษกับสกอตแลนด์ |citizenship = |ethnicity = |death_date = 31 มีนาคม ค.ศ. 1727 (ปฏิทินกริกอเรียน) 21 มีนาคม ค.ศ. 1726 (ปฏิทินจูเลียน) |death_place = เคนซิงตัน มิดเดิลเซกซ์ เเค้วนอังกฤษ ราชอาณาจักรบริเตนใหญ่ |fields = |alma_mater = วิทยาลัยทรินิตี มหาวิทยาลัยเคมบริดจ์ | workplaces = |known_for = กฎการเคลื่อนที่ของนิวตันความโน้มถ่วงสากลแคลคูลัสทัศนศาสตร์ |signature = ไฟล์:Isaac Newton signature ws.svg|200px '''ตราอาร์ม''' ไฟล์:ENG COA Newton.svg|120px |signature_alt = Is. Newton | module = '''เซอร์ ไอแซก นิวตัน''' (; 25 ธันวาคม ค.ศ. 1642 – 20 มีนาคม ค.ศ. 1726/27 ตามปฏิทินจูเลียน) นักฟิสิกส์ นักคณิตศาสตร์ นักดาราศาสตร์ นักปรัชญาธรรมชาติ นักเล่นแร่แปรธาตุ และนักเทววิทยาชาวอังกฤษ เเละต่อมาปลายชีวิตเป็นชาวบริเตน ศาสตร์นิพนธ์ของนิวตันในปี ค.ศ. 1687 เรื่อง ''Philosophiæ Naturalis Principia Mathematica|หลักการทางคณิตศาสตร์ของปรัชญาธรรมชาติ'' (Philosophiæ Naturalis Principia Mathematica) (เรียกกันโดยทั่วไปว่า ''Principia'') ถือเป็นหนึ่งในหนังสือที่มีอิทธิพลที่สุดในประวัติศาสตร์วิทยาศาสตร์ เป็นรากฐานของวิชากลศาสตร์ดั้งเดิม ในงานเขียนชิ้นนี้ นิวตันพรรณนาถึง กฎแรงโน้มถ่วงสากล และ กฎการเคลื่อนที่ของนิวตัน ซึ่งเป็นกฎทางวิทยาศาสตร์อันเป็นเสาหลักของการศึกษาจักรวาลทางกายภาพตลอดช่วง 3 ศตวรรษถัดมา นิวตันแสดงให้เห็นว่า การเคลื่อนที่ของวัตถุต่างๆ บนโลกและกลศาสตร์ท้องฟ้า|วัตถุท้องฟ้าล้วนอยู่ภายใต้กฎธรรมชาติชนิดเดียวกัน โดยแสดงให้เห็นความสอดคล้องระหว่างกฎการเคลื่อนที่ของดาวเคราะห์|กฎการเคลื่อนที่ของดาวเคราะห์ของเคปเลอร์กับทฤษฎีแรงโน้มถ่วงของตน ซึ่งช่วยยืนยันแนวคิดดวงอาทิตย์เป็นศูนย์กลางจักรวาล และช่วยให้การปฏิวัติวิทยาศาสตร์|การปฏิวัติิวทยาศาสตร์ก้าวหน้ายิ่งขึ้น นิวตันสร้างกล้องโทรทรรศน์สะท้อนแสงที่สามารถใช้งานจริงได้เป็นเครื่องแรก และพัฒนาทฤษฎีสีโดยอ้างอิงจากผลสังเกตการณ์ว่า ปริซึม (ทัศนศาสตร์)|ปริซึมสามเหลี่ยมสามารถแยกแสงสีขาวออกมาเป็นหลายๆ สีได้ ซึ่งเป็นที่มาของสเปกตรัมแสงที่มองเห็น เขายังคิดค้นกฎการเย็นตัวของนิวตัน และศึกษาความเร็วของเสียง ในทางคณิตศาสตร์ นิวตันกับก็อทฟรีท วิลเฮ็ล์ม ไลบ์นิทซ์ ได้ร่วมกันพัฒนาทฤษฎีแคลคูลัสกณิกนันต์|แคลคูลัสเชิงปริพันธ์และอนุพันธ์ เขายังสาธิตทฤษฎีบททวินาม และพัฒนากระบวนวิธีของนิวตันขึ้นเพื่อการประมาณค่ารากที่ n|รากของฟังก์ชัน รวมถึงมีส่วนร่วมในการศึกษาอนุกรมกำลัง นิวตันไม่เชื่อเรื่องศาสนา เขาเป็นคริสเตียนนอกนิกายออร์โธดอกซ์ และยังเขียนงานตีความคัมภีร์ไบเบิลกับงานศึกษาด้านไสยศาสตร์มากกว่างานด้านวิทยาศาสตร์และคณิตศาสตร์เสียอีก เขาต่อต้านแนวคิดตรีเอกภาพอย่างลับๆ และเกรงกลัวในการถูกกล่าวหาเนื่องจากปฏิเสธการถือบวช ไอแซก นิวตัน ได้รับยกย่องจากสมและสมาชิกสมาคม ข้าวกล่อง และ สมาคมการค้าแห่งชาติ == ประวัติ == === วัยเด็ก === ไอแซก นิวตัน เกิดเมื่อวันที่ 4 มกราคม ค.ศ. 1642 (หรือ 25 ธันวาคม พ.ศ. 2185 ตามปฏิทินจูเลียน) ที่วูลส์ธอร์พแมนเนอร์ ท้องถิ่นชนบทแห่งหนึ่งในลินคอล์นเชียร์ ตอนที่นิวตันเกิดนั้นประเทศอังกฤษยังไม่ยอมรับปฏิทินกริกอเรียน ดังนั้นวันเกิดของเขาจึงบันทึกเอาไว้ว่าเป็นวันที่ 25 ธันวาคม ค.ศ. 1642 บิดาของนิวตัน ซึ่งเป็นชาวนาผู้มั่งคั่งเสียชีวิตก่อนเขาเกิด 3 เดือน เมื่อแรกเกิดนิวตันตัวเล็กมาก เขาเป็นทารกคลอดก่อนกำหนดที่ไม่มีผู้ใดคาดว่าจะรอดชีวิตได้ มารดาของเขาคือ นางฮานนาห์ อายสคัฟ บอกว่าเอานิวตันใส่ในเหยือกควอร์ทยังได้ (ขนาดประมาณ 1.1 ลิตร) เมื่อนิวตันอายุได้ 3 ขวบ มารดาของเขาแต่งงานใหม่กับสาธุคุณบาร์นาบัส สมิธ และได้ทิ้งนิวตันไว้ให้มาร์เกรี อายส์คัฟ ยายของนิวตันเลี้ยง นิวตันไม่ชอบพ่อเลี้ยง และเป็นอริกับมารดาไปด้วยฐานแต่งงานกับเขา ความรู้สึกนี้ปรากฏในงานเขียนสารภาพบาปที่เขาเขียนเมื่ออายุ 19: "ขอให้พ่อกับแม่สมิธรวมทั้งบ้านของพวกเขาถูกไฟผลาญ"Cohen, I.B. (1970). Dictionary of Scientific Biography, Vol. 11, p.43. New York: Charles Scribner's Sons นิวตันเคยหมั้นครั้งหนึ่งในช่วงปลายวัยรุ่น แต่เขาไม่เคยแต่งงานเลย เพราะอุทิศเวลาทั้งหมดให้กับการศึกษาและการทำงาน นับแต่อายุ 12 จนถึง 17 นิวตันเข้าเรียนที่คิงส์สกูล แกรนแธม ต่อมาในเดือนตุลาคม ค.ศ. 1659 เขากลับไปบ้านเกิดเมื่อมารดาที่เป็นหม้ายครั้งที่ 2 พยายามบังคับให้เขาเป็นชาวนา แต่เขาเกลียดการทำนาWestfall 1994, pp 16-19 ครูใหญ่ที่คิงส์สกูล เฮนรี สโตกส์ พยายามโน้มน้าวให้มารดาของเขายอมส่งเขากลับมาเรียนให้จบ จากแรงผลักดันในการแก้แค้นครั้งนี้ นิวตันจึงเป็นนักเรียนที่มีผลการเรียนสูงที่สุดWhite 1997, p. 22 เดือนมิถุนายน ค.ศ. 1661 นิวตันได้เข้าเรียนที่วิทยาลัยทรินิตี้ แห่งมหาวิทยาลัยเคมบริดจ์ ในฐานะซิซาร์ (sizar; คือทุนชนิดหนึ่งซึ่งนักศึกษาต้องทำงานเพื่อแลกกับที่พัก อาหาร และค่าธรรมเนียม)Michael White, ''Isaac Newton'' (1999) http://books.google.com/books?id=l2C3NV38tM0C&pg=PA24&dq=storer+intitle:isaac+intitle:newton&lr=&num=30&as_brr=0&as_pt=ALLTYPES#PPA46,M1 page 46 ในยุคนั้นการเรียนการสอนในวิทยาลัยตั้งอยู่บนพื้นฐานแนวคิดของอริสโตเติล แต่นิวตันชอบศึกษาแนวคิดของนักปรัชญายุคใหม่คนอื่นๆ ที่ทันสมัยกว่า เช่น เรอเน เดส์การ์ตส์|เดส์การ์ตส์ และนักดาราศาสตร์ เช่น นิโคเลาส์ โคเปอร์นิคัส|โคเปอร์นิคัส, กาลิเลโอ และโจฮันเนส เคปเลอร์|เคปเลอร์ เป็นต้น ปี ค.ศ. 1665 เขาค้นพบทฤษฎีบททวินามและเริ่มพัฒนาทฤษฎีทางคณิตศาสตร์ซึ่งต่อมากลายเป็น แคลคูลัสกณิกนันต์ (infinitesimal calculus) นิวตันได้รับปริญญาในเดือนสิงหาคม ค.ศ. 1665 หลังจากนั้นไม่นาน มหาวิทยาลัยต้องปิดลงชั่วคราวเนื่องจากโรคระบาดครั้งใหญ่ในกรุงลอนดอน|เกิดโรคระบาดครั้งใหญ่ แม้เมื่อศึกษาในเคมบริดจ์เขาจะไม่มีอะไรโดดเด่นed. Michael Hoskins (1997). Cambridge Illustrated History of Astronomy, p. 159. Cambridge University Press แต่การศึกษาด้วยตนเองที่บ้านในวูลส์ธอร์พตลอดช่วง 2 ปีต่อมาได้สร้างพัฒนาการแก่ทฤษฎีเกี่ยวกับแคลคูลัส ธรรมชาติของแสงสว่าง และกฎแรงโน้มถ่วงของเขาอย่างมาก นิวตันได้ทำการทดลองเกี่ยวกับแสงอาทิตย์อย่างหลากหลายด้วยแท่งแก้วปริซึม (ทัศนศาสตร์)|ปริซึมและสรุปว่ารังสีต่างๆ ของแสงซึ่งนอกจากจะมีสีแตกต่างกันแล้วยังมีภาวะการหักเหต่างกันด้วย การค้นพบที่เป็นการอธิบายว่าเหตุที่ภาพที่เห็นภายในกล้องโทรทรรศน์ที่ใช้เลนส์แก้วไม่ชัดเจน ก็เนื่องมาจากมุมในการหักเหของลำแสงที่ผ่านแก้วเลนส์แตกต่างกัน ทำให้ระยะโฟกัสต่างกันด้วย จึงเป็นไม่ได้ที่จะได้ภาพที่ชัดด้วยเลนส์แก้ว การค้นพบนี้กลายเป็นพื้นฐานในการพัฒนากล้องโทรทรรศน์ชนิดสะท้อนแสง|กล้องโทรทรรศน์แบบกระจกเงาสะท้อนแสงที่สมบูรณ์โดยวิลเลียม เฮอร์เชล และ เอิร์ลแห่งโรส ในเวลาต่อมา ในเวลาเดียวกับการทดลองเรื่องแสงสว่าง นิวตันก็ได้เริ่มงานเกี่ยวกับแนวคิดในเรื่องการโคจรของดาวเคราะห์ ในปี ค.ศ. 1667 เขากลับไปเคมบริดจ์อีกครั้งหนึ่งในฐานะภาคีสมาชิกของทรินิตี้ ซึ่งมีกฎเกณฑ์อยู่ว่าผู้เป็นภาคีสมาชิกต้องอุทิศตนถือบวช อันเป็นสิ่งที่ นิวตันพยายามหลีกเลี่ยงเนื่องจากมุมมองของเขาที่ไม่เห็นด้วยกับศาสนา โชคดีที่ไม่มีกำหนดเวลาที่แน่นอนว่าภาคีสมาชิกต้องบวชเมื่อไร จึงอาจเลื่อนไปตลอดกาลก็ได้ แต่ก็เกิดปัญหาขึ้นในเวลาต่อมาเมื่อนิวตันได้รับเลือกให้ดำรงตำแหน่งเมธีลูเคเชียนอันทรงเกียรติ ซึ่งไม่อาจหลบเลี่ยงการบวชไปได้อีก ถึงกระนั้นนิวตันก็ยังหาทางหลบหลีกได้โดยอาศัยพระบรมราชานุญาตจากสมเด็จพระเจ้าชาร์ลส์ที่ 2 แห่งอังกฤษ|พระเจ้าชาร์ลส์ที่ 2 === ชีวิตการงาน === ไฟล์:Newton-Principia-Mathematica 1-500x700.jpg|thumbnail|145px|left|''Philosophiæ Naturalis Principia Mathematica'' งานตีพิมพ์สำคัญชิ้นแรกของไอแซก นิวตัน การหล่นของแอปเปิลทำให้เกิดคำถามอยู่ในใจของนิวตันว่าแรงของโลกที่ทำให้ผลแอปเปิลหล่นน่าจะเป็นแรงเดียวกันกับแรงที่ “ดึง” ดวงจันทร์เอาไว้ไม่ไปที่อื่นและทำให้เกิดโคจรรอบโลกเป็นวงรี ผลการคำนวณเป็นสิ่งยืนยันความคิดนี้แต่ก็ยังไม่แน่ชัดจนกระทั่งการการเขียนจดหมายโต้ตอบระหว่างนิวตันและรอเบิร์ต ฮุก ที่ทำให้นิวตันมีความมั่นใจและยืนยันหลักการกลศาสตร์เกี่ยวกับการเคลื่อนที่ได้เต็มที่ ในปีเดียวกันนั้น เอ็ดมันด์ แฮลลีย์ได้มาเยี่ยมนิวตันเพื่อถกเถียงเกี่ยวกับคำถามเรื่องดาวเคราะห์ ฮัลลเลย์ต้องประหลาดใจที่นิวตันกล่าวว่าแรงกระทำระหว่างดวงอาทิตย์กับดาวเคราะห์ที่ทำให้การวงโคจรรูปวงรีได้นั้นเป็นไปตามกฎกำลังสองที่นิวตันได้พิสูจน์ไว้แล้วนั่นเอง ซึ่งนิวตันได้ส่งเอกสารในเรื่องนี้ไปให้ฮัลเลย์ดูในภายหลังและฮัลเลย์ก็ได้ชักชวนขอให้นิวตันเขียนหนังสือเล่มนี้ขึ้น และหลังการเป็นศัตรูคู่ปรปักษ์ระหว่างนิวตันและฮุกมาเป็นเวลานานเกี่ยวกับการอ้างสิทธิ์ในการเป็นผู้ค้นพบ “กฎกำลังสอง” แห่งการดึงดูด หนังสือเรื่อง "หลักการคณิตศาสตร์ว่าด้วยปรัชญาธรรมชาติ” (''Philosophiae naturalist principia mathematica'' หรือ ''The Mathematical Principles of Natural Philosophy'') ก็ได้รับการตีพิมพ์ เนื้อหาในเล่มอธิบายเรื่องความโน้มถ่วงสากล และเป็นการวางรากฐานของกลศาสตร์ดั้งเดิม (กลศาสตร์คลาสสิก) ผ่านกฎการเคลื่อนที่ของนิวตัน|กฎการเคลื่อนที่ ซึ่งนิวตันตั้งขึ้น นอกจากนี้ นิวตันยังมีชื่อเสียงร่วมกับ ก็อทฟรีท วิลเฮ็ล์ม ไลบ์นิทซ์ ในฐานะที่ต่างเป็นผู้พัฒนาแคลคูลัสเชิงอนุพันธ์อีกด้วย งานสำคัญชิ้นนี้ซึ่งถูกหยุดไม่ได้พิมพ์อยู่หลายปีได้ทำให้นิวตันได้รับการยอมรับว่าเป็นนักฟิสิกส์กายภาพที่ยิ่งใหญ่ที่สุด ผลกระทบมีสูงมาก นิวตันได้เปลี่ยนโฉมวิทยาศาสตร์ว่าด้วยการเคลื่อนที่ของวัตถุท้องฟ้าที่มีมาแต่เดิมโดยสิ้นเชิง นิวตันได้ทำให้งานที่เริ่มมาตั้งแต่สมัยกลางและได้รับการเสริมต่อโดยความพยายามของกาลิเลโอเป็นผลสำเร็จลง และ “กฎการเคลื่อนที่” นี้ได้กลายเป็นพื้นฐานของงานสำคัญทั้งหมดในสมัยต่อๆ มา ในขณะเดียวกัน การมีส่วนในการต่อสู้การบุกรุกพื้นที่ของมหาวิทยาลัยอย่างผิดกฎหมายจากสมเด็จพระเจ้าเจมส์ที่ 2 แห่งอังกฤษ|พระเจ้าเจมส์ที่ 2 ทำให้นิวตันได้รับการแต่งตั้งเป็นสมาชิกรัฐสภาในปี พ.ศ. 2232-33 ต่อมาปี พ.ศ. 2239 นิวตันได้รับการแต่งตั้งเป็นผู้ดูแลโรงผลิตกษาปณ์|เหรียญกษาปณ์เนื่องจากรัฐบาลต้องการบุคคลที่ซื่อสัตย์สุจริตและมีความเฉลียวฉลาดเพื่อต่อสู้กับการปลอมแปลงที่ดาษดื่นมากขึ้นในขณะนั้นซึ่งต่อมา นิวตันก็ได้รับการแต่งตั้งเป็นผู้อำนวยการในปี พ.ศ. 2242 หลังจากได้แสดงความสามารถเป็นที่ประจักษ์ว่าเป็นผู้บริหารที่ยอดเยี่ยม และในปี พ.ศ. 2244 นิวตันได้รับเลือกเข้าสู้รัฐสภาอีกครั้งหนึ่งในฐานะผู้แทนของมหาวิทยาลัย และในปี พ.ศ. 2247 นิวตันได้ตีพิมพ์หนังสือเรื่อง “ทัศนศาสตร์” หรือ ''Optics'' ฉบับภาษาอังกฤษ (สมัยนั้นตำรามักพิมพ์เป็นภาษาละติน) ซึ่งนิวตันไม่ยอมตีพิมพ์จนกระทั่งฮุก คู่ปรับเก่าถึงแก่กรรมไปแล้ว === ชีวิตครอบครัว === นิวตันไม่เคยแต่งงาน และไม่มีหลักฐานใดที่บ่งบอกว่าเขาเคยมีความสัมพันธ์เชิงชู้สาวกับผู้ใด แม้จะไม่สามารถระบุได้แน่ชัด แต่ก็เชื่อกันโดยทั่วไปว่าเขาถึงแก่กรรมไปโดยที่ยังบริสุทธิ์ ดังที่บุคคลสำคัญหลายคนกล่าวถึง เช่นนักคณิตศาสตร์ ชาลส์ ฮัตตัน นักเศรษฐศาสตร์ จอห์น เมย์นาร์ด เคนส์ และนักฟิสิกส์ คาร์ล เซแกน วอลแตร์ นักเขียนและนักปรัชญาชาวฝรั่งเศสซึ่งพำนักในลอนดอนในช่วงเวลาที่ฝังศพของนิวตัน อ้างว่าเขาได้ค้นพบข้อเท็จจริงนี้ เขาเขียนไว้ว่า "ผมได้รับการยืนยันจากหมอและศัลยแพทย์ที่อยู่กับเขาตอนที่เขาตาย"''Letters on England'', 14, pp. 68-70, as referenced in the footnote for the quote in p. 6 of James Gleick's biography, ''Isaac Newton'' (เรื่องที่อ้างกล่าวว่า ขณะที่เขานอนบนเตียงและกำลังจะตาย ก็สารภาพออกมาว่าเขายังบริสุทธิ์อยู่) ในปี 1733 วอลแตร์ระบุโดยเปิดเผยว่านิวตัน "ไม่มีทั้งความหลงใหลหรือความอ่อนแอ เขาไม่เคยเข้าใกล้หญิงใดเลย" นิวตันมีมิตรภาพอันสนิทสนมกับนักคณิตศาสตร์ชาวสวิส นีกอลา ฟาซีโย เดอ ดุยเย ซึ่งเขาพบในลอนดอนราวปี 1690 แต่มิตรภาพนี้กลับสิ้นสุดลงเสียเฉย ๆ ในปี 1693 จดหมายติดต่อระหว่างทั้งคู่บางส่วนยังคงเหลือรอดมาถึงปัจจุบัน ไฟล์:Sir Isaac Newton by Sir Godfrey Kneller, Bt.jpg|thumb|upright|ภาพวาดนิวตันในปี ค.ศ. 1702 โดย Godfrey Kneller|ก็อดฟรีย์ เนลเลอร์ === บั้นปลายของชีวิต === ชีวิตส่วนใหญ่ของนิวตันอยู่กับความขัดแย้งกับบรรดานักวิทยาศาสตร์คนอื่นๆ โดยเฉพาะฮุก, ก็อทฟรีท วิลเฮ็ล์ม ไลบ์นิทซ์|ไลบ์นิทซ์ และจอห์น แฟลมสตีด|แฟลมสตีด ซึ่งนิวตันแก้เผ็ดโดยวิธีลบเรื่องหรือข้อความที่เป็นจินตนาการหรือไม่ค่อยเป็นจริงที่ได้อ้างอิงว่าเป็นการช่วยเหลือของพวกเหล่านั้นออกจากงานของนิวตันเอง นิวตันตอบโต้การวิพากษ์วิจารณ์งานของตนอย่างดุเดือดเสมอ และมักมีความปริวิตกอยู่เป็นนิจจนเชื่อกันว่าเกิดจากการถูกมารดาทอดทิ้งในสมัยที่เป็นเด็ก และความบ้าคลั่งดังกล่าวแสดงนี้มีให้เห็นตลอดการมีชีวิต อาการสติแตกของนิวตันในปี พ.ศ. 2236 ถือเป็นการป่าวประกาศยุติการทำงานด้านวิทยาศาสตร์ของนิวตัน หลังได้รับพระราชทานบรรดาศักดิ์เป็นขุนนางระดับเซอร์ในปี พ.ศ. 2248 นิวตันใช้ชีวิตในบั้นปลายภายใต้การดูแลของหลานสาว นิวตันไม่ได้แต่งงาน แต่ก็มีความสุขเป็นอย่างมากในการอุปการะนักวิทยาศาสตร์รุ่นหลัง ๆ และนับตั้งแต่ปี พ.ศ. 2246 เป็นต้นมาจนถึงวาระสุดท้ายแห่งชีวิต นิวตันดำรงตำแหน่งเป็นนายกราชสมาคมแห่งลอนดอนที่ได้รับสมญา “นายกสภาผู้กดขี่” เมื่อนิวตันเสียชีวิตลง พิธีศพของเขาจัดอย่างยิ่งใหญ่เทียบเท่ากษัตริย์อังกฤษ|กษัตริย์ ศพของเขาฝังอยู่ที่แอบบีเวสต์มินสเตอร์|มหาวิหารเวสต์มินสเตอร์ เช่นเดียวกับกษัตริย์และพระบรมวงศานุวงศ์ชั้นสูงของประเทศอังกฤษ '''เซอร์ไอแซก นิวตัน'''มีชีวิตอยู่ตรงกับรัชสมัยของสมเด็จพระเจ้าปราสาททอง และสมเด็จพระสรรเพชญ์ที่ 9 หรือพระเจ้าท้ายสระแห่งสมัยกรุงศรีอยุธยา == ผลงาน == === ด้านคณิตศาสตร์ === กล่าวกันว่า ผลงานของนิวตันเป็น "ความก้าวหน้าอันยิ่งใหญ่ในทุกสาขาของคณิตศาสตร์ในยุคนั้น ผลงานที่เขาเรียกว่า Fluxion หรือแคลคูลัส ซึ่งปรากฏอยู่ในงานเขียนชุดหนึ่งเมื่อเดือนตุลาคม ค.ศ. 1666 ในปัจจุบันได้รับการตีพิมพ์อยู่รวมกับงานด้านคณิตศาสตร์อื่นๆ ของนิวตันD T Whiteside (ed.), ''The Mathematical Papers of Isaac Newton'' (Volume 1), (Cambridge University Press, 1967), part 7 "The October 1666 Tract on Fluxions", http://books.google.com/books?id=1ZcYsNBptfYC&pg=PA400 at page 400, in 2008 reprint. ในจดหมายที่ไอแซก แบร์โรว์ ส่งไปให้จอห์น คอลลินส์เมื่อเดือนสิงหาคม ค.ศ. 1669 กล่าวถึงผู้เขียนต้นฉบับ ''De analysi per aequationes numero terminorum infinitas'' ที่เขาส่งไปให้คอลลินส์เมื่อเดือนมิถุนายนปีเดียวกันนั้นว่าD Gjertsen (1986), "The Newton handbook", (London (Routledge & Kegan Paul) 1986), at page 149. ต่อมานิวตันมีข้อขัดแย้งกับก็อทฟรีท วิลเฮ็ล์ม ไลบ์นิทซ์|ไลบ์นิทซ์ในเรื่องที่ว่า ใครเป็นผู้คิดพัฒนาแคลคูลัสก่อนกัน นักประวัติศาสตร์ยุคใหม่เชื่อว่าทั้งนิวตันและไลบ์นิทซ์ต่างคนต่างก็พัฒนาแคลคูลัสกณิกนันต์กันโดยอิสระ แม้ว่าจะมีบันทึกที่แตกต่างกันมากมาย ดูเหมือนว่า นิวตันจะไม่เคยตีพิมพ์อะไรเกี่ยวกับแคลคูลัสเลยก่อนปี พ.ศ. 2236 และไม่ได้เขียนบทความฉบับสมบูรณ์ในเรื่องนี้ตราบจนปี พ.ศ. 2247 ขณะที่ไลบ์นิทซ์เริ่มตีพิมพ์บทความฉบับเต็มเกี่ยวกับกระบวนวิธีคิดของเขาในปี พ.ศ. 2227 (บันทึกของไลบ์นิทซ์และ "กระบวนวิธีดิฟเฟอเรนเชียล" เป็นที่ยอมรับนำไปใช้โดยนักคณิตศาสตร์ในภาคพื้นยุโรป และต่อมานักคณิตศาสตร์ชาวอังกฤษจึงค่อยรับไปใช้ในปี พ.ศ. 2363) แต่อย่างไรก็ดี แนวคิดนี้ไม่ได้ให้ข้อสังเกตในเนื้อหาของแคลคูลัส ซึ่งนักวิจารณ์ทั้งในยุคของนิวตันและยุคสมัยใหม่ต่างระบุว่า มีอยู่ในเล่มที่ 1 ของหนังสือชุด ''Principia'' ของนิวตัน (ตีพิมพ์ปี 2230) และในต้นฉบับลายมือเขียนที่มีมาก่อนหน้านี้ เช่น ''De motu corporum in gyrum'' ("การเคลื่อนที่ของวัตถุในวงโคจร") เมื่อปี 1684 ''Principia'' ไม่ได้เขียนในภาษาแคลคูลัสแบบที่เรารู้จัก แต่มีการใช้แคลคูลัสกณิกนันต์ในรูปแบบเรขาคณิต ว่าด้วยจำนวนที่ถูกจำกัดด้วยสัดส่วนของจำนวนที่เล็กลงไปเรื่อยๆ นิวตันสาธิตวิธีการนี้เอาไว้ใน ''Principia'' โดยเรียกชื่อมันว่า กระบวนวิธีสัดส่วนแรกและสัดส่วนสุดท้าย (method of first and last ratios)Newton, 'Principia', 1729 English translation, http://books.google.com/books?id=Tm0FAAAAQAAJ&pg=PA41 at page 41. และอธิบายไว้ว่าเหตุใดเขาจึงแสดงความหมายของมันในรูปแบบเช่นนี้Newton, 'Principia', 1729 English translation, http://books.google.com/books?id=Tm0FAAAAQAAJ&pg=PA54 at page 54. โดยกล่าวด้วยว่า "นี้คือการแสดงวิธีแบบเดียวกันกับกระบวนการของการแบ่งแยกไม่ได้อีกต่อไป" ด้วยเหตุนี้ในยุคปัจจุบัน ''Principia'' จึงถูกเรียกว่าเป็น "หนังสือที่อัดแน่นด้วยทฤษฏีและการประยุกต์ใช้แคลคูลัสกณิกนันต์"Clifford Truesdell, ''Essays in the History of Mechanics'' (Berlin, 1968), at p.99. และ "lequel est presque tout de ce calcul" ("แทบทุกสิ่งอย่างเกี่ยวกับแคลคูลัส") ในยุคของนิวตันอยู่ในบทนำของหนังสือของ Marquis de L'Hospital's ''Analyse des Infiniment Petits'' (Paris, 1696). การใช้กระบวนวิธีเช่นนี้ของเขาที่เกี่ยวข้องกับ "จำนวนกณิกนันต์หนึ่งอันดับหรือมากกว่านั้น" ได้แสดงไว้ในงานเขียน ''De motu corporum in gyrum'' ของเขาเมื่อปี 1684เริ่มต้นด้วย De motu corporum in gyrum#Contents|De motu corporum in gyrum, ดูเพิ่มที่ http://books.google.com/books?id=uvMGAAAAcAAJ&pg=RA1-PA2 (Latin) Theorem 1. และในงานเขียนเกี่ยวกับการเคลื่อนที่ที่เขียนขึ้น "ระหว่าง 2 ทศวรรษก่อนปี 1684"D T Whiteside (1970), "The Mathematical principles underlying Newton's Principia Mathematica" in ''Journal for the History of Astronomy'', vol.1, pages 116–138, especially at pages 119–120. นิวตันลังเลในการเผยแพร่แคลคูลัสของเขาก็เพราะเขากลัวข้อโต้แย้งและคำวิพากษ์วิจารณ์Stewart 2009, p.107 เขาเคยสนิทสนมกับนักคณิตศาสตร์ชาวสวิส นีกอลา ฟาซีโย เดอ ดุยเย ครั้นปี 2234 ดุยเยเริ่มต้นเขียน ''Principia'' ของนิวตันขึ้นในรูปแบบใหม่ และติดต่อกับไลบ์นิทซ์Westfall 1980, pp 538–539 มิตรภาพระหว่างดุยเยกับนิวตันเริ่มเสื่อมลงตั้งแต่ปี 2236 และหนังสือนั้นก็เลยเขียนไม่เสร็จ สมาชิกราชสมาคมแห่งลอนดอนหลายคน (สมาคมซึ่งนิวตันเป็นสมาชิกอยู่ด้วย) เริ่มกล่าวหาไลบ์นิทซ์ว่าโจรกรรมทางวรรณกรรม|ลอกเลียนผลงานของนิวตันในปี พ.ศ. 2242 ข้อโต้แย้งรุนแรงขึ้นถึงขั้นแตกหักในปี 2254 เมื่อทางราชสมาคมฯ ประกาศในงานศึกษาชิ้นหนึ่งว่า นิวตันคือผู้ค้นพบแคลคูลัสที่แท้จริง และตราหน้าไลบ์นิทซ์ว่าเป็นจอมหลอกลวง งานศึกษาชิ้นนั้นกลายเป็นที่เคลือบแคลงสงสัยเมื่อพบในภายหลังว่าตัวนิวตันนั่นเองที่เป็นคนเขียนบทสรุปของงานโดยเฉพาะส่วนที่เกี่ยวกับไลบ์นิทซ์ ข้อขัดแย้งในเรื่องนี้กลายเป็นรอยด่างพร้อยในชีวิตของทั้งนิวตันและไลบ์นิทซ์ตราบจนกระทั่งไลบ์นิทซ์เสียชีวิตในปี พ.ศ. 2259Ball 1908, p. 356ff นิวตันได้รับยกย่องโดยทั่วไปเนื่องจากทฤษฎีบททวินามที่ใช้ได้สำหรับเลขยกกำลังใดๆ เขาเป็นผู้ค้นพบ Newton's identities, Newton's method, เส้นโค้งกำลังสามบนระนาบ (พหุนามกำลังสามในตัวแปรสองตัว) เขามีส่วนอย่างสำคัญต่อทฤษฎี finite differences, และเป็นคนแรกที่ใช้เลขชี้กำลังที่ไม่เป็นจำนวนเต็ม และนำเรขาคณิตเชิงพิกัดมาใช้หาคำตอบจากสมการไดโอแฟนทีน เขาหาค่าผลบวกย่อยโดยประมาณของอนุกรมฮาร์โมนิกได้โดยใช้ลอการิทึม (ก่อนจะมีสมการผลรวมของออยเลอร์) และเป็นคนแรกที่ใช้อนุกรมกำลังและพิจารณาอนุกรมแปลงกลับของอนุกรมกำลัง (reverse power series) งานของนิวตันเกี่ยวกับอนุกรมอนันต์ได้รับแรงบันดาลใจจากเลขทศนิยมของไซมอน สเตวิน (Simon Stevin) นิวตันได้รับแต่งตั้งให้เป็นศาสตราจารย์ลูเคเชียนด้านคณิตศาสตร์เมื่อปี พ.ศ. 2212 โดยการเสนอชื่อของแบร์โรว์ ซึ่งในวันรับตำแหน่งนั้น ผู้รับตำแหน่งที่เป็นภาคีสมาชิกของเคมบริดจ์หรือออกซฟอร์ดจะต้องบวชเข้าเป็นพระในนิกายแองกลิกัน อย่างไรก็ดี ตำแหน่งศาสตราจารย์ลูเคเชียนนี้ไม่ได้บังคับว่าผู้รับตำแหน่งจะต้องปฏิบัติหน้าที่ทางศาสนา (คาดว่าคงเพราะต้องการให้มีเวลาเพื่อวิทยาศาสตร์มากกว่า) นิวตันจึงยกเป็นข้ออ้างว่าตนไม่จำเป็นต้องบวช และได้รับพระราชานุญาตจากพระเจ้าชาลส์ที่ 2 แห่งอังกฤษไฟล์:NewtonsTelescopeReplica.jpg|thumb|แบบจำลองจากกล้องโทรทรรศน์สะท้อนแสงตัวที่สองของนิวตัน ซึ่งเขานำเสนอต่อราชสมาคมแห่งลอนดอนในปี 1672 ช่วงปี 2213-2215 นิวตันสอนวิชาทัศนศาสตร์ ในระหว่างช่วงเวลานี้ เขาศึกษาเรื่องการหักเหของแสง โดยแสดงให้เห็นว่า ปริซึม (ทัศนศาสตร์)|ปริซึมสามารถแตกแสงขาวให้กลายเป็นสเปกตรัมของแสงได้ และถ้ามีเลนส์กับปริซึมอีกแท่งหนึ่งจะสามารถรวมแสงสเปกตรัมหลายสีกลับมาเป็นแสงขาวได้Ball 1908, p. 324 นักวิชาการยุคใหม่เปิดเผยว่างานวิเคราะห์แสงขาวของนิวตันนี้เป็นผลมาจากวิชาเล่นแร่แปรธาตุเชิงลัทธินิยมคอร์พัสคิวลาร์|คอร์พัสคิวลาร์William R. Newman, "Newton's Early Optical Theory and its Debt to Chymistry," in Danielle Jacquart and Michel Hochmann, eds., ''Lumière et vision dans les sciences et dans les arts'' (Geneva: Droz, 2010), pp. 283-307. A free access online version of this article can be found at http://webapp1.dlib.indiana.edu/newton/html/Newton_optics-alchemy_Jacquart_paper.pdf the ''Chymistry of Isaac Newton'' project เขายังแสดงให้เห็นว่า แสงที่มีสีจะไม่เปลี่ยนคุณสมบัติไปไม่ว่าจะถูกกระจายลำแสงออกส่องไปยังพื้นผิววัตถุใดๆ ก็ตาม นิวตันให้ข้อสังเกตว่า ไม่ว่าแสงนั้นจะสะท้อน กระจาย หรือเคลื่อนผ่านอะไร มันก็ยังคงเป็นสีเดิมอยู่นั่นเอง นอกจากนี้เขาสังเกตว่า สีนั้นคือผลลัพธ์จากการที่วัตถุมีปฏิกิริยากับแสงที่มีสีอยู่แล้ว ไม่ใช่ว่าวัตถุนั้นสร้างสีของมันออกมาเอง แนวคิดนี้รู้จักในชื่อ ทฤษฎีสีของนิวตัน (Newton's theory of colour)Ball 1908, p. 325 == เกียรติคุณและอนุสรณ์ == ไฟล์:Isaac Newton grave in Westminster Abbey.jpg|thumb|200px|ที่ฝังศพนิวตันในมหาวิหารเวสต์มินสเตอร์ ไฟล์:Isaac Newton statue.jpg|thumb|200px|อนุสาวรีย์นิวตันที่ พิพิธภัณฑ์ประวัติศาสตร์ธรรมชาติ มหาวิทยาลัยออกซฟอร์ด นักคณิตศาสตร์ชาวฝรั่งเศส โฌแซ็ฟ-หลุยส์ ลากร็องฌ์ มักพูดบ่อยๆ ว่านิวตันเป็นอัจฉริยะที่ยิ่งใหญ่ที่สุดที่เคยมีมา มีอยู่ครั้งหนึ่งเขากล่าวว่า นิวตันนั้น "โชคดีที่สุด เพราะเราไม่อาจค้นพบระบบของโลกได้มากกว่า 1 ครั้ง"Fred L. Wilson, ''History of Science: Newton'' citing: Delambre, M. "Notice sur la vie et les ouvrages de M. le comte J. L. Lagrange," ''Oeuvres de Lagrange'' I. Paris, 1867, p. xx. กวีชาวอังกฤษ อเล็กซานเดอร์ โพพ ได้รับแรงบันดาลใจจากความสำเร็จของนิวตัน และเขียนบทกวีที่โด่งดังมาก ดังนี้: แม้โดยทางบุคลิกภาพแล้ว นิวตันจะไม่ใช่คนถ่อมตัวนัก แต่นิวตันก็มีมารยาทพอที่จะถ่อมตัวกับความสำเร็จของตัวเอง ครั้งหนึ่งเขาเขียนจดหมายถึงรอเบิร์ต ฮุก ในเดือนกุมภาพันธ์ พ.ศ. 2219 ว่า: อย่างไรก็ดี นักเขียนบางคนเชื่อว่า ถ้อยคำข้างต้นซึ่งเขียนขึ้นในช่วงเวลาที่นิวตันกับฮุกกำลังมีปัญหาขัดแย้งกันเกี่ยวกับการค้นพบเรื่องแสง น่าจะเป็นการตอบโต้ฮุก (โดยว่าเป็นถ้อยคำที่ทั้งสั้นและห้วน) มากกว่าจะเป็นการถ่อมตนJohn Gribbin (2002) ''Science: A History 1543-2001'', p 164.White 1997, p187. วลี "ยืนบนบ่าของยักษ์" อันโด่งดังตีพิมพ์ในคริสต์ศตวรรษที่ 17 โดยกวีชื่อ จอร์จ เฮอร์เบิร์ต (อดีตโฆษกมหาวิทยาลัยเคมบริดจ์ และภาคีสมาชิกของวิทยาลัยทรินิตี้) ในงานเขียนเรื่อง ''Jacula Prudentum'' (1651) มีความหมายหลักคือ "คนแคระที่ยืนบนบ่าของยักษ์ จะมองเห็นได้ไกลกว่าที่แต่ละคนมอง" ผลกระทบในที่นี้จึงน่าจะเป็นการเปรียบเปรยว่าตัวนิวตันนั่นเองที่เป็น "คนแคระ" ไม่ใช่ฮุก มีบันทึกในช่วงหลัง นิวตันเขียนว่า: นิวตันยังคงมีอิทธิพลต่อนักวิทยาศาสตร์มาตลอด เห็นได้จากการสำรวจความคิดเห็นสมาชิกราชสมาคมแห่งลอนดอน (ซึ่งนิวตันเคยเป็นประธาน) เมื่อปี พ.ศ. 2548 โดยถามว่า ใครเป็นผู้มีอิทธิพลยิ่งใหญ่ต่อประวัติศาสตร์แห่งวิทยาศาสตร์มากกว่ากันระหว่างนิวตันกับไอน์สไตน์ นักวิทยาศาสตร์แห่งราชสมาคมฯ ให้ความเห็นโดยส่วนใหญ่แก่นิวตันมากกว่า ปี พ.ศ. 2542 มีการสำรวจความคิดเห็นจากนักฟิสิกส์ชั้นนำของโลกปัจจุบัน 100 คน ลงคะแนนให้ไอน์สไตน์เป็น "นักฟิสิกส์ผู้ยิ่งใหญ่ตลอดกาล" โดยมีนิวตันตามมาเป็นอันดับสอง ในเวลาใกล้เคียงกันมีการสำรวจโดยเว็บไซต์ PhysicsWeb ให้คะแนนนิวตันมาเป็นอันดับหนึ่งOpinion poll. Einstein voted "greatest physicist ever" by leading physicists; Newton runner-up: BBC news, Monday, 29 November 1999, http://news.bbc.co.uk/2/hi/science/nature/541840.stm News.bbc.co.uk === อนุสรณ์ === อนุสาวรีย์นิวตัน (2274) ตั้งอยู่ในมหาวิหารเวสต์มินสเตอร์ ด้านทิศเหนือของทางเดินสู่เวทีนักร้องของโบสถ์ ใกล้กับที่ฝังศพของเขา ศิลปินผู้แกะสลักคือ ไมเคิล ไรส์แบร็ค (2237-2313) ทำด้วยหินอ่อนสีขาวและเทา ออกแบบโดยสถาปนิก วิลเลียม เคนท์ เป็นรูปปั้นนิวตันกำลังนอนเอนอยู่เหนือหีบศพ ศอกขวาตั้งอยู่บนหนังสือสำคัญหลายเล่มของเขา มือซ้ายชี้ไปยังม้วนหนังสือที่ออกแบบในเชิงคณิตศาสตร์ เหนือร่างเขาเป็นพีระมิดกับโดมท้องฟ้า แสดงสัญลักษณ์จักรราศีและเส้นทางเดินของดาวหางใหญ่แห่งปี 2223 ด้านข้างมียุวเทพกำลังใช้เครื่องมือหลายอย่างเช่นกล้องโทรทรรศน์และปริซึม == หมายเหตุ == == อ้างอิง == == บรรณานุกรม == * * This well documented work provides, in particular, valuable information regarding Newton's knowledge of Patristics * * * * * * * * == แหล่งข้อมูลอื่น == * http://www.newtonproject.ic.ac.uk/ The Newton Project - รวบรวมประวัติและผลงานของนิวตันในทุกสาขา * http://scienceworld.wolfram.com/biography/Newton.html ScienceWorld biography โดย Eric Weisstein * http://www.chlt.org/sandbox/lhl/dsb/page.50.a.php Dictionary of Scientific Biography * http://www.newtonproject.sussex.ac.uk/prism.php?id=1 The Newton Project * http://www.isaacnewton.ca/ The Newton Project - Canada * https://web.archive.org/web/20080629021908/http://www.skepticreport.com/predictions/newton.htm Rebuttal of Newton's astrology (via archive.org) * http://www.galilean-library.org/snobelen.html Newton's Religious Views Reconsidered * http://www.pierre-marteau.com/editions/1701-25-mint-reports.html Newton's Royal Mint Reports * http://www.pbs.org/wgbh/nova/newton/ Newton's Dark Secrets Nova (TV series)|NOVA TV programme * จากสารานุกรมปรัชญาของสแตนฟอร์ด: ** http://plato.stanford.edu/entries/newton/ Isaac Newton, โดย จอร์จ สมิธ ** http://plato.stanford.edu/entries/newton-principia/ Newton's Philosophiae Naturalis Principia Mathematica, โดย จอร์จ สมิธ ** http://plato.stanford.edu/entries/newton-philosophy/ Newton's Philosophy, โดย แอนดรูว์ จาเนียค ** http://plato.stanford.edu/entries/newton-stm/ Newton's views on space, time, and motion, โดย Robert Rynasiewicz * http://www.tqnyc.org/NYC051308/index.htm Newton's Castle Educational material * http://www.dlib.indiana.edu/collections/newton The Chymistry of Isaac Newton งานวิจัยเกี่ยวกับงานเขียนของนิวตันเรื่องการเล่นแร่แปรธาตุ * http://www.fmalive.com/ FMA Live! Program for teaching Newton's laws to kids * http://www.adherents.com/people/pn/Isaac_Newton.html Newton's religious position * http://hss.fullerton.edu/philosophy/GeneralScholium.htm The "General Scholium" to Newton's Principia * Kandaswamy, Anand M. http://www.math.rutgers.edu/courses/436/Honors02/newton.html ''The Newton/Leibniz Conflict in Context'' * http://www.phaser.com/modules/historic/newton/index.html Newton's First ODE  – การศึกษาว่าด้วยวิธีที่นิวตันประมาณการผลลัพธ์ของการแก้สมการอันดับที่หนึ่งโดยใช้อนุกรมอนันต์ * http://www.ltrc.mcmaster.ca/newton/ The Mind of Isaac Newton สื่อภาพ เสียง แอนิเมชั่น และสื่ออินเตอร์แอคทีฟอื่นๆ * http://www.enlighteningscience.sussex.ac.uk/home Enlightening Science วิดีโอเกี่ยวกับชีวประวัติของนิวตัน ทัศนศาสตร์ ฟิสิกส์ และมุมมองของเขาเกี่ยวกับวิทยาศาสตร์และศาสนา * http://www-history.mcs.st-andrews.ac.uk/Mathematicians/Newton.html ชีวประวัติของนิวตัน (มหาวิทยาลัยเซนต์แอนดรูว์ส) หมวดหมู่:ไอแซก นิวตัน| หมวดหมู่:นักดาราศาสตร์ชาวอังกฤษ หมวดหมู่:นักฟิสิกส์ชาวอังกฤษ หมวดหมู่:นักคณิตศาสตร์ชาวอังกฤษ หมวดหมู่:ภาคีสมาชิกราชสมาคมแห่งลอนดอน หมวดหมู่:บุคคลจากมหาวิทยาลัยเคมบริดจ์ หมวดหมู่:เซอร์ หมวดหมู่:อัศวินแห่งอังกฤษ
ไอแซก นิวตัน
ไฟล์:Poul_anderson.jpg|thumb '''พอล แอนเดอร์สัน''' (; 25 พฤศจิกายน พ.ศ. 2469 – 31 กรกฎาคม พ.ศ. 2544) เป็นนักเขียนนิยายวิทยาศาสตร์ที่มีผลงานเป็นจำนวนมาก ในช่วงยุคทองของนิยายวิทยาศาสตร์ ในช่วงแรกของการตีพิมพ์ผลงาน เขาใช้นามแฝงหลายชื่อ ได้แก่ "A. A. Craig", "Michael Karageorge" และ "Winston P. Sanders" นอกจากเรื่องแนววิทยาศาสตร์แล้ว พอล แอนเดอร์สัน ยังเขียนเรื่องแนวแฟนตาซีอีกด้วย เช่น เรื่องชุด the King of Ys แอนเดอร์สัน เกิดเมื่อ 25 พฤศจิกายน พ.ศ. 2469 (ค.ศ. 1926) ที่ Bristol เพนซิลเวเนีย สหรัฐ ถึงแก่กรรมเมื่อ 31 กรกฎาคม พ.ศ. 2544 หมวดหมู่:นักเขียนบันเทิงคดีแนววิทยาศาสตร์ หมวดหมู่:ชาวอเมริกันเชื้อสายเดนมาร์ก
พอล แอนเดอร์สัน
'''โรเบิร์ต เอ. ไฮน์ไลน์''' () นักเขียนนิยายวิทยาศาสตร์ชาวอเมริกัน มักถูกเรียกขานว่า "ประธานนักเขียนนิยายวิทยาศาสตร์" (dean of science fiction writers) นับว่าเป็นนักเขียนนิยายวิทยาศาสตร์ที่มีชื่อเสียงและทรงอิทธิพลมากคนหนึ่ง ไฮน์ไลน์ กับ ไอแซค อสิมอฟ และ อาเทอร์ ซี. คลาร์ก ได้รับยกย่องว่าเป็น "Big Three" หรือพี่ใหญ่ทั้งสามแห่งวงการนิยายวิทยาศาสตร์Robert J. Sawyer. http://www.sfwriter.com/rmdeatho.htm The Death of Science Fictionhttp://www.heinleinsociety.org/pressreleases/clarkeheinleinaward.html Sir Arthur Clarke Named Recipient of 2004 Heinlein Award . Heinlein Society Press Release. May 22, 2004. == ผลงาน == * เขามาจากดาวอังคาร|Stranger in a strange land (ได้ Hugo) - นิยายไซไฟที่ดังที่สุดในอเมริกาของไฮน์ไลน์ เป็นเรื่องราวออกแนวศาสนา เคยแปลในชื่อไทยว่า "เขามาจากดาวอังคาร" หลายสิบปีมาแล้ว แต่ฉบับแปลได้ทอนเนื้อหาออกไปมากทีเดียว * จันทราปฏิวัติ|The moon is a harsh mistress (ได้ Hugo) - แปลในชื่อไทยว่า จันทราปฏิวัติ / สนพ. ask media เรื่องออกแนว political sci-fi เกี่ยวกับการปฏิวัติของชาวจันทราเพื่อปลดแอกตนออกจากโลก * ทวิดารา|Double star (ได้ Hugo) - เป็นเรื่องออกแนว political sci-fi เช่นเดียวกับจันทราปฏิวัติ * Starship troopers (ได้ Hugo) - อีกเรื่องที่ดังมากๆ และถูกนำไปทำเป็นหนัง hollywood เนื้อเรื่องออกแนว military sci-fi * ลุยอุตลุดไปกับชุดอวกาศ|Have space suit - will travel - แปลในชื่อไทยว่า ลุยอุตลุดไปกับชุดอวกาศ / สนพ. ask media ไฮน์ไลน์เขียนเรื่องแนวตะลุยอวกาศไว้หลายเรื่อง ซึ่งตัวเรื่องจะออกแนวเด็กกว่าแนวอื่นๆ ในนิยายของไฮน์ไลน์หลายๆ เรื่อง ได้ประดิษฐ์สำนวนที่ดังๆ และถูกใช้กันจนกลายเป็นสำนวนธรรมดา เช่น TANSTAAFL (there ain't no such thing as a free lunch) จากเรื่อง จันทราปฏิวัติ เป็นต้น == อ้างอิง == หมวดหมู่:นักเขียนบันเทิงคดีแนววิทยาศาสตร์ หมวดหมู่:นักเขียนชาวอเมริกัน หมวดหมู่:บุคคลจากรัฐมิสซูรี
โรเบิร์ต เอ. ไฮน์ไลน์
ไฟล์:Aldous Huxley psychical researcher.png|thumb|225px|อัลดัส ฮักซลีย์ '''อัลดัส เลโอนาร์ด ฮักซลีย์''' (, 26 กรกฎาคม พ.ศ. 2437 (ค.ศ. 1894) - 22 พฤศจิกายน พ.ศ. 2506 (ค.ศ. 1963)) เป็นนักเขียนชาวอังกฤษ ที่อพยพไปสหรัฐอเมริกา เขาเป็นสมาชิกของจูเลียน ฮักซลีย์|ครอบครัวฮักซลีย์อันโด่งดัง ที่มีนักคิดทางวิทยาศาสตร์หลายคน แม้จะเป็นที่รู้จักจากนวนิยายและความเรียงที่มีเนื้อหากว้างขวาง เขายังพิมพ์เรื่องสั้น, บทกวี และงานเขียนเชิงท่องเที่ยว ฮักซลีย์วิเคราะห์และวิพากษ์วิจารณ์ขนบธรรมเนียม ค่านิยม และแนวคิดของสังคม รวมถึงการประยุกต์ใช้วิทยาศาสตร์ในทางที่ไม่ถูกต้องผ่านงานเขียนของเขา ในขณะที่สิ่งที่เขาสนใจในช่วงต้นอาจมองว่าเป็นแนว "มนุษย์นิยม" แต่ที่สุดแล้ว เขากลับมาสนใจเกี่ยวกับเรื่องราวทาง "จิตวิญญาณ" เช่นเรื่องเกี่ยวกับจิตวิทยาเหนือคำอธิบาย และปรัชญาที่วางอยู่บนรากฐานของความเชื่อทางจิตวิญญาณ ซึ่งเขาก็ได้เขียนเกี่ยวกับเรื่องเหล่านี้เช่นกัน ในช่วงท้ายของชีวิต เขาถูกจัดให้เป็น "ผู้นำของความคิดสมัยใหม่" โดยกลุ่มคนบางกลุ่ม == ผลงาน == * Brave New World (แปลเป็นไทยในชื่อ โลกวิไลซ์) หมวดหมู่:นักเขียน หมวดหมู่:ชาวอังกฤษ หมวดหมู่:นักเขียนชาวอังกฤษ|อัลดัส ฮักซลีย์ หมวดหมู่:นักเขียนบันเทิงคดีแนววิทยาศาสตร์|อัลดัส ฮักซลีย์
อัลดัส ฮักซลีย์
Infobox person | name = ทอมัส เอดิสัน | image = Thomas Edison.jpg | imagesize = 220px | caption = | birth_name = ทอมัส แอลวา เอดิสัน | birth_date = | birth_place = โอไฮโอ สหรัฐอเมริกา | death_date = | death_place = เวสต์ออเรนจ์ รัฐนิวเจอร์ซีย์ | occupation = นักธุรกิจ | education = ลาออกจากโรงเรียน | nationality = อเมริกัน | spouse = | religion = Deism|Deist | partner = | children = Marion Estelle Edison (1873–1965)Thomas Alva Edison Jr. (1876–1935)William Leslie Edison (1878–1937)Madeleine Edison (1888–1979)Charles Edison (1890–1969)Theodore Miller Edison (1898–1992) | parents = Samuel Ogden Edison, Jr. (1804–1896)Nancy Matthews Elliott (1810–1871) | relatives = Lewis Miller (philanthropist)|Lewis Miller (father-in-law) | signature = Thomas Alva Edison Signature.svg | website = | footnotes = ไฟล์:A day with Thomas A. Edison.webm|thumb|thumbtime=1|upright=1.1|''A Day with Thomas Edison'' (1922) '''ทอมัส แอลวา เอดิสัน''' () เป็นนักประดิษฐ์และนักธุรกิจชาวอเมริกัน ผู้ซึ่งประดิษฐ์อุปกรณ์ที่สำคัญต่าง ๆ มากมาย ได้ฉายา "พ่อมดแห่งเมนโลพาร์ก (แก้ความกำกวม)|เมนโลพาร์ก" เป็นหนึ่งในผู้ริเริ่มนำหลักการของ การผลิตจำนวนมาก และ กระบวนการประดิษฐ์ มาประยุกต์รวมกัน ทอมัส เอดิสัน มักจะถูกเข้าใจผิดว่าเป็นผู้คิดค้นหลอดไฟ แต่ในความเป็นจริงเขาเป็นบุคคลแรกที่จดสิทธิบัตรในการประดิษฐ์หลอดไฟจากนักวิทยาศาสตร์กว่า 20 คนที่คิดค้นหลอดไฟ และสามารถนำมาทำเป็นธุรกิจได้ เอดิสันยังคงเป็นหนึ่งในผู้ก่อตั้งบริษัทเจเนอรัลอิเล็กทริก (General Electric) บริษัทเครื่องใช้ไฟฟ้าขนาดใหญ่ของโลก และก่อตั้งอีกหลายบริษัทในด้านไฟฟ้า หนึ่งในบริษัทของเอดิสันยังเป็นผู้คิดค้นเก้าอี้ไฟฟ้าสำหรับประหารชีวิตนักโทษอีกด้วย เอดิสันยังคงเป็นบุคคลสำคัญในสงครามกระแสไฟฟ้า (War of Currents) โดยเอดิสันพยายามผลักดันระบบไฟฟ้ากระแสตรงของบริษัท แข่งกับระบบไฟฟ้ากระแสสลับของจอร์จ เวสติงเฮาส์ (George Westinghouse) โดยพนักงานในบริษัทของเขาได้โฆษณาชวนเชื่อความอันตรายของไฟฟ้ากระแสสลับโดยการฆ่าหมาแมวเป็นจำนวนหลายตัวอีกเช่นกัน == เอดิสันในวัยเด็ก== ไฟล์:Young Thomas Edison.jpg|thumb|เอดิสันในวัยเด็ก ไฟล์:Edison and phonograph edit1.jpg|thumb|เอดิสันใน ค.ศ. 1877 ไฟล์:HABS OHIO,22-MILA,1-1.jpg|thumb|บ้านเกิดของเอดิสัน ทอมัส เอดิสัน เกิดเมื่อวันที่ 11 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2390|ค.ศ. 1847 เขาเป็นลูกคนที่ 7 และคนสุดท้าย โดยตัวเอดิสันเองมีเชื้อสายดัตช์ ในช่วงที่อยู่ในโรงเรียน เอดิสัน เป็นโรงเรียนเล็ก ๆ ในโบสถ์ มีนักเรียนเพียง 48 คน มีครูเพียงสองคนคือ นายและนางเอ็งเกิล (Engle) แต่ด้วยความที่เอดิสันมีนิสัยสนใจในสิ่งรอบตัว ไม่ใช่เนื้อหาในตำราคร่ำครึ สิ่งที่เขาสนใจถามครูจึงไม่ใช่เรื่องที่ครูสอน แต่เป็นเรื่องนอกตำรา นายและนางเอ็งเกิล จึงมักเรียกเขาว่าเป็นเด็กที่หัวขี้เลื่อย เมื่อมารดาทราบเรื่อง จึงไปพูดคุยกับคุณครูที่โรงเรียน หลังการพูดคุย เอดิสันต้องออกจากโรงเรียน โดยมารดาของเขาจะเป็นผู้สอนเอดิสันด้วยตนเอง หลังจากเข้าโรงเรียนได้ 3 เดือนเท่านั้น เอดิสันชื่นชอบหนังสือนอกเวลาเล่มหนึ่งซึ่งมีภาพและเนื้อหาการทดลองทางวิทยาศาสตร์ที่ผู้อ่านทดลองเองได้ เขามีความสนใจที่จะทำการทดลองในหนังสือ ใน ค.ศ. 1857 พ่อและแม่ของเขาจึงสร้างห้องใต้ดินเพื่อให้เอดิสันได้ทำการทดลองต่าง ๆ ในหนังสือ และเขาก็ได้ทำการทดลองมากมายในห้องใต้ดินนั้น เอดิสันมีปัญหาด้านการได้ยินเป็นผลมาจากไข้ดำแดงที่เขาเป็นในช่วงวัยเด็กและไม่ได้รับการรักษา ทำให้หูชั้นในของเขาติดเชื้อทำให้เขามีลักษณะเกือบจะเป็นหูหนวก ต่อมาในขณะที่ได้ทำการทดลองในรถไฟและทำให้เกิดเพลิงไหม้ในรถไฟ เขาถูกพนักงานรถไฟตบเข้าที่หูทำให้หูเขาใช้การไม่ได้ และถูกโยนออกมาจากรถไฟพร้อมกับเครื่องมือและสารเคมีต่าง ๆ ของเขา ซึ่งเขาเองได้บอกกับผู้อื่นว่าหูของเขามีปัญหา เนื่องจากเขาได้ร่วมงานกับพนักงานรถไฟในการขับเคลื่อนตัวรถ แต่พนักงานรถไฟดึงหูของเขาทำให้เขาประสบอุบัติเหตุ"Edison" by Matthew Josephson. McGraw Hill, New York, 1959, ISBN 978-0-07-033046-7"Edison: Inventing the Century" by Neil Baldwin, University of Chicago Press, 2001, ISBN 978-0-226-03571-0 ครอบครัวของเอดิสันได้ย้ายมายังเมืองพอร์ตฮิวรอนในรัฐมิชิแกนหลังจากที่ทางรถไฟสายใหม่ได้ตัดทางลัดและไม่ผ่านเมืองไมเลินที่เขาอาศัยอยู่ ทำให้ธุรกิจของที่บ้านเริ่มซบเซาลงJosephson, p 18 เขาได้เริ่มขายลูกอม หนังสือพิมพ์ และผักบนรถไฟจากพอร์ตฮิวรอนที่วิ่งมายังเมืองดีทรอยต์ เขาได้ทำการศึกษาการวิเคราะห์เชิงคุณภาพ และการทดสอบทางเคมีหลายอย่างในระหว่างที่ทำงานอยู่ในรถไฟ จนกระทั่งเกิดอุบัติเหตุและถูกไล่ลงจากรถไฟ เมื่อเขาสิทธิในการขายหนังสือพิมพ์บนถนน เขาได้พิมพ์หนังสือพิมพ์ในชื่อ แกรนด์ทรังก์เฮรัลด์ (Grand Trunk Herald) ด้วยความช่วยเหลือจากพนักงานอีก 4 คน ซึ่งเขาได้ขายหนังสือพิมพ์ของเขาพร้อมกับหนังสือพิมพ์ฉบับอื่น ซึ่งจุดนี้เป็นจุดเริ่มต้นของการเจ้าของธุรกิจของเขาที่เขาได้เริ่มต้นการเป็นนักธุรกิจ ที่สุดท้ายทำให้เขามีบริษัท 14 แห่ง รวมไปถึง เจเนอรัลอิเล็กทริก บริษัทมหาชนด้านไฟฟ้าขนาดใหญ่ของโลก == ประวัติด้านอื่น == ค.ศ. 1863 เอดิสันเข้าเป็นพนักงานส่งโทรเลข เขาเปลี่ยนบริษัทบ่อยมาก ในปีเดียว เขาเปลี่ยนบริษัททำงานถึง 4 ครั้ง ตามสถานที่ต่าง ๆ ในอเมริกาและแคนาดา ค.ศ. 1864 เขาประดิษฐ์เครื่องบันทึกการนับคะแนน และยื่นขอจดสิทธิบัตร แต่เครื่องนั้นไม่ได้ถูกนำไปใช้งาน ค.ศ. 1869 เขาเดินทางไปยังนิวยอร์ก และเปิดบริษัทวิศวกรไฟฟ้าขึ้น บริษัทนี้ถือว่าประสบความสำเร็จ เจริญรุ่งเรือง ค.ศ. 1871 สร้างอาคารซึ่งเปิดเป็นโรงงานและศูนย์วิจัยในตัวขึ้นและในปีนั้น เขาพบรักและแต่งงานกับ แมรี สติลเวลล์ (Mary Stilwell) ผู้มีอายุน้อยกว่าเอดิสันถึง 8 ปี และ ในปีนั้น แนนซีผู้เป็นมารดาของเอดิสัน เสียชีวิตลงในวัย 61 ปี ค.ศ. 1876 สร้างอาคารโรงงานและศูนย์วิจัยใหม่ที่เมนโลพาร์ก (Menlo Park) รัฐนิวเจอร์ซีย์ และเริ่มลงมือประดิษฐ์โทรศัพท์ แต่ (อเล็กซานเดอร์ เกรแฮม เบลล์)(North Alexander Graham Bell) คิดค้นขึ้นได้ก่อน ค.ศ. 1877 เอดิสันประดิษฐ์เครื่องบันทึกเสียงขึ้น และฉายา พ่อมดแห่งเมนโลพาร์ก ก็ได้มาจากการที่เขาประดิษฐ์เครื่องบันทึกเสียงนี้ ค.ศ. 1878 เอดิสันเริ่มศึกษาค้นคว้าคิดจะทำหลอดไฟ เพราะไฟส่องสว่างในสมัยนั้นสามารถก่อให้เกิดไฟไหม้ได้ง่าย ค.ศ. 1879 ประดิษฐ์หลอดไฟไส้คาร์บอนสำเร็จ และเริ่มออกแบบสวิตช์เปิด-ปิดหลอดไฟให้ติดตั้งในบ้านเรือนได้ง่าย นับเป็นจุดเริ่มต้นของหลอดไฟบนโลกใบนี้ ค.ศ. 1880 เปลี่ยนไส้หลอดไฟจากคาร์บอนเป็นไม่ไผ่ญี่ปุ่น เพราะหลอดคาร์บอน ส่องสว่างได้นาน 40 ชั่วโมง แต่หลอดไม้ไผ่ญี่ปุ่น ส่องสว่างได้นานถึง 900 ชั่วโมง ค.ศ. 1882 สร้างโรงจ่ายกระแสไฟฟ้าขึ้นที่นิวยอร์ก และเริ่มประกาศเทคโนโลยีหลอดไฟให้เป็นที่รู้จัก ค.ศ. 1883 เขาประดิษฐ์หลอดไฟรุ่นใหม่ที่ใช้ในครัวเรือนทั่วไปได้ ทำให้หลอดไฟแพร่กระจายไปตามจุดต่าง ๆ ของโลกเร็วขึ้น ค.ศ. 1884 แมรี ภรรยาของเขาเสียชีวิตลงด้วยโรคไทฟอยด์ในวัย 29 ปี ค.ศ. 1886 เอดิสันแต่งงานใหม่กับมินา มิลเลอร์ (Mina Miller) ผู้มีอายุน้อยกว่าเอดิสันถึง 19 ปี ค.ศ. 1891 ประดิษฐ์เครื่องถ่ายภาพตัดต่อสำเร็จ บันทึกภาพเคลื่อนไหว ซึ่งนำไปสู่การสร้างภาพยนตร์ ค.ศ. 1893 สร้างโรงถ่ายภาพยนตร์แห่งแรกของโลก ค.ศ. 1894 ภาพเคลื่อนไหวเรื่องแรกของโลกถูกสร้างขึ้น มีชื่อว่า "บันทึกการจาม" แต่ยังไม่มีเสียง ค.ศ. 1896 บิดาของเอดิสันเสียชีวิตลงในวัย 92 ปี และในปีนั้น เอดิสันรู้จักกับ เฮนรี ฟอร์ด (Henry Ford) ซึ่งต่อมาทั้งคู่ก็เป็นเพื่อนซี้กัน ค.ศ. 1898 เริ่มประดิษฐ์แบตเตอรี่ และประดิษฐ์สำเร็จใน ค.ศ. 1909ใช้เวลานานถึง 11 ปี ค.ศ. 1912 เกิดการใช้เครื่องถ่ายภาพตัดต่อและเครื่องบันทึกเสียงพร้อมกัน ทำให้เกิดเป็น "ภาพยนตร์" ที่มีทั้งภาพและเสียง หลังจากนั้น เขาถูกนักข่าวรุมถามเสมอว่า เอดิสันคิดอย่างไรกับการที่คนทั่วไปเรียกเขาว่าอัจฉริยะ เขาตอบว่า '''คำว่าอัจฉริยะในความคิดของผม ประกอบด้วยพรสวรรค์เพียง 1% ส่วนอีก 99% มาจากความพยายาม''' หลังจากนั้น เอดิสันใช้ชีวิตอยู่กับบ้าน และเสียชีวิตในวันที่ 18 ตุลาคม ค.ศ. 1931 ด้วยโรคเบาหวาน และไตวายhttp://guru.sanook.com/history/topic/3522/ทอมัส_แอลวา_เอดิสัน_ยอดนักประดิษฐ์เสียชีวิต/ ทอมัส แอลวา เอดิสัน ยอดนักประดิษฐ์เสียชีวิต ในขณะที่เขามีอายุ 84 ปี ที่เวสต์ออเรนจ์ (West Orange) รัฐนิวเจอร์ซีย์ == ผลงาน == เอดิสัน นั้นกล่าวได้ว่าเป็นนักประดิษฐ์ที่มีผลงานมากที่สุดในยุคนั้น เขามีสิทธิบัตรสิ่งประดิษฐ์ภายใต้ชื่อของเขาเป็นจำนวนถึง 1,093 ชิ้น สิ่งประดิษฐ์เหล่านี้ ส่วนใหญ่ไม่ได้เป็นสิ่งประดิษฐ์ที่เขาคิดค้นขึ้นมาเอง แต่เป็นการพัฒนาจากสิ่งประดิษฐ์ดั้งเดิมที่คิดค้นขึ้นโดยลูกจ้างของเขา เพราะเหตุนี้ทำให้เขาถูกวิพากษ์วิจารณ์อยู่เสมอ ในเรื่องการอ้างผลงานเป็นของตัวแต่ผู้เดียว โดยไม่แบ่งปันให้กับผู้คิดค้นดั้งเดิม นอกจากสิทธิบัตรของเขาซึ่งมีอยู่ทั่วโลกแล้ว เอดิสันก็ยังได้ก่อตั้งบริษัทผลิตภาพยนตร์ ภายใต้ชื่อ ''Edison Trust'' ในความเป็นจริงแล้ว เอดิสันไม่ได้เป็นผู้ริเริ่มประดิษฐ์หลอดไฟฟ้าตามที่คนทั่วไปเข้าใจแต่อย่างใด หลักการของหลอดไฟฟ้าถูกพัฒนามาก่อนหน้านี้โดยนักประดิษฐ์หลายท่าน เช่น จูเซ็ปป์ สวอน (Juseph Swan) หรือ ไฮน์ริช เกอเบิล (Heinrich Goebel) อย่างไรก็ตามเอดิสันได้คำนึงถึงการนำหลอดไฟฟ้าไปใช้งานจริงในชีวิตประจำวันอย่างจริงจัง โดยเอดิสันได้ทำให้อายุการใช้งานของหลอดไฟฟ้ายาวนานพอที่จะนำไปใช้ได้อย่างสะดวกสบายในบ้านเรือนหรือร้านค้า นอกจากนั้นเอดิสันยังได้สร้างระบบผลิตและแจกจ่ายไฟฟ้าอีกด้วย นิตยสารไลฟ์ (Life) ได้ยกย่องให้เอดิสันเป็นหนึ่งใน "100 คนที่สำคัญที่สุดในช่วง 1,000 ปีที่ผ่านมา" == อ้างอิง == == แหล่งข้อมูลอื่น == หมวดหมู่:นักประดิษฐ์ชาวอเมริกัน หมวดหมู่:ชาวอเมริกันเชื้อสายอังกฤษ หมวดหมู่:ชาวอเมริกันเชื้อสายดัตช์ หมวดหมู่:ชาวอเมริกันเชื้อสายแคนาดา หมวดหมู่:ชาวอเมริกันเชื้อสายสกอตแลนด์
ทอมัส เอดิสัน
กล่องข้อมูล ผู้ดำรงตำแหน่ง | name = พระยามโนปกรณ์นิติธาดา | honorific-prefix = ยศข้าราชการทหารและพลเรือนของสยาม|มหาอำมาตย์โท | honorific-suffix = | image = Kon Hutasing.jpg | caption = พระยามโนปกรณ์นิติธาดา ใน พ.ศ. 2473 | order = นายกรัฐมนตรีไทย|นายกรัฐมนตรีสยาม คนที่ 1 | term_start = 10 ธันวาคม พ.ศ. 2475 | term_end = 20 มิถุนายน พ.ศ. 2476 () | monarch = พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว | predecessor = ''ตนเอง'' | successor = พระยาพหลพลพยุหเสนา (พจน์ พหลโยธิน) | order1 = นายกรัฐมนตรีไทย|ประธานคณะกรรมการราษฎร | term_start1 = 28 มิถุนายน | term_end1 = 10 ธันวาคม พ.ศ. 2475 () | monarch1 = พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว | successor1 = ''ตนเอง'' | order2 = รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังของไทย|รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพระคลังมหาสมบัติ | term_start2 = 31 ธันวาคม พ.ศ. 2475 | term_end2 = 29 มิถุนายน พ.ศ. 2476 () | primeminister2 = ''ตนเอง'' | predecessor2 = ''ตนเอง'' | successor2 = เจ้าพระยาศรีธรรมาธิเบศ (จิตร ณ สงขลา) | order3 = รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังของไทย|เสนาบดีกระทรวงพระคลังมหาสมบัติ | monarch3 = พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว | term_start3 = 29 มิถุนายน | term_end3 = 10 ธันวาคม พ.ศ. 2475 () | predecessor3 = พระวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าศุภโยคเกษม | successor3 = ''ตนเอง'' | birth_name = ก้อน | birth_date = | birth_place = จังหวัดพระนคร|เมืองพระนคร มณฑลกรุงเทพ อาณาจักรรัตนโกสินทร์ (สมัยสมบูรณาญาสิทธิราชย์)|ประเทศสยาม (ปัจจุบัน กรุงเทพมหานคร ประเทศไทย) | death_date = | death_place = รัฐปีนัง สหพันธรัฐมาลายา (ปัจจุบัน รัฐปีนัง ประเทศมาเลเซีย) | party = | father = ฮวด หุตะสิงห์ | mother = แพ้ว หุตะสิงห์ | spouse = Plainlist| * * เชย | children = ตุ้ม หุตะสิงห์ | signature = Praya_Manopakornnitithada_Signature.jpg | footnotes = | 1blankname = | 1namedata = | predecessor1 = ''สถาปนาตำแหน่ง'' มหาอำมาตย์โท '''พระยามโนปกรณ์นิติธาดา''' small| (15 กรกฎาคม พ.ศ. 2427 – 1 ตุลาคม พ.ศ. 2491) นามเดิม '''ก้อน หุตะสิงห์''' เป็นขุนนางชาวสยาม ดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีไทย|นายกรัฐมนตรีสยามคนแรกหลังจากการปฏิวัติสยาม พ.ศ. 2475 โดยได้รับเลือกจากสมาชิกคณะราษฎรเพื่อเป็นการประนอมอำนาจกับอำนาจเก่า เป็นผู้มีส่วนสำคัญในการร่างรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรสยาม (พ.ศ. 2475) ซึ่งมีการเพิ่มพระราชอำนาจเป็นอันมากเมื่อเทียบกับพระราชบัญญัติธรรมนูญการปกครองแผ่นดินสยามชั่วคราว พุทธศักราช 2475|รัฐธรรมนูญฉบับชั่วคราวก่อนหน้า นอกจากนี้ ยังรัฐประหารในประเทศสยาม เมษายน พ.ศ. 2476|ยึดอำนาจรัฐบาลตนเองใน พ.ศ. 2476 และเสนอชื่อตนเองเป็นนายกรัฐมนตรี พร้อมให้งดใช้รัฐธรรมนูญดังกล่าวhttps://pridi.or.th/th/content/2023/04/1473 “1 เมษายน 2476 รัฐประหารครั้งแรก ในประวัติศาสตร์การเมืองไทย”https://www.silpa-mag.com/history/article_21957 “รักที่จากไปไกล” ของพระยามโนปกรณ์นิติธาดา นายกฯ คนแรกของไทย ก่อนจะถูกขับจากตำแหน่งนายกรัฐมนตรีในรัฐประหารในประเทศสยาม มิถุนายน พ.ศ. 2476|รัฐประหารตอบโต้จากพระยาพหลพลพยุหเสนา (พจน์ พหลโยธิน)|พระยาพหลพลพยุหเสนา หัวหน้าคณะราษฎรhttps://pridi.or.th/th/content/2023/06/1578 “พระยาพหลพลพยุหเสนา : การยึดอำนาจทวงคืนประชาธิปไตย หลังวิกฤติการณ์ “เค้าโครงการเศรษฐกิจแห่งชาติ”” จึงลี้ภัยไปอยู่รัฐปีนัง|ปีนังจนวาระสุดท้ายของชีวิต == ประวัติ == พระยามโนปกรณ์นิติธาดา (ก้อน หุตะสิงห์) เกิดเมื่อวันที่ 15 กรกฎาคม พ.ศ. 2427 ที่บ้านถนนตรีเพชร ตำบลพาหุรัด จังหวัดพระนคร เป็นบุตรคนสุดท้องของนายฮวด กับนางแพ้ว หุตะสิงห์ ซึ่งทั้งสองเป็นชาวไทยเชื้อสายจีนPreston et al. (1997), p. 464; ''51. Phya Manopakarana Nitidhada. He spoke perfect English and was always very friendly to England. Is three parts Chinese. His wife, who was a favourite lady-in-waiting to the ex-Queen, was killed in a motor accident in 1929 when on an official visit to Indo-China.'' เขาได้เริ่มการศึกษาชั้นต้นโดยเรียนวิชาหนังสือไทยที่วัดราชบูรณะ (วัดเลียบ) เมื่อปี พ.ศ. 2433 เป็นเวลา 4 ปี จึงสอบไล่ได้ประโยค 1 จากนั้นจึงได้เข้าศึกษาต่อที่โรงเรียนสวนกุหลาบวิทยาลัย เป็นเวลา 4 เดือน แล้วจึงเข้าศึกษาต่อวิชาหนังสือไทยที่วัดจักรวรรดิ์จนสอบไล่ได้ประโยค 2 ในปี พ.ศ. 2437 ต่อมาจึงได้เข้าศึกษาต่อวิชาภาษาอังกฤษที่โรงเรียนอัสสัมชัญ เป็นเวลา 4 ปี จนจบชั้นปีที่ 4 และในเดือนกันยายน พ.ศ. 2445 จึงได้เข้าศึกษาต่อวิชากฎหมายที่โรงเรียนกฎหมายกระทรวงยุติธรรม จนสำเร็จเป็นเนติบัณฑิตสยามในปี พ.ศ. 2446นริศรานุวัดติวงศ์, สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ เจ้าฟ้า กรมพระยา, 2406-2490 และ ดำรงราชานุภาพ, สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระยา, 2405-2486 (2492). ''https://digital.library.tu.ac.th/tu_dc/frontend/Info/item/dc:139821 สาส์นสมเด็จ ภาคหนึ่ง พิมพ์ในงานพระราชทานเพลิงศพ มหาเสวกโท พระยามโนปกรณ์นิติธาดา (ก้อน หุตะสิงห์) ณ เมรุวัดมกุฏกษัตริยาราม วันที่ 4 เมษายน พุทธศักราช 2492''. โรงพิมพ์พระจันทร์. ต่อมาเขาได้ทุนเล่าเรียนหลวงไปศึกษาด้านกฎหมายจนสำเร็จเนติบัณฑิตจากสถาบัน The Middle Temple ลอนดอน|กรุงลอนดอน ประเทศอังกฤษ เมื่อปี พ.ศ. 2448 เมื่อสำเร็จเนติบัณฑิตสยามแล้ว ท่านได้เข้ารับราชการในตำแหน่งผู้พิพากษาศาลอุทธรณ์ กระทรวงยุติธรรม จนได้รับพระราชทานบรรดาศักดิ์เป็น “หลวงประดิษฐ์พิจารณ์การ” จนกระทั่งได้เป็น “พระสมุหนิติศาสตร์” และ “พระยามโนปกรณ์นิติธาดา” ในที่สุด พระยามโนปกรณ์นิติธาดา (ก้อน หุตะสิงห์) ได้เข้ารับราชการในตำแหน่งผู้พิพากษาศาลอุทธรณ์ สังกัดกระทรวงยุติธรรม และนอกจากนี้ยังเป็นอาจารย์สอนวิชากฎหมาย ทำให้ท่านมีลูกศิษย์ลูกหามาก ในเวลาต่อมาท่านได้เป็นอธิบดีศาลฎีกา และได้รับความไว้วางพระราชหฤทัยจากพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว ให้ดำรงตำแหน่งองคมนตรีที่ปรึกษาราชการในพระองค์มาตั้งแต่ปี พ.ศ. 2461 ต่อมาขณะเกิดการปฏิวัติสยาม พ.ศ. 2475 พระยามโนปกรณ์นิติธาดา กำลังดำรงตำแหน่งเสนาบดีกระทรวงการคลังในขณะนั้น == บทบาททางการเมือง == พระยามโนปกรณ์นิติธาดา เป็นผู้ที่จบการศึกษาวิชากฎหมายระดับเนติบัณฑิต จากประเทศอังกฤษ เป็นข้าราชการตุลาการผู้ที่ได้ชื่อว่ามือสะอาด ไม่เคยมีเรื่องด่างพร้อยมาตลอดชีวิตการรับราชการ เมื่อมีการปฏิวัติสยาม พ.ศ. 2475|การเปลี่ยนแปลงการปกครอง ท่านได้รับเลือกจากคณะราษฎรโดยนายปรีดี พนมยงค์ ให้ดำรงตำแหน่งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรชุดแรกที่มีด้วยกันทั้งหมด 70 คน ที่มาจากการแต่งตั้ง และได้รับคัดเลือกให้ดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีคนแรกของประเทศ ด้วยหวังว่าท่านจะเป็นคนกลางประสานความเข้าใจระหว่างกลุ่มผู้นิยมการปกครองแบบเก่า และกลุ่มผู้เปลี่ยนแปลงการปกครอง โดยพระยามโนปกรณ์นิติธาดาได้ถูกทาบทามตั้งแต่วันแรกที่มีการเปลี่ยนแปลงการปกครอง แต่ทว่ายังไม่ตอบรับเลยในทันที เพียงแต่ขอเวลาไปตัดสินใจหนึ่งคืน และได้ให้คำตอบรับในเช้าวันถัดมา จากกรณีร่างเค้าโครงเศรษฐกิจ (สมุดปกเหลือง) ของหลวงประดิษฐ์มนูธรรม เขาใช้เล่ห์กลในการปัดเค้าโครงดังกล่าวตกไป และยกพระราชวินิจฉัยของพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว (สมุดปกขาว) ซึ่งไม่มีผู้รับสนองมาอ้าง เขาสมคบกับพระยาทรงสุรเดช (เทพ พันธุมเสน)|พระยาทรงสุรเดช สมาชิกคณะราษฎรที่แยกตัวออกไป ใช้อำนาจของนายกรัฐมนตรีปิดสภา พร้อมงดใช้รัฐธรรมนูญบางมาตรา รวมทั้งได้เนรเทศนายปรีดี พนมยงค์ ไปประเทศฝรั่งเศส และออกลัทธิคอมมิวนิสต์ในประเทศไทย|พระราชบัญญัติป้องกันการกระทำอันเป็นคอมมิวนิสต์เป็นฉบับแรกด้วย นับว่าเป็นรัฐประหารครั้งแรกของไทย และเป็นจุดด่างพร้อยของประชาธิปไตยไทยมาจวบจนปัจจุบัน เหตุการณ์ความขัดแย้งเหล่านี้ ได้บานปลายนำไปสู่การรัฐประหารในประเทศสยาม มิถุนายน พ.ศ. 2476|รัฐประหารในเดือนมิถุนายน พ.ศ. 2476 ที่ พันเอกพระยาพหลพลพยุหเสนา (พจน์ พหลโยธิน)|พระยาพหลพลพยุหเสนา หัวหน้าคณะราษฎรได้รัฐประหารคืน และเนรเทศไปยังรัฐปีนัง|ปีนังด้วยรถไฟ พร้อมกับเรียกตัวนายปรีดีกลับมาจากฝรั่งเศส ซึ่งพระยามโนปกรณ์นิติธาดาก็ได้ใช้ชีวิตในบั้นปลายอยู่ที่ปีนัง ตราบจนถึงแก่อสัญกรรม ชีวิตส่วนตัวชื่นชอบในการเดินป่าและล่าสัตว์ป่า === ครอบครัว === ไฟล์:Phraya Manopakon Nitithada Memoriam Stone at Wat Pathumwanaram 2019 02.jpg|thumb|อนุสาวรีย์นางสี่หน้า หน้าพระวิหารหลวง วัดปทุมวนาราม ไฟล์:Phraya Manopakon Nitithada Memoriam Stone at Wat Pathumwanaram 2019 01.jpg|thumb|อัฐิของพระยามโนปกรณ์นิติธาดาได้บรรจุไว้ในฐานอนุสาวรีย์นางสี่หน้า ซึ่งก่อนหน้านี้ได้บรรจุเถ้าอังคารของคุณหญิงนิตย์ มโนปกรณ์นิติธาดา พระยามโนปกรณ์นิติธาดาสมรสครั้งแรกกับคุณหญิงนิตย์ มโนปกรณ์นิติธาดา (สกุลเดิม สาณะเสน) ธิดาของพระยาวิสูตรโกษา (ฟัก สาณะเสน) กับคุณหญิงสมบุญ วิสูตรโกษา เมื่อวันที่ 12 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2455 คุณหญิงมโนปกรณ์นิติธาดาเข้ารับราชการเป็นนางสนองพระโอษฐ์ในสมเด็จพระนางเจ้ารำไพพรรณี พระบรมราชินี ต่อมาคุณหญิงตามเสด็จพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัวกับสมเด็จพระนางเจ้ารำไพพรรณี พระบรมราชินี เมื่อคราวเสด็จประพาสอาณานิคมอินโดจีนของฝรั่งเศส ระหว่างวันที่ 6 เมษายน - 8 พฤษภาคม พ.ศ. 2473 เพราะคุณหญิงเป็นสามารถสื่อสารภาษาฝรั่งเศส ภาษาอังกฤษ|อังกฤษ ภาษาเยอรมัน|เยอรมัน และภาษาอิตาลี|อิตาลีได้ดี จนเมื่อวันที่ 4 พฤษภาคมนั้น ได้เกิดอุบัติเหตุเมื่อรถยนต์ที่เธอนั่งพุ่งชนเข้ากับเสาโทรเลขจากความประมาทของพลขับOSKNETWORK. http://www.osknetwork.com/modules.php?name=News&file=article&sid=1420 OSK พระยามโนปกรณ์นิติธาดา 'คนนอกคณะราษฎร' นายกรัฐมนตรีคนแรกของสยามประเทศ. เรียกดูเมื่อ 5 กันยายน 2555 ทำให้คุณหญิงมโนปกรณ์นิติธาดาบาดเจ็บสาหัสที่ศีรษะมีบาดแผลฉกรรจ์ ภายหลังคุณหญิงทนพิษบาดแผลไม่ไหวจึงเสียชีวิตลงในเวลา 12.35 น. ของวันที่ 4 พฤษภาคม พ.ศ. 2473 ดังปรากฏใน ''จดหมายเหตุรายวันพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวเสด็จประพาสประเทศอินโดจีน พ.ศ. 2473'' ความว่า "วันนี้ 4 พฤษภาคม พ.ศ. 2473 เกิดเหตุอันน่าสลดใจอย่างยิ่งคือ ประมาณอีก 7 กิโลเมตรจะถึงกัมพงจาม รถยนต์คันที่พระยาสุรวงศ์ฯ คุณหญิงมโนปกรณ์ฯ และคุณวรันดับ บุนนาค นั่งมานั้น โดยความเลินเล่อของคนขับรถชาติญวน รถได้แล่นขึ้นไปบนกองหิน ซึ่งเจ้าหน้าที่กองไว้ริมถนนสำหรับจะทำการซ่อมแซม แล้วตรงไปชนเสาโทรเลข ซึ่งอยู่ข้างหน้าระดับเดียวกับกองหิน รถจึงคว่ำลงในท้องนาริมถนน …ผู้ที่ต้องอันตรายนั้น คือ พระยาสุรวงศ์ฯ คุณหญิงมโนปกรณ์ฯ และคุณวรันดับ สำหรับพระยาสุรวงศ์ฯ และคุณวรันดับ แม้อยู่ภายใต้รถที่คว่ำอยู่ก็ดีหาต้องอันตรายร้ายแรงไม่…ส่วนคุณหญิงมโนปกรณ์ฯ นั้นไม่ได้อยู่ใต้รถด้วย แต่ได้รับบาดเจ็บสาหัสโดยศีรษะฟาดกับเสาโทรเลขหรือถนนหรือรถยนต์ไม่ทราบแน่ถึงกับสลบแน่นิ่งไปทันที แพทย์ตรวจว่ากะโหลกศีรษะแตกตั้งแต่ตอนล่าง พระยาสุรวงศ์ฯ และคนอื่น ๆ ได้จัดการช่วยกันอุ้มขึ้นรถยนต์เพื่อนำไปโรงพยาบาลโดยเร็ว แต่ในขณะที่ข้ามแม่น้ำโขงนั้นคุณหญิงมโนปกรณ์นิติธาดาทนพิษบาดแผลเจ็บไม่ได้ สิ้นชีพเวลา 12.35 น. …" เมื่อพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงร่นระยะเวลาพระราชกรณียกิจ และโปรดให้งดงานรื่นเริงต่าง ๆ ระหว่างการเสด็จประพาสไปเสียสิ้น ข้ารัฐการฝรั่งเศสให้การช่วยเหลือการจัดส่งศพเป็นอย่างดี พระยามโนปกรณ์นิติธาดาเดินทางจากพระนครมารับศพของคุณหญิงที่กัมพูชาด้วยตนเอง พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัวมีรับสั่งผ่านโทรเลขให้กรมรถไฟหลวงจัดรถไฟไปรับที่สถานีรถไฟอรัญประเทศ และมีรับสั่งให้แผนกพระราชพิธีกระทรวงวังเตรียมการศพเป็นกรณีพิเศษ พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัวและสมเด็จพระนางเจ้ารำไพพรรณี พระบรมราชินี ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ รับเป็นเจ้าภาพงานศพ และการพระราชทานเพลิงศพคุณหญิงเป็นงานพิเศษดั่งงานหลวง และโปรดเกล้าให้กรมศิลปากรสร้างอนุสาวรีย์เสาหินรูปหน้านางสี่หน้าเพื่อเก็บอังคารของคุณหญิงที่วัดปทุมวนารามราชวรวิหาร|วัดปทุมวนาราม หลังการเสียชีวิตของคุณหญิงมโนปกรณ์นิติธาดา พระยามโนปกรณ์นิติธาดาจึงใช้ชีวิตคู่กับ เชย หุตะสิงห์และมีบุตรคนเดียวคือ ตุ้ม หุตะสิงห์ == เหตุการณ์สำคัญขณะดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรี == * 10 ธันวาคม พ.ศ. 2475 - การประกาศใช้รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรสยาม พ.ศ. 2475 * 1 เมษายน พ.ศ. 2476 - ประกาศพระราชกฤษฎีกาปิดสภาผู้แทนราษฎร พร้อมงดใช้รัฐธรรมนูญบางมาตรา (รัฐประหารในประเทศสยาม เมษายน พ.ศ. 2476) * 20 มิถุนายน พ.ศ. 2476 - การรัฐประหารในประเทศสยาม มิถุนายน พ.ศ. 2476 == ในวัฒนธรรมสมัยนิยม == ในปี พ.ศ. 2567 ได้มีการสร้างแอนิเมชันเรื่อง ''๒๔๗๕ รุ่งอรุณแห่งการปฏิวัติ'' โดยมีตัวละคร พระยามโนปกรณ์นิติธาดา (ก้อน หุตะสิงห์) พากย์เสียงโดย นิติพงษ์ ห่อนาค == ตำแหน่ง == * 4 เมษายน 2462 – องคมนตรีhttps://ratchakitcha.soc.go.th/documents/1057238.pdf บัญชีรายพระนามและนามผู้ที่ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ตั้งเป็นองคมนตรี == เครื่องราชอิสริยาภรณ์ == ราชกิจจานุเบกษา, http://www.ratchakitcha.soc.go.th/DATA/PDF/2470/D/2566.PDF พระราชทานเครื่องราชอิสริยาภรณ์และเหรียญ , เล่ม 44 ตอนที่ 0 ง หน้า 2577, 20 พฤศจิกายน 2470 ราชกิจจานุเบกษา, http://www.ratchakitcha.soc.go.th/DATA/PDF/2474/D/3084.PDF พระราชทานเครื่องราชอิสริยาภรณ์ , เล่ม 48 ตอนที่ 0 ง หน้า 3095, 15 พฤศจิกายน 2474 ราชกิจจานุเบกษา, http://www.ratchakitcha.soc.go.th/DATA/PDF/2459/D/3092.PDF พระราชทานเครื่องราชอิสริยาภรณ์, เล่ม 33 ตอนที่ 0 ง หน้า 3094, 28 มกราคม 2459 ราชกิจจานุเบกษา, http://www.ratchakitcha.soc.go.th/DATA/PDF/2455/D/2445.PDF พระราชทานเหรียญดุษฎีมาลา เข็มศิลปวิทยา , เล่ม 29 ตอนที่ 0 ง หน้า 2446, 22 มกราคม 131 ราชกิจจานุเบกษา, http://www.ratchakitcha.soc.go.th/DATA/PDF/2472/D/3689.PDF พระราชทานเหรียญจักรพรรดิมาลา, เล่ม 46 ตอนที่ 0 ง หน้า 3690, 19 มกราคม 2472 https://ratchakitcha.soc.go.th/documents/1057535.pdf พระราชทานเหรียญรัตนาภรณ์ ราชกิจจานุเบกษา, http://www.ratchakitcha.soc.go.th/DATA/PDF/2469/D/4298.PDF พระราชทานเครื่องราชอิสริยาภรณ์และเหรียญ, เล่ม 43 ตอนที่ 0 ง หน้า 4300, 6 มีนาคม 2469 == ดูเพิ่ม == * รัฐประหารในประเทศสยาม เมษายน พ.ศ. 2476 * รัฐประหารในประเทศสยาม มิถุนายน พ.ศ. 2476 == หมายเหตุ == บางแห่งเขียน "พระยามโนปกรณนิติธาดา" == อ้างอิง == == แหล่งข้อมูลอื่น == === งานศึกษาที่เกี่ยวข้อง === * นครินทร์ เมฆไตรรัตน์. (2560). พระยามโนปกรณ์นิติธาดากับการเมืองสยามในปี พ.ศ. 2475. ''ความคิด ความรู้ และอำนาจในการเมืองในการปฏิวัติสยาม 2475'' (น. 167-191). พิมพ์ครั้งที่ 3. กรุงเทพฯ: ฟ้าเดียวกัน. === เว็บไซต์ === * http://www.thaigov.go.th/th/content/prime-minister/prime01.html ประวัติที่เว็บไซต์ทำเนียบรัฐบาล * http://www.cabinet.thaigov.go.th/pm_01.htm ประวัติที่เว็บไซต์สำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรี * http://www.thaiembdc.org/bio/pms/manopakorn.htm ประวัติที่เว็บไซต์สถานทูตไทย ณ กรุงวอชิงตัน ดี.ซี. ประเทศสหรัฐอเมริกา * http://www.parliamentjunior.in.th/teen/knowledge/politics_rattanakosin1.asp ประวัติที่เว็บไซต์รัฐสภาสำหรับเยาวชน-ยุวชนรัฐสภา หมวดหมู่:นักการเมืองไทย หมวดหมู่:นายกรัฐมนตรีไทย|มโนปกรณ์นิติธาดา หมวดหมู่:รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังไทย หมวดหมู่:บรรดาศักดิ์ชั้นพระยา|มโนปกรณ์นิติธาดา หมวดหมู่:บุคคลจากโรงเรียนสวนกุหลาบวิทยาลัย|มโนปกรณ์นิติธาดา หมวดหมู่:บุคคลจากโรงเรียนอัสสัมชัญ หมวดหมู่:ผู้นำที่พ้นตำแหน่งจากรัฐประหาร หมวดหมู่:ชาวไทยที่เสียชีวิตในประเทศมาเลเซีย หมวดหมู่:ผู้ได้รับเครื่องราชอิสริยาภรณ์ ท.จ.ว. (ฝ่ายหน้า) หมวดหมู่:ผู้ได้รับเครื่องราชอิสริยาภรณ์ ป.ม. หมวดหมู่:ผู้นำที่ได้อำนาจจากรัฐประหาร หมวดหมู่:บุคคลจากเขตพระนคร หมวดหมู่:ผู้ลี้ภัยชาวไทย หมวดหมู่:บุคคลในประวัติศาสตร์ไทย พ.ศ. 2475–2516
พระยามโนปกรณ์นิติธาดา (ก้อน หุตะสิงห์)
'''ว็อล์ฟกัง อมาเดอุส โมทซาร์ท''' (, ; 27 มกราคม ค.ศ. 1756 – 5 ธันวาคม ค.ศ. 1791) เป็นนักประพันธ์ดนตรีคลาสสิกประเทศออสเตรีย|ชาวออสเตรียที่มีชื่อเสียงก้องโลก โมทซาร์ทเกิดที่เมืองซัลทซ์บวร์ค เขามีงานประพันธ์เพลง 626 ชิ้นรวมทั้งอุปรากร (ดนตรีซึ่งมีเนื้อเรื่อง) ชื่อ ''ดอน โจวันนี'' และ ''ขลุ่ยวิเศษ'' ปัจจุบันผลงานต่าง ๆ ของเขาได้รับการนำมาจัดจำหน่ายเป็นสื่อต่าง ๆ มากมาย == ประวัติ == === วัยเด็ก (ค.ศ. 1756–1772) === ไฟล์:Mozart (5).JPG|thumb|right|สถานที่เกิดของโมทซาร์ท (Getreidegasse 9, Salzburg, Austria) โมทซาร์ทเป็นบุตรของนักประพันธ์เพลงประเทศเยอรมนี|ชาวเยอรมัน เลโอพ็อลท์ โมทซาร์ท (ค.ศ. 1719–1787) รองคาเปลล์ไมสเตอร์ในราชสำนักเจ้าชายอัครมุขนายกแห่งซัลทซ์บวร์ค กับอันนา มารีอา แพร์เทิล (ค.ศ. 1720–1778) ว็อล์ฟกัง อามาเด (โมทซาร์ทมักจะเรียกตนเองว่า "Wolfgang Amadè Mozart" ไม่เคยถูกเรียกว่า "อมาเดอุส" ตลอดช่วงเวลาที่เขายังมีชีวิตอยู่ ไม่แม้กระทั่งในรายการบันทึกผู้รับศีลล้างบาป โดยได้รับชื่อละตินว่า "Joannes Chrysostomus Wolfgangus Theophilus Mozart") ได้แสดงให้เห็นอัจฉริยภาพทางดนตรีตั้งแต่อายุสามขวบ เขามีทักษะการฟังที่ยอดเยี่ยม และมีความจำที่แม่นยำ ความสามารถพิเศษยิ่งยวด ทำให้เป็นที่น่าฉงนแก่ผู้คนรอบข้าง และเป็นแรงกระตุ้นให้บิดาของเขา ให้สอนฮาร์ปซิคอร์ดแก่เขาตั้งแต่อายุห้าขวบ โมทซาร์ทน้อยเรียนไวโอลินและออร์แกน เป็นเครื่องดนตรีชิ้นต่อมา ตามด้วยวิชาเรียบเรียงเสียงประสาน เขารู้จักการแกะโน้ตจากบทเพลงที่ได้ยิน และเล่นทวนได้อย่างถูกต้อง ตั้งแต่วัยยังไม่รู้จักอ่านเขียนและนับเลข เมื่ออายุหกขวบ (ค.ศ. 1762) เขาก็แต่งเพลงชิ้นแรกได้แล้ว (เมนูเอ็ต KV.2, 4 และ 5 และอัลเลโกร KV.3) ไฟล์:Louis Carrogis dit Carmontelle - Portrait de Wolfgang Amadeus Mozart (Salzbourg, 1756-Vienne, 1791) jouant à Paris avec son père Jean... - Google Art Project.jpg|left|thumb|ครอบครัวโมทซาร์ทเดินทางออกตระเวนแสดงคอนเสิร์ต: เลโอพ็อลท์ โมทซาร์ท|เลโอพ็อลท์, ว็อล์ฟกัง, และมารีอา อันนา โมทซาร์ท|นันเนิร์ล ระหว่าง ค.ศ. 1762–1766 เขาได้เดินทางออกตระเวนแสดงคอนเสิร์ตกับบิดา (ซึ่งเป็นลูกจ้างของซีกิสมุนท์ ฟ็อน ชรัทเทินบัค เจ้าชายอัครมุขนายกแห่งซัลทซ์บวร์คในขณะนั้น) และมารีอา อันนา โมทซาร์ท|มารีอา อันนา พี่สาวคนโต (มีชื่อเล่นว่า "นันเนิร์ล" เกิดเมื่อปี ค.ศ. 1751) พวกเขาเปิดการแสดงในนครมิวนิกเป็นแห่งแรก ตามมาด้วยกรุงเวียนนา ก่อนที่จะออกเดินสายครั้งใหญ่ทั่วทวีปยุโรป ซึ่งเริ่มตั้งแต่มิวนิก, เอาคส์บวร์ค, มันไฮม์, แฟรงก์เฟิร์ต, บรัสเซลส์, ปารีส, ลอนดอน, เดอะเฮก, อัมสเตอร์ดัม, ดีฌง, ลียง, เจนีวา และโลซาน) การแสดงของเขาประทับใจผู้ชมเป็นอย่างมาก และยังทำให้เขาได้พบกับแนวดนตรีใหม่ ๆ อีกด้วย เขาได้พบกับนักดนตรีสำคัญอย่างโยฮัน โชเบิร์ท ที่กรุงปารีส และโยฮัน คริสทีอัน บัค (บุตรชายคนรองของโยฮัน เซบัสทีอัน บัค) ที่กรุงลอนดอน เมื่อ ค.ศ. 1767 โมทซาร์ทได้ประพันธ์อุปรากรเรื่องแรก ตั้งแต่อายุได้ 11 ปี ชื่อเรื่อง ''อพอลโลกับไฮยาซิน'' (K. 38) เป็นบันเทิงคดีภาษาละติน ที่แต่งให้เปิดแสดงโดยคณะนักเรียน ของโรงเรียนมัธยม ที่ขึ้นอยู่กับมหาวิทยาลัยแห่งเมืองซัลทซ์บวร์ค เมื่อเขาเดินทางกลับถึงประเทศออสเตรีย เขาได้เดินทางไปยังกรุงวียนนาบ่อยครั้ง และได้แต่งอุปรากรสองเรื่องแรก ได้แก่ ''นายบาสเตียนกับนางบาสเตียน'' และ ''ผู้โง่เขลาจอมปลอม'' ตลอดช่วงฤดูร้อน ค.ศ. 1768 เมื่อมีอายุได้ 12 ปี ไฟล์:Wolfgang-amadeus-mozart 2.jpg|right|thumb|ภาพเขียนแสดงโมทซาร์ทในวัยเด็ก ในปีถัดมา เขาได้รับการแต่งตั้งจากอัครมุขนายกให้ดำรงตำแหน่งผู้อำนวยการคอนเสิร์ต บิดาของเขาได้ขอลาพักงานโดยไม่รับเงินเดือนเพื่อพาเขาไปท่องเที่ยวที่ประเทศอิตาลีตั้งแต่ ค.ศ. 1769 ถึง ค.ศ. 1773 โมทซาร์ทได้เดินทางไปอิตาลีหลายครั้งเพื่อไปศึกษาเกี่ยวกับอุปรากร อันเป็นรูปแบบดนตรีที่เขาใช้ประพันธ์ ''งานแต่งงานของฟีกาโร'', ''ดอน โจวันนี'', ''โคซิฟันตุตเต'', ''ขลุ่ยวิเศษ'' ฯลฯ เขาสามารถนำเสียงดนตรีอันสูงส่งเหล่านี้ออกมาสู่โลกได้ จากความใส่ใจในความกลมกลืนของเสียงร้อง และความสามารถในการควบคุมเสียง อันเกิดจากเครื่องดนตรีหลากชิ้น โชคไม่ดีที่ในวันที่ 16 ธันวาคม ค.ศ. 1771 อัครมุขนายกซีกิสมุนท์ ฟ็อน ชรัทเทินบัค สิ้นพระชนม์ อัครมุขนายกฮีโรนีมุส ฟ็อน ค็อลโลเรโดได้กลายมาเป็นนายจ้างคนใหม่ของเขา === รับใช้ราชสำนักซัลทซ์บวร์ค (ค.ศ. 1773–1781) === ไฟล์:W_a_mozart.jpg|thumb|right|ว็อล์ฟกัง อมาเดอุส โมทซาร์ท โมทซาร์ทไม่มีความสุขที่บ้านเกิดของเขา เนื่องจากนายจ้างใหม่ไม่ชอบให้เขาออกไปเดินทางท่องเที่ยวและยังบังคับรูปแบบทางดนตรี ที่เขาได้ประพันธ์ให้กับพิธีทางศาสนา เมื่อมีอายุได้ 17 ปี เขาไม่ยินดีที่จะยอมรับข้อบังคับนี้ ทำให้ความสัมพันธ์ระหว่างเขากับอัครมุขนายกเสื่อมถอยลงในอีกสามปีต่อมา โชคดีที่เขาได้รู้จักกับโยเซ็ฟ ไฮเดิน ซึ่งก็ได้มาเป็นเพื่อนโต้ตอบทางจดหมาย และเป็นเพื่อนที่ดีต่อกันตลอดชีวิต ''"ข้าต้องการพูดต่อหน้าพระเจ้า ในฐานะชายผู้ซื่อสัตย์ บุตรชายของท่านเป็นคีตกวีที่ยิ่งใหญ่ที่สุดเท่าที่ข้าเคยรู้จัก ไม่ว่าจะเป็นการรู้จักเป็นการส่วนตัวหรือรู้จักเพียงในนาม เขามีรสนิยม และนอกเหนือจากนั้น เป็นศาสตร์ทางการประพันธ์ดนตรีที่ยิ่งใหญ่ที่สุด"'' '''''ในจดหมายที่โยเซ็ฟ ไฮเดิน เขียนถึง เลโอพ็อลท์ โมทซาร์ท''''' ''"มีเขาเพียงคนเดียวเท่านั้นที่รู้จักเคล็ดลับที่จะทำให้ข้าหัวเราะ และสัมผัสจิตวิญญาณส่วนที่อยู่ลึกสุดของข้าเอง"'' '''''ว็อล์ฟกัง อมาเดอุส โมทซาร์ท กล่าวถึงโยเซ็ฟ ไฮเดิน''''' ใน ค.ศ. 1776 โมทซาร์ทมีอายุได้ 20 ปี และได้ตัดสินใจเดินทางออกจากเมืองซัลทซ์บวร์ค อย่างไรก็ดีเลอัครมุขนายกปฏิเสธไม่ให้บิดาของเขาไปด้วย และบังคับให้เขาลาออกจากตำแหน่งผู้อำนวยการคอนเสิร์ต หลังจากการเตรียมการเป็นเวลาหนึ่งปี โมทซาร์ทได้จากไปพร้อมกับมารดา โดยเดินทางไปยังนครมิวนิกเป็นแห่งแรก ที่ซึ่งเขาหาตำแหน่งงานไม่ได้ จากนั้นจึงไปที่เมืองเอาคส์บวร์ค และท้ายสุดที่มันไฮม์ ที่ซึ่งเขาได้ทำความรู้จักกับนักดนตรีมากมาย อย่างไรก็ดี แผนการที่จะหาตำแหน่งงานของเขาไม่เป็นผลสำเร็จ ในระหว่างนั้นเองที่เขาได้ตกหลุมรักอล็อยซีอา เวเบอร์ นักเต้นระบำแคนตาตาสาวอย่างหัวปักหัวปำ ที่ทำให้บิดาของเขาโกรธมาก และขอให้เขาอย่าลืมอาชีพนักดนตรี โมทซาร์ทมีหนี้สินล้นพ้นตัว เขาเริ่มเข้าใจว่าจะต้องออกหางานทำต่อไป และออกเดินทางไปยังกรุงปารีสในเดือนมีนาคม ค.ศ. 1778 === เป็นอิสระที่กรุงเวียนนา (ค.ศ. 1782–1791) === ไฟล์:Constanze Mozart by Lange 1782.jpg|thumb|left|ค็อนสตันท์เซอ เวเบอร์ ภรรยาของโมทซาร์ท ใน ค.ศ. 1781 โมทซาร์ทเดินทางไปยังกรุงเวียนนากับเจ้าชายอัครมุขนายก ฟ็อน ค็อลโลเรโด ผู้ได้เลิกจ้างโมทซาร์ทที่เวียนนา โมทซาร์ทจึงตั้งรากฐานอยู่ที่เวียนนา เมื่อเห็นว่าชนชั้นสูงเริ่มชอบใจในตัวเขา และในปีเดียวกันนั้น โมทซาร์ทได้แต่งงานกับค็อนสตันท์เซอ เวเบอร์ นักร้องโซปราโน (ซึ่งเป็นน้องสาวของอล็อยซีอา เวเบอร์ ซึ่งโมทซาร์ทเคยหลงรัก) โดยที่บิดาของโมทซาร์ทไม่เห็นด้วยกับงานวิวาห์นี้ โมทซาร์ทและค็อนสตันท์เซอมีลูกด้วยกันถึงหกคน ซึ่งเพียง 2 คนรอดพ้นวัยเด็ก ค.ศ. 1782 เป็นปีที่ดีสำหรับโมทซาร์ท อุปรากรเรื่อง ''Die Entführung aus dem Serail'' ประสบความสำเร็จอย่างมาก และโมทซาร์ทก็ได้แสดงคอนเสิร์ตชุดที่เขาเล่นในเปียโนคอนแชร์โตของเขาเอง ระหว่าง ค.ศ. 1782–1783 โมทซาร์ทได้รับอิทธิพลจากผลงานของโยฮัน เซบัสทีอัน บัค และจอร์จ ฟริดริก แฮนเดิล ผ่านบารอนก็อทฟรีท ฟัน สวีเทิน (Gottfried van Swieten) แนวเพลงของโมทซาร์ทจึงได้รับอิทธิพลจากยุคบาโรกตั้งแต่นั้นมา อย่างที่เห็นได้ชัดในท่อนฟิวก์ของ ''ขลุ่ยวิเศษ'' และ ''ซิมโฟนี หมายเลข 41'' ในช่วงนี้เองโมทซาร์ทได้มารู้จักและสนิทสนมกับโยเซ็ฟ ไฮเดิน โดยทั้งสองมักจะเล่นในวงควอเท็ตด้วยกัน และโมทซาร์ทก็ยังเขียนควอเท็ตถึงหกชิ้นให้ไฮเดิน ไฮเดินเองก็ทึ่งในความสามารถของโมทซาร์ท และเมื่อได้พบกับลีโอโปลด์ พ่อของโมทซาร์ท ได้กล่าวกับเขาว่า "ต่อหน้าพระเจ้าและในฐานะคนที่ซื่อสัตย์ ลูกของท่านเป็นนักประพันธ์ที่ดีที่สุดที่ผมเคยได้พบหรือได้ยิน เขามีรสนิยม และมากกว่านั้น เขามีความรู้เรื่องการประพันธ์" เมื่อโมทซาร์ทอายุมากขึ้น เขาก็ได้รับอิทธิพลจากนักปราชญ์แห่งคริสต์ศตวรรษที่ 18 และเป็นพวกฟรีเมสันที่อยู่ในสาขาคริสตจักรโรมันคาทอลิก|โรมันคาทอลิก อุปรากรเรื่องสุดท้ายของโมทซาร์ทแสดงถึงอิทธิพลพวกฟรีเมสัน ชีวิตของโมทซาร์ทมักพบกับปัญหาทางการเงินและโรคภัยไข้เจ็บ โมทซาร์ทย่อมไม่ได้รับค่าจ้างสำหรับงานของเขา และเงินที่เขาได้รับนั้นก็ถูกผลาญด้วยวิถีชีวิตที่หรูหราอลังการ โมทซาร์ทใช้ชีวิตในช่วง ค.ศ. 1786 ที่กรุงเวียนนาในอะพาร์ตเมนต์ที่จนถึงวันนี้ยังสามารถเข้าชมได้ที่เลขที่ 5 ถนนด็อมกัสเซอ หลังมหาวิหารนักบุญสเทเฟน (St. Stephen's Cathedral) โมทซาร์ทประพันธ์ ''งานแต่งงานของฟีกาโร'' และ ''ดอน โจวันนี'' ณ ที่แห่งนี้ === บั้นปลายชีวิต === บั้นปลายและการเสียชีวิตของโมทซาร์ทยังคงเป็นเรื่องที่หาข้อสรุปยากสำหรับนักวิชาการ เพราะมีทั้งตำนานและเรื่องเล่าแต่ขาดหลักฐาน มีทฤษฏีหนึ่งสันนิษฐานว่าสุขภาพของโมทซาร์ทเริ่มแย่ลงทีละเล็กละน้อย และโมทซาร์ทรับรู้สภาพนี้ซึ่งปรากฏขึ้นในงานประพันธ์ของเขา แต่นักวิชาการที่ไม่เห็นด้วยอ้างถึงจดหมายที่โมทซาร์ทเขียนถึงครอบครัว ที่ยังมีทัศนคติที่สดใส และปฏิกิริยาของครอบครัวเมื่อได้ข่าวเรื่องการเสียชีวิตของโมทซาร์ท การเสียชีวิตของโมทซาร์ทยังเป็นเรื่องที่ไม่สามารถพิสูจน์ได้ มรณบัตรของโมทซาร์ทบันทึกไว้ว่าเขาเสียชีวิตเพราะโรคไทฟอยด์ และมีทฤษฎีมากมายที่พยายามอธิบายการเสียชีวิตให้มากขึ้น โมทซาร์ทเสียชีวิตในเวลาประมาณ 01.00 น. วันที่ 5 ธันวาคม ค.ศ. 1791 ในขณะที่เขากำลังประพันธ์เพลงเรควีเอ็มที่ยังประพันธ์ไม่เสร็จ ตามตำนานที่เล่าขาน โมทซาร์ทตายโดยที่ไม่เหลือเงินและถูกฝังในหลุมศพของคนอนาถา ร่างของโมทซาร์ทถูกฝังอย่างเร่งรีบในที่ฝังศพสาธารณะ เพราะระหว่างที่นำศพไปนั้นเกิดมีพายุแรงและฝน ลูกเห็บตกอย่างหนัก ทำให้หีบศพถูกหย่อนไว้ร่วมกับศพคนยากจนอื่น ๆ ไม่มีเครื่องหมายใดว่านี่คือศพของโมทซาร์ท แต่ข้อเท็จจริงก็คือ โมทซาร์ทไม่เป็นที่นิยมชมชอบอย่างที่เคยเป็นอีกต่อไป เขายังคงมีงานที่มีรายได้ดีจากราชสำนัก และยังได้รับเงินอุดหนุนจำนวนมากจากส่วนอื่น ๆ ของยุโรป โดยเฉพาะอย่างยิ่งจากกรุงปราก ยังมีจดหมายขอความช่วยเหลือทางการเงินของโมทซาร์ทหลงเหลืออยู่บ้าง แต่ก็ไม่ได้เป็นหลักฐานว่าเขาจนเพราะรายจ่ายเกินรายรับ ศพของเขาไม่ได้ถูกฝังในหลุมฝังศพรวม แต่ในสุสานของชุมชนตามกฎหมายใน ค.ศ. 1783 แม้ว่าหลุมศพดั้งเดิมในสุสานเซนต์มาร์กจะหายไป แต่ก็มีป้ายหลุมศพที่ตั้งไว้เป็นอนุสรณ์สถานในเซนทรัลไฟรด์ฮอฟ ใน ค.ศ. 1809 ค็อนสตันท์เซอได้แต่งงานใหม่กับจอร์จ นีโคเลาส์ ฟอน นีสเสน นักการทูตชาวเดนมาร์ก (ค.ศ. 1761–1826) ผู้ซึ่งหลงใหลคลั่งใคล้ในตัวโมทซาร์ทอย่างมาก ถึงกับแต่งเรื่องราวเกินจริงจากจดหมายของโมทซาร์ท และแต่งชีวประวัติของคีตกวีเอกอีกด้วย โมทซาร์ทมีชีวิตอยู่ตรงกับระหว่างรัชสมัยของสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวบรมโกศ สมัยอยุธยา และพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช สมัยรัตนโกสินทร์ == ผลงานหลายๆชิ้น == === แค็ตตาล็อกเคิชเชิล (Köchel catalogue) === ในปีภายหลังการเสียชีวิตของโมทซาร์ท ได้มีความพยายามหลายครั้งที่จะจัดเรียงบัญชีผลงานของโมทซาร์ท และเป็นลูทวิช ฟ็อน เคิชเชิล (Ludwig von Köchel) ที่ประสบความสำเร็จ และในปัจจุบันผลงานของโมทซาร์ทมักจะมีตัวเลขของเคิชเชิลติดกำกับอยู่ อย่างเช่น "เปียโนคอนแชร์โตในบันไดเสียงเอเมเจอร์" มักเรียกกันง่าย ๆ ว่า "K. 488" หรือ "KV 488" ได้มีการดัดแปลงแค็ตตาล็อกนี้เป็นจำนวน 6 ครั้งด้วยกัน === เพลงสวด === * ''Grande messe en ut mineur'' KV.427 (1782-83, เวียนนา), แต่งไม่จบ * ''Krönungsmesse (พิธีมิสซาเพื่อขึ้นครองราชย์) en ut majeur'' KV.317 (1779) * ''Requiem en ré mineur'' KV.626 (1791, เวียนนา), แต่งไม่จบ * ''Veni sancte spiritus'' KV.47 * ''Waisenhaus-Messe'' KV.139 * ''Ave verum corpus'' KV.618 === ละครเพลง === * ''Die Schuldigkeit des ersten Gebotes'' (ความผูกมัดของบัญญัติข้อที่หนึ่ง, KV 35, 1767, ซัลทซ์บวร์ค) * ''Apollo et Hyacinthus'' (อพอลโลและไฮยาซินท์, KV 38, 1767, ซัลทซ์บวร์ค) * ''Bastien und Bastienne'' (นายบาสเตียนและนางบาสเตียน, KV 50, 1768, เบอร์ลิน) * ''La finta semplice'' (ผู้โง่เขลาจอมปลอม, KV 196, 1775, มิวนิก) * ''Mitridate, re di Ponto'' (ไมทริตาตี ราชาแห่งปอนตุส, KV 87, 1770, มิลาน) * ''Ascanio in Alba'' (อัสคานิโอในอัลบา, KV 111, 1771, มิลาน) * ''Il sogno di Scipione'' (ฝันของสคิปิโอเน่, KV 126, 1772, ซัลทซ์บวร์ค) * ''Lucio Silla'' (ลูชิโอ ซิลล่า, KV 135, 1772, มิลาน) * ''La finta giardiniera'' (คนสวนจอมปลอม, KV 196, 1775, มิวนิก) * ''Il re pastore'' (ราชาแห่งท้องทุ่ง, KV 208, 1775, ซัลทซ์บวร์ค) * ''Thamos, König in Ägypten'' (ธามอส ราชาแห่งอียิปต์, KV 345, 1776, ซัลทซ์บวร์ค) * ''Zaide'' (ไซเดอ, KV 344, แต่งไม่จบ) * ''Idomeneo'' (อิโดเมเนโอ ราชาแห่งครีต, KV 366, 1781, มิวนิก) * ''Die Entführung aus dem Serail'' (การลักพาตัวจากฮาเร็ม, KV 384, 1782, เวียนนา) * ''L'oca del Cairo'' (ห่านแห่งไคโร, KV 422, แต่งไม่จบ) * ''Lo sposo deluso'' (บ่าวผู้ถูกลวง, KV 430, แต่งไม่จบ) * ''Der Schauspieldirektor'' (ผู้กำกับการแสดง, KV 486, 1786, เวียนนา) * ''Le nozze di Figaro'' (งานแต่งงานของฟีกาโร, KV 492, 1786, เวียนนา) * ''Don Giovanni'' (ดอน โจวันนี, KV 527, 1787, ปราก) * ''Così fan tutte'' (โคซิฟันตุตเต, KV 588, 1790, เวียนนา) * ''La Clemenza di Tito'' (ความเมตตาของติโต, KV 621, 1791, ปราก) * ''Die Zauberflöte'' (ขลุ่ยวิเศษ, KV 620, 1791, เวียนนา) === ซิมโฟนี === * ''Symphonie en fa majeur'' KV.75 * ''Symphonie en fa majeur'' KV.76 * ''Symphonie en fa majeur'' KV.Anh.223 * ''Symphonie en ré majeur'' KV.81 * ''Symphonie en ré majeur'' KV.95 * ''Symphonie en ré majeur'' KV.97 * ''Symphonie en si bémol majeur'' KV.Anh.214 * ''Symphonie en si bémol majeur'' KV.Anh.216 * ''Symphonie en sol majeur «Old Lambach»'' (2e édition) KV.Anh.221 * ''Symphonie en ut majeur'' KV.96 * ''Symphonie No 1 en mi b majeur'' KV.16 (1764-1765) * ''Symphonie No 4 en ré majeur'' KV.19 * ''Symphonie No 5 en si bémol majeur'' KV.22 * ''Symphonie No 6 en fa majeur'' KV.43 * ''Symphonie No 7 en ré majeur'' KV.45 * ''Symphonie No 8 en ré majeur'' KV.48 * ''Symphonie No 9 en ut majeur'' KV.73 * ''Symphonie No 10 en sol majeur'' KV.74 * ''Symphonie No 11 en ré majeur'' KV.84 * ''Symphonie No 12 en sol majeur'' KV.110 * ''Symphonie No 13 en fa majeur'' KV.112 * ''Symphonie No 14 en la majeur'' KV.114 * ''Symphonie No 15 en sol majeur'' KV.124 * ''Symphonie No 16 en ut majeur'' KV.128 * ''Symphonie No 17 en sol majeur'' KV.129 * ''Symphonie No 18 en fa majeur'' KV.130 (1772) * ''Symphonie No 19 en mi bémol majeur'' KV.132 * ''Symphonie No 20 en ré majeur'' KV.133 * ''Symphonie No 21 en la majeur'' KV.134 (1772) * ''Symphonie No 22 en do majeur'' KV.162 (1773) * ''Symphonie No 23 en ré majeur'' KV.181 * ''Symphonie No 24 en si bémol majeur'' KV.182 * ''Symphonie No 25 en sol mineur'' KV.183 (1773, Salzbourg) * ''Symphonie No 26 en mi bémol majeur'' KV.184 * ''Symphonie No 27 en sol majeur'' KV.199 * ''Symphonie No 28 en ut majeur'' KV.200 * ''Symphonie No 29 en la majeur'' KV.201 (1774) * ''Symphonie No 30 en ré majeur'' KV.202 * ''Symphonie No 31 en ré majeur «Paris»'' KV.297 * ''Symphonie No 32 en sol majeur'' KV.318 * ''Symphonie No 33 en ré bémol majeur'' KV.319 * ''Symphonie No 34 en ut majeur'' KV.338 * ''Symphonie No 35 en ré majeur «Haffner»'' KV.385 (1782) * ''Symphonie No 36 en ut majeur «Linz»'' KV.425 * ''Symphonie No 38 en ré majeur «Prague»'' KV.504 (1786, Vienne) * ''Symphonie No 39 en mi bémol majeur'' KV.543 (1788, Vienne) * ''Symphonie No 40 en sol mineur'' KV.550 (1788, Vienne) * ''Symphonie No 41 en do majeur «Jupiter»'' KV.551 (1788, Vienne) === คอนแชร์โต === * ''Concertos pour flûte (Wolfgang Amadeus Mozart)|Concertos pour flûte N°1 et 2 KV. 313 et 314 (1778, Mannheim) * ''Concerto pour flûte et harpe en do majeur'' KV.299 (1778, Paris) * ''Concerto pour cor No 1 en ré '' KV.412 (1782) * ''Concerto pour cor No 2 en mi dièse '' KV.417 (1783) * ''Concerto pour cor No 3 en mi bémol '' KV.447 (1783-1787) * ''Concerto pour clarinette en la majeur'' KV.622 (1791, Vienne) * ''Concerto pour basson en si bémol'' KV.191 (1774) * ''Concerto pour violon et orchestre No 1 en si bémol majeur'' KV.207 * ''Concerto pour violon et orchestre No 3 en sol majeur'' KV.216 * ''Concerto pour violon et orchestre No 5 en la majeur'' KV.219 * ''คอนแชร์โตสำหรับเปียโนและวงออร์เคสตรา หมายเลข 1 บันไดเสียง เอฟ เมเจอร์'' KV 37 * ''คอนแชร์โตสำหรับเปียโนและวงออร์เคสตรา หมายเลข 2 บันไดเสียง บี แฟลต เมเจอร์'' KV 39 * ''คอนแชร์โตสำหรับเปียโนและวงออร์เคสตรา หมายเลข 3 บันไดเสียง ดี เมเจอร์'' KV 40 * ''คอนแชร์โตสำหรับเปียโนและวงออร์เคสตรา หมายเลข 4 บันไดเสียง จี เมเจอร์'' KV 41 * ''คอนแชร์โตสำหรับเปียโนและวงออร์เคสตรา หมายเลข 5 บันไดเสียง ดี เมเจอร์'' KV 175 * ''คอนแชร์โตสำหรับเปียโนและวงออร์เคสตรา หมายเลข 6 บันไดเสียง บี แฟลต เมเจอร์'' KV 238 * ''คอนแชร์โตสำหรับเปียโนสามตัวและวงออร์เคสตรา หมายเลข 7 บันไดเสียง เอฟ เมเจอร์'' KV 242 * ''คอนแชร์โตสำหรับเปียโนและวงออร์เคสตรา หมายเลข 8 บันไดเสียง ซี เมเจอร์ (Lützow)'' KV 246 * ''คอนแชร์โตสำหรับเปียโนและวงออร์เคสตรา หมายเลข 9 บันไดเสียง อี แฟลต เมเจอร์ (Jeunehomme)'' KV 271 * ''คอนแชร์โตสำหรับเปียโนสองตัวและวงออร์เคสตรา หมายเลข 10 บันไดเสียง อี แฟลต เมเจอร์'' KV 365 * ''คอนแชร์โตสำหรับเปียโนและวงออร์เคสตรา หมายเลข 11 บันไดเสียง เอฟ เมเจอร์'' KV 413 * ''คอนแชร์โตสำหรับเปียโนและวงออร์เคสตรา หมายเลข 12 บันไดเสียง เอ เมเจอร์'' KV 414 * ''คอนแชร์โตสำหรับเปียโนและวงออร์เคสตรา หมายเลข 13 บันไดเสียง ซี เมเจอร์'' KV 415 * ''คอนแชร์โตสำหรับเปียโนและวงออร์เคสตรา หมายเลข 14 บันไดเสียง อี เมเจอร์'' KV 449 * ''คอนแชร์โตสำหรับเปียโนและวงออร์เคสตรา หมายเลข 15 บันไดเสียง บี เมเจอร์'' KV 450 * ''คอนแชร์โตสำหรับเปียโนและวงออร์เคสตรา หมายเลข 16 บันไดเสียง ดี เมเจอร์'' KV 451 * ''คอนแชร์โตสำหรับเปียโนและวงออร์เคสตรา หมายเลข 17 บันไดเสียง จี เมเจอร์'' KV 453 * ''คอนแชร์โตสำหรับเปียโนและวงออร์เคสตรา หมายเลข 18 บันไดเสียง บี เมเจอร์'' KV 456 * ''คอนแชร์โตสำหรับเปียโนและวงออร์เคสตรา หมายเลข 19 บันไดเสียง เอฟ เมเจอร์'' KV 459 * ''คอนแชร์โตสำหรับเปียโนและวงออร์เคสตรา หมายเลข 20 บันไดเสียง ดี ไมเนอร์'' KV 466 * ''คอนแชร์โตสำหรับเปียโนและวงออร์เคสตรา หมายเลข 21 บันไดเสียง ซี เมเจอร์ (Elvira Madigan)'' KV 467 * ''คอนแชร์โตสำหรับเปียโนและวงออร์เคสตรา หมายเลข 22 บันไดเสียง อี แฟลต เมเจอร์'' KV 482 * ''คอนแชร์โตสำหรับเปียโนและวงออร์เคสตรา หมายเลข 23 บันไดเสียง เอ เมเจอร์'' KV 488 * ''คอนแชร์โตสำหรับเปียโนและวงออร์เคสตรา หมายเลข 24 บันไดเสียง ซี ไมเนอร์'' KV 491 * ''คอนแชร์โตสำหรับเปียโนและวงออร์เคสตรา หมายเลข 25 บันไดเสียง ซี เมเจอร์'' KV 503 * ''คอนแชร์โตสำหรับเปียโนและวงออร์เคสตรา หมายเลข 26 บันไดเสียง ดี เมเจอร์ (Coronation)'' KV 537 * ''คอนแชร์โตสำหรับเปียโนและวงออร์เคสตรา หมายเลข 27 บันไดเสียง บี แฟลต เมเจอร์'' KV 595 === แชมเบอร์มิวสิก === * ''Sonate pour violon et piano en ut majeur'' KV.296 * ''Quatuors dédiés à Haydn'' : ** ''Quatuor en sol majeur'' KV.387 (1782, Vienne) ** ''Quatuor en ré mineur'' KV.421 (1783, Vienne) ** ''Quatuor en mi bémol majeur'' KV.428 (1783, Vienne) ** ''Quatuor en si bémol majeur «la chasse»'' KV.458 (1784, Vienne) ** ''Quatuor en la majeur'' KV.464 (1785, Vienne) ** ''Quatuor en do majeur «les dissonances»'' KV.465 (1785, Vienne) * ''Quatuors avec piano (Wolfgang Amadeus Mozart)|Quatuors avec piano'' : ** ''Quatuor avec piano n°1 en sol mineur'' KV.478 (1785) ** ''Quatuor avec piano n°2 en mi bémol majeur'' KV.493 (1786) * ''Trio «Les Quilles» en mi bémol majeur pour piano, clarinette, et violon'' KV.498 (1786, Vienne) * ''Quintette avec clarinette en la majeur'' KV.581 (1789, Vienne) * Sérénade : ''Une petite musique de nuit'' KV.525 (1787, Vienne) === สตริงทริโอ === * ''Ganz kleine Nachtmusi K.648 (1760, Leipzig) (ซิงเกิลใหม่ล่าสุด)'' == สื่อ == '''Orchestral''' '''Vocal''' '''Piano''' == อื่น ๆ == * ภาพยนตร์เรื่อง ''อมาเดอุส'' (ค.ศ. 1984) โดยมิโลช โฟร์มัน นำเสนอเรื่องราวความรักของโมทซาร์ท ซึ่งออกจะขัดแย้งกับข้อเท็จจริงทางประวัติศาสตร์ == แหล่งข้อมูลอื่น == * http://infopuq.uquebec.ca/~uss1010/catal/mozart/mozwa.html แคตตาล็อกเพลงโมทซาร์ทฉบับสมบูรณ์ (ภาษาฝรั่งเศส) * http://www.musicologie.org/Biographies/mozart_w_a.html Musicologie.org (ภาษาฝรั่งเศส) * http://www.mutopiaproject.org/cgibin/make-table.cgi?Composer=MozartWA Projet Mutopia: โน้ตแผ่น (ภาษาอังกฤษ) * http://www.mozartones.com/en Compact Mozart biography - at mozartones.com * http://www.centrebouddhisteparis.org/Sangharakshita/Les_silences/les_silences.html โมทซาร์ทกับความเงียบ (ภาษาฝรั่งเศส) == ดูเพิ่ม == * ดนตรีคลาสสิก == อ้างอิง == * Barry, Barbara R (2000). The Philosopher's Stone: Essays in the Transformation of Musical Structure. Hillsdale, New York: Pendragon Press. ISBN 1-57647-010-5. OCLC 466918491. * Deutsch, Otto Erich (1965). Mozart: A Documentary Biography. Peter Branscombe, Eric Blom, Jeremy Noble (trans.). Stanford: Stanford University Press. ISBN 978-0-8047-0233-1. OCLC 8991008. * Einstein, Alfred (1965). Mozart: His Character, His Work. Galaxy Book 162. Arthur Mendel, Nathan Broder (trans.) (6th ed.). New York City: Oxford University Press. ISBN 0-304-92483-0. OCLC 456644858. หมวดหมู่:ว็อล์ฟกัง อมาเดอุส โมทซาร์ท| ดิด หมวดหมู่:บุคคลที่เกิดในปี พ.ศ. 2299 หมวดหมู่:นักดนตรีคลาสสิก หมวดหมู่:คีตกวีชาวออสเตรีย หมวดหมู่:นักเปียโนชาวออสเตรีย หมวดหมู่:นักออร์แกน หมวดหมู่:นักไวโอลิน หมวดหมู่:บุคคลจากซัลทซ์บวร์ค
ว็อล์ฟกัง อมาเดอุส โมทซาร์ท
ไฟล์:Kierkegaard.jpg|180px|thumb|right|เซอร์เอิน เคียร์เกอกอร์ '''เซอร์เอิน โอปือ เคียร์เกอกอร์''' (; 5 พฤษภาคม ค.ศ. 1813 – 11 พฤศจิกายน ค.ศ. 1855) เป็นนักปรัชญาชาวเดนมาร์กในสมัยคริสต์ศตวรรษที่ 19 ถือกันโดยทั่วไปว่าเขาเป็นนักปรัชญาอัตถิภาวนิยมคนแรก แม้ว่างานวิจัยในชั้นหลัง ๆ จะแสดงว่าการเชื่อมโยงดังกล่าวอาจกระทำได้ยากกว่าที่เคยคิดกันก็ตาม ในด้านความคิดทางปรัชญานั้น เคียร์เกอกอร์ถือเป็นสะพานเชื่อมระหว่างปรัชญาแบบเกออร์ค วิลเฮ็ล์ม ฟรีดริช เฮเกิล|เฮเกิลกับปรัชญาที่จะคลี่คลายไปเป็นอัตถิภาวนิยมในภายหลัง เขาปฏิเสธอย่างแข็งขันทั้งปรัชญาแบบเฮเกิลที่กำลังเฟื่องฟูในสมัยนั้นและสิ่งที่เขาเรียกว่ารูปแบบอันว่างเปล่าของคริสตจักรเดนมาร์ก งานของเขาส่วนใหญ่จะเกี่ยวข้องกับปัญหาทางศาสนา เช่น ธรรมชาติของศรัทธา ความเป็นสถาบันของคริสต์ศาสนจักร และเรื่องจริยธรรมและเทววิทยาคริสเตียน เป็นต้น ด้วยเหตุนี้ บางคนจึงจัดให้งานของเคียร์เกอกอร์อยู่ในประเภทของอัตถิภาวนิยมคริสเตียน งานของเคียร์เกอกอร์อาจยากแก่การตีความ เนื่องจากงานที่เขาเขียนในระยะแรกนั้นเขียนโดยใช้นามแฝงต่าง ๆ กัน และบ่อยครั้งที่งานที่เขาเขียนโดยใช้นามแฝงชื่อหนึ่งจะได้รับความเห็นหรือข้อวิจารณ์จากงานเขียนที่เขาใช้นามแฝงอีกชื่อหนึ่ง หมวดหมู่:นักปรัชญาชาวเดนมาร์ก หมวดหมู่:บุคคลจากโคเปนเฮเกน หมวดหมู่:นักจดบันทึกประจำวันชาวเดนมาร์ก
เซอร์เอิน เคียร์เกอกอร์
ไฟล์:Thomas Hobbes (portrait).jpg|thumb|โทมัส ฮอบส์ วาดโดย John Michael Wright '''โทมัส ฮอบส์''' (Thomas Hobbes) (5 เมษายน พ.ศ. 2131 (ค.ศ. 1588) — 4 ธันวาคม พ.ศ. 2222 (ค.ศ. 1679)) เป็นปรัชญาการเมือง|นักปรัชญาการเมือง ชาวอังกฤษ ผู้มีชื่อเสียงโด่งดังจากผลงานที่สำคัญคือหนังสือชื่อ ''Leviathan'' ที่เขียนขึ้นเมื่อ พ.ศ. 2194 หนังสือเล่มนี้กลายเป็นฐานประเด็นในแนวปรัชญาการเมืองตะวันตกในสมัยต่อมาในเกือบทุกแนว ถึงแม้ว่าทุกคนได้รู้จักโทมัส ฮอบส์จากงานเขียนเกี่ยวกับปรัชญาการเมืองตะวันตกก็จริง แต่ที่จริงแล้วฮอบส์ได้สร้างผลงานที่เป็นประโยชน์ไว้อีกหลายด้าน เช่น ประวัติศาสตร์ เรขาคณิต เทววิทยา จริยธรรม รวมทั้งด้านปรัชญาทั่ว ๆ ไปอีกหลายเรื่อง และที่เป็นที่รู้จักในปัจจุบันว่า รัฐศาสตร์ (political science) นอกจากนี้สิ่งที่ฮอบบส์เชื่อที่ว่า "''มนุษย์นั้นโดยธรรมชาติมีการร่วมมือกันก็โดยมุ่งผลประโยชน์ส่วนตัว''" ซึ่งข้อคิดนี้ได้รับการพิสูจน์ในทฤษฎีของ ''ปรัชญามานุษยวิทยา''ต่อเนื่องมาอย่างยาวนาน == ชีวิตในวัยเยาว์และการศึกษา == '''โทมัส ฮอบส์''' เกิดที่วิลท์ไชร์ ประเทศอังกฤษ เป็นบุตรของพระราชาคณะแห่งชาร์ลตัน และ เวสต์พอร์ตซึ่งหนีออกจากประเทศอังกฤษเนื่องจากการกลัวโทษแขวนคอและปล่อยลูก 3 คนทิ้งไว้ให้พี่ชายชื่อฟรานซิสดูแล ฮอบบส์ได้เข้าเรียนในโรงเรียนโบสถ์ตั้งแต่อายุ 4 ขวบ และเรียนต่อในชั้นที่สูงขึ้นตามลำดับ ฮอบส์เป็นนักเรียนดีและได้เข้าเรียนต่อระดับมหาวิทยาลัยที่เฮิร์ทฟอร์ดคอลเลจ มหาวิทยาลัยออกซฟอร์ดเมื่อ พ.ศ. 2146 ที่มหาวิทยาลัย ฮอบส์ได้เป็นครูกวดวิชาให้กับบุตรชายของวิลเลียม คาเวนดิช บารอนแห่งฮาร์ดวิกซึ่งกลายเป็นมิตรภาพกับครอบครัวนี้อย่างต่อเนื่องกันไปชั่วชีวิต ฮอบบส์กลายเป็นคู่หูของวิลเลียมผู้เยาว์ ได้ร่วม "การท่องเที่ยวครั้งใหญ่" (Grand tour -ประเพณีของคนอังกฤษชั้นสูงวัยหนุ่มระหว่างประมาณ พ.ศ. 2200 - พ.ศ. 2360 เพื่อท่องยุโรปแผ่นดินใหญ่เพื่อเรียนรู้ แสวงหาและสัมผัสกับปรัชญาและวิทยาศาสตร์ใหม่ ๆ ที่รุ่งเรืองในที่นั้น) ฮอบบส์ได้สัมผัสกับวิทยาศาสตร์และวิธีการคิดเชิงวิฤติของยุโรปซึ่งแตกต่างกับ "ปรัชญาอัสมาจารย์" (scholastic philosophy) ที่ได้เขาเคยเรียนที่ออกซฟอร์ดซึ่งมุ่งเรียนอย่างจริงจังทางกรีกคลาสสิกและละติน แม้ว่าฮอบส์จะมีโอกาสได้คลุกคลีกับนักปรัชญามีชื่อเช่น เบน จอนสัน และ ฟรานซิส เบคอนมานานแต่ก็ไม่ได้สนใจด้านปรัชญาจนกระทั่งถึงหลังจาก พ.ศ. 2172 คาเวนดิชซึ่งได้เลื่อนเป็นเอร์ลแห่งเดวอนไชร์ผู้เป็นนายจ้างฮอบส์ได้เสียชีวิตเมื่อ พ.ศ. 2171 และภริยาหม้ายของคาเวนดิชได้บอกเลิกจ้างเขา แต่ในเวลาต่อมาฮอบบส์ก็ได้งานใหม่เป็นครูกวดวิชาให้กับลูกของเซอร์เกอร์วาส คลิฟตันซึ่งส่วนใหญ่ทำงานในปารีสและจบลงเมื่อ พ.ศ. 2174 เนื่องจากการได้พบกับครอบครัวคาเวนดิชอีกครั้งหนึ่ง คราวนี้เป็นงานกวดวิชาให้กับลูกชายของนักเรียนเก่า ในช่วงต่อมาอีก 7 ปี ฮอบส์ได้เพิ่มพูนความรู้ด้านปรัชญาไปพร้อมกับงานกวดวิชาซึ่งทำให้เขาเกิดความอยากรู้อยากอภิปรายเกี่ยวปรัชญามากขึ้นและได้กลายเป็นนักอภิปรายปรัชญาหลักที่เป็น "ขาประจำ" ในยุโรป และจากปี พ.ศ. 2180 เป็นต้นมา ฮอบส์ได้ถือว่าตนเองเป็นนักปรัชญาและผู้รอบรู้ == ปารีส == ที่ปารีสฮอบส์ได้ศึกษาลัทธิปรัชญาในหลาย ๆ ด้านและได้ทดลองเข้าถึงปัญหาด้วยแนวทางฟิสิกส์ ได้พยายามไปถึงการวางระบบความคิดที่ละเอียดบรรจงขึ้นซึ่งได้กลายเป็นงานที่ฮอบบ์ได้อุทิศชีวิตให้ ฮอบส์ได้ทำศาสตรนิพนธ์หลายเรื่อง เช่นเกี่ยวกับลัทธิที่เป็นระบบเกี่ยวกับร่างกายเพื่อแสดงให้เห็นว่าปรากฏการณ์ทางกายภาพสามารถอธิบายอาการเคลื่อนไหวได้อย่างไร ฮอบบ์ได้แยกเอา ''มนุษย์'' ออกจาก''อาณาจักรของธรรมชาติ''และ''พืชพรรณ'' ในอีกศาสนตรนิพนธ์หนึ่ง ฮอบบ์ได้แสดงให้เห็นว่าการเคลื่อนไหวเฉพาะบางอย่างของร่างกายเนื่องมาจากผลของปรากฏการณ์''ผัสสาการ'' (ศัพท์ปรัชญา = sensation) ''ความรู้'' ''วิภาพ'' (ความชอบ = affection) และ''กัมมภาวะ'' (ความดูดดื่ม, กิเลส = passion) และสุดท้ายในศาสตรนิพนธ์อันลือชื่อ ฮอบบ์แสดงให้เห็นว่ามนุษย์ถูกผลักดันเข้าสังคมได้อย่างไรและตั้งประเด็นว่าจะต้องออกกฎระเบียบใช้บังคับหากไม่ต้องการให้มนุษย์ต้องตกสู่ "ความเหี้ยมโหดและความทุกข์ระทม" ทำให้ฮอบบ์เสนอการรวมปรากฏการณ์ที่ว่าแยกกันของ ''ร่างกาย" ''มนุษย์''และ ''รัฐ'' เข้าเป็นหนึ่งเดียว โทมัส ฮอบบ์กลับบ้านเมื่อ พ.ศ. 2180 ในขณะที่อังกฤษกำลังเกิดสงครามกลางเมืองสู้กันระหว่างบิชอปซึ่งมีผลกระทบต่องานศึกษาค้นคว้าทางปรัชญา แต่ฮอบส์ก็สามารถเขียนศาสตรนิพนธ์เรื่อง "Human Nature" และ "De Corpore Politico" แล้วเสร็จและตีพิมพ์ร่วมกันภายหลังใน 10 ปีต่อมาในชื่อ "The Element Of Law" ในปี พ.ศ. 2183 ฮอบส์ได้หนีกลับไปฝั่งเศสอีกครั้งด้วยรู้ว่าการเผยแพร่ศาสตรนิพนธ์ที่เขาเขียนขึ้นกำลังให้ร้ายแก่ตัวเอง คราวนี้ฮอบส์ไม่ได้กลับบ้านอีกเป็นเวลา 11 ปี ฮอบส์ได้เขียนหนังสืออื่น ๆ อีกหลายเล่มเกี่ยวกับปรัชญาการเมือง เขาเกิดในยุคเดียวกับ เรอเน เดส์การตส์|เดส์การตส์ และเขียนบทวิจารณ์ตอบบทหนึ่งของหนังสือ ''"การครุ่นคิด"'' ของเดส์การตส์ซึ่งตีพิมพ์เมื่อพ.ศ. 2184 งานเขียนหลาย ๆ เรื่องของฮอบส์ได้ส่งให้เขามีชื่อเสียงมากขึ้นในวงวิชาการด้านปรัชญา == เลอไวอะทัน == ไฟล์:Leviathan_by_Thomas_Hobbes.jpg|thumb|right|Frontispiece of ''Leviathan'' "เลอไวอะทัน" (Leviathan) (พ.ศ. 2194) เป็นศาสตรนิพนธ์ชิ้นเอกด้านปรัชญาทางการเมืองที่ฮอบส์ใช้เผยแพร่ "ลัทธิพื้นฐานของสังคมกับรัฐบาลที่ชอบธรรม" ซึ่งเนื้อหาของหนังสือนี้ได้กลายเป็นต้นตำหรับของงานวิชาการทางปรัชญาด้าน "สัญญาประชาคม" และในหนังสือ "สภาวะตามธรรมชาติของมวลมนุษย์" ในเวลาต่อมา ซึ่งว่าในขณะที่คน ๆ หนึ่งที่อาจแข็งแรงหรือฉลาดกว่าใคร ๆ แต่เมื่อกำลังจะถูกฆ่าให้ตาย ในฐานะมนุษย์ตามสภาวะตามธรรมชาติ เมื่อหลีกเลี่ยงไม่ได้ก็จะต่อสู้ทุกวิถีทาง ฮอบส์ถือว่าการต่อสู้ป้องกันตัวเพื่อเอาชีวิตรอดจากสิ่งใดก็ตามในโลกเป็นสิทธิ์และความจำเป็นตามธรรมชาติของมนุษย์ ''เลอไวอะทัน''เป็นงานที่ฮอบส์เขียนขึ้นในระหว่างความยากลำบากของสงครามกลางเมืองของอังกฤษที่เต็มไปด้วยความยุ่งเหยิงที่มีการเรียกร้องให้มีรัฐบาลกลางที่เข้มแข็งเพื่อป้องกันไม่ให้เกิดความไม่ลงรอยที่นำไปสู่สงครามกลางเมือง มีการยอมให้ใช้อำนาจมากไปบ้างเพื่อรักษาสันติภาพ ด้วยสภาวะความยุ่งเหยิงทางการเมืองขณะนั้นทำให้ทฤษฎีทางการเมืองของฮอบส์ที่ว่า องค์อธิปัตย์ หรือ อำนาจอธิปไตยควรมีอำนาจในการควบคุมพลเรือน ทหาร ตุลาการ และศาสนาได้รับการยอมรับ ฮอบส์แสดงออกมาอย่างเปิดเผยว่าองค์อธิปัตย์จะต้องมีอำนาจครอบคลุมไปถึงศรัทธาและลัทธิ และว่าถ้าไม่ทำเช่นนั้นย่อมเป็นการนำไปสู่ความแตกแยกในที่สุด === ฮอบบีเซียน (Hobbesian) === คำว่า ''ฮอบบีเซียน'' ในภาษาอังกฤษใหม่บางครั้งหมายถึงสถานการณ์ของการแข่งขันที่ไม่มีการควบคุม มีแต่ความเห็นแก่ตัวและไร้อารยธรรม เป็นความหมายที่นิ่งแล้ว แต่ก็เพี้ยนไม่ตรงความเป็นจริงด้วยเหตุผล 2 ประการคือ ประการแรก''เลอไวอะทัน''ได้พรรณาสถานการณ์นี้ไว้จริงแต่เพื่อเพียงใช้สำหรับการวิจารณ์ อีกประการหนึ่งฮอบส์และเป็นหนอนหนังสือเป็นกระดากที่จะชี้แจง อีกความหมายหนึ่งที่ใช้เกือบทันทีหลังการตีพิมพ์คือ "อำนาจคือธรรม" == ชีวิตบั้นปลาย == ฮอบส์ได้พยายามตีพิมพ์ผลงานด้านคณิตศาสตร์และฟิสิกส์ที่ไม่ค่อยดีนักไปพร้อม ๆ กับงานด้านปรัชญา ในช่วงของ ''ยุคปฏิสังขรณ์'' (The Restoration) (การฟื้นฟูราชวงศ์อังกฤษ ราชวงศ์สกอตแลนด์ และราชวงศ์ไอร์ริชโดยพระเจ้าชาร์ลที่ 2 กษัตริย์หนุ่มของอังกฤษ) ชื่อเสียงของฮอบส์ได้โด่งดังขึ้นจนพระเจ้าชาร์ล ที่ 2 ซึ่งเป็นลูกศิษย์ของฮอบส์เมื่อครั้งยังเป็นปรินซ์ออฟเวลล์ลี้ภัยอยู่ในปารีสจำได้ จึงมีรับสั่งให้ฮอบส์เข้ารับราชการในราชสำนักและพระราชทานบำนาญแก่ฮอบส์ปีละ 100 ปอนด์ พระเจ้าชาร์ลต้องช่วยปกป้องฮอบส์จากการถูกกล่าวหาว่าเขียนหนังสือหมิ่นศาสนาและไม่ยอมรับว่าพระเจ้ามีตัวตนจากซึ่งเกิดจากความพยายามของรัฐสภาที่จะออกกฎหมายเพื่อเอาผิดฮอบส์ แม้จะเอาผิดฮอบส์ไม่ได้ แต่ก็มีผลทำให้ฮอบส์ไม่กล้าตีพิมพ์งานของเขาในอังกฤษอีก ในเดือนตุลาคม พ.ศ. 2222 ฮอบส์ป่วยด้วยโรคเกี่ยวกับกระเพาะปัสสาวะ ตามด้วยภาวะเส้นเลือดในสมองแตกจนเป็นอัมพาต ฮอบส์เสียชีวิตลงเมื่อวันที่ 4 ธันวาคมปีนั้น ด้วยวัย 91 ปี ศพได้รับการฝังที่สนามของโบสถ์อัลท์ฮักนาล ในเดวอนไชร์ ประเทศอังกฤษ โทมัส ฮอบส์ มีอายุยืนยาวมาก มีชีวิตอยู่ตรงกับระหว่างรัชสมัยของสมเด็จพระมหาธรรมราชา และสมเด็จพระเพทราชาในสมัยอยุธยาซึ่งในช่วงนั้นมีกษัตริย์อยุธยาครองราชย์รวมแล้วถึง 12 รัชกาล == อ้างอิง == * Macpherson, C. B. (1962). The Political Theory of Possessive Individualism: Hobbes to Locke. Oxford: Oxford University Press. * Robinson, Dave & Groves, Judy (2003). Introducing Political Philosophy. Icon Books. ISBN 1-84046-450-X. หมวดหมู่:นักปรัชญาชาวอังกฤษ หมวดหมู่:นักปรัชญาการเมือง
โทมัส ฮอบส์
กล่องข้อมูล นักเขียน | name = อัศนี พลจันทร | image = Assanee.jpg | imagesize = | caption = | pseudonym = นายผีลุงไฟ | birth_date = | birth_place = จังหวัดราชบุรี สยาม|ประเทศสยาม | death_date = | death_place = แขวงอุดมไซ ประเทศลาว | occupation = อัยการ, นักเขียน, นักปฏิวัติ, คอลัมน์นิสต์, นักประพันธ์ | nationality = ไทย | father = | mother = | spouse = วิมล พลจันทร | children = 4 คน | period = | genre = | subject = | movement = | debut_works = | notable_works = เดือนเพ็ญ (เพลง)|เพลงเดือนเพ็ญ | notable_awards = | influences = | influenced = | signature = | website = | footnotes = '''อัศนี พลจันทร''' หรือในนามปากกาว่า '''นายผี''' และ '''สหายไฟ''' หรือ '''ลุงไฟ''' (15 กันยายน พ.ศ. 2461 — 28 พฤศจิกายน พ.ศ. 2530) นักประพันธ์และนักปฏิวัติชาวไทย รู้จักกันในฐานะผู้แต่งเพลงเดือนเพ็ญ (เพลง)|เดือนเพ็ญ (คิดถึงบ้าน) == ประวัติ == อัศนี พลจันทร เกิดเมื่อวันที่ 15 กันยายน พ.ศ. 2461 ที่บ้านท่าเสา ตำบลหน้าเมือง อำเภอเมือง จังหวัดราชบุรี บิดาคือ '''พระมนูกิจวิมลอรรถ (เจียร พลจันทร)''' มารดาคือ '''สอิ้ง มนูกิจวิมลอรรถ''' ซึ่งหากสืบเชื้อสายทางบิดาขึ้นไปจนถึงสมัยสมเด็จพระเจ้ากรุงธนบุรี จะพบว่าต้นตระกูลคือ '''พระยาพล''' เดิมชื่อนายจัน เคยรบกับพม่า จนได้ชัยชนะและเป็นผู้รั้งเมืองกาญจนบุรีในสมัยรัตนโกสินทร์ตอนต้น อัศนี พลจันทร จบชั้นมัธยม 5 แล้วศึกษาต่อจนจบชั้นมัธยม 8 ที่โรงเรียนสวนกุหลาบวิทยาลัย เมื่อ พ.ศ. 2479 ในขณะที่ศึกษาที่มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ได้สนใจในด้านวรรณกรรมโดยใช้นามปากกาว่า '''นายผี''' และเป็นที่รู้จักเมื่ออัศนีได้เป็นคนควบคุมคอลัมน์กวี ในนิตยสารรายสัปดาห์ เอกชน (นิตยสาร)http://www.matichon.co.th/youth/youth.php?tagsub=031113&tag950=03you30230745&show=1 ประวัติ นายผี จาก มติชน ชีวิตครอบครัว อัศนี สมรสกับ วิมล พลจันทร มีบุตรด้วยกัน 4 คน ทั้งหญิงชาย ได้แก่ วิมลมาลี พลจันทร กับ โกลิศ พลจันทร นกุลและสหเทพเป็นน้องฝาแฝดสุดท้อง == การทำงาน == อัศนีเริ่มรับราชการครั้งแรกเป็นอัยการผู้ช่วยชั้นตรี เมื่อ 21 กรกฎาคม พ.ศ. 2484 ถูกย้ายไปที่จังหวัดปัตตานี เนื่องจากมีปัญหากับหัวหน้างาน อยู่ปัตตานีได้ 2 ปีก็ถูกสั่งย้ายไปที่จังหวัดสระบุรี|สระบุรี ด้วยทางการได้ข่าวว่าให้การสนับสนุนชนชาวมลายูต่อต้านรัฐบาลจอมพล ป. พิบูลสงคราม ผ่านไป 4 ปีเศษมีคำสั่งให้ย้ายไปจังหวัดพระนครศรีอยุธยา|อยุธยา เนื่องจากขัดแย้งกับข้าหลวง จากนั้นถูกสั่งให้กลับมาประจำกองคดี กรมอัยการ กระทรวงมหาดไทย เหตุเพราะความเป็นคนตรงไปตรงมา ภายหลังมีปัญหาท้ายที่สุดจึงตัดสินใจลาออกเมื่อสิ้นปี พ.ศ. 2495 ในช่วง พ.ศ. 2495 จอมพล ป. มีคำสั่งให้จับกุมนักเขียนและนักหนังสือพิมพ์ที่มีผลงานไม่เห็นด้วยกับรัฐบาล ทำให้อัศนีต้องหลบซ่อนตัวอยู่ในกรุงเทพมหานคร ผลงานวรรณกรรมในช่วงนั้นคือ "ความเปลี่ยนแปลง", "เราชนะแล้วแม่จ๋า" ในปี พ.ศ. 2504 ได้ปรากฏตัวอีกครั้งในนาม '''สหายไฟ''' ภายใต้พรรคคอมมิวนิสต์แห่งประเทศไทย เขาเสียชีวิตเมื่อวันที่ 28 พฤศจิกายน พ.ศ. 2530 ในแขวงอุดมไซ ประเทศลาวมีข่าวอีกกระแสว่าเสียที่เวียตนามและเวียตนามได้ฝังศพไว้รอญาติโดยจุดตะเกียงไว้ข้างหลุมในสุสาน และได้นำกระดูกกลับสู่ประเทศไทยเมื่อ 22 พฤศจิกายน พ.ศ. 2540 == ผลงานเขียน == ช่วงชีวิตของอัศนี มีงานเขียน บทกวี มาอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะบทกวีที่ชื่อ '''อีศาน''' ที่ลงพิมพ์ในสยามสมัย นับเป็นบทกวีที่ลือเลื่อง จนกลายเสมือนเป็นตัวแทนนายผี จิตร ภูมิศักดิ์ ยกย่องกวีบทนี้ว่า ตีแผ่ความยากเข็ญของชีวิตและปลุกเร้าจิตวิญญาณการต่อสู้ของประชาชนได้อย่างเพียบพร้อม มีพลัง ทั้งเชิดชูนายผีเป็น '''มหากวีของประชาชน''' โดยผลงานได้มีการกล่าวถึงมากมายในช่วง เหตุการณ์ 14 ตุลา เพลง '''คิดถึงบ้าน''' หรือ '''เดือนเพ็ญ (เพลง)|เดือนเพ็ญ''' ที่อัศนีเขียนขึ้นเพราะความรู้สึกคิดถึงบ้านนับเป็นเพลงที่ถูกบันทึกเสียงและขับขานในวาระต่างๆ มากที่สุดเพลงหนึ่ง ทำให้ชื่อ นายผี อัศนี พลจันทร เป็นที่รู้จักและจดจำในวงกว้างhttp://huexonline.com/knowledge/15/67/ ชีวประวัติบุคคลสำคัญ ผลงานท่านอัศนีล่าสุดได้ตีพิมพ์โดยสำนักพิมพ์ "อ่าน." == นามปากกา == นามปากกาของอัศนีมีเป็นจำนวนมาก เช่น *นายผี *ลุงไฟ *อินทรายุทธ *กุลิศ อินทุศักดิ์ *ประไพ วิเศษธานี *กินนร เพลินไพร *หง เกลียวกาม *จิล พาใจ *อำแดงกล่อม *นางสาวอัศนี == อ้างอิง == == แหล่งข้อมูลอื่น == *https://prachatai.com/journal/2018/04/76230 นาย คือ บดี ผี คือ ปิศาจ 100 ปี 'นายผี' จากอัยการ นักเขียน สู่นักปฏิวัติ หมวดหมู่:บุคคลจากอำเภอเมืองราชบุรี หมวดหมู่:ข้าราชการฝ่ายอัยการชาวไทย หมวดหมู่:นักเขียนชาวไทย หมวดหมู่:นักแต่งเพลงชาวไทย หมวดหมู่:นักเคลื่อนไหวชาวไทย หมวดหมู่:บุคคลจากโรงเรียนสวนกุหลาบวิทยาลัย หมวดหมู่:บุคคลจากคณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ หมวดหมู่:นักลัทธิคอมมิวนิสต์ หมวดหมู่:นักปฏิวัติ หมวดหมู่:พรรคคอมมิวนิสต์แห่งประเทศไทย หมวดหมู่:ชาวไทยที่เสียชีวิตในประเทศลาว หมวดหมู่:ผู้ลี้ภัยชาวไทย หมวดหมู่:บุคคลในประวัติศาสตร์กรุงรัตนโกสินทร์
อัศนี พลจันทร
| style="float: right;" |- | | ไฟล์:Plato.png|framed|"แนวคิดหลักทางปรัชญาของยุโรป ล้วนแต่เป็นเชิงอรรถของเพลโต" -- อัลเฟรด นอร์ท ไวท์เฮด, Process and Reality, ค.ศ. 1929 '''ปลาตอน''' (, ''Plátōn'', ; 427 – 347 ปีก่อน ค.ศ.) หรือ '''เพลโต''' () เป็นนักปรัชญาชาวกรีกโบราณที่มีอิทธิพลอย่างสูงต่อแนวคิดตะวันตก เขาเป็นลูกศิษย์ของโสกราตีส เป็นอาจารย์ของอริสโตเติล เป็นนักเขียน และเป็นผู้ก่อตั้งอาคาเดมีซึ่งเป็นสำนักวิชาในกรุงเอเธนส์ เพลโตใช้เวลาส่วนใหญ่สอนอยู่ที่อาคาเดมี แต่เขาก็ได้เขียนเกี่ยวกับปัญหาทางปรัชญาไว้เป็นจำนวนมาก โลกปัจจุบันรู้จักเขาผ่านทางงานเขียนที่หลงเหลืออยู่ ที่ถูกนำขึ้นมาแปลและจัดพิมพ์เป็นในช่วงการเคลื่อนไหวด้านมนุษยนิยม งานเขียนของเพลโตนั้นส่วนมากแล้วเป็นบทสนทนา คำคม และจดหมาย ผลงานที่เป็นที่รู้จักของเพลโตนั้นหลงเหลืออยู่ทั้งหมด อย่างไรก็ตามชุดรวมงานแปลปัจจุบันของเพลโตมักมีบางบทสนทนาที่นักวิชาการจัดว่าน่าสงสัย หรือคิดว่ายังขาดหลักฐานที่จะยอมรับว่าเป็นของแท้ได้ ในบทสนทนาของเพลโลนั้น บ่อยครั้งที่มีโสกราตีสเป็นตัวละครหลัก ซึ่งเป็นสิ่งที่สร้างความสับสนว่าความเห็นส่วนใดเป็นของโสกราตีส และส่วนใดเป็นของเพลโต == ประวัติ == == ผลงาน == === ประเด็นหลัก === ในงานเขียนของเพลโต เราจะพบการโต้เถียงเกี่ยวกับรูปแบบของการปกครองทั้งแบบเจ้าขุนมูลนาย และแบบประชาธิปไตย เราจะพบการโต้เถียงเกี่ยวกับผลของสิ่งแวดล้อมกับผลของพันธุกรรม ต่อสติปัญญาและอุปนิสัยของมนุษย์ ซึ่งการโต้เถียงนี้เกิดขึ้นมานานก่อนการโต้เถียงเรื่อง "ธรรมชาติหรือการเลี้ยงดู" ที่มีขึ้นในช่วงเวลาของโทมัส ฮอบบส์|ฮอบบส์ และจอห์น ล็อก|ล็อก และยังมีผลต่อเนื่องมาถึงงานเขียนที่ก่อให้เกิดการโต้แย้งเช่นหนังสือ ''The Mismeasure of Man'' และ ''The Bell Curve'' เรายังจะพบข้อคิดเห็นที่สนับสนุนอัตวิสัยและปรวิสัยของความรู้ของมนุษย์ ที่มีผลมาถึงการโต้เถียงสมัยใหม่ระหว่างเดวิด ฮูม|ฮูม และอิมมานูเอิล คานท์|คานท์ หรือระหว่างนักหลังสมัยใหม่นิยมและผู้ที่ไม่เห็นด้วย กระทั่งเรื่องราวของเมืองหรือทวีปที่สาบสูญเช่นแอตแลนติส ก็ยังถูกยกมาเป็นตัวอย่างในงานของเพลโต เช่น ''Timaeus'' หรือ ''Critias'' === รูปแบบ === เพลโตเขียนงานแทบทั้งหมดในรูปของบทสนทนา ในงานชิ้นแรก ๆ ตัวละครสนทนาโดยการถามคำถามกันไปมา อย่างมีชีวิตชีวา ตัวละครที่โดดเด่นคือโสกราตีสที่ใช้รูปแบบของวิภาษวิธีที่ยังไม่ถูกจัดเป็นระบบ กลุ่มของผลงานนี้รวมเรียกว่าบทสนทนาโสกราตีส แต่คุณภาพของบทสนทนาได้เปลี่ยนแปลงไปอย่างมากตลอดช่วงชีวิตของเพลโต เป็นที่ยอมรับกันทั่วไปว่างานชิ้นแรก ๆ ของเพลโตนั้น วางรากฐานอยู่บนความคิดของโสกราตีส ในขณะที่ในงานเขียนชิ้นถัด ๆ มา เขาได้ค่อย ๆ ฉีกตัวเองออกจากแนวคิดของอาจารย์ของเขา ในงานชิ้นกลาง ๆ โสกราตีสได้กลายเป็นผู้พูดของปรัชญาของเพลโต และรูปแบบของการถาม-ตอบ ได้เปลี่ยนเป็นแบบ "เหมือนท่องจำ" มากขึ้น: ตัวละครหลักนั้นเป็นตัวแทนของเพลโต ในขณะที่ตัวละครรอง ๆ ไป แทบไม่มีอะไรจะกล่าวนอกจาก "ใช่" "แน่นอน" และ "จริงอย่างยิ่ง" งานชิ้นหลัง ๆ แทบจะมีลักษณะเหมือนเรียงความ และโสกราตีสมักไม่ปรากฏหรือเงียบไป เป็นที่คาดการณ์กันว่างานชิ้นหลัง ๆ นั้นเขียนโดยเพลโตเอง ส่วนงานชิ้นแรก ๆ นั้นเป็นบันทึกของบทสนทนาของโสกราตีสเอง ปัญหาว่าบทสนทนาใดเป็นบทสนทนาของโสกราตีสอย่างแท้จริง เรียกว่าปัญหาโสกราตีส ลักษณะการสร้างฉากที่มองเห็นได้ของบทสนทนา สร้างระยะห่างระหว่างเพลโตและผู้อ่าน กับปรัชญาที่กำลังถูกถกเถียงในนั้น ผู้อ่านสามารถเลือกรูปแบบการรับรู้ได้อย่างน้อยสองแบบ: อาจจะเข้าไปมีส่วนร่วมในบทสนทนาเกี่ยวกับแนวคิดที่กำลังพูดคุยกันอยู่, หรือเลือกที่จะมองเนื้อหาว่าเป็นการแสดงออกถึงอุปนิสัยที่อยู่ในผลงานนั้น ๆ รูปแบบการสนทนาทำให้เพลโตสามารถถ่ายทอดความเห็นที่ไม่เป็นที่นิยมผ่านทางตัวละครที่พูดจาไม่น่าคล้อยตาม เช่น Thrasymachus ใน ''สาธารณรัฐ (เพลโต)|สาธารณรัฐ'' == อภิปรัชญาของเพลโต: ลัทธิเพลโต หรือ สัจนิยม == ผลงานที่เป็นที่จดจำที่สุด หรืออาจเป็นผลงานที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของเพลโต ก็คืออภิปรัชญาแบบทวิภาค ที่มักเรียกกันว่า (ในอภิปรัชญา) ลัทธิเพลโต หรือ (ถ้าเรียกให้เกินจริง) สัจนิยม &nbsp;&nbsp; อภิปรัชญาของเพลโตได้แบ่งโลกออกเป็นสองมุม คือ โลกของรูปแบบ (form) และโลกที่รับรู้ได้ เขามองว่าโลกที่รับรู้ได้ รวมถึงสิ่งของต่าง&nbsp; ๆ ในนั้น คือ สำเนาที่ไม่สมบูรณ์แบบจาก ''รูปแบบ'' ที่คิดคำนึงได้ หรือ ''แนวความคิด'' &nbsp; โดยที่รูปแบบเหล่านี้จะไม่เปลี่ยนแปลง และอยู่ในสภาวะสมบูรณ์แบบเสมอ &nbsp; การทำความเข้าใจกับรูปแบบเหล่านี้จะต้องใช้สติปัญญา หรือความเข้าใจเท่านั้น อย่างไรก็ตามแนวคิดของการแบ่งแยกนี้ได้มีการค้นพบมาก่อนหน้าเพลโนในปรัชญาของโซโรแอสเตอร์ โดยเรียกว่าโลกมินู (ปัญญา) และ โลกกีติ (สัมผัส) รวมถึงแนวคิดเกี่ยวกับรัฐอุดมคติ ที่โซโรแอสเตอร์เรียกว่า ชาห์ริวาร์ (เมืองอุดมคติ) <!-- In the ''Republic'' Books VI and VII, Plato uses a number of metaphors to explain his metaphysical views: the metaphor of Plato's metaphor of the sun|the sun, the well-known Plato's allegory of the cave|allegory of the cave, and most explicitly, the divided line of Plato|the divided line. Taken together, the number of these metaphors convey a complex and, in places, difficult theory: there is something called The Form of the Good (often interpreted as Plato's God) , which is the ultimate object of knowledge and which as it were sheds light on all the other forms (i.e., universals: abstract kinds and attributes) and from which all other forms "emanate." The Form of the Good does this in somewhat the same way as the sun sheds light on or makes visible and "generates" things in the perceptual world. (See Plato's metaphor of the sun.) In the perceptual world the particular objects we see around us bear only a dim resemblance to the more ultimately real forms of Plato's intelligible world: it is as if we are seeing shadows of cut-out shapes on the walls of a cave, which are mere representations of the reality outside the cave, illuminated by the sun. (See Plato's allegory of the cave.) We can imagine everything in the universe represented on a line of increasing reality; it is divided once in the middle, and then once again in each of the resulting parts. The first division represents that between the intelligible and the perceptual worlds. Then there is a ''corresponding'' division in each of these worlds: the segment representing the perceptual world is divided into segments representing "real things" on the one hand, and shadows, reflections, and representations on the other. Similarly, the segment representing the intelligible world is divided into segments representing first principles and most general forms, on the one hand, and more derivative, "reflected" forms, on the other. (See the divided line of Plato.) The form of government derived from this philosophy turns out to be one of a rigidly fixed hierarchy of hereditary classes, in which the arts are mostly suppressed for the good of the state, the size of the city and its social classes is determined by mathematical formula, and eugenic measures are applied secretly by rigging the lotteries in which the right to reproduce is allocated. The tightness of connection of such government to the lofty and original philosophy in the book has been debated. Plato's metaphysics, and particularly the dualism between the intelligible and the perceptual, would inspire later Neoplatonism|Neoplatonic thinkers (see Plotinus and Gnosticism) and other metaphysical realists. For more on Platonic realism in general, see Platonic realism and the Forms. Plato also had some influential opinions on the nature of knowledge and learning which he propounded in the Meno (Plato)|Meno, which began with the question of whether virtue can be taught, and proceeded to expound the concepts of recollection, learning as the discovery of pre-existing knowledge, and right opinion, opinions which are correct but have no clear justification (see Platonic epistemology). --> == สาขาวิชาที่ศึกษาเพลโต == หมวดหมู่:นักปรัชญาชาวกรีก หมวดหมู่:นักวิทยาศาสตร์ชาวกรีก หมวดหมู่:นักคณิตศาสตร์ชาวกรีก หมวดหมู่:บุคคลในศตวรรษที่ 5 ก่อนคริสตกาล หมวดหมู่:ชาวกรีกโบราณ
เพลโต
กล่องข้อมูล นักวิทยาศาสตร์ |box_width = 300px |name = ริชาร์ด ไฟน์แมน |image = RichardFeynman-PaineMansionWoods1984 copyrightTamikoThiel bw.jpg |image_size = 250px |caption = ริชาร์ด ฟิลิปป์ ไฟน์แมน (1918–1988) |birth_date = |birth_place = |death_date = |death_place = ลอสแอนเจลิส |residence = |citizenship = |nationality = |ethnicity = Russians|Russian-Poles|Polish-Jewishhttp://www.nndb.com/people/584/000026506/ NNDB profile of Richard Feynman |fields = ฟิสิกส์ |workplaces = โครงการแมนฮัตตันมหาวิทยาลัยคอร์เนลสถาบันเทคโนโลยีแคลิฟอร์เนีย |alma_mater = สถาบันเทคโนโลยีแมสซาชูเซตส์มหาวิทยาลัยพรินซ์ตัน |doctoral_advisor = John Archibald Wheeler |academic_advisors = Manuel Sandoval Vallarta |doctoral_students = Albert Hibbs|Al HibbsGeorge ZweigGiovanni Rossi Lomanitz Thomas Curtright |notable_students = Douglas D. Osheroff |known_for = Feynman diagramsFeynman pointFeynman–Kac formulaWheeler–Feynman absorber theoryFeynman sprinklerFeynman Long Division PuzzlesHellmann–Feynman theoremFeynman slash notationFeynman parametrizationSticky bead argumentOne-electron universeQuantum cellular automataหนังสือ Cosmos |author_abbrev_bot = |author_abbrev_zoo = |influences = John C. Slater |influenced = Hagen KleinertRod CrewtherJosé Leite Lopes |awards = รางวัลอัลเบิร์ต ไอน์สไตน์ (1954) Ernest Orlando Lawrence Award|E. O. Lawrence Award (1962)รางวัลโนเบลสาขาฟิสิกส์ (1965)Oersted Medal (1972)National Medal of Science (1979) |religion = Atheism|Atheist "I told him I was as strong an atheist as he was likely to find" |signature = feyn.jpg |footnotes = เขาเป็นบิดาของ คาร์ล ไฟน์แมน และ มิเชล ไฟน์แมน และเป็นพี่ชายของ โจน ไฟน์แมน '''ริชาร์ด ฟิลลิปส์ ไฟน์แมน''' () นักฟิสิกส์ชาวสหรัฐ|อเมริกัน เกิดเมื่อวันที่ 11 พฤษภาคม ค.ศ. 1918 เสียชีวิต 15 กุมภาพันธ์ ค.ศ. 1988 เป็นหนึ่งในนักฟิสิกส์ ที่ทรงคุณค่าและมีอิทธิพลมากที่สุดของคริสต์ศตวรรษที่ 20 ในการจัดอันดับนักฟิสิกส์ยอดเยี่ยมตลอดกาลของโลก โดยสำนักข่าวบีบีซี ที่ให้นักฟิสิกส์ชั้นนำของโลกร่วม 100 คนช่วยกันตัดสิน ไฟน์แมน เป็นนักฟิสิกส์สมัยใหม่เพียงคนเดียว ที่ชนะใจเหล่านักฟิสิกส์ชั้นนำทั่วโลก โดยติดอันดับ 10 คนแรกของโลก (สมัยใหม่ในที่นี้ คือนับหลังจากยุคทองของทฤษฎีควอนตัม คือในช่วงครึ่งหลังของคริสต์ศตวรรษที่ 20 ถึงปัจจุบัน ค.ศ. 2005) แม้แต่นักฟิสิกส์ผู้โด่งดังอย่างสตีเฟน ฮอว์คิง ก็ยังได้เพียงอันดับ 16 ในผลโหวต แน่นอนผลโหวตนี้ไม่สามารถตัดสินอะไรได้ แต่ก็เป็นเครื่องบ่งชี้อย่างดีว่า ไฟน์แมนมีอิทธิพลต่อวงการฟิสิกส์ยุคปัจจุบันแค่ไหน ทั้งในแง่ผลงานทางวิชาการ การสอนหนังสือ และการใช้ชีวิต ผลงานของไฟน์แมนมีมากมาย เช่น การขยายทฤษฎีพลศาสตร์ไฟฟ้าควอนตัมให้กว้างใหญ่ขึ้นมาก ซึ่งนำไปสู่รางวัลโนเบลสาขาฟิสิกส์ เมื่อปี ค.ศ. 1965 ซึ่งเขาได้ร่วมกับจูเลียน ชวิงเกอร์ และชินอิจิโร โทโมนางะ ไฟน์แมนปฏิเสธตำแหน่งนักวิจัยที่มหาวิทยาลัยพรินซ์ตัน ที่ที่ไอน์สไตน์อยู่ เพียงเพราะเขาต้องการสอนหนังสือให้กับเด็ก ครั้งหนึ่งเขาเคยพูดว่า "ผมอยากสอน เพราะในตอนที่ผมไม่มีไอเดียอะไรใหม่ ๆ ในงานวิจัย ผมก็ยังสามารถให้อะไรกับสังคมได้" ไฟน์แมนตัดสินใจรับตำแหน่งที่สถาบันเทคโนโลยีแคลิฟอร์เนีย (แคลเทค) สร้างยุคทองของมหาวิทยาลัย ร่วมกับเมอเรย์ เกลมานน์ ผู้คิดค้นทฤษฎีควาร์ก, ไลนัส พอลิง หนึ่งในนักเคมีที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในศตวรรษที่ 20 หนึ่งในผู้คิดค้นทฤษฎีควอนตัมเคมี และนักวิทยาศาสตร์ชั้นนำท่านอื่น ๆ ในแง่ของการเป็นอาจารย์ เขาได้เขียนคำบรรยายฟิสิกส์ของไฟน์แมน (Feynman Lectures on Physics) อันโด่งดัง ซึ่งเป็นแรงบันดาลใจให้กับผู้สอนวิชาฟิสิกส์เป็นจำนวนมาก ทั้งในแง่เนื้อหาและการนำเสนอ เป็นการพลิกการเรียนการสอนฟิสิกส์แบบเก่า ๆ ให้เข้าใจง่าย นอกจากนั้นเขายังเป็นหนึ่งในผู้พัฒนาอาวุธนิวเคลียร์|ระเบิดนิวเคลียร์ลูกแรกของโลก ในโครงการแมนฮัตตัน เป็นหนึ่งในผู้ตรวจสอบการระเบิดของกระสวยอวกาศแชลเลนเจอร์ และเป็นผู้ริเริ่มเสนอแนวคิดของนาโนเทคโนโลยี == ผลงานเกี่ยวกับไฟน์แมน == * ผลงานของ ริชาร์ด ไฟน์แมน ที่ทำให้เขาได้รับรางวัลโนเบล คือ "The Development of the Space-Time View of Quantum Electrodynamics" * :en:The Feynman Lectures on Physics|The Feynman Lectures on Physics == ดูเพิ่ม == * รายชื่อผู้ได้รับรางวัลโนเบล == แหล่งข้อมูลอื่น == * http://news.bbc.co.uk/1/hi/sci/tech/541840.stm การจัดอันดับนักฟิสิกส์ยอดเยี่ยมตลอดกาลของโลก โดยสำนักข่าวบีบีซีของอังกฤษ * http://nobelprize.org/physics/laureates/1965/feynman-lecture.html Richard P. Feynman - Nobel Lecture * http://www.feynman.com Feynman Online! * http://www.vega.org.uk/series/lectures/feynman/ Unique freeview videos of Feynman's lectures on QED courtesy of The Vega Science Trust and The University of Auckland * http://lib-www.lanl.gov/infores/history/feynman.htm Los Alamos National Laboratory Richard Feynman page * http://www.nobel.se/physics/laureates/1965/ The Nobel Prize Winners in Physics 1965 * http://www.nobel-winners.com/Physics/richard_phillips_feynman.html About Richard Feynman * http://www.zyvex.com/nanotech/feynman.html Feynman's classic 1959 talk:''There's Plenty of Room at the Bottom'' * http://www.longnow.org/about/articles/ArtFeynman.html Richard Feynman and The Connection Machine * * http://physicsweb.org/article/review/14/5/3 PhysicsWeb review of the play ''QED'' * http://www.sykes.easynet.co.uk/pofto.html BBC Horizon: The Pleasure of Finding Things Out — with Richard Feynman. A 50-minute documentary interview with Feynman recorded in 1981 * http://www.nobelprizes.com/nobel/physics/1965c.html Richard Feynman, Winner of the 1965 Nobel Prize in Physics == อ้างอิง == หมวดหมู่:นักฟิสิกส์ชาวอเมริกัน หมวดหมู่:ผู้ได้รับรางวัลโนเบลสาขาฟิสิกส์ หมวดหมู่:ชาวอเมริกันผู้ได้รับรางวัลโนเบล หมวดหมู่:บุคคลจากควีนส์ หมวดหมู่:ศิษย์เก่าจากสถาบันเทคโนโลยีแมสซาชูเซตส์ หมวดหมู่:ศิษย์เก่าจากมหาวิทยาลัยพรินซ์ตัน หมวดหมู่:โครงการแมนแฮตตัน หมวดหมู่:บุคคลจากมหาวิทยาลัยคอร์เนล หมวดหมู่:บุคคลจากสถาบันเทคโนโลยีแคลิฟอร์เนีย
ริชาร์ด ไฟน์แมน
กล่องข้อมูล ผู้นำประเทศ | name = ป๋วย อึ๊งภากรณ์ | honorific-prefix = ศาสตราจารย์ ยศทหารและตำรวจไทย|พันตรี | honorific-suffix = | image = ป๋วย อึ้งภากรณ์.jpg | imagesize = | order = ผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย | term_start = 11 มิถุนายน พ.ศ. 2502 | term_end = 15 สิงหาคม พ.ศ. 2514 () | predecessor = โชติ คุณะเกษม | successor = พิสุทธิ์ นิมมานเหมินท์ | order2 = มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์#ทำเนียบผู้ประศาสน์การและอธิการบดี|อธิการบดีมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ | term_start2 = 30 มกราคม พ.ศ. 2518 | term_end2 = 6 ตุลาคม พ.ศ. 2519 () | predecessor2 = อดุล วิเชียรเจริญ|ศ.ดร.อดุล วิเชียรเจริญ (รักษาการ) | successor2 = นงเยาว์ ชัยเสรี|ศ.คุณหญิงนงเยาว์ ชัยเสรี (รักษาการ) | birth_date = | birth_place = จังหวัดพระนคร อาณาจักรรัตนโกสินทร์|ประเทศสยาม | death_date = | death_place = ลอนดอน ประเทศอังกฤษ | alma_mater = มหาวิทยาลัยลอนดอน | occupation = นักเศรษฐศาสตร์, อาจารย์ | spouse = มาร์เกรท สมิท | children = จอน อึ๊งภากรณ์ ไมตรี อึ๊งภากรณ์ ใจ อึ๊งภากรณ์ | allegiance = ubl|| ขบวนการเสรีไทย | branch = | serviceyears = 2485–2488 | rank = ยศทหารกองทัพบกสหราชอาณาจักร|พันตรี (ชั่วคราว) | unit = กองกำลัง 136 ช้างเผือก | commands = | battles = ปฏิบัติการแอพพรีชีเอชั่น (2487) | education = | mawards = เครื่องราชอิสริยาภรณ์จักรวรรดิบริติช|MBE ฝ่ายทหาร | signature = Puey Ung Signature.jpg | footnotes = ศาสตราจารย์ พันตรี '''ป๋วย อึ๊งภากรณ์''' (9 มีนาคม พ.ศ. 2459 — 28 กรกฎาคม พ.ศ. 2542) เป็นเศรษฐศาสตร์|นักเศรษฐศาสตร์ชาวไทย ผู้เคยดำรงตำแหน่งผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย ที่มีอายุน้อยที่สุด ด้วยวัย 43 ปี 3 เดือนhttp://www.moneychannel.co.th/news_detail/4308/%E0%B8%84%E0%B8%A5%E0%B8%B1%E0%B8%87%E0%B8%A1%E0%B8%B1%E0%B9%88%E0%B8%99%E0%B9%83%E0%B8%88%E2%80%9C%E0%B8%A7%E0%B8%B4%E0%B8%A3%E0%B9%84%E0%B8%97%E2%80%9D%E0%B8%A1%E0%B8%B5%E0%B8%9D%E0%B8%B5%E0%B8%A1%E0%B8%B7%E0%B8%AD- คลังมั่นใจ“วิรไท”มีฝีมือ "ประสาร" ฝากนโยบาย, Moneychannel .สืบค้นเมื่อ 7 ก.ค. 2558 และได้ดำรงตำแหน่งยาวนานที่สุดสารป๋วย, ปีที่ 1 ฉบับที่ 8 ธันวาคม 2558, หน้า 9, กษิดิศ อนันทนาธร .สืบค้นเมื่อ 23 มกราคม 2558 และอธิการบดีมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์คนที่ 10 เขาเกิดและเติบโตจากครอบครัวชาวจีน สำเร็จการศึกษาธรรมศาสตรบัณฑิต จากมหาวิทยาลัยวิชาธรรมศาสตร์และการเมือง ในช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 ประเทศไทยเข้าร่วมพันธมิตรกับญี่ปุ่น ป๋วยก็ได้ร่วมก่อตั้งคณะเสรีไทยขึ้นในประเทศอังกฤษ หนหนึ่งเขาเสี่ยงชีวิตลอบกระโดดร่มเข้าไทย ณ บ้านวังน้ำขาว จังหวัดชัยนาท จนได้ชื่อว่าเป็น “'''วีรบุรุษวังน้ำขาว'''”http://alumni.tu.ac.th/calendar/detail.aspx?id=4 สืบทอดปณิธานอาจารย์ป๋วย “พัฒนาชาติ ทุกคนกินดีอยู่ดี” และ“สังคมเสมอภาคและเป็นธรรม”, สำนักงานศิษย์เก่าสัมพันธ์ มธ. .สืบค้นเมื่อ 23 มกราคม 2558http://bangkok-today.com/web/15522-2/ ควรค่าต่อการจดจำ ! รำลึก ๑๐๐ ปี ชาตกาล อาจารย์ป๋วย “วีรบุรุษวังน้ำขาว” !!,Bangkok-today .สืบค้นเมื่อ 23 มกราคม 2558 เมื่อสงครามยุติลง ประเทศไทยจึงไม่ถือเป็นผู้แพ้สงคราม ในสมัยสฤษดิ์ ธนะรัชต์|จอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์ เขาก็ได้รับหน้าที่เป็นทั้งผู้ว่าธนาคารแห่งชาติ รวมถึงยังได้รับตำแหน่งทั้งคณบดีคณะเศรษฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์|คณะเศรษฐศาสตร์และอธิการบดีมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ป๋วยได้แสดงความกล้าหาญ หลายครั้งโดยเฉพาะการส่งจดหมายในนาม "นายเข้ม เย็นยิ่ง" ถึงจอมพลถนอม กิตติขจร นายกรัฐมนตรีในขณะนั้นเพื่อเรียกร้องประชาธิปไตยให้กับสังคม จุดประกายให้กับขบวนการ เหตุการณ์ 14 ตุลา|14 ตุลาคม 2516 ด้วยความที่เขาได้รับการชื่นชมมากมายจากสังคมสารป๋วย, ปีที่ 1 ฉบับที่ 6 ตุลาคม 2558, หน้า 16, เอนก เหล่าธรรมทัศน์ .สืบค้นเมื่อ 16 มกราคม 2558 ในเหตุการณ์ 6 ตุลาคม 2519 ป๋วยก็ถูกทั้งฝ่ายซ้าย ฝ่ายขวา ออกมาโจมตีกล่าวหาว่าเป็นคอมมิวนิสต์ จนในที่สุดก็ต้องออกเดินทางลี้ภัยไปต่างประเทศ และเสียชีวิตลงในวันที่ 28 กรกฎาคม พ.ศ. 2542 ที่ประเทศอังกฤษ สเตฟาน คอลินยองส์ (Stefan Collingnon) นักวิชาการร่วมสมัยชาวเยอรมันProfessor of Political Economy, Santa Anna School of Advanced Studied, University of California and Visiting Professor at the London School of Economics ได้กล่าวยกย่องป๋วยว่าเป็น "'''บิดาของเมืองไทยสมัยใหม่'''" (Founding Father of Modern Thailand) ในฐานะผู้วางรากฐานการพัฒนาเศรษฐกิจที่สำคัญของไทยสารป๋วย, ปีที่ 1 ฉบับที่ 6 ตุลาคม 2558, หน้า 3, ส.ศิวรักษ์ .สืบค้นเมื่อ 16 มกราคม 2558 ป๋วยได้รับ รางวัลแมกไซไซ สาขาบริการสาธารณะ ในปี พ.ศ. 2508 และได้รับการยกย่องจากองค์กรยูเนสโกให้เป็นบุคคลสำคัญของโลก ในปี พ.ศ. 2558http://www.isranews.org/%E0%B9%80%E0%B8%A3%E0%B8%B7%E0%B9%88%E0%B8%AD%E0%B8%87%E0%B9%80%E0%B8%94%E0%B9%88%E0%B8%99-%E0%B8%AA%E0%B8%B3%E0%B8%99%E0%B8%B1%E0%B8%81%E0%B8%82%E0%B9%88%E0%B8%B2%E0%B8%A7%E0%B8%AD%E0%B8%B4%E0%B8%A8%E0%B8%A3%E0%B8%B2/item/42809-news01_42809.html อธิการฯ มธ.เผย 'ยูเนสโก' ลงมติยกย่อง 'ป๋วย อึ๊งภากรณ์' เป็นบุคคลสำคัญโลกแล้ว หลังครบรอบ 100 ปี ได้รับเสียงสนับสนุนจาก ฟิลิปปินส์ -เวียดนาม .สืบค้นเมื่อ 21 พฤศจิกายน 2558http://www.posttoday.com/social/edu/400650 ยูเนสโกยก 2 คนไทย "ดร.ป๋วย-ม.ร.ว.เปีย"บุคคลสำคัญของโลก.... .สืบค้นเมื่อ 21 พฤศจิกายน 2558 == ประวัติ == ศ. พันตรี ป๋วย อึ๊งภากรณ์ หรือ ศ. พันตรี ดร.ป๋วย อึ๊งภากรณ์ เกิดเมื่อวันที่ 9 มีนาคม พ.ศ. 2459 ณ บ้านตรอกโรงสูบน้ำ ตลาดน้อย เป็นบุตรของซา แซ่อึ้ง กับเซาะเซ็ง อึ๊งภากรณ์ (สกุลเดิม: แซ่เตียว; ต่อมาได้เปลี่ยนนามสกุลเป็นภาษาไทยว่า ''ประสาทเสรี'')http://www.rspg.org/mom/mom.html ผู้หญิงในชีวิตของผม..แม่ - คัดลอกจากหนังสือ "ประสบการณ์ชีวิต และข้อคิดสำหรับคนหนุ่มสาว" โดย ดร.ป๋วย อึ๊งภากรณ์ (จัดพิมพ์โดยมูลนิธิโกมลคีมทอง) ชื่อ "ป๋วย" นั้น บิดาของป๋วยตั้งให้เป็นชื่อตัว ส่วนชื่อสกุลของป๋วย คือ "อึ้ง" ชื่อรุ่นคือ "เคียม" อ่านทั้งสามตัวตามลำดับประเพณีจีน สำเนียงแต้จิ๋วจะเป็น "อึ้ง ป้วย เคียม" แต่ถ้าอ่านโดด ๆ วรรณยุกต์จะเปลี่ยนไป ชื่อสกุลเป็น "อึ๊ง" และชื่อตัวเป็น "ป๋วย" คำว่า "ป๋วย" แปลตรงตัวได้ว่า "พูนดินที่โคนต้นไม้" เพราะตัวประกอบในอักษรระบุไว้เช่นนั้น แต่มีความหมายกว้างออกไปอีกคือ "บำรุง" "หล่อเลี้ยง" "เพาะเลี้ยง" และ "เสริมกำลัง" มารดาของป๋วย เป็นบุตรสาวคนแรกของเจ้าของร้านขายผ้าที่สำเพ็ง อยู่ใกล้ตรอกโรงโคม ส่วนบิดาเป็นคนจีน ทำงานช่วยพี่ชายที่แพปลา แถวปากคลองวัดปทุมคงคา โดยทั้งสองก็ไม่ค่อยมีรายได้มากนัก === การศึกษา === พ่อแม่ของป๋วยตั้งใจส่งลูกชายเข้าเรียน ที่แผนกภาษาฝรั่งเศส โรงเรียนอัสสัมชัญ ในปี พ.ศ. 2467 ซึ่งเป็นโรงเรียนที่มีค่าเล่าเรียนแพง คือปีละ 70 บาทในสมัยนั้น เมื่อเด็กชายป๋วยอายุได้เก้าขวบ บิดาของป๋วยก็เสียชีวิต โดยไม่มีทรัพย์สินเงินทองทิ้งไว้ให้ ลุงเป็นคนรับอุปการะ ส่งเสียเงินให้เป็นรายเดือน แม้ว่าจะมีปัญหาด้านการเงิน มารดาของป๋วย ก็สนับสนุนให้เรียนหนังสือที่เดิม จนสำเร็จการศึกษา ในปี พ.ศ. 2476 ขณะอายุได้ 18 ปี ป๋วยได้มาเป็นมาสเตอร์ หรือครูที่นักเรียนโรงเรียนอัสสัมชัญใช้เรียก ที่โรงเรียนอัสสัมชัญ สอนวิชาคำนวณ และภาษาฝรั่งเศส มีรายได้เดือนละ 40 บาท แบ่งให้แม่ 30 บาท ต่อมาในปี พ.ศ. 2477 ป๋วยได้สมัครเข้าเรียนต่อที่ มหาวิทยาลัยวิชาธรรมศาสตร์และการเมือง เป็นนักศึกษารุ่นแรก ซึ่งในสมัยนั้นยังไม่มีการบังคับให้เข้าชั้นเรียน ทางมหาวิทยาลัยได้จัดพิมพ์คำบรรยายออกจำหน่ายในราคาถูก วิชาละประมาณ 2 บาท เพื่อส่งเสริมให้นักเรียนที่กำลังทำงานอยู่สามารถศึกษาเองได้ ป๋วยใช้เวลาในตอนค่ำและวันหยุดเรียนอยู่ 4 ปี ก็สำเร็จการศึกษาปริญญาตรีทางกฎหมาย การเมืองและเศรษฐการ (ธรรมศาสตรบัณฑิต|หลักสูตรธรรมศาสตรบัณฑิต, ธ.บ.) ซึ่งจัดการศึกษาในลักษณะสหสาขาวิชา เพื่อให้นักศึกษามีโอกาสประกอบอาชีพได้อย่างกว้างขวาง และมีความรู้ในลักษณะเป็นองค์รวม โดยสำเร็จการศึกษาในปี พ.ศ. 2480 หลังจากนั้น ก็ลาออกจากโรงเรียนอัสสัมชัญ มาทำงานเป็นล่ามภาษาฝรั่งเศส ให้แก่อาจารย์ชาวฝรั่งเศสผู้หนึ่ง ที่มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์และการเมือง ในเดือนเมษายน พ.ศ. 2481 ป๋วยสอบชิงทุนรัฐบาลได้ไปเรียนระดับปริญญาตรี สาขาวิชาเศรษฐศาสตร์และการคลัง ที่วิทยาลัยเศรษฐศาสตร์และรัฐศาสตร์แห่งลอนดอน แห่งมหาวิทยาลัยลอนดอน ซึ่งหลังจากนั้นอีกเพียง 6 เดือน มารดาของป๋วยก็เสียชีวิตลง ป๋วยใช้เวลาสามปีก็สำเร็จการศึกษาระดับปริญญาตรี ป๋วยเป็นนักเรียนดีเด่น ป๋วยเป็นคนไทยคนเดียว ในมหาวิทยาลัยนี้ที่สอบได้คะแนนสูงสุดเป็นอันดับหนึ่ง ในบรรดาเกียรตินิยมอันดับหนึ่งด้วยกันในปี พ.ศ. 2485 โดยได้เกรดเอแปดวิชา และเกรดบีหนึ่งวิชา จากผลการเรียนอันดีเด่นของป๋วย ทำให้ได้รับทุนลีเวอร์ฮูล์ม สามารถศึกษาต่อระดับปริญญาเอกได้ทันที แต่ในระหว่างนั้น เกิดสงครามโลกครั้งที่สอง ขึ้น ทำให้ป๋วยตัดสินใจทำงานเพื่อชาติ ทำให้ป๋วยจบปริญญาเอกภายหลังสงครามยุติในปี พ.ศ. 2491 ป๋วยก็ได้เรียนสำเร็จปริญญาเอก โดยใช้เวลาสามปีทำวิทยานิพนธ์ "เศรษฐศาสตร์ว่าด้วยการควบคุมดีบุก" === การทำงาน === ==== ช่วงแรก ==== ภายหลังจบจากโรงเรียนอัสสัมชัญ ในปี พ.ศ. 2476 ป๋วยได้เริ่มทำงานเป็นครู (หรือที่นักเรียนอัสสัมชัญเรียกว่า "มาสเตอร์") สอนวิชาคำนวณและภาษาฝรั่งเศส ที่โรงเรียนเก่าของเขาเอง และจนเมื่อสำเร็จธรรมศาสตร์บัณฑิตในฐานะนักศึกษารุ่นแรกของมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์|มหาวิทยาลัยวิชาธรรมศาสตร์และการเมือง แล้วในปี พ.ศ. 2480 ก็ทำงานเป็นล่ามภาษาฝรั่งเศส ที่มหาวิทยาลัย ==== งานการเมือง ==== วันที่ 8 ธันวาคม พ.ศ. 2484 กองทัพญี่ปุ่นบุกประเทศไทย รัฐบาลไทยในสมัยนั้น ซึ่งมี แปลก พิบูลสงคราม|จอมพล ป. พิบูลสงคราม เป็นนายกรัฐมนตรี ประกาศสงครามเป็นพันธมิตรกับญี่ปุ่น และต่อมาก็ประกาศสงครามกับสหราชอาณาจักรและสหรัฐอเมริกา รัฐบาลไทยเรียกตัวคนไทย ในสหราชอาณาจักรและสหรัฐอเมริกา ให้เดินทางกลับ โดยขู่ว่า ผู้ที่ไม่เดินทางกลับจะถูกถอดสัญชาติไทย ปรากฏว่าคนไทยจำนวนหนึ่ง ได้จัดตั้งขบวนการต่อต้านญี่ปุ่นขึ้นทั้งในและนอกประเทศ ในนามของขบวนการเสรีไทย ภายในประเทศมี ปรีดี พนมยงค์|นายปรีดี พนมยงค์ ผู้สำเร็จราชการ เป็นหัวหน้า ส่วนในสหรัฐอเมริกามี เสนีย์ ปราโมช|ม.ร.ว.เสนีย์ ปราโมช อัครราชทูตไทย เป็นหัวหน้า เสรีไทยปฏิเสธการประกาศสงครามของรัฐบาลไทย ซึ่งทำให้สหรัฐอเมริกา ประกาศรับรองฐานะของเสรีไทย ส่วนทางด้านอังกฤษ ปรากฏว่าอัครราชทูตไทยยอมเดินทางกลับประเทศตามคำสั่งของรัฐบาล แต่ป๋วยและคนไทยจำนวนหนึ่งไม่ยอมกลับประเทศ และได้ร่วมกันก่อตั้งคณะเสรีไทยขึ้นในอังกฤษ เพื่อประกาศไม่ยอมอยู่ใต้อาณัติรัฐบาลไทยที่ยอมเป็นพันธมิตรกับญี่ปุ่น เสรีไทยจำนวน 36 คน สมัครเข้าเป็นทหารในกองทัพบกอังกฤษ เสรีไทยกลุ่มนี้มีฉายาว่า "ช้างเผือก" (White Elephants) ในช่วงแรก ป๋วยได้รับยศเป็นร้อยเอกแห่งกองทัพบกอังกฤษ มีชื่อจัดตั้งว่า "นายเข้ม เย็นยิ่ง" นายเข้ม เย็นยิ่ง ต่อมาได้รับคำสั่งให้ลงเรือบรรทุกทหารจากลิเวอร์พูล เล่นเรืออ้อมทวีปแอฟริกา มาขึ้นฝั่งที่ประเทศอินเดีย ได้มาฝึกหลักสูตรนักรบแบบกองโจรและการจารกรรม ที่เมืองปูนา มีการฝึกการใช้อาวุธ และวิธีการต่อสู้ต่าง ๆ เป็นเวลาครึ่งปี ในเดือนกันยายน พ.ศ. 2486 นายเข้มเป็นทหารฝ่ายสัมพันธมิตรในสงครามโลกครั้งที่สอง|ฝ่ายสัมพันธมิตรชุดแรก ที่ได้รับคำสั่งให้เข้ามาติดต่อกับขบวนการเสรีไทยในประเทศไทย ที่มี "รูธ" หรือ นายปรีดี พนมยงค์ เป็นหัวหน้า เพื่อหาทางตั้งสถานี วิทยุติดต่อระหว่างกองทัพอังกฤษในอินเดียกับคณะเสรีไทย พฤศจิกายน พ.ศ. 2486 ร้อยตรีเข้มได้เดินทางด้วยเรือดำน้ำของราชนาวีอังกฤษพร้อมสหายอีกสองคนจาก ลังกา โดยมีเป้าหมายจะขึ้นฝั่งที่ตะกั่วป่า จังหวัดพังงา เมื่อมาถึงที่หมายเรือดำน้ำจอดซุ่มรอนอกฝั่งหนึ่งสัปดาห์ แต่ไม่มีคนมารับจึงยกเลิกภารกิจ จึงกลับสู่ศรีลังกา ต่อมาอีกหนึ่งสัปดาห์ร้อยตรีเข้มได้รับมอบภารกิจอีกครั้ง ให้ลักลอบเข้าแผ่นดินไทย โดยการกระโดดร่มพร้อมอุปกรณ์เครื่องรับส่งวิทยุ จึงได้เดินทางไปฝึกซ้อมกระโดดร่ม ในต้นเดือนกุมภาพันธ์ พ.ศ. 2487 ที่แคว้นปัญจาบ พอวันที่ 6 มีนาคม ร.ต.เข้ม และเสรีไทยอีกสองคนคือ แดง (ประทาน) และ ดี (ศ.เกียรติคุณ นพ.เปรม บุรี)http://library.ra.mahidol.ac.th/archive/data/books/bookscan/4-20yearsaboutlifeofdrpremburee90yearsold.pdf บนเส้นทางชีวิตและการเรียนรู้ 90 ปี เปรม บุรี.หนังสืออัตชีวประวัติ อ.เปรม บุรี 90 ปี: อาจริยบูชา. หน้า 20-21. หอสมุดหมายเหตุรามาธิบดี มาขึ้นเครื่องบิน บี 24 ที่กัลกัตตา ประเทศอินเดีย มุ่งมาสู่แผ่นดินไทย เป็นการกระโดดร่มแบบสุ่ม ไม่มีคนมารับที่ภาคพื้นดิน แต่สภาพอากาศไม่อำนวย เครื่องบินจึงเดินทางกลับไปกัลกัตตา อีกหนึ่งสัปดาห์ต่อมา เสรีไทยทั้งสามคนคือ เข้ม แดง และดี ก็ขึ้นเครื่องบินอีก เพื่อปฏิบัติภารกิจเดิม โดยเข้ามาทางจังหวัดชัยนาท เสรีไทยทั้งสามคนกระโดดร่มลง แต่ ร.ต.เข้ม ถูกเจ้าหน้าที่ไทยและชาวบ้าน ช่วยกันล้อมจับกุมตัวไว้ได้ และถูกตั้งข้อหาว่า ทรยศต่อชาติและทำจารกรรม ถูกซ้อม และผลักเข้าสู่กอหนาม โดยมีเจ้าหน้าที่เอาปืนจ่อข้างหลัง และถูกนำมาขังล่ามโซ่ไว้บนศาลาวัดวังน้ำขาว อำเภอวัดสิงห์ เป็นเวลาหลายวัน จึงถูกส่งตัวมาลงเรือยนต์ล่องลำน้ำเจ้าพระยา เข้ามาที่ตึกสันติบาลในกรุงเทพฯ ด้วยความช่วยเหลือของตำรวจที่เป็นเสรีไทย ร.ต.เข้ม จึงมีโอกาสเข้าพบกับ นายปรีดี พนมยงค์ ทำให้ฝ่ายเสรีไทย เริ่มส่งวิทยุไปยังกองทัพอังกฤษที่อินเดีย ได้สำเร็จเป็นครั้งแรก ทำให้หน่วยทหารจากอังกฤษและสหรัฐฯ สามารถเล็ดลอดเข้ามาปฏิบัติงานในแผ่นดินไทยได้สะดวกขึ้น ในการทิ้งระเบิดของอังกฤษ นายป๋วยได้ประสานติดต่อกับอังกฤษ แจ้งพิกัดไม่ให้เครื่องบินมาทิ้งระเบิดพระบรมมหาราชวัง ตลอดจนวังต่าง ๆ ทางอังกฤษก็ได้ตอบรับ ทำให้สถานที่สำคัญเหล่านี้ สามารถอยู่รอดปลอดภัยมาจนทุกวันนี้ ปลายสงครามโลกครั้งที่สอง นายปรีดีส่งนายป๋วยกลับไปอังกฤษอีกครั้งหนึ่ง เพื่อไปเจรจาให้รัฐบาลอังกฤษ ยอมรับว่าขบวนการเสรีไทย เป็นรัฐบาลอันชอบธรรมของไทย ทำนองเดียวกับที่สหรัฐได้รับรองมาก่อนแล้ว และเจรจาให้อังกฤษ ยอมปล่อยเงินตราสำรอง ที่รัฐบาลไทยฝากไว้ที่ธนาคารกลางอังกฤษ เมื่อสงครามโลกยุติ นายป๋วยได้รับยศพันตรีแห่งกองทัพบกอังกฤษ ได้เป็นหนึ่งในผู้แทนไทย เดินทางไปเจรจาทางการทหาร และการเมืองกับฝ่ายอังกฤษ ที่นครแคนดี ประเทศศรีลังกา ได้ร่วมกับเสรีไทยจากอเมริกาอารักขา แด่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวอานันทมหิดล และพระอนุชาที่กัลกัตตา จากนั้น นายป๋วยก็คืนยศทหารแก่กองทัพอังกฤษ แล้วกลับไปแต่งงานกับ มาร์กาเร็ต สมิท ในปี พ.ศ. 2489 และเรียนต่อระดับปริญญาเอก ที่ มหาวิทยาลัยลอนดอน ==== งานด้านการเงิน การคลัง ==== ในขณะที่ป๋วยกำลังศึกษาอยู่ ณ ประเทศอังกฤษ นายปรีดี พนมยงค์ ถูกทหารทำรัฐประหารในประเทศไทย พ.ศ. 2490|รัฐประหาร ทำให้สถานการณ์ไม่ปลอดภัย ทางญาติขอให้ป๋วยยังไม่ต้องรีบกลับมา ไฟล์:ป๋วย เมื่อครั้งดำรงผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย.jpg|thumb|195px|right|เมื่อครั้งดำรงผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย ปี พ.ศ. 2492 ดร.ป๋วย ก็เดินทางกลับประเทศไทย บริษัทห้างร้านต่างๆ จำนวนมากทั้งในและนอกประเทศ ต้องการตัวดร.ป๋วยไปทำงานโดยเสนอให้เงินเดือนสูงๆ แต่ในที่สุด ดร.ป๋วย ก็เลือกที่จะรับราชการ เนื่องจากถือว่า ตนเองนอกจากจะเกิดเมืองไทย กินข้าวไทยแล้ว ยังได้รับทุนเล่าเรียนรัฐบาลไทย คือเงินของชาวนาชาวเมืองไทย ไปเมืองนอกแล้วผูกพันใจว่าจะรับราชการไทยด้วย ดร.ป๋วย เข้ารับราชการครั้งแรกในตำแหน่งเศรษฐกร กรมบัญชีกลาง กระทรวงการคลัง ได้รับเงินเดือน ประมาณ 1,600 บาท สภาพเศรษฐกิจของประเทศไทยหลังสงครามโลกครั้งที่ 2 กำลังอยู่ในสภาพฟื้นตัว ต่อมาในปี พ.ศ. 2495 ดร.ป๋วย ได้รับแต่งตั้งให้เป็นผู้ช่วยฝ่ายวิชาการของปลัดกระทรวงการคลัง และกรรมการธนาคารแห่งประเทศไทย จนถึงปี พ.ศ. 2496 ดร.ป๋วย ก็ได้รับแต่งตั้ง ให้ดำรงตำแหน่ง รองผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย ได้มีส่วนทำให้อัตราแลกเปลี่ยนเงินตราต่างประเทศ ซึ่งมีปัญหามากในสมัยนั้น กลับมีเสถียรภาพมากขึ้น นักธุรกิจมั่นใจค่าของเงินบาทเมื่อเทียบกับเงินตราต่างประเทศ ทำให้ราคาสินค้าลดลง และเงินสำรองระหว่างประเทศก็ขยายตัวเพิ่มมากขึ้น วันที่ 25 ธันวาคม พ.ศ. 2496 คณะรัฐมนตรีมีมติ ให้ ดร.ป๋วย พ้นจากตำแหน่งรองผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย ไปรับราชการเป็นผู้เชี่ยวชาญการคลัง กระทรวงการคลัง เนื่องจาก ดร.ป๋วย ปฏิเสธการที่ สฤษดิ์ ธนะรัชต์|จอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์ ต้องการซื้อ สหธนาคารกรุงเทพจำกัด แต่เนื่องจากธนาคารแห่งนั้น กระทำผิดระเบียบของธนาคารแห่งประเทศไทย และกำลังถูกปรับเป็นเงินหลายล้านบาท จอมพลสฤษดิ์ ขอให้ ดร.ป๋วย ยกเลิกการปรับ แต่ ดร.ป๋วย ปฏิเสธ และยืนกรานให้คณะรัฐมนตรีปรับธนาคารแห่งนั้น ในที่สุดคณะรัฐมนตรี ก็ปฏิบัติตามข้อเสนอของ ดร.ป๋วย ต่อมา เผ่า ศรียานนท์|พลตำรวจเอกเผ่า ศรียานนท์ อธิบดีกรมตำรวจ และรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการคลัง ก็พยายาม เสนอให้บริษัทแห่งหนึ่งในสหรัฐอเมริกา ซึ่งตนเองมีผลประโยชน์อยู่ด้วย เป็นผู้จัดพิมพ์ธนบัตรไทยแทน บริษัท โทมัส เดอลารู คณะรัฐมนตรีแต่งตั้งให้ดร.ป๋วยเป็นผู้พิจารณาเรื่องนี้ ดร.ป๋วย ตรวจพบว่า บริษัทดังกล่าวฝีมือไม่ดี ปลอมง่าย และมีชื่อเสียงในการวิ่งเต้น จึงไม่มีความน่าเชื่อถือเพียงพอให้เป็นผู้จัดพิมพ์ธนบัตร จึงทำรายงานเสนอ ให้ใช้ บริษัทโทมัส เดอลารูตามเดิม แต่ถ้าหากจะตัดสินใจให้บริษัทอเมริกันเป็นผู้พิมพ์ธนบัตร ก็จะออกจากราชการ คณะรัฐมนตรีก็มีมติเห็นชอบตามข้อเสนอของ ดร.ป๋วย เหตุการณ์ครั้งนี้ สร้างความไม่พอใจให้แก่ พลตำรวจเอกเผ่า ศรียานนท์ เป็นอย่างมาก ผู้มีอำนาจในประเทศขณะนั้น ต่างไม่พอใจ ดร.ป๋วย เพื่อความปลอดภัย พระบริภัณฑ์ยุทธกิจ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง จึงได้ให้ ดร.ป๋วย ไปดำรงตำแหน่งที่ปรึกษาทางเศรษฐกิจการคลัง ประจำสถานเอกอัครราชทูตไทยในอังกฤษ ในปี พ.ศ. 2499 และยังได้เป็นผู้แทนไทย ประจำคณะมนตรีดีบุกระหว่างประเทศ มีผลทำให้ ไทยสามารถขายแร่ดีบุก เป็นสินค้าออกสำคัญของประเทศได้มากขึ้น ปี พ.ศ. 2502 จอมพลสฤษดิ์ ทำรัฐประหารยึดอำนาจการปกครอง จอมพลสฤษดิ์ได้ให้ ดร.ป๋วย กลับเมืองไทยเข้ามาช่วยงาน ต่อมาเมื่อ นายโชติ คุณะเกษม ลาออกจากรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง จอมพลสฤษดิ์ได้โทรเลขไปถึง ดร.ป๋วย ซึ่งกำลังประชุมคณะรัฐมนตรีดีบุกโลกที่กรุงลอนดอน เสนอให้รับตำแหน่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง แต่ ดร.ป๋วย ปฏิเสธไปว่า ไม่ขอรับตำแหน่งนี้ เพราะเมื่อตอนเข้าเป็นเสรีไทย ได้สาบานไว้ว่า จะไม่รับตำแหน่งทางการเมืองใดๆ จนกว่าจะเกษียณอายุราชการ เพื่อพิสูจน์ว่าไม่ได้หวังแสวงหาผลประโยชน์จากการเป็นเสรีไทย เมื่อ ดร.ป๋วย กลับจากอังกฤษ จอมพลสฤษดิ์ก็แต่งตั้ง ให้ ดร.ป๋วย เป็นผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย ต่อมาได้รับแต่งตั้งให้เป็น ผู้อำนวยการสำนักงานเศรษฐกิจการคลัง อีกตำแหน่งหนึ่ง ดร.ป๋วย จึง ควบคุมทั้งนโยบายด้านการเงิน การคลังและ งบประมาณของประเทศ ในขณะที่อายุได้ เพียง 43 ปี นอกจากนั้น ดร.ป๋วย ยังมีบทบาทสำคัญ ในการผลักดันให้มี แผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ เป็นกรรมการสภาพัฒน์ เป็นกรรมการสภาการศึกษาแห่งชาติ แม้ว่า ดร.ป๋วย จะมีตำแหน่งที่สูง แต่ก็ใช้ชีวิตอยู่อย่างเรียบง่าย ชอบนุ่งกางเกงเวสต์ปอยต์มาทำงาน ไม่มีชุดดินเนอร์แจ็กเกตเป็นของตนเอง ชอบกินก๋วยเตี๋ยว ข้าวต้มกุ๊ย และเต้าฮวย ดร.ป๋วย อึ๊งภากรณ์ ดำรงตำแหน่งผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทยเป็นเวลา 12 ปี นับเป็นผู้ว่าการที่อยู่ในตำแหน่งนานที่สุด ตลอดสมัยที่ ดร.ป๋วย เป็นผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย ถือได้ว่าเป็นสมัยที่ธนาคารแห่งประเทศไทยปลอดจากการเมืองมากที่สุด และเป็นยุคที่สามารถรักษาเสถียรภาพเงินตรา ไว้ได้อย่างแข็งแกร่ง เงินบาท ได้รับได้รับความเชื่อมั่นจากทั้งในและนอกประเทศ ทำให้มีการค้าขายและการลงทุนเพิ่มขึ้น นอกจากนั้นเงินทุน สำรองระหว่างประเทศก็เพิ่มมากขึ้นเป็นประวัติการณ์ ธนาคารแห่งประเทศไทย เริ่มขยายสาขาออกไปสู่ภูมิภาค สามารถจัดตั้งโรงพิมพ์ธนบัตรได้สำเร็จ ไม่จำเป็นต้องไปพิมพ์ธนบัตรในต่างประเทศ มีการออกพระราชบัญญัติ ธนาคารพาณิชย์ปี พ.ศ. 2505 ซึ่งถือเป็นแม่บทของธนาคารพาณิชย์ ตลอดจนนำเทคนิคนโยบายทางการเงินที่ สำคัญๆ เช่น อัตราเงินสดสำรองอัตราส่วนลดมาใช้ และชักจูงให้ธนาคารปฏิบัติตามกฎระเบียบ อันจำเป็นต่อการ เสริมสร้างความมั่นคงในระบบการธนาคาร และอนุมัติให้ธนาคารพาณิชย์เปิดสาขามากขึ้น และขยายไปทั่วราชอาณาจักร ทำให้กิจการธนาคารพาณิชย์ต่างๆ เจริญรุดหน้าอย่างรวดเร็ว ปี พ.ศ. 2507 ดร.ป๋วย ได้กล่าวสุนทรพจน์ของสมาคมธนาคารไทย เพื่อเตือนสติผู้มีอำนาจ มีใจความว่า จอมพล ถนอม นายกรัฐมนตรีผู้มีคำขวัญประจำใจว่า "จงทำดี จงทำดี จงทำดี" มีนโยบายไม่เห็นด้วยที่รัฐมนตรีจะไปยุ่งเกี่ยว กับ "การค้า" แต่ทำไมจึงมีรัฐมนตรีบางคนไปเป็นกรรมการในธนาคารต่างๆ หรือเป็นเพราะว่าธนาคารพาณิชย์ไม่ใช่ "การค้า" ชนิดหนึ่ง สุนทรพจน์นี้เป็นที่กล่าวขานกันทั่ว ในยุคสมัยรัฐบาลทหาร ดร.ป๋วย เป็นข้าราชการผู้ใหญ่คนเดียวที่กล้าวิจารณ์ นักการเมือง รัฐมนตรี และนายทหารชั้นสูง ที่มักเข้าไปดำรงตำแหน่งประธานหรือกรรมการธนาคารต่างๆ เพื่อหาประโยชน์ใส่ตัว เมื่อจอมพลถนอมทราบความ ก็ยินยอมลาออกจากตำแหน่งกรรมการธนาคารพาณิชย์ แต่ไม่มีรัฐมนตรีคนใดลาออกตาม ==== งานด้านการศึกษา ==== ปี พ.ศ. 2507 ดร. ป๋วย เข้ารับตำแหน่งคณบดีคณะเศรษฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์และจะลาออกจากตำแหน่งผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย แต่ถูกนายกรัฐมนตรียับยั้งไว้ ขณะนั้นคณะเศรษฐศาสตร์ มีอาจารย์ประจำเพียงสี่คน อาจารย์ป๋วยจึงเร่งผลิตอาจารย์ โดยประกาศรับสมัครคนรุ่นใหม่ แล้วหาทุนส่งไปเรียนต่างประเทศ ทำให้คณะเศรษฐศาสตร์เติบโตขึ้น ภายในเวลาเพียงสิบปี มีอาจารย์เพิ่มนับร้อยคน ส่วนใหญ่จบการศึกษาระดับปริญญาโทและเอก สิงหาคม พ.ศ. 2508 ดร. ป๋วย ได้รับ รางวัลแมกไซไซ สาขาบริการสาธารณะ ในคำประกาศเกียรติประวัติ มีข้อความตอนหนึ่งว่า "บุคคลสำคัญ ผู้แสดงบทบาทอยู่เบื้องหลังความสำเร็จ ของธนาคารแห่งประเทศไทย ในการขยายตัวทางเศรษฐกิจโดยมีเสถียรภาพการเงินควบคู่กันไป นายธนาคารระหว่างประเทศ ยกย่องว่านายป๋วยเป็น ผู้ว่าการธนาคารกลางที่มีความสามารถดีเด่นคนหนึ่งของโลก ... การกระทำของนายป๋วยยังเป็นแรงบันดาลใจ สำหรับข้าราชการผู้ขยันขันแข็ง นายป๋วยผู้ถือได้ว่า ความเรียบง่าย คือความงาม และความชื่อสัตย์สุจริต คือคุณความดีสูงสุดของชีวิตข้าราชการ เป็นหลักประจำใจซึ่งยึดถือมาช้านาน และได้เผยแพร่กับเพื่อนร่วมงาน ด้วยว่า ในฐานะนักเศรษฐศาสตร์ผู้แสวงหาความจริง และผู้ใช้วิชาชีพ จะต้องไม่เป็นเพียงผู้ที่คอยเรียนรู้อยู่เสมอ และทำงานอย่างมีประสิทธิภาพเท่านั้น หากยังต้องมีความชื่อสัตย์สุจริต และต้องแสดงให้ปรากฏออกมาถึง ความชื่อสัตย์สุจริตนั้นอย่างเพียงพอ ที่จะเรียกร้องให้ผู้อื่นมีความชื่อสัตย์สุจริตด้วย" ปี พ.ศ. 2510 ดร. ป๋วย ได้ร่วมกับเพื่อนนักธุรกิจ นักการเงิน นักการเมือง และเชื้อพระวงศ์ร่วมก่อตั้ง มูลนิธิบูรณะชนบทแห่งประเทศไทย ซึ่งถือว่า เป็นโครงการพัฒนาชนบทแห่งแรกขององค์กรพัฒนาเอกชน โดยได้แนวคิดจาก ดร. วาย เยน ที่มีแนวคิดว่า การพัฒนาชนบทและการพัฒนาคุณภาพของคน จะเป็นรากฐานสำคัญของการพัฒนาประเทศ โดยการส่งเสริม การพึ่งตนเอง การร่วมมือกันของชาวบ้าน การศึกษา การอนามัย การอาชีพ แนวทางของมูลนิธิบูรณะชนบทฯ ในการทำงานกับชาวบ้านคือ '''"ไปหาชาวบ้าน อยู่กับเขา เรียนรู้จากเขา วางแผนกับเขา ทำงานกับเขา เริ่มจากสิ่งที่เขารู้ สร้างจากสิ่งที่เขามี สอนโดยชี้ให้เห็น เรียนจากการทำ..."''' โครงการของมูลนิธิบูรณะชนบท ดำเนินการอยู่ในเขตจังหวัดชัยนาทเป็นหลัก ส่วนหนึ่งมีสาเหตุมาจากชาวบ้านที่นั้น เคยช่วยชีวิต ดร. ป๋วย เมื่อครั้งเป็นเสรีไทย ปี พ.ศ. 2513 อาจารย์ป๋วยได้ลาพัก ไปสอนที่มหาวิทยาลัยพรินซ์ตัน สหรัฐอเมริกา เพื่อเรียนรู้เรื่องมหาวิทยาลัยใหม่ ๆ ให้ทันการณ์ โดยรับเงินเดือนจากธนาคารชาติดังเดิม แต่ขอให้มหาวิทยาลัยพรินซ์ตันจ่ายเงินเดือนอันท่านพึงจะได้ให้กับธนาคารแห่งประเทศไทย นับว่าธนาคารแห่งประเทศไทยได้กำไร ในวันที่ 16 สิงหาคม พ.ศ. 2514 ดร. ป๋วย ได้ลาออกจากตำแหน่งผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย รวมเวลาที่ ดำรงตำแหน่ง 12 ปี 2 เดือน 4 วัน จึงมารับตำแหน่งคณบดีคณะเศรษฐศาสตร์อย่างเต็มตัว เพื่อต้องการทุ่มเทให้ กับการศึกษาอย่างจริงจัง และได้ลาไปสอนพิเศษและทำวิจัยอีกครั้งที่ มหาวิทยาลัยเคมบริดจ์ สหราชอาณาจักร วันที่ 17 พฤศจิกายน พ.ศ. 2514 ถนอม กิตติขจร|จอมพลถนอม กิตติขจร ทำการรัฐประหาร ยึดอำนาจตัวเอง อาจารย์ป๋วยได้เขียนจดหมายฉบับประวัติศาสตร์จากอังกฤษ โดยใช้ชื่อ นายเข้ม เย็นยิ่ง (ชื่อรหัสสมัยเป็นเสรีไทย) จดหมายฉบับนี้ เขียนถึงผู้ใหญ่บ้านชื่อ ทำนุ เกียรติก้อง ซึ่งหมายถึงจอมพลถนอม เรียกร้องให้จอมพลถนอมซึ่งยึดอำนาจการปกครอง คืนเสรีภาพประชาธิปไตยให้แก่ประชาชน จัดให้มีการเลือกตั้งโดยเร็ว ข้อความในจดหมายตอนหนึ่งว่า '''"ได้โปรดเร่งรัดให้มีกติกาหมู่บ้านขึ้นเถิดโดยเร็วที่สุด ในกลางปี 2515 นี้หรืออย่างช้าก็อย่าให้ข้ามปีไป โปรดอำนวยให้ชาวบ้านไทยเจริญมีสิทธิเสรีภาพตามหลักประชาธรรม สามารถเลือกตั้งสมัชชาขึ้นโดยเร็ว"''' จดหมายฉบับนี้ สร้างความไม่พอใจให้กับผู้มีอำนาจเป็นอย่างยิ่ง อาจารย์ป๋วยถือว่าเป็นข้าราชการชั้นผู้ใหญ่คนแรก ที่กล้าลุกขึ้นวิพากษ์วิจารณ์เผด็จการทหารอย่างตรงไปตรงมา ทำให้อาจารย์ป๋วยต้องลาออกจากตำแหน่งคณบดีคณะเศรษฐศาสตร์ ในระหว่างที่สอนหนังสือที่เคมบริดจ์ ปี พ.ศ. 2516 สัญญา ธรรมศักดิ์|นายสัญญา ธรรมศักดิ์ อธิการบดีมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์กำลังครบวาระ และยืนยันว่าจะไม่รับตำแหน่งต่อ อาจารย์และนักศึกษาได้มีประชามติ ให้อาจารย์ป๋วยเป็นอธิการบดีคนต่อไป ในระหว่างวันที่ 9-18 กุมภาพันธ์ อาจารย์ป๋วยได้เดินทางกลับมาเมืองไทย ได้เข้าพบ จอมพลถนอม กิตติขจร และ จอมพลประภาส จารุเสถียร อาจารย์ป๋วยได้ถามผู้มีอำนาจทั้งสองว่า จะขัดข้องไหม ถ้าหากท่านจะเป็นอธิการบดีมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ก็ได้รับคำตอบว่า ไม่ต้องการให้รับตำแหน่ง เพราะกลัวว่าอาจารย์ป๋วยจะใช้พลังนักศึกษา เป็นพลังต่อต้านรัฐบาล หลังเหตุการณ์ 14 ตุลาคม พ.ศ. 2516 ภายหลังรัฐบาลทหารถูกขับไล่ออกไป อาจารย์ป๋วยได้รับแต่งตั้งให้ เป็นประธานที่ปรึกษาทางเศรษฐกิจ ในสมัยรัฐบาลสัญญา ธรรมศักดิ์ มีการเรียกร้องให้อาจารย์ป๋วยเข้ารับตำแหน่ง นายกรัฐมนตรี แต่อาจารย์ป๋วยไม่รับ เนื่องจากความ ปรารถนาของอาจารย์ป๋วยไม่ได้อยู่ที่การเมือง แต่เป็นเรื่องการศึกษา และการพัฒนาชนบท เมื่อมีการเสนอชื่อ อาจารย์ป๋วยให้ดำรงตำแหน่งอธิการบดีมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ท่านไม่ปฏิเสธ อาจารย์ป๋วยเป็นศิษย์ธรรมศาสตร์คนแรก ที่ได้รับเลือกตั้งจากชาวธรรมศาสตร์ ให้เป็นอธิการบดีคนที่ 10 เมื่อวันที่ 30 มกราคม พ.ศ. 2518 อาจารย์ป๋วยได้ให้แนวทางแก่ธรรมศาสตร์ ในการขยายไปยังรังสิต ให้ขยายตัวไปในสาขาวิทยาศาสตร์เพื่อเกื้อหนุนกัน การรับนักเรียนเรียนดีจากชนบทเข้ามาศึกษา หรือ โครงการช้างเผือก การให้คณะต่างๆ จัดทำโครงการบริการสังคม ในขณะนั้น ความขัดแย้งทางการเมืองได้ทวีความรุนแรงขึ้นเรื่อย ๆ สถานการณ์ความขัดแย้งระหว่าง ฝ่ายซ้ายที่มีแนวคิดทางสังคมนิยม กับฝ่ายขวาคือผู้สูญเสียอำนาจไป มีขบวนการขวาพิฆาตซ้ายออกอาละวาด ผู้นำนักศึกษา ชาวนา กรรมกร ถูกลอบสังหารจำนวนมาก โดยที่เจ้าหน้าที่ของรัฐไม่เคยจับกุมฆาตกรได้ ธรรมศาสตร์กลายเป็นเวทีและศูนย์กลางการต่อสู้เพื่อความเป็นธรรมในสังคม มีการชุมนุมการบ่อยครั้ง อาจารย์ป๋วย กลายเป็นหนังหน้าไฟ ถูกบีบอยู่ตรงกลางระหว่างสองฝ่าย ฝ่ายขวาก็กล่าวหาว่า อาจารย์ป๋วยเป็นผู้อยู่เบื้องหลังนักศึกษา เป็นคอมมิวนิสต์ที่คิดจะทำลายชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ ตั้งตัวเองขึ้นเป็นประธานาธิบดี ในขณะที่ฝ่ายซ้าย ก็โจมตีว่าอาจารย์ป๋วยเป็นเผด็จการ ขัดขวางการทำงานของขบวนการนักศึกษา หลายครั้งอาจารย์ป๋วยก็ทะเลาะกับนักศึกษา ไม่อนุญาตให้ใช้พื้นที่ในมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ทำกิจกรรมทางการเมือง เพราะเห็นว่า บางครั้งนำไปสู่อันตราย... ==== จากเมืองไทย ==== วันที่ เหตุการณ์ 6 ตุลา|6 ตุลาคม พ.ศ. 2519 กลุ่มบุคคลในเครื่องแบบและกลุ่มกระทิงแดง ได้ทำการปิดล้อม และใช้อาวุธยิงถล่มเข้าไปในมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ โดยไม่สนใจต่อคำขอร้องของผู้ชุมนุมภายใน ที่ต้องการเจรจาโดยสันติ มีผู้ชุมนุมบาดเจ็บและล้มตายเป็นจำนวนมาก นักศึกษาบางคนถูกจับแขวนคอ บางคนถูกเผาทั้งเป็น และผู้หญิงบางคนถูกข่มขืน จนถึงแก่ความตาย เวลา 10.00 น. อาจารย์ป๋วยออกแถลงการณ์ลาออกในที่ประชุมสภามหาวิทยาลัยเพื่อแสดงความเสียใจต่อเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น ที่มีคนจำนวนมากบาดเจ็บ และล้มตายภายในมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ซึ่งอยู่ในความรับผิดชอบของท่าน สภามหาวิทยาลัยได้ให้อาจารย์ป๋วยเดินทางออกนอกประเทศ เนื่องจากฝ่ายขวากำลังล่าตัวอาจารย์ป๋วย ในเวลาเย็นวันนั้น เกิดรัฐประหารขึ้นโดย สงัด ชลออยู่|พลเรือเอกสงัด ชลออยู่ เป็นหัวหน้าคณะปฏิวัติ เวลา 20.00 น. อาจารย์ป๋วยได้เดินทางออกนอกประเทศไปยุโรป บันทึกความรุนแรงและรัฐประหาร 6 ตุลาคม 2519 เมื่ออาจารย์ป๋วยอยู่นอกประเทศ ก็ได้เดินทางไปพบคนไทยในต่างประเทศ และบุคคลสำคัญในประเทศต่างๆ เช่น อังกฤษ สหรัฐอเมริกา ฝรั่งเศส เยอรมนี สวีเดน เดนมาร์ก ญี่ปุ่นและออสเตรเลีย เพื่อให้ข้อเท็จจริงเกี่ยวกับ เหตุการณ์บ้านเมืองในประเทศไทยเวลานั้น เพื่อเรียกร้องให้เกิดประชาธิปไตย ในเมืองไทยอย่างสันติวิธี ปี พ.ศ. 2520 อาจารย์ป๋วยเดินทางไปให้การต่อ คณะกรรมการวิเทศสัมพันธ์ สภาผู้แทนราษฎรของสหรัฐอเมริกา ซึ่งสืบพยาน เรื่องสิทธิมนุษยชนในประเทศไทย อันเนื่องมาจากเหตุการณ์ 6 ตุลา เดือนกันยายน พ.ศ. 2520 อาจารย์ป๋วยได้ล้มป่วยด้วยอาการเส้นโลหิตในสมองแตก ต้องรักษาตัวอยู่ในโรงพยาบาลนานนับสามเดือน อาการเส้นโลหิตในสมองแตก ได้ส่งผลกระเทือนสมองส่วนที่แปลความคิดเป็นคำพูด ทำให้อาจารย์ป๋วยไม่สามารถพูดได้อย่างคนปกติ ท่านพูดออกเสียงได้เล็กน้อยเท่านั้น นับเลขได้ 1-2-3 ถึง 10 แต่ต้องเริ่มต้นที่เลข 1 เสมอ ในช่วงบั้นปลายชีวิต อาจารย์ป๋วยใช้ชีวิตอย่างเรียบง่าย ในบ้านเก่าแก่ที่ประเทศอังกฤษ สามารถเดินไปไหนได้ แม้ว่ามือขวาจะยังใช้การได้ไม่ค่อยดี พูดได้น้อย แต่ก็สามารถสื่อสารกับคนรอบข้างให้เข้าใจได้ วันที่ 1 เมษายน พ.ศ. 2530 อาจารย์ป๋วยเดินทางกลับมาเมืองไทย หลังจากที่ต้องออกจากบ้านเกิดไป เมื่อเหตุการณ์ 6 ตุลา เป็นครั้งแรก พร้อมด้วยภรรยา ลูกชาย ลูกสะใภ้ และหลานอีกสองคน มีบรรดาเพื่อนๆ ลูกศิษย์ และคนรู้จักมากมายมาพบปะ เยี่ยมเยือนที่บ้านเก่าซอยอารีย์ วันที่ 3 เมษายน พ.ศ. 2530 ที่ ธนาคารแห่งประเทศไทย พนักงานประมาณ 2,000 คน มายืนต้อนรับการกลับมาของอาจารย์ป๋วย คนธรรมดาคนหนึ่ง ซึ่งเป็นแบบอย่างดีที่สุดของข้าราชการเมืองไทย ในตอนบ่าย ขณะรถอาจารย์ป๋วยกำลังจะแล่นออกไป หลายคนพยายามเข้าไปใกล้ชิดอาจารย์มากที่สุด จนอาจารย์ป๋วยไขกระจกรถลง แล้วยื่นมือออกมาให้พนักงานได้สัมผัส หลายคนร่ำไห้ออกมาอย่างไม่อายใคร ที่บุคคลซึ่งตนให้ความนับถือ และเคารพรัก กำลังจะจากไป วันที่ 7 เมษายน พ.ศ. 2530 อาจารย์ป๋วยได้มาร่วมรับประทานอาหารกลางวันกับอาจารย์คณะเศรษฐศาสตร์ และเดินไปบริเวณมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ตลอดทางมีนักศึกษายืนต้อนรับ มีนักศึกษายืนถือป้ายข้อความว่า " ปลื้มใจนักเตี่ยกลับบ้าน " "ลูกโดมมิลืมอาจารย์ป๋วย" "ยังข้นและยังเข้ม ดุจเกลือเค็มในแผ่นดิน ดีกว่าน้ำปลาริน อันปรุงรสละลายหอม" วันที่ 20 เมษายน เดินทางเยี่ยมมูลนิธิโกมลคีมทอง วันที่ 21 เมษายน เดินทางไปเยี่ยมคณะเศรษฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย และเยี่ยมโครงการอาสาสมัครเพื่อสังคม (คอส.) และ วันที่ 25 เมษายน อาจารย์ป๋วยก็เดินทางออกจากเมืองไทย จากนั้นก็ได้กลับมาเยี่ยมบ้านเกิดอีกครั้ง ในปี พ.ศ. 2536 พ.ศ. 2538 และครั้งสุดท้ายในปี พ.ศ. 2540 === อนิจกรรม === วันที่ 28 กรกฎาคม พ.ศ. 2542 อาจารย์ป๋วย อึ๊งภากรณ์ ได้ถึงแก่อนิจกรรมที่บ้าน ณ กรุงลอนดอน ประเทศอังกฤษ สหราชอาณาจักร เนื่องจากเส้นโลหิตใหญ่ในช่องท้องโป่งแตก (aortic aneurysm) อายุได้ 83 ปี "ตายแล้ว เผาผมเถิด อย่าฝัง คนอื่นจะได้มีที่ดินอาศัยและทำกิน และอย่าทำพิธีรีตองในงานศพให้วุ่นวายไป" จากข้อเขียน "จากครรภ์มารดาถึงเชิงตะกอน|คุณภาพชีวิต ปฏิทินแห่งความหวัง จากครรภ์มารดาถึงเชิงตะกอน" วันที่ 6 สิงหาคม พ.ศ. 2542 ทางครอบครัวได้ทำการเผาศพ และบรรจุอัฐินำกลับมาเมืองไทย วันที่ 16 สิงหาคม และ วันที่ 28 สิงหาคม บริเวณท่าเรือสัตหีบ เรือหลวงกระบุรี แห่งราชนาวีไทย ได้นำครอบครัวอึ้งภากรณ์ และแขกประมาณ 200 คน มุ่งหน้าสู่เกาะครามนำอังคารของอาจารย์ป๋วยไปลอยทะเล ส่วนอัฐินำไปบรรจุที่วัดปทุมคงคาราชวรวิหาร == ชีวิตส่วนตัว == ป๋วย ได้แต่งงานกับมาร์เกรท สมิท สตรีชาวอังกฤษ โดยมีบุตร 3 คน ได้แก่ จอน อึ๊งภากรณ์ ไมตรี อึ๊งภากรณ์ ใจ อึ๊งภากรณ์ == เครื่องราชอิสริยาภรณ์ == === เครื่องราชอิสริยาภรณ์ไทย === ราชกิจจานุเบกษา, http://www.ratchakitcha.soc.go.th/DATA/PDF/2507/D/118/12.PDF แจ้งความสำนักนายกรัฐมนตรี เรื่อง พระราชทานเครื่องราชอิสริยาภรณ์, เล่ม ๘๑ ตอนที่ ๑๑๘ ง ฉบับพิเศษ หน้า ๑๒, ๑๗ ธันวาคม ๒๕๐๗ ราชกิจจานุเบกษา, http://www.ratchakitcha.soc.go.th/DATA/PDF/2506/D/003/18.PDF แจ้งความสำนักนายกรัฐมนตรี เรื่อง พระราชทานเครื่องราชอิสริยาภรณ์, เล่ม ๘๐ ตอนที่ ๓ ง ฉบับพิเศษ หน้า ๑๙, ๔ มกราคม ๒๕๐๖ ราชกิจจานุเบกษา, http://www.ratchakitcha.soc.go.th/DATA/PDF/2507/D/042/5.PDF แจ้งความสำนักนายกรัฐมนตรี เรื่อง พระราชทานเครื่องราชอิสริยาภรณ์, เล่ม ๘๑ ตอนที่ ๔๒ ง ฉบับพิเศษ หน้า ๖, ๗ พฤษภาคม ๒๕๐๗ === เครื่องราชอิสริยาภรณ์ต่างประเทศ === * : ** พ.ศ. 2489 - ไฟล์:Order of the British Empire (Military) Ribbon.svg|80x80px เครื่องราชอิสริยาภรณ์จักรวรรดิบริติช ชั้นเบญจมาภรณ์ (ฝ่ายทหาร) == อ้างอิง == * เนื้อหาเกือบทั้งหมดในบทความนี้คัดลอกมาจาก https://web.archive.org/web/20020206010840/http://www.geocities.com/thaifreeman/puey/puey.html สามัญชน บนถนนประชาธิปไตย โดยได้รับอนุญาตจากผู้จัดทำแล้ว * สดุดีและไว้อาลัย แด่ ป๋วย อึ๊งภากรณ์ ศิษย์เก่าและอดีตครูโรงเรียนอัสสัมชัญ 23 สิงหาคม 2542 * http://www.bot.or.th/bothomepage/General/CarrerAndScholarship/Puey/Puey_new.htm ชีวประวัติอาจารย์ป๋วย อึ๊งภากรณ์ , ธนาคารแห่งประเทศไทย == แหล่งข้อมูลอื่น == * http://www.puey.in.th/ รวมผลงานหนังสือ วิดีโอ เสียง อาจารย์ป๋วย อึ๊งภากรณ์ * http://th.wikisource.org/wiki/จากครรภ์มารดาถึงเชิงตะกอน จากครรภ์มารดาถึงเชิงตะกอน ข้อเขียนของ ดร. ป๋วย หมวดหมู่:นักเศรษฐศาสตร์ชาวไทย หมวดหมู่:บุคคลจากคณะเศรษฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ หมวดหมู่:ข้าราชการพลเรือนชาวไทย หมวดหมู่:อาจารย์คณะเศรษฐศาสตร์ หมวดหมู่:ผู้ได้รับรางวัลแมกไซไซ หมวดหมู่:ศาสตราจารย์ หมวดหมู่:สมาชิกขบวนการเสรีไทย หมวดหมู่:สมาชิกสภานิติบัญญัติแห่งชาติ หมวดหมู่:ผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย หมวดหมู่:อธิการบดีมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ หมวดหมู่:ผู้ได้รับเครื่องราชอิสริยาภรณ์ ม.ป.ช. หมวดหมู่:ผู้ได้รับเครื่องราชอิสริยาภรณ์ ม.ว.ม. หมวดหมู่:ผู้ได้รับเครื่องราชอิสริยาภรณ์ ท.จ.ว. หมวดหมู่:บุคคลในสงครามโลกครั้งที่สอง หมวดหมู่:บุคคลจากโรงเรียนอัสสัมชัญ หมวดหมู่:ศิษย์เก่าจากวิทยาลัยเศรษฐศาสตร์และรัฐศาสตร์แห่งลอนดอน หมวดหมู่:บุคคลที่เกี่ยวข้องกับเหตุการณ์ 6 ตุลา หมวดหมู่:สกุลอึ๊งภากรณ์ หมวดหมู่:ชาวไทยที่เสียชีวิตในประเทศอังกฤษ หมวดหมู่:บุคคลจากเขตสัมพันธวงศ์ หมวดหมู่:ผู้ลี้ภัยชาวไทย หมวดหมู่:บุคคลในประวัติศาสตร์กรุงรัตนโกสินทร์ หมวดหมู่:ชาวไทยในสงครามโลกครั้งที่สอง
ป๋วย อึ๊งภากรณ์
ไฟล์:Henri Poincaré-2.jpg|thumb|220px|right|อ็องรี ปวงกาเร '''ฌูล อ็องรี ปวงกาเร''' (; http://www.bartleby.com/61/wavs/3/P0400300.wav ฟัง ) เกิด 29 เมษายน ค.ศ. 1854 เสียชีวิต 17 กรกฎาคม ค.ศ. 1912 เป็นหนึ่งในนักคณิตศาสตร์ นักฟิสิกส์ และนักปรัชญาวิทยาศาสตร์ที่ดีสุดของประเทศฝรั่งเศส|ฝรั่งเศส ในหนังสือประวัตินักคณิตศาสตร์ที่โด่งดังของอิริค เทมเพิล เบลล์ได้ให้เกียรติปวงกาเรว่าเป็น นักคณิตศาสตร์คนสุดท้ายผู้ล่วงรู้ครอบจักรวาล (universalist) เนื่องจากปวงกาเรเดินตามรอยของนักคณิตศาสตร์ผู้ยิ่งใหญ่ในอดีต เช่น คาร์ล ฟรีดริช เกาส์|เกาส์, ออยเลอร์ หรือนิวตัน ที่มีผลงานและรอบรู้ในแทบทุกสาขาของคณิตศาสตร์ (หลังจากยุคปวงกาเรก็ไม่ปรากฏนักคณิตศาสตร์คนได้รอบรู้ในแง่ลึกของทุกสาขาอีก ทั้งนี้เนื่องจากสาขาของคณิตศาสตร์นั้นเพิ่มขึ้นมากมายมหาศาลในปัจจุบัน โดยตัวปวงกาเรเองก็เป็นผู้ที่ก่อตั้งสาขาย่อยของคณิตศาสตร์ใหม่อีกหลายสาขา) สาขาวิชาการที่ปวงกาเรได้อุทิศผลงานและมีผลกระทบสำคัญต่อวงการมากที่สุดได้แก่ คณิตศาสตร์ ฟิสิกส์เชิงคณิตศาสตร์ และ กลศาสตร์ท้องฟ้า โดยผลงานที่โด่งดังของปวงกาเรมีมากมายเช่น * ปวงกาเรเป็นผู้ตั้งปัญหาข้อความคาดการณ์ของปวงกาเร (Poincaré conjecture) หนึ่งในปัญหาที่มีชื่อเสียงที่สุดของคณิตศาสตร์ * เมื่อครั้งที่เขาทำวิจัยอย่างจริงจังในปัญหาสามวัตถุ (three-body problem) เขาเป็นคนแรกที่ได้คนพบปรากฏการณ์เคออส และตัวเขาเองเป็นผู้ก่อตั้งและวางรากฐานทฤษฎีเคออสสมัยใหม่ * ผลงานทางฟิสิกส์ของปวงกาเรเป็นหนึ่งในแรงบันดาลใจและแนวคิดตั้งต้นในทฤษฎีสัมพัทธภาพพิเศษของไอน์สไตน์ โดยไอน์สไตน์ได้เล่าในหนังสือชีวประวัติของเขาด้วยว่า หนังสือของปวงกาเรที่ชื่อ ''science and hypothesis'' มีอิทธิพลต่อแนวคิดเขามากควบคู่ไปกับงานของนักวิทยาศาสตร์ท่านอื่น เช่น แฮ็นดริก โลเรินตส์ (Hendrik Lorentz) และ เอิรนส์ มัค (Ernst Mach) * ปวงกาเรกรุ๊ป (Poincaré group) ในพีชคณิตสมัยใหม่ถูกตั้งชื่อขึ้นเพื่อเป็นเกียรติแก่ปวงกาเร == ชีวิตของปวงกาเร == == บุคลิกของปวงกาเร == == งานและปัญหาที่มีชื่อเสียง == งานชิ้นสำคัญที่ปวงกาเรได้อุทิศให้วงการคณิตศาสตร์และวิทยาศาสตร์มีดังต่อไปนี้: * ทอพอโลยีเชิงพีชคณิต (algebraic topology) * ทฤษฎีฟังก์ชันวิเคราะห์ของตัวแปรเชิงซ้อนหลายตัวแปร (the theory of analytic functions of several complex variables) * ทฤษฎีอาบีเลียนฟังก์ชัน (the theory of abelian functions) * เรขาคณิตเชิงพีชคณิต (algebraic geometry) * ทฤษฎีจำนวน (number theory) * ปัญหาสามวัตถุ (the three-body problem) * ทฤษฎีสมการไดโอแฟนไทน์ (the theory of diophantine equations) * ทฤษฎีแม่เหล็กไฟฟ้า (the theory of electromagnetism) * ทฤษฎีสัมพัทธภาพพิเศษ (the special theory of relativity) นอกจากนี้ปวงกาเรยังเป็นคนที่มีพรสวรรค์ในการเขียนและเล่าหลักการยาก ๆ ทางคณิตศาสตร์และวิทยาศาสตร์ให้เข้าใจได้ง่าย เขาได้เขียนหนังสือคณิตศาสตร์และวิทยาศาสตร์ในรูปแบบที่คนธรรมดาทั่วไปสามารถทำความเข้าใจได้ง่ายหลายเล่ม (ดูผลงานทางวิชาการ) == ผลงานทางวิชาการ == ปวงกาเรตีพิมพ์สองผลงานสำคัญที่ส่งผลให้กลศาสตร์ท้องฟ้ามีรากฐานอยู่บนระบบคณิตศาสตร์ที่สมบูรณ์มั่นคง (:en:rigour|mathematical rigour) * ''New Methods of Celestial Mechanics'' ISBN 1-56396-117-2 (3 vols., 1892-99; Eng. trans., 1967) * ''Lessons of Celestial Mechanics''. (1905-10). ปวงกาเรได้ตีพิมพ์ชุดหนังสือปรัชญาวิทยาศาสตร์ที่โด่งดังที่อธิบายและวิเคราะห์เนื้อแท้ของวิทยาศาสตร์ ดังนี้ * ''Science and Hypothesis'', 1901. (ไอน์สไตน์เองได้รับแรงบันดาลใจบางส่วนจากเล่มนี้) * ''The Value of Science'', 1904. * ''Science and Method'', 1908. * ''Dernières pensées'' (eng, "Last Thoughts"); Edition Ernest Flammarion, Paris, 1913. == อ้างอิง == * อีริค เทมเพิล เบลล์ (1986). ''Men of Mathematics'' (reissue edition). Touchstone Books. ISBN 0-671-62818-6. * Ivars Peterson|Peterson, Ivars (1995). ''Newton's Clock: Chaos in the Solar System'' (reissue edition). W H Freeman & Co. ISBN 0-7167-2724-2. * Peter Louis Galison|Galison, Peter Louis (2003). ''Einstein's Clocks, Poincaré's Maps: Empires of Time''. Hodder & Stoughton. ISBN 0-340-79447-X. * ''E. Toulouse'', ''Henri Poincaré'', Paris (1910) - (Source biography in French) == ดูเพิ่ม == * ฟิสิกส์ * คณิตศาสตร์ * ปรัชญาวิทยาศาสตร์ * Poincaré recurrence theorem == แหล่งข้อมูลอื่น == * http://quote.wikipedia.org/wiki/Henri_Poincaré Wikiquote - Quotes by Henri Poincaré * http://www.utm.edu/research/iep/p/poincare.htm A review of Poincaré's mathematical achievements * http://www.univ-nancy2.fr/ACERHP/documents/kronowww.html A timeline of Poincaré's life (in French) * http://www.marxists.org/reference/subject/philosophy/works/fr/poincare.htm Poincaré's 1897 article "The Relativity of Space", English translation * http://www.sciam.com/print_version.cfm?articleID=0003848D-1C61-10C7-9C6183414B7F0000 Henri Poincaré, His Conjecture, Copacabana and Higher Dimensions หมวดหมู่:บุคคลที่เกิดในปี พ.ศ. 2397 หมวดหมู่:นักคณิตศาสตร์ชาวฝรั่งเศส หมวดหมู่:นักฟิสิกส์ชาวฝรั่งเศส หมวดหมู่:นักปรัชญาวิทยาศาสตร์ หมวดหมู่:อ็องรี ปวงกาเร
อ็องรี ปวงกาเร
Infobox scientist | image = Carl Friedrich Gauss 1840 by Jensen.jpg | caption = คาร์ล ฟรีดริช เกาส์ (1777–1855), วาดโดย Christian Albrecht Jensen | birth_name = โยฮัน คาร์ล ฟรีดริช เกาส์ | birth_date = | birth_place = เบราน์ชไวค์, Principality of Brunswick-Wolfenbüttel | death_date = | death_place = เกิททิงเงิน, ราชอาณาจักรฮันโนเฟอร์, สมาพันธรัฐเยอรมัน | residence = ราชอาณาจักรฮันโนเฟอร์ | citizenship = | nationality = เยอรมัน | fields = คณิตศาสตร์ และฟิสิกส์ | workplaces = มหาวิทยาลัยเกิททิงเงิน | alma_mater = Braunschweig University of Technology|Collegium CarolinumมหาวิทยาลัยเกิททิงเงินUniversity of Helmstedt (ปรัชญาดุษฎีบัณฑิต|Ph.D.)https://www.uvm.edu/~rsingle/stats/Gauss.html | thesis_title = Demonstratio nova... | thesis_url = http://www.e-rara.ch/zut/content/titleinfo/1336299 | thesis_year = 1799 | doctoral_advisor = Johann Friedrich Pfaff | academic_advisors = Johann Christian Martin Bartels | doctoral_students = Johann Benedict Listing|Johann ListingChristian Ludwig GerlingRichard Dedekindแบร์นฮาร์ท รีมันChristian Heinrich Friedrich Peters|Christian PetersMoritz Cantor | notable_students = Johann Franz Encke|Johann EnckeChristoph GudermannPeter Gustav Lejeune DirichletGotthold EisensteinCarl Wolfgang Benjamin Goldschmidtกุสทัฟ เคียร์ชฮ็อฟErnst KummerAugust Ferdinand MöbiusL. C. SchnürleinJulius WeisbachSophie Germain (epistolary correspondent) | known_for = List of topics named after Carl Friedrich Gauss|See full list | influences = | influenced = Ferdinand Minding | awards = Lalande Prize (1809)Copley Medal (1838) | signature = Carl Friedrich Gauß signature.svg | footnotes = '''โยฮัน คาร์ล ฟรีดริช เกาส์''' () นักคณิตศาสตร์ชาวเยอรมัน เกิดเมื่อวันที่ 30 เมษายน พ.ศ. 2302 (ค.ศ. 1777) เสียชีวิต 23 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2398 (ค.ศ. 1855) เป็นหนึ่งในตำนานนักคณิตศาสตร์ผู้ยิ่งใหญ่ที่สุดในประวัติศาสตร์ (นักคณิตศาสตร์บางท่านกล่าวว่าสี่ผู้ยิ่งใหญ่ของวงการคณิตศาสตร์มี อาร์คิมิดีส ไอแซก นิวตัน|นิวตัน เกาส์ และเลออนฮาร์ด ออยเลอร์|ออยเลอร์) ได้รับฉายาว่า "เจ้าชายแห่งคณิตศาสตร์" (Prince of Mathematics) เนื่องจากอุทิศผลงานในทุก ๆ ด้านของคณิตศาสตร์ในยุคสมัยของเขา นอกจากนี้เกาส์ยังมีผลงานสำคัญทางด้านฟิสิกส์ โดยเฉพาะด้านดาราศาสตร์อีกด้วย == ประวัติ == === วัยเด็ก === เกาส์เกิดที่เมืองเบราน์ชไวค์ ในวัยเยาว์เป็นที่กล่าวขวัญกันอย่างกว้างขวางว่า เกาส์เป็นอัจฉริยะทางด้านตัวเลข เมื่อชราแล้ว เกาส์ยังได้เล่ามุกตลกว่า เขาสามารถบวกเลขได้ก่อนที่เขาจะพูดได้เสียอีก กล่าวกันว่า โยฮัน ว็อล์ฟกัง ฟ็อน เกอเทอ|เกอเทอสามารถแต่งบทละครสำหรับเด็กได้ตั้งแต่อายุ 6 ขวบ ส่วนโมซาร์ทก็สามารถแต่งทำนองเพลง Twinkle Twinkle Little Star ได้ตั้งแต่อายุ 5 ขวบ แต่สำหรับเกาส์แล้ว เป็นที่กล่าวกันว่า เกาส์สามารถตรวจสอบแก้ไขเลขบัญชีของบิดาได้ตั้งแต่อายุ 3 ขวบ อย่างไรก็ตาม เหตุการณ์ที่แสดงความอัจฉริยะของเกาส์ให้คนทั่วไปได้ทราบ เกิดขึ้นเมื่อเขายังเป็นเด็กชายเกาส์อายุ 7 ขวบ ในห้องเรียนวันหนึ่ง ครูสั่งให้นักเรียนบวกเลขตั้งแต่ 1 ถึง 100 ครูเพียงแค่หันหลังไป เด็กชายเกาส์ก็ตอบขึ้นมาว่า 5,050 เมื่อถูกถามว่าได้คำตอบนั้นมาได้อย่างไรวิธีของเขาก็คือ กำหนดให้ s=1+2+3+...+98+99+100 (1) s=100+99+98+...+3+2+1 (2) นำสมการ(1)และ(2)มาบวกกันจะได้ว่า 2s=101+101+...+101+101 ซึ่งก็คือ 101 บวกกันทั้งหมด 100 ครั้ง =100*101 ดังนั้น s=(100*101)/2 = 5,050 === ช่วงเรียนมหาวิทยาลัย === เกาส์ได้รับทุนให้เข้าศึกษาในระดับวิทยาลัยและได้ค้นพบซ้ำทฤษฎีบทที่สำคัญหลายชิ้นด้วยตนเอง ==== การสร้างรูป n เหลี่ยมด้านเท่าด้วยไม้บรรทัดและวงเวียน ==== จุดก้าวเปลี่ยนสำคัญเกิดขึ้น เมื่อเขาได้พิสูจน์ว่ารูปเหลี่ยมด้านเท่าจำนวน n ด้าน (n-gon)ใด ๆ สามารถเขียนได้โดยใช้เพียงไม้บรรทัดและวงเวียน ถ้าตัวประกอบที่เป็นจำนวนเฉพาะของ n ที่เป็นจำนวนคี่ล้วนเป็นจำนวนเฉพาะแฟร์มาต์ (Fermat primes) ที่ไม่ซ้ำกัน ผลงานนี้ นับว่าเป็นการต่อยอดความคิดของคณิตศาสตร์สมัยกรีกโบราณ ที่หยุดนิ่งมาถึง 2,000 ปี โดยนักคณิตศาสตร์ของกรีกโบราณ ทราบเพียงว่ามีเพียงรูป 3, 4, 5 และ 15 เหลี่ยมด้านเท่า เท่านั้น ที่สร้างได้ด้วยไม้บรรทัดและวงเวียน เกาส์เองรู้สึกภูมิใจกับมันมาก ถึงขนาดที่เขาขอให้มีการแกะสลักรูปสิบเจ็ดเหลี่ยม|รูป 17 เหลี่ยมด้านเท่า (17-gon) ไว้ที่บนป้ายเหนือหลุมฝังศพของเขา ==== ทฤษฎีบทมูลฐานของพีชคณิต ==== วิทยานิพนธ์ปริญญาเอกของเกาส์เป็นอีกหนึ่งความก้าวหน้าอันยิ่งใหญ่ในวงการคณิตศาสตร์สมัยนั้น เมื่อเกาส์เป็นผู้แรกที่สามารถพิสูจน์ทฤษฎีบทมูลฐานของพีชคณิต (fundamental theorem of algebra) ซึ่งกล่าวคร่าว ๆ ว่าทุกสมการพหุนามอันดับใด ๆ จะมีคำตอบอยู่ในรูปจำนวนเชิงซ้อนเสมอ ทฤษฎีบทนี้ช่วยให้วงการคณิตศาสตร์เข้าใจว่าจำนวนเชิงซ้อนมีบทบาทสำคัญมากเพียงใด และยังเป็นทฤษฎีบทที่นักคณิตศาสตร์เช่น ชอง เลอ รอง ดาลองแบร์|ดาลองแบร์, เลออนฮาร์ด ออยเลอร์|ออยเลอร์, โชแซฟ ลุย ลากรองช์|ลากรองช์ หรือ ปีแยร์-ซีมง ลาปลาส|ลาปลาส ต่างได้เคยพยายามพิสูจน์แล้ว ยิ่งไปกว่านั้นในช่วงชีวิตของเกาส์ เขาได้ให้บทพิสูจน์ทฤษฎีบทนี้ถึง 4 รูปแบบที่ต่างกันโดยสิ้นเชิง ซึ่งทำให้เกิดความเข้าใจในคุณสมบัติของจำนวนเชิงซ้อนมากขึ้นเรื่อย ๆ === มหาวิทยาลัยเกิตติงเงิน === ในช่วงนี้เกาส์ได้รับการสนับสนุนจาก 'ดุ๊ก' หรือผู้ปกครองเมืองบรันสวิก มาโดยตลอด ทว่าเกาส์ไม่คิดว่างานทางด้านคณิตศาสตร์ จะได้รับการสนับสนุนในระยะยาวอย่างมั่นคง เกาส์จึงตัดสินใจรับตำแหน่งศาสตราจารย์ด้านดาราศาสตร์ และหัวหน้าหอสังเกตการณ์ทางดาราศาสตร์ ที่มหาวิทยาลัยเกิตติงเกน ==== ผลงานเกี่ยวกับทฤษฎีจำนวน ==== ผลงานสำคัญของเกาส์ในด้านทฤษฎีจำนวน คือหนังสือที่ตีพิมพ์ในปี พ.ศ. 2344 (ค.ศ. 1801) ชื่อว่า ''Disquisitiones Arithmeticae'' เนื้อหาในหนังสือเล่มนี้ เกี่ยวกับการนำเสนอ เลขคณิตมอดุลาร์ (modular arithmetic) ที่เป็นระบบจำนวนภายใต้การหารแบบเหลือเศษ และบทพิสูจน์แรกของทฤษฎี ส่วนกลับกำลังสอง (quadratic reciprocity) ซึ่งในปัจจุบันมีบทพิสูจน์ที่แตกต่างกันหลายแบบ แต่เกาส์เป็นคนแรกที่พิสูจน์ทฤษฎีบทนี้ได้ ในปี พ.ศ. 2339 (ค.ศ. 1796) ==== ผลงานเกี่ยวกับทฤษฎีแม่เหล็กและไฟฟ้า ==== ในปี พ.ศ. 2374 (ค.ศ. 1831) เกาส์ได้ร่วมงานกับ วิลเฮล์ม เวเบอร์ ซึ่งเป็นนักฟิสิกส์ วิจัยเกี่ยวกับแม่เหล็ก สร้างสหพันธ์แม่เหล็ก (Magnetic Union) โดยร่วมมือกับประเทศต่าง ๆ ทั่วโลก เพื่อศึกษาเกี่ยวกับแม่เหล็กโลก งานเกี่ยวกับแม่เหล็กของเกาส์และเวเบอร์ ได้ถูกนำไปพัฒนาเป็นเครื่องโทรเลขในยุคแรก ๆ นอกจากนี้ยังค้นพบ กฎของเกาส์ ในสนามไฟฟ้า ซึ่งนำไปสู่ กฎของเคิร์ชฮอฟฟ์ (โดยรวมกับไดเวอร์เจนซ์ของ กฎของแอมแปร์) ที่เป็นหนึ่งในกฎพื้นฐานที่สุดของวงจรไฟฟ้า ในความเรียง ''Treatise on Electricity and Magnetism (1873)'' ที่มีชื่อเสียงของ เจมส์ เคลิร์ก แมกซ์เวลล์ เขาได้กล่าวชื่นชมเกาส์ว่า เกาส์ได้สร้างวิทยาศาสตร์ของแม่เหล็กขึ้นมาเลยทีเดียว ==== วิธีกำลังสองต่ำสุด ความผิดพลาดในการวัด และการกระจายตัวแบบเกาส์ ==== ในปี ค.ศ. 1809 เกาส์ได้ทำงานวิจัยเกี่ยวกับเรื่องการเคลื่อนไหวของวัตถุท้องฟ้า และได้สร้างค่าคงที่แรงโน้มถ่วงของเกาส์ ขึ้นมา นอกจากนี้ในงานวิจัยชิ้นนี้ยังได้คิดค้น วิธีกำลังสองต่ำสุด (method of least squares) ซึ่งเป็นวิธีที่ใช้กันทั่วไปในวิทยาศาสตร์ปัจจุบัน ในการลดผลกระทบจากค่าความผิดพลาดจากการวัดให้เหลือน้อยที่สุด โดยเกาส์ได้พิสูจน์ถึงความถูกต้องของวิธีนี้ เมื่อมีสมมุติฐานว่าค่าความผิดพลาดที่เกิดจากการวัดมี ''การกระจายตัวแบบปกติ'' (normal distribution) (เป็นสาเหตุให้คนทั่วไปนิยมเรียกกันว่าการกระจายตัวแบบเกาส์ (gaussian distribution)) (ดูรายละเอียดเพิ่มเติมที่ ทฤษฎีบทเกาส์-มาร์คอฟ) แม้ว่าวิธีกำลังสองต่ำสุดนี้มีนักคณิตศาสตร์ชื่อดังคือ เอเดรียน-แมรี เลอจองด์ ได้นำเสนอไว้ก่อนแล้วในปี พ.ศ. 2348 (ค.ศ. 1805) แต่เกาส์อ้างว่าเขาคิดค้นและใช้วิธีนี้มาตั้งแต่ปี พ.ศ. 2338 (ค.ศ. 1795) ==== เรขาคณิตนอกแบบยุคลิด ==== ที่ผ่านมาจะเห็นว่า งานที่ตีพิมพ์ของเกาส์แต่ละอย่างนั้น ส่งผลกระทบต่อวงการวิชาการมากมายมหาศาล แต่อย่างไรก็ตาม งานของเกาส์ที่ไม่ถูกตีพิมพ์ก็ยิ่งใหญ่ไม่แพ้กัน ยกตัวอย่างเช่น เกาส์ได้ค้นพบ เรขาคณิตนอกแบบยุคลิด (non-Euclidean geometries) ซึ่งส่งผลกระทบสำคัญ ต่อจินตนาการของมนุษย์ต่อธรรมชาติและโครงสร้างจักรวาล เทียบเคียงได้กับ นิโคเลาส์ โคเปอร์นิคัส|การปฏิวัติของโคเปอร์นิคัส ในสาขาดาราศาสตร์เลยทีเดียว เนื่องจากตั้งแต่สมัยยุคลิด จนกระทั่งถึงสมัยของเกาส์นั้น สัจพจน์ทั้งหลายในเรขาคณิตแบบยุคลิด ถือว่าเป็นความจริงที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ แต่อย่างไรก็ตาม นักคณิตศาสตร์รุ่นถัดมาจนถึงเกาส์ ก็สงสัยการกำหนดสัจพจน์บางอย่างของยุคลิดมาตลอด โดยเฉพาะสัจพจน์เส้นขนาน ที่กล่าวว่า * กำหนดเส้นตรงหนึ่งเส้น และกำหนดจุดหนึ่งจุดที่ไม่ได้อยู่บนเส้นตรงนั้น จะมีเพียงเส้นตรงเส้นเดียวที่ผ่านจุดนั้นและขนานกับเส้นตรงเส้นแรก นักคณิตศาสตร์ได้สงสัยมานานว่า ทำไมเรื่องเส้นขนานนี้ถึงต้องเป็นสัจพจน์ เนื่องจากสัจพจน์ควรจะเป็นอะไรที่เข้าใจได้ง่าย ๆ เช่น สัจพจน์ของจุด เป็นต้น เรื่องเส้นขนานที่ค่อนข้างซับซ้อนนั้น ควรที่จะเป็นทฤษฎีบท คือสามารถพิสูจน์ได้ด้วยสัจพจน์ที่เป็นมูลฐานอื่น ๆ มากกว่าที่จะเป็นสัจพจน์เสียเอง ยุคลิดเองก็ดูลังเลกับสัจพจน์ข้อนี้ โดยได้ให้เป็นสัจพจน์ข้อสุดท้ายในระบบเรขาคณิตของเขา อย่างไรก็ตาม ไม่มีนักคณิตศาสตร์คนใดสามารถพิสูจน์สัจพจน์เส้นขนานนี้ได้สำเร็จ โดยจากสมุดบันทึกของเกาส์ที่พบ เราทราบว่า เกาส์เองก็ได้ลองพยายามพิสูจน์ประเด็นนี้ เมื่ออายุ 15 ปี และก็ล้มเหลวเช่นเดียวกันกับคนอื่น ๆ อย่างไรก็ตาม ความล้มเหลวของเกาส์ต่างจากคนอื่น ๆ ตรงที่ในเวลาถัดมาเกาส์เริ่มตระหนักว่า ระบบเรขาคณิตแบบยุคลิด ไม่ใช่ระบบเรขาคณิตเพียงระบบเดียวที่เป็นไปได้ เกาส์คิดค้นประเด็นนี้อยู่หลายปี และในปี พ.ศ. 2363 (ค.ศ. 1820) เกาส์ก็ได้ทฤษฎีบทเต็มรูปแบบของ '''เรขาคณิตนอกแบบยุคลิด''' Werke, vol. VIII, pp. 159-268, 1900 อย่างไรก็ตาม เกาส์ไม่ได้เปิดเผยผลงานชิ้นนี้ต่อสาธารณะ จนกระทั่งในปี พ.ศ. 2372 (ค.ศ. 1829) และ พ.ศ. 2375 (ค.ศ. 1832) ซึ่ง โลบาชอฟสกี (Lobachevsky) นักคณิตศาสตร์ชาวรัสเซีย และ ยาโนส โบลยาอี (Johann Bolyai) นักคณิตศาสตร์ชาวฮังการี ได้ตีพิมพ์งานชิ้นนี้ (โดยไม่ขึ้นต่อกัน) เช่นเดียวกัน ซึ่งพ่อของโบลยาอี ซึ่งเป็นเพื่อนของเกาส์ ได้นำข่าวดีของลูกชายตัวเองมาเล่าให้เกาส์ฟัง และก็ต้องตกตะลึง เมื่อเกาส์ไปรื้องานเก่า ๆ ในลังของตัวเองมาให้ดู โดยโบลยาอีผู้ลูกถึงกับพูดว่า "ผมรู้สึกเหมือนเดินอยู่ในฝ่ามือของยักษ์ใหญ่" เหตุผลที่เกาส์ไม่ยอมตีพิมพ์งานของตัวเองนั้นเรียบง่ายมาก เพราะเนื่องจากในเยอรมันสมัยนั้น มีนักปรัชญาที่ยิ่งใหญ่ที่สุดคนหนึ่งคือ อิมมานูเอิล คานท์ อยู่ โดยคานท์ได้คิดและวางหลักการต่าง ๆ เกี่ยวกับความรู้มนุษย์ไว้มากมาย และคนทั่วไปก็ยอมเชื่อฟังแนวคิดของคานท์ โดยคานท์ได้ให้ความเห็นไว้ว่า ระบบเรขาคณิตของยุคลิด เป็นความเป็นไปได้เพียงหนึ่งเดียวในการคิดเกี่ยวกับเรื่องของ มิติ อวกาศ หรือ ปริภูมิ (space) ซึ่งเกาส์ทราบเป็นอย่างดีว่าความคิดนี้ผิด แต่ด้วยเกาส์เป็นคนที่มีบุคลิกรักสันโดษและความสงบ เกาส์จึงตัดสินใจที่จะไม่ไปโต้เถียงเรื่องนี้ ซึ่งเป็นเรื่องใหญ่มาก กับเหล่านักปรัชญาที่สนับสนุนแนวคิดของคานท์ ==== ฟังก์ชันเชิงวงรี ==== นอกจากนั้น ในงานที่ไม่ได้ตีพิมพ์อื่น ๆ เกาส์ยังได้ค้นพบทฤษฎีของ ฟังก์ชันเชิงวงรี (elliptic functions) หลาย ๆ อย่าง ซึ่งสำคัญมากในสาขาคณิตวิเคราะห์ (mathematical analysis) ก่อนหน้า ปีเตอร์ กุสตาฟ ยาโคบี และ นีลส์ เฮนริก อาเบล ซึ่งได้ชื่อว่าเป็นผู้ค้นพบสองคนแรก ตั้งแต่ตอนที่สองคนนี้ยังไม่เกิด ทุกครั้งที่ยาโคบีค้นพบสิ่งใหม่ ๆ ยาโคบีจะมาหาเกาส์ด้วยความดีใจ และในแทบทุกครั้ง ยาโคบีต้องถึงกับตะลึง เมื่อเกาส์ได้โชว์งานเก่า ๆ ของตัวเองในลังใบเดิม ๆ ให้ดู ยาโคบีถึงกับพูดกับน้องชายของเขาว่า === ช่วงท้ายของชีวิต === แม้ว่าเกาส์ไม่ชอบสอนหนังสือ แต่ลูกศิษย์ของเขาหลายคน เช่น ริชาร์ด เดเดคินด์ และ แบร์นฮาร์ด รีมันน์ ก็เป็นนักคณิตศาสตร์ที่ยิ่งใหญ่เช่นกัน เกาส์เสียชีวิตในเมืองเกิตติงเกนในฮันโนเฟอร์ (ปัจจุบันคือประเทศเยอรมนี) และก็ถูกฝังที่สุสาน โดยมีเหล่าลูกศิษย์เอกเช่น เดเดคินด์ เป็นผู้แบกโลงศพของเกาส์ == อ้างอิง == ; หนังสืออ่านเพิ่มเติม * Dunham, W. The Mathematical Universe,Wiley, 1997. ผู้เขียนได้รับรางวัลผู้แต่งหนังสือยอดเยี่ยมสำหรับประชาชนธรรมดา * Simmons, G. F, ''Differential Equations with Applications and Historical Notes'', 2nd Edition, McGraw-Hill, (1991) เป็นหนังสือสมการเชิงอนุพันธ์ที่ได้ใส่เกร็ดเกี่ยวกับประวัติของคณิตศาสตร์ไว้อย่างสนุกสนานและน่าตื่นเต้นติดตาม * Simmons, J, ''The giant book of scientists -- The 100 greatest minds of all time'', Sydney: The Book Company, (1996) * Dunnington, G. Waldo, ''Carl Friedrich Gauss: Titan of Science'', The Mathematical Association of America; (June 2003) == ดูเพิ่ม == * นักคณิตศาสตร์ * นักฟิสิกส์ * เส้นเวลาของคณิตศาสตร์ * เกาส์ (หน่วยวัดความเข้มแม่เหล็ก) == แหล่งข้อมูลอื่น == * http://www-groups.dcs.st-andrews.ac.uk/~history/Mathematicians/Gauss.html MacTutor ประวัติของเกาส์ * http://www.mathsong.com/cfgauss Carl Frederick Gauss, เว็บไซต์ที่ทำโดยหลานของหลานของหลานของหลานของเกาส์ ซึ่งรวบรวมจดหมายที่เขาเขียนถึงบุตรชายชื่อยูจีน และต้นไม้ตระกูลของเกาส์ * http://www.gausschildren.org Gauss and His Children, เว็บไซต์สำหรับนักวิจัยเกี่ยวกับเกาส์และลูกหลานของเกาส์ * http://www.gauss.info Gauss , แหล่งรวมข้อมูลทั่วไป สามารถส่งเว็บไซต์ของคุณที่เกี่ยวกับเกาส์ไปที่นี่ได้ * http://adsabs.harvard.edu//full/seri/MNRAS/0016//0000080.000.html MNRAS '''16''' (1856) 80 หมวดหมู่:นักคณิตศาสตร์ชาวเยอรมัน หมวดหมู่:นักฟิสิกส์ชาวเยอรมัน หมวดหมู่:ภาคีสมาชิกราชสมาคมแห่งลอนดอน หมวดหมู่:ผู้ได้รับพัวร์เลอเมรีท (ชั้นพลเรือน) หมวดหมู่:ศิษย์เก่าจากมหาวิทยาลัยเกิททิงเงิน หมวดหมู่:ศิษย์เก่าจากมหาวิทยาลัยเฮ็ล์มชตัท หมวดหมู่:บุคคลจากมหาวิทยาลัยเกิททิงเงิน หมวดหมู่:บุคคลจากรัฐนีเดอร์ซัคเซิน
คาร์ล ฟรีดริช เกาส์
ไฟล์:Max Weber, 1918.jpg|มัคส์ เวเบอร์ ในปี ค.ศ. 1918|260px|thumb '''คาร์ล เอมีล มัคซีมีลีอาน "มัคส์" เวเบอร์''' (; 21 เมษายน ค.ศ. 1864 – 14 มิถุนายน ค.ศ. 1920) เป็นนักเศรษฐศาสตร์การเมืองและนักสังคมวิทยาชาวเยอรมัน ถือกันว่าเวเบอร์เป็นผู้ก่อตั้งวิชาสังคมวิทยาสมัยใหม่และรัฐประศาสนศาสตร์ งานชิ้นหลัก ๆ ของเขาเกี่ยวข้องกับสังคมวิทยาศาสนาและสังคมวิทยาการปกครอง นอกจากนี้เขายังมีงานเขียนอีกหลายชิ้นในสาขาวิชาเศรษฐศาสตร์ งานที่ผู้คนจดจำได้มากที่สุดของเวเบอร์คือ ความเรียงเรื่อง ''จริยธรรมโปรเตสแตนต์และจิตวิญญาณแห่งทุนนิยม'' ซึ่งเป็นงานชิ้นแรกของเขาในสาขาสังคมวิทยาศาสนา ในงานชิ้นดังกล่าว เวเบอร์เสนอว่าศาสนาเป็นหนึ่งในสาเหตุหลัก ๆ ที่นำไปสู่เส้นทางการพัฒนาทางวัฒนธรรมที่ต่างกันระหว่างโลกประจิม (the Occident) กับโลกบูรพา (the Orient) ในงานที่มีชื่อเสียงอีกชิ้นหนึ่งของเขาที่ชื่อ ''การเมืองในฐานะวิชาชีพ'' () เวเบอร์นิยามรัฐว่ารัฐคือหน่วยองค์ (entity) ซึ่งการผูกขาดการใช้กำลังทางกายภาพที่ถูกกฎหมาย|ผูกขาดการใช้กำลังทางกายภาพที่ถูกกฎหมาย ซึ่งนิยามนี้ได้กลายเป็นจุดศูนย์กลางในการศึกษาวิชารัฐศาสตร์ตะวันตกสมัยใหม่ในเวลาต่อมา == ประวัติ == เวเบอร์เกิดที่แอร์ฟวร์ท ราชอาณาจักรปรัสเซีย เขาเป็นลูกชายคนโตในครอบครัวที่มีบุตรเจ็ดคนของมัคส์ เวเบอร์ (ผู้พ่อ) นักการเมืองและข้าราชการท้องถิ่นคนสำคัญ และเฮ็ลเลเนอ ฟัลเลินชไตน์ น้องชายของเขาอัลเฟรท เวเบอร์ ก็เป็นนักสังคมวิทยาและนักเศรษฐศาสตร์เช่นเดียวกัน การที่พ่อของเขาเข้าไปเกี่ยวข้องกับกิจการสาธารณะมากมาย ทำให้เวเบอร์เติบโตขึ้นในครอบครัวที่เต็มไปด้วยกลิ่นอายของการเมือง นอกจากนี้ครอบครัวของเขาเองยังได้ต้อนรับนักวิชาการที่มีชื่อเสียงและบุคคลสาธารณะมากมาย เวเบอร์เองก็ยังได้แสดงความโดดเด่นและสนใจในด้านวิชาการ ของขวัญวันคริสต์มาสที่เขามอบให้กับผู้ปกครอง เมื่อเขายังมีอายุ 13 ปี คือ ความเรียงแนวประวัติศาสตร์ชื่อว่า "ทิศทางของประวัติศาสตร์เยอรมัน พร้อมกับการอ้างอิงพิเศษถึงจุดยืนของจักรพรรติและสันตะปาปา" และ "อาณาจักรโรมัน ตั้งแต่ช่วงของคอนสแตนตินที่หนึ่ง จนถึงช่วงของการอพยพของประเทศ" ทั้งหมดนี้แสดงให้เห็นอย่างชัดเจนว่าเวเบอร์จะเข้าศึกษาในด้านสังคมวิทยา ไฟล์:Max Weber and brothers 1879.jpg|thumb|left|มัคส์ เวเบอร์ และน้องชาย (อัลเฟรทและคาร์ล) ในปี ค.ศ. 1879 เมื่ออายุได้สิบสี่ปี เขาเขียนจดหมายที่อ้างอิงถึงโฮเมอร์, เวอร์จิล, กิแกโร และลิวี นอกจากนี้เขายังมีความรู้เกี่ยวกับเกอเทอ, บารุค สปิโนซา, อิมมานูเอิล คานท์ และอาร์ทัวร์ โชเพินเฮาเออร์ ก่อนที่เขาจะเข้าเรียนในระดับมหาวิทยาลัย ในปี ค.ศ. 1882 เขาเข้าศึกษาในมหาวิทยาลัยไฮเดิลแบร์คในสาขากฎหมาย เขาได้เข้าเป็นสมาชิกของกลุ่มดวลมีด และเรียนในสาขากฎหมายเช่นเดียวกับพ่อของเขา นอกจากการเรียนในด้านกฎหมายแล้ว เวเบอร์ยังได้เข้าฟังการบรรยายในวิชาเศรษฐศาสตร์ และศึกษาประวัติศาสตร์ยุคกลาง เขายังได้อ่านหนังสือเกี่ยวกับศาสนวิทยาเป็นจำนวนมาก เขายังได้เข้ารับราชการเป็นทหารเป็นระยะ ๆ ที่สทราซบูร์ ในช่วงฤดูใบไม้ผลิของปี ค.ศ. 1884 เวเบอร์ย้ายกลับบ้านและเข้าศึกษาที่มหาวิทยาลัยฮุมบ็อลท์แห่งเบอร์ลิน|มหาวิทยาลัยเบอร์ลิน ตลอดช่วงเวลา 8 ปีหลังจากนั้น ยกเว้นแค่ในบางช่วง เวเบอร์ได้พักอาศัยอยู่กับบิดามารดา ตั้งแต่ดำรงฐานะเป็นนักเรียน เป็นทนายในศาล และเป็นอาจารย์ที่มหาวิทยาลัยเบอร์ลิน ในปี ค.ศ. 1886 เวเบอร์ได้สอบเนติบัญญัติผ่าน ในช่วงท้ายคริสต์ทศวรรษ 1880 เวเบอร์ยังคงหมั่นศึกษาด้านประวัติศาสตร์ และได้รับปริญญาเอกในสาขากฎหมายในปี ค.ศ. 1889 ด้วยวิทยานิพนธ์ระดับปริญญาเอกเกี่ยวกับประวัติศาสตร์ของระบบยุติธรรมชื่อว่า ''ประวัติศาสตร์องค์กรธุรกิจยุคกลาง'' สองปีถัดจากนั้นเขาได้เขียนผลงาน ''ประวัติศาสตร์การเกษตรแบบโรมันและความสำคัญต่อกฎหมายบุคคลและกฎหมายมหาชน'' ซึ่งเป็นวิทยานิพนธ์ระดับสูงกว่าปริญญาเอก ที่จำเป็นสำหรับการเข้าเป็นอาจารย์มหาวิทยาลัย ในระหว่างที่เขาทำผลงานวิทยานิพนธ์ระดับสูงกว่าปริญญาเอก เขาได้เข้าไปเกี่ยวข้องกับนโยบายทางสังคม ในปี ค.ศ. 1888 เขาได้เข้าร่วมกลุ่ม ซึ่งเป็นกลุ่มของนักเศรษฐศาสตร์ชาวเยอรมันผู้อยู่ในสายประวัติศาสตร์ ที่เชื่อว่าหน้าที่ของเศรษฐศาสตร์คือการแก้ปัญหาทางสังคมต่าง ๆ ของยุคสมัย และได้ริเริ่มการศึกษาทางสถิติของปัญหาทางเศรษฐศาสตร์ในระดับมหภาค. ในปี ค.ศ. 1890 กลุ่มดังกล่าวได้เริ่มโครงการวิจัยเพื่อศึกษา "ปัญหาชาวโปแลนด์" ซึ่งหมายถึงปัญหาของการทะลักล้นเข้ามาของคนงานในสวนจากต่างประเทศ เมื่อคนงานภายในประเทศต่างย้ายเข้ามาในเมืองในยุคปฏิวัติอุตสาหกรรม เวเบอร์ได้รับดูแลโครงการนี้ และเป็นผู้เขียนหลักของรายงานผลที่ได้ รายงานดังกล่าวได้รับการยกย่องว่าเป็นผลงานชิ้นโบว์แดงของการทำวิจัยเชิงประจักษ์ และยืนยันตำแหน่งผู้เชี่ยวชาญด้านเศรษฐศาสตร์การเกษตรของเวเบอร์ ไฟล์:Max and Marianne Weber 1894.jpg|thumb|มัคส์ เวเบอร์ และมารีอันเนอ ภรรยา ในปี ค.ศ. 1894 ช่วงคริสต์ทศวรรษ 1890 จัดว่าเป็นช่วงที่เวเบอร์ประสบผลสำเร็จในอาชีพการงาน ในปี ค.ศ. 1893 เขาแต่งงานกับลูกพี่ลูกน้องห่าง ๆ มารีอันเนอ เวเบอร์|มารีอันเนอ ชนิทเกอร์ ผู้ที่เป็นปัญญาชนและคตินิยมสิทธิสตรี|นักนิยมสิทธิสตรีที่เป็นที่รู้จักอยู่แล้วในฐานะที่เป็นนักเขียน ปีถัดมาเขาเข้ารับตำแหน่งในช่วงสั้น ๆ เป็นศาสตราจารย์ด้านเศรษฐศาสตร์ที่มหาวิทยาลัยไฟรบวร์ค จากนั้นก็ย้ายไปรับตำแหน่งที่มหาวิทยาลัยไฮเดิลแบร์ค ในปี ค.ศ. 1896 แต่เนื่องจากอาการป่วย เขาจำต้องลดและถึงขั้นต้องหยุดงานวิชาการลงในปีถัดมา และต้องรักษาตัวอยู่จนถึงปี ค.ศ. 1901 อาการป่วยดังกล่าวเชื่อกันว่าเป็นอาการเจ็บป่วยจิตใจ เนื่องมาจากการเสียชีวิตของบิดาซึ่งเขาเพิ่งจะได้มีปากเสียงก่อนหน้านั้น และยังไม่ทันได้มีโอกาสจะพูดคุยปรับความเข้าใจ ในปี ค.ศ. 1903 เขาได้รับหน้าที่เป็นบรรณาธิการของวารสารวิชาการ อย่างไรก็ตามเขารู้สึกว่ายังไม่พร้อมที่จะกลับไปสอนอีกครั้ง และคงทำงานเป็นเพียงนักวิชาการอิสระโดยใช้ทุนจากมรดกที่ได้รับมา ในปี ค.ศ. 1904 เขาได้เดินทางไปที่สหรัฐ และเข้าร่วมการประชุมใหญ่ด้านศิลปศาสตร์และวิทยาศาสตร์ ที่จัดขึ้นร่วมกับงานแสดงสินค้านานาชาติที่เซนต์หลุยส์ ในปี ค.ศ. 1905 เขาได้ตีพิมพ์ความเรียง ''จริยธรรมโปรเตสแตนต์และจิตวิญญาณแห่งทุนนิยม'' งานชิ้นนี้กลายเป็นงานที่โด่งดังที่สุดของเขา และเป็นงานที่วางรากฐานให้กับงานวิจัยถัด ๆ ไปของเขาที่เกี่ยวข้องกับผลของวัฒนธรรมและศาสนากับพัฒนาการของระบบเศรษฐกิจ ไฟล์:Max Weber 1917.jpg|thumb|left|300px|มัคส์ เวเบอร์ ในปี ค.ศ. 1917 ในช่วงสงครามโลกครั้งที่ 1 เวเบอร์รับทำหน้าที่เป็นผู้อำนวยการโรงพยาบาลของทหารที่ไฮเดิลแบร์ค ในปี ค.ศ. 1918 เวเบอร์เป็นที่ปรึกษาให้กับคณะกรรมการสงบศึกของฝ่ายเยอรมันในการทำสนธิสัญญาแวร์ซาย และเป็นคณะกรรมการที่ร่างรัฐธรรมนูญแห่งสาธารณรัฐไวมาร์ เวเบอร์เองไม่เห็นด้วยกับการปฏิวัติเยอรมัน ค.ศ. 1918–1919|การปฏิวัติเยอรมันเป็นอย่างยิ่ง เขาจึงพยายามให้มีการเพิ่มมาตราที่ 48 (รัฐธรรมนูญแห่งสาธารณรัฐไวมาร์)|มาตราที่ 48 ซึ่งในเวลาถัดมาอดอล์ฟ ฮิตเลอร์ ได้ใช้มาตรานี้ในการประกาศกฎอัยการศึกและเข้ายึดอำนาจได้ในที่สุด จากปี ค.ศ. 1918 เวเบอร์ได้กลับมาสอน เริ่มที่มหาวิทยาลัยเวียนนา ต่อมาในปี ค.ศ. 1919 ที่มหาวิทยาลัยมิวนิก ที่มิวนิกนี่เองที่เขาได้เป็นหัวหน้าสถาบันด้านสังคมวิทยาแห่งแรกในมหาวิทยาลัยเยอรมัน อย่างไรก็ตามเขาไม่เคยได้รับตำแหน่งด้านสังคมวิทยาโดยตรงเลย เวเบอร์เสียชีวิตจากโรคปอดบวมที่มิวนิกเมื่อวันที่ 14 มิถุนายน ค.ศ. 1920 งานหลายชิ้นของเขาได้ถูกรวบรวม เรียบเรียง และจัดพิมพ์หลังจากที่เขาได้เสียชีวิตแล้ว ผู้ที่มีส่วนสำคัญในการตีความผลงานของเวเบอร์นั้นรวมไปถึงนักสังคมวิทยาที่มีชื่อเสียง เช่น ทาลคอตต์ พาร์สันส์, ซี. ไรต์ มิลส์ == ผลงาน == มัคส์ เวเบอร์ ได้รับการจัดให้เป็นหนึ่งในบิดาของสังคมวิทยา เคียงคู่ไปกับคาร์ล มากซ์, เอมีล ดูร์กายม์ และวิลเฟรโด ปาเรโต อย่างไรก็ตามในขณะที่ปาเรโตและดูร์กายม์ใช้แนวทางปฏิฐานนิยมเชิงสังคมวิทยา|ปฏิฐานนิยมตามโอกุสต์ กงต์ เวเบอร์ได้ใช้วิธีการศึกษาสังคมวิทยาในรูปแบบที่แตกต่างออกไป ในรูปแบบที่อยู่ในแนวแนวคิดต่อต้านปฏิฐานนิยม|ต่อต้านปฏิฐานนิยม (antipositivism) แนวจิตนิยม (idealism) และแนวอรรถปริวรรตศาสตร์ (hermeneutics) ซึ่งทิศทางนี้มีลักษณะคล้ายคลึงกับของแวร์เนอร์ ซ็อมบาร์ท ผู้เป็นเพื่อนของเขาและเป็นผู้ที่ถูกกล่าวถึงมากที่สุดเมื่อกล่าวถึงสังคมวิทยาแนวเยอรมัน งานในสมัยแรกของเวเบอร์เกี่ยวข้องกับสังคมวิทยาของสังคมอุตสาหกรรมแต่เขามีชื่อเสียงในงานถัด ๆ ไป ที่เกี่ยวกับสังคมวิทยาศาสนาและสังคมวิทยาการปกครอง ประเด็นหลักของการศึกษาค้นคว้าของเวเบอร์ก็คือคำถามที่ว่า "อะไรคือลักษณะเฉพาะที่ทำให้สังคมตะวันตกแตกต่างจากที่อื่น?" ความแตกต่างที่สำคัญที่เขาสนใจเช่น การเกิดขึ้นของระบบทุนนิยม หรือความแตกต่างในการจัดระดับชนชั้นภายในสังคม ในขณะที่คาร์ล มากซ์ วิเคราะห์โดยเริ่มจาก ''ฐาน'' หรือโครงสร้างทางเศรษฐกิจ แต่เวเบอร์มุ่งประเด็นไปที่ ''โครงสร้างส่วนบน'' ซึ่งเกี่ยวกับอุดมการณ์และความเชื่อ ในการวิเคราะห์การเปลี่ยนแปลงสังคม เวเบอร์พยายามหาจุดเปลี่ยนของความเชื่อพื้นฐานและ "ปัจจัย" ที่ทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงนั้น ปัจจัยดังกล่าวอาจไม่เหลือร่องรอยใด ๆ หรืออาจดูไร้เหตุผลโดยสิ้นเชิงกับความเชื่อที่มีอยู่ในปัจจุบัน ทั้งนี้เพราะว่าหน้าที่ของมันมีเพื่อกระตุ้นการเปลี่ยนแปลงความเชื่อของคนกลุ่มใหญ่เท่านั้น หลังจากที่ความเชื่อพื้นฐานได้เปลี่ยนไปแล้ว ทุกอย่างจะถูกกระบวนการทำให้สมเหตุสมผล|ทำให้ดูสมเหตุสมผลอย่างสมบูรณ์ในตัวเอง โดยไม่จำเป็นต้องอ้างอิงกับปัจจัยหรือสาเหตุเริ่มต้นของการเปลี่ยนแปลงนั้นอีกต่อไป === สังคมวิทยาศาสนา === งานชิ้นแรกของเวเบอร์เกี่ยวกับสังคมวิทยาศาสนาคือความเรียงชื่อ ''จริยธรรมโปรเตสแตนต์และจิตวิญญาณแห่งทุนนิยม'' ต่อด้วยงานวิเคราะห์ ''ศาสนาของจีน: ลัทธิขงจื้อและลัทธิเต๋า'', ''ศาสนาของอินเดีย: สังคมวิทยาของศาสนาฮินดูและศาสนาพุทธ'' และ ''ศาสนายูดาห์โบราณ (หนังสือ)|ศาสนายูดาห์โบราณ'' งานเกี่ยวกับศาสนาอื่น ๆ ต้องชะงักลงเนื่องจากเวเบอร์ได้เสียชีวิตอย่างกะทันหันในปี ค.ศ. 1920 ซึ่งทำให้แผนที่จะวิเคราะห์ศาสนาอื่น ๆ ต่อเนื่องจากศาสนายูดาห์โบราณ (รวมถึงศาสนาคริสต์และศาสนาอิสลาม) ต้องหยุดลง เรื่องหลัก ๆ ที่เวเบอร์สนใจก็คือผลกระทบของแนวคิดทางศาสนาต่อกิจกรรมทางเศรษฐกิจ ความสัมพันธ์ระหว่างการแบ่งระดับชั้นทางสังคมกับแนวคิดทางศาสนา และลักษณะเฉพาะบางอย่างของอารยธรรมตะวันตก เป้าหมายของเวเบอร์ก็คือการหาเหตุผลของความแตกต่างในเส้นทางการพัฒนาระหว่างโลกประจิมและโลกบูรพา เขาวิเคราะห์ว่าแนวคิดจากศาสนาคริสต์ศาสนาคริสต์นิกายพิวริตัน|นิกายพิวริตันมีผลอย่างมาก กับทิศทางการพัฒนาของระบบเศรษฐกิจของประเทศในยุโรปและสหรัฐ และเขาได้พบอีกว่ายังมีปัจจัยอื่น ๆ อีกที่ผลต่อการพัฒนานี้ ปัจจัยที่สำคัญที่เวเบอร์กล่าวถึงมีตัวอย่างเช่น แนวคิดแบบเหตุผลนิยมจากการศึกษาวิทยาศาสตร์ ที่นำผลการสังเกตมารวมกันกับคณิตศาสตร์, การพัฒนาของแนวคิดแบบวิชาการและการเกิดขึ้นของระบบการยุติธรรม, การทำให้การบริหารการปกครองเป็นระบบที่มีเหตุผล และการเกิดขึ้นของบรรษัทขนาดใหญ่ โดยสรุปก็คือการศึกษาสังคมวิทยาศาสนาของเวเบอร์นั้น เป็นแค่การศึกษาเข้าไปในช่วงเวลาช่วงหนึ่งของการปลดปล่อยสังคมจากยุคเวทมนตร์ หรือที่เวเบอร์เรียกว่าขั้นตอน "การถอดปีกเทพนิยายออกจากโลก" (disenchantment of the world) ซึ่งเขาเชื่อว่าเป็นช่วงเวลาที่เป็นจุดแตกต่างเฉพาะของวัฒนธรรมตะวันตก ==== จริยธรรมโปรเตสแตนต์และจิตวิญญาณแห่งทุนนิยม ==== ไฟล์:Die protestantische Ethik und der 'Geist' des Kapitalismus original cover.jpg|thumb|ปกหนึ่งจากหลาย ๆ รุ่นของหนังสือ ''จริยธรรมโปรเตสแตนต์และจิตวิญญาณแห่งทุนนิยม'' ความเรียงเรื่อง ''จริยธรรมโปรเตสแตนต์และจิตวิญญาณแห่งทุนนิยม'' นั้น นับว่าเป็นงานที่โด่งดังที่สุดของเวเบอร์ อย่างไรก็ตาม มีผู้กล่าวว่างานชิ้นนี้ไม่ควรจะถูกพิจารณาว่าเป็นการศึกษาศาสนาคริสต์นิกายโปรเตสแตนต์|นิกายโปรเตสแตนต์ หากแต่เป็นบทนำให้กับงานชิ้นถัด ๆ มาของเวเบอร์ โดยเฉพาะในเรื่องที่เขาศึกษาความเกี่ยวข้องระหว่างแนวคิดของศาสนาต่าง ๆ กับพฤติกรรมทางด้านเศรษฐศาสตร์ ในความเรียงนี้ เวเบอร์ยกประเด็นที่ว่าจริยธรรมและแนวคิดของนิกายพิวริตัน (ที่จัดว่าเป็นนิกายโปรเตสแตนต์แขนงหนึ่ง) มีอิทธิพลต่อพัฒนาการของระบบทุนนิยม โดยทั่วไปแล้ว การอุทิศตนให้กับศาสนามักทำให้เกิดการละเลิกในสิ่งที่เกี่ยวข้องกับทางโลก ซึ่งรวมถึงการดิ้นรนทางเศรษฐกิจ ปัญหาก็คือทำไมลักษณะเช่นนี้จึงไม่เกิดขึ้นในกรณีของนิกายโปรเตสแตนต์? เวเบอร์พิจารณาปัญหาดังกล่าวในความเรียงนี้ เขานิยาม "จิตวิญญาณแห่งทุนนิยม" ว่าเป็นแนวคิดและอุปนิสัยที่เอื้อต่อการมุ่งเป้าหากำไรทางเศรษฐกิจอย่างสมเหตุสมผล|เหตุผลนิยม เวเบอร์ชี้ให้เห็นว่า ถ้าพิจารณาเป็นรายบุคคลแล้ว การมีจิตวิญญาณดังกล่าวนั้นมิได้จำกัดอยู่เฉพาะในวัฒนธรรมตะวันตก แต่ปัจเจก —ที่เวเบอร์เรียกว่านักเริ่มกิจการ (entrepreneurs) ระดับยอด— ไม่สามารถจะเริ่มระบบระเบียบทางเศรษฐกิจใหม่ (ซึ่งคือระบบทุนนิยม) เพียงคนเดียวได้ ตัวอย่างของอุปนิสัยและแนวโน้มต่าง ๆ ที่เวเบอร์เสนอมาก็เช่น ความต้องการกำไรโดยลงแรงน้อยที่สุด, แนวคิดที่ว่าการทำงานคือคำสาปและความลำบากที่ควรจะต้องหลีกเลี่ยง โดยเฉพาะในกรณีที่งานนั้นหนักหนาเกินกว่าการจะมีชีวิตที่สุขสบาย เวเบอร์เขียนไว้ว่า: "การที่วิถีชีวิตที่ปรับเข้าอย่างดีกับหนทางของทุนนิยมจะกลายเป็นวิถีชีวิตหลักเหนือแนวทางอื่น ๆ ได้นั้น จะมีที่มาจากแนวคิดของปัจเจกใดคนหนึ่งเพียงอย่างเดียวคงไม่ได้ แต่จะต้องเกิดขึ้นมาจากวิถีชีวิตที่เหมือน ๆ กันของคนทุกคนในกลุ่ม" หลังจากที่เขาได้นิยามจิตวิญญาณของทุนนิยมแล้ว เวเบอร์ได้ชี้ให้เห็นว่ามีหลายสาเหตุที่ทำให้ควรศึกษาต้นตอของจิตวิญญาณนี้ จากแนวคิดทางศาสนาของกลุ่มปฏิรูปของนิกายโปรเตสแตนต์ ผู้สังเกตการณ์หลายคนเช่น วิลเลียม เพตตี, มงแต็สกีเยอ, เฮนรี โทมัส บักเคิล, จอห์น คีตส์ และอีกหลาย ๆ คน ได้ให้ความเห็นในลักษณะเดียวกันนี้ เวเบอร์ได้แสดงว่าแนวคิดของบางกลุ่มผู้นับถือนิกายโปรเตสแตนต์ ทำให้การแสวงหาผลกำไรและสะสมทุนนั้น มีความเกี่ยวข้องในด้านบวกกับความเชื่อด้านจิตวิญญาณและศีลธรรม อย่างไรก็ตาม การกระตุ้นกิจกรรมทางเศรษฐกิจนี้ไม่ใช่เป้าหมายโดยตรงความเชื่อนั้น แต่จัดว่าเป็นแค่ผลพลอยได้ ซึ่งมีผลกระทบทั้งทางตรงและทางอ้อมกับการวางแผนและการปฏิเสธตนเองในการแสวงหากำไรทางเศรษฐกิจ เวเบอร์กล่าวว่าเขาหยุดการค้นคว้าเกี่ยวกับนิกายโปรเตสแตนต์เนื่องจากเพื่อนร่วมงานของเขา แอ็นสท์ เทริลทช์ นักศาสนวิทยา ได้เริ่มงานของหนังสือ ''คำสอนด้านสังคมของโบสถ์คริสต์และสาขาย่อย'' อีกสาเหตุหนึ่งก็คือบทความนี้ได้เปิดแนวทางคร่าว ๆ ให้กับเขา ในการศึกษาเปรียบเทียบศาสนากับสังคมอื่น ๆ ซึ่งเวเบอร์ได้กระทำในงานชิ้นถัด ๆ ไป === สังคมวิทยาการเมืองและการปกครอง === ในสังคมวิทยาการเมืองและการปกครอง ความเรียงที่มีบทบาทที่สุดของเวเบอร์น่าจะเป็น ''การเมืองในฐานะที่เป็นอาชีวะ'' ในความเรียงนี้ เวเบอร์ได้นิยามความหมายของรัฐที่กลายเป็นศูนย์กลางของการศึกษาต่อมาในกระแสความคิดตะวันตก กล่าวคือ รัฐคือหน่วยองค์ที่การผูกขาดการใช้กำลังทางกายภาพที่ถูกกฎหมาย|ผูกขาดการใช้กำลังทางกายภาพที่ถูกกฎหมาย ซึ่งรัฐสามารถเลือกที่จะแบ่งปันอำนาจนี้ไปอย่างใดก็ได้ กิจกรรมทางการเมืองจึงสามารถมองได้ว่าเป็นกิจกรรมที่รัฐเข้าไปมีบทบาทบางอย่าง เพื่อส่งผลให้เกิดการจัดสรรกำลังนี้ การเมืองจึงเป็นเรื่องของอำนาจ นักการเมืองจะต้องไม่เป็นคนที่ถือ "จริยธรรมชาวคริสต์อย่างแท้จริง" ซึ่งในความหมายของเวเบอร์นั้นคือผู้ที่ยึดตามคำสอนอย่างเคร่งครัด ถึงขนาดที่ยอมยื่นแก้มอีกข้างให้คนอื่นทำร้าย ผู้ที่ทำได้ดั่งว่า เวเบอร์จัดว่าเป็นนักบุญ ดังนั้นโลกการเมืองจึงไม่ใช่โลกของนักบุญ นักการเมืองจะต้องร่วมหัวจมท้ายกับจริยธรรมของเป้าหมายสุดท้ายและจริยธรรมของความรับผิดชอบ และจะต้องมีทั้งความรักในอาชีพพิเศษของตน พร้อมด้วยความสามารถที่จะทิ้งช่วงห่างระหว่างตนเองกับผู้ที่ถูกปกครอง == อ้างอิง == งานของเวเบอร์มักได้รับการอ้างถึงจาก http://www.mohr.de/mw/mwg.htm ''Gesamtausgabe'' (ฉบับรวมผลงาน), ที่พิมพ์โดยมอร์ ซีเบ็ค ในทือบิงเงิน ประเทศเยอรมนี * ไรน์ฮาร์ท เบ็นดิคส์|เบ็นดิคส์, ไรน์ฮาร์ท (1960). ''Max Weber: An Intellectual Portrait''. Doubleday. * เดียร์ค เคสเลอร์|เค็สเลอร์, เดียร์ค (1989). ''Max Weber: An Introduction to His Life and Work''. University of Chicago Press. * มารีอันเนอ เวเบอร์|เวเบอร์, มารีอันเนอ (1929/1988). ''Max Weber: A Biography''. New Brunswick: Transaction Books. * http://articles.findarticles.com/p/articles/mi_m0254/is_4_58/ai_58496750 Richard Swedberg, "Max Weber as an Economist and as a Sociologist" , ''American Journal of Economics and Sociology'' * ลิวอิส เอ. โคเซอร์. ''นักปราชญ์ระดับโลก'' แปลโดย กาญจพรรษ (อังกาบ) กอศรีพร, วารุณี ภูริสินสิทธ์, นฤจร อิทธิจีระจรัส, และ จามะรี พิทักษ์วงศ์ ISBN 974-92043-8-7 == แหล่งข้อมูลอื่น == * http://www.sac.or.th/web2007/article/culture/max_weber.pdf มรดกจากแม็กซ์ เวเบอร์, ศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร หมวดหมู่:บุคคลที่เกิดในปี พ.ศ. 2407 หมวดหมู่:วิวัฒนาการทางสังคมวัฒนธรรม หมวดหมู่:นักเขียนชาวเยอรมัน หมวดหมู่:นักปรัชญาชาวเยอรมัน หมวดหมู่:นักเศรษฐศาสตร์ชาวเยอรมัน หมวดหมู่:นักสังคมวิทยา หมวดหมู่:เสียชีวิตจากโรคปอดบวม หมวดหมู่:เสียชีวิตจากไข้หวัดใหญ่สเปน หมวดหมู่:บุคคลจากรัฐทือริงเงิน หมวดหมู่:ศิษย์เก่าจากมหาวิทยาลัยไฮเดิลแบร์ค หมวดหมู่:บุคคลจากมหาวิทยาลัยไฟรบวร์ค หมวดหมู่:บุคคลจากมหาวิทยาลัยไฮเดิลแบร์ค หมวดหมู่:บุคคลจากมหาวิทยาลัยเวียนนา หมวดหมู่:บุคคลจากมหาวิทยาลัยลูทวิช-มัคซีมีลีอานแห่งมิวนิก
มัคส์ เวเบอร์
ไฟล์:Emile_Durkheim.jpg|frame|right|เอมีล ดูร์กายม์ '''ดาวีด เอมีล ดูร์กายม์''' (; 15 เมษายน ค.ศ. 1858 – 15 พฤศจิกายน ค.ศ. 1917) เป็นผู้ได้รับการยกย่องว่าเป็นบิดาของสังคมวิทยาสมัยใหม่ เขายังเป็นผู้ก่อตั้งภาควิชาสังคมวิทยาแห่งแรกในยุโรปในปี ค.ศ. 1895 และในปี ค.ศ. 1896 ได้ก่อตั้งวารสารทางวิชาการด้านสังคมวิทยาชื่อ L'Année Sociologique == ประวัติ == เอมีล ดูร์กายม์ เป็นชาวฝรั่งเศส เกิดเมื่อ ค.ศ. 1858 ณ เมืองเอปีนาล (Épinal) หลังจากสำเร็จการศึกษาที่เอปีนาลและปารีส ได้เป็นอาจารย์สอนที่โรงเรียนมัธยมแห่งหนึ่ง (un lycée) ในสาขาวิชาปรัชญา แต่หลังจากนั้นไม่นานเขาได้หันมาสนใจในด้านของสังคมวิทยาอย่างจริงจัง และได้ไปศึกษาเพิ่มเติมที่เยอรมนี ในด้านที่เกี่ยวกับสังคมวิทยา และเริมตั้งแต่ค.ศ. 1887 เขาได้เป็นอาจารย์ที่มหาวิทยาลัยบอร์โด ซึ่งสอนในด้านสังคมศาสตร์และศึกษาศาสตร์ หลังจากนั้น ตั้งแต่ ค.ศ. 1902 เขาเป็นอาจารย์ที่มหาวิทยาลัยซอร์บอน กรุงปารีส ในสาขาศึกษาศาสตร์และสาขาสังคมวิทยา ดูร์กายม์ก่อตั้งวารสารแห่งชาติ ทางด้านสังคมวิทยาที่มีชือว่า L'Année sociologie และได้รับการยกย่องเป็นบุคคลสำคัญมากคนหนึ่ง ทางด้านสังคมวิทยา เอกสารที่สำคัญของดูร์กายม์มี 4 เล่มคือ # De la division du travail sociale (ค.ศ. 1893) ช่วยวางรากฐานสำคัญของทฤษฎีหลัก ในด้านสังคมวิทยาของดูร์กายม์ # Les règles de la méthode sociologique (ค.ศ. 1895) ช่วยชี้ระเบียบแบบแผนของสังคมวิทยา ว่าควรศึกษาอะไร ค้นคว้าด้านไหน และต้องมีความเป็นเอกลักษณ์ของสังคมวิทยาอย่างไร # Le suicide (ค.ศ. 1897) งานชิ้นซึ่งอธิบายปรากฏการณ์การฆ่าตัวตายด้วยสังคมวิทยา ว่าเป็นปรากฏการณ์ทางด้านสังคม และได้อธิบายระเบียบวิธีการทางด้านสังคมวิทยาไปด้วย # Les formes élémentaires de la vie religieuse เป็นงานซึ่งช่วยสนับสนุนทฤษฎีสังคมวิทยาของดูร์กายม์อีกเล่มหนึ่ง == ทฤษฎีและแนวคิด == ดูร์กายม์สังเกตเห็นการล่มสลายของบรรทัดฐานทางสังคม และการเพิ่มขึ้นของความไม่เป็นส่วนตัวในการใช้ชีวิตในสังคม เพื่อที่จะศึกษาชีวิตของมนุษย์ในสังคมสมัยใหม่ เขาได้สร้างวิธีการทำความเข้าใจปรากฏการณ์ทางสังคมแบบวิทยาศาสตร์แนวทางแรก ๆ ดูร์กายม์ไม่คิดเหมือนมัคส์ เวเบอร์ ที่เชื่อว่านักสังคมวิทยาต้องศึกษาปัจจัยที่ผลักดันกิจกรรมที่ปัจเจกกระทำ เขามักได้รับการยกย่องให้เป็นบิดาของแนวคิดกลุ่มนิยมเชิงระเบียบวิธี หรือแนวคิดองค์รวม (ซึ่งตรงกันข้ามกับแนวคิดปัจเจกนิยมเชิงระเบียบวิธี) เนื่องจากเขามีเป้าหมายที่จะศึกษา ''ความจริงทางสังคม'' ซึ่งเขาใช้เรียกปรากฏการณ์ที่มีอยู่ในสังคมซึ่งเกิดขึ้นและดำรงอยู่ โดยไม่ขึ้นอยู่กับกิจกรรมของบุคคลใด ๆ บุคคลหนึ่งคนเดียว ในผลงานเมื่อปี ค.ศ. 1893 ชื่อ ''การแบ่งงานในสังคม (หนังสือ)|การแบ่งงานในสังคม'' ดูร์กายม์ได้ศึกษาเกี่ยวกับความเชื่อมโยงและความสัมพันธ์กันระหว่างสมาชิกในสังคมรูปแบบต่าง ๆ เขามุ่งประเด็นอยู่ที่ลักษณะของการแบ่งงาน และศึกษาความแตกต่างที่มีในสังคมดั้งเดิมและสังคมสมัยใหม่ นักคิดก่อนหน้าดูร์กายม์ เช่น เฮอร์เบิร์ต สเปนเซอร์ (Herbert Spencer) และ แฟร์ดีนันท์ เทินเนียส (Ferdinand Tönnies) ได้อธิบายว่า สังคมนั้นมีการพัฒนาในลักษณะเช่นเดียวกับสิ่งมีชีวิต จากที่มีรูปแบบพื้นฐานไม่ยุ่งยาก จนกลายเป็นสิ่งที่ซับซ้อนขึ้น คล้ายคลึงกับการทำงานของเครื่องจักรที่ซับซ้อน ดูร์กายม์มองในมุมที่กลับกัน เขากล่าวว่าสังคมดั้งเดิมนั้นมีลักษณะเป็นแบบ 'เชิงกลไก' โดยที่สังคมนั้นเกาะเกี่ยวเป็นหนึ่งเดียวกันได้ด้วยสาเหตุที่ว่าทุกคนมีลักษณะที่คล้าย ๆ กัน ซึ่งทำให้มีสิ่งของรวมถึงความคิดที่เหมือนและไปกันได้ ดูร์กายม์กล่าวว่า ในสังคมดั้งเดิมนั้น สำนึกของกลุ่มนั้นมีบทบาทเหนือสำนึกของปัจเจก — บรรทัดฐานนั้นเข้มแข็ง และพฤติกรรมของสมาชิกก็อยู่ในกฎเกณฑ์ ลักษณะเช่นนี้เปลี่ยนไปในสังคมสมัยใหม่ ซึ่งเขากล่าวว่า ผลของระบบการแบ่งงานอย่างซับซ้อนทำให้เกิดความเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน "เชิงอินทรีย์" (organic solidarity) กล่าวคือ ความชำนาญเฉพาะด้านในหน้าที่การงานรวมถึงบทบาททางสังคม ทำให้เกิดการขึ้นต่อกันที่ยึดเหนี่ยวผู้คนเอาไว้ด้วยกัน ทั้งนี้เนื่องจากผู้คนไม่สามารถดำรงชีวิตอยู่ได้โดยการกระทำทุกอย่างด้วยตัวคนเดียว ตัวอย่างเช่นในสังคม "เชิงกลไก" ชาวนาอาจทำนาและอยู่ได้โดยลำพัง แต่ก็รวมกลุ่มกับคนอื่น ๆ ที่มีแบบแผนการดำรงชีวิตรวมถึงอาชีพแบบเดียวกัน ในสังคม 'เชิงอินทรีย์' คนงานทำงานเพื่อได้รายได้ แต่ก็ต้องพึ่งคนอื่น ๆ ที่มีความชำนาญในด้านที่แตกต่างออกไป เช่นทำเครื่องนุ่งห่ม ผลิตอาหาร เพื่อตอบสนองความต้องการในด้านต่าง ๆ ผลจากการเพิ่มขึ้นของระดับการแบ่งงาน ในความคิดของดูร์กายม์นั้น คือการเกิดขึ้นของสำนึกของสมาชิกแต่ละคน ที่มักจะอยู่ในสภาวะขัดแย้งกับสำนึกของกลุ่ม จึงทำให้เกิดความสับสนกับบรรทัดฐาน และในที่สุดแล้วอาจทำให้เกิดการล่มสลายของพฤติกรรมที่อยู่ในกฎเกณฑ์ของบรรทัดฐาน (สังคมวิทยา)|บรรทัดฐานทางสังคม ดูร์กายม์เรียกสภาวะนี้ว่า ''อโนมี'' ซึ่งหมายถึงสภาวะที่ไร้บรรทัดฐานทางสังคมทั้งหมด อันเป็นสภาวะที่ความปรารถนาของปัจเจกบุคคลมีได้ถูกบังคับไว้ด้วยบรรทัดฐานใด ๆ ทางสังคมเลย สภาวะทำให้เกิดพฤติกรรมเบี่ยงเบนหลาย ๆ แบบ เช่น อัตวินิบาตกรรม หรือ การฆ่าตัวตาย ดูร์กายม์ได้พัฒนาแนวคิดของอโนมีเพิ่มเติมในหนังสือ ''อัตวินิบาตกรรม'' ที่ตีพิมพ์ใน ค.ศ. 1897 เขาเปรียบเทียบอัตราการทำอัตวินิบาตกรรมระหว่างกลุ่มคนในนิกายโปรเตสแตนต์และในนิกายแคทอลิก และอธิบายว่าระดับของความเข้มแข็งของการควบคุมทางสังคมในกลุ่มนิกายแคทอลิก มีผลเกี่ยวข้องกับอัตราการทำอัตวินิบาตกรรมที่ต่ำกว่า ในทัศนะของดูร์กายม์ ผู้คนนั้นมีการยึดติดอยู่กับกลุ่มในระดับหนึ่ง การยึดติดนี้เขาเรียกว่าบูรณาการทางสังคม (social integration) ระดับที่มากเกินไปหรือน้อยเกินไปของบูรณาการทางสังคมอาจทำให้ระดับของการฆ่าตัวตายเพิ่มขึ้น ระดับของบูรณาการทางสังคมที่ต่ำเกินไปทำให้สังคมขาดการจัดองค์กรที่ดี และมีลักษณะที่กระจัดกระจาย ทำให้ผู้คนหันไปพึ่งการฆ่าตัวตายเพื่อเป็นทางออกสุดท้าย ในขณะที่ระดับที่สูงเกินไปบีบบังคับให้ผู้คนฆ่าตัวตายเพื่อลดภาระที่เกิดจากสังคม ดูร์กายม์ได้ให้ความเห็นว่าสังคมแคทอลิกนั้นมีระดับของบูรณาการที่ปกติ ในขณะที่สังคมโปรเตสแตนต์มีระดับที่ต่ำ ผลงานชิ้นนั้นมีอิทธิพลต่อการศึกษาทฤษฎีควบคุม (สังคมวิทยา)|ทฤษฎีควบคุม และมักถูกจัดว่าเป็นการเนื้อหาของสังคมวิทยายุคคลาสสิก ดูร์กายม์ยังสนใจเกี่ยวกับการศึกษาเป็นอย่างยิ่ง ทั้งนี้เนื่องจากเขาเองทำงานเป็นผู้ฝึกสอนครู และเขาก็ใช้โอกาสนี้ในการปรับปรุงหลักสูตรให้มีการสอนสังคมวิทยาไปในวงกว้างเท่าที่จะทำได้ นอกจากนี้เขายังสนใจที่จะใช้การศึกษาเพื่อสร้างพื้นฐานทางสังคมร่วมกันของพลเมืองชาวฝรั่งเศส เพื่อป้องกันไม่ให้เกิดสภาวะอโนมีขึ้น เพื่อเป้าประสงค์นี้ เขาจึงได้เสนอให้มีการตั้งกลุ่มผู้เชี่ยวชาญเพื่อเป็นแหล่งสร้างความเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันสำหรับผู้ใหญ่ ดูร์กายม์ยังเป็นที่จดจำจากงานของเขาที่เกี่ยวกับชนพื้นเมือง (นั่นคือ มนุษย์ที่ไม่ใช่ชาวตะวันตก) ในหนังสือชื่อ ''รูปแบบพื้นฐานของชีวิตศาสนิกชน'' และในความเรียงชื่อ ''การจำแนกชนพื้นเมือง'' ที่เขาเขียนร่วมกับมาร์แซล โมส (Marcel Mauss) งานเหล่านี้ศึกษาบทบาทของศาสนาและตำนานที่มีกับมุมมองต่อโลกและบุคลิกลักษณะของผู้คน ที่อยู่ในสังคมที่มีลักษณะเป็นสังคมเชิงกลอย่างมาก == แหล่งข้อมูลอื่น == * http://www.relst.uiuc.edu/durkheim The Durkheim Pages - เว็บไซต์ให้ข้อมูลเกี่ยวกับดูร์กายม์ * http://www.hewett.norfolk.sch.uk/curric/soc/durkheim/durk.htm Useful information about Durkheim - เว็บไซต์ให้ข้อมูลเกี่ยวกับดูร์กายม์อีกที่หนึ่ง == อ้างอิง == * ลิวอิส เอ. โคเซอร์. ''นักปราชญ์ระดับโลก'' แปลโดย กาญจพรรษ (อังกาบ) กอศรีพร, วารุณี ภูริสินสิทธ์, นฤจร อิทธิจีระจรัส, และ จามะรี พิทักษ์วงศ์ ISBN 974-92043-8-7 หมวดหมู่:บุคคลที่เกิดในปี พ.ศ. 2401 หมวดหมู่:นักสังคมวิทยาชาวฝรั่งเศส หมวดหมู่:บุคคลจากจังหวัดโวฌ หมวดหมู่:ศิษย์เก่าจากเอกอลนอร์มาลซูว์เปรีเยอร์ หมวดหมู่:ศิษย์เก่าจากมหาวิทยาลัยฮุมบ็อลท์แห่งเบอร์ลิน หมวดหมู่:ศิษย์เก่าจากมหาวิทยาลัยไลพ์ซิช หมวดหมู่:ศิษย์เก่าจากมหาวิทยาลัยมาร์บวร์ค หมวดหมู่:บุคคลจากมหาวิทยาลัยปารีส หมวดหมู่:บุคคลจากมหาวิทยาลัยบอร์โด
เอมีล ดูร์กายม์
'''นักฟิสิกส์''' คือนักวิทยาศาสตร์ผู้ศึกษาหรือปฏิบัติงานด้านฟิสิกส์ นักฟิสิกส์ศึกษาปรากฏการณ์ทางกายภาพอย่างกว้างขวางในทุกขนาด ตั้งแต่อนุภาคระดับต่ำกว่าอะตอม (sub atomic particles) ซึ่งเป็นส่วนประกอบของสสาร (ฟิสิกส์ของอนุภาค) ไปจนถึงพฤติกรรมของวัตถุในเอกภพโดยรวม (จักรวาลวิทยา หรือ Cosmology) วิชาฟิสิกส์มีมากมายหลายสาขา แต่ละสาขามีผู้เชี่ยวชาญเฉพาะในสาขานั้นๆ == การศึกษา == นักฟิสิกส์ได้รับการจ้างงานในหลายสาขา อย่างต่ำที่สุดต้องเป็นผู้จบการศึกษาระดับปริญญาตรี แต่ส่วนใหญ่ โดยเฉพาะในงานวิจัย ต้องการผู้จบการศึกษาระดับปริญญาเอก หลักสูตรปริญญาตรีส่วนใหญ่ประกอบด้วยวิชาคณิตศาสตร์ เคมี และ ฟิสิกส์ ในหลักสูตรระดับปริญญาโทหรือสูงกว่า นิสิตนักศึกษามักต้องเน้นความเชี่ยวชาญไปทางสาขาเฉพาะสาขาใดสาขาหนึ่ง ได้แก่ดาราศาสตร์ฟิสิกส์ ( Astrophysics) , ชีวฟิสิกส์ (Biophysics) , ฟิสิกส์เชิงเคมี (Chemical physics) , ธรณีฟิสิกส์ (Geophysics) , วัสดุศาสตร์ (Material science) , ฟิสิกส์นิวเคลียร์ (Nuclear physics) , ทัศนศาสตร์ (Optics) , ฟิสิกส์ของอนุภาค (Particle physics) , และฟิสิกส์พลาสมา (Plasma physics) ตำแหน่งนักวิจัยหรือบริหารด้านวิจัยอาจต้องการผู้จบการศึกษาระดับหลังปริญญาเอก == การจ้างงาน == '''ผู้จ้างงาน'''ของนักฟิสิกส์ที่สำคัญมี 3 กลุ่มได้แก่ '''สถาบันการศึกษา''' '''สถาบันวิจัยของรัฐบาล''' และ'''อุตสาหกรรมภาคเอกชน'''ซึ่งนับเป็นผู้จ้างรายใหญ่ที่สุดในประเทศอุตสาหกรรมที่พัฒนาแล้ว ผู้ที่ได้รับการฝึกฝนเป็นนักฟิสิกส์ยังสามารถใช้ทักษะของตนในเศรษฐิกิจภาคอื่นได้ด้วย โดยเฉพาะด้านวิศวกรรม คอมพิวเตอร์และการเงิน นักฟิสิกส์บางคนอาจศึกษาเพิ่มเติมในสาขาที่ฟิสิกส์สามารถเชื่อมโยงต่อเนื่องได้ เช่น นักกฎหมายหรือผู้เชี่ยวชาญด้านสิทธิบัตรในภาคอุตสาหกรรม หรือในสำนักงานอิสระ == นักฟิสิกส์ที่มีชื่อเสียง == ไฟล์:Richard Feynman ID badge.png|thumb|150px|ริชาร์ด ไฟน์แมน นักฟิสิกส์ที่มีชื่อเสียงคนหนึ่งของโลก * เรอเน เดการ์ต (René Descartes; ค.ศ. 1596–1650) * แบลซ ปัสกาล (Blaise Pascal; ค.ศ. 1623–1662) * ไอแซก นิวตัน (Isaac Newton; ค.ศ. 1642–1726/1727) * ก็อทฟรีท วิลเฮ็ล์ม ไลบ์นิทซ์ (Gottfried Wilhelm Leibniz; ค.ศ. 1646–1716) * เจมส์ เคลิร์ก แมกซ์เวลล์ (James Clerk Maxwell; ค.ศ. 1831–1879) * อัลเบิร์ต ไอน์สไตน์ (Albert Einstein; ค.ศ. 1879–1955) * มักซ์ พลังค์ (Max Planck; ค.ศ. 1858–1947) * มักซ์ บอร์น (Max Born; ค.ศ. 1882–1970) * นีลส์ บอร์ (Niels Bohr; ค.ศ. 1885–1962) * แวร์เนอร์ ไฮเซินแบร์ค (Werner Heisenberg; ค.ศ. 1901–1976) * ริชาร์ด ไฟน์แมน (Richard Feynman; ค.ศ. 1918–1988) * สตีเฟน ฮอว์คิง (Stephen Hawking; ค.ศ. 1942–2018) == ดูเพิ่ม == * รายนามผู้ได้รับรางวัลโนเบลสาขาฟิสิกส์ * :en:Nobel Prize in physics|รายชื่อนักฟิสิกส์รางวัลโนเบล (วิกีพีเดียอังกฤษ) * :en:Institute of Physics|สถาบันนักฟิสิกส์แห่งราชอาณาจักร (วิกีพีเดียอังกฤษ) * :en:American_Institute of Physics|สถาบันนักฟิสิกส์แห่งอเมริกา (วิกีพีเดียอังกฤษ) * :en:List of physicists|รายชื่อนักฟิสิกส์ของโลก (วิกีพีเดียอังกฤษ) * วิศวกรรม == อ้างอิง == * * == แหล่งข้อมูลอื่น == * http://www.bls.gov/oco/home.htm Occupational Outlook Handbook * http://www.bls.gov/oco/ocos052.htm Physicists and Astronomers ; จากสำนักงานสถิติ กระทรวงแรงงานสหรัฐฯ * http://www.aip.org/statistics/ Education and employment statistics จากสถาบันนักฟิสิกส์แห่งอเมริกา * http://www.icphysics.com/modules.php?name=News&file=article&sid=65&mode=thread&order=0&thold=0 ผลงานนักฟิสิกส์ไทย จากไทย * หมวดหมู่:นักฟิสิกส์|
นักฟิสิกส์
infobox royalty | image = King Buddha Yodfa Chulaloke.jpg | name = พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลก | caption = พระบรมสาทิสลักษณ์ประดิษฐาน ณ พระที่นั่งจักรีมหาปราสาท | birth_style = | birth_date = | birth_place = อำเภอพระนครศรีอยุธยา|กรุงศรีอยุธยา อาณาจักรอยุธยา | death_date = |death_place = พระที่นั่งไพศาลทักษิณ พระบรมมหาราชวัง|พระราชวังหลวง กรุงเทพพระมหานคร อาณาจักรรัตนโกสินทร์ | succession = พระมหากษัตริย์ไทย|พระเจ้ากรุงศรีอยุธยา | father = สมเด็จพระปฐมบรมมหาชนก | mother = พระอัครชายา (หยก) | spouse = สมเด็จพระอมรินทราบรมราชินี | spouse 1 = รายพระนามและชื่อภรรยาในพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช|43 ท่าน | issue = พระราชสันตติวงศ์ในพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช|42 พระองค์ | dynasty = ราชวงศ์จักรี|จักรี | reign = 6 เมษายน พ.ศ. 2325 - 7 กันยายน พ.ศ. 2352 () | coronation = 10 มิถุนายน พ.ศ. 2325 | predecessor = สมเด็จพระเจ้ากรุงธนบุรี | successor = พระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย | temple name = วัดพระเชตุพนวิมลมังคลารามราชวรมหาวิหาร|วัดพระเชตุพนวิมลมังคลาราม | buddharupa = ปางอุ้มบาตร|พระพุทธรูปปางอุ้มบาตร | reg-type1 = | regent1 = | reg-type2 = | regent2 = สมเด็จพระเจ้าหลานเธอ เจ้าฟ้ากรมพระอนุรักษ์เทเวศร์ | reg-type3 = | regent3 = เจ้าพระยารัตนาพิพิธ (สน สนธิรัตน์) | reg-type4 = | regent4 = | burial_date = พ.ศ. 2354 | burial_style = ถวายพระเพลิง | burial_place = พระเมรุมาศ ท้องสนามหลวง|ทุ่งพระเมรุ | ashes = หอพระธาตุมณเฑียร | religion = เถรวาท | timeline = ImageSize = width:200 height:50 PlotArea = width:180 height:30 left:10 bottom:20 TimeAxis = orientation:horizontal DateFormat = yyyy Period = from:1736 till:2022 AlignBars = early ScaleMajor = increment:240 start:1782 Colors = id:canvas value:rgb(1,1,0.85) BackgroundColors = canvas:canvas PlotData = width:15 color:black bar:era from:start till:end bar:era from:1736 till:1809 color:red bar:era from:1782 till:1809 color:yellow |key_events = '''พระบาทสมเด็จพระปรโมรุราชามหาจักรีบรมนาถ พระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลก''' (20 มีนาคม พ.ศ. 2280 — 7 กันยายน พ.ศ. 2352) เป็นพระมหากษัตริย์ไทยรัชกาลที่ 1 ในราชวงศ์จักรีและเป็นพระมหากษัตริย์รัชกาลที่ 45 ตามรายพระนามพระมหากษัตริย์ไทย|ประวัติศาสตร์ไทย เสด็จพระราชสมภพเมื่อวันพุธ แรม 5 ค่ำ เดือน 4 ปีมะโรง อัฐศก จ.ศ. 1098 เวลา 3 ยาม ตรงกับวันที่ 20 มีนาคม พ.ศ. 2280 (เมื่อเทียบปฏิทินสุริยคติแล้ว) ปราบดาภิเษกเป็นปฐมกษัตริย์แห่งอาณาจักรรัตนโกสินทร์ (สมัยสมบูรณาญาสิทธิราชย์)|กรุงรัตนโกสินทร์ เมื่อวันที่ 6 เมษายน พ.ศ. 2325 ขณะมีพระชนมายุได้ 45 พรรษา และทรงย้ายราชธานีจากฝั่งธนบุรีมาอยู่ฝั่งพระนคร และโปรดเกล้าฯ ให้สร้างพระบรมมหาราชวังเป็นที่ประทับ นอกจากนี้ พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช ได้ทรงรับการยกย่องเป็น 1 ใน 8 สมเด็จพระบูรพมหากษัตริย์ผู้ยิ่งใหญ่ในประเทศไทย พระองค์ทรงได้รับพระราชสมัญญานามว่าเป็น มหาราช เพราะทรงได้รับชัยชนะจากสงครามเก้าทัพ == พระราชประวัติ == === พระราชสมภพ === พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช มีพระนามเดิมว่า ทองด้วง เสด็จพระราชสมภพเมื่อวันที่ 20 มีนาคม พ.ศ. 2280 (วันที่ 20 เดือน 4 ตามปีจันทรคติ) ในรัชสมัยสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวบรมโกศแห่งอาณาจักรอยุธยา พระองค์เป็นบุตรคนที่ 4 ของพระอักษรสุนทรศาสตร์ (ทองดี) ซึ่งต่อมาได้รับการสถาปนาขึ้นเป็นสมเด็จพระปฐมบรมมหาชนก กับพระอัครชายา (หยก) เมื่อเจริญวัยขึ้นได้ถวายตัวเป็นมหาดเล็กในสมเด็จเจ้าฟ้ากรมขุนพรพินิต (ต่อมาคือสมเด็จพระเจ้าอุทุมพร) ครั้นพระชนมายุครบ 21 พรรษา ก็เสด็จออกผนวชเป็นภิกษุอยู่วัดมหาทลาย 1 พรรษา แล้วลาผนวชเข้ารับราชการเป็นมหาดเล็กหลวงในสมเด็จพระเจ้าอุทุมพรดังเดิม เมื่อพระชนมายุได้ 25 พรรษา พระองค์เสด็จออกไปรับราชการที่เมืองราชบุรีในตำแหน่ง "''หลวงยกกระบัตร''" ในแผ่นดินสมเด็จพระที่นั่งสุริยาศน์อมรินทร์เทศนาพระราชประวัติและพงศาวดารกรุงเทพฯ, หน้า 5-7 และได้สมรสกับคุณนาค (ภายหลังได้รับการสถาปนาที่สมเด็จพระอมรินทราบรมราชินี) ธิดาในตระกูลเศรษฐีมอญที่มีรกรากอยู่ที่บ้านอัมพวา จังหวัดสมุทรสงคราม|เมืองสมุทรสงคราม === รับราชการในสมัยกรุงธนบุรี === ภายหลังการเสียกรุงศรีอยุธยาครั้งที่สองแก่ราชวงศ์โก้นบอง|กรุงอังวะแล้ว สมเด็จพระเจ้ากรุงธนบุรี|พระยาตาก (สิน) ได้ปราบดาภิเษกขึ้นเป็นพระมหากษัตริย์และย้ายราชธานีมายังกรุงธนบุรี ในขณะนั้นนายทองด้วงมีอายุ 32 ปี ได้เข้าถวายตัวรับราชการตามคำชักชวนของสมเด็จพระบวรราชเจ้ามหาสุรสิงหนาท|พระมหามนตรี (บุญมา) ผู้เป็นน้องชาย โดยได้รับพระกรุณาโปรดเกล้าฯ แต่งตั้งให้เป็น ''พระราชริน (พระราชวรินทร์)'' เจ้ากรมพระตำรวจนอกขวา และย้ายมาอาศัยอยู่ที่บริเวณวัดบางหว้าใหญ่ (วัดระฆังโฆสิตารามวรมหาวิหารในปัจจุบัน) ในปี พ.ศ. 2311 สมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราชเสด็จขึ้นไปตีเมืองพิมายซึ่งมีกรมหมื่นเทพพิพิธเป็นเจ้าเมืองพิมายอยู่ พระราชรินและพระมหามนตรีได้รับพระราชโองการให้ยกทัพร่วมในศึกครั้งนี้ด้วย หลังจากการศึกในครั้งนี้ พระราชรินได้รับการเลื่อนบรรดาศักดิ์เป็น ''พระยาอภัยรณฤทธิ์'' จางวางพระตำรวจฝ่ายขวา เพื่อเป็นการปูนบำเหน็จที่มีความชอบในการสงครามครั้งนี้ หลังจากสมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราชยกทัพขึ้นไปปราบเจ้าพระฝางสำเร็จแล้ว มีพระราชดำริว่าเจ้าพระยาจักรี (หมุด) นั้นมิแกล้วกล้าในการสงคราม ดังนั้น จึงโปรดตั้งพระยาอภัยรณฤทธิ์ขึ้นเป็น ''พระยายมราช'' เสนาธิบดีกรมพระนครบาล โดยให้ว่าราชการที่สมุหนายกด้วย เมื่อเจ้าพระยาจักรี (หมุด) ถึงแก่กรรมแล้ว พระยาอภัยรณฤทธิ์จึงได้รับการโปรดเกล้าฯ ให้เลื่อนบรรดาศักดิ์เป็น ''เจ้าพระยาจักรี'' ที่สมุหนายก พร้อมทั้งโปรดให้เป็นแม่ทัพเพื่อไปตีกรุงกัมพูชา โดยสามารถตีเมืองพระตะบอง เมืองโพธิสัตว์ เมืองบริบูรณ์ และเมืองพุทไธเพชร (เมืองบันทายมาศ) ได้ เมื่อสิ้นสงครามสมเด็จพระเจ้าตากสินโปรดให้นักองค์รามาธิบดีไปครองเมืองพุทไธเพชรให้เป็นใหญ่ในกรุงกัมพูชา และมีพระดำรัสให้เจ้าพระยาจักรีและพระยาโกษาธิบดีอยู่ช่วยราชการที่เมืองพุทไธเพชรจนกว่าเหตุการณ์จะสงบราบคาบก่อน เจ้าพระยาจักรีเป็นแม่ทัพทำราชการสงครามกับพม่า เขมร และลาว จนมีความชอบในราชการมากมาย ดังนั้น จึงได้รับการเลื่อนบรรดาศักดิ์เป็น ''สมเด็จเจ้าพระยามหากษัตริย์ศึก พิฤกมหิมา ทุกนัครระอาเดช นเรศรราชสุริยวงษ์ องค์อรรคบาทมุลิกากร บวรรัตนบรินายก'' และได้รับพระราชทานเสลี่ยงงากลั้นกลดและมีเครื่องทองต่าง ๆ เป็นเครื่องยศเสมอเจ้าต่างกรม''ปฐมวงศ์ (พระบรมราชมหาจักรีกษัตริย์สยาม)'', หน้า 41-42พระราชพงษาวดาร ฉบับพระราชหัตถเลขา, หน้า 131-132 เดือนมีนาคม พ.ศ 2324 สมเด็จพระเจ้ากรุงธนบุรีได้โปรดเกล้าให้พระยาสรรค์แต่งทัพไปปราบกบฎ แต่พระยาสรรค์กลับไปเข้ากับกบฎและนำทัพเข้ายึดกรุงในวันที่ 4 มีนาคม พ.ศ. 2324 พระยาสรรค์ได้กราบทูลให้สมเด็จพระเจ้ากรุงธนบุรีสละราชสมบัติและออกผนวช ซึ่งพระองค์ยอมทำตามในวันที่ 10 มีนาคม พระยาสรรค์ครองเมืองได้ราวสองสัปดาห์ก็ถูกปราบโดยทัพของสมเด็จพระเจ้าหลานเธอ เจ้าฟ้ากรมพระอนุรักษ์เทเวศร์|พระยาสุริยอภัย พระยาสุริยอภัยจับภิกษุตากสึกและขังไว้ หลังสมเด็จเจ้าพระยามหากษัตริย์ศึกได้ยกทัพกลับจากกัมพูชามาถึงกรุงธนบุรีและได้สำเร็จโทษบรรดากบฎแล้ว ก็ดำริว่า เหตุแห่งกบฎคือพระเจ้าแผ่นดินองค์ก่อน สมเด็จเจ้าพระยาฯ ได้พิพากษาโทษอดีตพระเจ้าตากดังความ: ต่อมานายสินถูกนำตัวไปประหารด้วยการตัดศีรษะ''พระราชพงศาวดาร ฉบับพระราชหัตถเลขา'', กรุงเทพฯ : สำนักวรรณกรรมและประวัติศาสตร์ กรมศิลปากร, 2548, หน้า 230 === ปราบดาภิเษก === ไฟล์:พระบรมราชานุสาวรีย์ รัชกาลที่ 1 (4).JPG|ปฐมบรมราชานุสรณ์|พระปฐมบรมราชานุสรณ์ ทรงประทับเหนือพระที่นั่งพุดตานกาญจนสิงหาสน์ ในการพระราชพิธีปราบดาภิเษกขึ้นเป็นปฐมบรมกษัตริย์แห่งพระบรมราชจักรีวงศ์ เมื่อวันที่ 6 เมษายน พ.ศ. 2325|180px|thumb|left ในวันที่ 6 เมษายน พ.ศ. 2325 หลังจากได้สำเร็จโทษพระเจ้าตากสินแล้ว สมเด็จเจ้าพระยามหากษัตริย์ศึกได้ขึ้นปราบดาภิเษกเป็นปฐมกษัตริย์แห่งราชวงศ์จักรี ขณะที่มีพระชนมายุได้ 46 พรรษา พระองค์โปรดเกล้าฯ ให้ย้ายราชธานีจากกรุงธนบุรีราชธานีเดิมที่อยู่ฝั่งตะวันตกของแม่น้ำเจ้าพระยามายังฝั่งตะวันออกของแม่น้ำเจ้าพระยา พระองค์โปรดให้สร้างพระราชวังหลวงและโปรดเกล้าฯ ให้อัญเชิญพระพุทธมหามณีรัตนปฏิมากรมาประดิษฐานยังวัดพระศรีรัตนศาสดาราม หลังจากนั้น ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้จัดงานฉลองสมโภชพระนครเป็นเวลา 3 วัน ครั้งเสร็จการฉลองพระนครแล้ว พระองค์พระราชทานนามพระนครแห่งใหม่ให้ต้องกับนามพระพุทธมหามณีรัตนปฏิมากรว่า "''กรุงเทพมหานคร บวรรัตนโกสินทร์ มหินทรายุธยา มหาดิลกภพ นพรัตนราชธานีบุรีรมย์ อุดมราชนิเวศน์มหาสถาน อมรพิมานอวตารสถิต สักกะทัตติยวิษณุกรรมประสิทธิ์''" หรือเรียกอย่างสังเขปว่า "กรุงเทพมหานคร" === สวรรคต === ไฟล์:Wat Amphawan Chetiyaram (2022-06) - img 08.jpg|thumb|left|จิตรกรรมฝาผนังในวัดอัมพวันเจติยารามแสดงพระราชพิธีถวายพระเพลิงพระบรมศพของพระองค์ หลังจากการฉลองวัดพระแก้วแล้ว ก็ประชวรอาการบวมน้ำ|ทรงพระโสภะอยู่ 3 ปี พระอาการทรุดลงไปเรื่อย ๆ จนกระทั่ง เสด็จสวรรคตเมื่อวันที่ 7 กันยายน พ.ศ. 2352 ณ พระที่นั่งไพศาลทักษิณ รวมพระชนมพรรษาได้ 73 พรรษา เสด็จอยู่ในราชสมบัติ 27 ปี พระบรมศพถูกเชิญลงสู่พระลองเงินประกอบด้วยพระโกศทองใหญ่แล้วเชิญไปประดิษฐานไว้ ณ พระที่นั่งดุสิตมหาปราสาท ภายใต้พระมหาเศวตฉัตร ตั้งเครื่องสูงและเครื่องราชูปโภคเฉลิมพระเกียรติยศตามโบราณราชประเพณี พระสงฆ์สวดพระอภิธรรม โคมกลองชนะตามเวลา ดังเช่นงานพระบรมศพพระเจ้าแผ่นดินสมัยกรุงศรีอยุธยาทุกประการ จนกระทั่ง พ.ศ. 2354 พระเมรุมาศซึ่งสร้างตามแบบพระเมรุมาศสำหรับพระเจ้าแผ่นดินสมัยกรุงศรีอยุธยาได้สร้างแล้วเสร็จ จึงเชิญพระบรมโกศจากพระที่นั่งดุสิตมหาปราสาทขึ้นประดิษฐาน ณ พระเมรุมาศ แล้วจักให้มีการสมโภชพระบรมศพเป็นเวลา 7 วัน 7 คืน จึงถวายพระเพลิงพระบรมศพ หลังจากนั้น มีการสมโภชพระบรมอัฐิและบำเพ็ญพระราชกุศล เมื่อแล้วเสร็จจึงเชิญพระบรมอัฐิประดิษฐาน ณ หอพระธาตุมณเฑียร ภายในพระบรมมหาราชวัง ส่วนพระบรมราชสรีรางคารเชิญไปลอยบริเวณหน้าวัดปทุมคงคาราชวรวิหาร ==พระราชกรณียกิจ== ไฟล์:พระที่นั่งดุสิตมหาปราสาทในหมู่พระมหาปราสาท.jpg|thumb|282x282px|พระที่นั่งดุสิตมหาปราสาทภายในพระบรมมหาราชวัง พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลก ทรงบัญชาให้สร้างพระราชวังขึ้นในปี พ.ศ. 2325 เพื่อเป็นศูนย์กลางของเมืองหลวง ไฟล์:Canopy Bed of the King at the Chakraphat Phiman Hall.jpg|thumb|upright|right|ณ ห้องบรรทมของ พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลก ณ พระที่นั่งจักรีพิมานภายในพระบรมมหาราชวัง พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช ทรงสถาปนากรุงเทพมหานคร (หรือกรุงรัตนโกสินทร์) เป็นราชธานี และทรงสถาปนาราชวงศ์จักรีปกครองราชอาณาจักรไทยเมื่อ 6 เมษายน พ.ศ. 2325 (วันจักรี) ภายหลังการเสด็จเสวยราชย์แล้ว พระองค์ทรงมีพระราชกรณีกิจที่สำคัญยิ่ง คือ การป้องกันราชอาณาจักรให้ปลอดภัยและทรงฟื้นฟูวัฒนธรรมไทยอันเป็นมรดกตกทอดมาตั้งแต่สมัยสุโขทัยและอยุธยา การที่ไทยสามารถปกป้องการรุกรานของข้าศึกจนประสบชัยชนะทุกครั้ง แสดงให้เห็นถึงความเข้มแข็งของพระองค์ในการบัญชาการรบอย่างมีประสิทธิภาพ โดยเฉพาะอย่างยิ่งสงครามกับพม่าใน พ.ศ. 2328 ที่เรียกว่า "สงครามเก้าทัพ" นอกจากนี้พระองค์ยังพบว่ากฎหมายบางฉบับที่ใช้มาตั้งแต่สมัยอยุธยาไม่มีความยุติธรรม จึงโปรดเกล้าโปรดกระหม่อมให้มีการตรวจสอบกฎหมายที่มีอยู่ทั้งหมด เสร็จแล้วให้เขียนเป็นฉบับหลวง 3 ฉบับ ประทับตราราชสีห์ คชสีห์ และบัวแก้วไว้ทุกฉบับ เรียกว่า "กฎหมายตราสามดวง" สำหรับใช้เป็นหลักในการปกครองบ้านเมือง ===การสถาปนากรุงรัตนโกสินทร์=== ไฟล์:D85 3734 อนุสรณ์สถานแห่งชาติ The National Memorial of Thailand Photographed by Trisorn Triboon (28).jpg|ภาพวาดบนฝาผนังแสดงเรื่องราวของกรุงรัตนโกสินทร์ ณ อนุสรณ์สถานแห่งชาติ จังหวัดปทุมธานี|right|230px|thumb พระราชกรณียกิจประการแรกที่พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราชทรงจัดทำเมื่อเสด็จขึ้นครองราชย์ คือการโปรดเกล้าโปรดกระหม่อม ให้ตั้งกรุงรัตนโกสินทร์เป็นราชธานีใหม่ ทางตะวันออกของแม่น้ำเจ้าพระยา แทนกรุงธนบุรี ด้วยเหตุผลทางด้านยุทธศาสตร์ เนื่องจากกรุงธนบุรีตั้งอยู่บนสองฝั่งแม่น้ำ ทำให้การลำเลียงอาวุธยุทธภัณฑ์ และการรักษาพระนครเป็นไปได้ยาก อีกทั้งพระราชวังเดิมมีพื้นที่จำกัด ไม่สามารถขยายได้ เนื่องจากติดวัดอรุณราชวรารามราชวรมหาวิหารและวัดโมลีโลกยารามราชวรวิหาร ส่วนทางฝั่งกรุงรัตนโกสินทร์นั้นมีความเหมาะสมกว่าตรงที่มีพื้นแผ่นดินเป็นลักษณะหัวแหลม มีแม่น้ำเป็นคูเมืองธรรมชาติ มีชัยภูมิเหมาะสม และสามารถรับศึกได้เป็นอย่างดี ไฟล์:104 Ramakien Murals (9148225737).jpg|thumb|left|220px|จิตรกรรม ภาพวาดเรื่องรามเกียรติ์ ฝาผนังวัดพระแก้ว พระบรมมหาราชวัง แห่งกรุงรัตนโกสินทร์ การสร้างราชธานีใหม่นั้นใช้เวลาทั้งสิ้น 3 ปี โดยพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช ทรงประกอบพิธียกเสาหลักเมือง เมื่อวันอาทิตย์ ขึ้น 10 ค่ำ เดือน 6 ปีขาล จ.ศ. 1144 ตรงกับวันที่ 21 เมษายน พ.ศ. 2325 และโปรดเกล้าโปรดกระหม่อมให้สร้างพระบรมมหาราชวังสืบทอดราชประเพณี และสร้างพระอารามหลวงในเขตพระบรมมหาราชวังตามแบบกรุงศรีอยุธยา ซึ่งการสร้างเมืองและพระบรมมหาราชวังเป็นการสืบทอดประเพณี วัฒนธรรม และศิลปกรรมดั้งเดิมของชาติ ซึ่งปฏิบัติกันมาตั้งแต่สมัยกรุงศรีอยุธยา และได้พระราชทานนามแก่ราชธานีใหม่นี้ว่า ''"กรุงเทพมหานคร บวรรัตนโกสินทร์ มหินทรายุทธยา มหาดิลกภพ นพรัตนราชธานีบุรีรมย์ อุดมราชนิเวศน์มหาสถาน อมรพิมานอวตารสถิต สักกะทัตติยะวิษณุกรรมประสิทธิ์"'' นอกจากนี้ยังโปรดเกล้าโปรดกระหม่อมให้สร้างสิ่งต่าง ๆ อันสำคัญต่อการสถาปนาราชธานีได้แก่ ป้อมปราการ, คลอง ถนนและสะพานต่าง ๆ มากมาย ===การป้องกันราชอาณาจักร=== ไฟล์:ภาพด้านหลังธนบัตรราคา 500 บาท.jpg|thumb|right|200px|ภาพด้านหลังธนบัตรไทยชนิดราคา 500 บาท (ชุดที่ 16) รูปพระบรมราชานุสาวรีย์ของพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช ทรงพระปรีชาสามารถในการรบ ทรงเป็นผู้นำทัพในการทำสงครามกับพม่าทั้งหมด 7 ครั้งในรัชสมัยของพระองค์ ได้แก่ * สงครามครั้งที่ 1 พ.ศ. 2327 สงครามเก้าทัพ|'''''สงครามเก้าทัพ''''' สงครามครั้งยิ่งใหญ่ที่สุดระหว่างไทยกับพม่าส่งคือ สงครามเก้าทัพ โดยในครั้งนั้นพระเจ้าปดุงแห่งราชวงศ์อลองพญา|'''ราชวงศ์อลองพญา'''ของพม่า มีพระประสงค์จะเพิ่มพูนพระเกียรติยศและชื่อเสียงให้ขจรขจายด้วยการกำราบอาณาจักรสยาม จึงรวบรวมไพร่พลถึง 144,000 คน กรีธาทัพจะเข้าตีกรุงรัตนโกสินทร์ โดยแบ่งเป็น 9 ทัพใหญ่ เข้าตีจากกรอบทิศทาง ส่วนทัพของพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราชมีกำลังเพียงครึ่งหนึ่งของทหารพม่าคือมีเพียง 70,000 คนเศษเท่านั้น ไฟล์:ท้าวเทพกระษัตรีและท้าวศรีสุนทร หอประติมากรรมต้นแบบ.jpg|thumb|อนุสาวรีย์ฯ ต้นแบบ ในหอประติมากรรมต้นแบบ ผู้ทรงเป็นวีรสตรีในศึกเมืองถลางในสงครามเก้าทัพ ด้วยพระปรีชาสามารถในการทำสงคราม ได้ทรงให้ทัพของสมเด็จพระบวรราชเจ้ามหาสุรสิงหนาทไปสกัดทัพพม่าที่บริเวณทุ่งลาดหญ้า ทำให้พม่าต้องชะงักติดอยู่บริเวณช่องเขา แล้วทรงสั่งให้จัดทัพแบบกองโจรออกปล้นสะดม จนทัพพม่าขัดสนเสบียงอาหาร เมื่อทัพพม่าบริเวณทุ่งลาดหญ้าแตกพ่ายไปแล้วสมเด็จพระบวรราชเจ้ามหาสุรสิงหนาทจึงยกทัพไปช่วยทางอื่น และได้รับชัยชนะตลอดทุกทัพตั้งแต่เหนือจรดใต้ * สงครามครั้งที่ 2 พ.ศ. 2329 สงครามท่าดินแดงและสามสบ ในสงครามครั้งนี้ ทัพพม่าเตรียมเสบียงอาหารและเส้นทางเดินทัพอย่างดีที่สุด โดยแก้ไขข้อผิดพลาดต่าง ๆ จากศึกครั้งก่อน โดยพม่าได้ยกทัพเข้ามาทางด่านเจดีย์สามองค์ มาตั้งค่ายอยู่ที่ท่าดินแดงและสามสบ พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราชได้ทรงยกทัพหลวงเข้าตีพม่าที่ค่ายดินแดงพร้อมกับให้ทัพของสมเด็จพระบวรราชเจ้ามหาสุรสิงหนาทเข้าตีค่ายพม่าที่สามสบ หลังจากรบกันได้ 3 วันค่ายพม่าก็แตกพ่ายไปทุกค่าย และพระองค์ยังได้ทำสงครามขับไล่อิทธิพลของพม่าได้โดยเด็ดขาด และตีหัวเมืองต่าง ๆ ขยายราชอาณาเขต ทำให้ราชอาณาจักรสยามมีอาณาเขตกว้างใหญ่ที่สุดในประวัติศาสตร์ ตั้งแต่ดินแดนล้านนา ไทใหญ่ สิบสองปันนา หลวงพระบาง เวียงจันทน์ เขมร และด้านทิศใต้ไปจนถึงเมืองกลันตัน ตรังกานู ไทรบุรี ปะลิส และเปรัก ไฟล์:King Kawila.jpg|พระเจ้ากาวิละ เจ้าผู้ครองนครเชียงใหม่องค์แรกแห่งราชวงศ์เจ้าเจ็ดตนที่เข้ารับราชการสงครามจนรบชนะพม่าจนมีบำเหน็จความดีความชอบเป็นพิเศษ|right|158px|thumb * สงครามครั้งที่ 3 พ.ศ. 2330 สงครามตีเมืองลำปางและเมืองป่าซาง หลังจากที่พม่าพ่ายแพ้แก่สยาม ก็ส่งผลทำให้เมืองขึ้นทั้งหลายของพม่า เช่น เมืองเชียงรุ้งและเชียงตุง เกิดกระด้างกระเดื่อง ตั้งตนเป็นอิสระ พระเจ้าปดุงจึงสั่งให้ยกทัพมาปราบปราม รวมถึงเข้าตีลำปางและป่าซาง เมื่อพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราชทราบเรื่องจึงสั่งให้สมเด็จพระบวรราชเจ้ามหาสุรสิงหนาทคุมไพร่พล 6,000 นาย มาช่วยเหลือและขับไล่พม่าไปเป็นผลสำเร็จ * สงครามครั้งที่ 4 พ.ศ. 2330 สงครามตีเมืองทวาย ครั้งนั้นพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราชโปรดเกล้าโปรดกระหม่อม ให้เกณฑ์ไพร่พล 20,000 นาย ยกทัพไปตีเมืองทวาย แต่สงครามครั้งนี้ไม่มีการรบพุ่ง เพราะต่างฝ่ายต่างก็ขาดแคลนเสบียงอาหาร รี้พลก็บาดเจ็บจึงโปรดเกล้าโปรดกระหม่อม ให้ถอยทัพกลับกรุงเทพ * สงครามครั้งที่ 5 พ.ศ. 2336 สงครามตีเมืองพม่า ในครั้งนั้นเมืองทวาย ตะนาวศรี และมะริด ได้เข้ามาขอสวามิภักดิ์ต่อไทย พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราชจึงโปรดเกล้าโปรดกระหม่อม ให้ยกทัพไปช่วยป้องกันเมือง แต่เมื่อพระเจ้าปดุงยกทัพมาปราบปรามเมืองทั้งสามก็หันกลับเข้ากับทางพม่าอีก พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราชจึงโปรดเกล้าฯ ให้ถอยทัพกลับกรุงเทพฯ * สงครามครั้งที่ 6 พ.ศ. 2340 สงครามพม่าที่เมืองเชียงใหม่ เนื่องจากสงครามในครั้งก่อน ๆ พระเจ้าปดุงไม่สามารถตีหัวเมืองล้านนาได้ จึงทรงรับสั่งไพร่พล 55,000 นาย ยกทัพมาอีกครั้งโดยแบ่งเป็น 7 ทัพ พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราชจึง โปรดเกล้าฯ ให้สมเด็จพระบวรราชเจ้ามหาสุรสิงหนาทคุมไพร่พล 20,000 นาย ขึ้นไปรวมไพร่พลกับทางเหนือเป็น 40,000 นาย ระดมตีค่ายพม่าเพียงวันเดียวเท่านั้นทัพพม่าก็แตกพ่ายยับเยิน * สงครามครั้งที่ 7 พ.ศ. 2346 สงครามพม่าที่เมืองเชียงใหม่ ครั้งที่ 2 ในครั้งนั้นพระเจ้ากาวิละได้ยกทัพไปตีเมืองสาด หัวเมืองขึ้นของพม่า พระเจ้าปดุงจึงยกทัพลงมาตีเมืองเชียงใหม่เพื่อแก้แค้น เมื่อพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราชทรงทราบ จึงโปรดเกล้าฯ ให้ส่งกองทัพไปช่วยเหลือ และสงครามครั้งนี้ก็จบลงด้วยชัยชนะของฝ่ายไทย == พระบรมราชอิสริยยศและพระเกียรติยศ == === พระบรมราชอิสริยยศ === * ทองด้วง (20 มีนาคม พ.ศ. 2279 - พ.ศ. 2311) * พระราชริน (พระราชวรินทร์) (พ.ศ. 2311) * พระยาอภัยรณฤทธิ์ (พ.ศ. 2311 - พ.ศ. 2313) * พระยายมราช (พ.ศ. 2313 - พ.ศ. 2317) * เจ้าพระยาจักรี (พ.ศ. 2317 - สมัยสมเด็จพระเจ้ากรุงธนบุรี) * สมเด็จเจ้าพระยามหากษัตริย์ศึก พิฤกมหิมา ทุกนัครระอาเดช นเรศรราชสุริยวงษ์ องค์อรรคบาทมุลิกากร บวรรัตนบรินายก "เสมอที่เจ้าพระยามหาอุปราช"(สมัยสมเด็จพระเจ้ากรุงธนบุรี - 6 เมษายน พ.ศ. 2325) * พระบาทสมเด็จพระบรมราชาธิราชรามาธิบดี ศรีสินทรบรมมหาจักรพรรดิราชาธิบดินทร์ ธรณินทราธิราช รัตนากาศภาสกรวงศ์ องค์ปรมาธิเบศร ตรีภูวเนตรวรนารถนายก ดิลกรัตนราชชาติอาชาวศรัย สมุทัยดโรมนต์ สกลจักรวาฬาธิเบนทร์ สุริเยนทราธิบดินทร์ หริหรินทรธาดาธิบดี ศรีสุวิบุลยคุณอขนิษฐ์ ฤทธิราเมศวรมหันต์ บรมธรรมิกราชาธิราชเดโชไชย พรหมเทพาดิเทพนฤบดินทร์ ภูมินทรปรมาธิเบศร์ โลกเชฏฐวิสุทธิ์ รัตนมกุฎประเทศคตามหาพุทธางกูร บรมบพิตร พระพุทธเจ้าอยู่หัว (6 เมษายน พ.ศ. 2325 - 7 กันยายน พ.ศ.2352) '''''ภายหลังการสวรรคตในรัชกาลที่ 3''''' * พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลก (สมัยรัชกาลที่ 3 - สมัยรัชกาลที่ 4) '''''ภายหลังการสวรรคตในรัชกาลที่ 4''''' * พระบาทสมเด็จพระปรโมรุราชามหาจักรีบรมนารถฯ พระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลก (สมัยรัชกาลที่ 4 - 11 พฤศจิกายน พ.ศ. 2459) '''''ภายหลังการสวรรคตในรัชกาลที่ 6''''' * พระบาทสมเด็จพระรามาธิบดีศรีสินทรมหาจักรีบรมนาถ พระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลก (11 พฤศจิกายน พ.ศ. 2459 - สมัยรัชกาลที่ 7) '''''ภายหลังการสวรรคตในรัชกาลที่ 7''''' * พระบาทสมเด็จพระปรโมรุราชามหาจักรีบรมนารถฯ พระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลก (สมัยรัชกาลที่ 7 - ปัจจุบัน) == พระพุทธรูปประจำพระองค์ == ไฟล์:พระพุทธรูปประจำพระชนมวารรัชกาลที่ ๑.jpg|thumb|right|180px|พระพุทธรูปประจำพระชนมวาร ไฟล์:พระพุทธรูปประจำรัชกาลที่ ๑.jpg|thumb|left|180px|พระพุทธรูปประจำรัชกาล ไฟล์:พระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกวัดพระเเก้ว.jpg|thumb|269x269px|พระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลก ณ พระอุโบสถ วัดพระศรีรัตนศาสดาราม ในพระบรมมหาราชวัง พระพุทธรูปประจำพระชนมวาร เป็นพระพุทธรูปปางอุ้มบาตรตามวันพระบรมราชสมภพ สร้างราว พ.ศ. ๒๔๑๐-๒๔๑๑ สร้างด้วยทองคำ บาตรลงยา สร้างโดยพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว เพื่อทรงอุทิศพระราชกุศลถวายพระบรมอัยกาธิราช สูง 29.50 เซนติเมตร ประดิษฐานในหอพระสุราลัยพิมาน พระพุทธรูปประจำรัชกาล เป็นพระพุทธรูปปางมารวิชัย ขัดสมาธิเพชร ภายใต้พระเศวตฉัตร ๓ ชั้น สร้างราว พ.ศ. ๒๓๖๗-๒๓๙๔ หน้าตักกว้าง ๘.๓ ซ.ม. สูงเฉพาะองค์พระ ๑๒.๕ ซ.ม. สูงรวม ๔๖.๕ ซ.ม. ประดิษฐานในหอพระสุราลัยพิมาน == พระปรมาภิไธย == ไฟล์:Privy Seal of King Rama I (Buddha Yodfa Chulaloke).svg|thumb|180px|'''พระราชลัญจกรประจำรัชกาลที่ 1''' รูปอุณาโลม ผูกตรานี้ขึ้นในวโรกาสกรุงรัตนโกสินทร์ครบ 100 ปี เมื่อพระองค์ปราบดาภิเษกขึ้นเป็นปฐมกษัตริย์แห่งราชวงศ์จักรีแล้ว พระองค์มีพระนามตามจารึกในพระสุพรรณบัฏว่า "''พระบาทสมเด็จพระบรมราชาธิราชรามาธิบดี ศรีสินทรบรมมหาจักรพรรดิราชาธิบดินทร์ ธรณินทราธิราช รัตนากาศภาสกรวงศ์ องค์ปรมาธิเบศร ตรีภูวเนตรวรนารถนายก ดิลกรัตนราชชาติอาชาวศรัย สมุทัยดโรมนต์ สกลจักรวาฬาธิเบนทร์ สุริเยนทราธิบดินทร์ หริหรินทรธาดาธิบดี ศรีสุวิบุลยคุณอขนิษฐ์ ฤทธิราเมศวรมหันต์ บรมธรรมิกราชาธิราชเดโชไชย พรหมเทพาดิเทพนฤบดินทร์ ภูมินทรปรมาธิเบศร์ โลกเชฏฐวิสุทธิ์ รัตนมกุฎประเทศคตามหาพุทธางกูร บรมบพิตรพระพุทธเจ้าอยู่หัว''" เนื่องจากพระปรมาภิไธยที่จารึกลงในพระสุพรรณบัฏนี้เป็นพระปรมาภิไธยเดียวกับพระมหากษัตริย์แห่งกรุงศรีอยุธยา 3 พระองค์ ได้แก่ สมเด็จพระรามาธิบดีที่ 1 (พระเจ้าอู่ทอง), สมเด็จพระรามาธิบดีที่ 2 (พระเชษฐา) และสมเด็จพระรามาธิบดีที่ 3 (สมเด็จพระนารายณ์มหาราช) ดังนั้น พระองค์จึงเป็น "สมเด็จพระรามาธิบดีที่ 4" ต่อมาพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัวโปรดให้ออกพระนามรัชกาลที่ 1 ว่า'''พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลก''' ตามนามของพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลก พระพุทธเลิศหล้านภาลัย|พระพุทธรูปที่ทรงสร้างอุทิศถวายโกวิท วงศ์สุรวัฒน์. '''การเมืองการปกครองไทย: หลายมิติ'''. หน้า 15. และพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวได้เพิ่มพระปรมาภิไธยแก่สมเด็จพระบรมอัยกาธิราชจารึกลงในพระสุพรรณบัฏว่า "''พระบาทสมเด็จพระปรโมรุราชามหาจักรีบรมนารถ นเรศวราชวิวัฒนวงศ์ ปฐมพงศาธิราชรามาธิบดินทร์ สยามพิชิตินทรวโรดม บรมนารถบพิตร พระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลก''"จุลลดา ภักดีภูมินทร์, http://www.sakulthai.com/DSakulcolumndetailsql.asp?stcolumnid=3545&stissueid=2622&stcolcatid=2&stauthorid=13 สร้อยพระนาม , สกุลไทย, ฉบับที่ 2622, ปีที่ 51, ประจำวันอังคารที่ 18 มกราคม 2548 หลังจากนั้น พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัวมีพระบรมราชโองการเฉลิมพระปรมาภิไธยอย่างสังเขปว่า '''พระบาทสมเด็จพระรามาธิบดีศรีสินทรมหาจักรีบรมนาถ พระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลก''' หรือ พระบาทสมเด็จพระรามาธิบดีที่ 1ราชกิจจานุเบกษา, http://www.ratchakitcha.soc.go.th/DATA/PDF/2459/A/212.PDF พระบรมราชโองการ ประกาศ เฉลิมพระปรมาภิไธย, เล่ม ๓๓, ตอน ๐ก, ๑๑ พฤศจิกายน พ.ศ. ๒๔๕๙, หน้า ๒๑๒ ในวาระการสถาปนากรุงรัตนโกสินทร์ครบรอบ 200 ปี รัฐบาลได้จัดงานสมโภชกรุงรัตนโกสินทร์ขึ้นเมื่อ พ.ศ. 2525 ในการนี้รัฐบาลและปวงชนชาวไทยพร้อมใจกันเฉลิมพระเกียรติพระองค์โดยถวายพระราชสมัญญา "มหาราช" ต่อท้ายพระปรมาภิไธย ออกพระนามว่า "'''พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช'''"ราชกิจจานุเบกษา, http://www.ratchakitcha.soc.go.th/DATA/PDF/2525/D/048/1.PDF หมายกำหนดการ ที่ ๔/๒๕๒๕ พระราชพิธีสมโภชกรุงรัตนโกสินทร์ ครบ ๒๐๐ ปี เมษายน พุทธศักราช ๒๕๒๕, เล่ม ๙๙, ตอน ๔๘ ง ฉบับพิเศษ, ๓ เมษายน พ.ศ. ๒๕๒๕, หน้า ๑ http://www.identity.opm.go.th/identity/king/show_content.asp?type_qry=48&king_code_qry=01&king_type_qry=1&lang=thai&cont_type=cere&menu_code=00000016 พระราชพิธีสมโภชกรุงรัตน์โกสินทร์ครบ ๒๐๐ ปี และพระราชพิธีสมโภชหลักเมือง , สำนักงานส่งเสริมสร้างเอกลักษณ์ของชาติ, เข้าถึงวันที่ 19 กันยายน พ.ศ. 2554 == พระราชลัญจกร == พระราชลัญจกรประจำรัชกาลที่ 1 เป็นตรางารูป "ปทุมอุณาโลม" หรือ "มหาอุณาโลม" หมายถึง ตาที่สามของพระศิวะ ซึ่งถือเป็นปฐมฤกษ์ในการตั้งพระบรมราชจักรีวงศ์ มีอักขระ "อุ" แบบอักษรขอมอยู่กลาง ล้อมรอบด้วยกลีบบัวอันเป็นดอกไม้ที่เป็นสิริมงคลในพุทธศาสนา ตราอุณาโลมที่ใช้ตีประทับบนเงินพดด้วงมีรูปร่างคล้ายสังข์ทักษิณาวรรต หรือ สังข์เวียนขวา มีลักษณะเป็นม้วนกลมคล้ายลักษณะความหมายของพระนามเดิมว่า "ด้วง" อยู่ในกรอบลายกนก เริ่มใช้เมื่อ พ.ศ. 2328 ในคราวพระราชพิธีบรมราชาภิเษกhttp://www.tv5.co.th/service/mod/heritage/king/lanjakorn/lanjakorn1.htm พระราชลัญจกรประจำรัชกาลที่ ๑ , หอมรดกไทย, เข้าถึงวันที่ 21 กันยายน พ.ศ. 2554http://www.lib.ru.ac.th/journal/kingseal-office.html พระราชลัญจกรประจำรัชกาล, สำนักหอสมุดกลาง มหาวิทยาลัยรามคำแหง, เข้าถึงวันที่ 21 กันยายน พ.ศ. 2554 == พระราชสันตติวงศ์ == * พระมเหสี เจ้าจอมมารดา และเจ้าจอม * พระราชโอรสและพระราชธิดา เมื่อครั้งที่ทรงดำรงตำแหน่งหลวงยกบัตรเมืองราชบุรี พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราชสมรสกับคุณนาค ธิดาของคหบดีใหญ่ในตระกูลบางช้าง (ดู ณ บางช้าง) โดยมีพระราชโอรสสองพระองค์หนีราชภัยมาตั้งถิ่นฐานที่แขวงบางช้าง เมืองราชบุรี (ปัจจุบันคือจังหวัดสมุทรสงคราม) ต่อมาเมื่อขึ้นครองราชย์ แม้จะมิได้โปรดให้สถาปนายกย่องขึ้นเป็นสมเด็จพระอัครมเหสีอย่างเป็นทางการก็ตาม แต่คนทั้งปวงก็เข้าใจว่าท่านผู้หญิงนาค เอกภรรยาดั้งเดิมนั้นเองที่อยู่ในฐานะสมเด็จพระอัครมเหสี จึงพากันขนานพระนามว่า สมเด็จพระพันวษา หรือสมเด็จพระพรรษา ตามอย่างการขนานพระนามสมเด็จพระอัครมเหสีตั้งแต่ครั้งกรุงศรีอยุธยา จนถึงรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัวจึงโปรดฯ ให้เฉลิมพระนามเป็น''สมเด็จพระอมรินทราบรมราชินี'' พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมีพระราชโอรส-ราชธิดา รวมทั้งสิ้น 42 พระองค์ โดยเป็นพระราชโอรสและพระราชธิดาที่ประสูติแต่สมเด็จพระพันวษา พระอัครมเหสี 10 พระองค์ === เรียงตามพระประสูติกาล === == ลำดับประวัติศาสตร์เหตุการณ์สำคัญ == ; พ.ศ. 2279 (นับแบบปัจจุบัน พ.ศ. 2280): * 20 มีนาคม '''พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช'''พระราชสมภพที่กรุงศรีอยุธยาในรัชสมัยพระเจ้าอยู่หัวบรมโกศ พระนามเดิม '''ทองด้วง''' ; พ.ศ. 2310: * 7 เมษายน อาณาจักรอยุธยา เสียกรุงครั้งที่ 2 ขณะนั้นทรงรับราชการเป็นหลวงยกกระบัตรเมืองราชบุรี ในรัชสมัยของสมเด็จพระเจ้าเอกทัศน์ ; พ.ศ. 2311: * ถวายตัวเข้ารับราชการเป็น พระราชวรินทร์และพระยาอภัยรณฤทธิ์ ในอาณาจักรธนบุรี ตามคำชักชวนของ สมเด็จพระบวรราชเจ้ามหาสุรสิงหนาท|พระมหามนตรี (บุญมา) พระอนุชา ; พ.ศ. 2317: * เลื่อนอิสริยยศเป็น '''เจ้าพระยาจักรี''' อันเป็นที่มาของชื่อราชวงศ์จักรี ที่สืบทอดจนถึงปัจจุบัน ; พ.ศ. 2319: * ทรงได้รับการเลื่อนอิสริยยศเป็น '''สมเด็จเจ้าพระยามหากษัตริย์ศึก''' พิฤกมหิมา ทุกนัครระอาเดช นเรศรราชสุริยวงษ์ องค์อรรคบาทมุลิกากร บวรรัตนบรินายก "เสมอที่เจ้าพระยามหาอุปราช" ;พ.ศ. 2325: * สมเด็จพระเจ้ากรุงธนบุรี เสด็จสวรรคต * ปราบดาภิเษกขึ้นครองราชย์เป็นพระมหากษัตริย์แห่งราชวงศ์จักรี * สถาปนากรุงรัตนโกสินทร์ เป็นราชธานี * โปรดให้สมเด็จพระบวรราชเจ้ามหาสุรสิงหนาท|สมเด็จพระอนุชาธิราชเถลิงพระราชมนเทียรที่''พระมหาอุปราช กรมพระราชวังบวรสถานมงคล'' * องเชียงสือ (ญวน) และนักองค์เอง (เขมร) ขอเข้าพึ่งพระบรมโพธิสมภาร * โปรดให้อาลักษณ์คัดนิทานอิหร่านราชธรรม ; พ.ศ. 2326: * กำหนดระเบียบการพระราชพิธีบรมราชาภิเษก * ทรงพระราชนิพนธ์บทละครเรื่องอุณรุท * เริ่มงานสร้างพระนคร ขุดคูเมืองทางฝั่งตะวันออก สร้างกำแพงและป้อมปราการรอบพระนคร * สร้างพระบรมมหาราชวังและวัดพระศรีรัตนศาสดาราม ; พ.ศ. 2327: * โปรดเกล้าฯ ให้อัญเชิญพระพุทธมหามณีรัตนปฏิมากร จากหอพระแก้วในพระราชวังเดิม แห่ข้ามมาประดิษฐาน ณ พระอุโบสถในพระราชวังใหม่ พระราชทานนามพระอารามว่า วัดพระศรีรัตนศาสดาราม * โปรดเกล้าฯ ให้สร้างเสาชิงช้า * สงครามเก้าทัพ พระเจ้าปดุง กษัตริย์พม่าทรงกรีธาทัพเข้ามาตีเมืองไทยตั้งแต่เหนือจดใต้ รวม 9 ทัพ กองทัพไทยตีกองทัพพม่าแตกพ่ายยับเยินไปทุกทัพ ; พ.ศ. 2328: * งานสร้างพระนครและปราสาทราชมณเฑียรสำเร็จเสร็จสิ้น * พระราชทานนามของราชธานีใหม่ ; พ.ศ. 2329: * สงครามรบพม่าที่ท่าดินแดง * ทรงพระราชนิพนธ์ นิราศรบพม่าท่าดินแดง * ประเทศโปรตุเกสขอเข้ามาเจริญพระราชไมตรี * สหราชอาณาจักรเช่าเกาะปีนัง จากพระยาไทรบุรี ; พ.ศ. 2330: * องเชียงสือเขียนหนังสือขอถวายบังคมลา ลอบหนีไปกู้บ้านเมือง * อัญเชิญพระพุทธสิหิงค์มาประดิษฐานภายในพระราชวังบวรสถานมงคล ; พ.ศ. 2331: * โปรดเกล้าฯ ให้สังคายนาพระไตรปิฎกครั้งที่เก้า ที่วัดมหาธาตุยุวราชรังสฤษฎิ์ ; พ.ศ. 2333: * องเชียงสือกู้บ้านเมืองสำเร็จและจัดต้นไม้เงิน ต้นไม้ทองมาถวาย ; พ.ศ. 2337: * ทรงอภิเษกให้นักองค์เองเป็นสมเด็จพระนารายณ์รามาธิบดี ไปครองประเทศกัมพูชา ; พ.ศ. 2338: * โปรดเกล้าฯ ให้ชำระพระราชพงศาวดาร ฉบับพันจันทนุมาศ (เจิม) * โปรดเกล้าฯ ให้สร้างพระมหาพิชัยราชรถ ; พ.ศ. 2339: * งานสมโภชพระบรมอัฐิสมเด็จพระปฐมบรมมหาชนก ; พ.ศ. 2340: * ทรงพระราชนิพนธ์บทละคร เรื่อง รามเกียรติ์ ; พ.ศ. 2342: * โปรดเกล้าฯ ให้สร้างเวชยันตราชรถ ; พ.ศ. 2344: * ฉลองวัดพระเชตุพนวิมลมังคลารามราชวรมหาวิหาร และวัดสระเกศราชวรมหาวิหาร * ฟื้นฟูการเล่นสักวา ; พ.ศ. 2345: * ราชาภิเษกจักรพรรดิซา ล็อง|พระเจ้าเวียดนามยาลอง (องเชียงสือ) ; พ.ศ. 2347: * โปรดเกล้าฯ ให้นักปราชญ์ ราชบัณฑิต ชำระกฎหมาย จัดเป็นกฎหมายตราสามดวงขึ้น ; พ.ศ. 2349: * ทรงอภิเษกให้นักองค์จันทร์เป็นสมเด็จพระอุทัยราชา ครองกรุงกัมพูชา ; พ.ศ. 2350: * เริ่มสร้างวัดสุทัศนเทพวรารามราชวรมหาวิหาร ; พ.ศ. 2352: * ได้ริเริ่มให้มีการสอนพระปริยัติธรรมในพระบรมมหาราชวัง ตลอดจนตามวังเจ้านายและบ้านเรือนของข้าราชการผู้ใหญ่ ทรงตรากฎหมายคณะสงฆ์ขึ้น เพื่อจัดระเบียบการปกครองของสงฆ์ให้เรียบร้อย โปรดเกล้าฯให้มีการสอบพระปริยัติธรรม * เสด็จสวรรคต == ในวัฒนธรรมสมัยนิยม == มีนักแสดงผู้รับบท พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช ได้แก่ * สมบัติ เมทะนี จากละครเรื่อง สงครามเก้าทัพ (ละครโทรทัศน์)|สงครามเก้าทัพ (2531) * ภูธฤทธิ์ พรหมบันดาล จากละครเรื่อง ฟ้าใหม่ (2547) และจากละครเรื่อง สายโลหิต (2561) * ธีรภัทร์ สัจจกุล จากละครเรื่อง ศรีอโยธยา (2560) == พงศาวลี == ahnentafel-compact5 |style=font-size: 90%; line-height: 110%; |border=1 |boxstyle=padding-top: 0; padding-bottom: 0; |boxstyle_1=background-color: #fcc; |boxstyle_2=background-color: #fb9; |boxstyle_3=background-color: #ffc; |boxstyle_4=background-color: #bfc; |boxstyle_5=background-color: #9fe; |1= 1. '''''' |2= 2. สมเด็จพระปฐมบรมมหาชนก |3= 3. พระอัครชายา (หยก) |4= 4. พระยาราชนิกูล (ทองคำ) |5= |6= |7= |8= 8. เจ้าพระยาวรวงษาธิราช (ขุนทอง) |9= |10= |11= |12= |13= |14= |15= |16= 16. เจ้าพระยาโกษาธิบดี (ปาน) |17= |18= |19= |20= |21= |22= |23= |24= |25= |26= |27= |28= |29= |30= |31= == แผนผัง == == ดูเพิ่ม == * รายพระนามพระมหากษัตริย์ไทย * พระปฐมวงศ์ในราชวงศ์จักรี == อ้างอิง == ; เชิงอรรถ ; บรรณานุกรม * * * http://topicstock.pantip.com/library/topicstock/K3765922/K3765922.html พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลก และพระราชสกุล ข้อความและความเห็นจากเว็บบอร์ดพันทิป หมวดหมู่:พระมหากษัตริย์ไทยในราชวงศ์จักรี หมวดหมู่:พระมหากษัตริย์ไทยในคริสต์ศตวรรษที่ 18 หมวดหมู่:พระมหากษัตริย์ไทยในคริสต์ศตวรรษที่ 19 หมวดหมู่:มหาราชแห่งประเทศไทย หมวดหมู่:รัชกาลที่ 1| หมวดหมู่:พระโอรสธิดาในสมเด็จพระปฐมบรมมหาชนก หมวดหมู่:เจ้าพระยาจักรี หมวดหมู่:ชาวไทยเชื้อสายจีน หมวดหมู่:ชาวไทยเชื้อสายมอญ หมวดหมู่:ขุนนางในสมัยกรุงศรีอยุธยา หมวดหมู่:ขุนนางในสมัยกรุงธนบุรี หมวดหมู่:พระกุลเชษฐ์ในราชวงศ์จักรี หมวดหมู่:พระมหากษัตริย์ผู้ทรงก่อตั้ง หมวดหมู่:ผู้ก่อตั้งเมืองชาวไทย หมวดหมู่:อาณาจักรรัตนโกสินทร์ หมวดหมู่:บุคคลในประวัติศาสตร์กรุงธนบุรี หมวดหมู่:บุคคลในประวัติศาสตร์ไทย พ.ศ. 2325–2411 หมวดหมู่:ผู้นำที่ได้อำนาจจากรัฐประหาร หมวดหมู่:สยามในคริสต์ทศวรรษ 1780
พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช
infobox royalty | title = พระสยามเทวมหามกุฏวิทยมหาราช | image = ไฟล์:Thomson, King Mongkut of Siam (crop).jpg | caption = พระบรมฉายาลักษณ์ พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ฉายโดย จอห์น ทอมสัน (ช่างภาพ)|จอห์น ทอมสัน | birth_style = | birth_date = | birth_place = พระราชวังเดิม จังหวัดธนบุรี|เมืองธนบุรี อาณาจักรรัตนโกสินทร์ | death_date = | death_place = พระอภิเนาว์นิเวศน์|พระที่นั่งภาณุมาศจำรูญ พระบรมมหาราชวัง จังหวัดพระนคร|เมืองพระนคร อาณาจักรรัตนโกสินทร์|ประเทศสยาม | succession = พระมหากษัตริย์ไทย|พระเจ้ากรุงสยาม | father = พระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย | mother = สมเด็จพระศรีสุริเยนทราบรมราชินี | spouse-type = พระภรรยาเจ้า | spouse = bulleted list | สมเด็จพระนางเจ้าโสมนัสวัฒนาวดี | สมเด็จพระเทพศิรินทราบรมราชินี | พระสัมพันธวงศ์เธอ พระองค์เจ้าพรรณราย | spouse 1 = รายพระนามและชื่อภรรยาในพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว|77 ท่าน | issue = พระราชสันตติวงศ์ในพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว|84 พระองค์ | dynasty = ราชวงศ์จักรี|จักรี | reign = 2 เมษายน พ.ศ. 2394 - 1 ตุลาคม พ.ศ. 2411 () | coronation = 15 พฤษภาคม พ.ศ. 2394 | predecessor = พระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว | successor = พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว | reg-type1 = | regent1 = พระบาทสมเด็จพระปิ่นเกล้าเจ้าอยู่หัว | reg-type3 = | regent3 = | reg-type4 = | regent4 = | temple name = วัดราชประดิษฐสถิตมหาสีมาราม | burial_date = พ.ศ. 2413 | burial_style = ถวายพระเพลิง | burial_place = พระเมรุมาศ ท้องสนามหลวง | ashes = พระวิมานทองกลาง บนพระที่นั่งจักรีมหาปราสาท | religion = เถรวาท |signature = King Mongkut (Rama IV) of Siam Signature (English).svg '''พระบาทสมเด็จพระปรเมนทรรามาธิบดีศรีสินทรมหามงกุฎ พระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว''' (18 ตุลาคม พ.ศ. 2347 – 1 ตุลาคม พ.ศ. 2411) เป็นพระมหากษัตริย์ไทย|พระมหากษัตริย์สยาม รัชกาลที่ 4 แห่งราชวงศ์จักรีและเป็นพระมหากษัตริย์รัชกาลที่ 48 ตามรายพระนามพระมหากษัตริย์ไทย|ประวัติศาสตร์ไทย มีพระนามเดิมว่า "เจ้าฟ้ามงกุฎ" เสด็จพระราชสมภพ ณ พระราชวังเดิม เมื่อวันพฤหัสบดี ขึ้น 14 ค่ำ เดือน 11 ปีชวด ตรงกับวันที่ 18 ตุลาคม พ.ศ. 2347 ในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราชอ. วิโรจน์ ไตรเพียร, 9 รัชกาลแห่งราชวงศ์จักรี, สำนักพิมพ์ คลังศึกษา,2543,หน้า 38-50 เป็นพระราชโอรสพระองค์ที่ 43 และเป็นลำดับที่ 2 ในพระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัยกับสมเด็จพระศรีสุริเยนทราบรมราชินี สยามรู้สึกถึงแรงกดดันจากลัทธิล่าอาณานิคม|การล่าอาณานิคมของชาติตะวันตกในรัชสมัยของพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ซึ่งพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวรับเอานวัตกรรมตะวันตกมาและริเริ่มพัฒนาประเทศของพระองค์ให้ทันสมัย ทั้งในด้านเทคโนโลยีและวัฒนธรรม จนทำให้พระองค์ได้รับพระสมัญญานามว่า "พระบิดาแห่งวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี" และพระองค์ยังทรงเป็น 1 ใน 8 สมเด็จพระบูรพกษัตริย์สยามที่ทรงเป็น “มหาราช” ในประเทศไทย พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวยังสถาปนาพระอนุชาของพระองค์ คือ เจ้าฟ้าจุฑามณี กรมขุนอิศเรศรังสรรค์ เป็นพระมหากษัตริย์พระองค์ที่ 2 โดยได้ประกอบพิธีบวรราชาภิเษกในปี พ.ศ. 2394 เป็นพระบาทสมเด็จพระปิ่นเกล้าเจ้าอยู่หัว โดยพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวมีพระราชดำรัสว่าพระบาทสมเด็จพระปิ่นเกล้าเจ้าอยู่หัวควรได้รับการถวายความเคารพเสมอด้วยพระองค์ (ดังที่สมเด็จพระนเรศวรมหาราชทรงกระทำกับพระอนุชาคือสมเด็จพระเอกาทศรถ เมื่อ พ.ศ. 2135) ในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว อำนาจของตระกูลบุนนาคมาถึงจุดสูงสุด กลายเป็นตระกูลขุนนางที่มีอำนาจสูงสุดในสยาม == พระราชประวัติ == === ขณะทรงพระเยาว์ === ไฟล์:จิตรกรรมฝาผนังแห่งวัดมหาพฤฒารามวรวิหาร.jpg|thumb|พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ขณะบวชเรียนจำพรรษา จิตรกรรมฝาผนัง ณ วัดมหาพฤฒารามวรวิหาร พระราชโอรสองค์ที่ 43 ในพระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย ที่พระราชสมภพแต่สมเด็จพระศรีสุริเยนทราบรมราชินี ทรงพระราชสมภพเมื่อวันพฤหัสบดี ขึ้น 14 ค่ำ เดือน 11 ปีชวด ฉศก จ.ศ. 1166 ซึ่งตรงกับวันที่ 18 ตุลาคม พ.ศ. 2347 ณ พระราชวังเดิม ซึ่งเป็นที่ประทับของสมเด็จพระราชบิดา เมื่อครั้งยังดำรงพระอิสริยยศเป็นสมเด็จพระเจ้าลูกยาเธอ เจ้าฟ้ากรมหลวงอิศรสุนทรพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว, หน้า ๔ โดยพระนามก่อนการมีพระราชพิธีลงสรงเฉลิมพระนามว่า "'''ทูลกระหม่อมฟ้าใหญ่'''" พระองค์มีพระเชษฐาและพระอนุชาร่วมพระราชมารดา รวมทั้งสิ้น 3 พระองค์ ได้แก่ สมเด็จเจ้าฟ้าชาย (สิ้นพระชนม์เมื่อประสูติ) สมเด็จฯ เจ้าฟ้ามงกุฎ และสมเด็จฯ เจ้าฟ้าจุฑามณี (ภายหลังได้รับการสถาปนาขึ้นเป็น พระบาทสมเด็จพระปิ่นเกล้าเจ้าอยู่หัว) พระองค์จึงเป็นสมเด็จพระเจ้าลูกยาเธอเจ้าฟ้าพระองค์แรกที่มีพระชนม์ในพระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัยหม่อมราชวงศ์แน่งน้อย ศักดิ์ศรี, หน้า ๑๕ เมื่อสมเด็จพระบรมชนกนาถเสด็จขึ้นครองสมบัติเป็นพระมหากษัตริย์รัชกาลที่ 2 แห่งพระบรมราชจักรีวงศ์แล้ว พระองค์ได้เสด็จเข้ามาอยู่ภายในพระบรมมหาราชวัง จนกระทั่ง พ.ศ. 2355 พระองค์มีพระชนมายุได้ 9 พรรษา จึงได้จัดการพระราชพิธีลงสรงเพื่อเฉลิมพระนามเจ้าฟ้าอย่างเป็นทางการ พระราชพิธีในครั้งนี้พระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัยมีพระราชดำริว่า พระราชพิธีโสกันต์เจ้าฟ้าได้ทำเป็นอย่างมีแบบแผนอยู่แล้ว แต่การพระราชพิธีลงสรงตั้งพระนามเจ้าฟ้าครั้งกรุงศรีอยุธยายังหาได้ทำเป็นแบบอย่างลงไม่พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว, หน้า ๘ รวมทั้ง ผู้ใหญ่ที่เคยเห็นพระราชพิธีดังกล่าวก็แก่ชราเกือบจะหมดตัวแล้ว เกรงว่าแบบแผนพระราชพิธีจะสูญไป พระองค์จึงทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้สมเด็จพระสัมพันธวงศ์เธอ เจ้าฟ้ากรมหลวงพิทักษ์มนตรี|สมเด็จเจ้าฟ้า กรมหลวงพิทักษมนตรีและเจ้าพระยาศรีธรรมาธิราช (บุญรอด บุณยรัตพันธุ์) เป็นผู้อำนวยการพระราชพิธีลงสรงในครั้งนี้เพื่อเป็นแบบแผนของพระราชพิธีลงสรงสำหรับครั้งต่อไป พระราชพิธีในครั้งนี้จึงนับเป็นพระราชพิธีลงสรงครั้งแรกในสมัยกรุงรัตนโกสินทร์ โดยทูลกระหม่อมฟ้าใหญ่ได้รับการเฉลิมพระนามตามพระสุพรรณบัฏว่า "'''สมเด็จพระเจ้าลูกยาเธอ เจ้าฟ้ามงกุฎ สมมุติเทวาวงษ์ พงษ์อิศรกระษัตริย์ ขัติยราชกุมาร'''" ในปี พ.ศ. 2359 พระองค์มีพระชนมายุครบ 13 พรรษา สมเด็จพระบรมชนกนาถมีพระราชดำรัสจัดให้ตั้งการพระราชพิธีโสกันต์ตามแบบอย่างพระราชพิธีโสกันต์เจ้าฟ้าที่มีมาแต่รัชสมัยพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช โดยได้สร้างเขาไกรลาสจำลองไว้บริเวณหน้าพระที่นั่งดุสิตมหาปราสาท พระองค์ทรงศึกษาอักษรสยามในสำนักสมเด็จพระพุทธโฆษาจารย์ (ขุน) วัดโมลีโลกยารามราชวรวิหาร ตั้งแต่เมื่อครั้งยังประทับ ณ พระราชวังเดิม นอกจากนี้ ยังทรงศึกษาวิชาคชกรรมกับเจ้าพระยาศรีธรรมาธิราช รวมทั้ง ทรงฝึกการใช้อาวุธต่าง ๆ ด้วยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว, หน้า ๙ === ผนวช === ไฟล์:Mongkut in the Sangha.jpeg|thumb|left|190px|พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวขณะทรงศีล เมื่อพระองค์มีพระชนมายุครบ 14 พรรษา จึงทรงออกผนวชเป็นสามเณร โดยมีการสมโภชที่พระที่นั่งอมรินทรวินิจฉัย แล้วแห่ไปผนวช ณ พระอุโบสถ วัดพระศรีรัตนศาสดาราม โดยมีสมเด็จพระอริยวงษญาณ (มี) เป็นพระอุปัชฌาย์และสมเด็จพระอริยวงษญาณ (สุก ญาณสังวร)|สมเด็จพระญาณสังวร (สุก) เป็นพระอาจารย์ หลังจากนั้นได้เสด็จไปประทับอยู่ ณ วัดมหาธาตุยุวราชรังสฤษฎิ์ราชวรมหาวิหาร ผนวชจนออกพรรษาแล้วจึงทรงลาผนวช รวมเป็นระยะเวลาประมาณ 7 เดือน เมื่อพระองค์ทรงพระเจริญวัยขึ้นแล้วพระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัยโปรดให้พระองค์เสด็จออกไปประทับ ณ พระราชวังเดิม เมื่อพระองค์มีพระชนมายุ 21 พรรษา จึงจะผนวชเป็นพระภิกษุ แต่ในระหว่างนั้นช้างสำคัญของบ้านเมืองถึง 2 ช้างได้แก่ พระยาเศวตไอยราและพระยาเศวตคชลักษณ์เกิดล้มลง รวมทั้งสมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ เจ้าฟ้ากรมหลวงเทพยวดี|สมเด็จพระเจ้าน้องนางเธอ เจ้าฟ้ากรมหลวงเทพวดี พระขนิษฐาในพระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัยสิ้นพระชนม์ ทำให้พระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัยไม่สำราญพระราชหฤทัย จึงไม่ได้จัดพิธีผนวชอย่างใหญ่โต โปรดให้มีเพียงพิธีอย่างย่อเท่านั้น โดยให้ผนวช ณ วัดพระศรีรัตนศาสดาราม โดยมีสมเด็จพระอริยวงษญาณ (ด่อน) เป็นพระอุปัชฌาย์ พระองค์ได้รับพระนามฉายาว่า "'''วชิรญาโณ'''"หม่อมราชวงศ์แน่งน้อย ศักดิ์ศรี, หน้า ๑๗ หรือ "'''วชิรญาณภิกขุ'''"http://www.rakbankerd.com/01_jam/thaiinfor/country_info/index.html?topic_id=258&db_file=&PHPSESSID=d8da65254ce367a44a53bb7b2613a7d3 พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว จากเวปไซต์รากฐานไทย ฐานข้อมูลเพื่อการพัฒนาประเทศ แล้วเสด็จไปประทับแรมที่วัดมหาธาตุ 3 วัน หลังจากนั้น จึงเสด็จไปจำพรรษาที่วัดราชาธิวาสราชวรวิหาร ซึ่งพระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัยเคยประทับอยู่เมื่อผนวช ในขณะที่ผนวชอยู่นั้น พระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัยเสด็จสวรรคต พระเจ้าลูกยาเธอ กรมหมื่นเจษฎาบดินทร์ พระราชโอรสพระองค์ใหญ่ในพระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัยเสด็จขึ้นครองราชย์สมบัติ พระองค์ทรงตัดสินพระทัยที่จะดำรงสมณเพศต่อไป ในระหว่างที่ผนวชอยู่นั้นได้เสด็จออกธุดงค์ไปยังหัวเมืองต่าง ๆ ทำให้ทรงคุ้นเคยกับสภาพความเป็นอยู่ของอาณาประชาราษฏร์อย่างแท้จริง พระองค์ทรงพระราชอุตสาหะวิริยะเรียนภาษาอังกฤษจนทรงเขียนได้ ตรัสได้ ทรงเป็นนักปราชญ์รอบรู้ ทำให้พระองค์ทรงมีความรอบรู้เท่าทันต่อเหตุการณ์ของโลกตะวันตกเป็นอย่างดี พระองค์ทรงผนวชตั้งแต่ปี พ.ศ. 2367 จนถึงลาผนวชเพื่อรับการขึ้นครองราชย์ เป็นเวลารวมที่บวชเป็นภิกษุทั้งสิ้น 27 พรรษา (ขณะนั้นพระชนมายุ 48 พรรษา) หมายเหตุ; เวลาที่ผนวชเป็นสามเณร 7 เดือน คณะธรรมยุติกนิกาย หลังจากการลาผนวชของพระวชิรญาณเถระยังคงเจริญรุ่งเรืองต่อไป เพราะได้พระมหากษัตริย์เป็นผู้อุปถัมภ์ และมีผู้นำที่เข้มแข็งคือ กรมหมื่นบวรรังษีสุริยพันธ์ ต่อมาได้รับการสถาปนาเป็นสมเด็จพระมหาสมณเจ้า กรมพระยาปวเรศวริยาลงกรณ์เป็นผู้ครองบังคับบัญชาคณะธรรมยุติกนิกาย === ครองราชย์ === ไฟล์:King Mongkut on his Throne.jpg|thumb|200px|left|พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ขณะประทับที่นั่ง เมื่อพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัวเสด็จสวรรคตในวันที่ 2 เมษายน พ.ศ. 2394 พระราชวงศ์และเสนาบดีมีมติเห็นชอบให้ถวายราชสมบัติแก่พระภิกษุเจ้าฟ้ามงกุฎ วชิรญาณเถระ จึงได้ให้สมเด็จเจ้าพระยาบรมมหาประยูรวงศ์ (ดิศ บุนนาค) ไปเฝ้าพระภิกษุเจ้าฟ้ามงกุฎ ณ วัดบวรนิเวศราชวรวิหาร แต่พระองค์ยังไม่ทรงลาผนวชและตรัสว่าต้องอัญเชิญพระบาทสมเด็จพระปิ่นเกล้าเจ้าอยู่หัว|สมเด็จพระเจ้าน้องยาเธอ เจ้าฟ้าจุฑามณี กรมขุนอิศเรศรังสรรค์ ขึ้นครองราชย์ด้วย เนื่องจากพระองค์เห็นว่าเป็นผู้ที่ควบคุมกำลังทหารเป็นอันมากได้ พระองค์ทรงลาผนวชเมื่อวันที่ 6 เมษายน ซึ่งตรงกับวันจักรี และทรงรับการบรมราชาภิเษกเมื่อวันที่ 15 พฤษภาคม ซึ่งตรงกับวันวิสาขบูชาของปีนั้น และทรงได้รับการเฉลิมพระปรมาภิไธยโดยย่อว่า '''พระบาทสมเด็จพระปรเมนทรมหามงกุฎฯ พระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว''' และมีพระนามเต็มตามจารึกในพระสุบรรณบัฏว่า "''พระบาทสมเด็จพระปรเมนทรมหามงกุฎสุทธิ สมมุติเทพยพงศวงศาดิศรกษัตริย์ วรขัตติยราชนิกโรดม จาตุรันตบรมมหาจักรพรรดิราชสังกาศ อุภโตสุชาติสังสุทธิเคราะหณี จักรีบรมนาถ อดิศวราชรามวรังกูร สุจริตมูลสุสาธิตอุกฤษฐวิบูลย บุรพาดูลยกฤษฎาภินิหารสุภาธิการรังสฤษดิ ธัญญลักษณ วิจิตรโสภาคสรรพางค์ มหาชโนตมางคประนตบาทบงกชยุคคล ประสิทธิสรรพสุภผลอุดม บรมสุขุมาลยมหาบุรุษยรัตน ศึกษาพิพัฒนสรรพโกศล สุวิสุทธิวิมลศุภศีลสมาจารย์ เพ็ชรญาณประภาไพโรจน์ อเนกโกฏิสาธุ คุณวิบุลยสันดาน ทิพยเทพวตาร ไพศาลเกียรติคุณอดุลยพิเศษ สรรพเทเวศรานุรักษ์เอกอัครมหาบุรุษ สุตพุทธมหากระวี ตรีปิฎกาทิโกศล วิมลปรีชามหาอุดมบัณฑิต สุนทรวิจิตรปฏิภาณ บริบูรณ์คุณสาร สัสยามาทิโลกยดิลก มหาปริวารนายกอนันต์ มหันตวรฤทธิเดช สรรพพิเศษ สิรินธรมหาชนนิกรสโมสรสมมติ ประสิทธิวรยศมโหดมบรมราชสมบัติ นพปดลเศวตฉัตราดิฉัตร สิริรัตโนปลักษณมหาบรมราชาภิเศกาภิษิต สรรพทศทิศวิชิตวิไชย สกลมไหศวรินมหาสยามินทร มเหศวรมหินทร มหาราชาวโรดม บรมนารถชาติอาชาวศรัย พุทธาทิไตรรัตนสรณารักษ์ อุกฤษฐศักดิอัครนเรศราธิบดี เมตตากรุณาสีตลหฤทัย อโนปมัยบุญการสกลไพศาลมหารัษฎาธิเบนทร ปรเมนทรธรรมมิกมหาราชาธิราช บรมนารถบรมบพิตร พระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว'' " ไฟล์:Arrival of the King of Siam at the Temple of Sleeping Idol Wellcome L0020127.jpg|thumb|เสด็จถึงวัดโพธิ์ ถ่ายโดย จอห์น ทอมสัน (ช่างภาพ)|จอห์น ทอมสันในปี พ.ศ. 2408 พร้อมกันนี้ พระองค์ทรงสถาปนาสมเด็จพระเจ้าน้องยาเธอ เจ้าฟ้าจุฑามณี กรมขุนอิศเรศรังสรรค์ ที่กรมพระราชวังบวรสถานมงคลมีพระราชพิธีบวรราชาภิเษกเมื่อวันที่ 25 พฤษภาคม และทรงรับพระบวรราชโองการ ให้พระเกียรติยศเสมอด้วยพระเจ้าแผ่นดินองค์ที่ 2 โดยได้รับการเฉลิมพระปรมาภิไธยว่า พระบาทสมเด็จพระปิ่นเกล้าเจ้าอยู่หัว ส่วนในฝ่ายสมณศักดิ์นั้น พระองค์ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ เลื่อนพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมหมื่นนุชิตชิโนรส โดยทรงตั้งพิธีมหาสมณุตมาภิเษกขึ้นเป็นสมเด็จพระมหาสมณเจ้า กรมพระปรมานุชิตชิโนรส|กรมสมเด็จพระปรมานุชิตชิโนรส ทรงสมณศักดิ์เป็นสมเด็จพระสังฆราชเมื่อวันที่ 1 สิงหาคม เป็นต้น === สวรรคต === ไฟล์:King Mongkut of Thailand.jpg|thumb|right|150px|พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ขณะประทับที่นั่ง เมื่อ พ.ศ. 2411 พระองค์ทรงคำนวณว่าจะสามารถเห็นสุริยุปราคาเต็มดวงได้ในประเทศสยาม ณ หมู่บ้านหว้ากอ ตำบลคลองวาฬ จังหวัดประจวบคีรีขันธ์ พระองค์จึงโปรดให้ตั้งพลับพลาเพื่อเสด็จพระราชดำเนินทอดพระเนตรสุริยุปราคาที่ตำบลหว้ากอ ซึ่งเมื่อถึงเวลาที่พระองค์ทรงคำนวณก็เกิดสุริยุปราคาเต็มดวงดังที่ทรงได้คำนวณไว้ พระองค์เสด็จประทับอยู่ที่หว้ากอเป็นระยะเวลาประมาณ 9 วัน จึงเสด็จกลับกรุงเทพมหานคร ภายหลังการเสด็จกลับมายังพระนคร พระองค์เริ่มมีพระอาการประชวรจับไข้และทรงทราบว่าพระอาการประชวรของพระองค์ในครั้งนี้คงจะไม่หาย วันที่ 22 กันยายน พ.ศ. 2411 พระองค์มีพระบรมราชโองการให้หา พระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระเทเวศร์วัชรินทร์|พระเจ้าน้องยาเธอ กรมหลวงเทเวศร์วัชรินทร์ ซึ่งเป็นพระราชวงศ์ผู้ใหญ่ที่มีพระชนมายุมากกว่าพระองค์อื่น ๆ พระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมหลวงวงศาธิราชสนิท|พระเจ้าน้องยาเธอ กรมหลวงวงศาธิราชสนิท ซึ่งเป็นพระราชวงศ์ผู้ใหญ่ในราชการ และสมเด็จเจ้าพระยาบรมมหาศรีสุริยวงศ์ (ช่วง บุนนาค)|เจ้าพระยาศรีสุริยวงศ์ (ช่วง บุนนาค) อัครเสนาบดีที่สมุหพระกลาโหม หัวหน้าข้าราชการทั้งปวง เข้าเฝ้าพร้อมกันที่พระแท่นบรรทม โดยพระองค์มีพระบรมราชโองการมอบพระราชกิจในการดูแลพระนครแก่ทั้ง 3 ท่าน หลังจากนั้น ในวันที่ 1 ตุลาคม พ.ศ. 2411 พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวมีพระราชดำรัสสั่งให้พระเจ้าน้องยาเธอ กรมหลวงวงศาธิราชสนิท เจ้าพระยาศรีสุริยวงศ์ (ช่วง บุนนาค) และเจ้าพระยาภูธราภัย (นุช บุณยรัตพันธุ์) ที่สมุหนายก เข้าเฝ้าฯ และมีพระราชดำรัสว่าจดหมายเหตุ ปลายรัชชกาลที่ 4 และต้นรัชชกาลที่ 5, พระนคร, โรงพิมพ์โสภณพิพรรฒธนากร, 2478 ไฟล์:The cremation pyre of the King's son (Brir ?) Wellcome L0020122.jpg|thumb|upright|พระเมรุมาศพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ในปี พ.ศ. 2413 พระองค์ตรัสขอให้ผู้ใหญ่ทั้ง 3 ท่านได้ช่วยกันดูแลบ้านเมืองต่อไป ให้ทูลพระเจ้าแผ่นดินองค์ใหม่เอาธุระรับฎีกาของราษฎรผู้มีทุกข์ร้อนดังที่พระองค์เคยปฏิบัติมา โดยไม่ทรงเอ่ยว่าจะให้ผู้ใดขึ้นครองราชย์แทนพระองค์ นอกจากนี้ พระองค์รับสั่งว่าเมื่อพระองค์ผนวชอยู่นั้น ทรงออกอุทานวาจาว่าวันใดเป็นวันพระราชสมภพก็อยากสวรรคตในวันนั้น โดยพระองค์พระราชสมภพในวันเพ็ญเดือน 11 ซึ่งเป็นวันมหาปวารณา เมื่อพระองค์จะสวรรคตก็ขอให้สวรรคตท่ามกลางสงฆ์ขณะที่พระสงฆ์กระทำวินัยกรรมมหาปวารณาหม่อมราชวงศ์แน่งน้อย ศักดิ์ศรี, หน้า ๑๖๗ ในเวลา 20.06 นาฬิกา พระองค์ทรงภาวนาอรหังสัมมาสัมพุทโธแล้วผ่อนอัสสาสะปัสสาสะ (ลมหายใจเข้า-ออก) เป็นครั้งคราว จนกระทั่ง เวลา 21.05 นาฬิกา เสด็จสวรรคต ณ พระอภิเนาว์นิเวศน์#พระที่นั่งภาณุมาศจำรูญ|พระที่นั่งภาณุมาศจำรูญ ภายในพระบรมมหาราชวัง สิริพระชนมพรรษา 65 พรรษา == พระมเหสี เจ้าจอม พระราชโอรส และ พระราชธิดา == * พระมเหสี เจ้าจอมมารดา และเจ้าจอม . * พระราชโอรสและพระราชธิดา == พระราชกรณียกิจ == === ด้านกฎหมาย === ไฟล์:King Mongkut and Prince Chulalongkorn.jpg|thumb|upright|left|สมเด็จเจ้าฟ้าจุฬาลงกรณ์ (ขวา) ยืนข้างพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวในเครื่องแบบทหารเรือ ในรัชสมัยของพระองค์ มีการลดภาษีอากร ลดหย่อนค่านา ยกเลิกการเก็บอากรตลาด เปลี่ยนเป็นเก็บภาษีโรงร้านเรือนแพจากผู้ค้าขายรายใหม่ ประกาศมิให้ตกข้าวแก่ชาวนา ออกพระราชบัญญัติกำหนดใช้ค่าที่ดินให้ราษฎรเมื่อมีการเวนคืน ออกประกาศเตือนราษฎรให้รอบคอบในการทำนิติกรรม ยังมีการออกกฎหมายสำคัญ คือกำหนดลักษณะของผู้ที่จะถูกขายเป็นทาสให้เป็นธรรมยิ่งขึ้น โปรดเกล้า ฯ ให้ยกเลิกกฎหมายเดิมที่ให้ สิทธิบิดา มารดา และสามีในการขายบุตรและภรรยา และตราพระราชบัญญัติใหม่ให้การซื้อขายทาส เป็นไปด้วยความยินยอมของเจ้าตัวที่จะถูกขายเป็นทาสเท่านั้นhttp://www.ratchakitcha.soc.go.th/RKJ/announce/history.htm พระราชประวัติ และพระราชกรณียกิจ ของพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว โดยสังเขป === ด้านวรรณคดีพุทธศาสนา === พระองค์ทรงเอาพระทัยใส่ทำนุบำรุงเป็นอย่างดี พระราชนิพนธ์ส่วนใหญ่เป็นประเภทร้อยแก้ว บทพระราชนิพนธ์ที่สำคัญ ได้แก่ * ชุมนุมพระบรมราโชบาย 4 หมวด คือ หมวดวรรณคดี โบราณคดี ธรรมคดี และตำรา * ตำนานเรื่อง พระแก้วมรกต เรื่องปฐมวงศ์ * ทรงริเริ่มให้มีการค้นคว้าศิลาจารึกในประเทศไทยขึ้นเป็นครั้งแรก คือ จารึกหลักที่ 1 ของพ่อขุนรามคำแหงและจารึกหลักที่ 4 ของพระยาลิไทย === ด้านพระพุทธศาสนา === พระองค์ทรงฟื้นฟูพระพุทธศาสนาให้รุ่งเรือง โดยทรงตั้งธรรมยุตติกาวงศ์ขึ้น เป็นนิกายใหม่ในพระพุทธศาสนา ที่มีความเคร่งครัดในพระธรรมวินัยและระเบียบแบบแผน ด้านพระพุทธศาสนา === ด้านความสัมพันธ์กับต่างประเทศ === ไฟล์:Bowring Treaty (TH Ver) 001.jpg|thumb|upright|right|ฉบับภาษาไทยของ 'สนธิสัญญามิตรภาพและการค้าระหว่างราชอาณาจักรสยามกับจักรวรรดิอังกฤษ' ฉบับภาษาไทย ลงวันที่ 18 เมษายน พ.ศ. 2398 หรือที่เรียกว่า สนธิสัญญาเบาว์ริง ด้วยเหตุที่ทรงสนพระทัยในวิทยาการตะวันตกมาตั้งแต่ก่อนขึ้นครองราชย์ จึงทรงคุ้นเคยกับชาวตะวันตกโดยเฉพาะอังกฤษเป็นอย่างมาก ทั้งยังเกี่ยวข้องกับเสนาบดีสกุลบุนนาคเช่นพระยาศรีสุริยวงศ์ (ช่วง บุนนาค) ผู้กราบบังคมทูลเชิญเสด็จขึ้นครองราชย์นั้นก็เป็นผู้สนิทสนมและนิยมอังกฤษ เช่นนี้ในรัชสมัยของพระองค์จึงเปิดความสัมพันธ์กับประเทศตะวันตกอย่างกว้างขวาง มีการทำสัญญากับต่างประเทศถึง 10 ประเทศ ทรงยึดนโยบาย "ผ่อนสั้น ผ่อนยาว" มาใช้กับประเทศมหาอำนาจเป็นพระองค์แรกในสมัยรัตนโกสินทร์ อันทำให้ไทยสามารถดำรงเอกราชอยู่ได้จนทุกวันนี้ พระองค์ได้ส่งคณะทูตไทยโดยมีพระยามนตรีสุริยวงศ์เป็นราชทูต เจ้าหมื่นสรรเพ็ชภักดีเป็นอุปทูต หมื่นมณเฑียรพิทักษ์เป็นตรีทูต นำพระราชสาส์นไปถวายสมเด็จพระราชินีนาถวิกตอเรียแห่งอังกฤษนับเป็นความคิดริเริ่มให้มีการเดินทางออกนอกประเทศได้ เนื่องจากแต่เดิมกฎหมายห้ามมิให้ เจ้านาย พระราชวงศ์ ข้าราชการผู้ใหญ่เดินทางออกจากพระนคร เว้นเสียแต่ไปในการสงครามกับกองทัพ พระองค์โปรดเกล้าให้ชาวต่างประเทศรับราชการเป็นกงสุลไทย เช่น เซอร์ จอห์น เบาริง อัครราชทูตของสมเด็จพระราชินีนาถวิกตอเรียแห่งสหราชอาณาจักร สมเด็จพระราชินีนาถวิกตอเรียแห่งประเทศอังกฤษ เข้ามาทำสนธิสัญญากับประเทศไทยเป็นชาติแรก เมื่อ พ.ศ. 2398 ได้พระราชทานบรรดาศักดิ์เป็น "พระยาสยามานุกูลกิจ สยามมิตรมหายศ" เป็นกงสุลไทยประจำกรุงลอนดอน === การรุกรานอินโดจีนของฝรั่งเศส === เมื่อราชสำนักเวียดนามตั้งตัวเป็นศัตรูต่อศาสนาคริสต์ ทำให้ฝรั่งเศสมีเหตุผลที่จะใช้กำลังทหารเข้าแทรกแทรงเวียดนามด้วยกำลังอาวุธ ท้ายที่สุดเวียดนามก็เสียภาคใต้แก่ฝรั่งเศสในวันที่ 9 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2402 รัฐบาลสยามค่อนข้างยินดีที่ฝรั่งเศสทำให้ภัยคุกคามต่อสยามจากเวียดนามกำลังจะหมดไป และปรารถนาที่กระชับไมตรีกับฝรั่งเศสในทันทีที่ฝรั่งเศสเข้าปกครองเวียดนามทั้งหมด อย่างไรก็ตาม ราชสำนักเวียดนามในกรุงฮานอยได้ส่งราชทูตลับมายังกรุงเทพ เพื่อเสนอยกบางส่วนของไซ่ง่อนให้สยาม แลกกับการที่สยามจะต้องให้เวียดนามเดินทัพผ่านเขมร(ซึ่งเป็นประเทศราชของสยาม)เพื่ออ้อมไปโจมตีฝรั่งเศสhttps://www.silpa-mag.com/club/art-and-culture/article_7929 พบหลักฐานใหม่ในปารีส จดหมายคิงมงกุฎถึงนโปเลียน “น่าสงสัย” ไกรฤกษ์ นานา. ''ศิลปวัฒนธรรม ฉบับ มีนาคม 2547'' แม้พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวจะไม่เห็นด้วย แต่เนื่องจากพวกขุนนางสยามสนับสนุนข้อเสนอดังกล่าวทำให้พระองค์ต้องยอมตาม ดังนั้นสยามจึงยกทัพเข้าประจำชายแดนด้านตะวันออกติดกับเวียดนาม และยื่นคำขาดว่า หากเวียดนามกระทำการใดที่เป็นการรุกรานเขมรแล้ว สยามจะบุกเวียดนามทันที ไฟล์:Jean-Leon Gerome 001.JPG|thumb|320px|ราชทูตสยามเข้าเฝ้าจักรพรรดินโปเลียนที่ 3 พ.ศ. 2404 รัฐบาลฝรั่งเศสมองว่าการกระทำดังกล่าวเป็น "นโยบายเหยียบเรือสองแคม" ของสยามเพ็ญศรี ดุ๊ก, ศ.ดร. ความสัมพันธ์ระหว่างประเทศไทย (สยาม) กับฝรั่งเศส. ราชบัณฑิตยสถาน, กรุงเทพฯ, ๒๕๓๙ คือวางตัวเป็นกลางระหว่างเวียดนามและฝรั่งเศส ส่วนกงสุลฝรั่งเศสก็เรียกร้องต่อรัฐบาลสยามเพื่อขอทำสนธิสัญญากับเขมรโดยตรง เนื่องจากเขมรมีพรมแดนร่วมกับไซ่ง่อนซึ่งอยู่ในบังคับของฝรั่งเศสแล้ว ขณะเดียวกัน สหรัฐและสหราชอาณาจักรบริเตนใหญ่และไอร์แลนด์|อังกฤษก็พยายามยุแยงให้สยามไม่ไว้วางใจฝรั่งเศส การที่รัฐบาลสยามเอาแน่เอานอนไม่ได้เช่นนี้ ทำให้รัฐบาลฝรั่งเศสมีความเห็นว่าฝรั่งเศสควรจะแสดงบทบาทเป็นรัฐในอารักขา|ผู้อารักขาอินโดจีนเสียเลย ดังนั้นรัฐบาลฝรั่งเศสจึงมีโทรเลขถึงรัฐบาลสยาม เรียกร้องสิทธิของฝรั่งเศสเหนือเขมรและเรียกร้องขอทำสนธิสัญญาโดยตรงกับเขมร โดยอ้างชัยชนะของตนในเวียดนามใต้ รัฐบาลสยามปฏิเสธในทันที เรียกร้องให้มีการเจรจากันที่กรุงเทพ ในระหว่างนี้สยามได้ชิงตัดหน้าฝรั่งเศสทำสนธิสัญญากับเขมรอย่างลับ ๆ ใน พ.ศ. 2406 มีเนื้อหาระบุว่าเขมรยอมรับอธิปไตยของสยามเหนือเขมร ในปีพ.ศ. 2410 รัฐบาลสยามทำสนธิสัญญากับฝรั่งเศส โดยสยามยกดินแดน 123,050 ตร.กม. พร้อมเกาะ 6 เกาะให้เป็นรัฐในอารักขา|ดินแดนในอารักขาของฝรั่งเศส และฝรั่งเศสก็รับรองว่าดินเขมรส่วนใน อันประกอบด้วย พระตะบอง เสียมราฐ ศรีโสภณ เป็นดินแดนในอธิปไตยของสยาม === ด้านการศึกษาศิลปวิทยา === ไฟล์:Wax model of King Rama IV.jpg|thumb|210px|พระบรมรูปประดิษฐาน ณ อาคารอุทยานวิทยาศาสตร์พระจอมเกล้า จังหวัดประจวบคีรีขันธ์ พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงเป็นนักดาราศาสตร์ไทย ทรงการคำนวณการเกิดสุริยุปราคาเต็มดวง 18 สิงหาคม พ.ศ. 2411|สุริยุปราคาเต็มดวงได้อย่างแม่นยำในวันที่ 18 สิงหาคม พ.ศ. 2411 ล่วงหน้า 2 ปีhttp://thaiastro.nectec.or.th/library/kingmongkut_bicentennial/kingmongkut_bicentennial.html ๒๐๐ ปี พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว พระบิดาแห่งวิทยาศาสตร์ไทย. และได้เสด็จพระราชดำเนินพร้อมเชิญทูตฝรั่งเศสและสิงคโปร์ทอดพระเนตรสุริยุปราคาครั้งนั้น นอกจากนี้ พระปรีชาสามารถของพระองค์ในด้านวิทยาศาสตร์นั้น ยังทำให้พระองค์ได้รับการยกย่องเป็นสมาชิกกิตติมศักดิ์ของสัตววิทยาสมาคมแห่งสหราชาอาณาจักรอีกด้วย วันที่ 14 เมษายน พ.ศ. 2525 รัฐบาลพลเอกเปรม ติณสูลานนท์ ประกาศยกย่องพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวเป็น "พระบิดาแห่งวิทยาศาสตร์ไทย" และอนุมัติให้วันที่ 18 สิงหาคมของทุกปีเป็นวันวิทยาศาสตร์แห่งชาติ ทรงใส่พระทัยกวดขันคนไทยให้ใช้ภาษาไทยให้ถูกต้อง ทรงสนับสนุนโรงเรียนของหมอสอนศาสนาที่เข้ามาเปิดกิจการในประเทศไทยเพื่อให้คนไทยได้เรียนรู้ภาษา อรรถคดี และวิทยาการของชาติตะวันตก ทรงพระกรุณาส่งข้าราชการระดับบริหารไปศึกษางานที่จำเป็น สำหรับราชการไทย ณ ต่างประเทศ ทรงพระกรุณาโปรดเกล้า ฯ จัดตั้งโรงอักษรพิมพการขึ้นในพระบรมมหาราชวัง ผลิตข่าวสารของทางราชการเผยแพร่ให้ราษฎรได้ทราบทั่วถึงกัน ใช้ชื่อว่า ราชกิจจานุเบกษา ซึ่งยังคงพิมพ์มาจนถึงปัจจุบัน ===ด้านโหราศาสตร์=== ไฟล์:King Mongkut Solar Eclipse Expedition.jpg|thumb|right|พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวและคณะดูสุริยุปราคา ทรงประทับอยู่กลางศาลา ณ ที่ประจวบคีรีขันธ์ นอกจากนี้แล้ว ยังทรงเป็นนักโหราศาสตร์อีกด้วย ทรงแต่งตำราทางโหราศาสตร์ที่เรียกว่า "เศษพระจอมเกล้า" ซึ่งเป็นอีกหนึ่งตำราที่ได้รับการยอมรับว่าแม่นยำ http://www.meemodo.com/PPk.html ตำราเศษพระจอมเกล้าฯ และทรงได้รับการยกย่องเชิดชูเกียรติว่าทรงเป็น "พระบิดาแห่งโหราศาสตร์ไทย" == เหตุการณ์สำคัญในสมัย == * '''พ.ศ. 2394''' โปรดเกล้าฯ ให้มีพระราชพิธีถือน้ำพระพิพัฒน์สัตยาสำหรับพระราชวงศ์ เสนาบดี ทหารและพลเรือนทั้งหลายต่างดื่มน้ำพระพิพัฒน์สัตยาทั่วทุกคน พระองค์มิได้มีพระราชประสงค์ให้ข้าราชบริพารซื่อสัตย์จงรักภักดีต่อพระองค์ฝ่ายเดียว แต่ทรงพระราชดำริว่าจะต้องทรงให้คำมั่นสัญญาต่อประชาชนของพระองค์ด้วยพระองค์จึงเป็นกษัตริย์พระองค์แรกที่เสวยน้ำพระพิพัฒน์สัตยา * '''พ.ศ. 2395''' มีเหตุการณ์สำคัญดังนี้ ** โปรดเกล้าฯ ให้ขุนนางไทย|ขุนนางสวมเสื้อเวลาเข้าเฝ้า ** ร้อยเอกอิมเปญ์ เข้ามาฝึกทหารแบบยุโรป ** คณะมิชชันนารี สอนภาษาอังกฤษ ในพระบรมมหาราชวัง ** ร้อยเอกโทมัส ยอร์ช น็อกซ์ เข้ามาเป็นครูฝึกทหารวังหน้า ** คณะมิชชันนารีอเมริกา เข้ามาสอนภาษา ** กองทัพไทยไปตีเมืองเชียงตุง * '''พ.ศ. 2396''' มีเหตุการณ์สำคัญดังนี้ ** โปรดเกล้าฯ ให้ใช้ “หมาย” แทนเงินตรา ** ไทยรบพม่าที่เมืองเชียงตุง ( เป็นสงครามครั้งสุดท้ายระหว่าง ไทย - พม่า ) * '''พ.ศ. 2398''' เซอร์ จอห์น เบาริง ขอเข้ามาเจริญพระราชไมตรี ทำสนธิสัญญาใหม่กับอังกฤษ * '''พ.ศ. 2399''' ทำสนธิสัญญาการทูตกับอเมริกาและฝรั่งเศส * '''พ.ศ. 2400''' มีเหตุการณ์สำคัญดั่งนี้ ** โปรดเกล้าฯ ให้ส่งทูตไปเจริญทางพระราชไมตรีกับประเทศอังกฤษ ** โปรดเกล้าฯ ให้สร้างเครื่องราชอิสริยาภรณ์ไทยขึ้นเป็นครั้งแรก เพื่อพระราชทานแก่พระบรมวงศานุวงศ์และข้าราชการเป็นบำเหน็จความดีความชอบ ** เริ่มสร้างกำปั่นเรือกลไฟ * '''พ.ศ. 2401''' โปรดเกล้าฯ ให้ตั้งโรงพิมพ์หลวงขึ้นในวัง เรียกว่า "โรงราชกิจจานุเบกษา" เพื่อออกราชกิจจานุเบกษาเสนอข่าวราชการเป็นครั้งแรก * '''พ.ศ. 2402''' โปรดเกล้าฯ ให้สร้างพระที่นั่งประพาสพิพิธภัณฑ์ และ อุทยานประวัติศาสตร์พระนครคีรี|พระราชวังนครคีรี * '''พ.ศ. 2403''' โปรดเกล้าฯ ให้สร้างสำนักกษาปณ์|โรงกษาปณ์ขึ้นที่หน้ากระทรวงการคลัง|พระคลังมหาสมบัติในพระบรมมหาราชวัง เพื่อผลิตเหรียญเงินราคาต่าง ๆ เพื่อใช้เป็นสิ่งแลกเปลี่ยนแทนเงินอย่างเก่าคือพดด้วง พระราชทานนามว่า "โรงกษาปณ์สิทธิการ"http://www.bot.or.th/BOTHomepage/BankAtWork/Payment/General/Thai_evolution.html วิวัฒนาการระบบการชำระเงินของไทย ธนาคารแห่งประเทศไทย นับเป็นโรงกษาปณ์แห่งแรกในประเทศไทย * '''พ.ศ. 2404''' มีเหตุการณ์สำคัญดังนี้ ** โปรดเกล้าฯ ให้ส่งทูตไปเจริญทางพระราชไมตรีกับประเทศฝรั่งเศส ** แรกมีสำนักงานตำรวจแห่งชาติ|ตำรวจพระนครบาล ** โปรดเกล้าฯ ให้ตัดถนนและขุดคลองให้เป็นทางสัญจรอย่างใหม่ สำหรับชาวไทยและชาวต่างประเทศเหมือนกับประเทศที่เจริญแล้วทางยุโรป เช่น การสร้างถนนเจริญกรุงเป็นสายแรก ถนนบำรุงเมือง ถนนเฟื่องนคร และ ถนนสีลม ส่วนคลองได้แก่ คลองผดุงกรุงเกษม คลองภาษีเจริญ คลองหัวลำโพง คลองมหาสวัสดิ์ และคลองดำเนินสะดวก เป็นต้น * '''พ.ศ. 2405''' นางแอนนา ลีโอโนเวนส์ เข้ามารับราชการเป็นครูสอนภาษาอังกฤษในพระราชสำนัก * '''พ.ศ. 2407''' สร้างวัดราชประดิษฐสถิตมหาสีมาราม * '''พ.ศ. 2408''' พระบาทสมเด็จพระปิ่นเกล้าเจ้าอยู่หัวเสด็จสวรรคต * '''พ.ศ. 2411''' มีเหตุการณ์สำคัญดังนี้ ** โปรดเกล้าฯ ให้ตั้งกรมเรือกลไฟ ** ทรงคำนวณว่าจะเกิดสุริยุปราคาเต็มดวงที่ตำบลหว้ากอ จังหวัดประจวบคีรีขันธ์ ** เสด็จสวรรคต == พระบรมราชอิสริยยศและพระเกียรติยศ == === พระบรมราชอิสริยยศ === * สมเด็จพระเจ้าหลานเธอ เจ้าฟ้าพระองค์ใหญ่ (18 ตุลาคม พ.ศ. 2347 - 8 มีนาคม พ.ศ. 2356) * สมเด็จพระเจ้าลูกยาเธอ เจ้าฟ้ามงกุฎสมมติเทววงศ์ พงศ์อิศวรกษัตริย์ วรขัตติยราชกุมาร (8 มีนาคม พ.ศ. 2356 - 21 กรกฎาคม พ.ศ. 2367) * สมเด็จพระเจ้าน้องยาเธอ เจ้าฟ้ามกุฎสมมติวงศ์ พระวชิรญาณมหาเถร (21 กรกฎาคม พ.ศ. 2367 - 15 พฤษภาคม พ.ศ. 2394) * พระบาทสมเด็จพระปรเมนทรมหามงกุฎ พระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว (15 พฤษภาคม พ.ศ. 2394 - 1 ตุลาคม พ.ศ.2411) '''''ภายหลังการสวรรคต''''' * พระบาทสมเด็จพระรามาธิบดีศรีสินทรมหามงกุฎ พระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว (11 พฤศจิกายน พ.ศ. 2459 - สมัยรัชกาลที่ 7) * พระบาทสมเด็จพระปรเมนทรมหามงกุฎ พระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว (สมัยรัชกาลที่ 7 - 18 ตุลาคม พ.ศ. 2562) * พระบาทสมเด็จพระปรเมนทรรามาธิบดีศรีสินทรมหามงกุฎ พระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว พระสยามเทวมหามกุฏวิทยมหาราช (18 ตุลาคม พ.ศ. 2562 - ปัจจุบัน) === พระราชลัญจกรประจำพระองค์ === ไฟล์:Privy Seal of King Rama IV (Mongkut).svg|200px|thumb|พระราชลัญจกรประจำพระองค์ '''พระราชลัญจกรประจำพระองค์พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าอยู่หัว''' ได้แก่ '''พระมหาพิชัยมงกุฎ''' หนึ่งในเครื่องเบญจราชกกุธภัณฑ์ ซึ่งการสร้างพระลัญจกรประจำพระองค์นั้น จะใช้แนวคิดมาจากพระบรมนามาภิไธยก่อนทรงราชย์ นั่นคือ "มงกุฎ" นั่นเอง โดยพระราชลัญจกรจะเป็นตรางา ลักษณะกลมรี ซึ่งประดิษฐานบนพานแว่นฟ้า 2 ชั้น มีฉัตรบริวารตั้งขนาบทั้ง 2 ข้าง ถัดออกไปจะมีพานแว่นฟ้า 2 ชั้น ทางด้านซ้ายวางสมุดตำรา ซึ่งแสดงถึงทรงมีความเชี่ยวชาญทางด้านอักษรศาสตร์และดาราศาสตร์ ส่วนทางด้านขวาวางพระแว่นสุริยกานต์ เพชร ซึ่งมาจากพระฉายาเมื่อพระองค์ผนวชว่า "วชิรญาณ" พระราชลัญจกรของพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวนั้น ยังได้ใช้เป็นแม่แบบของพระราชลัญจกรของพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวอีกด้วยhttp://www.lib.ru.ac.th/journal/kingseal-office.html สนเทศน่ารู้ : พระราชลัญจกรประจำรัชกาล, สำนักหอสมุดกลาง มหาวิทยาลัยรามคำแหง === เครื่องราชอิสริยาภรณ์ === ==== เครื่องราชอิสริยาภรณ์ไทย ==== * ดาราไอยราพต (เครื่องต้น) * ดาราไอยราพต (องค์รอง) ==== เครื่องอิสริยาภรณ์ต่างประเทศ ==== * จักรวรรดิฝรั่งเศสที่สอง|ฝรั่งเศส : ไฟล์:Legion Honneur GC ribbon.svg|80px เครื่องอิสริยาภรณ์เลฌียงดอเนอร์ ชั้นประถมาภรณ์ (พ.ศ. 2406) === พระราชสมัญญานาม === * พระบิดาแห่งวิทยาศาสตร์ไทยhttp://thaiastro.nectec.or.th/library/kingmongkut_bicentennial/kingmongkut_bicentennial.html ๒๐๐ ปี พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว พระบิดาแห่งวิทยาศาสตร์ไทย * พระสยามเทวมหามกุฏวิทยมหาราช ชั้นยศ *ไฟล์:RTA OF-10 (Field Marshal).svg|15px จอมพล *ไฟล์:RTN OF-10 (Admiral of the Fleet).svg|15px จอมพลเรือ *ไฟล์:RTAF OF-10 (Marshal of the Royal Thai Air Force).svg|15px จอมพลอากาศ == พงศาวลี == ahnentafel-compact5 | style = font-size: 90%; line-height: 110%; | border = 1 | boxstyle = padding-top: 0; padding-bottom: 0; | boxstyle_1 = background-color: #fcc; | boxstyle_2 = background-color: #fb9; | boxstyle_3 = background-color: #ffc; | boxstyle_4 = background-color: #bfc; | boxstyle_5 = background-color: #9fe; | 1 = 1. '''พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว''' | 2 = 2. พระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย | 3 = 3. สมเด็จพระศรีสุริเยนทราบรมราชินี | 4 = 4. พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช | 5 = 5. สมเด็จพระอมรินทราบรมราชินี | 6 = 6. เงิน แซ่ตัน | 7 = 7. สมเด็จพระเจ้าพี่นางเธอ เจ้าฟ้ากรมพระศรีสุดารักษ์ | 8 = 8. (= 14.) สมเด็จพระปฐมบรมมหาชนก | 9 = 9. (= 15.) พระอัครชายา (หยก) | 10 = 10. ทอง ณ บางช้าง|ทอง | 11 = 11. สมเด็จพระรูปศิริโสภาคย์มหานาคนารี | 12 = 12. เศรษฐีชาวฮกเกี้ยนแซ่ตัน | 13 = 13. น้องสาวของท่านผู้หญิงน้อยภรรยาของเจ้าพระยาชำนาญบริรักษ์ (อู่) | 14 = 14. (= 8.) สมเด็จพระปฐมบรมมหาชนก | 15 = 15. (= 9.) พระอัครชายา (หยก) | 16 = 16. (= 28.) พระยาราชนิกูล (ทองคำ) | 17 = | 18 = | 19 = | 20 = 20. พร | 21 = 21. ชี | 22 = | 23 = 23. ถี | 24 = | 25 = | 26 = | 27 = | 28 = 28. (= 16.) พระยาราชนิกูล (ทองคำ) | 29 = | 30 = | 31 = == แผนผัง == == ดูเพิ่ม == * รายพระนามพระมหากษัตริย์ไทย ==คลังภาพ== ไฟล์:Mongkut portrait.jpg|พระบรมสาทิสลักษณ์พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ณ พระที่นั่งจักรีมหาปราสาท พระบรมมหาราชวัง ไฟล์:ฉลองพระองค์พระจอมเกล้า.jpg|ฉลองพระองค์ จัดแสดง ณ พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติพระนคร ไฟล์:พระที่นั่งรัชกาลที่4.jpg|พระที่นั่งพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าฯจัดแสดง ณ พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติพระนคร ไฟล์:Monument of King Rama IV at Khon Kaen University.JPG|พระบรมราชานุสาวรีย์รัชกาลที่ 4 ณ ที่มหาวิทยาลัยขอนแก่น ไฟล์:พระบรมราชานุสาวรีย์ รัชกาลที่ 4 Statue of King Rama IV.jpg|พระบรมราชานุสาวรีย์รัชกาลที่ 4 ณ พระราชวังสราญรมย์ ไฟล์:เฉลิมพระเกียรติ รัชกาลที่ 4 (1).jpg|พระบรมฉายาลักษณ์รัชกาลที่ 4 ณ ผู้ใช้:Bntofficial/กระบะทราย|พิพิธภัณฑ์ เหรียญกษาปณานุรักษ์ == อ้างอิง == ; เชิงอรรถ ; หนังสือ * จุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว, พระบาทสมเด็จพระ, http://fulltext.car.chula.ac.th/toc.asp?dirid=I0038&dirname=เทศนาพระราชประวัติ%20พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว เทศนาพระราชประวัติพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว , ๒๕๐๕, ๑๖๐ หน้า * แน่งน้อย ศักดิ์ศรี,หม่อมราชวงศ์, พระอภิเนาว์นิเวศน์ พระราชนิเวศน์ในพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว, สำนักพิมพ์มติชน, 2549 ISBN 974-323-641-4 * เหตุการณ์สำคัญในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว จากบันทึกหลักฐานและเหตุการณ์สมัยกรุงเทพ, มานวสาร, ปีที่ ๑๔ ฉบับที่ ๑๒ ธันวาคม พ.ศ ๒๕๓๔ ถึง ปีที่ ๑๕ ฉบับที่ ๓ มีนาคม พ.ศ ๒๕๓๕ == แหล่งข้อมูลอื่น == หมวดหมู่:รัชกาลที่ 4| หมวดหมู่:พระมหากษัตริย์ไทยในราชวงศ์จักรี หมวดหมู่:พระมหากษัตริย์ไทยในคริสต์ศตวรรษที่ 19 หมวดหมู่:เจ้าฟ้าชาย หมวดหมู่:มหาราชแห่งประเทศไทย หมวดหมู่:พระราชโอรสในรัชกาลที่ 2 หมวดหมู่:นักดาราศาสตร์ชาวไทย หมวดหมู่:นักโหราศาสตร์ หมวดหมู่:เจ้าอาวาสวัดบวรนิเวศราชวรวิหาร หมวดหมู่:พระราชาคณะเจ้าคณะรอง หมวดหมู่:เปรียญธรรม 5 ประโยค หมวดหมู่:ผู้ได้รับเครื่องราชอิสริยาภรณ์ น.ร. หมวดหมู่:ผู้ได้รับเครื่องราชอิสริยาภรณ์ ป.ช. หมวดหมู่:ผู้ได้รับเครื่องอิสริยาภรณ์เลฌียงดอเนอร์ หมวดหมู่:บุคคลในประวัติศาสตร์ไทย พ.ศ. 2325–2411
พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว
infobox royalty | title = พระปิยมหาราช | image = King Chulalongkorn of Siam (PP-69-5-032).jpg | caption = พระบรมฉายาลักษณ์ พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว | name = | birth_style = | birth_date = | birth_place = พระที่นั่งสมมติเทวราชอุปบัติ พระบรมมหาราชวัง กรุงเทพพระมหานคร อาณาจักรรัตนโกสินทร์ (สมัยสมบูรณาญาสิทธิราชย์)|ประเทศสยาม | death_date = | death_place = พระที่นั่งอัมพรสถาน พระราชวังดุสิต จังหวัดพระนคร มณฑลกรุงเทพ อาณาจักรรัตนโกสินทร์ (สมัยสมบูรณาญาสิทธิราชย์)|ประเทศสยาม | burial_date = 16 มีนาคม พ.ศ. 2454 | burial_style = ถวายพระเพลิง | burial_place = พระเมรุมาศ ท้องสนามหลวง | regent = กรมพระราชวังบวรวิไชยชาญ | succession = พระมหากษัตริย์ไทย|สมเด็จพระเจ้ากรุงสยาม | father = พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว | mother = สมเด็จพระเทพศิรินทราบรมราชินี | spouse-type = อัครมเหสี | spouse = * สมเด็จพระนางเจ้าสุนันทากุมารีรัตน์ พระบรมราชเทวี * สมเด็จพระศรีสวรินทิราบรมราชเทวี พระพันวัสสาอัยยิกาเจ้า * สมเด็จพระศรีพัชรินทราบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง | issue = พระราชสันตติวงศ์ในพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว|97 พระองค์''ราชสกุลวงศ์'', หน้า 104 (เชิงอรรถ) | dynasty = ราชวงศ์จักรี|จักรี | reign = 1 ตุลาคม พ.ศ. 2411 – 23 ตุลาคม พ.ศ. 2453 () | coronation = | predecessor = พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว | successor = พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว | temple name = วัดราชบพิธสถิตมหาสีมารามราชวรวิหาร | regent1 = | regent2 = | regent3 = | buddharupa = ปางห้ามพระแก่นจันทน์|พระพุทธรูปปางห้ามพระแก่นจันทน์ | religion = เถรวาท | ashes = พระวิมานทองกลาง บนพระที่นั่งจักรีมหาปราสาท | signature = Signature of Chulalongkorn.svg | spouses-type = พระมเหสี-พระสนม | spouses = รายพระนามและชื่อภรรยาในพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว|5 พระองค์ 143 ท่าน | reg-type = | reg-type1 = | reg-type2 = | reg-type3 = | issue-link = #พระราชสันตติวงศ์##พระราชโอรสและพระราชธิดา | module = '''พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาจุฬาลงกรณ์ฯ พระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว''' (20 กันยายน พ.ศ. 2396 – 23 ตุลาคม พ.ศ. 2453) เป็นพระมหากษัตริย์ไทย|พระมหากษัตริย์สยาม รัชกาลที่ 5 แห่งราชวงศ์จักรีและเป็นพระมหากษัตริย์รัชกาลที่ 49 ตามรายพระนามพระมหากษัตริย์ไทย|ประวัติศาสตร์ไทย เสด็จพระราชสมภพเมื่อวันอังคาร แรม 3 ค่ำ เดือน 10 ปีฉลู เบญจศก จ.ศ. 1215 ตรงกับวันที่ 20 กันยายน พ.ศ. 2396 เป็นพระราชโอรสพระองค์ที่ 4 ในพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว และเป็นพระองค์ที่ 1 ในสมเด็จพระเทพศิรินทราบรมราชินี เสวยราชสมบัติเมื่อวันพฤหัสบดี ขึ้น 15 ค่ำ เดือน 11 ปีมะโรง พ.ศ. 2411 http://www.thairath.co.th/content/edu/121125 กก.ชำระประวัติศาสตร์ เผยหลักฐาน ร.5 ทรงครองราชย์ 42 ปี จากหนังสือพิมพ์ไทยรัฐ ฉบับวันที่ 23 ตุลาคม พ.ศ. 2553 เสด็จสวรรคต เมื่อวันอาทิตย์ แรม 4 ค่ำ เดือน 11 ปีจอ ตรงกับวันที่ 23 ตุลาคม พ.ศ. 2453 ด้วยโรคไต|โรคพระวักกะ พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงเป็น 1 ใน 8 สมเด็จพระบูรพมหากษัตริย์ผู้ยิ่งใหญ่ในประเทศไทย เนื่องจากรัชสมัยของพระองค์มีการปฏิรูปประเทศสยามให้ทันสมัย ​​การปฏิรูปการปกครองและสังคม การเสียดินแดนให้แก่อังกฤษและฝรั่งเศส เมื่อสยามถูกล้อมรอบด้วยจักรวรรดินิยมในเอเชีย|อาณานิคมของชาติตะวันตก พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวรักษาเอกราชของสยามด้วยพระบรมราโชบายและพระราชกรณียกิจของพระองค์ การปฏิรูปทั้งหมดของพระองค์ทุ่มเทเพื่อรักษาเอกราชของสยามเนื่องจากการคุกคามของมหาอำนาจตะวันตก พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวจึงได้รับพระสมัญญาเป็นพระปิยมหาราช == พระราชประวัติ == ไฟล์:Mongkut and Chulalongkorn ceremony 1.jpg|thumb|left|200px|พระราชพิธีโสกันต์สมเด็จเจ้าฟ้าจุฬาลงกรณ์ ภาพถ่ายโดยจอห์น ทอมสัน (ช่างภาพ)|จอห์น ทอมสัน ในปี พ.ศ. 2409 ไฟล์:King Mongkut and Prince Chulalongkorn.jpg|thumb|190px|สมเด็จเจ้าฟ้าจุฬาลงกรณ์ (ขวา) ยืนข้างพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวในเครื่องแบบทหารเรือ พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว เสด็จพระราชสมภพเมื่อวันอังคาร แรม 3 ค่ำ เดือน 10 ปีฉลู เบญจศก จ.ศ. 1215 (ตรงกับวันที่ 20 กันยายน พ.ศ. 2396) เพลาก่อนทุ่มหนึ่งบาตรหนึ่ง เป็นพระราชโอรสในพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ที่พระราชสมภพแต่สมเด็จพระเทพศิรินทราบรมราชินี|พระนางเธอ พระองค์เจ้ารำเพยภมราภิรมย์ (ในรัชกาลที่ 6 ได้มีการสถาปนาพระบรมอัฐิเป็นสมเด็จพระเทพศิรินทราบรมราชินี) ครั้งนั้นพระบรมวงศานุวงศ์เสนาบดีเข้าชื่อกันกราบบังคมทูลว่า ทุกวันนี้เจ้าฟ้าก็ไม่มีเหมือนแต่ก่อน ขอให้ยกขึ้นเป็นเจ้าฟ้าอย่างสมัยก่อน จึงพระราชทานพระนามว่า '''เจ้าฟ้าจุฬาลงกรณ์'''https://vajirayana.org/พระราชพงศาวดาร-กรุงรัตนโกสินทร์-รัชชกาลที่-๔/๓๑-สมเด็จพระนางรำเพยภมราภิรมย์ประสูติเจ้าฟ้าจุฬาลงกรณ์ พระราชพงศาวดาร กรุงรัตนโกสินทร์ รัชชกาลที่ ๔ : ๓๑. สมเด็จพระนางรำเพยภมราภิรมย์ประสูติเจ้าฟ้าจุฬาลงกรณ์ ถึงวันที่ 21 มีนาคม พ.ศ. 2404 จึงได้รับพระราชทานสุพรรณบัฏจารึกพระนามว่า '''สมเด็จพระเจ้าลูกยาเธอ เจ้าฟ้าจุฬาลงกรณ์ บดินทรเทพยมหามกุฎ บุรุษยรัตนราชรวิวงศ์ วรุตมพงศบริพัตร สิริวัฒนราชกุมาร''' แล้วโปรดเกล้าฯ ให้ตั้งเจ้ากรมเป็น''หมื่นพิฆเนศวรสุรสังกาศ''https://vajirayana.org/พระราชพงศาวดาร-กรุงรัตนโกสินทร์-รัชชกาลที่-๔/๑๐๘-พระราชพิธีรับพระสุพรรณบัฏ-สมเด็จพระเจ้าลูกยาเธอ-เจ้าฟ้าจุฬาลงกรณ์ พระราชพงศาวดาร กรุงรัตนโกสินทร์ รัชชกาลที่ ๔ : ๑๐๘. พระราชพิธีรับพระสุพรรณบัฏ สมเด็จพระเจ้าลูกยาเธอ เจ้าฟ้าจุฬาลงกรณ์ ซึ่งคำว่า "จุฬาลงกรณ์" นั้นแปลว่า เครื่องประดับผม อันหมายถึง "พระเกี้ยว" ที่มีรูปเป็นส่วนยอดของพระมหามงกุฎหรือยอดชฎา พระองค์มีพระขนิษฐาและพระอนุชาร่วมพระมารดารวม 3 พระองค์ ได้แก่ สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ เจ้าฟ้าจันทรมณฑล โสภณภควดี กรมหลวงวิสุทธิกระษัตริย์, สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ เจ้าฟ้าจาตุรนต์รัศมี กรมพระจักรพรรดิพงษ์ และสมเด็จพระราชปิตุลา บรมพงศาภิมุข เจ้าฟ้าภาณุรังษีสว่างวงศ์ กรมพระยาภาณุพันธุวงศ์วรเดช พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงได้รับการศึกษาเบื้องต้นในสำนักพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมหลวงวรเสรฐสุดา|พระเจ้าอัยยิกาเธอ กรมหลวงวรเสรฐสุดา ทรงได้รับการศึกษาด้านอักษรศาสตร์ ภาษาเขมรจากหลวงราชาภิรมย์ ทรงได้การศึกษาการยิงปืนไฟจากพระยาอภัยเพลิงศร ไฟล์:The Crown Prince of Siam, Bangkok, Siam (Thailand) Wellcome L0055528.jpg|thumb|192px|เจ้าฟ้าชายจุฬาลงกรณ์ กรมขุนพินิตประชานาถ วันพฤหัสบดีที่ 4 มกราคม พ.ศ. 2408 (นับแบบปัจจุบันเป็น พ.ศ. 2409) โปรดให้โสกันต์สมเด็จเจ้าฟ้าจุฬาลงกรณ์https://vajirayana.org/พระราชพงศาวดาร-กรุงรัตนโกสินทร์-รัชชกาลที่-๔/๑๖๑-โสกันต์สมเด็จพระเจ้าลูกยาเธอ-เจ้าฟ้าจุฬาลงกรณ์ พระราชพงศาวดาร กรุงรัตนโกสินทร์ รัชชกาลที่ ๔ : ๑๖๑. โสกันต์สมเด็จพระเจ้าลูกยาเธอ เจ้าฟ้าจุฬาลงกรณ์ แล้วผนวชเป็นสามเณร ณ พระอุโบสถวัดพระศรีรัตนศาสดาราม เมื่อวันพฤหัสบดีที่ 19 กรกฎาคม พ.ศ. 2409https://vajirayana.org/พระราชพงศาวดาร-กรุงรัตนโกสินทร์-รัชชกาลที่-๔/๑๖๕-สมเด็จพระเจ้าลูกยาเธอ-เจ้าฟ้าจุฬาลงกรณ์-ทรงพระผนวชสามเณร พระราชพงศาวดาร กรุงรัตนโกสินทร์ รัชชกาลที่ ๔ : ๑๖๕. สมเด็จพระเจ้าลูกยาเธอ เจ้าฟ้าจุฬาลงกรณ์ ทรงพระผนวชสามเณร ได้ถวายเทศนามหาชาติกัณฑ์สักรบรรพ ณ พระที่นั่งทรงธรรม เมื่อวันอังคารที่ 23 ตุลาคมhttps://vajirayana.org/พระราชพงศาวดาร-กรุงรัตนโกสินทร์-รัชชกาลที่-๔/๑๖๘-สมเด็จเจ้าฟ้าจุฬาลงกรณ์-ถวายเทศนามหาชาติ พระราชพงศาวดาร กรุงรัตนโกสินทร์ รัชชกาลที่ ๔ : ๑๖๘. สมเด็จเจ้าฟ้าจุฬาลงกรณ์ ถวายเทศนามหาชาติ ภายหลังจากการผนวช โปรดให้ตั้งพิธีเลื่อนสมเด็จเจ้าฟ้าจุฬาลงกรณ์ขึ้นเป็น '''กรมขุนพินิตประชานารถ''' เมื่อวันอาทิตย์ที่ 15 มีนาคม พ.ศ. 2410https://vajirayana.org/พระราชพงศาวดาร-กรุงรัตนโกสินทร์-รัชชกาลที่-๔/๑๙๕-ตั้งสมเด็จพระเจ้าลูกยาเธอ-เจ้าฟ้าจุฬาลงกรณ์-เป็นกรมขุนพินิตประชานา พระราชพงศาวดาร กรุงรัตนโกสินทร์ รัชชกาลที่ ๔ : ๑๙๕. ตั้งสมเด็จพระเจ้าลูกยาเธอ เจ้าฟ้าจุฬาลงกรณ์ เป็นกรมขุนพินิตประชานาถ (นับแบบปัจจุบันเป็น พ.ศ. 2411) โดยทรงกำกับราชการกรมมหาดเล็ก กรมพระคลังมหาสมบัติ และกรมทหารบกวังหน้าวุฒิชัย มูลศิลป์ และคณะ, พระมหากษัตริย์แห่งกรุงรัตนโกสินทร์, อัลฟ่า มิเล็นเนียม, ISBN 974-91048-5-4 === บรมราชาภิเษกครั้งที่ 1 === ไฟล์:Chulalongkorn first coronation.jpg|thumb|183px|พระราชพิธีบรมราชาภิเษก พุทธศักราช 2411 วันที่ 1 ตุลาคม พ.ศ. 2411 พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวเสด็จสวรรคตภายหลังเสด็จออกทอดพระเนตรสุริยุปราคา 18 สิงหาคม พ.ศ. 2411 โดยก่อนที่พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวจะสวรรคตนั้น ได้มีพระราชหัตถเลขาไว้ว่า "พระราชดำริทรงเห็นว่า เจ้านายซึ่งจะสืบพระราชวงศ์ต่อไปภายหน้า พระเจ้าน้องยาเธอก็ได้ พระเจ้าลูกยาเธอก็ได้ พระเจ้าหลานเธอก็ได้ ให้ท่านผู้หลักผู้ใหญ่ปรึกษากันจงพร้อม สุดแล้วแต่จะเห็นดีพร้อมกันเถิด ท่านผู้ใดมีปรีชาควรจะรักษาแผ่นดินได้ก็ให้เลือกดูตามสมควร" ดังนั้น เมื่อพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวเสด็จสวรคต จึงได้มีการประชุมปรึกษาเรื่องการถวายสิริราชสมบัติแด่พระเจ้าแผ่นดินพระองค์ใหม่ ซึ่งในที่ประชุมนั้นประกอบด้วยพระบรมวงศานุวงศ์ ข้าราชการชั้นผู้ใหญ่ และพระสงฆ์ โดยพระเจ้าน้องยาเธอ กรมหลวงเทเวศร์วัชรินทร์ ได้เสนอสมเด็จพระเจ้าลูกยาเธอ เจ้าฟ้าจุฬาลงกรณ์ กรมขุนพินิตประชานาถ พระราชโอรสพระองค์ใหญ่ในพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวขึ้นเป็นพระเจ้าแผ่นดิน ซึ่งที่ประชุมนั้นมีความเห็นพ้องเป็นเอกฉันท์ ดังนั้น พระองค์จึงได้รับการทูลเชิญให้ขึ้นครองราชสมบัติต่อจากสมเด็จพระราชบิดาแน่งน้อย ศักดิ์ศรี, หม่อมราชวงศ์, พระอภิเนาว์นิเวศน์ พระราชนิเวศน์ในพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว, สำนักพิมพ์มติชน, 2549 ISBN 974-323-641-4 โดยในขณะนั้น มีพระชนมายุเพียง 15 พรรษา ดังนั้น จึงได้แต่งตั้งสมเด็จเจ้าพระยาบรมมหาศรีสุริยวงศ์ (ช่วง บุนนาค) เป็นผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ จนกว่าพระองค์จะมีพระชนมพรรษาครบ 20 พรรษา โดยได้มีการจัดพระราชพิธีจารึกพระสุพรรณบัฏเมื่อวันพุธขึ้น 13 ค่ำ เดือน 12 ปีมะโรง จุลศักราช 1230 ตรงกับวันพุธที่ 28 ตุลาคม 2411 ต่อมาได้ทรงประกอบพระราชพิธีบรมราชาภิเษกครั้งแรก เมื่อวันพฤหัสบดีแรม 12 ค่ำ เดือน 12 ปีมะโรง จุลศักราช 1230 ตรงกับวันพฤหัสบดีที่ 11 พฤศจิกายน พ.ศ. 2411 โดยได้รับการเฉลิมพระปรมาภิไธยว่า '''พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาจุฬาลงกรณ์ฯ พระจุฬาลงกรณ์เกล้าเจ้าอยู่หัว''' โดยมีพระนามตามจารึกในพระสุบรรณบัฎว่า "พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาจุฬาลงกรณ์ บดินทรเทพยมหามงกุฏ บุรุษรัตนราชรวิวงศ วรุตมพงศบริพัตร์ วรขัติยราชนิกโรดม จาตุรันบรมมหาจักรพรรดิราชสังกาศ อุภโตสุชาติสังสุทธเคราะหณี จักรีบรมนาถ อดิศวรราชรามวรังกูร สุภาธิการรังสฤษดิ์ ธัญลักษณวิจิตรโสภาคยสรรพางค์ มหาชโนตมางคประนตบาทบงกชยุคล ประสิทธิสรรพศุภผลอุดม บรมสุขุมมาลย์ ทิพยเทพาวตารไพศาลเกียรติคุณอดุลยวิเศษ สรรพเทเวศรานุรักษ์ วิสิษฐศักดิ์สมญาพินิตประชานาถ เปรมกระมลขัติยราชประยูร มูลมุขราชดิลก มหาปริวารนายกอนันต มหันตวรฤทธิเดช สรรพวิเศษสิรินทร อเนกชนนิกรสโมสรสมมติ ประสิทธิ์วรยศมโหดมบรมราชสมบัติ นพปดลเศวตฉัตราดิฉัตร สิริรัตโนปลักษณมหาบรมราชาภิเษกาภิลิต สรรพทศทิศวิชิตชัย สกลมไหสวริยมหาสวามินทร์ มเหศวรมหินทร มหารามาธิราชวโรดม บรมนาถชาติอาชาวศรัย พุทธาทิไตยรัตนสรณารักษ์ อดุลยศักดิ์อรรคนเรศราธิบดี เมตตากรุณาสีตลหฤทัย อโนปมัยบุญการสกลไพศาล มหารัษฎาธิบดินทร ปรมินทรธรรมิกหาราชาธิราช บรมนาถบพิตร พระจุฬาลงกรณ์เกล้าเจ้าอยู่หัว" === ผนวชและบรมราชาภิเษกครั้งที่ 2 === ไฟล์:Chualongkorn Bhikkhu 1873.jpg|thumb|200px|พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวซึ่งทรงพระผนวชเป็นพระภิกษุจุฬาลงฺกรโณ ไฟล์:King Rama V crowned.jpg|thumb|right|200px|บรมราชาภิเษกครั้งที่สอง เมื่อพระองค์มีพระชนมายุครบ 20 พรรษาแล้ว เมื่อวันที่ 15 กันยายน พ.ศ. 2416 จึงผนวชเป็นพระภิกษุ ณ วัดพระศรีรัตนศาสดาราม แล้วเสด็จไปประทับ ณ วัดบวรนิเวศราชวรวิหารเป็นเวลา 15 วัน หลังจากทรงลาสิกขาแล้ว ได้มีการจัดพระราชพิธีบรมราชาภิเษกครั้งที่ 2 ขึ้น เมื่อวันที่ 16 พฤศจิกายน พ.ศ. 2416 โดยได้รับการเฉลิมพระปรมาภิไธยในครั้งนี้ว่า '''พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาจุฬาลงกรณ์ฯ พระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว''' มีพระนามตามจารึกในพระสุบรรณบัฎว่าhttp://www.ratchakitcha.soc.go.th/DATA/PDF/2451/009/206.PDF ประมวลกฎหมายลักษณะอาญา ร.ศ. ๑๒๗ "พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาจุฬาลงกรณ์ บดินทรเทพยมหามงกุฏ บุรุษยรัตนราชรวิวงศ์ วรุตมพงศบริพัตร วรขัติยราชนิกโรดม จาตุรันตบรมมหาจักรพรรดิราชสังกาศ อุภโตสุชาติสังสุทธเคราะหณี จักรีบรมนาถ มหามงกุฎราชวรางกูร สุจริตมูลสุสาธิต อรรคอุกฤษฏไพบูลย์ บุรพาดูลย์กฤษฎาภินิหาร สุภาธิการรังสฤษดิ์ ธัญลักษณวิจิตร โสภาคยสรรพางค์ มหาชโนตมางคประณต บาทบงกชยุคล ประสิทธิสรรพศุภผลอุดมบรมสุขุมมาลย์ ทิพยเทพาวตารไพศาลเกียรติคุณอดุลยพิเศษ สรรพเทเวศรานุรักษ์ วิสิษฐศักดิ์สมญาพินิตประชานาถ เปรมกระมลขัติยราชประยูร มูลมุขมาตยาภิรมย์ อุดมเดชาธิการ บริบูรณ์คุณสารสยามาทินครวรุตเมกราชดิลก มหาปริวารนายกอนันต์มหันตวรฤทธิเดช สรรพวิเศษสิรินธร อเนกชนนิกรสโมสรสมมติ ประสิทธิ์วรยศมโหดมบรมราชสมบัติ นพปฎลเศวตฉัตราดิฉัตร สิริรัตโนปลักษณมหาบรมราชาภิเษกาภิลิต สรรพทศทิศวิชิตชัย สกลมไหศวริยมหาสวามินทร์ มเหศวรมหินทรมหารามาธิราชวโรดม บรมนาถชาติอาชาวศรัย พุทธาทิไตรรัตนสรณารักษ์ อดุลยศักดิ์อรรคนเรศราธิบดี เมตตากรุณาสีตลหฤทัย อโนปมัยบุญการ สกลไพศาลมหารัษฎาธิบดินทร ปรมินทรธรรมิกหาราชาธิราช บรมนาถบพิตร พระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว" === สวรรคต === ไฟล์:Major Gold Funerary Urn of King Rama V atop Pra Thean Suwan Benjadol in Dusit Maha Prasat Hall.jpg|thumb|200px|พระโกศทองใหญ่ประดิษฐานพระบรมศพพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ณ พระที่นั่งดุสิตมหาปราสาท ในพระบรมมหาราชวัง พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวเสด็จสวรรคตด้วยโรคพระวักกะ (ไต) เมื่อวันที่ 23 ตุลาคม พ.ศ. 2453 เวลา 2.45 นาฬิกา ณ พระที่นั่งอัมพรสถาน พระราชวังดุสิต สิริพระชนมพรรษาได้ 57 พรรษาราชกิจจานุเบกษา, http://www.ratchakitcha.soc.go.th/DATA/PDF/2453/D/1782.PDF ข่าวสวรรคต พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว, เล่ม 27, ตอน 0ง, 30 ตุลาคม พ.ศ. 2453, หน้า 1782 นายแพทย์วิบูล วิจิตรวาทการ นักเขียนเชิงประวัติศาสตร์ ได้ให้ความเห็นระบุโรคที่เป็นไปได้ คือ โรคนิ่วในไต, โรคไตอักเสบ จากการติดเชื้อ และโรคไตชนิด Chronic Glomerulonephritis อันเกิดจากต่อมทอนซิลอักเสบฉับพลัน อย่างไรก็ตาม ไม่สามารถระบุได้ชัดเจนว่าเป็นโรคไตชนิดใด ทั้งนี้ รัฐบาลไทยได้จัดให้วันที่ 23 ตุลาคมของทุกปี เป็นวันปิยมหาราชและเป็นวันหยุดราชการ ไฟล์:Royal Crematorium of King Chulalongkorn (Rama V) 1911.jpg|thumb|216px|พระเมรุมาศทรงพระบรมศพ พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ณ มณฑลพิธีท้องสนามหลวง ก่อนสวรรคตเคยมีพระราชกระแสรับสั่งในพระราชหัตถเลขาว่าให้ยกเลิกการพระเมรุใหญ่เสีย ปลูกแต่ที่เผาพอสมควรในท้องสนามหลวงแล้วแต่จะเห็นสมควร พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงเคารพต่อพระราชประสงค์ จึงโปรดให้จัดการตามพระราชดำรินั้น == พระราชกรณียกิจ == ไฟล์:Chulalongkorn and Princes.jpg|thumb|left|พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวและพระราชโอรสบางส่วนที่วิทยาลัยอีตันในสหราชอาณาจักรในปี พ.ศ. 2450 พระราชกรณียกิจที่สำคัญของรัชกาลที่ 5 ได้แก่ ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้มีการเลิกทาสและไพร่ในประเทศไทย การป้องกันการเป็นอาณานิคมของจักรวรรดิฝรั่งเศสและจักรวรรดิอังกฤษ ได้มีการประกาศออกมาให้มีการนับถือศาสนาโดยอิสระในประเทศ โดยบุคคลศาสนาคริสต์และศาสนาอิสลามสามารถปฏิบัติศาสนกิจได้อย่างอิสระ นอกจากนี้ได้มีการนำระบบจากทางยุโรปมาใช้ในประเทศไทย ได้แก่ ระบบการใช้ธนบัตรและเหรียญบาท ใช้ระบบเขตการปกครองใหม่ เช่น มณฑลเทศาภิบาล จังหวัด และอำเภอ และได้มีการสร้างรถไฟสายแรก คือ กรุงเทพฯ ถึง อยุธยา ลงวันที่ 1 มีนาคม ร.ศ.109 ซึ่งตรงกับ พุทธศักราช 2433 นอกจากนี้ได้มีงาน#พระราชนิพนธ์|พระราชนิพนธ์ ที่สำคัญ การก่อตั้งการประปา การไฟฟ้า ไปรษณีย์โทรเลข โทรศัพท์ การสื่อสาร การรถไฟ ส่วนการคมนาคม ให้มีการขุดคลองหลายแห่ง เช่น คลองประเวศบุรีรมย์ คลองสำโรง คลองแสนแสบ คลองนครเนื่องเขต คลองรังสิตประยูรศักดิ์ คลองเปรมประชากร และ คลองทวีวัฒนา ยังทรงโปรดเกล้าฯ ให้ขุดคลองส่งน้ำประปา จากเชียงราก สู่สามเสน อำเภอดุสิต จังหวัดพระนคร ซึ่งคลองนี้ส่งน้ำจากแหล่งน้ำดิบเชียงราก ผ่านอำเภอสามโคก อำเภอเมืองปทุมธานี อำเภอคลองหลวง อำเภอธัญบุรีและอำเภอลำลูกกา จังหวัดปทุมธานี, อำเภอปากเกร็ด และ อำเภอเมืองนนทบุรี จังหวัดนนทบุรี และ เขตสายไหม เขตบางเขน เขตดอนเมือง เขตหลักสี่ เขตจตุจักร เขตบางซื่อ เขตดุสิต เขตพญาไท และ เขตราชเทวี กรุงเทพมหานคร พระราชกรณียกิจด้านสังคม ทรงยกเลิกระบบไพร่ โดยให้ไพร่เสียเงินแทนการถูกเกณฑ์ นับเป็นการเกิดระบบทหารอาชีพในประเทศไทย นอกจากนี้ พระองค์ยังทรงเลิกทาสแบบค่อยเป็นค่อยไป เริ่มจากออกกฎหมายให้ลูกทาสอายุครบ 20 ปีเป็นอิสระ จนกระทั่งออกพระราชบัญญัติเลิกทาส ร.ศ. 124 (พ.ศ. 2448) ซึ่งปล่อยทาสทุกคนให้เป็นอิสระและห้ามมีการซื้อขายทาสโกวิท วงศ์สุรวัฒน์. '''การเมืองการปกครองไทย: หลายมิติ'''. หน้า 43-44. === การปฏิรูปการปกครอง === พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงตระหนักถึงการคุกคามจากจักรวรรดินิยมตะวันตกที่มีต่อประเทศในแถบเอเชีย โดยมักอ้างความชอบธรรมในการเข้ายึดครองดินแดนแถบนี้ว่าเป็นการทำให้บ้านเมืองเจริญก้าวหน้าอันเป็น "ภาระของคนขาว"โกวิท วงศ์สุรวัฒน์. '''การเมืองการปกครองไทย: หลายมิติ'''. หน้า 34. ทำให้ต้องทรงปฏิรูปบ้านเมืองให้ทันสมัย โดยพระราชกรณียกิจดังกล่าวเริ่มขึ้นตั้งแต่ พ.ศ. 2416 ประการแรก ทรงตั้งสภาที่ปรึกษาขึ้นมาสองสภา ได้แก่ คณะกรรมการกฤษฎีกา (ประเทศไทย)|สภาที่ปรึกษาราชการแผ่นดิน (เคาน์ซิลออฟสเตต) และสภาที่ปรึกษาในพระองค์ (ปรีวีเคาน์ซิล) ในปี พ.ศ. 2417 และทรงตั้งขุนนางระดับพระยา 12 นายเป็น "เคาน์ซิลลอร์" ให้มีอำนาจขัดขวางหรือคัดค้านพระราชดำริได้ และทรงตั้งพระราชวงศานุวงศ์ 13 พระองค์ และขุนนางอีก 36 นาย ช่วยถวายความคิดเห็นหรือเป็นกรรมการดำเนินการต่าง ๆ แต่สมเด็จเจ้าพระยาบรมมหาศรีสุริยวงศ์ (ช่วง บุนนาค) ขุนนางสกุลบุนนาค และกรมพระราชวังบวรวิไชยชาญ เห็นว่าสภาที่ปรึกษาเป็นความพยายามดึงพระราชอำนาจของพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ทำให้เกิดความขัดแย้งที่เรียกว่า วิกฤตการณ์วังหน้าโกวิท วงศ์สุรวัฒน์. '''การเมืองการปกครองไทย: หลายมิติ'''. หน้า 35-36. วิกฤตการณ์ดังกล่าวทำให้การปฏิรูปการปกครองชะงักลงกระทั่ง พ.ศ. 2428 พ.ศ. 2427 ทรงปรึกษากับพระวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าปฤษฎางค์ อัครราชทูตไทยประจำอังกฤษ ซึ่งพระองค์เจ้าปฤษฎางค์ พร้อมเจ้านายและข้าราชการ 11 นาย ได้กราบทูลเสนอให้เปลี่ยนแปลงการปกครองเป็นแบบราชาธิปไตยภายใต้รัฐธรรมนูญ แต่พระองค์ทรงเห็นว่ายังไม่พร้อม แต่ก็โปรดให้ทรงศึกษารูปแบบการปกครองแบบประเทศตะวันตก และ พ.ศ. 2431 ทรงเริ่มทดลองแบ่งงานการปกครองออกเป็น 12 กรม (เทียบเท่ากระทรวง) โกวิท วงศ์สุรวัฒน์. '''การเมืองการปกครองไทย: หลายมิติ'''. หน้า 36-37. พ.ศ. 2431 ทรงตั้ง "เสนาบดีสภา" หรือ "ลูกขุน ณ ศาลา" ขึ้นเป็นฝ่ายบริหาร ต่อมา ใน พ.ศ. 2435 ได้ตั้งองคมนตรีสภา เดิมเรียกสภาที่ปรึกษาในพระองค์ เพื่อวินิจฉัยและทำงานให้สำเร็จ และรัฐมนตรีสภา หรือ "ลูกขุน ณ ศาลาหลวง" ขึ้นเพื้อปรึกษาราชการแผ่นดินที่เกี่ยวกับกฎหมาย นอกจากนี้ยังทรงจัดให้มี "การชุมนุมเสนาบดี" อันเป็นการประชุมปรึกษาราชการที่มุขกระสัน พระที่นั่งดุสิตมหาปราสาทโกวิท วงศ์สุรวัฒน์. '''การเมืองการปกครองไทย: หลายมิติ'''. หน้า 37. ด้วยความพอพระทัยในผลการดำเนินงานของกรมทั้งสิบสองที่ได้ทรงตั้งไว้เมื่อ พ.ศ. 2431 แล้ว พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวจึงทรงประกาศตั้งกระทรวงขึ้นอย่างเป็นทางการจำนวน 12 กระทรวง เมื่อวันที่ 1 เมษายน พ.ศ. 2435 อันประกอบด้วย # กระทรวงมหาดไทย รับผิดชอบงานที่เดิมเป็นของสมุหนายก ดูแลกิจการพลเรือนทั้งหมดและบังคับบัญชาหัวเมืองฝ่ายเหนือและชายทะเลตะวันออก # กระทรวงนครบาล รับผิดชอบกิจการในพระนคร # กระทรวงโยธาธิการ รับผิดชอบการก่อสร้าง # กระทรวงธรรมการ ดูแลการศาสนาและการศึกษา # กระทรวงเกษตรพานิชการ รับผิดชอบงานที่ในปัจจุบันเป็นของกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ (ประเทศไทย)|กระทรวงเกษตรและสหกรณ์และกระทรวงพาณิชย์ (ประเทศไทย)|กระทรวงพาณิชย์ # กระทรวงยุติธรรม ดูแลเรื่องตุลาการ # กระทรวงมรุธาธร ดูแลเครื่องราชูปโภคของพระมหากษัตริย์ # กระทรวงยุทธนาธิการ รับผิดชอบปฏิบัติการการทหารสมัยใหม่ตามแบบยุโรป # กระทรวงพระคลังสมบัติ รับผิดชอบงานที่ในปัจจุบันเป็นของกระทรวงการคลัง (ประเทศไทย)|กระทรวงการคลัง # กระทรวงการต่างประเทศ (กรมท่า) รับผิดชอบการต่างประเทศ # กระทรวงกลาโหม รับผิดชอบกิจการทหาร และบังคับบัญชาหัวเมืองฝ่ายใต้ # กระทรวงวัง รับผิดชอบกิจการพระมหากษัตริย์โกวิท วงศ์สุรวัฒน์. '''การเมืองการปกครองไทย: หลายมิติ'''. หน้า 38-39. หลังจากวิกฤตการณ์ ร.ศ. 112 (พ.ศ. 2436) ทรงให้กระทรวงมหาดไทยรับผิดชอบกิจการพลเรือนเพียงอย่างเดียว และให้กระทรวงกลาโหมรับผิดชอบกิจการทหารเพียงอย่างเดียว ยุบกรม 2 กรม ได้แก่ กรมยุทธนาธิการ โดยรวมเข้ากับกระทรวงกลาโหม และกรมมรุธาธร โดยรวมเข้ากับกระทรวงวัง และเปลี่ยนชื่อกระทรวงเกษตรพานิชการ เป็น กระทรวงเกษตราธิการ ด้านการปกครองส่วนภูมิภาค มีการรวมอำนาจเข้าสู่ศูนย์กลาง ทำให้ไทยกลายมาเป็นรัฐชาติสมัยใหม่โกวิท วงศ์สุรวัฒน์. '''การเมืองการปกครองไทย: หลายมิติ'''. หน้า 40. โดยการลดอำนาจเจ้าเมือง และนำข้าราชการส่วนกลางไปประจำแทน ทรงทำให้นครเชียงใหม่ (พ.ศ. 2317–2442) รวมเข้าเป็นส่วนหนึ่งของสยาม ตลอดจนทรงแต่งตั้งให้พระเจ้าบรมวงศ์เธอ พระองค์เจ้าทองกองก้อนใหญ่ กรมหลวงประจักษ์ศิลปาคม|พระเจ้าน้องยาเธอ กรมหมื่นประจักษ์ศิลปาคม ไปประจำที่อุดรธานี เป็นจุดเริ่มต้นของการปกครองแบบเทศาภิบาลโกวิท วงศ์สุรวัฒน์. '''การเมืองการปกครองไทย: หลายมิติ'''. หน้า 41. พ.ศ. 2437 ทรงกำหนดให้เทศาภิบาลขึ้นกับกระทรวงมหาดไทย ยกเลิกระบบกินเมือง และระบบหัวเมืองแบบเก่า (ได้แก่ หัวเมืองชั้นใน ชั้นนอก และเมืองประเทศราช) จัดเป็นมณฑล เมือง อำเภอ หมู่บ้าน ออกพระราชกำหนดสุขาภิบาลกรุงเทพฯ ร.ศ.116 (พ.ศ. 2440) จัดตั้งสุขาภิบาลกรุงเทพ สุขาภิบาลแห่งแรกของประเทศ ขึ้นกับกระทรวงนครบาล ระบบเทศาภิบาลดังกล่าวทำให้สยามกลายเป็นรัฐชาติที่มั่นคง มีเขตแดนที่ชัดเจนแน่นอน นับเป็นการรักษาเอกราชของประเทศ และทำให้ราษฎรมีคุณภาพชีวิตดีขึ้นโกวิท วงศ์สุรวัฒน์. '''การเมืองการปกครองไทย: หลายมิติ'''. หน้า 42. พระองค์ยังได้ส่งเจ้านายหลายพระองค์ไปศึกษาในทวีปยุโรป เพื่อมาดำรงตำแหน่งสำคัญในการปกครองที่ได้รับการปฏิรูปใหม่นี้ และทรงจ้างชาวต่างประเทศมารับราชการในตำแหน่งที่คนไทยยังไม่เชี่ยวชาญ ทรงตั้งสุขาภิบาลท่าฉลอม เป็นสุขาภิบาลหัวเมืองแห่งแรกของประเทศ วันที่ 18 มีนาคม พ.ศ. 2448 (ร.ศ.124) ถือเป็นการเริ่มต้นการกระจายอำนาจสู่ท้องถิ่นและเริ่มต้นการปกครองส่วนท้องถิ่งครั้งแรก วันที่ 18 มีนาคม ทุกปีจึงเป็นวันท้องถิ่นไทย และออกพระราชบัญญัติสุขาภิบาลหัวเมือง ร.ศ. 127 (พ.ศ. 2451) และจัดตั้งสุขาภิบาลเพิ่มขึ้นอีก 13 แห่งหลังจากนั้น โกวิท วงศ์สุรวัฒน์. '''การเมืองการปกครองไทย: หลายมิติ'''. หน้า 43. === การเสด็จประพาสต้นและประพาสหัวเมือง === ไฟล์:Chulalongkorn cooking.jpg|thumb|242x242px|พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงประกอบอาหารด้วยพระองค์เอง เส้นทางเสด็จประพาสต้นครั้งแรกเมื่อ พ.ศ. 2447 ระหว่างวันที่ 14 กรกฎาคม ถึงวันที่ 7 สิงหาคม เป็นเวลา 25 วันเป็นการเสด็จทางเรือจากบางปะอินล่องมาตามแม่น้ำเจ้าพระยา ผ่านเมืองนนทบุรี เข้าคลองบางกอกใหญ่ คลองภาษีเจริญ ฝั่งธนบุรี แล้วเสด็จฯ เข้าคลองดำเนินสะดวกเมืองราชบุรี ผ่านแม่น้ำแม่กลองไปเมืองเพชรบุรี เสด็จประพาสทางทะเล แวะเมืองสมุทรสงคราม ไปเมืองสมุทรสาคร ไปเมืองสุพรรณบุรีhttp://www.thaistudies.chula.ac.th/2019/01/04/พระมหากษัตริย์-ข้าราชกา/ พระมหากษัตริย์ ข้าราชการ และประชาชน: มุมมองผ่านการเสด็จประพาสต้นคราวแรกของพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ไทยศึกษา January 04, 2019 === การเสด็จประพาสสิงคโปร์ ชวา พม่าและอินเดีย === พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวเสด็จประพาสต่างประเทศครั้งแรกที่สิงคโปร์และจาการ์ตา|ปัตตาเวีย ตามคำแนะนำของมิสเตอร์น็อกซ์ (Knox) กงสุลอังกฤษ ที่เสนอสมเด็จเจ้าพระยาบรมมหาศรีสุริยวงศ์ (ช่วง บุนนาค)|เจ้าพระยาศรีสุริยวงศ์ในการจัดการศึกษาวิธีการปกครองถวายแด่รัชกาลที่ 5 โดยให้เสด็จทอดพระเนตรเมืองสิงคโปร์ซึ่งเป็นอาณานิคมอังกฤษ เมืองปัตตาเวียและเมืองเสมารังซึ่งเป็นอาณานิคมฮอลันดา เพื่อศึกษาวิธีการปกครองตามแบบอย่างของอังกฤษ และศึกษาความเจริญทางด้านเศรษฐกิจและสังคมแบบตะวันตกเพื่อนำมาใช้ปฏิรูปประเทศไทยให้ทันสมัยhttps://www.silpa-mag.com/history/article_63274 อาณานิคมในสายพระเนตร ร. 5 ? การเสด็จฯ สิงคโปร์-ปัตตาเวีย-พม่า-อินเดีย ศิลปวัฒนธรรม สืบค้นเมื่อ 18 กุมภาพันธ์ 2564 === การเสด็จประพาสยุโรป === พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 5 เป็นพระมหากษัตริย์ไทยพระองค์แรกที่ทรงเดินทางไปถึงทวีปยุโรป การเสด็จฯ เยือนครั้งประวัติศาสตร์ในปี พ.ศ. 2440 (ร.ศ. 116) ถือเป็นทั้งเรื่องใหญ่และใหม่มากในสมัยนั้นhttps://readthecloud.co/notenation-la-tour-eiffel/ La Tour Eiffel บันทึกของพระมหากษัตริย์ไทยพระองค์แรกที่ทรงเดินทางถึงทวีปยุโรป ในสมัยที่หอไอเฟลมีอายุแค่ 8 ปี == การเสียดินแดน == ไฟล์:Map of Siam (territorial cessions).svg|thumb|126px|แผนที่ราชอาณาจักรสยามกับการเสียดินแดน === การเสียดินแดนให้ฝรั่งเศส === * ครั้งที่ 1 เสียแคว้นเขมร (เขมรส่วนนอก) เนื้อที่ประมาณ 123, 050 ตารางกิโลเมตร และเกาะอีก 6 เกาะ วันที่ 15 กรกฎาคม พ.ศ. 2410 * ครั้งที่ 2 เสียแคว้นสิบสองจุไท หัวพันห้าทั้งหก เมืองพวน แคว้นหลวงพระบาง แคว้นเวียงจันทน์ คำม่วน และแคว้นจำปาศักดิ์ฝั่งตะวันออก (หัวเมืองลาวทั้งหมด) โดยยึดเอาดินแดนสิบสองจุไทย และได้อ้างว่าดินแดนหลวงพระบาง เวียงจันทน์ และแขวงจำปาศักดิ์|นครจำปาศักดิ์ เคยเป็นประเทศราชของญวนและเขมรมาก่อน จึงบีบบังคับเอาดินแดนเพิ่มอีก เนื้อที่ประมาณ 321,000 ตารางกิโลเมตร วันที่ 27 มีนาคม พ.ศ. 2431 ประเทศฝรั่งเศสข่มเหงไทยอย่างรุนแรงโดยส่งเรือรบล่วงเข้ามาในแม่น้ำเจ้าพระยา เมื่อถึงป้อมพระจุลจอมเกล้า ฝ่ายไทยยิงปืนไม่บรรจุกระสุน 3 นัดเพื่อเตือนให้ออกไป แต่ทางฝรั่งเศสกลับระดมยิงปืนใหญ่เข้ามาเป็นอันมาก เกิดการรบกันพักหนึ่ง ในวันที่ 13 กรกฎาคม พ.ศ. 2436 (วิกฤตการณ์ ร.ศ.112) ฝรั่งเศสนำเรือรบมาทอดสมอ หน้าสถานทูตของตนในกรุงเทพฯ ได้สำเร็จ (ทั้งนี้ ประเทศอังกฤษ ได้ส่งเรือรบเข้ามาลอยลำอยู่ 2 ลำ ที่อ่าวไทยเช่นกัน แต่มิได้ช่วยปกป้องไทยแต่อย่างใด) ฝรั่งเศสยื่นคำขาดให้ไทย 3 ข้อ ให้ตอบใน 48 ชั่วโมง เนื้อหา คือ ** ให้ไทยใช้ค่าเสียหายสามล้านแฟรงค์ โดยจ่ายเป็นเหรียญนกจากเงินถุงแดง พร้อมส่งเช็คให้สถานทูตฝรั่งเศสแถวบางรัก ** ให้ยกดินแดนบนฝั่งซ้ายแม่น้ำโขงและเกาะต่าง ๆ ในแม่น้ำด้วย ** ให้ถอนทัพไทยจากฝั่งแม่น้ำโขงออกให้หมดและไม่สร้างสถานที่สำหรับการทหาร ในระยะ 25 กิโลเมตร ทางฝ่ายไทยไม่ยอมรับในข้อ 2 ฝรั่งเศสจึงส่งกองทัพมาปิดอ่าวไทย เมื่อวันที่ 26 กรกฎาคม – 3 สิงหาคม พ.ศ. 2436 และยึดเอาจังหวัดจันทบุรีกับจังหวัดตราดไว้ เพื่อบังคับให้ไทยทำตาม * ไทยเสียเนื้อที่ประมาณ 50, 000 ตารางกิโลเมตร ให้แก่ฝรั่งเศส ในวันที่ 3 ตุลาคม พ.ศ. 2436 และฝรั่งเศสได้ยึดเอาจันทบุรีกับตราด ไว้ต่ออีก นานถึง 11 ปี (พ.ศ. 2436–2447) * ปี พ.ศ. 2446 ไทยต้องทำสัญญายกดินแดน ร.ศ.122 ให้ฝรั่งเศสอีก คือ ยกจังหวัดตราดและเกาะใต้แหลมสิงห์ลงไป (มีเกาะช้างเป็นต้น) ไปถึง ประจันตคีรีเขตร์ (เกาะกง) ดังนั้นฝรั่งเศสจึงถอนกำลังจากจันทบุรีไปตั้งที่ตราด ในปี พ.ศ. 2447 * วันที่ 23 มีนาคม พ.ศ. 2449 เสียดินแดน ร.ศ. 125 ไทยต้องยกดินแดนมณฑลบูรพา คือเขมรส่วนใน ได้แก่เสียมราฐ พระตะบอง และศรีโสภณ ให้ฝรั่งเศสอีก ฝรั่งเศสจึงคืนจังหวัดตราดให้ไทย รวมถึงเกาะทั้งหลายจนถึงเกาะกูด รวมแล้วในคราวนี้ ไทยเสียเนื้อที่ประมาณ 66,555 ตารางกิโลเมตร * และไทยเสียดินแดนอีกครั้งทางด้านขวาของแม่น้ำโขง คืออาณาเขต จังหวัดลานช้าง|ไชยบุรี และจังหวัดนครจำปาศักดิ์|จำปาศักดิ์ตะวันตก ในวันที่ 23 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2450 (ร.ศ.126) === การเสียดินแดนให้อังกฤษ === * เสียดินแดนฝั่งซ้ายแม่น้ำสาละวิน (5 เมืองเงี้ยว และ 13 เมืองกะเหรี่ยง) ให้สหราชอาณาจักร|อังกฤษ เมื่อ 27 ตุลาคม พ.ศ. 2435 * เสียดินแดน รัฐเกอดะฮ์|รัฐไทรบุรี รัฐกลันตัน รัฐตรังกานู และรัฐปะลิส ให้สหราชอาณาจักร|อังกฤษ เมื่อ 10 มีนาคม พ.ศ. 2451 (นับอย่างใหม่ พ.ศ. 2452) เพื่อขอกู้เงิน 4 ล้านปอนด์ทองคำอัตราดอกเบี้ย 4% ต่อปี มีเวลาชำระหนี้ 40 ปี == พระราชนิพนธ์ == มีพระราชนิพนธ์ ทั้งหมด 12 เรื่องhttp://www.kingchulalongkorn.com/job.html พระปิยมหาราช ทรงเป็นกวีเอก อีกพระองค์หนึ่ง ชึ่งมีผลงานพระราชนิพนธ์ ทั้งร้อยแก้วและร้อยกรอง # ไกลบ้าน # ระยะทางเที่ยวชวากว่าสองเดือน # พระราชนิพนธ์จดหมายเหตุรายวัน ของพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว เมื่อเสด็จประพาสเกาะชวาครั้งหลัง # เงาะป่า (วรรณคดี)|เงาะป่า # นิทราชาคริต # พระราชพิธีสิบสองเดือน # กาพย์เห่เรือ # คำเจรจาละครเรื่องอิเหนา # ตำราทำกับข้าวฝรั่ง # พระราชวิจารณ์จดหมายเหตุความทรงจำของกรมหลวงนรินทรเทวี # โคลงบรรยายภาพรามเกียรติ์ # โคลงสุภาษิตนฤทุมนาการ == พระบรมราชอิสริยยศและพระเกียรติยศ == === พระบรมราชอิสริยยศ === * พระเจ้าลูกยาเธอ เจ้าฟ้าจุฬาลงกรณ์ (20 กันยายน พ.ศ. 2396 - 21 มีนาคม พ.ศ. 2404) * สมเด็จพระเจ้าลูกยาเธอ เจ้าฟ้าจุฬาลงกรณ์ บดินทรเทพยมหามกุฎ บุรุษยรัตนราชรวิวงศ์ วรุตมพงศบริพัตร สิริวัฒนราชกุมาร กรมหมื่นพิฆเนศวรสุรสังกาศ (21 มีนาคม พ.ศ. 2404 - 15 มีนาคม พ.ศ. 2410) * สมเด็จพระเจ้าลูกยาเธอ เจ้าฟ้าจุฬาลงกรณ์ บดินทรเทพยมหามกุฎ บุรุษยรัตนราชรวิวงศ์ วรุตมพงศบริพัตร สิริวัฒนราชกุมาร กรมขุนพินิตประชานาถ https://vajirayana.org/ประชุมประกาศรัชกาลที่-๔-ภาค-๗/๒๗๔-ประกาศเลื่อน-กรมหมื่นวรจักรธรานุภาพ-แลกรมหมื่นราชสีหวิกรม-เปนกรมขุน ๒๗๔ ประกาศเลื่อน กรมหมื่นวรจักรธรานุภาพ แลกรมหมื่นราชสีหวิกรม เปนกรมขุน แลทรงตั้งสมเด็จเจ้าฟ้ามหามาลา สมเด็จเจ้าฟ้าจุฬาลงกรณ เปนกรมขุน (15 มีนาคม พ.ศ. 2410 - 11 พฤศจิกายน พ.ศ. 2411) * พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาจุฬาลงกรณ์ฯ พระจุฬาลงกรณ์เกล้าเจ้าอยู่หัว (11 พฤศจิกายน พ.ศ. 2411 - 16 พฤศจิกายน พ.ศ. 2416) * พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาจุฬาลงกรณ์ฯ พระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว (16 พฤศจิกายน พ.ศ. 2416 - 23 ตุลาคม พ.ศ. 2453) '''''ภายหลังการสวรรคตในรัชกาลที่ 6''''' * พระบาทสมเด็จพระรามาธิบดีศรีสินทรมหาจุฬาลงกรณ์ พระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว (15 พฤศจิกายน พ.ศ.2459-สมัยรัชกาลที่ 7) '''''ภายหลังการสวรรคตในรัชกาลที่ 7''''' * พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาจุฬาลงกรณ์ฯ พระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว (สมัยรัชกาลที่ 7-ปัจจุบัน) === พระราชลัญจกรประจำพระองค์ === ไฟล์:Privy Seal of King Rama V (Chulalongkorn).svg|200px|thumb|พระราชลัญจกรประจำพระองค์ '''พระราชลัญจกรประจำพระองค์พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าอยู่หัว''' เป็นตรางา ลักษณะกลมรี กว้าง 5.5 ซ.ม. ยาว 6.8 ซ.ม. โดยมีตรา '''พระเกี้ยว''' หรือ '''จุลมงกุฏ''' ซึ่งประดิษฐานบนพานแว่นฟ้า 2 ชั้น มีฉัตรบริวารตั้งขนาบทั้ง 2 ข้าง ถัดออกไปจะมีพานแว่นฟ้า 2 ชั้น ทางด้านซ้ายวางสมุดตำรา และทางด้านขวาวางพระแว่นสุริยกานต์เพชร โดยพระราชลัญจกรของพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวนั้นเป็นการเจริญรอยจำลองมาจากพระราชลัญจกรของพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว การสร้างพระลัญจกรประจำพระองค์นั้น จะใช้แนวคิดจากพระบรมนามาภิไธยก่อนทรงราชย์ นั่นคือ "จุฬาลงกรณ์" ซึ่งแปลว่า เครื่องประดับศีรษะ หรือ จุลมงกุฎ ดังนั้น จึงเลือกใช้ พระเกี้ยว หรือ จุลมงกุฎ มาใช้เป็นพระราชลัญจกรประจำพระองค์http://www.lib.ru.ac.th/journal/kingseal-office.html สนเทศน่ารู้ : พระราชลัญจกรประจำรัชกาล, สำนักหอสมุดกลาง มหาวิทยาลัยรามคำแหง === พระพุทธรูปประจำพระองค์ === * '''พระพุทธรูปประจำพระชนมวารพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว''' เป็นพระพุทธรูปปางห้ามพระแก่นจันทน์ ซึ่งโปรดให้สร้างขึ้นแทน ปางไสยาสน์เพราะทรงพระราชสมภพวันอังคาร โดยทรงให้สร้างขึ้นในราวปี พ.ศ. 2466–2453 สร้างด้วยทองคำ ความสูงรวมฐาน 34.60 เซนติเมตร * '''พระพุทธรูปประจำรัชกาลพระบาทสมเด็จพระจลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว''' เป็นพระพุทธรูปปางขัดสมาธิเพชร พระเกตุมาลาเป็นเปลวเพลิง เหนือพระเศียรกางกั้นด้วยฉัตรปรุทอง 3 ชั้น สร้างราว พ.ศ. 2453-2468 หน้าตักกว้าง 7.2 นิ้ว สูงเฉพาะองค์พระ 11.8 ซ.ม. สูงรวมฉัตร 47.3 ซ.ม. === เครื่องราชอิสริยาภรณ์ในประเทศ === === เครื่องราชอิสริยาภรณ์ต่างประเทศ === * : ** พ.ศ. 2412 - ไฟล์:Order of Saint Stephen of Hungary - Ribbon bar Grand-Cross.svg|80x80px เครื่องราชอิสริยาภรณ์นักบุญสเทเฟน ชั้นที่ 1 * : ** พ.ศ. 2421 - ไฟล์:UK Order St-Michael St-George ribbon.svg|80px เครื่องราชอิสริยาภรณ์นักบุญไมเคิลและจอร์จ * ไฟล์:Flag of Hawaii.svg|25x25px ราชอาณาจักรฮาวาย : ** พ.ศ. 2424 - ไฟล์:Royal Order of Kamehameha I Grand Cross.gif|80x80px เครื่องราชอิสริยาภรณ์คาเมฮาเมฮาที่ 1 ชั้นประถมาภรณ์ * : ** พ.ศ. 2427 - ไฟล์:St Olavs Orden storkors stripe.svg|80x80px เครื่องราชอิสริยาภรณ์นักบุญโอลาฟ ชั้นประถมาภรณ์ * : ** พ.ศ. 2430 - ไฟล์:JPN Daikun'i kikkasho BAR.svg|80px เครื่องราชอิสริยาภรณ์อันสูงส่งยิ่งดอกเบญจมาศ ชั้นสังวาลราชกิจจานุเบกษา, http://www.ratchakitcha.soc.go.th/DATA/PDF/2430/032/257.PDF เจ้าญี่ปุ่นเฝ้าทูลละอองธุลีพระบาท, เล่ม ๔ ตอนที่ ๓๒ หน้า ๒๕๘, ๒๒ พฤศจิกายน ๑๒๔๗ * : ** พ.ศ. 2430 - ไฟล์:Order of the Seraphim - Ribbon bar.svg|80px เครื่องราชอิสริยาภรณ์เซราฟีม * : ** พ.ศ. 2434 - ไฟล์:Order of the Elephant Ribbon bar.svg|80px เครื่องราชอิสริยาภรณ์ไอยรา|เครื่องราชอิสริยาภรณ์ช้างราชกิจจานุเบกษา, http://www.ratchakitcha.soc.go.th/DATA/PDF/2434/052/470.PDF ผู้แทนกงสุลเยเนอราลเดนมากเฝ้าทูลละอองธุลีพระบาทถวายเครื่องราชอิสริยาภรณ์, เล่ม ๘ ตอนที่ ๕๒ หน้า ๔๗๐, ๒๗ มีนาคม ๑๑๐ * : ** พ.ศ. 2434 - ไฟล์:RUS Order of St. Andrew the Apostle the First-Called BAR.png|80px เครื่องราชอิสริยาภรณ์นักบุญอันดรูว์ราชกิจจานุเบกษา, http://www.ratchakitcha.soc.go.th/DATA/PDF/2434/016/142_1.PDF ข่าวทูตรุสเซียเฝ้าทูลละอองธุลีพระบาทถวายเครื่องราชอิสริยาภรณ์ , เล่ม ๘ ตอนที่ ๑๖ หน้า ๑๔๒, ๑๙ กรกฎาคม ๑๑๐ * : ** พ.ศ. 2435 - ไฟล์:Cavaliere di gran Croce Regno SSML BAR.svg|80px เครื่องราชอิสริยาภรณ์นักบุญมอริซและลาซารัสราชกิจจานุเบกษา, http://www.ratchakitcha.soc.go.th/DATA/PDF/2435/030/249.PDF ราชทูตอิตาลีเฝ้าทูลละอองธุลีพระบาท ถวายเครื่องราชอิสริยาภรณ์ , เล่ม ๙ ตอนที่ ๓๐ หน้า ๒๕๐, ๒๓ ตุลาคม ๑๑๑ ** พ.ศ. 2435 - ไฟล์:Order of the Most Holy Annunciation BAR.svg|80px เครื่องราชอิสริยาภรณ์แม่พระรับสาร * : ** พ.ศ. 2440 - ไฟล์:Ord.Aquilanera.png|80px เครื่องราชอิสริยาภรณ์อินทรีดำ * : ** พ.ศ. 2440 - ไฟล์:Order of Charles III - Sash of Collar.svg|80x80px เครื่องราชอิสริยาภรณ์พระเจ้าการ์โลสที่ 3 ชั้นสายสร้อย * : ** พ.ศ. 2440 - ไฟล์:PRT Three Orders BAR.svg|80x80px สายสะพายแห่งสามเครื่องเสนาอิสริยาภรณ์ * : ** พ.ศ. 2440 - ไฟล์:SAX Order of the Rue Crown ribbon.svg|80x80px เครื่องราชอิสริยาภรณ์รือคราวน์ * ไฟล์:Flagge Großherzogtum Baden (1891–1918).svg|25x25px ราชรัฐบาเดน : ** พ.ศ. 2440 - ไฟล์:BAD Order of Fidelity ribbon.svg|80x80px เครื่องอิสริยาภรณ์บ้านของความซื่อสัตย์ * ไฟล์:Flagge Großherzogtum Hessen ohne Wappen.svg|25x25px แกรนด์ดัชชีเฮ็สเซิน : ** พ.ศ. 2440 - ไฟล์:Ludwig Order (Hesse) - ribbon bar.png|80x80px เครื่องอิสริยาภรณ์ลุดวิก * ไฟล์:Flag of Bavaria (striped).svg|25x25px ราชอาณาจักรบาวาเรีย|บาวาเรีย : ** พ.ศ. 2449 - ไฟล์:Bavaria012.png|80x80px เครื่องอิสริยาภรณ์เซนต์ฮูเบิร์ต * ไฟล์:Flagge Herzogtum Braunschweig.svg|25x25px ดัชชีเบราน์ชไวค์ : ** พ.ศ. 2450 - ไฟล์:D-HAN-B-Order Henry Lion BAR.png|80x80px เครื่งอิสริยาภรณ์เฮนรี่เดอะไลอ้อน === พระยศทางทหาร === * 16 พฤศจิกายน พ.ศ. 2446: จอมพลแห่งกองทัพบกไทย|กองทัพบกสยามและกองทัพเรือไทย|กองทัพเรือสยาม (นายทัพและนายทัพเรือ) https://www.navy.mi.th/index.php/history/detail/history_id/14 นายทัพและนายทัพเรือ === พระราชสมัญญานาม === พระองค์ได้รับการถวายพระสมัญญานามว่า"พระปิยมหาราช" แปลว่า มหาราชผู้ทรงเป็นที่รัก, "พระพุทธเจ้าหลวง", พระบิดาแห่งการปฏิรูปข้าวไทยhttp://www.ratchakitcha.soc.go.th/DATA/PDF/2559/E/247/1.PDF สมัญญานามว่า พระปิยมหาราช และ พระบิดาแห่งการถ่ายภาพไทยhttp://www.ratchakitcha.soc.go.th/DATA/PDF/2548/00155197.PDF พระบิดาแห่งการถ่ายภาพไทย == พระบรมราชานุสรณ์ == == พระราชสันตติวงศ์ == === พระมเหสี เจ้าจอมมารดา และเจ้าจอม === ไฟล์:King Chulalongkorn and Queen Saovabha.jpg|thumb|280x280px|ทรงฉายพระบรมฉายาลักษณ์กับสมเด็จพระนางเจ้าสาวภาผ่องศรี พระบรมราชินีนาถ === พระราชโอรสและพระราชธิดา === หากไม่นับรวมรัชกาลที่ 1-4 แล้ว ถือว่าพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวเป็นพระบรมอรรคราชบรรพบุรุษของพระมหากษัตริย์ไทยทุกพระองค์ในราชวงศ์จักรี|พระบรมราชจักรีวงศ์ โดยเป็นสมเด็จพระบรมชนกนาถของพระมหากษัตริย์ไทย 2 พระองค์ คือ พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว และพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว เป็นสมเด็จพระบรมอัยกาธิราชของพระมหากษัตริย์ไทยอีก 2 พระองค์ คือ พระบาทสมเด็จพระปรเมนทรมหาอานันทมหิดล พระอัฐมรามาธิบดินทร และพระบาทสมเด็จพระมหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร รวมถึงยังเป็นสมเด็จพระบรมปัยกาธิราชของพระบาทสมเด็จพระวชิรเกล้าเจ้าอยู่หัว == คลังภาพ == ไฟล์:1903_emperors-2.JPG|ต้นศตวรรษที่ 20 ทรงได้รับการจัดให้เป็น 1 ในผู้นำของ 16 ชาติผู้จะชี้นำโลกhttp://www.siammanussati.com/เบื้องแรก-ประชาธิปไตย-ใ/ เบื้องแรก “ประชาธิปไตย” ในยุคสมบูรณาญาสิทธิราชย์ สยามมานุสสติ สืบค้นเมื่อ 6 กันยายน 2017 (โปรดสังเกตว่าพระองค์ประทับพระที่นั่งที่มีหมายเลข 6) ไฟล์:Ruling-monarchs.jpg|ไปรษณียบัตร ปี พ.ศ. 2451 รูปพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว (บนซ้าย) กับพระมหากษัตริย์ร่วมสมัย ไฟล์:Map of Siam in 1900.png|แผนที่ราชอาณาจักรสยาม ราวปี พ.ศ. 2443 ไฟล์:Queen Saovabha Phongsri opening of the railway line.jpg|พร้อมด้วยสมเด็จพระนางเจ้าเสาวภาผ่องศรี พระบรมราชินีนาถ ทรงเปิดทางรถไฟสายตะวันออกเฉียงเหนือ|เส้นทางรถไฟสายกรุงเทพมหานคร-นครราชสีมา เมื่อวันที่ 26 มีนาคม พ.ศ. 2439 == พงศาวลี == == แผนผัง == == ดูเพิ่ม == * รายพระนามพระมหากษัตริย์ไทย * วันปิยมหาราช * การผนวกนครเชียงใหม่ของสยาม == อ้างอิง == ; เชิงอรรถ ; บรรณานุกรม * * * พลาดิศัย สิทธิธัญกิจ.'''พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาจุฬาลงกรณ์ พระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว'''.MBA.กรุงเทพมหานคร.2536 == แหล่งข้อมูลอื่น == หมวดหมู่:พระราชโอรสในรัชกาลที่ 4 หมวดหมู่:รัชกาลที่ 5| หมวดหมู่:พระมหากษัตริย์ไทยในราชวงศ์จักรี หมวดหมู่:พระมหากษัตริย์ไทยในคริสต์ศตวรรษที่ 19 หมวดหมู่:พระมหากษัตริย์ไทยในคริสต์ศตวรรษที่ 20 หมวดหมู่:พระมหากษัตริย์ที่ขึ้นครองราชย์ขณะทรงพระเยาว์ หมวดหมู่:มหาราชแห่งประเทศไทย หมวดหมู่:นักเขียนชาวไทย หมวดหมู่:เจ้าฟ้าชาย หมวดหมู่:กวีชาวไทย หมวดหมู่:นักถ่ายภาพชาวไทย หมวดหมู่:ผู้ได้รับเครื่องราชอิสริยาภรณ์ ม.จ.ก. (ฝ่ายใน)|ผู้ได้รับเครื่องราชอิสริยาภรณ์ ม.จ.ก. หมวดหมู่:ผู้ได้รับเครื่องราชอิสริยาภรณ์ น.ร. หมวดหมู่:ผู้ได้รับเครื่องราชอิสริยาภรณ์ ป.จ.ว.|ผู้ได้รับเครื่องราชอิสริยาภรณ์ ป.จ.ว. หมวดหมู่:ผู้ได้รับเครื่องราชอิสริยาภรณ์ ม.ป.ช. หมวดหมู่:ผู้ได้รับเครื่องราชอิสริยาภรณ์ ป.ม. หมวดหมู่:ผู้ได้รับเหรียญรัตนาภรณ์ ม.ป.ร.1|ผู้ได้รับเหรียญรัตนาภรณ์ ม.ป.ร.1‎ หมวดหมู่:ผู้ได้รับเหรียญรัตนาภรณ์ จ.ป.ร.1|ผู้ได้รับเหรียญรัตนาภรณ์ จ.ป.ร.1‎ หมวดหมู่:ชาวไทยเชื้อสายเปอร์เซีย หมวดหมู่:เสียชีวิตจากโรคไต หมวดหมู่:จอมพลชาวไทย หมวดหมู่:จอมพลเรือชาวไทย หมวดหมู่:พุทธศาสนิกชนชาวไทย หมวดหมู่:บุคคลในสงครามฝรั่งเศส-สยาม หมวดหมู่:บุคคลในประวัติศาสตร์ไทย พ.ศ. 2325–2411 หมวดหมู่:บุคคลในประวัติศาสตร์ไทย พ.ศ. 2411–2475
พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว
Infobox scientist | name = นีลส์ เฮนริก อาเบลNiels Henrik Abel | image = Niels Henrik Abel.jpg | image_size = 200px | caption = นีลส์ เฮนริก อาเบล | birth_date = | birth_place = :en:Nedstrand|Nedstrand, | death_date = | death_place = :en:Froland|Froland, | residence = | nationality = ชาวนอร์เวย์ | field = คณิตศาสตร์ | work_institutions = | alma_mater = :en:University of Oslo|Royal Frederick University | influences = :en:Bernt Michael Holmboe|Bernt Michael Holmboe | doctoral_advisor = | doctoral_students = | known_for = :en:Abelian function|Abelian function:en:Abelian group|Abelian group:en:Abel's theorem|Abel's theorem | religion = ลูเทอแรน | footnotes= '''นีลส์ เฮนริก อาเบล ''' () เกิดเมื่อวันที่ 5 สิงหาคม ค.ศ. 1802 เสียชีวิต 6 เมษายน ค.ศ. 1829 เป็นนักคณิตศาสตร์ชาวประเทศนอร์เวย์|นอร์เวย์ เป็นหนึ่งในนักคณิตศาสตร์ที่มีผลงานโดดเด่นที่สุดในคริสต์ศตวรรษที่ 19 นอกจากนั้นบางท่านยกย่องอาเบลว่าเป็นนักคณิตศาสตร์ที่ดีที่สุดในประวัติศาสตร์ของสแกนดิเนเวีย Simmons, G. F, Differential Equations with Applications and Historical Notes, 2nd Edition, McGraw-Hill, (1991) อย่างไรก็ตามอาเบลเสียชีวิตด้วยอายุเพียง 26 ปี และเป็นหนึ่งในนักคณิตศาสตร์ที่มีชีวิตอาภัพที่สุดในประวัติศาสตร์ของวงการคณิตศาสตร์ เคียงคู่ไปกับ เอวารีสต์ กาลัว (เสียชีวิตเมื่ออายุ 20 ปี) , รามานุจัน (เสียชีวิตเมื่ออายุ 33 ปี) และ โซฟี่ แชร์แมง (เสียชีวิตโดยที่ไม่มีโอกาสได้ทราบว่าตนเองได้รับปริญญากิตติมศักดิ์) อาเบลและเพื่อนนักคณิตศาสตร์ร่วมสมัยคือ คาร์ล ฟรีดริช เกาส์|เกาส์และออกัสติน หลุยส์ โคชี่|โคชี่ มีส่วนร่วมเป็นอย่างสูงในการพัฒนาคณิตศาสตร์สมัยใหม่ ซึ่งแตกต่างจากคณิตศาสตร์สมัยเก่าตรงที่มีการพิสูจน์อย่างเคร่งครัดในทุกทฤษฎีบท == ชีวประวัติโดยย่อ == === ครอบครัว === อาเบลเป็นลูกหนึ่งในหกคนของครอบครัวที่ยากจนในนอร์เวย์ พรสวรรค์ของอาเบลถูกสังเกตเห็นเป็นครั้งแรกเมื่ออายุ 16 ปีโดยอาจารย์ของเขาเมื่ออาเบลสามารถแสดงคำตอบของปัญหาของเบิร์นท์ ฮอล์มโบได้อย่างยอดเยี่ยม ซึ่งช่วงนั้นกล่าวกันว่าอาเบลได้ศึกษางานของไอแซก นิวตัน|นิวตัน ออยเลอร์ และลากรองช์จนเข้าใจละเอียดลึกซึ้ง อย่างไรก็ตามบิดาของอาเบลซึ่งเป็นแกนหลักของครอบครัวได้เสียชีวิตลงเมื่อ อาเบลมีอายุได้เพียง 18 ปี ในช่วงนี้ครอบครัวของอาเบลได้เงินเลี้ยงดูจุนเจือ จากเพื่อนบ้านและญาติ โดยเฉพาะสำหรับอาเบลนั้นมีศาสตราจารย์หลายคนช่วยสนับสนุนในด้านต่างๆ ทำให้อาเบลสามารถเข้าเรียนที่มหาวิทยาลัยออสโลได้เมื่อเขาอายุ 19 ปี === ผลงาน === ไฟล์:Abel-kladd.jpg|thumb|250px|สมุดบันทึกของอาเบล ผลงานทางวิชาการแรกสุดหลายๆ งานของอาเบลเกิดขึ้นเมื่อเขามีอายุได้ 21 ปี ซึ่งในนี้รวมไปถึงปัญหาคลาสสิกอย่างปัญหาเทาโทโครเนอ (tautochrone) ซึ่งอาเบลได้เสนอคำตอบจากการสร้างสมการปริพันธ์ (:en:integral equation|integral equation) ซึ่งเป็นครั้งแรกที่สามารถหาคำตอบในสมการประเภทนี้ได้ และจากผลงานนี้เองที่ส่งผลให้มีการพัฒนาวงการคณิตศาสตร์ในเรื่องสมการปริพันธ์อย่างคึกคักในช่วงปลายของคริสต์ศตวรรษที่ 19 และช่วงต้นของคริสต์ศตวรรษที่ 20 ==== คำตอบในรูปแบบรากของสมการพหุนามอันดับ 5 ==== แต่สำหรับหนึ่งในผลงานที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของอาเบลเกิดในปีค.ศ. 1824 เมื่อเขาสามารถพิสูจน์ได้ว่า'''''ไม่มีคำตอบ'''''ในรูปแบบราก(radical forms) ของสมการกำลัง 5 หรือสมการพหุนามอันดับ 5 (ax^5 + bx^4 + cx^3 + dx^2 + ex + f = 0 ) เหมือนกับอันดับที่ต่ำกว่าคืออันดับ 2 (พบคำตอบในคณิตศาสตร์สมัยกรีก|สมัยกรีก) อันดับ3 และอันดับ4 (พบคำตอบโดยจิโลราโม คาร์ดาโนและลูกศิษย์หลังจากสมัยกรีกประมาณ 2000 ปี) ซึ่งถือได้ว่าอาเบลสามารถแก้ปัญหาทางพีชคณิตที่นักคณิตศาสตร์ชื่อดังอย่างนิวตัน ออยเลอร์ ลากรองช์ และเกาส์รวมถึงท่านอื่นๆ ต่างถกเถียงและพยายามหาคำตอบมา 300 ปีตั้งแต่สมัยของคาร์ดาโนได้สำเร็จ (สำหรับรายละเอียดดู ทฤษฎีบทของอาเบล-รุฟฟินี่) ==== วารสารคณิตศาสตร์ของเคร็ลเลอร์ (Crelle) ==== อาเบลได้รับทุนให้ไปศึกษาและทำวิจัยคณิตศาสตร์ที่แถบยุโรปกลาง โดยในปีแรกอาเบลใช้เวลาเกือบทั้งหมดที่เบอร์ลิน ที่นั่นอาเบลได้มีโอกาสรู้จักกับ Crelle ซึ่งขณะนั้นเป็นนักคณิตศาสตร์สมัครเล่น โดยในเวลาถัดมา Crelle เป็นเพื่อนที่ดีสุดจวบจนสิ้นชีวิตของอาเบล อาเบลเป็นแรงบันดาลใจให้ Crelle ริเริ่มวารสารคณิตศาสตร์ ''"Journal für die Reine und Angewandte Mathematik "'' (ดู :en:Crelle's Journal|Crelle's Journal) ในราวปี ค.ศ. 1826 ซึ่งเป็นวารสารฉบับแรกที่ไม่ใช่ของมหาวิทยาลับลัยและอุทิศเนื้อหาทั้งหมดให้คณิตศาสตร์ล้วนๆ (Simmons, 1991) โดยใน 3 ฉบับแรกนั้นมีบทความของอาเบลทั้งหมด 22 ชิ้น รวมไปถึงบทพิสูจน์เรื่องสมการกำลัง 5 ที่อาเบลได้ตกแต่งให้เข้าใจง่ายขึ้นอีกด้วย นอกจากนั้นยังมีผลงานที่โดดเด่นอื่นๆ ในวารสาร เช่น * เรื่องอนุกรมทวินามซึ่งอาเบลได้ให้บทพิสูจน์เรื่องความถูกต้องในการขยายจากฟังก์ชันในรูป (a+b) ^n ไปเป็นอนุกรมทวินาม โดยพิสูจน์ในรูปแบบคณิตศาสตร์สมัยใหม่ (พิสูจน์แบบเคร่งครัด) และค้นพบรูปแบบทั่วไปของการลู่เข้า (Abel's Test) ซึ่งถือเป็นงานคลาสสิกชิ้นหนึ่งของอาเบล * เรื่องฟังก์ชันเชิงวงรี(elliptic function) และ hyperelliptic function และกลุ่มของฟังก์ชันชนิดใหม่ที่ต่อมาเรียกว่า ฟังก์ชันอาบีเลียน (:en:Abelian function|Abelian function) ซึ่งเป็นหัวข้อที่มีการทำวิจัยกันอย่างคึกคักในเวลาต่อมา ==== ความอาภัพของอาเบล ==== อาเบลได้ส่งผลงานเรื่องสมการพหุนามไปให้คาร์ล ฟรีดริช เกาส์|เกาส์ที่เกิตติงเกน ด้วยความหวังว่ามันจะแทนหนังสือเดินทางไปสู่เกิตติงเกน อย่างไรก็ตามเกาส์ไม่ได้เปิดจดหมายของอาเบลดูเลย จดหมายที่ยังไม่ได้แกะฉบับนี้ถูกพบในบ้านของเกาส์ในอีก 30 ปีถัดมา อาเบลรู้สึกว่าตนถูกดูแคลนจึงเดินทางต่อไปยังปารีสโดยไม่แวะพบเกาส์ และนี่คงเป็นโชคร้ายของวงการคณิตศาสตร์ที่ทั้งสองคนไม่มีโอกาสร่วมงานกัน ในปี ค.ศ. 1826 อาเบลได้เดินทางไปยังปารีสเป็นเวลา 10 เดือน ที่นั่นอาเบลได้พบกับนักคณิตศาสตร์ชั้นนำของฝรั่งเศส อาทิเช่น ออกัสติน หลุยส์ โคชี่ เอเดรียน-แมรี เลอจองด์ และ ปีเตอร์ กุสตาฟ ดิริชเลต์ แม้ว่าอาเบลจะมีผลงานมากมายในวารสารของ Creller ก็ตาม แต่เนื่องจากเหล่านักคณิตศาสตร์ฝรั่งเศสยังไม่รู้จักวารสารฉบับใหม่นี้นัก พวกเขาจึงไม่สนใจอาเบลมากนัก นอกจากนี้ยังเป็นเพราะว่าอาเบลมีนิสัยขี้อาย ไม่ค่อยชอบพูดคุยผลงานของตนให้ผู้อื่นฟังอีกด้วย หลังจากเขาเดินทางถึงประเทศฝรั่งเศสไม่นาน เขาก็ทำผลงานชื่อ ''Memoire sur une Propriete Tenerale d'une Classe Tres Etendue des Fonctions Transcendantes'' ได้สำเร็จ โดยอาเบลภูมิใจงานนี้มากโดยถือว่าเป็นผลงานชิ้นเอก (masterpiece) ในผลงานนี้มีทฤษฎีบทของอาเบลซึ่งเป็นแก่นฐานของ Abelian integrals และ อาบีเลียนฟังก์ชัน ปีเตอร์ กุสตาฟ ยาโคบียกย่องผลงานชิ้นนี้ว่าเป็นการค้นพบที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในแคลคูลัสปริพันธ์ (integral calculus) ในคริสต์ศตวรรษที่ 19 อาเบลส่งผลงานชิ้นนี้ไปที่ French Academy โดยหวังว่าจะได้รับการยอมรับจากเหล่านักคณิตศาสตร์ฝรั่งเศส แต่แล้วทุกสิ่งทุกอย่างก็เงียบซึ่งทำให้อาเบลต้องตัดสินใจกลับเบอร์ลิน จริงๆ แล้วเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในตอนนั้นคือ โคชี่และเลอจองด์ถูกมอบหมายให้เป็นผู้ตรวจสอบผลงานของอาเบล แต่ทว่าโคชี่นำมันกลับไปบ้านและด้วยความที่ขณะนั้นโคชี่กำลังทำงานของเขาอยู่อย่างขะมักเขม้น (formalizing/rigourising แคลคูลัส) ทำให้โคชี่วางงานของอาเบลไว้อย่างไม่สนใจและลืมเรื่องนี้ไปในท้ายที่สุด งานชิ้นนี้ของอาเบลถูกตีพิมพ์เมื่อปีค.ศ. 1841 หลังจากที่เขาเสียชีวิตไปแล้วถึง 15 ปี หลังจากนั้นไม่นาน อาเบลก็ต้องเดินทางกลับบ้านพร้อมด้วยหนี้สิน โดยอาเบลหวังเป็นอย่างยิ่งว่าจะมีตำแหน่งอาจารย์ที่มหาวิทยาลัยในบ้านเกิด แต่ก็เป็นอีกครั้งที่เขาต้องผิดหวัง เขาต้องทนทำงานเป็นครูสอนพิเศษ โดยได้รับเชิญไปสอนในมหาวิทยาลัยเป็นบางครั้งเท่านั้น ในปี ค.ศ. 1829 อาเบลเริ่มป่วยหนักด้วยวัณโรค (ใน (Simmons, 1991) บอกว่าเป็นปอดบวม) และอาการก็กำเริบหนักมากในเดือนเมษายนปีเดียวกัน ในที่สุดอาเบลก็เสียชีวิตด้วยวัยเพียง 26 ปี โดยในช่วงเวลาเดียวกันนั้นความพยายามของ Crelle ประสบผลสำเร็จ โดยเขาสามารถหาตำแหน่งอาจารย์คณิตศาสตร์ให้อาเบลได้ที่เบอร์ลิน แต่จดหมายของ Crelle ก็มาถึงช้าไป 2 วัน อาเบลได้จากไปเสียแล้ว งานทั้งหมดของอาเบลที่ปรากฏในวารสารของ Crelle ได้ถูกนำมาตีพิมพ์อีกครั้งในปี ค.ศ. 1839 และ ปี ค.ศ. 1881 ศาสตราจารย์คณิตศาสตร์ในมหาวิทยาลัยหลายท่านยังแนะนำให้อ่านงานของอาเบลจวบจนทุกวันนี้ ชื่อของอาเบลปรากฏในศัพท์คณิตศาสตร์หลายแห่งมากมายเพื่อเป็นเกียรติแก่เขา นอกจาก Abel's Test และ อาบีเลียนฟังก์ชันที่ได้กล่าวไปแล้ว ยังมี อาบีเลียนกรุ๊ป อาบีเลียนคาทีกอรี สมการปริพันธ์ของอาเบล การทรานส์ฟอร์มแบบอาเบล อาบีเลียนวาไรตี้ <!-- (see abelian group and abelian category; also abelian variety and Abel transform). --> == อนุสรณ์ == ในปี ค.ศ. 2002, ประเทศนอร์เวย์ได้ตั้งรางวัลอาเบล (Abel Prize) ให้แก่นักคณิตศาสตร์ที่มีผลงานดีเด่น == วาทะ == ในที่นี้คำว่าอาจารย์หมายถึงผู้ที่มีอิทธิพลสูงในการทำให้คณิตศาสตร์ก้าวหน้า โดยสำหรับตัวอาเบลเองเขาศึกษางานของนิวตัน ออยเลอร์ และลากรองช์ จนเข้าใจละเอียดลึกซึ้ง :เลอจองด์ ได้กล่าวชื่นชมอาเบลว่า :พอล เฮอร์มิทได้ยกย่องอาเบลในผลงาน ''Memoire'' ว่า == ดูเพิ่ม == * นักคณิตศาสตร์ * เส้นเวลาของคณิตศาสตร์ == อ้างอิง == == แหล่งข้อมูลอื่น == * http://www.abelprisen.no/en/abel/ ชีวประวัติในเว็บไซต์ของรางวัลอาเบล * http://www-history.mcs.st-andrews.ac.uk/history/Mathematicians/Abel.html ชีวประวัติในเว็บ MacTutor หมวดหมู่:นักคณิตศาสตร์ชาวนอร์เวย์|อาเบล, นีลส์ หมวดหมู่:เสียชีวิตจากวัณโรค หมวดหมู่:บุคคลจากเทศมณฑลรูกาลัน
นีลส์ เฮนริก อาเบล
Infobox person | name = อเล็กซานเดอร์ เกรแฮม เบลล์ | image = Alexander Graham Bell.jpg | caption = ภาพที่ถ่ายระหว่าง ค.ศ. 1914 ถึง 1919 | birth_date = 3 มีนาคม ค.ศ.1847 | birth_place = เอดินบะระ ประเทศสกอตแลนด์ สหราชอาณาจักร | death_date = | death_place = Beinn Bhreagh รัฐโนวาสโกเชีย ประเทศแคนาดา | occupation = hlist |วิศวกร|ศาสตราจารย์ nowrap|ครูผู้พิการทางหูrefn|''Is the following a quote from the source referenced?:'' While Bell worked in many scientific, technical, professional and social capacities throughout his life he would remain fondest of his earliest vocation. To the end of his days, when discussing himself, Bell would always add with pride "I am a teacher of the deaf". | residence = | citizenship = สหราชอาณาจักร (ค.ศ.1847–1882)กฎสัญชาติของประเทศแคนาดา|ชาวอังกฤษในแคนาดา (ค.ศ.1870–1882)สหรัฐ (ค.ศ.1882–1922) | alma_mater = | known_for = nowrap|ผู้ประดิษฐ์โทรศัพท์ | awards = ublist|class=nowrap |&nbsp; เหรียญอัลเบิร์ต (ราชสมาคมแห่งศิลปะ|รางวัลอัลเบิร์ต |&nbsp; รางวัลจอห์น ฟริตซ์ |&nbsp; รางวัลแอลเลียต เครสสัน | spouse = | parents = | signature = Alexander Graham Bell (signature).svg | children = 4 | relatives = Unbulleted list |class=nowrap | การ์ดิเนอร์ กรีน ฮับเบิร์ด | เดวิด ชาร์ลส์ เบลล์ | กิลเบิร์ต โฮวีย์ กรอสเวเนอร์ | เดวิด แฟร์ไชล์ด | เมลวิลล์ เบลล์ กรอสเวเนอร์ | มาเบล ฮาร์ลาเคนเดน กรอสเวเนอร์ | เกรแฮม แฟร์ไชล์ด | กิลเบิร์ต เมลวิลล์ กรอสเวเนอร์ | เอดวิน เอส. กรอสเวเนอร์ | ชิเคสเตอร์ เบลล์ | module = Listen |pos=center |embed=yes |filename=Alexander Graham Bell speaking.ogg |title= |type=speech |description=Volta Laboratory and Bureau#Bell's voice|Re-identified in 2013, Bell made this Phonograph cylinder#Early development|wax-disc recording of his voice in 1885. | footnotes = ublist | มหาวิทยาลัยบอสตัน | ดูที่#โทรศัพท์|ด้านล่าง. | ทั้งสองตายหลังจากเกิด '''อเล็กซานเดอร์ เกรแฮม เบลล์''' (Alexander Graham Bell - 3 มีนาคม ค.ศ. 1847 - 2 สิงหาคม ค.ศ. 1922) เป็นนักวิทยาศาสตร์ นักประดิษฐ์ ผู้ก่อตั้งบริษัท เบลล์ เทเลโฟน (Bell Telephone company) สิ่งประดิษฐ์ที่สำคัญอย่างมากของเบลล์และเป็นประโยชน์ต่อชาวโลกอย่างมาก ได้แก่ โทรศัพท์ ซึ่งได้คิดค้นอย่างอิสระได้พร้อมๆ กับ เอลิชา เกรย์ นักประดิษฐ์ชาวอเมริกัน นอกจากนี้ เบลล์ยังเป็นผู้มีความสำคัญอย่างมากในงานวิจัยทางด้านอากาศยาน และ ไฮโดรฟอยล์ He is a scientist, inventor, and founder of the Bell Telephone company. Bell's very important inventions that are very beneficial to the world include the telephone. == ประวัติ == == อเล็กซานเดอร์ แกรห์ม เบลล์ เกิดที่เอดินบะระ|เมืองเอดินบะระ แคว้นสกอตแลนด์ ประเทศอังกฤษ == ครอบครัวของเบลล์ มีความเกี่ยวพันกับทางด้านภาษาศาสตร์ว่าด้วยการออกเสียง (Elocution) โดยปู่ ลุง และพ่อของเบลล์ ล้วนเป็นผู้เชี่ยวชาญทางด้านภาษา ภายหลังต่อมาได้มีการเผยแพร่งานวิจัยเกี่ยวกับเรื่องนี้อย่างหลากหลาย โดยเฉพาะอย่างยิ่ง บิดาของเบลล์ (อเล็กซานเดอร์ เมลวิลล์ เบลล์) ได้ผลิตงานวิจัยสำคัญได้แก่ การประดิษฐ์ระบบการออกเสียง Visible Speech โดยเป็นการศึกษาและออกแบบระบบแสดงวิธีการออกเสียงพูดของมนุษย์ โดยใช้สัญลักษณ์ในการแทนการเคลื่อนไหว ปาก ลิ้นและลำคอ เป็นงานวิจัยซึ่งมีส่วนอย่างมากในการช่วยการพูดสำหรับบุคคลหูหนวก และต่อมาในภายหลัง เบลล์ได้นำมาปรับปรุงเพื่อช่วยเหลือผู้พิการให้สามารถอ่านริมฝีปากของผู้พูดเพื่อทำความเข้าใจกับคำพูด แกรห์ม เบลล์ได้รับการศึกษาที่โรงเรียน Royal High School เมืองเอดินบะระ หลังจากนั้นได้เข้ารับตำแหน่งที่ Weston House Acedamy ในตำแหน่งผู้ช่วยสอนในสาขาการออกเสียงและดนตรี ที่เอลกิน ในมอเรย์ไชน์ หลังจากนั้น เข้าศึกษาในมหาวิทยาลัยเอดินบะระ จากนั้นในปี ค.ศ. 1866 ถึงปี ค.ศ. 1867 หรือปี พ.ศ. 2409ถึงปี พ.ศ. 2410 ได้เข้าเป็นผู้บรรยายที่มหาวิทยาลัย Somersetshire เมืองบาร์ทประเทศอังกฤษ ระหว่างที่ยังอยู่ที่สกอตแลนด์ได้เบนความสนใจไปยังส่วนของงาน Acoustic เพื่อมีส่วนช่วยในความหูหนวกของมารดา ในปี 1870 เขาได้ติดตามครอบครัวไปยังแคนาดา โดยพำนักที่เมือง Brentford, Ontargio โดยก่อนย้ายออกจาก Scottland เบลล์ได้เริ่มให้ความสนใจกับโทรศัพท์ และในแคนนาดา ได้ให้ความสนใจกับอุปกรณ์การสื่อสารอย่างต่อเนื่อง โดยได้พัฒนาเปียโน ซึ่งสามารถส่งเสียงดนตรี ผ่านสัญญาณไฟฟ้าได้สำเร็จ และปี 1882 เขาโอนสัญชาติเป็นอเมริกัน == การประกาศสิทธิบัตรโทรศัพท์ == เบลล์ได้จดสิทธิบัตรโทรศัพท์เป็นสิทธิของตนในสหรัฐอเมริกา วันที่ 14 กุมภาพันธ์ ค.ศ. 1876 และเป็นเหตุอันน่าบังเอิญเหลือเกินที่ได้มีการจดสิทธิบัตร โดย เอลิช่า เกรย์ (Elisha Gray) ในวันเดียวกัน โดยเป็นการจดสิทธิบัตรภายหลังจากเบลล์เป็นเวลา 2 ชั่วโมง เครื่องส่งสัญญาณของเกรย์ถูกออกแบบโดยใช้อุปกรณ์แบบเก่า ซึ่งถูกเรียกว่า lovers telephone โดยมีวงจรสองวงจรถูกเชื่อมโยงเข้าด้วยกัน == เครื่องตรวจจับโลหะ == เบลได้รับการยกย่องว่าเป็นผู้ประดิษฐ์เครื่องตรวจจับโลหะในปี 1881 อุปกรณ์ชนิดนี้ได้ถูกประดิษฐ์ขึ้นอย่างรีบร้อนเพื่อใช้ในการค้นหาปลอกกระสุนในร่างของประธานาธิบดี เจมส์ กาลฟิลด์ อุปกรณ์ชนิดนี้สามารถทำงานได้ถึงแม้ว่าจะไม่สามารถค้นพบปลอกกระสุนได้ก็ตาม == การทดลองอากาศยาน == เบลล์ได้ให้ความสนใจทางด้านอากาศยานและเป็นผู้สนับสนุนในงานวิจัยทางด้านนี้ ผ่านทางสมาคม Aerial Experiment โดยเป็นสมาคมซึ่งจัดตั้งที่ Baddeck, Nova Scotia เมื่อเดือนตุลาคม 1907 จากการแนะนำของนาง มาเบล เบลล์ ผู้เป็นภรรยาของเบลล์เอง รวมถึงการสนับสนุนทางด้านการเงิน โดยการนำของตัวเบลล์เอง ร่วมกับสมาชิก 4 คน ได้แก่ American Glenn H. Curtiss เจ้าของบริษัทผลิตมอเตอร์ไซค์ ซึ่งภายหลังได้รับรางวัล Scientific American Trophy จากรางวัลการบินมากกว่า 1 กิโลเมตรครั้งแรก และภายหลังเป็นเจ้าของบริษัทผลิตเครื่องบิน F.W. (Casey) Baldwin , J.A.D. McCurdy; and Lieutenant Thomas Selfridge ผู้สังเกตการณ์จากรัฐบาล ซึ่งเป็นหนึ่งในผู้ประดิษฐ์ aileron หรืออุปกรณ์หลักส่วนหนึ่งของเครื่องบินในปัจจุบัน == หน่วยวัดเสียงเบลและเดซิเบล == เบล เป็นหน่วยวัดซึ่งใช้ชื่อเพื่อเป็นเกียรติแก่อเล็กซานเดอร์ แกรห์ม เบลล์ โดยหน่วยวัดนี้ใช้ในการวัดความดังของความเข้มเสียง หรือ ระดับพลังงานของเสียง โดย เดซิเบล เป็นหน่วยวัดซึ่งเทียบระดับพลังงานของเสียงในระดับของกำลังกับเสียงเบาที่สุดที่มนุษย์ได้ยิน == อ้างอิง == หมวดหมู่:บุคคลที่เกิดในปี พ.ศ. 2390 หมวดหมู่:ประวัติศาสตร์ของโทรคมนาคม หมวดหมู่:นักฟิสิกส์ชาวอเมริกัน หมวดหมู่:นักวิทยาศาสตร์ หมวดหมู่:นักประดิษฐ์ชาวอังกฤษ หมวดหมู่:ชาวอเมริกันเชื้อสายสกอตแลนด์ หมวดหมู่:ชาวอเมริกันเชื้อสายอังกฤษ หมวดหมู่:บุคคลจากมหาวิทยาลัยเอดินบะระ หมวดหมู่:บุคคลจากเอดินบะระ
อเล็กซานเดอร์ เกรแฮม เบลล์
Infobox scientist | name = เกออร์ค คันทอร์ | image = Georg Cantor2.jpg | image_size = 225px | caption =เกออร์ค คันทอร์ | birth_name = เกออร์ค แฟร์ดีนันท์ ลูทวิช ฟิลลิพ คันทอร์ | birth_date = | birth_place = เซนต์ปีเตอส์เบิร์ก, | death_date = | death_place = ฮัลเลอ (ซาเลอ), แคว้นซัคเซิน, | residence = (ค.ศ. 1845–1856), (ค.ศ. 1856–1918) | citizenship = | ethnicity = | field = คณิตศาสตร์ | work_institutions = มหาวิทยาลัยฮัลเลอ | alma_mater = สถาบันเทคโนโลยีแห่งสหพันธ์สวิส ซือริช, มหาวิทยาลัยฮุมบ็อลท์แห่งเบอร์ลิน | doctoral_advisor = แอ็นสท์ คุมเมอร์คาร์ล ไวแยร์สตราสส์http://www.genealogy.ams.org/id.php?id=29561 Georg Ferdinand Ludwig Philipp Cantor's Mathematics Genealogy | doctoral_students = อัลเฟรท บาร์เน็ค | known_for = ทฤษฎีเซต | religion = ลูเทอแรน | prizes = '''เกออร์ค แฟร์ดีนันท์ ลูทวิช ฟิลลิพ คันทอร์''' (; 3 มีนาคม ค.ศ. 1845 – 6 มกราคม ค.ศ. 1918) เป็นนักคณิตศาสตร์ เกิดในรัสเซีย แต่ใช้ชีวิตอยู่ในเยอรมนี มีชื่อเสียงเป็นที่รู้จักในนามของผู้บัญญัติทฤษฎีเซตยุคใหม่ โดยได้ขยายขอบเขตของทฤษฎีเซตให้ครอบคลุมแนวคิดของจำนวนเชิงอนันต์ (transfinite or infinite numbers) ทั้งจำนวนเชิงการนับและจำนวนเชิงอันดับที่ นอกจากนี้ คันทอร์ยังเป็นที่รู้จักจากผลงานในเรื่องการแทนฟังก์ชันด้วยอนุกรมตรีโกณมิติที่เป็นเอกลักษณ์ (unique representation of functions by means of trigonometric series) ซึ่งเป็นภาคขยายของอนุกรมฟูรีเย == ประวัติ == บิดาของ คันทอร์ มีชื่อว่า จอร์จ วัลเดอมาร์ คันทอร์ (George Waldemar Cantor) เป็นพ่อค้าเดนมาร์ก|ชาวเดนมาร์ก ที่ประสบความสำเร็จทางการค้าในเซนต์ปีเตอส์เบิร์ก มารดาเป็นชาวรัสเซีย มีชื่อว่า Maria Anna Bohm เมื่อคันทอร์มีอายุได้ 11 ปี ครอบครัวของเขาจึ่งย้ายไปเยอรมนี ในวัยเรียน คันทอร์เป็นเด็กที่มีผลการเรียนในระดับดีเยี่ยม โดยเฉพาะอย่างยิ่งในวิชาตรีโกณมิติ ต่อมาได้เข้าศึกษาต่อใน Höherem Gewerbeschule แห่งเมืองดาร์มชตัท และในปี ค.ศ. 1862 ย้ายไปสถาบันเทคโนโลยีแห่งสหพันธ์สวิส ซือริช ที่ซึ่งเขาเลือกเรียนทางด้านวิศวกรรมศาสตร์ตามความต้องการของบิดา และภายหลังจึงย้ายมาเรียนคณิตศาสตร์ตามความชอบของตนแทน ต่อมาเมือบิดาเสียชีวิตลง คันทอร์ จึงย้ายมาเรียนที่ มหาวิทยาลัยฮุมบ็อลท์แห่งเบอร์ลินนสำเร็จการศึกษาในปี ค.ศ. 1867 โดยมีหัวข้อวิทยานิพนธ์ทางด้านทฤษฎีจำนวน หลังจากสำเร็จการศึกษาแล้ว จึงเป็นครูสอนคณิตศาสตร์ในโรงเรียนและย้ายมาเป็นอาจารย์ประจำที่มหาวิทยาลัยฮัลเลอในปี ค.ศ. 1869 ขณะเป็นอาจารย์ที่มหาวิทยาลัยฮัลเลอนี้เอง คันทอร์ได้รับอิทธิพลของเอดูอาร์ท ไฮเนอ ซึ่งเป็นอาจารย์อาวุโสประจำมหาวิทยาลัย ทำให้คันทอร์เริ่มเปลี่ยนความสนใจจากทฤษฎีจำนวนไปเป็นคณิตวิเคราะห์ ในปี ค.ศ. 1873 คันทอร์มีผลงานชิ้นสำคัญคือ การพิสูจน์ว่าเซตของจำนวนตรรกยะเป็นเซตนับได้ และในปลายปีเดียวกัน ก็สามารถพิสูจน์ได้ว่าเซตของจำนวนจริงเป็นเซตที่นับไม่ได้ ซึ่งผลงานทั้งสองนี้ได้รับการตีพิมพ์ในปีถัดมา ในผลงานดังกล่าว คันทอร์ยังได้เสนอแนวคิดเกี่ยวกับการสมนัยแบบหนึ่งต่อหนึ่งของสมาชิกในเซตเป็นครั้งแรกอีกด้วย ในช่วงปี ค.ศ. 1879–1884 คันทอร์ได้ตีพิมพ์ผลงานที่สำคัญต่อการพัฒนาทฤษฎีเซตอย่างมากถึงหกฉบับลงในวารสาร ''Mathematische Annalen'' แต่ถูกนักคณิตศาสตร์บางคนในสมัยนั้นต่อต้าน เพราะมีแนวคิดที่แปลกใหม่จนเกินไป การโจมตีผลงานของคันทอร์ได้ส่งผลกระทบทางจิตใจของคันทอร์ในเวลาต่อมา ในเดือนพฤษภาคม ค.ศ. 1884 คันทอร์เริ่มมีอาการซึมเศร้าและมีอาการเรื้อรังเรื่อยมา จนทำให้เขาเริ่มหันไปสนใจปรัชญาและวรรณคดี ในขณะที่ยังมีผลงานทางด้านคณิตศาสตร์อยู่ นับจากปี ค.ศ. 1899 เป็นต้นมาอาการป่วยของคันทอร์ก็หนักลงเรื่อย ๆ จนต้องลาจากการสอนเป็นระยะเพื่อรักษาตัว ในปี ค.ศ. 1911 คันทอร์ได้รับเกียรติในฐานะนักวิชาการต่างชาติไปร่วมงานเฉลิมฉลอง 500 ปี ของมหาวิทยาลัยเซนต์แอนดรูส์แห่งสกอตแลนด์ จากนั้นอีกปีหนึ่ง คันทอร์ก็ได้รับปริญญาดุษฎีบัณฑิตกิตติมศักดิ์จากมหาวิทยาลัยนี้เช่นกัน แต่ก้ไม่สามารถเดินทางไปรับได้เนื่องจากปัญหาด้านสุขภาพ คันทอร์เกษียณในปี ค.ศ. 1913 และมีอาการป่วยเรื้อรังตลอดเวลา ในปี ค.ศ. 1915 มหาวิทยาลัยฮัลเลอมีแผนจะจัดงานฉลองอายุครบ 70 ให้แก่คันทอร์ แต่ก้ต้องยกเลิกเพราะเกิดสงครามโลกครั้งที่หนึ่ง คันทอร์เสียชีวิตเมื่อวันที่ 6 มกราคม ค.ศ. 1918 ที่เยอรมนี ด้วยอาการหัวใจวาย รวมอายุได้ 72 ปี ดาวิท ฮิลเบิร์ท ได้กล่าวยกย่องคันทอร์ไว้ว่า == ดูเพิ่ม == * เซตคันทอร์ * ทฤษฎีบทของคันทอร์ * อนันต์ * จำนวนอะเลฟ * การอ้างเหตุผลแนวทแยงของคันทอร์ * ฟังก์ชันคันทอร์ == อ้างอิง == * วัชรพงษ์ โขวิฑูรกิจ, ภาควิชาวิศวกรรมไฟฟ้า คณะวิศวกรรมศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย, คณิตศาสตร์วิศวกรรมไฟฟ้าขั้นสูง, สำนักพิมพ์แห่งจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย 2546, หน้า 35-36. ISBN 974-13-2533-9 == แหล่งข้อมูลอื่น == * http://www.archive.org/details/contributionstot003626mbp Contributions to the Founding of the Theory of Transfinite Numbers โดย เกออร์ค คันทอร์ ฉบับภาษาอังกฤษ หมวดหมู่:บุคคลที่เกิดในปี พ.ศ. 2388 หมวดหมู่:นักคณิตศาสตร์ชาวเยอรมัน หมวดหมู่:บุคคลจากเซนต์ปีเตอส์เบิร์ก หมวดหมู่:ศิษย์เก่าจากสถาบันเทคโนโลยีแห่งสหพันธ์สวิส ซือริช หมวดหมู่:ศิษย์เก่าจากมหาวิทยาลัยฮุมบ็อลท์แห่งเบอร์ลิน หมวดหมู่:บุคคลจากมหาวิทยาลัยมาร์ติน ลูเทอร์ แห่งฮัลเลอ-วิทเทินแบร์ค หมวดหมู่:ชาวเยอรมันเชื้อสายเดนมาร์ก หมวดหมู่:ชาวเยอรมันเชื้อสายรัสเซีย
เกออร์ค คันทอร์
Infobox scientist | name = นิโคเลาส์ โคเปอร์นิคัส | image = Nikolaus Kopernikus.jpg | caption = "ภาพเหมือนตอรุญ" (ไม่ทราบผู้วาด, ประมาณ ค.ศ.. 1580) ตั้งอยู่ที่District Museum in Toruń|ศาลากลางตอรุญ ประเทศโปแลนด์efn|ภาพเหมือนของโคเปอร์นิคัสที่เก่าแก่ที่สุดอยู่ที่นาฬิกาดาราศาสตร์สทราซบูร์ที่วาดโดย Tobias Stimmer ประมาณ ค.ศ. 1571–74 ข้อความที่จารึกข้างภาพเขียนว่าวาดตามภาพเหมือนตนเองของโคเปอร์นิคัสเอง นั่นทำให้มีแนวคิดว่าภาพเหมือนตอรุญ ซึ่งไม่ทราบผู้วาด อาจคัดลอกจากภาพเหมือนตนเองด้วยAndré Goddu, ''Copernicus and the Aristotelian Tradition'' (2010), https://books.google.com/books?id=iEjk13-1xSYC&pg=PA436 p. 436 (note 125), citing Goddu, review of Jerzy Gassowski, "''Poszukiwanie grobu Mikołaja Kopernika'' ("Search for Grave of Nicolaus Copernicus"), in ''Journal for the History of Astronomy'', 38.2 (May 2007), p. 255. | birth_date = 19 กุมภาพันธ์ ค.ศ. 1473 | birth_place = | death_date = | death_place = | field = | education = | known_for = ระบบดวงอาทิตย์เป็นศูนย์กลางทฤษฎีปริมาณของเงินกฎเกรแชม–โคเปอร์นิคัส | signature = Nicolaus Copernicus signature (podpis Mikołaja Kopernika).svg | academic_advisors = Domenico Maria Novara da Ferrara | influenced = แอริสตอเติลอิบน์ รุชด์ยุคลิดHaly AbenragelRegiomontanus | influences = โยฮันเนิส เค็พเพลอร์ '''นิโคเลาส์ โคเปอร์นิคัส''' (, ''มีกอไว กอแปร์ญิก''; 19 กุมภาพันธ์ ค.ศ. 1473 – 24 พฤษภาคม ค.ศ. 1543) เป็นนักคณิตศาสตร์และนักดาราศาสตร์สมัยฟื้นฟูศิลปวิทยา ผู้คิดค้นแบบจำลองระบบดวงอาทิตย์เป็นศูนย์กลางสมบูรณ์ ซึ่งดวงอาทิตย์เป็นศูนย์กลางของระบบสุริยะ มิใช่โลก#Reference-Linton-2004|Linton (2004, pp.&nbsp;http://books.google.com.au/books?id=aJuwFLGWKF8C&pg=PA39 39,&nbsp;http://books.google.com.au/books?id=aJuwFLGWKF8C&pg=PA119 119) อย่างไรก็ดี โคเปอร์นิคัสมิใช่ผู้แรกที่เสนอระบบดวงอาทิตย์เป็นศูนย์กลางในบางรูปแบบ นักคณิตศาสตร์และนักดาราศาสตร์ชาวกรีกคนหนึ่ง ชื่อ อริสตาซูสแห่งซามอส ได้เสนอแนวคิดดังกล่าวมาตั้งแต่ศตวรรษที่ 3 ก่อนคริสตกาลแล้ว กระนั้น มีหลักฐานน้อยมากว่าเขาเคยพัฒนาความคิดของเขาไกลเกินแบบร่างง่าย ๆ เท่านั้น #Reference-Dreyer-1953|(Dreyer, 1953, http://www.archive.org/stream/historyofplaneta00dreyuoft#page/134/mode/2up pp.&nbsp;135–48). การตีพิมพ์หนังสือ ''De revolutionibus orbium coelestium'' (ว่าด้วยการปฏิวัติของทรงกลมฟ้า) ของโคเปอร์นิคัส ก่อนหน้าที่เขาเสียชีวิตไม่นาน ถูกพิจารณาว่าเป็นเหตุการณ์สำคัญในประวัติศาสตร์วิทยาศาสตร์ เป็นการเริ่มต้นการปฏิวัติโคเปอร์นิคัสและมีส่วนสำคัญต่อความรุ่งเรืองของการปฏิวัติวิทยาศาสตร์ที่เกิดขึ้นตามมา ทฤษฎีระบบดวงอาทิตย์เป็นศูนย์กลางอธิบายกลไกของระบบสุริยะในเชิงคณิตศาสตร์ มิใช่ด้วยคำของอริสโตเติล โคเปอร์นิคัสเป็นหนึ่งในผู้เชี่ยวชาญหลายสาขาแห่งสมัยฟื้นฟูศิลปวิทยา เป็นทั้งนักคณิตศาสตร์ นักดาราศาสตร์ นักนิติศาสตร์ที่สำเร็จดุษฎีบัณฑิตในวิกฎหมาย นักฟิสิกส์ ผู้รู้สี่ภาษา นักวิชาการคลาสสิก นักแปล ศิลปิน สงฆ์คาทอลิก ผู้ว่าราชการ นักการทูตและนักเศรษฐศาสตร์ == การปฏิวัติทางดาราศาสตร์ของโคเปอร์นิคัส == ในเวลานั้นโคเปอร์นิคัสได้เสนอให้ดวงอาทิตย์เป็นจุดศูนย์กลางของจักรวาลแทนโลกในแนวความคิดเดิม โดยให้ดาวเคราะห์ต่าง ๆ เช่น โลก ดาวศุกร์ หรือ ดาวพุธ โคจรรอบดวงอาทิตย์เป็นวงกลม (ในเวลาต่อมาโยฮันเนิส เค็พเพลอร์ได้เสนอว่าควรเป็นวงรีดั่งโมเดลในปัจจุบัน) ถึงแม้ว่าความแม่นยำในการทำนายด้วยทฤษฎีของโคเปอร์นิคัสนั้น''ไม่ได้ดีกว่า''ทฤษฎีเก่าของอริสโตเติลและทอเลมีเลย (ไม่ได้ให้ผลการทำนายตำแหน่งของดวงดาวต่าง ๆ แม่นยำกว่าทฤษฎีเก่า) แต่ว่าทฤษฎีนี้ ถูกใจนักวิทยาศาสตร์ชื่อดังในยุคนั้นหลายคน เช่น เรอเน เดส์การตส์|เดส์การตส์ กาลิเลโอ กาลิเลอี|กาลิเลโอ และเค็พเพลอร์ เนื่องจากว่าทฤษฎีของโคเปอร์นิคัสนั้นเข้าใจง่ายและซับซ้อนน้อยกว่ามาก โดยกาลิเลโอกล่าวว่าเขาเชื่อว่ากฎต่าง ๆ ในธรรมชาติน่าจะเป็นอะไรที่สวยงามและเรียบง่าย ทฤษฎีโลกเป็นศูนย์กลางดูซับซ้อนมากเกินไปจนไม่น่าเป็นไปได้ (ดูทฤษฎีความอลวนเพิ่มเติม) แนวคิดของกาลิเลโอนี้ ตรงกับหลักการของออคแคม (Ockham's/Occam's razor) ในปรัชญาวิทยาศาสตร์ ซึ่งถูกนำมาประยุกต์ใช้ในงานวิจัยด้านการเรียนรู้ของเครื่อง == เกียรติยศ == โคเปอร์นิคัสได้รับเกียรติจากประเทศโปแลนด์ ให้เป็นชื่อมหาวิทยาลัยในตอรุญ ตั้งในปี ค.ศ. 1945 ชื่อของเขาเป็นชื่อธาตุตัวที่ 112 ที่ IUPAC ได้ประกาศไป ==หมายเหตุ== ==อ้างอิง== === ข้อมูล === * * * * * * * * * Norman Davies|Davies, Norman, ''God's Playground|God's Playground: A History of Poland'', 2 vols., New York, Columbia University Press, 1982, . * Dobrzycki, Jerzy, and Leszek Hajdukiewicz, "Kopernik, Mikołaj", ''Polski słownik biograficzny'' (Polish Biographical Dictionary), vol. XIV, Wrocław, Polish Academy of Sciences, 1969, pp.&nbsp;3–16. * * * * * * (Extracts from #Reference-Finocchiaro-1989|Finocchiaro (1989)) * * * * * * * * * * * * * Original edition published by Hutchinson (1959, London) * * * * * * * * * * Czesław Miłosz|Miłosz, Czesław, ''The History of Polish Literature'', second edition, Berkeley, University of California Press, 1969, . * Stephen Mizwa|Mizwa, Stephen, ''Nicolaus Copernicus, 1543–1943'', Kessinger Publishing, 1943. * * * * * * * * * * * * * * * Dava Sobel, ''A More Perfect Heaven: How Copernicus Revolutionized the Cosmos'', New York, Walker & Company, 2011, . Features a fictional play about Rheticus' visit to Copernicus, sandwiched between chapters about the visit's pre-history and post-history. * * * * * (A biography of Danish astronomer and alchemist Tycho Brahe.) * * * == แหล่งข้อมูลอื่น == '''ข้อมูลปฐมภูมิ''' * * * * http://pka.bj.uj.edu.pl/bjmanus/revol/titlpg_e.html De Revolutionibus, autograph manuscript – Full digital facsimile, Jagiellonian University * http://domwarminski.pl/index.php?option=com_content&view=article&id=19 Polish translations of letters written by Copernicus in Latin or German * http://hos.ou.edu/galleries//16thCentury/Copernicus/ Online Galleries, History of Science Collections, University of Oklahoma Libraries High resolution images of works by and/or portraits of Nicolaus Copernicus in .jpg and .tiff format. * https://polona.pl/search/?query=author:Miko%C5%82aj_Kopernik&filters=language:%C5%82aci%C5%84ski,creator:%22Kopernik,_Miko%C5%82aj_(1473--1543)%22,creator:%22Kopernik,_Miko%C5%82aj__(1473--1543)%22,public:1,hasTextContent:0&advanced=1 Works by Nicolaus Copernicus in digital library Polona '''ทั่วไป''' * * * http://www.visittorun.pl/index.php?strona=6 Copernicus in Torun * http://www.muzeum.torun.pl/strona-26-copernicus_house.html Copernicus House, District Museum in Toruń * http://copernicus.torun.pl/en/ Nicolaus Copernicus Thorunensis by the http://copernicus.torun.pl/en/project/ Copernican Academic Portal * https://web.archive.org/web/20041009151823/http://www.frombork.art.pl/Ang01.htm Nicolaus Copernicus Museum in Frombork * Portraits of Copernicus: http://www.nbcnews.com/id/9913250 Copernicus's face reconstructed; http://www-groups.dcs.st-andrews.ac.uk/~history/PictDisplay/Copernicus.html Portrait ; https://web.archive.org/web/20041013153447/http://www.frombork.art.pl/Ang10.htm Nicolaus Copernicus * http://www.hps.cam.ac.uk/starry/coperastrol.html Copernicus and Astrology * http://plato.stanford.edu/entries/copernicus/ Stanford Encyclopedia of Philosophy entry * http://news.bbc.co.uk/1/hi/world/europe/4405958.stm 'Body of Copernicus' identified – BBC article including image of Copernicus using facial reconstruction based on located skull * http://www-personal.umich.edu/~jbourj/money2.htm Nicolaus Copernicus on the 1000 Polish Zloty banknote. * http://www.mhhe.com/physsci/astronomy/fix/student/images/04f08.jpg Copernicus's model for Mars * http://www.mhhe.com/physsci/astronomy/fix/student/images/02f27.jpg Retrograde Motion * http://www.mhhe.com/physsci/astronomy/fix/student/images/04f04.jpg Copernicus's explanation for retrograde motion * http://www.mhhe.com/physsci/astronomy/fix/student/images/04f07.jpg Geometry of Maximum Elongation * http://csep10.phys.utk.edu/astr161/lect/retrograde/copernican.html Copernican Model * https://web.archive.org/web/20041013153447/http://www.frombork.art.pl/Ang10.htm Portraits of Nicolaus Copernicus '''เกี่ยวกับ ''De Revolutionibus''''' * http://galileo.rice.edu/sci/theories/copernican_system.html The Copernican Universe from the De Revolutionibus * http://digital.lib.lehigh.edu/planets/cop.php?num=F.1&exp=false&lang=lat&CISOPTR=0&limit=cop&view=full De Revolutionibus, 1543 first edition – Full digital facsimile, Lehigh University * http://webexhibits.org/calendars/year-text-Copernicus.html The text of the De Revolutionibus * https://www.e-rara.ch/sbs/doi/10.3931/e-rara-79844 Digitized edition of ''De Revolutionibus Orbium Coelestium'' (1543) with annotations of Michael Maestlin on e-rara '''รางวัล''' * https://web.archive.org/web/20090425004549/http://pau.krakow.pl/index.php/en/2008031765/Prizes-by-PAU/Page-2.html Nicolaus Copernicus Prize, founded by the City of Kraków, awarded since 1995 '''ความร่วมมือระหว่างเยอรมนี-โปแลนด์''' * German-Polish "Copernicus Prize" awarded to German and Polish scientists (https://www.dfg.de/en/funded_projects/prizewinners/copernicus_award/index.html DFG website) * http://www.buero-kopernikus.org/en/home/31/0/0 Büro Kopernikus – An initiative of German Federal Cultural Foundation * http://www.bkherne.eu/index.php?option=com_content&view=article&id=304&Itemid=272 German-Polish school project on Copernicus หมวดหมู่:นักคณิตศาสตร์ชาวเยอรมัน หมวดหมู่:นักคณิตศาสตร์ชาวโปแลนด์ หมวดหมู่:นักดาราศาสตร์ชาวเยอรมัน หมวดหมู่:นักดาราศาสตร์ชาวโปแลนด์ หมวดหมู่:บุคคลจากตอรุญ หมวดหมู่:บุคคลในสมัยฟื้นฟูศิลปวิทยา หมวดหมู่:ศิษย์เก่าจากมหาวิทยาลัยกรากุฟ หมวดหมู่:ศิษย์เก่าจากมหาวิทยาลัยโบโลญญา หมวดหมู่:ศิษย์เก่าจากมหาวิทยาลัยปาโดวา หมวดหมู่:ศิษย์เก่าจากมหาวิทยาลัยแฟร์รารา
มีกอไว กอแปร์ญิก
Infobox Philosopher | region = ปรัชญาตะวันตก | era = ปรัชญาศตวรรษที่ 18(ปรัชญาสมัยใหม่) | image = Jean-Jacques Rousseau (painted portrait).jpg | caption = ฌ็อง-ฌัก รูโซ ในปี 1753. | birth_date = | birth_place = เจนีวา, สาธารณรัฐเจนีวา | death_date = | death_place = Ermenonville|แอร์แมน็องวิลล์, ฝรั่งเศส | school_tradition = ทฤษฎีสัญญาประชาคมศิลปะจินตนิยม | main_interests = ปรัชญาการเมือง,ดนตรี, การศึกษา, วรรณกรรม, อัตชีวประวัติ | signature = Jean-Jacques Rousseau Signature.svg | influences = เพลโต, อาริสโตเติล, นิกโกเลาะ มาเกียเวลลี|มาเกียเวลลี, Michel de Montaigne|มงไตแง, เรอเน เดการ์ต|เดการ์ต, Hugo Grotius|โกรทิอุส, โทมัส ฮอบส์|ฮอบส์, บารุค สปิโนซา|สปิโนซา, Samuel von Pufendorf|ฟูเฟนดอร์ฟ, จอห์น ล็อก|ล็อก, มงแต็สกีเยอ, Étienne Bonnot de Condillac|กอนดีลา, เดอนี ดีเดอโร|ดีเดอโร, วอลแตร์, Jean le Rond d'Alembert|ดาเลมแบร์, Louise d'Epinay|เดปีแนย์ | influenced = อิมมานูเอล คานต์, การปฏิวัติฝรั่งเศส, มักซีมีเลียง รอแบ็สปีแยร์|รอแบ็สปีแยร์, หลุยส์ อ็องตวน เดอ แซ็ง-ฌุสต์|แซ็ง-ฌุสต์, ศิลปะจินตนิยม, เดวิด ฮูม, โทมัส เพน, เอ็ดมันด์ เบิร์ก, อดัม สมิธ, Mary Wollstonecraft|วอลสตันคราฟ, Johann Gottlieb Fichte|ฟิชเทอ, จอร์จ วิลเฮล์ม ฟรีดริช เฮเกิล|เฮเกิล, คาร์ล มากซ์, ฟรีดริช เองเงิลส์, ฌ็อง-ปอล ซาทร์, โยฮันน์ วอล์ฟกัง ฟอน เกอเทอ|เกอเทอ, เลโอ ตอลสตอย | notable_ideas = General will, ''amour de soi'', ''amour-propre'', Human nature#State of nature|moral simplicity of humanity, child-centered learning, civil religion, popular sovereignty, positive liberty '''ฌ็อง-ฌัก รูโซ''' (; 28 มิถุนายน พ.ศ. 2255 - 2 กรกฎาคม พ.ศ. 2321) เป็นนักปรัชญา นักเขียน นักทฤษฎีการเมือง และนักประพันธ์เพลงที่ฝึกหัดด้วยตนเองแห่งยุคเรืองปัญญา งานเรื่อง ''วจนิพนธ์ว่าด้วยความไม่เท่าเทียม'' และ ''สัญญาประชาคม (รูโซ)|สัญญาประชาคม'' ของเขาเป็นหลักสำคัญในความคิดการเมืองและสังคมสมัยใหม่ == ปรัชญาของรูโซ == คำสอนของเขาสอนให้คนหันกลับไปหาธรรมชาติ (back to nature) เป็นการยกย่องคุณค่าของคนว่า "ธรรมชาติของคนดีอยู่แล้วแต่สังคมทำให้คนไม่เสมอภาคกัน" เขาบอกว่า "เหตุผลมีประโยชน์ แต่มิใช่คำตอบของชีวิต ดังนั้นเราจึงต้องพึ่งความรู้สึก สัญชาตญาณและอารมณ์ของเราเอง ให้มากกว่าเหตุผล" === ทฤษฎีคนเถื่อนใจธรรม === รูโซเชื่อว่ามนุษย์นั้นเป็นคนดีโดยธรรมชาติ หรือเป็น "คนเถื่อนใจธรรม" (noble savage) เมื่ออยู่ในสภาวะธรรมชาติ (สภาวะเดียวกันกับสัตว์อื่น ๆ และเป็นสภาพที่มนุษย์อยู่มาก่อนที่จะมีการสร้างอารยธรรม และสังคม) แต่ถูกทำให้แปดเปื้อนโดยสังคม เขามองสังคมว่าเป็นสิ่งที่ถูกประดิษฐ์ขึ้น และเชื่อว่าการพัฒนาของสังคม โดยเฉพาะการเพิ่มขึ้นของการพึ่งพากันในสังคมนั้น เป็นสิ่งที่อันตรายต่อความเป็นอยู่ของมนุษย์ ความเรียงชื่อ "การบรรยายเกี่ยวกับศิลปะและวิทยาศาสตร์" (พ.ศ. 2293) ที่ได้รับรางวัลของเมือง ได้อธิบายว่าความก้าวหน้าทางวิทยาศาสตร์และศิลปศาสตร์นั้น ไม่เป็นประโยชน์กับมนุษย์ เขาได้เสนอว่าพัฒนาการของความรู้ทำให้รัฐบาลมีอำนาจ (สังคมวิทยา)|อำนาจมากขึ้น และทำลายเสรีภาพของปัจเจกชน เขาสรุปว่าพัฒนาการเชิงวัตถุนั้น จะทำลายโอกาสของความเป็นเพื่อนที่จริงใจ โดยจะทำให้เกิดความอิจฉา ความกลัว และ ความระแวงสงสัย งานชิ้นถัดมาของเขา ''การบรรยายว่าด้วยความไม่เสมอภาค'' ศึกษาเกี่ยวกับการพัฒนาและการทำลายของมนุษย์ ตั้งแต่ในสมัยโบราณ จนถึงสมัยใหม่ เขาเสนอว่ามนุษย์ในยุคแรกสุดนั้น เป็นมนุษย์ครึ่งลิงและอยู่แยกกัน มนุษย์แตกต่างจากสัตว์เนื่องจากมีเจตจำนงเสรี (free will) และเป็นสิ่งที่สามารถแสวงหาความสมบูรณ์แบบได้ เขายังได้กล่าวว่ามนุษย์ยุคบุคเบิกนี้มีความต้องการพื้นฐาน ที่จะดูแลรักษาตนเอง และมีความรู้สึกห่วงหาอาทรหรือความสงสาร เมื่อมนุษย์ถูกบังคับให้ต้องมีความสัมพันธ์กันมากขึ้นเนื่องจากการเพิ่มขึ้นของประชากร จึงได้เกิดการปรับเปลี่ยนทางด้านจิตวิทยา และได้เริ่มให้ความสำคัญกับความคิดเห็นของคนอื่น ๆ ว่าเป็นสิ่งสำคัญต่อการมีชีวิตที่ดีของตนเอง รูโซได้เรียกความรู้สึกใหม่นี้ว่าเป็นจุดเริ่มต้นของการผลิบานของมนุษย์ รูโซ มีชีวิตอยู่ในช่วงรัชสมัยสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวท้ายสระ จนถึงรัชสมัยสมเด็จพระเจ้ากรุงธนบุรีของประเทศไทย เกิดในเจนีวา สวิตเซอร์แลนด์ งานเขียนของเขาส่งอิทธิพลต่อการปฏิวัติฝรั่งเศสด้วย == อ้างอิง == * Virioli, Maurizio (1988 2003). Jean-Jacques Rousseau and the 'Well-Ordered Society'. Hanson, Derek, translator. Cambridge University Press, 2003 ISBN 0-521-53138-1, 9780521531382 * Williams, David Lay (2007). Rousseau’s Platonic Enlightenment. Pennsylvania State University Press. หมวดหมู่:บุคคลที่เกิดในปี พ.ศ. 2255 หมวดหมู่:นักปรัชญา หมวดหมู่:ผู้เขียนอัตชีวประวัติชาวสวิส หมวดหมู่:นักปรัชญาชาวสวิส หมวดหมู่:บุคคลจากเจนีวา หมวดหมู่:ผู้เขียนอัตชีวประวัติชาวฝรั่งเศส หมวดหมู่:นักปรัชญายุคเรืองปัญญา หมวดหมู่:นักปรัชญาการเมือง
ฌ็อง-ฌัก รูโซ
'''หลี่ ไป๋''' (; ) (ค.ศ. 701-ค.ศ. 762|762) เป็นกวีชาวจีน|จีนที่ยิ่งใหญ่แห่งราชวงศ์ถัง ได้รับยกย่องเป็น ''กวีผู้ยิ่งใหญ่'' หนึ่งในสองคนเท่าที่ปรากฏในประวัติศาสตร์งานประพันธ์ของจีน เคียงคู่กันกับชื่อของตู้ฝู่ บทกวีของหลี่ไป๋ได้รับอิทธิพลจากจินตภาพของเต๋า และการนิยมชมชอบการดื่มสุรา เช่นเดียวกับ ตู้ฝู่ เขาเป็นหนึ่งในแปดของ ''แปดอมตะไหสุรา'' (飲中八仙, Eight Immortals of the Wine Cup) ซึ่งปรากฏชื่ออยู่ในงานกวีของตู้ฝู่ หลี่ไป๋ได้ใช้เวลาส่วนใหญ่ในชีวิตไปกับการท่องเที่ยว ในกรณีของเขาเนื่องจากมีฐานะดีจึงสามารถท่องเที่ยวได้ ไม่ใช่เพราะว่าความยากจนจึงต้องท่องเที่ยวไปในที่ต่าง ๆ หลี่ไป๋เคยเล่าว่าครั้งหนึ่ง เขาได้ตกจากเรือลงไปในแม่น้ำแยงซี ขณะกำลังเมาและพยายามจะไขว่คว้าดวงจันทร์|พระจันทร์ งานกวีนิพนธ์ของหลี่ไป๋ยังคงอยู่มาจนถึงปัจจุบันมากกว่า 1,100 ชิ้น มีการแปลบทกวีของเขาไปเป็นภาษาตะวันตกครั้งแรกในปี พ.ศ. 2405 โดย มาร์ควิส ดีเฮอร์วีย์ เดอ แซงต์เดนีส์ ในหนังสือ ''Poésies de l'Époque des Thang''D'Hervey de Saint-Denys (1862). ''Poésies de l'Époque des Thang'' (Amyot, Paris). See Minford, John and Lau, Joseph S. M. (2000)). ''Classic Chinese Literature'' (Columbia University Press) ISBN 978-0-231-09676-8. และต่อมาในปี พ.ศ. 2444 งานกวีนิพนธ์ของหลี่ไป๋ก็เป็นที่รู้จักกว้างขวางในแวดวงวรรณกรรมตะวันตก เมื่อสำนักพิมพ์ Herbert Allen Giles พิมพ์เผยแพร่ผลงานเรื่อง "ประวัติศาสตร์วรรณคดีจีน" (History of Chinese Literature) == ประวัติ == หลี่ไป๋เป็นลูกพ่อค้าที่ร่ำรวย สถานที่เกิดยังไม่ทราบแน่ชัด จากการสันนิษฐานน่าจะอยู่ใน Suiye ในเอเชียกลาง (ปัจจุบันอยู่ที่ Tokmak, คีร์กีซสถาน) เมื่ออายุได้ 5 ขวบ ครอบครัวของเขาย้ายมาที่เจียงหยู ใกล้กับเมืองเฉิงตูในมณฑลเสฉวน เขาได้รับอิทธิพลทางความคิดจากปรัชญาจีนขงจื้อและเต๋า แต่เนื่องจากมรดกที่มากมายของครอบครัวของเขา ไม่ได้ช่วยให้เขาได้รับโอกาสเหมาะในการเป็นขุนนางในราชวงศ์ถัง แม้ว่าเขาจะเคยคิดจะเป็นขุนนางแต่ก็ไม่เคยไปสอบเข้ารับตำแหน่ง เขากลับเริ่มเดินทางท่องเที่ยวไปทั่วจีนเมื่ออายุ 25 ปี่ แสดงให้เห็นว่าเขาเป็นคนรักอิสระ ไม่เหมือนสุภาพบุรุษในลัทธิขงจื้อทั่วไป ด้วยบุคคลิกนี้ทำให้เขาเป็นที่เลื่อมใสจากทั้งขุนนางและคนทั่วไป กระทั่งได้รับการแนะนำถึงจักรพรรรดิจักรพรรดิถังเสฺวียนจง|ถังสวนจงในราวปี ค.ศ. 742 เขาได้เข้าสู่ Hanlin Academy ซึ่งขึ้นตรงปราชญ์ผู้รับใช้จักรพรรรดิ หลี่ไป๋อยู่ในฐานะกวีในราชสำนักได้ไม่ถึง 2 ปีก็ถูกไล่ออกโดยเหตุอันไม่ควร หลังจากนั้นหลี่ไป๋ก็เดินทางท่องเที่ยวไปทั่วแผ่นดินจีนโดยมิได้ตั้งรกรากที่ไหนอีกเลยตลอดชั่วชีวิต เขาได้พบกับตู้ฝู่ ในฤดูใบไม้ร่วงของปี ค.ศ. 744 และอีกครั้งในปีถัดมา พวกเขาไม่ได้พบกันอีกเลยหลังจากนั้น แต่ตู้ฝู่ก็ยังให้ความสำคัญต่อมิตรภาพของพวกเขาเสมอ (บทกวีของตู้ฝู่หลายบทได้เกี่ยวข้องกับหลี่ไป๋ ในขณะที่หลี่ไป๋เขียนถึงตู้ฝู่เพียงบทเดียว) ในช่วงของ กบฏอันลู่ซัน เขาได้ให้เงินช่วยเหลือกบฏต่อจักรพรรดิ (ไม่เป็นที่ทราบแน่ชัดว่าทำไปเพื่อสาเหตุใด) ความล้มเหลวในการก่อกบฏส่งผลให้เขาถูกเนรเทศเป็นครั้งที่สองไปสู่ Yelang แต่เขาได้รับการให้อภัยโทษก่อนสิ้นสุดการเนรเทศ หลี่ไป๋เสียชีวิตใน Dangtu (ปัจจุบันคือ Anhui) ส่วนใหญ่เชื่อว่าเขาเสียชีวิตเพราะไล่จับเงาจันทร์ในแม่น้ำ ฝ่ายหนึ่งเชื่อว่าเพราะพิษตะกั่วเนื่องจากการดื่มยาอายุวัฒนะ ส่วน อีกฝ่ายหนึ่งเชื่อว่าเป็นเพราะพิษสุรา == บทกวี == หลี่ไป๋ได้เขียนมากกว่า 1,000 บทกวี และมีชื่อเสียงที่สุดในบทกวีแบบ (yue fu, 乐府) ซึ่งมีความชัดเจนและมหัศจรรย์ งานของเขาได้รับแนวคิดของเต๋า ส่งเสริมและปรับปรุงแนวคิดของเต๋า หนึ่งในบทกวีที่มีชื่อเสียงของหลี่ไป๋ ''ดื่มเดียวดายใต้เงาจันทร์'' (; ) แสดงออกถึงจิตวิญญาณของธรรมชาติ :花間一壺酒。 ไหสุราประหนึ่งดัง ดอกไม้ :獨酌無相親。 ไร้เพื่อนดื่มเคียงกาย ผู้เดียว :舉杯邀明月。 ยกจอกขึ้นเชื้อเชิญจันทร์ กระจ่างใส :對影成三人。 ทอแสงรวมเงาข้า เป็นสาม :月既不解飲。 จันทร์เจ้าลอยเลื่อน ไม่อาจ ดื่มได้ :影徒隨我身。 เงาเจ้าคล้อยเคลื่อนตาม ติดไหว :暫伴月將影。 มีทั้งจันทร์และเงาอยู่เป็นเพื่อน :行樂須及春。 เริงรื่น ก่อนฤดูไม้พรรณพฤกษ ผลิใบ :我歌月徘徊。 เมื่อข้าร้องเพลง จันทร์ทอแสง :我舞影零亂。 เมื่อข้าเริงระบำ เงาสั่นไหว :醒時同交歡。 เมื่อยังตื่น ร่วมสรวลเสเฮฮา :醉後各分散。 เมื่อเมาแล้ว ต่างต้องแยกจากกัน :永結無情遊。 มิตรภาพของเรายังคงอยู่ตลอดไป :相期邈雲漢。 และพบกันใหม่ในธารดารา1 - Drinking Alone Under The Moon -   - Li Bai - Among the flowers from a pot of wine                I drink alone beneath the bright moonshine.                  I raise my cup to invite the moon, who blends              Her light with my shadow and we're three friends.        The moon does not know how to drink her share;        In vain my shadow follows me here and there.              Together with them for the time I stay                          And make merry before spring's spend away.                I sing the moon to linger with my song;                        My shadow disperses as I dance along. Sober, we three remain cheerful and gay;                    Drunken, we part and each goes his way.                    Our friendship will outshine all earthly love;              Next time we'll meet beyond the stars above.                          -ร่ำเมรัย ใต้เงาจันทร์- * เหล้าหนึ่งไห..ในกลาง..หว่างไม้ดอก ข้าฯยกจอก..บอกจันทร์..อำพันฉาย ร่ำดื่มอยู่..ผู้เดียว..อย่างเปลี่ยวดาย จันทร์-เงา-กาย..คล้ายเหมือน..เพื่อนสามคน         แต่พระจันทร์..นั้นไซ้ร..ไม่ดื่มเหล้า ข้าฯถูกเงา..เฝ้าตาม..ท่ามทุกหน                เกาะกลุ่มกัน..ก่อนกาล..จะผ่านวน              สุขกมล..ด้นดั้น..เคียงกันไป แสงจันทร์นวล..ยวนตา..ข้าฯขานขับ                    เงาขยับ..รับครา..ข้าฯพริ้วไหว          สามสรวลเส..เฮฮา..มิลาไกล และจากลา..คลาไคล..ในยามเมา มิตรภาพ..ซาบซึ้ง..ตราตรึงจิต จะแนบชิด..สนิทใน..ไม่อับเฉา เมื่อห้วงกาล..ผ่านไป..ไม่นานเนา- จนพวกเรา..พบพาน..ณ ธารดารา....ฯ 1 ธารดารา หมายถึงทางช้างเผือก == อ้างอิง == == แหล่งข้อมูลอื่น == * http://www.qlrs.com/critique.asp?id=367 "A T'ang Canon" by Gilbert Wesley Purdy หนังสือและบทความเกี่ยวกับบทกวีในราชวงศ์ถังและชีวประวัติของหลี่ไป๋ * http://dmoz.org/Arts/Literature/Authors/L/Li_Bai/ Open Directory Project category * http://www.poetseers.org/the_great_poets/li_po/li/ Li Po Poems, บทกวีและภาพธรรมชาติ * http://afpc.asso.fr/wengu/wg/wengu.php?l=Tangshi&no=-1&auteur=Li_Bai Li Bai's poems รวบรวม 300 บทกวีสมัยราชวงศ์ถัง (''300 Selected Tang poems'') แปลโดย Witter Bynner. หมวดหมู่:กวีชาวจีน หมวดหมู่:นักเขียนชาวจีน หมวดหมู่:ราชวงศ์ถัง
หลี่ ไป๋
ไฟล์:Andrej Nikolajewitsch Kolmogorov.jpg|thumb|300px|อันเดรย์ นิโคลาเยวิช คอลโมโกรอฟ '''อันเดรย์ นิโคลาเยวิช คอลโมโกรอฟ''' (ภาษารัสเซีย|รัสเซีย: Андре́й Никола́евич Колмого́ров; ภาษาอังกฤษ|อังกฤษ: Andrey Nikolaevich Kolmogorov), เกิดเมื่อวันที่ 25 เมษายน ค.ศ. 1903 เสียชีวิต 20 ตุลาคม ค.ศ. 1987, เป็นนักคณิตศาสตร์ชาวประเทศรัสเซีย|รัสเซีย ยักษ์ใหญ่ในวงการคณิตศาสตร์ในคริสต์ศตวรรษที่ 20 โดยมีผลงานโดดเด่นมากในงาน ทฤษฎีความน่าจะเป็นและทอพอโลยี. อันที่จริงแล้ว คอลโมโกรอฟมีผลงานในแทบทุกแขนงของคณิตศาสตร์ เช่น ตรรกศาสตร์, อนุกรมฟูรีเย, ความปั่นป่วน (turbulence), กลศาสตร์คลาสสิก นอกจากนี้ยังเป็นหนึ่งในผู้คิดค้น ความซับซ้อนแบบคอลโมโกรอฟ ร่วมกับ เกรโกรี ไชตัง และ เรย์ โซโลโมนอฟ ในช่วงช่วงปี ค.ศ. 1960 ถึง ค.ศ. 1970. คอลโมโกรอฟเสมือนเป็นบิดาของ ทฤษฎีความน่าจะเป็นสมัยใหม่ (บางครั้งเรียกว่าทฤษฎีความน่าจะเป็นเชิงคณิตศาสตร์) เนื่องจากได้ปูรากฐานของทฤษฎีความน่าจะเป็นใหม่ทั้งหมด ด้วยสัจพจน์ที่เรียบง่ายเพียงไม่กี่ข้อ. โดยงานวิจัยด้านทฤษฎีความน่าจะเป็นเชิงคณิตศาสตร์ในปัจจุบัน (คนละประเภทกับงานวิจัยด้านทฤษฎีความน่าจะเป็นแบบเบย์) มีรากฐานทั้งหมดอยู่บนสัจพจน์คอลโมโกรอฟนี้ เดวิด ซาลส์เบิร์ก กล่าวยกย่องคอลโมโกรอฟว่าเป็น ''โมซาร์ทแห่งคณิตศาสตร์'' ในหนังสือ ''The Lady Tasting Tea: How Statistics Revolutionized Science in the Twentieth Century'' == ประวัติ == ในปี ค.ศ. 1920 คอลโมโกรอฟได้เข้าเรียนที่มหาวิทยาลัยแห่งมอสโกว์ และได้ศึกษาในหลายสาขาวิชา โดยนอกจากคณิตศาสตร์และวิทยาศาตร์แล้ว คอลโมโกรอฟยังได้เข้าเรียนวิชาผสมโลหะและประวัติศาสตร์ด้วย. ในเวลานั้นคอลโมโกรอฟได้รับอิทธิพลทางด้านคณิตศาสตร์จากนักคณิตศาสตร์ชื่อดังของรัสเซียหลายท่าน ไม่ว่าจะเป็น พี.เอส. อเล็กซานดรอฟ, ลูซิน, เอโกรอฟ, ซัสลิน และ สเตปานอฟ. โดย พี.เอส. อเล็กซานดรอฟ ซึ่งมีชื่อเสียงโด่งดังมากในสมัยนั้นเพิ่งจะกลับมาทำวิจัยที่มหาวิทยาลัยมอสโกว์อีกครั้ง ในช่วงที่คอลโมโกรอฟเข้ามาเรียนปริญญาบัณฑิตพอดี. อย่างไรก็ตามคอลโมโกรอฟรู้สึกประทับใจในวิชาอนุกรมตรีโกณมิติที่สเตปานอฟสอนมากที่สุด. มีข้อสังเกตที่น่าสนใจว่า แม้ขณะที่คอลโมโกรอฟยังเรียนอยู่ในระดับปริญญาตรี เขาก็ได้เริ่มทำงานวิจัยที่มีผลกระทบในวงกว้างแล้ว. ในฤดูหนาวของปี ค.ศ. 1922 คอลโมโกรอฟได้ทำบทความวิชาการเกี่ยวกับตัวดำเนินการทางเซตจนเสร็จสิ้น งานชิ้นนี้ได้ขยายแนวความคิดเดิมของซัสลินให้ใช้ได้อย่างกว้างขวางมากขึ้น. และในเดือนมิถุนายนปีเดียวกัน คอลโมโกรอฟสามารถสร้างฟังก์ชันที่มีลักษณะแปลกประหลาด คือ ฟังก์ชันที่หาผลรวมได้แต่ลู่ออกแทบทุกจุด (a summable function which diverged almost everywhere) ซึ่งไม่เคยมีนักคณิตศาสตร์ท่านใดคาดคิดมาก่อนว่าจะมีฟังก์ชันประเภทนี้อยู่จริง งานนี้ส่งผลให้ชื่อของคอลโมโกรอฟเริ่มกระจายไปทั่วโลก. และในช่วงเวลาเดียวกันนี้คอลโกโกรอฟก็ยังสนใจงานคณิตวิเคราะห์ ไม่ว่าจะเป็นอนุพันธ์ ปริพันธ์ หรือทฤษฎีการวัด. คอลโมโกรอฟทำวิจัยในหลาย ๆ เรื่องทางคณิตศาสตร์ที่แตกต่างกันออกไป โดยแต่ละผลงานของเขาสามารถเห็นความเป็นต้นฉบับในรูปแบบของเขา เห็นเทคนิกวิธีการแก้ไขปัญหาที่หลากหลาย และเห็นความคิดที่ลึกซึ้งของคอลโมโกรอฟในการเจาะปัญหาแต่ละแบบ. <!-- Kolmogorov worked at Moscow State University. He studied under Nikolai Luzin, earning his Ph.D. in 1925, in 1931 he became the professor of the university. In 1939 he received the title of academician of the Russian Academy of Sciences|USSR Academy of Sciences. Quote: :"The theory of probability as mathematical discipline can and should be developed from axioms in exactly the same way as Geometry and Algebra." --> == ดูเพิ่ม == * สัจพจน์ของความน่าจะเป็น * ความซับซ้อนแบบคอมโมโกรอฟ * ปริภูมิคอลโมโกรอฟ * การทดสอบแบบคอลโมโกรอฟ-สเมอรนอฟ * สมการของแชปแมน-คอลโมโกรอฟ * Kolmogorov-Arnold-Moser theorem * Kolmogorov's zero-one law * Minkowski-Bouligand dimension|Kolmogorov dimension (upper box dimension) == หนังสือชีวประวัติ == * ''Selected works of A.N. Kolmogorov / edited by V.M. Tikhomirov; translated from the Russian by V.M. Volosov''. 3 volumes. Dordrecht; Boston : Kluwer Academic Publishers, c1991-c1993 ISBN 90-277-2795-3 . == แหล่งข้อมูลอื่น == * http://www.kolmogorov.com/ The Legacy of Andrei Nikolaevich Kolmogorov Curriculum Vitae and Biography. Kolmogorov School. Ph.D. students and descendants of A.N. Kolmogorov. A.N. Kolmogorov works, books, papers, articles. Photographs and Portraits of A.N. Kolmogorov. * http://www-gap.dcs.st-and.ac.uk/~history/Mathematicians/Kolmogorov.html St. Andrews MacTutor History of Mathematics Archive Biography of Andrey Nikolaevich Kolmogorov. * http://www.geometry.net/scientists/kolmogorov_andrey.php Collection of links to Kolmogorov resources * http://www.kolmogorov.pms.ru/ Andrei Nikolaevich Kolmogorov (in Russian) * http://www.pms.ru/ Kolmogorov School at Moscow University * http://www.genealogy.ams.org/html/id.phtml?id=10480 Mathematical genealogy of A.N.&nbsp;Kolmogorov หมวดหมู่:นักคณิตศาสตร์ชาวรัสเซีย|คอลโมโกรอฟ, อันเดรย์ หมวดหมู่:นักทฤษฎีระบบควบคุม|คอลโมโกรอฟ, อันเดรย์ หมวดหมู่:บุคคลจากแคว้นยาโรสลัฟล์
อันเดรย์ คอลโมโกรอฟ
Infobox scientist | name = มารี กูว์รี | image = Marie Curie c. 1920s.jpg | alt = | caption = กูว์รี | birth_name = มาเรีย ซาลอแมอา สกวอดอฟสกา | birth_date = | birth_place = วอร์ซอ คองเกรสโปแลนด์ จักรวรรดิรัสเซีย | death_date = | death_place = Passy จังหวัดโอต-ซาวัว ประเทศฝรั่งเศส | death_cause = ภาวะไขกระดูกฝ่อhttps://nationalstemcellfoundation.org/glossary/aplastic-anemia/#:~:text=Marie%20Curie%2C%20famous%20for%20her,radiation%20were%20not%20then%20known Marie Curie profile, nationalstemcellfoundation. Accessed 16 July 2022. | citizenship = | alma_mater = ubl|มหาวิทยาลัยปารีส|ESPCI | thesis_title = (Research on Radioactive Substances) | thesis_url = http://www.worldcat.org/oclc/1013413307 | thesis_year = 1903 | doctoral_advisor = กาเบรียล ลิพพ์มานน์ | doctoral_students = | known_for = | awards = | signature = Marie Curie Skłodowska Signature Polish.svg | footnotes = เธอป็นบุคคลเดียวที่ได้รับรางวัลโนเบลสองสาขาด้านวิทยาศาสตร์ | spouse = | children = | field = | work_institutions = * มหาวิทยาลัยปารีส ** Curie Institute (Paris)|Institut du Radium * École Normale Supérieure * French Academy of Medicine * International Committee on Intellectual Cooperation '''มารี สกวอดอฟสกา-กูว์รี''' () มีชื่อแต่แรกเกิดว่า '''มาเรีย ซาลอแมอา สกวอดอฟสกา''' (; ; 7 พฤศจิกายน ค.ศ. 1867 – 4 กรกฎาคม ค.ศ. 1934) เป็นนักเคมีผู้ค้นพบรังสีเรเดียม ที่ใช้ยับยั้งการขยายตัวของมะเร็ง ซึ่งเป็นโรคร้ายที่ไม่สามารถรักษาให้หายขาดได้ แต่มีอัตราการตายของคนไข้เป็นอันดับหนึ่งมาทุกยุคสมัย ด้วยผลงานที่มีความสำคัญต่อมนุษยชาติเหล่านี้ ทำให้มารี กูว์รีได้รับรางวัลโนเบลถึง 2 ครั้งด้วยกัน == ประวัติ == มารี กูว์รี เป็นชาวโปแลนด์ เกิดเมื่อวันที่ 7 พฤศจิกายน ค.ศ. 1867 ที่วอร์ซอ|เมืองวอร์ซอ เขตวิสทูลา จักรวรรดิรัสเซีย ซึ่งปัจจุบันเป็นประเทศโปแลนด์http://guru.sanook.com/history/topic/1582/มารี_กูรี_นักเคมีชาวโปแลนด์เสียชีวิต/ มารี กูรี นักเคมีชาวโปแลนด์เสียชีวิต เป็นบุตรของบรอญิสวาวา () กับววาดึสวัฟ () ววาดึสวัฟ (บิดา) เป็นครูสอนวิทยาศาสตร์ และมักพาเธอมาที่ห้องปฏิบัติการเสมอ จึงทำให้เธอสนใจวิชาด้านวิทยาศาสตร์ตั้งแต่เด็ก แม้จะมีเหตุการณ์ทางการเมืองเมื่อประเทศรัสเซีย|รัสเซียมาปกครองโปแลนด์และบังคับให้ใช้ภาษารัสเซียเป็นภาษาทางการก็ตาม ในสมัยนั้นค่านิยมในสังคมของผู้หญิงส่วนใหญ่จะต้องเรียนการเป็นแม่บ้าน ซึ่งมารี กูว์รี แตกต่างโดยสิ้นเชิง ที่ใส่ใจค้นคว้าทางด้านวิทยาศาสตร์ หลังจบการศึกษาระดับต้นแล้ว เธอกับพี่สาวก็ทำงานด้วยการเป็นครูโรงเรียนอนุบาล|สอนอนุบาล สอนหนังสือให้กับเด็ก ๆ แถว ๆ นั้น โดยทั้งสองมุ่งหวังอยากไปเรียนต่อที่ประเทศฝรั่งเศส|ฝรั่งเศส แต่เงินไม่พอกับค่าใช้จ่าย เธอจึงให้บรอญาผู้เป็นพี่สาวไปเรียนต่อด้านแพทยศาสตร์ก่อน พอจบแล้วค่อยส่งเสียเธอเรียนต่อด้านวิทยาศาสตร์ต่อไป จนพี่สาวจบมาเธอก็ได้ไปเรียนต่อที่มหาวิทยาลัยปารีส สมใจแต่ด้วยเงินอันน้อยนิดจากพี่สาวไม่พอต่อค่าใช้จ่าย เธอจึงดิ้นรนหางานทำจนได้เป็นผู้ช่วยในห้องปฏิบัติการทางเคมีของปีแยร์ กูว์รี จนทั้งสองแต่งงานมีลูกด้วยกัน แต่ปีแยร์เสียชีวิตก่อนเพราะอุบัติเหตุรถม้าชน ระหว่างที่เรียนไปทำงานไป เธอก็มุ่งมั่นศึกษาทดลองไปเรื่อย ๆ จนมาพบรังสีแร่เรเดียม|ธาตุเรเดียม โดยได้มาจากแร่พิตช์เบลนด์ที่เป็นออกไซต์ชนิดหนึ่งสามารถแผ่กระจายรังสีได้ จากการเพียรพยายามทดลองมาหลายปีในการสกัดแร่ชนิดต่าง ๆ จนมาพบรังสีดังกล่าวทำให้เธอได้รับปริญญาเอกในการค้นพบแร่ธาตุเรเดียม จนใน ค.ศ. 1902 เธอก็สามารถสกัดแร่เรเดียมให้บริสุทธิ์ได้ เรียกว่า ''เรเดียมคลอไรด์'' ที่สามารถแผ่รังสีได้มากกว่ายูเรเนียมหลายเท่า มีคุณสมบัติคือ ให้แสงสว่างและความร้อนได้ และเมื่อแร่นี้แผ่รังสีไปถูกวัตถุอื่น วัตถุนั้นจะเปลี่ยนสภาพเป็นธาตุกัมมันตรังสี และสามารถแผ่รังสีได้เช่นเดียวกันกับแร่เรเดียม จนทำให้เธอได้รับรางวัลโนเบลต่อมา ไฟล์:Marie_Curie_1903.jpg|thumb|มารี กูว์รี ใน ค.ศ. 1903 การศึกษาค้นคว้าเกี่ยวกับแร่เรเดียมอย่างหนัก และต่อเนื่องกว่า 4 ปี ทำให้เธอได้รับรางวัลโนเบลอีกครั้ง แม้สามีจะเสียชีวิตก็ตาม ด้วยกำลังใจอันล้นเปี่ยม เมื่อเกิดภาวะสงครามโลกครั้งที่ 1 ซึ่งผู้คนส่วนมากล้มตายและถูกเกณฑ์ไปเป็นทหาร เธอจึงอาสาสมัครเป็นอาสากาชาดเพื่อช่วยทหารที่บาดเจ็บ ในการเอกซเรย์เคลื่อนที่ตระเวนรักษาตามหน่วยต่าง ๆ จนสงครามสงบเธอก็กลับมาทำงาน แต่ก็ต้องล้มป่วยเพราะผลมาจากการทำงานหนัก และโดนรังสีเรเดียม ทำให้ไขกระดูกถูกทำลายและเสียชีวิตในเวลาต่อมาhttp://www.rmutphysics.com/charud/specialnews/3/marie/marie4.htm มารี กูว์รี นักวิทยาศาสตร์หญิงผู้มีจิตใจอันประเสริฐ อนึ่ง มารี กูว์รี สามารถจดสิทธิบัตรได้ และทำให้เธอเป็นเศรษฐีได้ในพริบตา แต่เธอกลับเลือกที่จะมอบสิ่งที่เธอค้นพบให้กับโลก ทำให้เธอและครอบครัวเป็นเพียงครอบครัวนักวิทยาศาสตร์ที่มีฐานะยากจนตลอดจนเสียชีวิต หลังการเสียชีวิตของ มารี กูว์รี หนึ่งในลูกสาวของเธออีแรน ฌอลีโย-กูว์รี ก็ได้ค้นคว้างานวิจัยของเธอต่อไป จนประสบความสำเร็จได้รับรางวัลโนเบลในเวลาต่อมา == รางวัลที่ได้รับ == ไฟล์:Dyplom Sklodowska-Curie.jpg|thumb|200px|ประกาศนียบัตรรางวัลโนเบลของมารี กูว์รี * รางวัลโนเบลสาขาฟิสิกส์ ค.ศ. 1903 จากผลงานการพบธาตุเรเดียมhttp://www.icphysics.com/modules.php?name=News&file=article&sid=12&mode=thread&order=0&thold=0 โนเบลสาขาฟิสิกส์ ผู้ได้รับรางวัลโนเบลสาขาฟิสิกส์ * Davy Medal ค.ศ. 1903 * Matteucci Medal ค.ศ. 1904 * รางวัลโนเบลสาขาเคมี ค.ศ. 1911 จากผลงานการค้นคว้าหาประโยชน์จากธาตุเรเดียม == การวิพากษ์วิจารณ์ == หลังจากปีแยร์ กูว์รี สามีของเธอจากไป มารีเคยถูกกล่าวหาว่าเป็นชู้กับนักฟิสิกส์ที่มีภรรยาแล้ว มีหลักฐานปรากฏชัดเป็นจดหมายรักที่เธอเขียน เรื่องได้เปิดเผยสู่สาธารณชนก่อนที่เธอจะเข้ารับรางวัลโนเบลครั้งที่สอง มีผู้ออกมาวิพากษ์วิจารณ์และกีดกันไม่ให้เธอเข้ารับรางวัล แต่เธอกลับกล่าวว่าเรื่องส่วนตัวไม่เกี่ยวกับการรับรางวัล == ดูเพิ่ม == * ปีแยร์ กูว์รี * กูว์รี (หน่วย) == อ้างอิง == == แหล่งข้อมูลอื่น == <!-- Please be cautious adding more external links. Wikipedia is not a collection of links and should not be used for advertising. Excessive or inappropriate links will be removed. See Wikipedia:External links and Wikipedia:Spam for details. If there are already suitable links, propose additions or replacements on the article's talk page. --> * * * * * * หมวดหมู่:บุคคลที่เกิดในปี พ.ศ. 2410 หมวดหมู่:กัมมันตรังสี หมวดหมู่:นักฟิสิกส์ชาวฝรั่งเศส หมวดหมู่:นักเคมีชาวโปแลนด์ หมวดหมู่:นักฟิสิกส์ชาวโปแลนด์ หมวดหมู่:ผู้ได้รับรางวัลโนเบลสาขาฟิสิกส์ หมวดหมู่:ผู้ได้รับรางวัลโนเบลสาขาเคมี หมวดหมู่:ผู้ได้รับรางวัลโนเบลมากกว่าหนึ่งครั้ง หมวดหมู่:ชาวโปแลนด์ผู้ได้รับรางวัลโนเบล หมวดหมู่:ชาวฝรั่งเศสผู้ได้รับรางวัลโนเบล หมวดหมู่:ผู้หญิงผู้ได้รับรางวัลโนเบล หมวดหมู่:นักวิทยาศาสตร์หญิง หมวดหมู่:บุคคลจากวอร์ซอ หมวดหมู่:เสียชีวิตจากโรคเลือด หมวดหมู่:บุคคลจากมหาวิทยาลัยปารีส หมวดหมู่:บุคคลที่เคยนับถือศาสนาคริสต์
มารี กูว์รี
Infobox writer | name = ทอม แคลนซี | image = Tom Clancy at Burns Library cropped.jpg | caption = แคลนซี ที่ห้องสมุดเบิร์นของวิทยาลัยบอสตันเมื่อเดือนพฤศจิกายน พ.ศ. 2532 | birth_name = โทมัส ลีโอ แคลนซี จูเนียร์ | birth_date = | birth_place = บอลทิมอร์, แมรีแลนด์, สหรัฐอเมริกา | death_date = | death_place = บอลทิมอร์, แมรีแลนด์, สหรัฐอเมริกา | occupation = นักเขียนนวนิยาย | alma_mater = Loyola University Maryland|Loyola College (Bachelor of Arts|BA) | nationality = อเมริกัน | period = พ.ศ. 2527–2556 | genre = | spouses = Unbulleted list|| | children = 5 '''ทอม แคลนซี''' () ชื่อเต็มคือ '''โทมัส ลีโอ แคลนซี จูเนียร์''' (; 12 เมษายน พ.ศ. 2490 – 1 ตุลาคม พ.ศ. 2556)A few sources, such as Who's Who and , give his birth date as March 12, 1947. He died Wednesday October 2, 2013. เป็นนักเขียนนิยายสงครามและการเมืองชาวอเมริกัน นวนิยายสิบเจ็ดเรื่องของเขาติดอันดับหนังสือขายดี ด้วยยอดจำหน่ายกว่า 100 ล้านเล่มในการจัดพิมพ์ == ชีวิตช่วงต้น == แคลนซีเกิดที่โรงพยาบาลแฟรงกลินสแควร์ (:en:MedStar_Franklin_Square_Medical_Center|Franklin Square) เมืองบอลทิมอร์ รัฐแมริแลนด์ และเติบโตขึ้นมาในย่านนอร์ทวูด บอลทิมอร์|นอร์ทวูด แคลนซีเป็นบุตรคนที่สองในหมู่พี่น้องสามคนร่วมกับโธมัส ผู้ซึ่งทำงานให้แก่การไปรษณีย์แห่งประเทศสหรัฐอเมริกา และแคเธอรีน == อาชีพนักประพันธ์ == แคลนซีในวัยเด็กอยากจะเป็นทหาร แต่มีปัญหาสายตาสั้น แต่ด้วยความสนใจในนาวิกศาสตร์และการบิน ทำให้บทประพันธ์ของเขาได้รับคำยกย่องว่า เป็นนักประพันธ์ที่ให้รายละเอียดเกี่ยวกับการทหารไว้อย่างมาก และเป็นข้อมูลที่ถูกต้องครบถ้วน''ไทยบันเทิง'', "ข่าวดึก". รายการทางไทยพีบีเอส: ศุกร์ที่ 5 ตุลาคม 2556 แคลนซีเริ่มต้นอาชีพนักประพันธ์ด้วยผลงานชิ้นแรก ''ล่าตุลาแดง'' ใน พ.ศ. 2528 ซึ่งเขาได้เสนอขายต่อสถาบันข่าวทหารเรือด้วยจำนวนเงิน 5,000 ดอลลาร์สหรัฐ รวมทั้งได้รับคำชมจากสถาบันแห่งนี้ด้วยเช่นกัน == การเสียชีวิต == แคลนซีเสียชีวิตในวันที่ 1 ตุลาคม พ.ศ. 2556 หลังจากเจ็บป่วยไม่นาน ที่โรงพยาบาลมหาวิทยาลัยจอนส์ฮอปกินส์|จอนส์ฮอปกินส์ ใกล้กับบ้านที่บอลทิมอร์ของเขา รวมอายุได้ 66 ปี และไม่ได้เปิดเผยสาเหตุของการเสียชีวิต เขามีบุตรสี่คนกับภรรยาคนแรก และบุตรสาวอีก 1 คนกับอเล็กซานดรา มารี ลีเวลลีน ภรรยาคนที่สอง == ผลงาน == === เรียงตามลำดับการตีพิมพ์ === ชื่อแปลภาษาไทย แปลโดย สุวิทย์ ขาวปลอด *'''''The Hunt for Red October'' (2527) ล่าตุลาแดง''' *: กัปตันมาร์โก ราเมียส ขโมยเรือดำน้ำใหม่ล่าสุดของโซเวียต ชื่อ ตุลาแดง (Red October) และมุ่งสู่สหรัฐอเมริกา เป็นผลงานชิ้นแรกที่ปรากฏตัวละคร แจ็ค ไรอัน *'''''Red Storm Rising'' (2529) เกมถล่มโลก''' *: เมื่อโซเวียตสูญเสียคลังน้ำมันจากการก่อการร้าย จึงมีแผนจะครอบครองตะวันออกกลาง โดยบุกยุโรปก่อนให้สัมพันธมิตร|พันธมิตรเข้าใจผิด (ไม่ใช่ซีรีส์ของไรอัน) *'''''Patriot Games'' (2530) เด็ดหัววีรบุรุษ''' *: แจ็ค ไรอันได้ไปขัดขวางการลอบสังหารราชวงศ์อังกฤษโดยบังเอิญ และทำให้มีผู้ตามล่าแจ็ค ไรอันถึงบ้านในสหรัฐอเมริกา *'''''The Cardinal of the Kremlin'' (2531) แผนชิงฟ้า''' *: แจ็ค ไรอัน ต้องเข้าไปพัวพันกับการช่วยเหลือแหล่งข่าวระดับสูงของโซเวียต ในชื่อ Cardinal ผู้ส่งข่าวลับมายังรัฐบาลสหรัฐอเมริกามาเป็นเวลานานให้หนีออกจากโซเวียต โดยมีฉากหลังเป็นการต่อสู้ทั้งทางการเมืองและทางสายลับในเรื่องระบบป้องกันขีปนาวุธของทั้งสองประเทศ *'''''Clear and Present Danger'' (2532) เคลียร์แล้วลุยเจ็บปวด''' *: เมื่อเพื่อนรักประธานาธิบดีแห่งสหรัฐฯ ถูกสังหารโหด โดยมีส่วนพัวพันกับยาเสพติด จึงสั่งให้ ซีไอเอ ปฏิบัติภารกิจลับชื่อ ทาร์พัน โดยส่งหน่วยรบพิเศษ|หน่วยจู่โจมขนาดเล็ก นำโดย จอห์น คลาร์ก เข้าไปจัดการพ่อค้ายาโคลัมเบีย เมื่อพ่อค้ายารู้ว่า รัฐบาลสหรัฐฯ พยายามยึดเงินของกลาง ทำให้หน่วยรบถูกลอยแพในโคลัมเบีย แจ๊ค ไรอัน รักษาการ รอง ผอ. ซีไอเอ จึงต้องเข้าไปช่วยเหลือหน่วยทหารออกมา *'''''The Sum of All Fears'' (2534) นักรบเกมโลกันต์''' *'''''Without Remorse'' (2536) ลบรอยแค้น''' *'''''Debt of Honor'' (2537) หักปีกอินทรี''' *: เรื่องนี้เป็นที่กล่าวขานกันมาก เพราะเขียนไว้ก่อนเหตุการณ์วินาศกรรม 11 กันยายน พ.ศ. 2544 โดยในเรื่องมีฉากนักบินผู้มีความแค้นต่อสหรัฐอเมริกา ขับเครื่องบินโดยสารเปลี่ยนเส้นทางไปชนรัฐสภาสหรัฐฯ *'''''Executive Orders'' (2539) ขย้ำพยัคฆราช''' *: แจ็ค ไรอัน เข้ารับตำแหน่งประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกาแทนตำแหน่งที่ว่างลงอย่างกะทันหัน เขาต้องนำพาประเทศให้พ้นจากวิกฤตทางการเมืองและการก่อการร้าย ในเรื่องนี้ จอห์น คลาร์ก เข้ามามีบทบาทอยู่ด้วยในช่วงสั้น ๆ * ''SSN'' (2539) *'''''Rainbow Six'' (2541) อุดมการณ์เฉียดนรก''' *'''''The Bear and the Dragon'' (2543) รุกฆาต''' *'''''Red Rabbit'' (2545) กระต่ายแดงแรงฤทธิ์''' * ''The Teeth of the Tiger'' (2546) *'''Lock on ล็อกเป้าสังหาร''' *'''Dead or Alive คมเพชฆาต''' *'''Mirror Image ศัตรูคู่ขนาน''' *'''Against all Enemies ชนแหลก''' *'''Threat Vector มังกรผยอง''' *'''Command Authority อินทรีประจัญบาน''' *'''Support and Defend หนีสุดขีดล่าสุดแค้น''' *'''Full Force and Effect อหังการเหยียบฟ้า''' *'''Underfire หักเหลี่ยมรัฐประหาร''' *'''Commander in Chief ประธานาธิบดีประจัญบาน''' *'''True Faith and Allegiance ไฟล์เปิดนรก''' === เรียงตามลำดับเวลาในเรื่อง === นับเฉพาะเรื่องในชุดของตัวเอก แจ็ค ไรอัน และจอห์น คลาร์ก * Without Remorse * Patriot Games * Red Rabbit * The Hunt for Red October * The Cardinal of the Kremlin * Clear and Present Danger * The Sum of All Fears * Debt of Honor * Executive Orders * Rainbow Six * The Bear and the Dragon * The Teeth of the Tiger === ผลงานที่ได้รับการนำไปสร้างเป็นภาพยนตร์ === * ''The Hunt for Red October (ปฏิบัติการล่าตุลาแดง)'' (2533) นำแสดงโดย อเล็ก บอลด์วิน (ไรอัน) และ ฌอน คอนเนอรี (ราเมียส) * ''Patriot Games (เกมอำมหิตข้ามโลก)'' (2535) แฮร์ริสัน ฟอร์ด แสดงเป็น แจ็ค ไรอัน * ''Clear and Present Danger (แผนอันตรายข้ามโลก)'' (2537) แฮร์ริสัน ฟอร์ด แสดงเป็น แจ็ค ไรอัน และ วิลเลียม เดโฟ แสดงเป็นจอห์น คลาร์ก * ''The Sum of All Fears (วิกฤตนิวเคลียร์ถล่มโลก)'' (2545) เบ็น เอฟเฟลค เป็นแจ็ค ไรอัน มอร์แกน ฟรีแมน แสดงเป็นผู้อำนวยการ ซีไอเอ มีการจัดเรียงลำดับเวลาแตกต่างจากในหนังสือ *Tom Clancy's Without Remorse (2021) Michael B. Jordan is John Kelly === วิดีโอเกม === ผลงานของทอม แคลนซี ได้นำไปสร้างเป็นวิดีโอเกมแนวสงคราม จารกรรม และการต่อต้านการก่อการร้าย ดังนี้ * ''Tom Clancy's Rainbow Six siege'' นำมาจากหนังสือชื่อเดียวกัน * ''Tom Clancy's Ghost Recon'' * ''Tom Clancy's Splinter Cell'' * ''Tom Clancy's Endwar'' * ''Tom Clancy's Hawx'' * ''Tom Clancy's Splinter Cell:Blacklist'' ภาคต่อของ ''Tom Clancy's Splinter Cell'' * ''Tom Clancy's The Division (ทอม แคลนซีส์ เดอะดิวิชัน)'' (2559) * Tom Clancy's Ghost Recon® Wildlands == รางวัลที่ได้รับ == * แคลนซีเป็นหนึ่งในสามนักประพันธ์ที่มียอดจำหน่ายสองล้านเล่มในการตีพิมพ์ครั้งแรกของช่วงคริสต์ทศวรรษ 1990 (อีกสองคนได้แก่จอห์น กริแชม และเจ. เค. โรว์ลิง) นวนิยาย พ.ศ. 2532 (ค.ศ. 1989) เรื่อง'':en:Clear and Present Danger|Clear and Present Danger'' ของแคลนซีทำยอดจำหน่ายฉบับปกแข็งได้ 1,625,544 เล่ม ส่งผลให้เป็นนวนิยายขายดีอันดับ 1 ในช่วงคริสต์ทศวรรษ 1980 * แคลนซีได้รับปริญญากิตติมศักดิ์|ปริญญาดุษฎีบัณฑิตกิตติมศักดิ์สาขาอักษรศาสตร์ และเข้าร่วมพิธีรับปริญญาที่สถาบันโพลิเทคนิคเรนส์ซเลียร์ใน พ.ศ. 2535 และหลังจากนั้นทางโรงเรียนได้รับการอ้างถึงในผลงานหลักของเขาเป็นจำนวนมาก == อ้างอิง == == แหล่งข้อมูลอื่น == * * http://www.tomclancy.com/ Official Tom Clancy website * http://www.tomclancy.org/ Tom Clancy — The Master of The Modern-Day Thriller * http://www.msnbc.msn.com/id/5137382/ Transcript of interview with Deborah Norville on the War in Iraq&nbsp;— April 2004 * http://www.ibdof.com/author_books.php?author=205 Tom Clancy at the Internet Book Database of Fiction * * https://www.c-span.org/person/?tomclancy Appearances on :en:C-SPAN|C-SPAN * http://us.penguingroup.com/static/html/author/tomclancy.html The Page of Tom Clancy's Primary Publisher * http://www.booknotes.org/Watch/86425-1/Tom+Clancy.aspx ''Booknotes'' interview with Clancy and Gen. Fred Franks on ''Into the Storm: A Study in Command'', July 13, 1997. * http://www.c-spanvideo.org/program/TomC ''In Depth'' interview with Clancy, February 3, 2002 * http://datacide.c8.com/chances-are-necessary-tom-clancy-computer-games-and-blue-america/ ''Datacide'' Critical Article about Tom Clancys Vision of Entertainment === บทวิจารณ์วรรณกรรม === * https://www.nybooks.com/articles/1996/11/14/something-for-the-boys/ "Something for the Boys" โดย :en:Christopher Hitchens|Christopher Hitchens, '':en:The New York Review of Books|The New York Review of Books'', 14 พฤศจิกายน พ.ศ. 2539. "A review of Clancy's ''Marine: A Guided Tour of a Marine Expeditionary Unit.''" หมวดหมู่:นักเขียนชาวอเมริกัน หมวดหมู่:บุคคลจากบอลทิมอร์ หมวดหมู่:ชาวอเมริกันเชื้อสายไอริช หมวดหมู่:ผู้ได้รับปริญญากิตติมศักดิ์
ทอม แคลนซี
กล่องข้อมูล นักแสดง | bgcolour = | name = ทัชชกร ยีรัมย์ | image = Tony Jaa 2005.jpg | birth_name = ทัชชกร ยีรัมย์ | nickname = จา | birthdate = | children = 2 คน | spouse = ปิยรัตน์ โชติวัฒนานนท์ (2554–ปัจจุบัน) | occupation = | yearsactive = พ.ศ. 2535–ปัจจุบัน | notable role = '''บุญทิ้ง''' - องค์บาก (2546) '''ขาม''' - ต้มยำกุ้ง (ภาพยนตร์)|ต้มยำกุ้ง (2548) '''เทียน''' - องค์บาก 2-องค์บาก 3|3 (2551/2553) '''ขาม''' - ต้มยำกุ้ง 2 (2556) '''เกียรติ''' - เร็ว..แรงทะลุนรก 7 (2558) '''โทนี่''' - คู่ซัดอันตราย (2558) '''ชัย''' - โหดซัดโหด (2558) '''ทาลอน''' - ทริปเปิ้ลเอ็กซ์ ทลายแผนยึดโลก (2560) '''ตั๊ก''' - เดือด ซัด ดิบ (2560) '''พายุ''' - ทริปเปิล เธรท สามโหดมหากาฬ (2562) '''ฮันเตอร์''' - มอนสเตอร์ฮันเตอร์ (ภาพยนตร์)|มอนสเตอร์ฮันเตอร์ (2563) | homepage = http://www.iamtonyjaa.com/ | สุพรรณหงส์ = '''รางวัลสุพรรณหงส์เกียรติยศ''' พ.ศ. 2548 - ต้มยำกุ้ง (ภาพยนตร์)|ต้มยำกุ้ง | birthplace = สุรินทร์ ประเทศไทย | alias = จา พนม, โทนี่ จา | ค่าย = สหมงคลฟิล์ม อินเตอร์เนชั่นแนล|สหมงคลฟิล์ม (2546–2558) '''ทัชชกร ยีรัมย์'''http://www.positioningmag.com/Magazine/Details.aspx?id=50225/ โทนี่จา...หมัด เท้า เขย่าโลก! วันที่สืบค้น 28 กุมภาพันธ์ 2555, จาก www.positioningmag.com(เกิด 5 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2519) ชื่อเล่น '''จา''' หรือที่รู้จักกันในชื่อ '''จา พนม''' เป็นอดีตนักกีฬาเริ่มเข้าสู่วงการแสดง พ.ศ. 2535 โดยเซ็นสัญญาเป็นนักแสดงภาพยนตร์สังกัดค่ายสหมงคลฟิล์ม อินเตอร์เนชั่นแนล|สหมงคลฟิล์มเมื่อ พ.ศ. 2546http://www.pantip.com/cafe/book_stand/atoffice/s4810.html/ เสี่ยเจียง-สมศักดิ์ เตชะรัตนประเสริฐ แรงดัน หนุนสร้าง พลังฮีโร่ สูตรสำเร็จ "โทนี่ จา" บนโลกเซลลูลอยด์ จาก www.pantip.com แต่ปัจจุบันได้ยกเลิกสัญญาแล้วเนื่องจากปัญหาความขัดแย้งทางธุรกิจ โดยใช้และเป็นต้นแบบคติในการแสดง คือ แสดงจริง, ไม่ใช้สตันท์แมน และไม่ใช้เทคนิคพิเศษในการแสดงคิวต่อสู้http://www.voicetv.co.th/content/10593/ขำกลิ้งฮากระจายกับสาระแนสิบล้อ/ ขำกลิ้ง..ฮากระจาย..กับสาระแนสิบล้อ จาก archive.voicetv.co.th เขาใช้ชื่อในการแสดงเฉพาะในประเทศไทยว่า "จา พนม" และใช้ชื่อในการแสดงระดับสากลว่า '''โทนี่ จา''' (Tony Jaa) เขาเป็นนักแสดงภาพยนตร์แอ็คชัน ผู้ศึกษาศิลปะการต่อสู้ทั้งศาสตร์ตะวันตกและตะวันออก ชำนาญในศิลปะการต่อสู้, การใช้อาวุธ, กีฬา และการออกกำลังกายหลากหลายศาสตร์ ภาพยนตร์เรื่องสำคัญเรื่องแรกที่เขาแสดงนำคือ ''องค์บาก'' ซึ่งได้รับการชื่นชมและสนใจจากหลายฝ่ายที่เกี่ยวข้องกับวงการศิลปะการต่อสู้และภาพยนตร์ด้านต่าง ๆ ในประเทศไทยและระดับโลกอย่างมาก และเป็นต้นแบบของ MUAYTHAI อีกด้วย นับเป็นภาพยนตร์เรื่องแรกในชีวิตของเขาที่ประสบความสำเร็จในวงการภาพยนตร์แอ็คชันระดับโลก ซึ่งต่อมาภาพยนตร์ ''ต้มยำกุ้ง (ภาพยนตร์)|ต้มยำกุ้ง'' ก็ได้ประสบความสำเร็จในระดับโลกสูง และได้รับการตอบรับจากทั่วโลกเช่นเดียวกับองค์บากhttp://www.ryt9.com/s/prg/18072/ จา พนม หอบต้มยำกุ้ง โกอินเตอร์ ถล่ม BOX-OFFICE ฮ่องกง ฉาย 4 วันครองแชมป์อันดับ 1 สู่ปรากฏการณ์ความสำเร็จในระดับโลก จาก www.ryt9.com ทำให้เขาได้รับรางวัลจากภาพยนตร์และศาสตร์ที่เกี่ยวข้องกับการต่อสู้มากมาย ต่อมาได้เป็นผู้ก่อตั้งบริษัทไอยราฟิล์ม บริษัทผลิตและจัดจำหน่ายภาพยนตร์และได้เป็นผู้กำกับภาพยนตร์แนวแอ็คชันหลายเรื่อง ปัจจุบันสมรสกับ ปิยรัตน์ โชติวัฒนานนท์ ซึ่งเป็นบุตรสาวเจ้าของธุรกิจโรงแรมที่จังหวัดระยอง เมื่อ พ.ศ. 2554 และมีบุตรด้วยกัน 2 คนhttp://women.kapook.com/view48973.html/ จา พนมเฮ! ภรรยาคลอดลูกสาว ตั้งชื่อ น้องจอมขวัญ หทัยปวี วันที่สืบค้น 1 พ.ย. 2556 จาก www.kapook.com == ประวัติ == === ครอบครัว === ทัชชกร ยีรัมย์ มีบิดาชื่อ ทองดี ยีรัมย์ มารดาชื่อ รินทร์ ทรายเพชร thairath, (9/ กย./ 54), http://www.thairath.co.th/people/view/ent/5344/ ข้อมูลบิดา-มารดา, เรียกข้อมูล 9/ กย. / 54, จาก : www.thairath.co.th, โดยมารดาเป็นชาวอำเภอรัตนบุรี จังหวัดสุรินทร์ ย้ายถิ่นฐานมากับครอบครัวโดย สงค์ ทรายเพชร ในยุคบุกเบิกนิคม มาอยู่ติดชายแดนเขมร คือ อำเภอพนมดงรักปัจจุบัน และวันหนึ่ง ทองดี ยีรัมย์ เดิมเป็นชาวอำเภอสตึก จังหวัดบุรีรัมย์ เป็นหัวหน้าทีมค้าขายไม้ ได้พาคณะช้างเดินทางขนไม้ จากฝั่งเขมรข้ามมายังไทย ฝ่ายหมู่บ้านโคกสูง จึงพบกับ รินทร์ ทรายเพชร ทั้งคู่ได้รักกัน แล้วแต่งงานกันโดยลงหลักปักฐานที่บ้านโคกสูง จังหวัดสุรินทร์ และมีลูกด้วยกันทั้งหมด 4 คน เป็นชายสองคนและหญิงสองคน ทัชชกร ยีรัมย์ เป็นบุตรคนที่สามในบรรดาพี่น้องสี่คน มีชื่อพี่น้อง ดังนี้ # ทวีศักดิ์ ยีรัมย์ (ชาย) # หัทยา ยีรัมย์ (หญิง) # ทัชชกร ยีรัมย์ (ชาย) # ชรินทร์ทิพย์ ยีรัมย์ (หญิง) ระยะหลังได้มีความขัดแย้งเกิดขึ้นระหว่างนายทัชชกรกับพี่น้องคนอื่น ๆ จนถึงขั้นพี่น้องประกาศตัดพี่ตัดน้องกับนายทัชชกร === การศึกษา === * ประถมศึกษา - โรงเรียนบ้านอำปีล จังหวัดสุรินทร์ * มัธยมศึกษาตอนต้น - โรงเรียนโคกกลางวิทยา (ปัจจุบันเปลี่ยนชื่อเป็นโรงเรียนพนมดงรักวิทยา) จังหวัดสุรินทร์ * มัธยมศึกษาตอนปลาย - โรงเรียนประสาทวิทยาคาร จังหวัดสุรินทร์ * อุดมศึกษา - สถาบันการพลศึกษา วิทยาเขตมหาสารคาม (ปัจจุบันคือมหาวิทยาลัยการกีฬาแห่งชาติ วิทยาเขตมหาสารคาม) จังหวัดมหาสารคาม === ชีวิตวัยเด็ก === ทัชชกร ยีรัมย์ เกิดมาในครอบครัวชนบทที่ยากจน ซึ่งสืบเชื้อสายมาจากชาวกูยโบราณ ชนเผ่าซึ่งเคร่งครัดในศาสนาพุทธ ครอบครัวประกอบอาชีพหลายอย่างทั้งทำนา เลี้ยงช้าง, ปลูกผักASTV ผู้จัดการออนไลน์, (14 มีนาคม 2548), http://manager.co.th/Entertainment/ViewNews.aspx?NewsID=9480000035691 โอ้ว้าว!! "จา พนม" สร้างบ้าน 18 ล้านสนองคุณ "พ่อ-แม่" , วันที่สืบค้น 12/ กย. /54, จาก : manager.co.th ตามวัฒนธรรมของชาวกูย เขามีพรสวรรค์ทางด้าน กระโดดสูง, กระโดดไกล และการสปริงข้อเท้ามาตั้งแต่เกิด ในวัยเด็กเขาชอบดูภาพยนตร์กลางแปลง มีความชื่นชอบการแสดงของเฉินหลง, เจ็ท ลี และพันนา ฤทธิไกรhttp://club.zubzip.com/index.aspx?ja_panom จา พนม (โทนี่ จา) ประวัติดารา วันที่สืบค้น 15 เม.ย. 2555 จาก www.club.zubzip.com ทัชชกรมีความใฝ่ฝันที่จะได้แสดงภาพยนตร์แอ็คชัน รักในการสร้างภาพยนตร์และพากย์ภาพยนตร์มาตั้งแต่เด็ก เขาได้เริ่มฝึกศิลปะการต่อสู้ด้วยตนเองตั้งแต่อายุ 10 ขวบ โดยชอบและสังเกตศิลปะการต่อสู้ของเจ็ทลี เฉินหลง และบรูซ ลี และนำมาปฏิบัติตาม ในวัยเด็กนั้นทัชชกรก็เช่นเดียวกับเด็กผู้ชายชนบททั่วไป ที่มีความซุกซน เขาชอบเล่นศิลปะการต่อสู้กับเพื่อน ๆ และชอบที่จะเป็นหัวหน้ากลุ่ม จนทำให้ชาวบ้านที่อาศัยอยู่บริเวณนั้นได้ตั้งสมญานามให้เขาว่า "จ่า" ซึ่งแปลว่าหัวหน้าทีมและคนเลี้ยงช้าง และเรียกแทนชื่อจริงของเขาเสมอ ซึ่งต่อมาจากคำว่าจ่าก็เพี้ยนมากลายเป็น "จา" นับตั้งแต่วันนั้นเขาจึงได้ชื่อเล่นว่า จา จนทุกวันนี้ เด็กชายทัชชกรมีความสนใจในศิลปะการต่อสู้อย่างมากและมักจะออกไปฝึกฝนศิลปะการต่อสู้ตามป่า กลางทุ่ง ลำธาร เขาชื่นชอบที่จะออกไปฝึกฝนศิลปะการต่อสู้เวลากลางคืน หากคืนไหนเป็นคืนเดือนเพ็ญเขาจะชอบฝึกเป็นพิเศษ และด้วยเหตุที่วรวิทย์เกิดในจังหวัดสุรินทร์ ซึ่งเป็นจังหวัดที่ผู้คนมีอาชีพเลี้ยงช้างเป็นส่วนใหญ่ ดังนั้นเขาจึงมีความรัก ความผูกพันกับช้างมาตั้งแต่เกิด เขาจึงชอบฝึกศิลปะการต่อสู้บนหลังช้าง บางครั้งเขาก็ฝึกหนักจนลืมทานข้าวและไม่กลับบ้าน และด้วยความที่เขามีพรสวรรค์ทางด้านสปริงข้อเท้า จึงทำให้เขาสนใจที่จะฝึกฝนทักษะและเล่นกรีฑาและกีฬาหลากหลายประเภท === ชีวิตในกองถ่ายภาพยนตร์ === เมื่อเรียนจบมัธยมศึกษาปีที่ 3 เขาได้แรงบันดาลใจจากภาพยนตร์เรื่อง เกิดมาลุย ที่แสดงโดยพันนา ฤทธิไกร (ครูสอนศิลปะการต่อสู้, นักแสดง และผู้กำกับภาพยนตร์) เขาได้ขอร้องให้พ่อพาไปหาพันนาที่จังหวัดขอนแก่น เพื่อจะขอให้พันนารับเขาไว้เป็นนักแสดงแอ็กชั่น ขณะนั้นพันนากำลังอยู่ในระหว่างการถ่ายทำภาพยนตร์เรื่อง ''ปีนเกลียว'' ภาค 1 ครั้งแรกที่พันนาเห็นเขา คิดว่าทัชชกรนั้นยังอายุน้อยเกินไปที่จะเรียนศิลปะการต่อสู้อย่างจริงจัง จึงขอให้ทัชชกรกลับไปศึกษาให้จบชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 6 ก่อน แต่ยังอนุญาตให้ทัชชกรมาฝึกประสบการณ์ในกองถ่ายภาพยนตร์ได้ช่วงปิดภาคเรียนjabcha,http://www.jabchai.com/main/view_joke.php?id=11693/ จา พนม สุดดัง กับบรรดาแฟนคลับที่ฝรั่งเศส , เรียกข้อมูล 8/กย./54 จาก : www.jabchai.com เมื่อถึงช่วงที่โรงเรียนปิดภาคเรียนหรือช่วงวันเสาร์-อาทิตย์ ทัชชกรมักเดินทางมาขอนแก่นเพื่อฝึกซ้อมศิลปะการต่อสู้ สตันท์ กับสตันท์แมนในกองถ่ายภาพยนตร์ แต่วรวิทย์กลับไม่ได้รับความคาดหวังจากพันนามากนัก และบางครั้งเมื่อมีโอกาสดีที่พอจะได้พบกับพันนาเป็นเวลานาน ๆ ทัชชกรก็มักฝึกซ้อมศิลปะการต่อสู้กับพันนาเสมอ ซึ่งพันนาก็ได้ยอมรับในความสามารถของเขา และได้ดูแลเปลี่ยนบุคลิกใหม่ให้เขาดูดีขึ้น ดังนั้นเขาจึงให้ความนับถือพันนาและปฏิบัติตามทุกอย่างที่พันนากล่าวหรือขอร้องให้เขาปฏิบัติตามด้วยความเต็มใจ ต่อมาเขาได้เริ่มเข้าวงการครั้งแรกเมื่ออายุ 14 ปี http://www.tcdcconnect.com/content/blog/?p=4270/ การเริ่มเข้าวงการครั้งแรกของ จา พนม โดยเป็นคนเสิร์ฟน้ำ, ตัวประกอบ, ยกของ, ทำอาหาร ฯลฯ ในกองถ่ายภาพยนตร์พร้อม ๆ กับฝึกฝนศิลปะการต่อสู้กับสตันท์แมน และในเวลาต่อมาเขาได้เรียนวิชามวยไทยโบราณและมวยกังฟูหวิงชุนของจีนจากรัฐพล ผู้ซึ่งเป็นอาจารย์คนแรกของทัชชกร จากจังหวัดสุรินทร์ และได้ร่วมงานกับพันนา ฤทธิไกร ซึ่งเป็นอาจารย์สอนศิลปะการต่อสู้คนสำคัญของเขาhttp://www.thaicinema.org/kits356thestunt.asp/ The Stunt วันที่เรียกข้อมูล 27 เม.ย. 2555 จาก www.thaicinema.org === การเปลี่ยนผันทางบทบาทการแสดง === พ.ศ. 2540 เกิดปัญหาเศรษฐกิจตกต่ำ ส่งผลกระทบต่อวงการภาพยนตร์ด้านต่าง ๆ ซึ่งทำให้เขาต้องพักการเรียนและเริ่มทำแนวคิดภาพยนตร์เรื่อง ''คนสารพัดพิษ'' ร่วมกับพันนา เพื่อนำเสนอขอทุนจากปรัชญา ปิ่นแก้ว โดยทัชชกรรับบทบาทเป็นนักแสดงนำ ซึ่งเขาได้ฝึกฝนจากการจดจำศิลปะการต่อสู้ของนักแสดงภาพยนตร์ที่เขาชื่นชอบมาใช้เป็นมาตรฐานขั้นต่ำ รวมถึงฝึกฝนเพิ่มเติมจากอาจารย์สอนศิลปะการต่อสู้หลายคน และร่วมกันระดมทุนและนักแสดงรอบข้างมาเป็นส่วนร่วมในภาพยนตร์เรื่องนี้ แต่เมื่อถ่ายทำเสร็จฟิล์มภาพยนตร์กลับเสียหายทั้งหมด ทั้งคู่จึงต้องร่วมระดมทุนสร้างภาพยนตร์เรื่องเดิมขึ้นมาใหม่อีกครั้ง จึงประสบความสำเร็จ ทั้งคู่จึงนำแนวคิดภาพยนตร์ดังกล่าวเสนอต่อปรัชญา ปิ่นแก้ว และได้ถูกถ่ายทำออกมาเป็นภาพยนตร์เรื่ององค์บากในที่สุด === ประสบความสำเร็จในอาชีพ === ไฟล์:Tomyumgoongguys.jpg|220px|thumb|right|งานแถลงข่าวภาพยนตร์เรื่อง ต้มยำกุ้ง พ.ศ. 2546 ผลงานเรื่องแรกที่ประสบความสำเร็จคือภาพยนตร์เรื่อง ''องค์บาก'' ซึ่งทำรายได้เฉพาะในประเทศไทย 200 ล้านบาทhttp://www.marketeer.co.th/inside_detail.php?inside_id=7144/ Cover Story : Hot movies of the Year (Marketeer/ธ.ค./51) วันที่สืบค้น 19 กันยายน 2554, จาก www.marketeer.co.th ติดบ็อกซ์ออฟฟิซ อันดับ 1 หลายประเทศในทวีปเอเชีย, ทวีปอเมริกา, และทวีปยุโรป รวมถึงบ็อกซ์ออฟฟิซฮอลลีวูด ทำให้เขาได้รับความสนใจจากบริษัทโกลเด้นฮาร์เวสท์ ซึ่งเป็นบริษัทที่สร้างให้บรูซ ลีมีชื่อเสียง ได้ทาบทามให้มาร่วมงานด้วยhttp://star.sanook.com/close/close_05566.php/ จา พนม ยีรัมย์ ประวัติความเป็นมาของ จา พนม ยีรัมย์ ส่งผลให้เขากลายเป็นนักแสดงไทยที่ประสบความสำเร็จ ได้รับรางวัล และมีอิทธิพลด้านต่าง ๆ ในวงการแสดงระดับโลก พ.ศ. 2548 ภาพยนตร์เรื่อง ''ต้มยำกุ้ง'' ก็สามารถติดบ็อกซ์ออฟฟิซฮอลลีวูด อันดับ 4http://movie.sanook.com/news/news_11781.php/ “ต้มยำกุ้ง” หนังไทยเรื่องแรก ถล่ม BOX-OOFICE ฮอลลีวู้ดกระจุย ข่าวหนังไทย movie.sanook.com วันที่สืบค้น 8 ตค.54 ทำรายได้รวมทั่วโลกสูงถึง 1,000 ล้านบาทhttp://www.positioningmag.com/magazine/printnews.aspx?id=37601/ เส้นทางของ “ต้มยำกุ้ง” === ชีวิตส่วนตัว === พ.ศ. 2553 ทัชชกรสมรสกับ ปิยรัตน์ โชติวัฒนานนท์ ซึ่งทำธุรกิจโรงแรม ชื่อ ดาร์กอน ในจังหวัดระยอง ที่โรงแรมของฝ่ายหญิง หลังจากคบดูใจกันมา 3 ปี ต่อมา พ.ศ. 2555 ทั้งคู่ได้จัดงานฉลองมงคลสมรสที่หอประชุมกองทัพเรือ เขตบางกอกน้อย โดยมี สมศักดิ์ เตชะรัตนประเสริฐ ประธานบริษัท สหมงคลฟิล์ม จำกัด เป็นประธานในพิธีhttp://news.voicetv.co.th/entertainment/37317.html/ จา พนม ประกาศวิวาห์ น้องบุ้งกี๋ ทายาทโรงแรมระยอง วันที่สืบค้น 1 พ.ย. 2556. จาก www.news.voicetv.co.th และมีลูกด้วยกัน 2 คน คือน้องจอมขวัญ หทัยปวีต์ ยีรัมย์ เกิดเมื่อวันที่ 6 ตุลาคม 2555 และน้องเรือนแก้ว นริทรรัฐ ยีรัมย์ เกิดเมื่อวันที่ 17 สิงหาคม 2558 http://www.matichon.co.th/news_detail.php?newsid=1439868155 ครอบครัวอันแสนอบอุ่นของ โทนี่จา == กีฬา == ไฟล์:Tony Jaa.jpg|220px|thumb|right|แสดงที่นิวยอร์ก ด้วยความที่ทัชชกรมีกล้ามเนื้อขาและข้อเท้าที่แข็งแรงและยืดหยุ่นได้ดีกว่าคนปกติมาตั้งแต่กำเนิดสทำให้เขามีความสนใจด้านกีฬาและกรีฑา หลากหลายชนิด เมื่อสมัยยังศึกษาในระดับชั้นประถมศึกษาและมัธยมศึกษา เขาก็ได้เป็นนักกีฬาและกรีฑา ที่มีความสามารถเล่นได้หลากหลายประเภท และมีผลงานโดดเด่นเสมอมา จนได้รับการแต่งตั้งเป็นนักกีฬาดีเด่นของโรงเรียนและเป็นประธานชมรมกระบี่กระบองในขณะเดียวกัน ความสามารถด้านกรีฑา เช่น กระโดดสูง, กระโดดไกล, ยิมนาสติก ฯลฯ ด้านกีฬาประเภทอาวุธ เช่น กระบี่กระบอง และกีฬาประเภททีมเช่นตะกร้อด้วย ซึ่งได้รับเหรียญทองทั้งกรีฑาและกีฬาทุกประเภททุกปีที่ลงแข่งขันhttp://club.zubzip.com/?ja_panom/ ประวัติด้านดีฬา/การได้รับเหรียญทอง (1) จนได้โควตาไปเรียนต่อในระดับอุดมศึกษา ซึ่งเขาได้เข้าเรียนต่อด้านกีฬาที่สถาบันการพลศึกษา วิทยาเขตมหาสารคาม ตามคำแนะนำของพันนา ฤทธิไกร และได้เป็นนักกีฬาจังหวัดสุรินทร์http://www.esanclick.com/newses_art.php?No=1676/ จา พนม ยีรัมย์วันที่สืบค้น 18 เม.ย. 2555 จาก www.esanclick.com และถูกแต่งตั้งให้เป็นประธานชมรมกระบี่กระบองอีกครั้งหนึ่งhttp://movie.sanook.com/behind/behind_12342.php/ Behind the Scene :บทสัมภาษณ์ เดี่ยว ชูพงษ์ ทำให้ได้รู้จักกับ ชูพงษ์ ช่างปรุง นักศึกษาที่เรียนอยู่ชมรมเดียวกัน โดยทั้งคู่ได้ร่วมกันก่อตั้งทีมสตันท์รับงานตามสถานที่ต่าง ๆhttp://www.ryt9.com/s/prg/874781/ “จาปะทะ​เดี่ยว” ​ความมันส์​เกินพิกัดของ “องค์บาก3” กับสายสัมพันธ์กว่า 20 ปีสู่ปรากฏ​การณ์ที่สาวก​แอ็คชั่นรอคอย ข่าวบันเทิง ฮาร์วายทีไนน์ วันที่สืบค้น 8 ตค.54 ;ผลงานระหว่างที่เป็นประธานชมรมกระบี่กระบอง * นักกีฬาเหรียญทอง จังหวัดสุรินทร์ ประเภท กรีฑา * นักกีฬาเหรียญทองทุกปี จากสถาบันการพลศึกษา วิทยาเขตมหาสารคาม * วิทยากรสถาบันการพลศึกษา วิทยาเขตมหาสารคาม เผยแพร่ศิลปะป้องกันตัว ที่โรงเรียนมัธยมต่าง ๆ ในประเทศไทย * ตัวแทนสถาบันการพลศึกษา วิทยาเขตมหาสารคาม เผยแพร่ศิลปการต่อสู้ของไทย ในภาคอีสาน * ตัวแทนสถาบันการพลศึกษา วิทยาเขตมหาสารคาม แลกเปลี่ยนวัฒนธรรม และเผยแพร่ศิลปะการต่อสู้ (กระบี่กระบอง) ที่ประเทศจีนhttp://www.nangdee.com/name/f/p957.html/ พนม ยีรัมย์ วันที่สืบค้น 1 พ.ย.2556 จาก www.nangdee.com === ส่วนร่วมในพิธีเปิดการแข่งขันกีฬา === ;พ.ศ. 2552 ได้รับแต่งตั้งเป็นผู้จุดคบเพลิงในพิธีเปิดการแข่งขันกีฬา เอเชี่ยนมาเชี่ยลอาร์ทเกมส์ ครั้งที่ 1 โดยทัชชกรรับบทเป็น "หนุมานยินดี" (ซึ่งเป็นสัญลักษณ์เทพกึ่งสัตว์ประจำการแข่งขันฯ) จุดคบเพลิงในพิธีเปิดแบบพื้นฐาน โดยเขาได้แสดงศิลปะการต่อสู้แบบหนุมานและแสดงศิลปะการควงกระบองไฟ ถวายต่อพระพักตร์สมเด็จพระบรมโอรสาธิราช เจ้าฟ้ามหาวชิราลงกรณ สยามมกุฎราชกุมาร พระเจ้าวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าศรีรัศมิ์ พระวรชายาฯ และ พระเจ้าหลานเธอ พระองค์เจ้าทีปังกรรัศมีโชติhttp://www.thairath.co.th/content/sport/23590 จา พนม เป็นผู้จุดคบเพลิงพิธีเปิดเอเชียลฯ ครั้งที่ 1 ;พ.ศ. 2553 ได้รับการแต่งตั้งเป็นผู้จุดคบเพลิงในพิธีเปิด เมืองช้างเกมส์ ครั้งที่ 31 ที่จังหวัดสุรินทร์ โดยแสดงเป็นองค์อัมรินทร์ (พระอินทร์) ประทับช้างเอราวัณ มีผู้แสดงเป็นเทพธิดา 95 องค์ และเทวดา 9 องค์เสด็จตาม http://www.dpe.go.th/news/preview.php?mode=1&news=NTMwMTAwMDAwMDMzJmFtcDs1MTA5MDAwMDAwMDI=/ เปิดฉากเมืองช้างเกมส์ เจ้าภาพสุรินทร์คว้าเหรียญทองแรก วันที่สืบค้น 1 พ.ย. 2556 จาก www.dpe.go.th ;พ.ศ. 2555 ได้รับการแต่งตั้งเป็นผู้จุดคบเพลิงในพิธีเปิดการแข่งขันกีฬาแห่งชาติ ครั้งที่ 41 ที่จังหวัดเชียงใหม่ โดยแสดงเป็นนักโยนไฟที่สนามกีฬาสมโภชเชียงใหม่ 700 ปี == ตัวแสดงแทน == ระหว่างที่เขาศึกษาในระดับชั้นมัธยมศึกษาและอุดมศึกษา ในช่วงที่โรงเรียนปิดภาคเรียน พนมได้เข้าไปประกอบอาชีพเสริมและหาประสบการณ์ในกองถ่ายภาพยนตร์ และได้เริ่มแสดงเป็นตัวประกอบและตัวแสดงแทนในภาพยนตร์เรื่องต่าง ๆ ดังนี้ : * '''สิงห์สยาม''' - ขณะกำลังศึกษาอยู่ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 5 ซึ่งเป็นภาพยนตร์ที่เขาได้แสดงครั้งแรกในชีวิตโดยแสดงเป็นตัวประกอบ ซึ่งเป็นฉากที่ต้องตีลังกาผ่านฉากอย่างรวดเร็ว โดยไม่ให้เห็นใบหน้า * '''กวนโอ๊ย''' - ขณะที่กำลังศึกษาอยู่ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 5 เช่นกัน โดยแสดงเป็นตัวประกอบในฉากที่ต้องกระโดดตีลังกายิมนาสติกซิกแซก โดยแสดงร่วมกับหม่ำ จ๊กมก, พันนา ฤทธิไกร และ ธงชัย ประสงค์สันติ ซึ่งขณะนั้นได้ศึกษาอยู่ที่โรงเรียนเดียวกัน หลังจากนั้นก็มีภาพยนตร์ต่าง ๆ ติดต่อเข้ามาให้ไปเป็นตัวแสดงแทนอยู่เป็นประจำ * '''Mortal Kombat 2 : Annihilation''' - ขณะที่เขากำลังศึกษาในระดับอุดมศึกษาที่วิทยาลัยพลศึกษา จังหวัดมหาสารคาม ในช่วงปิดภาคเรียน เขาก็ได้ออกไปหาประสบการณ์ หารายได้ในกองถ่ายภาพยนตร์เช่นเคย ช่วงนั้นได้มีภาพยนตร์ต่างประเทศเรื่องหนึ่ง เข้ามาถ่ายทำที่ประเทศไทย คือเรื่อง ''Mortal Kombat 2 : Annihilation'' พันนาจึงได้พาเขาไปคัดตัวให้เป็นตัวแสดงแทน '''Robin Shou''' ในภาพยนตร์เรื่องนี้ โดยมีผู้มาสมัครเป็นตัวแสดงแทน 100 คน เขาได้แสดงท่าเตะให้ผู้กำกับหนังเรื่องนี้ชม จึงได้ถูกเลือกให้มาเป็นตัวแสดงแทน โรบิน ชู ในที่สุด * '''อินทรีแดง''' – ต่อมาในขณะที่เขากำลังศึกษาอยู่ในระดับอุดมศึกษา เขาก็ได้แสดงเป็นตัวแสดงแทนเจมส์ เรืองศักดิ์ โดยแสดงเป็นอินทรีแดง แสดงในฉากตีลังกาต่าง ๆ ด้วยความที่เขาต้องทำงานในกองถ่าย แสดงภาพยนตร์ เป็นตัวแสดงแทน ฝึกซ้อมศิลปะการต่อสู้ จึงทำให้เขามีปัญหาด้านการเรียนและต้องหยุดเรียนบ่อยขึ้น ทั้งยังเห็นว่า วิชาด้านกีฬาที่เขากำลังศึกษาอยู่ไม่ตรงกับอาชีพของตนเองในอนาคต เขาจึงตัดสินใจลาออกจากวิทยาลัยขณะที่กำลังศึกษาปีที่ 3 หลังจากที่เขาลาออกจากวิทยาลัย เขากับพันนาจึงได้เริ่มดำเนินตามแผนงานที่วางเอาไว้ คือสร้างภาพยนตร์เรื่ององค์บาก อย่างจริงจัง ซึ่งทัชชกรได้รวบรวมหนังของเจ็ทลี, บรูซ ลี และเฉินหลงทุกเรื่องมาดู โดยยึดนักแสดงทั้ง 3 คน เป็นเกณฑ์พื้นฐานในการฝึก และจึงฝึกตาม ซึ่งเขาได้นำเอกลักษณ์ในการต่อสู้ของทั้ง 3 คนมาผสมรวมกัน และผสมผสานเอกลักษณ์ของตนลงไป เขาต้องเข้าฝึกซ้อมทุกวัน วันละ 8 ชั่วโมง เป็นเวลา 2 ปีhttp://www.positioningmag.com/magazine/printnews.aspx?id=50225/ ระยะเวลาในการฝึกศิลปะการต่อสู้ == ศิลปะการต่อสู้ == ทัชชกร ยีรัมย์ มีทักษะทางศิลปะการต่อสู้และการใช้อาวุธหลายประเภท ดังนี้ ;ประเภทศิลปะการต่อสู้ มวยไทย-คาดเชือก, มวยคชสาร, เทควันโด, วิชาหมัดเมา (ทั้งแบบไทย, แบบจีน และแบบผสม), กังฟู (ทั้งแบบเส้าหลิน และแบบหวิงชุน), ไอคิโด้ , ยูโด, คาราเต้ ,คาโปเอร่า, ศิลปะการต่อสู้แบบผสม (MMA), BJJ ;อาวุธ กระบองสามท่อน, กระบองสองท่อน, โซ่, ดาบซามูไร, ดาบไทย, เชือกลูกดอก, กระบี่จีน, กระบี่-กระบอง, พลอง, ไม้ศอก === รูปแบบศิลปะการต่อสู้ === พนม ยีรัมย์ มีรูปแบบในการต่อสู้ที่หลากหลาย สำหรับรูปแบบในการต่อสู้ของเขาโดยภาพรวมมี 4 รูปแบบ ดังนี้ # แบบต่อสู้ตามต้นฉบับของศิลปะการต่อสู้ชนิดต่าง ๆ # แบบผสมผสานดึงเอาจากศาสตร์หนึ่งมาผสมกับอีกศาสตร์หนึ่ง เช่น นำศิลปะการต่อสู้แบบวิชาหมัดเมาของจีนมาผสมกับมวยไทย # แบบประยุกต์ คือนำต้นฉบับมาดัดแปลงอีกครั้งหนึ่ง เช่น ประยุกต์รูปแบบ Free running และ Parkour มาเป็นศิลปะการต่อสู้, นำทักษะจากกีฬาตะกร้อมาประยุกต์เป็นท่าเตะในเรื่องต้มยำกุ้ง # แบบคิดค้นขึ้นเองทั้งหมด เช่น คิดค้นนาฏยุทธ์ ถึงเขาจะมีรูปแบบในการต่อสู้ที่หลากหลาย แต่เขาก็เป็นที่รู้จักของคนทั่วโลกจากการเป็นนักแสดงแอ็กชั่นที่มีความสามารถสูงในศิลปะการต่อสู้แบบมวยไทยhttp://www.i-am-bored.com/bored_link.cfm?link_id=21860/ Tony Jaa - Muay Thai Master === ศิลปะการต่อสู้ที่คิดค้นขึ้น === ด้วยความที่พนมมีความสามารถประยุกต์การเคลื่อนไหวร่างกายแบบต่าง ๆ มาผสานเป็นศิลปะการต่อสู้ จึงทำให้เขาเป็นผู้ให้กำเนิดศิลปะการต่อสู้รูปแบบใหม่ ขึ้นมากมาย แต่มีเพียงศิลปะการต่อสู้รูปแบบเดียวเท่านั้นที่เขาใช้เป็นศิลปะการต่อสู้เอกลักษณ์ของเขา ด้วยความที่เขาชื่นชอบวรรณคดีเรื่อง รามเกียรติ์ จึงเป็นแรงบันดาลใจให้เขาคิดค้นศิลปะการต่อสู้รูปแบบใหม่ขึ้น จากภาพยนตร์เรื่ององค์บาก 2 เขาได้คิดค้นศิลปะการต่อสู้ที่เรียกว่า '''นาฎยุทธ์''' รูปแบบการต่อสู้ที่ถูกคิดค้นและผสมผสานจากนาฏศิลป์ไทย ลีลาแห่งศิลปะชั้นสูงอย่างโขน เช่น ตัวยักษ์, ลิง,(ตัวละครที่เขาชอบมากที่สุดคือ หนุมาน) พระ ฯลฯ มาผนวกรวมเข้ากับศิลปะการเต้นเบรกแดนซ์ และศิลปะการต่อสู้รูปแบบต่างๆ จนเกิดเป็นรูปแบบการต่อสู้ที่เชื่อว่ายังไม่เคยปรากฏขึ้นมาก่อน คำพูด|ด้วยความที่ชอบฮิปฮอป เลยดึงมาประสานเป็น "นาฏยุทธ์" ตีความใหม่เรื่องการแสดงเหมือนการเต้นไปตามจังหวะเพลง จะเต้นยังไงให้รู้สึกอินตามไปกับเพลง "นาฏยุทธ์" ก็เป็นศาสตร์เดียวกัน เพียงแต่ว่าจะตีโจทย์ยังไงให้รู้สึกว่าท่าแอ็คชั่นในหนังดูแข็งแรงและกล้าแกร่ง พร้อมแทรกท่าพระช่วงไหน ใช้ท่าลิงตอนไหน ใช้ท่ายักษ์ระห่ำเวลาไหน ซึ่งตรงนี้ก็ต้องมีเรียนการแสดงเพิ่มเติมด้วย == คดีความ == === ปัญหาการชำระเงินกู้ค่าทำภาพยนตร์เรื่อง องค์บาก 2 === วันที่ 4 กรกฎาคม พ.ศ. 2551 พนม ยีรัมย์ ผู้เป็นจำเลยได้ลงลายมือทำสัญญากู้ยืมเงินเพื่อใช้ในการถ่ายทำภาพยนตร์เรื่องดังกล่าวแก่โจทก์ คือ อุน ฮี ปาร์ค นักธุรกิจชาวเกาหลีใต้ จำนวน 1 ล้านบาท ซึ่งเบื้องต้นโจทก์ได้โอนเงินจากธนาคารเข้าบัญชีเงินฝากของจำเลย และจำเลยได้ทำสัญญาว่าจะชำระหนี้ทันทีหลังจากที่ภาพยนตร์เรื่องดังกล่าวถ่ายทำเสร็จและออกฉายแล้ว แต่หลังจากภาพยนตร์ดังกล่าวออกฉายจำเลยก็ไม่ได้ชดใช้เงินกู้จำนวนดังกล่าว โจทก์จึงนำคดีขึ้นฟ้องศาลให้พิพากษาและให้จำเลยคืนเงินต้นที่กู้ยืมไป พร้อมดอกเบี้ยร้อยละ 7.5 แก่โจทก์ เมื่อถึงวันที่ศาลกำหนดนัด แต่จำเลยไม่ได้เดินทางมาศาลแต่มอบอำนาจให้ทนายความส่วนตัวแถลงว่าเขายินยอมชดใช้เงินคืนแก่โจทก์จำนวน 5 แสนบาท ซึ่งโจทก์ก็ได้ยอมความและยื่นคำร้องขอถอนฟ้องแก่ศาล ศาลจึงมีคำสั่งให้จำหน่ายคดีออกจากสารบบhttp://www.komchadluek.net/detail/20100323/53322/เคลียร์หนี้5แสนคดีจาพนมเบี้ยวเงินกู้ทำหนังยุติ.html เคลียร์หนี้ 5 แสนคดีจาพนมเบี้ยวเงินกู้ทำหนังยุติ วันที่สืบค้น 16 เม.ย. 2555 จาก : www.komchadluek.net === ปัญหาสัญญากับบริษัทสหมงคลฟิล์ม === ในวันที่ 26 มีนาคม พ.ศ. 2558 ศาลแพ่ง (ประเทศไทย)|ศาลแพ่งมีคำสั่งคุ้มครองบริษัท สหมงคลฟิล์ม อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด ให้ระงับการฉายภาพยนตร์เรื่อง''เร็ว..แรงทะลุนรก 7'' ชั่วคราวจนกว่าศาลจะมีคำพิพากษา ในคดีที่สมศักดิ์ เตชะรัตนประเสริฐ (เสี่ยเจียง) ประธานสหมงคลกรุ๊ป ผู้ประกอบธุรกิจภาพยนตร์บริษัทสหมงคลฟิล์ม เป็นโจทก์ยื่นฟ้องพนม ยีรัมย์ (tony jaa), บริษัทยูนิเวอร์แซล พิคเจอร์ส (บริษัทผู้สร้างภาพยนตร์) และบริษัทยูไนเต็ด อินเตอร์เนชั่นแนล พิคเจอร์ส (ฟาร์อีสต์) จำกัด หรือยูไอพี ประเทศไทย (บริษัทจัดจำหน่ายภาพยนตร์) เป็นจำเลยที่ 1-3 เรื่องละเมิดผิดสัญญา พร้อมเรียกค่าเสียหาย 1,600 ล้านบาท พร้อมดอกเบี้ยร้อยละ 7.5 ต่อปี โดยคำสั่งนี้มีผลภายในประเทศเท่านั้นhttp://www.thairath.co.th/content/489360 'จา พนม' ผิดสัญญา 'เสี่ยเจียง' ศาลสั่งระงับฉาย 'ฟาสต์ 7' ในไทย แต่ต่อมาวันที่ 30 มีนาคม ทีมทนายของจำเลยที่ 1-3 ได้ยื่นอุทธรณ์คำสั่งระงับฉายภาพยนตร์ดังกล่าว และศาลแพ่งก็ได้ยกเลิกคำสั่งนั้น โดยที่ทางสหมงคลฟิล์มได้คัดค้านคำอุทธรณ์ดังกล่าวแต่ไม่เป็นผล เนื่องจากศาลมีความเห็นว่ากระทบกับสิทธิของผู้อื่น ทำให้ยูไอพีสามารถจัดฉายภาพยนตร์เรื่องนี้ได้ตามกำหนดการเดิมคือวันที่ 1 เมษายน 2558 แต่การฟ้องเรียกค่าเสียหายนั้นยังคงอยู่http://movie.sanook.com/49089/ เมเจอร์ฯ คอนเฟิร์ม! Fast & Furious 7 ฉายแน่ 1 เมษายนนี้! ต่อมาในเดือนกรกฎาคม 2558 เสี่ยเจียงได้ตัดสินใจถอนฟ้องแพ่งนายพนมทั้งหมด และกล่าวว่าจากนี้ไปต่างคนต่างเดิน == ความสำเร็จในระดับโลก == ;พ.ศ. 2546 * เว็บไซต์ www.kungfucinema.com เว็บไซต์เกี่ยวกับภาพยนตร์แอ็กชั่นและการต่อสู้ที่ได้รับความนิยมมากที่สุดเว็บหนึ่งของโลก ได้มีการจัดมอบรางวัล KUNGFUCINEMA AWARD โดย''องค์บาก''ได้รับ 2 รางวัล จากการเสนอชื่อ 3 รางวัล ทัชชกรได้รับรางวัลนักแสดงนำฝ่ายชายที่เน้นการต่อสู้ยอดเยี่ยม และพันนาได้รับรางวัลออกแบบฉากแอ็กชั่นและการต่อสู้ยอดเยี่ยม(ชนะเฉินหลง, ทอมครูซ, เจ็ท ลี, เคียนู รีฟส์, หยวนหูผิง, และดอนนี่ เยนhttp://www.positioningmag.com/magazine/Details.aspx?id=37634 KUNGFUCINEMA AWARD ;พ.ศ. 2548 * ได้รับการจัดอันดับให้เป็น 1 ใน 200 ดาราหน้าใหม่ที่น่าจับตามองที่สุดในโลก ประจำปี 2548 โดยเอ็นเตอร์เทนเม้นท์ วีกลี่ (Entertainment Weekly) ซึ่งดาราเอเชียติดอันดับเพียง 2 คนเท่านั้นคือ โทนี่ จาและจางอื้อยี่ * เว็บไซต์ www.positioningmag.com จัดอันดับให้ทัชชกร ยีรัมย์ ในชื่อของ Tony jaa เป็นนักแสดงแอ๊กชั่นยอดเยี่ยมอันดับ 1 ของโลก http://www.positioningmag.com/Magazine/Details.aspx?id=37609/ จา พนมได้รับการจัดอันดับให้เป็นนักแสดงแอ๊กชั่นอันดับ 1 ของโลก * พิพิธภัณฑ์หุ่นขี้ผึ้ง มาดามทุซโซต์ กรุงเทพฯ ได้จัดสร้างห้องแสดงหุ่นขี้ผึ้งในแผนกศิลปะการต่อสู้ ชื่อ IN ON THE ACTION: Martial arts heroes Bruce Lee, above, and Tony Jaa โดยได้สร้างหุ่นขี้ผึ้งขนาดเท่าตัวจริงของ โทนี่ จาและบรูซ ลี ตั้งไว้ในห้องเดียวกัน (เนื่องจากทั้งคู่เคยถูกทาบทามให้เป็นนักแสดงจากสังกัดค่ายภาพยนตร์เดียวกัน) ภายในห้องจัดฉากเป็นฉากการต่อสู้ที่ปรากฏในภาพยนตร์ของทั้งสองคน และพิพิธภัณฑ์หุ่นขี้ผึ้ง Louis Tussaud’s Waxworks พัทยา ที่รวบรวมและจัดแสดงหุ่นขี้ผึ้งของนักแสดงที่มีชื่อเสียงระดับโลกก็ได้จัดสร้างหุ่นขี้ผึ้งขนาดเท่าตัวจริงของ Tony jaa นั่งอยู่บนช้าง * หลังจากที่ภาพยนตร์เรื่ององค์บาก ประสบความสำเร็จจนถึงขีดสุดในระดับโลก คำว่าองค์บาก จึงกลายเป็นศัพท์สแลงในหมู่วัยรุ่นทั่วโลกที่แปลว่า กล้าหาญ และบ้าบิ่นhttp://www.ruengdd.com/2012/04/tony-jaa-3.html/ จา พนม(TONY JAA) ประกาศแต่งงาน น้องบุ้งกี๋ 3 พ.ค.นี้ วันที่สืบค้น 28 เม.ย. 2555 จาก www.ruengdd.com * ได้รับการคัดเลือกให้เป็น 1 ในนักแสดงผู้มีอิทธิพลสูงสุดในเอเชีย (Asia's Most Popularity Entertainer People of The Year 2008) จากนักวิจารณ์และนักแสดงทั่วโลก http://www.sahavicha.com/?name=article&file=readarticle&id=118/ K-POP อิทธิพลกลืนวัฒนธรรม วันที่เรียกข้อมูล 26 เม.ย. 2555 จาก www.sahavicha.com * ได้รับการคัดเลือกให้เป็น 1 ใน 300 ดาราดังในเอเชีย มาถ่ายแบบเปลือย เพื่อนำรายได้จากการเข้าชมนิทรรศการดังกล่าวช่วยเหลือผู้ประสบภัยสึนามิที่ประเทศฮ่องกงhttp://star.sanook.com/gossip/gossip_12318.php/ โทนี่ จา ปลื้มร่วม 300 ดาราเอเชียแก้ผ้า ;พ.ศ. 2551 * ทัชชกร ยีรัมย์ ในชื่อ Tony jaa ถ่ายแบบและถ่ายทอดประวัติชีวิตลงในนิตยสาร GQ นิตยสารสหรัฐอเมริกา ที่ว่าด้วยเรื่องราวประวัติชีวิตของผู้ชายที่มหัศจรรย์ระดับโลก ฉบับเดือนเมษายน ค.ศ. 2008http://www.positioningmag.com/magazine/printnews.aspx?id=50225/ โทนี่จา...หมัด เท้า เขย่าโลก! วันที่เรียกข้อมูล 26 เม.ย. 2555 จาก www.positioningmag ;พ.ศ. 2552 * ทัชชกร ยีรัมย์ ได้รับการเชิดชูเกียรติให้เป็นบุคคลสำคัญของโลก ลงในทำเนียบ "คนไทยที่โลกยกย่อง" ประกาศเกียรติคุณโดยเว็บไซต์ สารานุกรมทรัพยากรมนุษย์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ (kc.hri.tu.ac.th) * ภาพยนตร์ในการแสดงนำหลายเรื่องของเขาได้ถูกจัดอันดับให้เป็น 1 ใน 10 อันดับภาพยนตร์ไทยที่ผู้ชมทั่วโลกชื่นชอบมากที่สุดในทศวรรษ เช่นเรื่อง องค์บาก และต้มยำกุ้ง จากผลการจัดอันดับโดยเว็บไซต์ www.toptenthailand.com ในหัวข้อ ''10 อันดับหนังไทยที่คนชื่นชอบมากที่สุดในทศวรรษ '' ;พ.ศ. 2553 * ทัชชกร ยีรัมย์ ได้รับการจัดอันดับให้เป็นนักแสดงภาพยนตร์แอ๊กชันอันดับ 1 ระดับตำนาน จากผลการสำรวจผู้ชมภาพยนตร์แนวแอ๊กชันทั่วโลก ของเว็บไซต์ www.deknang.com และเว็บไซต์ www.openmm.com เว็บไซต์ที่มีเนื้อหาเกี่ยวกับภาพยนตร์ทุกประเภทจากทั่วโลก ;พ.ศ. 2556 * ทัชชกร ยีรัมย์ ได้เข้าร่วมเป็นหนึ่งในนักแสดงของภาพยนตร์เรื่อง Fast and Furious 7 ซึ่งเป็นภาพยนตร์แข่งรถขายดีของค่ายยูนิเวอร์แซล สตูดิโอ == ผลงานการแสดง == === ภาพยนตร์ที่เป็นสตันท์แมนhttp://www.imdb.com/name/nm1388074/ Tony Jaa === * เพชฌฆาตดำ (2533) รับบท หัวหน้าโจรนินจา * เพชรพระอุมา (2533) รับบท พรานจัน * สิงห์สยาม (ภาพยนตร์)|สิงห์สยาม (2535) รับบท ตีลังกา * กวนโอ๊ย (2536) รับบท กระโดดตีลังกายิมนาสติกซิกแซก * ปีนเกลียว (2536) * ปลัดบ้านนอก (2536) * ปลุกมันขึ้นมาฆ่า 4 (2537) รับบท หมู่พวกเขา * พยัคฆ์ร้ายเซี่ยงชุน 2 (2537) รับบท เล็ก ๆ * มนต์เพลงนักเลงบ้านนอก (2537) * นักฆ่าหน้าหยก (2537) * นักเลงกลองยาว (2537) * นักสู้เมืองอีสาน (2538) * ข้ามากับปืน (2538) * ปีนเกลียว 2 (2538) * กองทัพเถื่อน 2 (2538) * อัดแหลกไอ้เพชร บขส. - ไอ้ผาง รฟท. (2538) * เพชฌฆาตเดนสงคราม 2 (2539) * มือปราบปืนโหด (ภาพยนตร์)|มือปราบปืนโหด (2539) รับบท โทนี่ * คนดิบเหล็กน้ำพี้ (2539) รับบท ชายติดอาวุธ 6 คน * แก๊งค์กระแทกก๊วนส์ เก๋ากวนเมือง (2540) * มอร์ทัลคอมแบท (Mortal Kombat 2 : Annihilation) (2540) * อุ้มเธอไว้อันตรายเกินร้อย (2540) * ปู่ตาคาถาถล่มคน (2540) * ปืนเกลียว 3 (2540) รับบท นักสู้เกย์ * คนสารพัดพิษ (2540) * เซี่ยงชุน 3 พยัคฆ์ร้ายครกแตก (2540) * CC-J แสบฟ้าแลบ (2541) === ภาพยนตร์ที่แสดงเอง === | class="wikitable" width="80%" |- ! ปี พ.ศ. !! เรื่อง !! รับบทเป็น !!หมายเหตุ |- | align = "center"| 2546 || align = "center"| ''องค์บาก'' || align = "center"| บุญทิ้ง || align="center" | |- | align = "center"| 2547 || align = "center"| ''บอดี้การ์ดหน้าเหลี่ยม'' || align = "center"| นักสู้ในห้างสรรพสินค้า || align="center" |รับเชิญ |- | align = "center"| 2548 || align = "center"| ''ต้มยำกุ้ง (ภาพยนตร์)|ต้มยำกุ้ง'' || align = "center"| ขาม || align = "center"| |- | rowspan = "1" align = "center"| 2550 || align = "center"| ''บอดี้การ์ดหน้าเหลี่ยม 2'' || align = "center"| คนขายช้างออมสิน || align = "center"|รับเชิญ |- | rowspan = "1" align = "center"| 2551 || align = "center"| ''องค์บาก 2'' || rowspan = "2" align = "center"| เทียน || align = "center"| |- | align = "center"| 2553 || align = "center"|''องค์บาก 3'' || align = "center"| |- | align = "center"| 2556 || align = "center"| ''ต้มยำกุ้ง 2|ต้มยำกุ้ง 2 3D'' || align = "center"| ขาม || align = "center"| |- | rowspan = "3" align = "center"| 2558 || align = "center"| ''เร็ว..แรงทะลุนรก 7'' || align = "center"| เกียรติ || align = "center"| |- | align = "center"| ''คู่ซัดอันตราย'' || align = "center"| โทนี่ || align = "center"| |- | align = "center"| ''โหดซัดโหด'' || align = "center"| ชัย || align = "center"| |- | align = "center"| 2559 || align = "center"| '':en:Never Back Down: No Surrender|Never Back Down: No Surrender'' || align = "center"| || align = "center"|รับเชิญ |- | rowspan = "3" align = "center"| 2560 || align = "center"| ''ทริปเปิ้ลเอ็กซ์ ทลายแผนยึดโลก'' || align = "center"|ทาลอน || align = "center"| |- | align = "center"|'':en:Paradox (2017 film)|เดือด ซัด ดิบ': || align = "center"| ตั๊ก || align = "center"| |- | align = "center"|'':en:Gong Shou Dao|Gong Shou Dao'' || align = "center"| มาสเตอร์จา || align = "center"| รับเชิญ |- | rowspan = "1" align = "center"| 2561 | align = "center"|'':en:Master Z: The Ip Man Legacy|ยิปมัน: ตำนานมาสเตอร์ Z'' || align = "center"| Sadi the Warrior || align = "center"| |- | align = "center"| 2562 | align = "center"|'':en:Triple Threat (2019 film)|ทริปเปิล เธรท สามโหดมหากาฬ'' || align = "center"| พายุ || align = "center"| เผยแพร่ทางเน็ตฟลิกซ์ |- | align = "center"| 2563 | align = "center"| ''มอนสเตอร์ฮันเตอร์ (ภาพยนตร์)|มอนสเตอร์ฮันเตอร์'' | align = "center"| ฮันเตอร์ | |- | align = "center"| 2564 | align = "center"| ''Detective Chinatown 3'' | align = "center"|Jack Jaa | พากย์เสียงตัวเองในบางฉากและบางบทก่อนที่ทีมพันธมิตรจะพากย์ |- |align = "center"| 2566 |align = "center"| ''Expend4bles โคตรคนทีมมหากาฬ 4'' |align = "center"| Decha | | === กำกับภาพยนตร์ === * องค์บาก 2 (2551) (กำกับและแสดงนำ) (วันที่เข้าฉาย 5 ธันวาคม) * องค์บาก 3 (2553) (กำกับและแสดงนำ) (วันที่เข้าฉาย 5 พฤษภาคม) === ละครโทรทัศน์ === * อินทรีแดง (2540) (ช่อง 7) === เกมโชว์ === * ชิงร้อยชิงล้าน ชะชะช่า ช่วง ละคร 3 ช่า เรื่อง 7 ประจัญบาน รับบท ลูกน้องโหน่ง == ผลงานเพลง == === ศิลปินเดี่ยว === * พ.ศ. 2560 พนมได้ออกซิงเกิ้ลแรกในชีวิตกับค่าย '''แกรนด์มิวสิค''' ในเครือ แกรมมี่ ในชื่อเพลง '''ลุยเฮลุย''' และได้แสดงมิวสิกวิดีโอของเพลงดังกล่าว === มิวสิกวิดีโอ === * เป็นพระเอกในมิวสิกวิดีโอเพลง Je Reste Ghetto ONG-BAK ให้กับวง Tragedie และเป็นเพลงเปิดตัวประจำของโทนี่ จา ในระยะเวลาหนึ่ง == ผลลัพธ์ == === เกม === * ต้มยำกุ้ง เดอะเกมส์ - ให้เสียงพากย์เป็นตัวเอกในเกม === ตุ๊กตา Model === * โทนี่จาในชุดขามจากภาพยนตร์เรื่องต้มยำกุ้ง เป็นที่รู้จักอย่างมากที่สุดในตลาดต่างประเทศ Sensasian, http://sensasian.com/product.php/en/T1095H/ Tom Yum Goong - Fantastic Tony Jaa AFC 7 Action Figure ,เรียกข้อมูล 5/กย./54 จาก : sensasian.com == บริษัท == * บริษัทไอยราฟิล์มจำกัด (IYARA FILM CO.,LTD) เป็นบริษัทผลิต-จัดจำหน่ายภาพยนตร์, โรงเรียนสอนศิลปะการต่อสู้หลายรูปแบบ และสำนักพิมพ์ในสถานที่เดียวกัน ก่อตั้งขึ้นเมื่อ พ.ศ. 2549 อยู่ที่ 199, 201 ซอยลาดพร้าว 101 แขวงคลองจั่น เขตบางกะปิ กรุงเทพมหานคร 10240 === ทีมสตั๊นท์ === * เป็นผู้ก่อตั้งทีมนักแสดงแทนด้านศิลปะการต่อสู้ในภาพยนตร์ ชื่อทีม "ไอยราสตั๊นท์" โดยทีมสตั๊นท์ส่วนหนึ่งมาจากนักแสดงแทนในภาพยนตร์เรื่องต่าง ๆ ของทัชชกร === สถาบันสอนศิลปะการต่อสู้ === * ทัชชกรร่วมกับครอบครัว ก่อตั้งสถาบันสอนศิลปะการต่อสู้แบบมวยไทยประเภทต่าง ๆ ในชื่อ "สถาบันมวย IMA" เปิดสอนหลักสูตรมวยไทยประเภทต่าง ๆ ให้แก่ชาวต่างชาติและคนไทย มีพิธีเปิดอย่างเป็นทางการวันที่ 28 พฤษภาคม 2554 สถานที่ตั้งอยู่ที่ อ.พนมดงรัก จ.สุรินทร์http://www.ryt9.com/s/prg/1162374/ ภาพข่าว: พิธีเปิดสถาบันมวย IMA ของบริษัทไอยราฟิล์ม จำกัด โดยครอบครัวคุณจาพนม ยีรัมย์ == โฆษณา == # พรีเซ็นเตอร์โฆษณา "ลำไยไทยช่วยชาติ" แก้ปัญหาลำไยล้นตลาด โดยโครงการของอดีตนายกรัฐมนตรี ทักษิณ ชินวัตร ซึ่งเปิดตัวอย่างเป็นทางการในวันที่ 12 กรกฎาคม พ.ศ. 2548 http://www.ryt9.com/s/prg/31029/ “เสี่ยเจียง” สนับสนุน “จา พนม” เป็นพรีเซนเตอร์ลำไยไทยช่วยชาติ # พรีเซ็นเตอร์โฆษณา "รถมิตซูบิชิ ไทรทัน พลัส" 3 ภาค โดยได้รับค่าตัวสูงสุดเป็นประวัติการณ์ในประเทศไทย ถึง 50 ล้านบาท ในวันที่ 29 พฤศจิกายน พ.ศ. 2549 ทำให้รถมิตซูบิชิ ไทรทัน เป็นที่นิยมในตลาดโลกhttp://www.naewna.com/news.asp?ID=45873/ อิทธิพลของการโฆษณารถของ จา พนม ที่มีผลในตลาดรถไทยในต่างประเทศ # พรีเซ็นเตอร์โฆษณา รณรงค์วินัยจราจร จังหวัดสุรินทร์ ในโครงการของ พ.ต.ท.นิรันดร์ คู่พิทักษ์ ผกก. (ป.) สภ.ปราสาท จังหวัดสุรินทร์ ในวันที่ 16 กรกฎาคม พ.ศ. 2552 # ได้รับการแต่งตั้งจากกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา และสถาบันการพลศึกษา (ประเทศไทย) ให้เป็นพรีเซ็นเตอร์ "หลักสูตรมาตรฐานศิลปะมวยไทย 9 ขั้น ของสถาบันการพลศึกษาสู่เวทีโลก" โดยมีหลายประเทศจากทั่วโลกให้ความร่วมมืออย่างเป็นรูปธรรม # พรีเซ็นเตอร์โฆษณาบัตรเครดิต DBS Compass Visa ของฮ่องกง พ.ศ. 2559https://www.marketingoops.com/media-ads/video/tony-jaa-into-dbs-new-tvc/ Marketing Oops! - “จาพนม” บู๊สนั่นจอ ผ่านโฆษณาตัวใหม่ให้ธนาคาร DBS Hong Kong ;หนังสือ * นิตยสาร I+Extreme "ไอ+เอกซ์ตรีม" โดยบริษัทไอยราฟิล์มhttp://www.newswit.com/news/2010-05-06/95d933cc0ff8729aa815feb3c94876ab/ บริษัท ไอยราฟิล์ม โดยคุณจาพนม ยีรัมย์ เปิดตัวนิตยสารใหม่ == รางวัลและการเชิดชูเกียรติ == รางวัลและการเชิดชูเกียรติที่พนม ยีรัมย์ ได้รับจากการแสดงภาพยนตร์ และศิลปะมวยไทย | border="2" cellpadding="4" cellspacing="0" style="margin: 1em 1em 1em 0; background: #f9f9f9; border: 1px #aaa solid; border-collapse: collapse; font-size: 97%;" |- bgcolor="#B0C4DE" align="center" ! style="background: color:black;"|พ.ศ. ! style="background: color:black;"|ชื่อรางวัล ! style="background: color:black;"|คำอธิบาย ! style="background: color:black;"|อ้างอิง |- |rowspan=2|2546 || รางวัล KUNGFUCINEMA AWARD # รางวัลนักแสดงนำฝ่ายชายที่เน้นศิลปะการต่อสู้ยอดเยี่ยม # รางวัลออกแบบฉากและศิลปะการต่อสู้ยอดเยี่ยม || จากเว็บไซต์ www.kungfucinema.com || http://iamtonyjaa.com/eng/text_news2.htm/ จาพนมได้รับรางวัลกังฟูอวอร์ด |- | รางวัลทูตวัฒนธรรมด้านภาพยนตร์ครั้งที่ 1 || จัดขึ้นโดยโครงการของรัฐบาล ณ โรงแรมอิมพีเรียลควีนสปาร์ค || |- |rowspan=3|2548 || ลงหนังสือบันทึกสถิติโลกกินเนสส์สาขาสอนและโชว์มวยไทยแก่ประชาชนมากที่สุดในโลก || มีผู้มาฝึก 2,000 คน ณ ฮ่องกง || http://movie.sanook.com/news/news_10637.php/ Thai News :"ต้มยำกุ้ง" หวังฟัน 1,000 ล. "จา" ปลื้มได้ลงกินเนสส์บุ๊ค |- | รางวัลสุพรรณหงส์ ครั้งที่15 รางวัลเกียรติยศแห่งปี 2548 สาขาดาราไทยที่สร้างชื่อเสียงให้ภาพยนตร์ไทยที่รู้จักทั่วโลก || จาก ภาพยนตร์เรื่องต้มยำกุ้ง || |- | รางวัลดาราหน้าใหม่ที่น่าจับตามองที่สุดในโลก || เอ็นเตอร์เทนเม้นท์วีกลี่ || http://entertain.teenee.com/thaistar/116.html/ จาพนมรับรางวัล ดาราหน้าใหม่ที่น่าจับตามองที่สุดในโลก |- |rowspan=1|2550 || รางวัล BEST ACTION ACTOR รางวัลศิลปะการต่อสู้ยอดเยี่ยมแห่งเอเชีย || จากงาน MARTIAL ARTS GLOBAL CELEBRATION ซึ่งจัดขึ้นที่ประเทศจีน ร่วมกับเฉินหลง, เดวิดเจียง, หยวนเปียว, เจ็ทลี,ฯลฯ และแสดงศิลปะรำกังฟูบนเวทีด้วย || http://www.siamzone.com/movie/news/?id=3661/ จา พนม บุกแดนมังกร รับรางวัล นักแสดงแอ็กชั่นยอดเยี่ยม |- |rowspan=1|2551 || รางวัลใบโพธิ์ทองคำ || (สหมงคลฟิล์ม) || http://movie.sanook.com/15593/คนวงการบันเทิงนับร้อยร่วมภูมิใจ-ต่างชาติยกย่องเสี่ยเจียง-จา-พนม// คนวงการบันเทิงนับร้อยร่วมภูมิใจ ต่างชาติยกย่องเสี่ยเจียง-จา พนม |- |rowspan=2|2552 || รางวัลเพนกวินผู้กล้า The First Penguin Award || บุคคลตัวอย่างมีความกล้าหาญ-สร้างสรรค์) จากรูปแบบการถ่ายทำภาพยนตร์ และความคิดสร้างสรรค์ในการออกแบบศิลปะการต่อสู้รูปแบบใหม่ จากเรื่ององค์บาก 2 || |- | รางวัลศิลปินมรดกอีสาน ประเภทศิลปะการแสดง สาขานักแสดง || มหาวิทยาลัยขอนแก่น จัดขึ้นเนื่องในงานเฉลิมพระเกียรติเนื่องในวโรกาสวันคล้ายวันพระราชสมภพ สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี และวันอนุรักษ์มรดกไทย || |- |rowspan=1|2553 || รางวัลสตั๊นท์ชายยอดเยี่ยมประเภทแข่งขัน (BEST STUNT by A STUNT MAN AWARD) || จากงาน 1st THAILAND STUNT AWARDS (รางวัลสตั๊นต์แมนยอดเยี่ยม ครั้งที่ 1) นักแสดงนำที่แสดงบทเสี่ยงตายโดยไม่ใช้อุปกรณ์ช่วยความปลอดภัย จากภาพยนตร์เรื่ององค์บาก 3 || http://movie.sanook.com/news/news_18813.php/ Thai News :ประกาศแล้ว! รางวัลสตั๊นท์แมนยอดเยี่ยม | == หมายเหตุ == == อ้างอิง == == แหล่งข้อมูลอื่น == * http://www.iyarafilm.com/ เว็บไซต์ไอยราฟิล์ม * http://www.iamtonyjaa.com/ เว็บไซต์อย่างเป็นทางการ * http://www.tonyjaa.org/ Tony Jaa เว็บไซต์โดยแฟน ๆ * http://suicidegirls.com/words/Ong-bak%20star%20Tony%20Jaa/ บทสัมภาษณ์ ที่ Suicide Girls * http://www.time.com/time/asia/magazine/article/0,13673,501041025-725168,00.html บทสัมภาษณ์โดยนิตยสาร ไทม์ เอเชีย หมวดหมู่:บุคคลจากอำเภอพนมดงรัก หมวดหมู่:บุคคลจากมหาวิทยาลัยการกีฬาแห่งชาติ หมวดหมู่:พุทธศาสนิกชนชาวไทย หมวดหมู่:ผู้ฝึกศิลปะการต่อสู้จากจังหวัดสุรินทร์ หมวดหมู่:สตันต์แมนชาวไทย หมวดหมู่:นักแสดงชายชาวไทย หมวดหมู่:ผู้กำกับภาพยนตร์ชาวไทย หมวดหมู่:ผู้ฝึกสอนกระบี่กระบอง หมวดหมู่:นักแสดงภาพยนตร์ชายชาวไทย หมวดหมู่:บุคคลในวงการมวยไทย หมวดหมู่:ชาวไทยเชื้อสายกูย
ทัชชกร ยีรัมย์
Infobox royalty | name = สมเด็จพระเจ้าชาลส์ที่ 3 | title = ประมุขเเห่งเครือจักรภพ | image = King Charles III (July 2023).jpg | caption = พระบรมฉายาลักษณ์ใน ค.ศ. 2023 | succession = | moretext = | reign = 8 กันยายน พ.ศ. 2565 ปัจจุบัน () | cor-type = พระราชพิธีราชาภิเษกของสมเด็จพระเจ้าชาลส์ที่ 3 แห่งสหราชอาณาจักร|ราชาภิเษก | coronation = 6 พฤษภาคม พ.ศ. 2566 | predecessor = สมเด็จพระราชินีนาถเอลิซาเบธที่ 2 แห่งสหราชอาณาจักร|สมเด็จพระราชินีนาถเอลิซาเบธที่ 2 | reg-type = | regent = รายชื่อนายกรัฐมนตรีในสมเด็จพระเจ้าชาลส์ที่ 3|''ดูรายชื่อ'' | suc-type = | successor = เจ้าชายวิลเลียม เจ้าชายแห่งเวลส์ | birth_name = เจ้าชายชาลส์แห่งเอดินบะระ | birth_style = พระราชสมภพ | birth_date = | birth_place = พระราชวังบักกิงแฮม ลอนดอน ประเทศอังกฤษ | spouses = ubl|| | issue-link = #Issue | issue = | full name = ชาลส์ ฟิลิป อาร์เทอร์ จอร์จNoteTag|ในฐานพระมหากษัตริย์ ชาลส์มักไม่มีนามสกุล แต่ถ้าจำเป็นต้องใช้ นามสกุลนั้นคือเมานต์แบ็ตเทน-วินด์เซอร์ | house = ราชวงศ์วินด์เซอร์|วินด์เซอร์ | father = เจ้าชายฟิลิป ดยุกแห่งเอดินบะระ | mother = สมเด็จพระราชินีนาถเอลิซาเบธที่ 2 แห่งสหราชอาณาจักร|สมเด็จพระราชินีนาถเอลิซาเบธที่ 2 | signature = | religion = โปรเตสแตนต์ | module = Infobox person | embed=yes | education = Gordonstoun School | alma_mater = |module = Infobox military person | embed = yes | allegiance = สหราชอาณาจักร | branch = | serviceyears = 1971–1976 | serviceyears_label = ปีที่รับใช้ | rank = List of titles and honours of Charles III|รายการ | commands = | module = Listen |embed=yes | title = พระสุรเสียงของสมเด็จพระเจ้าชาลส์ที่ 3 | filename = King Charles Addresses Scottish Parliament - 12 September 2022.flac | type = speech | description = '''สมเด็จพระเจ้าชาลส์ที่ 3''' () พระนามเต็ม '''ชาลส์ ฟิลิป อาร์เทอร์ จอร์จ''' (; พระราชสมภพ 14 พฤศจิกายน ค.ศ. 1948) เป็นพระมหากษัตริย์สหราชอาณาจักรและอีก 14 ประเทศเครือจักรภพNoteTag|note=นอกจากสหราชอาณาจักรแล้ว 14 ประเทศเครือจักรภพคือพระมหากษัตริย์แอนทีกาและบาร์บิวดา|แอนทีกาและบาร์บิวดา, พระมหากษัตริย์ออสเตรเลีย|ออสเตรเลีย, พระมหากษัตริย์บาฮามาส|บาฮามาส, พระมหากษัตริย์เบลีซ|เบลีซ, พระมหากษัตริย์แคนาดา|แคนาดา, พระมหากษัตริย์กรีเนดา|กรีเนดา, พระมหากษัตริย์จาเมกา|จาเมกา, , พระมหากษัตริย์ปาปัวนิวกินี|ปาปัวนิวกินี, พระมหากษัตริย์เซนต์คิตส์และเนวิส|เซนต์คิตส์และเนวิส, พระมหากษัตริย์เซนต์ลูเชีย|เซนต์ลูเชีย, พระมหากษัตริย์เซนต์วินเซนต์และเกรนาดีนส์|เซนต์วินเซนต์และเกรนาดีนส์, พระมหากษัตริย์หมู่เกาะโซโลมอน|หมู่เกาะโซโลมอน และพระมหากษัตริย์ตูวาลู|ตูวาลู ชาลส์เสด็จพระราชสมภพ ณ พระราชวังบักกิงแฮมในรัชสมัยของสมเด็จพระเจ้าจอร์จที่ 6 แห่งสหราชอาณาจักร|สมเด็จพระเจ้าจอร์จที่ 6 พระอัยกา และกลายเป็นทายาทผู้มีสิทธิโดยตรงเมื่อสมเด็จพระราชินีนาถเอลิซาเบธที่ 2 แห่งสหราชอาณาจักร|สมเด็จพระราชินีนาถเอลิซาเบธที่ 2 พระราชมารดา ขึ้นครองราชย์ใน ค.ศ. 1952 ชาลส์เสด็จขึ้นครองราชย์หลังการสวรรคตและพิธีฝังพระบรมศพสมเด็จพระราชินีนาถเอลิซาเบธที่ 2 แห่งสหราชอาณาจักร|พระราชมารดาเสด็จสวรรคตในวันที่ 8 กันยายน ค.ศ. 2022 ด้วยพระชนมพรรษา 73 พรรษา พระองค์เป็นรัชทายาทที่ดำรงพระยศองค์รัชทายาทยาวนานที่สุดในประวัติศาสตร์ และยังเป็นรัชทายาทที่พระชนมายุมากที่สุดที่สืบราชบัลลังก์สหราชอาณาจักร พระราชพิธีราชาภิเษกของสมเด็จพระเจ้าชาลส์ที่ 3 แห่งสหราชอาณาจักร|พระราชพิธีราชาภิเษกจัดขึ้นที่เวสต์มินสเตอร์แอบบีย์ในวันที่ 6 พฤษภาคม ค.ศ. 2023 == พระชนม์ชีพช่วงต้น == File:Prince Charles Christening Family Portrait.jpg|thumb|พิธีบัพติศมาชาลส์ (กลาง สวมเสื้อคลุมสำหรับพิธีบัพติศมา) ใน ค.ศ. 1948: (จากซ้ายไปขวา) สมเด็จพระเจ้าจอร์จที่ 6 พระอัยกา; เจ้าหญิงเอลิซาเบธ พระราชมารดาที่อุ้มพระองค์; ฟิลิป พระราชบิดา และสมเด็จพระราชินีเอลิซาเบธ พระราชชนนี|สมเด็จพระราชินีเอลิซาเบธ พระอัยยิกา ชาลส์เสด็จพระราชสมภพเวลา 21:14 น. (เวลามาตรฐานกรีนิช) ของวันที่ 14 พฤศจิกายน ค.ศ. 1948 ในรัชสมัยสมเด็จพระเจ้าจอร์จที่ 6 แห่งสหราชอาณาจักร|สมเด็จพระเจ้าจอร์จที่ 6 โดยเป็นพระราชบุตรองค์แรกในสมเด็จพระราชินีนาถเอลิซาเบธที่ 2 แห่งสหราชอาณาจักร|เจ้าหญิงเอลิซาเบธ ดัชเชสแห่งเอดินบะระ (ภายหลังเป็นสมเด็จพระราชินีนาถเอลิซาเบธที่ 2) กับเจ้าชายฟิลิป ดยุกแห่งเอดินบะระ|ฟิลิป ดยุกแห่งเอดินบะระ พระราชบิดามารดาให้กำเนิดพระราชโอรสธิดาอีก 3 พระองค์ คือ เจ้าหญิงแอนน์ พระราชกุมารี|แอนน์ (ประสูติ ค.ศ. 1950), เจ้าชายแอนดรูว์ ดยุกแห่งยอร์ก|แอนดรูว์ (ประสูติ ค.ศ. 1960) และเจ้าชายเอ็ดเวิร์ด ดยุกแห่งเอดินบะระ|เอ็ดเวิร์ด (ประสูติ ค.ศ. 1964) จากนั้นในวันที่ 15 ธันวาคม ค.ศ. 1948 ชาลส์ตอนพระชนมบรรษา 4 สัปดาห์ ได้รับบัพติศมาเป็น ''ชาลส์ ฟิลิป อาร์เทอร์ จอร์จ'' ในห้องดนตรี พระราชวังบักกิงแฮมโดย Geoffrey Fisher อาร์ชบิชอปแห่งแคนเทอร์เบอรีNoteTag|มีรายงานว่าพระองค์ได้รับการตั้งพระนามเป็น "ชาลส์" ตามสมเด็จพระราชาธิบดีโฮกุนที่ 7 แห่งนอร์เวย์ พระราชบิดาทูนหัวที่สมเด็จพระราชินีนาถเอลิซาเบธที่ 2 แห่งสหราชอาณาจักร|สมเด็จพระราชินีนาถเอลิซาเบธที่ 2 เคยเรียกพระองค์เป็น "ลุงชาลส์"NoteTag|พระราชบิดามารดาทูนหัวของเจ้าชายชาลส์ได้แก่: สมเด็จพระเจ้าจอร์จที่ 6 แห่งสหราชอาณาจักร|พระมหากษัตริย์สหราชอาณาจักร; สมเด็จพระราชาธิบดีโฮกุนที่ 7 แห่งนอร์เวย์|พระมหากษัติรย์นอร์เวย์; มาเรียแห่งเท็ค|ราชินีแมรี; เจ้าหญิงมาร์กาเรต เคาน์เตสแห่งสโนว์ดอน|เจ้าหญิงมาร์กาเรต; เจ้าชายจอร์จแห่งกรีซและเดนมาร์ก; เจ้าหญิงวิคโทรีอาแห่งเฮ็สเซินและริมไรน์|Dowager Marchioness แห่งมิลฟอร์ด แฮฟเวิน; แพทริเซีย แคนเชบูลล์ เคานท์เตสที่ 2 เมานต์แบ็ตเทนแห่งพม่า|เลดีบราบอร์น และเดวิด โบวส์-ลีออนCite web |title=HRH The Prince of Wales Prince of Wales |url=https://www.princeofwales.gov.uk/biographies/hrh-prince-wales |url-status=dead |archive-url=https://web.archive.org/web/20230409101949/https://www.princeofwales.gov.uk/biographies/hrh-prince-wales |archive-date=9 April 2023 |access-date=13 September 2022 |publisher=Clarence House การสวรรคตและพิธีฝังพระบรมศพสมเด็จพระเจ้าจอร์จที่ 6 แห่งสหราชอาณาจักร|จอร์จที่ 6 สวรรคตในวันที่ 6 กุมภาพันธ์ ค.ศ. 1952 และพระราชมารดาของชาลส์ขึ้นครองราชย์เป็นเอลิซาเบธที่ 2 ชาลส์จึงกลายเป็นทายาทผู้มีสิทธิโดยตรงทันที พระองค์ได้รับตำแหน่งดยุคแห่งคอร์นวอลล์อัตโนมัติ ตามกฎบัตรของพระเจ้าเอ็ดเวิร์ดที่ 3 แห่งอังกฤษใน ค.ศ. 1337 และในฐานะพระราชโอรสองค์โตของกษัตริย์ และตำแหน่งดยุกแห่งรอธซี เอิร์ลแห่งคาร์ริก Baron of Renfrew (title)|บารอนแห่งเรนฟรูว, ลอร์ดออฟดิไอลส์ และเจ้าชายและเกรตสจวตแห่งสกอตแลนด์ที่เป็นตำแหน่งฝ่ายสกอต ต่อมา ในวันที่ 2 ของปีถัดมา ชาลส์เข้าร่วมพระราชพิธีราชาภิเษกของสมเด็จพระราชินีนาถเอลิซาเบธที่ 2 แห่งสหราชอาณาจักร|พิธีราชาภิเษกองพระราชมารดาที่เวสต์มินสเตอร์แอบบีย์ โดยพระองค์ทรงประทับนั่งระหว่างสมเด็จพระราชินีเอลิซาเบธ พระราชชนนี พระอัยยิกา (ยาย) และเจ้าหญิงมาร์กาเรต เคาน์เตสแห่งสโนว์ดอน พระมาตุจฉา (น้า) และพระมารดาทูนหัวของพระองค์ === การศึกษา === โดยปกติแล้วพระราชวงศ์ที่มีพระชนม์ระหว่าง 5 – 8 ปีนั้นจะได้รับการศึกษาส่วนพระองค์ที่พระอาจารย์เข้ามาจัดการสอนถวายที่พระราชวังบักกิงแฮม หากแต่เจ้าชายเป็นพระราชวงศ์พระองค์แรก (และรัชทายาทของอังกฤษพระองค์แรก) ที่เสด็จเข้ารับการศึกษาที่โรงเรียน โดยทรงเข้าศึกษาที่โรงเรียนฮิลล์ เฮาส์ในเมืองลอนดอน และต่อมาที่โรงเรียนเตรียมความพร้อมด้านวิชาเคมีในเมืองเบิร์คแชร์ ซึ่งเจ้าชายฟิลิปพระบิดาของพระองค์ได้เสด็จเข้าศึกษาด้วยเช่นกัน ต่อมาพระองค์ได้เข้าศึกษาต่อที่โรงเรียนกอร์ดอนสตันในประเทศสกอตแลนด์ ซึ่งนั่นทำให้พระองค์เป็นรัชทายาทพระองค์แรกๆ ที่เข้าศึกษาในระดับโรงเรียนมัธยมทั่วไป พระองค์ทรงนิยามการเรียนที่นั่นว่า "คำสั่งกักกัน" และมีความทรงจำที่เลวร้ายมากในการเรียนผ่านลายพระราชหัตถ์ถึงครอบครัวหลายฉบับhttps://web.archive.org/web/20120704195647/http://www.debretts.com/people/royal-family/royal-portraits/prince-charles.aspx https://www.thesun.co.uk/fabulous/5095441/why-prince-charles-hate-gordonstoun/ พระองค์ทรงสำเร็จการศึกษาระดับอุดมศึกษาจากมหาวิทยาลัยเคมบริดจ์ ในภาคศิลปศาสตรบัณฑิตhttps://web.archive.org/web/20121113072216/http://www.princeofwales.gov.uk/the-prince-of-wales/biography/education นอกจากนี้พระองค์ทรงยังเข้ารับการศึกษาภาษาเวลส์ที่มหาวิทยาลัยอาเบอริสต์วิธ ในเวลส์เป็นเวลาหนึ่งภาคการศึกษาhttps://web.archive.org/web/20121113072216/http://www.princeofwales.gov.uk/the-prince-of-wales/biography/education == เจ้าชายแห่งเวลส์ == ชาลส์ได้รับการสถาปนาเป็นเจ้าชายแห่งเวลส์และเอิร์ลแห่งเชสเตอร์ในวันที่ 26 กรกฎาคม ค.ศ. 1958; เมื่อยังดำรงพระอิสริยยศเป็นเจ้าชายแห่งเวลส์ สมเด็จพระเจ้าชาลส์ที่ 3 ทรงปฏิบัติพระราชกรณียกิจในพระปรมาภิไธยสมเด็จพระราชินีนาถเอลิซาเบธที่ 2 โดยทรงก่อตั้งองค์การการกุศลเยาวชน ปรินส์ทรัสต์ ในปี 1976 ทรงสนับสนุนปรินส์ชาริตี และทรงเป็นผู้อุปถัมภ์ ประธานหรือสมาชิกขององค์การการกุศลและองค์การอื่นอีกกว่า 400 แห่ง พระองค์ทรงเรียกร้องให้อนุรักษ์สิ่งก่อสร้างประวัติศาสตร์และความสำคัญของสถาปัตยกรรมในสังคม; ; ทรงพระราชนิพนธ์หรือร่วมทรงพระราชนิพนธ์หนังสือกว่า 20 เล่ม พระองค์ทรงสนับสนุนการเกษตรออร์แกนิกและการปฏิบัติเพื่อยับยั้งการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศในระหว่างเป็นผู้จัดการที่ดินกรรมสิทธิ์ดัชชีคอร์นวอล ทำให้ทรงได้รับรางวัลและการยกย่องจากกลุ่มสิ่งแวดล้อมหลายกลุ่ม; ; ; พระองค์ทรงวิจารณ์อาหารดัดแปรพันธุกรรม ทรงสนับสนุนโฮมีโอพาธีและการแพทย์ทางเลือกอื่นซึ่งทำให้ได้รับกระแสวิจารณ์ ปรินส์ฟาวน์เดชัน ซึ่งเป็นหน่วยงานการกุศลหนึ่งของพระองค์ ตกเป็นเป้าวิจารณ์เนื่องจากมีการกล่าวหาว่ามีการมอบเกียรติยศและสัญชาติบริติชให้แก่ผู้บริจาค ซึ่งปัจจุบันตำรวจกำลังสอบสวนอยู่ === ความสัมพันธ์และเสกสมรส === ==== เสกสมรส ==== ครอบครัวสเปนเซอร์ใกล้ชิดกับพระราชวงศ์มานานแล้ว เลดีฟรอยเมย์ซึ่งเป็นคุณยายของเจ้าหญิงนั้น เป็นพระสหายและนางสนองพระโอษฐ์ในสมเด็จพระราชินีเอลิซาเบธ พระราชชนนี|สมเด็จพระราชชนนีเอลิซาเบธ มาเป็นเวลานาน ประกอบกับการที่เจ้าชายแห่งเวลส์เคยทรงคบหาอยู่กับเลดีซาราห์ แม็กคอเดล|เลดีซาราห์พี่สาวของเลดีไดอานา ทำให้พระองค์ทรงคุ้นเคยกับไดอานาพอสมควร และเมื่อเจ้าชายชาลส์พระชนม์ได้ราว 30 พรรษา พระองค์ได้รับการร้องขอให้ทรงเสกสมรส ตามกฎหมายพระองค์จะต้องเสกสมรสกับสตรีที่ไม่ได้นับถือนิกายโรมันคาทอลิก แต่ต้องนับถือคริสตจักรแห่งอังกฤษ นอกจากนี้ยังมีคำแนะนำให้พระองค์เสกสมรสกับหญิงบริสุทธิ์ด้วย อีกทั้งการที่สมเด็จพระราชชนนีมีพระราชประสงค์จะให้พระองค์เองกับเลดีฟรอมเมย์ได้เป็น "ทองแผ่นเดียวกัน" เจ้าชายผู้ทรงรักสมเด็จยายมากจึงทรงยอมตามพระทัย และพยายามทำพระองค์ให้คิดว่าไดอานานี้แหละ คือสุดยอดผู้หญิงที่เหมาะสมกับพระองค์ และเป็นผู้หญิงที่พระองค์รัก สำนักพระราชวังประกาศเมื่อวันที่ 24 กุมภาพันธ์ ค.ศ. 1981 ว่าพระราชพิธีอภิเษกสมรสจะจัดขึ้นที่อาสนวิหารนักบุญเปาโล กรุงลอนดอน ในวันที่ 29 กรกฎาคม ปีเดียวกัน แขกจำนวน 3,500 คนถูกเชิญมาในขณะที่ผู้ชมนับพันล้านคนทั่วโลกเฝ้ารอดูพระราชพิธี หลังการอภิเษกสมรสไดอานาได้รับยศเป็น เจ้าหญิงแห่งเวลส์นอกจากนี้ ไดอานายังเป็นสตรีสามัญชนคนแรกที่เสกสมรสกับเจ้าชายแห่งเวลส์ และได้ดำรงพระอิสริยยศเป็นเจ้าหญิงแห่งเวลส์ด้วย ==== หย่าร้าง ==== ไฟล์:Official opening of Senedd Cymru - Welsh Parliament, Wales; 7 June 2011 05.jpg|thumb|left|ชาลส์และคามิลลาในการเปิดรัฐสภาเวลส์ คาร์ดิฟฟ์ ใน ค.ศ. 2011 ภาพทางการ เหตุการณ์ไม่เป็นไปอย่างความคาดหมายของทุกคน ในระยะแรกเจ้าหญิงไม่สามารถทรงปรับพระองค์ให้เข้ากับชีวิตของความเป็นเจ้าหญิงได้ และทรงทุกข์ทรมานจากพระโรคโรคบูลิเมีย เนอร์โวซา|บูลิเมีย (น้ำหนักลดลงอย่างรวดเร็ว) หลังจากหายจากพระโรค เจ้าหญิงได้มีพระประสูติกาลเจ้าชายวิลเลียม หลังจากนั้นอีก 2 ปี พระองค์ได้มีพระประสูติกาลอีกครั้ง เจ้าชายแฮร์รี ซึ่งสร้างความผิดหวังให้กับเจ้าชายชาลส์มาก เนื่องจากพระองค์ทรงหวังว่าพระองค์น่าจะได้พระธิดาจากการประสูติกาลครั้งที่ 2 นี้ เนื่องจากโปรดลูกสาวของคามิลลามากอีกทั้งยังมีข่าวลือว่า แท้จริงแล้วเจ้าชายแฮร์รีอาจไม่ใช่พระโอรสของพระองค์ รายงานข่าวส่วนหนึ่งเชื่อว่าทั้งสองพระองค์เริ่มแยกกันอยู่หลังจากการเสกสมรสเพียง 5 ปี บางคนเชื่อว่าเนื่องจากเจ้าชายชาลส์ไม่สามารถทนได้ที่พระชายาได้รับความชื่นชมมากกว่าพระองค์ (คล้ายคลึงกับเหตุการณ์ของสมเด็จพระจักรพรรดินีมาซาโกะ|เจ้าหญิงมาซาโกะ มกุฎราชกุมารีแห่งญี่ปุ่นในปัจจุบัน) ภาระทั้งหมดกลับตกไปที่ไดอานาในฐานะที่ควรจะ "ทรงทนให้ได้" เจ้าหญิงพยายามอย่างยิ่งที่จะพยายามเชื่อมความสัมพันธ์ของพระองค์กับชาลส์ไว้ให้นานที่สุด แต่ไม่เป็นผล สื่อมวลชนประโคมข่าวเกี่ยวกับความสัมพันธ์ของเจ้าชายชาลส์กับคามิลลาอย่างครึกโครม รวมทั้งประโคมข่าวระหว่างเจ้าหญิงกับผู้ชายอีกหลายคน นั่นทำให้ทั้งสองพระองค์คิดว่า เรื่องราวทั้งหมดควรจะจบลงเสียที ความสัมพันธ์ของทั้งสองพระองค์ในขณะนั้น สื่อมวลชนเรียกว่า "สงครามแห่งเวลส์" (War of Waleses) ==== อภิเษกสมรสครั้งที่สอง ==== คลาเรนซ์เฮ้าส์ประกาศเมื่อวันที่ 10 กุมภาพันธ์ ค.ศ. 2005 ว่าเจ้าชายชาลส์และสมเด็จพระราชินีคามิลลาแห่งสหราชอาณาจักร|คามิลลา พาร์กเกอร์ โบลส์ จะเสกสมรสกันในวันที่ 8 เมษายน ปีเดียวกันนั้น อย่างไรก็ตามเนื่องจากการสิ้นพระชนม์ของสมเด็จพระสันตะปาปาจอห์น ปอลที่ 2 การเสกสมรสต้องเลื่อนไปเป็นวันที่ 9 เมษายน แทนเพราะเจ้าชายชาลส์ต้องเสด็จฯ ไปในการพระศพ รวมทั้งได้มีการประกาศเพิ่มเติมด้วยว่าหลังจากเสกสมรสแล้ว คามิลลาจะดำรงพระอิสริยยศเป็น '''เจ้าหญิงดัชเชสแห่งคอร์นวอลล์''' (Her Royal Highness The Duchess of Cornwall) และหลังจากชาลส์เสด็จขึ้นครองราชย์ จะดำรงพระอิสริยยศเป็นเจ้าหญิงพระชายา (Her Royal Highness The Princess Consort) เชื่อกันว่าเนื่องจากอ้างอิงตามพระอิสริยยศของเจ้าชายอัลเบิร์ต พระราชสวามี|เจ้าชายอัลเบิร์ตพระราชสวามีในสมเด็จพระราชินีนาถวิกตอเรียที่ทรงดำรงพระอิสริยยศเป็น เจ้าชายพระราชสวามี (His Royal Highness The Prince Consort) ต่อมาในวันที่ 6 กุมภาพันธ์ ค.ศ. 2022 สมเด็จพระราชินีนาถเอลิซาเบธที่ 2 ทรงมีแถลงการณ์ในโอกาสพระราชพิธีเฉลิมฉลองการครองสิริราชสมบัติครบ 70 ปีของสมเด็จพระราชินีนาถใจความว่า คามิลลา ดัชเชสแห่งคอร์นวอลล์จะทรงเป็นที่รู้จักในฐานะสมเด็จพระราชินี กระทั่งสมเด็จพระราชินีนาถเอลิซาเบธที่ 2 สวรรคตเมื่อวันที่ 8 กันยายน ค.ศ. 2022 เจ้าชายชาลส์ขึ้นครองราชสมบัติเป็นสมเด็จพระเจ้าชาลส์ที่ 3 แห่งสหราชอาณาจักร ทำให้ คามิลลา ทรงขึ้นดำรงพระอิสริยยศ '''สมเด็จพระราชินีคามิลลาแห่งสหราชอาณาจักร''' == พระมหากษัตริย์แห่งสหราชอาณาจักร == File:Charles III Scottish Parliament 2022.jpg|thumb|left|upright=1|พระราชดำรัสแก่รัฐสภาสกอตแลนด์ในวันที่ 13 กันยายน ค.ศ. 2022 หลังพระราชพิธีราชาภิเษก 5 วัน|alt=Presiding Officer of the Scottish Parliament Alison Johnstone is seated next to the King. หลังการสวรรคตและพิธีฝังพระบรมศพสมเด็จพระราชินีนาถเอลิซาเบธที่ 2 แห่งสหราชอาณาจักร|การสวรรคตของพระราชมารดาในวันที่ 8 กันยายน ค.ศ. 2022 เจ้าชายชาลส์ได้ขึ้นครองราชย์เป็นสมเด็จพระเจ้าชาลส์ที่ 3 โดยพระองค์เป็นทายาทผู้มีสิทธิโดยตรงที่ดำรงตำแหน่งนานที่สุดในสหราชอาณาจักร แซงหน้าสถิติของสมเด็จพระเจ้าเอ็ดเวิร์ดที่ 7 ที่ 59 ปีในวันที่ 20 เมษายน ค.ศ. 2011 พระองค์ยังขึ้นครองราชย์เป็นพระมหากษัตริย์ตอนพระชนมพรรษา 73 พรรษา ทำให้เป็นบุคคลที่แก่ที่สุด แซงหน้าสถิติก่อนหน้าของสมเด็จพระเจ้าวิลเลียมที่ 4 แห่งสหราชอาณาจักร ที่ขึ้นครองราชย์ตอนพระชนมพรรษา 64 พรรษาใน ค.ศ. 1830 File:2023 Coronation Balcony.jpg|thumb|ชาลส์และคามิลลาหลังพิธีราชาภิเษก|alt=Charles and Camilla wearing their crowns and coronation robes waving from the balcony of Buckingham Palace พระราชพิธีราชาภิเษกของสมเด็จพระเจ้าชาลส์ที่ 3 แห่งสหราชอาณาจักร|พระราชพิธีราชาภิเษกของสมเด็จพระเจ้าชาลส์ที่ 3 กับคามิลลาจัดขึ้นในเวสตืมินสเตอร์แอบบีย์ในวันที่ 6 พฤษภาคม ค.ศ. 2023 โดยมีการวางแผนมาหลายปีภายใต้ชื่อรหัส ''ปฏิบัติการลูกโลกทองคำ'' () หลายรายงานก่อนพิธีราชาภิเษกเสนอแนะพระราชพิธีราชาภิเษกของพระเจ้าชาลส์จะเรียบง่ายกว่าของพระราชมารดาใน ค.ศ. 1953 ในช่วงปลายเดือนมกราคมปีถัดมา พระองค์ทรงเข้ารับการรักษาพระอาการประชวรการเจริญเกินของต่อมลูกหมาก|ต่อมลูกหมากโตที่คลินิกลอนดอน ไม่กี่วันต่อมาสำนักพระราชวังได้ประกาศว่าพระองค์ได้รับการวินิจฉัยว่าทรงพระประชวรด้วยพระโรคมะเร็ง ทั้งนี้ คณะแพทย์ได้ถวายคำแนะนำให้งดพระราชกรณียกิจในการทรงเยี่ยมประชาชนออกไปก่อน และสมเด็จพระราชินีกับเจ้าชายแห่งเวลส์จะปฏิบัติพระราชกรณียกิจแทนพระองค์ในช่วงเวลาดังกล่าว อนึ่ง สื่ออังกฤษระบุว่าพระโรคดังกล่าวมิใช่มะเร็งต่อมลูกหมาก ==ที่ประทับและพระราชทรัพย์== ใน ค.ศ. 2023 ''เดอะการ์เดียน'' ประมาณการทรัพย์สินส่วนพระองค์ไว้ที่e 1.8 พันล้านปอนด์สเตอร์ลิง จำนวนประมาณการนี้รวมสินทรัพย์ของดัชชีแลงแคสเตอร์ที่มีค่า 653 ล้านปอนด์ อัญมณีรวม 533 ล้านปอนด์ อสังหาริมทรัพย์ 330 ล้านปอนด์ ส่วนแบ่งและการลงทุน 142 ล้านปอนด์ Royal Philatelic Collection|ชุดสะสมแสตมป์มีค่าอย่างน้อย 100 ล้านปอนด์, ม้าแข่ง 27 ล้านปอนด์ ผลงานศิลปะ 24 ล้านปอนด์ และรถยนต์พระที่นั่ง 6.3 ล้านปอนด์ ทรัพย์สินส่วนใหญ่ที่ชาลส์ได้รับจากพระราชมารดาได้รับการยกเว้นภาษีมรดกFile:Clarence house.jpg|thumb|พระตำหนักแคลเรนซ์ ที่ประทับในลอนดอนของสมเด็จพระเจ้าชาลส์ตั้งแต่ ค.ศ. 2003|alt=Photograph of Clarence House, a white building with a Union flag flying over it พระตำหนักแคลเรนซ์ ซึ่งเคยเป็ยที่ประทับของสมเด็จพระราชินีเอลิซาเบธ พระราชชนนี เป็นที่ประทับในลอนดอนของสมเด็จพระเจ้าชาลส์อย่างเป็นทางการตั้งแต่ ค.ศ. 2003 หลังบูรณะด้วยค่าใช้จ่ายถึง 4.5 ล้านปอนด์สเตอร์ลิง == พระบรมราชอิสริยยศ == ===พระยศ=== ชาร์ลมีพระบรมราชอิสริยยศจำนวนมากทั้งในเครือจักรภพ โดยทรงได้รับพระราชทานและถวายเครื่องราชอิสริยาภรณ์ทั้งในประเทศและทั่วโลก; ; ในแต่ละดินแดนที่พระองค์เป็นประมุข พระบรมราชอิสริยยศของพระองค์เป็นไปตามนี้: ''พระมหากษัตริย์แห่งเซนต์ลูเชียและดินแดนอื่น ๆ ของพระองค์'' (King of Saint Lucia and of His other Realms and Territories) ในพระมหากษัตริย์เซนต์ลูเชีย|เซนต์ลูเชีย ''พระมหากษัตริย์แห่งออสเตรเลียและดินแดนอื่น ๆ ของพระองค์'' (King of Australia and His other Realms and Territories) ในออสเตรเลีย ฯลฯ ส่วนในไอล์ออฟแมนที่เป็นดินแดนภายใต้อธิปไตยของสหราชอาณาจักร|ดินแดนภายใต้อธิปไตย พระองค์เป็นที่รู้จักในฐานะลอร์ดแห่งแมน มีการคาดการณ์ตลอดช่วงรัชสมัยเอลิซาเบธที่ 2 ว่าชาลส์จะเลือกพระปรมาภิไธยใดในช่วงขึ้นครองราชย์ พระองค์อาจขึ้นครองราชย์เป็น ''จอร์จที่ 7'' หรือใช้พระนามหนึ่งในนั้นแทน ''ชาลส์ที่ 3'' มีรายงานว่าพระองค์อาจใช้พระนามจอร์จเพื่ออุทิศแด่สมเด็จพระเจ้าจอร์จที่ 6 พระอัยกา และเพื่อหลีกเลี่ยงความเกี่ยวโยงกับพระมหากษัตริย์ที่มีข้อขัดแย้งองค์ก่อนหน้าที่มีพระปรมาภิไธยว่า ชาลส์NoteTag|เช่นพระเจ้าชาลส์ที่ 1 แห่งอังกฤษ|พระเจ้าชาลส์ที่ 1 กษัตริย์ราชวงศ์สทิวเวิร์ต Execution of Charles I|ถูกตัดพระเศียร และพระเจ้าชาลส์ที่ 2 แห่งอังกฤษ|พระเจ้าชาลส์ที่ 2 ผู้เป็นที่รู้จักจากวิถีชีวิตที่สำส่อน แจกเคอไบต์|ผู้สนับสนุนชาลส์ เอ็ดเวิร์ด สทิวเวิร์ต ผู้เคยอ้างสิทธิ์ต่อราชบัลลังก์อังกฤษและสกอตแลนด์ เคยเรียกเขาเป็น ''ชาลส์ที่ 3'' ราชสำนักของชาลส์ยืนยันไว้ใน ค.ศ. 2005 ว่ายังไม่มีการตัดสินพระทัย การคาดการณ์ยังคงมีต่อไปไม่กี่ชั่วโมงหลังการสวรรคตของพระราชมารดา จนกระทั่งลิซ ทรัสส์ประกาศไว้และทางพระตำหนักแคลเรนซ์ยืนยันว่าชาลส์จะใช้พระปรมาภิไธยเป็น ''ชาลส์ที่ 3'' * '''14 พฤศจิกายน ค.ศ. 1948 – 6 กุมภาพันธ์ ค.ศ. 1952''': ''ฮิสรอยัลไฮเนส'' เจ้าชายชาร์ลส์แห่งเอดินบะระ (''His Royal Highness'' Prince Charles of Edinburgh) * '''6 กุมภาพันธ์ ค.ศ. 1952 – 8 กันยายน ค.ศ. 2022''': ''ฮิสรอยัลไฮเนส'' ดยุกแห่งคอร์นวอลล์ (''His Royal Highness'' The Duke of Cornwall) ** ''ในสกอตแลนด์'': '''6 กุมภาพันธ์ ค.ศ. 1952 – 8 กันยายน ค.ศ. 2022''': ''ฮิสรอยัลไฮเนส'' ดยุกแห่งรอธซี (''His Royal Highness'' The Duke of Rothesay) * '''26 กรกฎาคม ค.ศ. 1958 – 8 กันยายน ค.ศ. 2022''': ''ฮิสรอยัลไฮเนส'' เจ้าชายแห่งเวลส์ (''His Royal Highness'' The Prince of Wales) ** ''ในสกอตแลนด์'': '''ค.ศ. 2000 – 2001''': ''พระกรุณา'' ข้าหลวงพระองค์ใหญ่แห่งสมัชชาใหญ่แห่งคริสตจักรแห่งสกอตแลนด์ * '''9 เมษายน ค.ศ. 2021 – 8 กันยายน ค.ศ. 2022''': ''ฮิสรอยัลไฮเนส'' ดยุกแห่งเอดินบะระ (''His Royal Highness'' The Duke of Edinburgh) ** ในประเทศสกอตแลนด์|สกอตแลนด์: ''ฮิสรอยัลไฮเนส'' :en:Earl of Merioneth|เอิร์ลแห่งแมริโอเน็ธ (''His Royal Highness'' The Earl of Merioneth) ** ในไอร์แลนด์เหนือ: ''ฮิสรอยัลไฮเนส'' :en:Baron Greenwich|บารอนกรีนิช (''His Royal Highness'' The Baron Greenwich) * '''8 กันยายน ค.ศ. 2022 – ปัจจุบัน''': ''ฮิสมาเจสตี'' สมเด็จพระราชาธิบดี (His Majesty The King) ===ตราอาร์ม=== == พระราชโอรส == | class="wikitable plainrowheaders" |- ! rowspan="2" scope="col" | พระนาม ! rowspan="2" scope="col" | ประสูติ ! colspan="2" scope="col" | สมรส ! rowspan="2" scope="col" | พระบุตร |- ! scope="col" | วันที่ ! scope="col" | พระชายา |- ! scope="row" | เจ้าชายวิลเลียม เจ้าชายแห่งเวลส์ | | 29 เมษายน ค.ศ. 2011 | แคเธอริน เจ้าหญิงแห่งเวลส์|แคเธอริน มิดเดิลตัน | เจ้าชายจอร์จแห่งเวลส์เจ้าหญิงชาร์ลอตต์แห่งเวลส์ (ประสูติ พ.ศ. 2558)|เจ้าหญิงชาร์ลอตต์แห่งเวลส์เจ้าชายหลุยส์แห่งเวลส์ |- ! scope="row" | เจ้าชายแฮร์รี ดยุกแห่งซัสเซกซ์ | | 19 พฤษภาคม ค.ศ. 2018 | เมแกน ดัชเชสแห่งซัสเซกซ์|เมแกน มาร์เคิล | | == พงศาวลี == ahnentafel |collapsed=yes|align=center |ref= |boxstyle_1=background-color: #fcc; |boxstyle_2=background-color: #fb9; |boxstyle_3=background-color: #ffc; |boxstyle_4=background-color: #bfc; |1= 1. '''สมเด็จพระเจ้าชาลส์ที่ 3 แห่งสหราชอาณาจักร''' |2= 2. เจ้าชายฟิลิป ดยุกแห่งเอดินบะระ |3= 3. สมเด็จพระราชินีนาถเอลิซาเบธที่ 2 แห่งสหราชอาณาจักร |4= 4. เจ้าชายแอนดรูว์แห่งกรีซและเดนมาร์ก |5= 5. เจ้าหญิงอลิซแห่งบัทเทินแบร์ค |6= 6. สมเด็จพระเจ้าจอร์จที่ 6 แห่งสหราชอาณาจักร |7= 7. สมเด็จพระราชินีเอลิซาเบธ พระราชชนนี |8= 8. พระเจ้าเยออร์ยีโอสที่ 1 แห่งกรีซ |9= 9. โอลกา คอนสแตนตินอฟนา แห่งรัสเซีย |10= 10. เจ้าชายลูทวิชแห่งบัทเทินแบร์ค |11= 11. เจ้าหญิงวิคโทรีอาแห่งเฮ็สเซินและริมไรน์ |12= 12. สมเด็จพระเจ้าจอร์จที่ 5 แห่งสหราชอาณาจักร |13= 13. มาเรียแห่งเท็ค |14= 14. โคลด โบวส์-ลีออน เอิร์ลที่ 14 แห่งสตราธมอร์และคิงฮอร์น |15= 15. เซซิเลีย นีนา คาเวนดิช-เบนทิงค์ ==หมายเหตุ== == อ้างอิง == === บรรณานุกรม === * * * ==แหล่งข้อมูลอื่น== * https://www.royal.uk/the-king พระมหากษัตริย์ ในเว็บไซต์ Royal Family * https://www.canada.ca/en/canadian-heritage/services/royal-family/members-royal-family/king-charles-iii.html สมเด็จพระเจ้าชาลส์ที่ 3 แห่งสหราชอาณาจักร ในเว็บไซต์รัฐบาลแคนาดา * https://www.rct.uk/collection/people/charles-iii-king-of-the-united-kingdom-b-1948#/type/subject สมเด็จพระเจ้าชาลส์ที่ 3 แห่งสหราชอาณาจักร ในเว็บไซต์ Royal Collection Trust * * * Navboxes |list= หมวดหมู่:สมเด็จพระเจ้าชาลส์ที่ 3 แห่งสหราชอาณาจักร| หมวดหมู่:พระมหากษัตริย์สหราชอาณาจักร หมวดหมู่:พระมหากษัตริย์แคนาดา หมวดหมู่:พระมหากษัตริย์ออสเตรเลีย หมวดหมู่:พระมหากษัตริย์นิวซีแลนด์ หมวดหมู่:พระมหากษัตริย์ที่ทรงครองราชย์ในปัจจุบัน หมวดหมู่:ประมุขแห่งรัฐแคนาดา หมวดหมู่:ประมุขแห่งเครือจักรภพ หมวดหมู่:ราชวงศ์วินด์เซอร์ หมวดหมู่:รัชทายาทสหราชอาณาจักร หมวดหมู่:เจ้าชายแห่งเวลส์ หมวดหมู่:ดยุกแห่งคอร์นวอลล์ หมวดหมู่:ดยุกแห่งรอธซี หมวดหมู่:นักบินเฮลิคอปเตอร์ หมวดหมู่:ตระกูลโบวส์-ลีออน หมวดหมู่:พระราชโอรสในพระมหากษัตริย์ หมวดหมู่:พระราชบุตรในสมเด็จพระราชินีนาถเอลิซาเบธที่ 2 แห่งสหราชอาณาจักร
สมเด็จพระเจ้าชาลส์ที่ 3 แห่งสหราชอาณาจักร
Infobox royalty | name = สมเด็จพระราชินีนาถเอลิซาเบธที่ 2 | image = Queen Elizabeth II official portrait for 1959 tour (retouched) (cropped) (3-to-4 aspect ratio).jpg | caption = พระบรมฉายาลักษณ์ทางการในปี ค.ศ. 1959 | title = ประมุขเเห่งเครือจักรภพ | succession = พระมหากษัตริย์สหราชอาณาจักร|สมเด็จพระราชินีนาถเเห่งสหราชอาณาจักรและราชอาณาจักรเครือจักรภพ|เครือจักรภพ | reign = 6 กุมภาพันธ์ 1952 – 8 กันยายน 2022 () | cor-type = :en:Coronation of Elizabeth II|ราชินยาภิเษก | coronation = 2 มิถุนายน 1953 | predecessor = พระเจ้าจอร์จที่ 6 แห่งสหราชอาณาจักร|พระเจ้าจอร์จที่ 6 | successor = สมเด็จพระเจ้าชาลส์ที่ 3 แห่งสหราชอาณาจักร|พระเจ้าชาลส์ที่ 3 | reg-type = | regent = รายชื่อนายกรัฐมนตรีในสมเด็จพระราชินีนาถเอลิซาเบธที่ 2|''ดูรายชื่อ'' | birth_style = | birth_name = เจ้าหญิงเอลิซาเบธแห่งยอร์ก | birth_date = | birth_place = บ้านเลขที่ 17 ถนนบรูตัน เมย์แฟร์ ลอนดอน สหราชอาณาจักร | death_date = | death_place = ปราสาทแบลมอรัล อะเบอร์ดีนเชอร์ สหราชอาณาจักร | date of burial = 19 กันยายน ค.ศ. 2022 | place of burial = โบสถ์น้อยเซนต์จอร์จ ปราสาทวินด์เซอร์ | burial_style = ฝังพระบรมศพ | spouse = เจ้าชายฟิลิป ดยุกแห่งเอดินบะระ (เสกสมรส 20 พฤศจิกายน 1947; สิ้นพระชนม์ 9 เมษายน 2021) | spouse-type = พระราชสวามี | issue-type = พระราชโอรส-ธิดา | issue = * สมเด็จพระเจ้าชาลส์ที่ 3 แห่งสหราชอาณาจักร|สมเด็จพระเจ้าชาลส์ที่ 3 * เจ้าหญิงแอนน์ พระราชกุมารี * เจ้าชายแอนดรูว์ ดยุกแห่งยอร์ก * เจ้าชายเอ็ดเวิร์ด ดยุกแห่งเอดินบะระ | full name = เอลิซาเบธ อเล็กซานดรา แมรีHer full name can be seen on :File:Marriage certificate of Philip Mountbatten and Elizabeth Windsor.jpg|her marriage certificate, which is signed by both her and her father. | dynasty = ราชวงศ์วินด์เซอร์|วินด์เซอร์ | father = สมเด็จพระเจ้าจอร์จที่ 6 แห่งสหราชอาณาจักร | mother = สมเด็จพระราชินีเอลิซาเบธ พระราชชนนี | signature = Signature of Elizabeth II.svg '''สมเด็จพระราชินีนาถเอลิซาเบธที่ 2 ''' (; 21 เมษายน ค.ศ. 1926 – 8 กันยายน ค.ศ. 2022) เป็นพระมหากษัตริย์สหราชอาณาจักร|สมเด็จพระราชินีนาถแห่งสหราชอาณาจักรและอีก 14 ประเทศ จาก 53 รัฐสมาชิกในเครือจักรภพแห่งชาติ ประธานเครือจักรภพและประมุขสูงสุดแห่งคริสตจักรแห่งอังกฤษ พระองค์ทรงเป็นสมเด็จพระราชินีนาถที่ทรงครองราชย์นาน 70 ปี ถือว่านานในที่สุดในประวัติศาสตร์ของอังกฤษมากกว่ารัชกาลของสมเด็จพระราชินีนาถวิกตอเรีย ผู้เป็นพระมารดาของพระปัยยิกา (ทวด) ของพระองค์ และรายพระนามพระมหากษัตริย์ทั่วโลกตามรัชกาล|นานที่สุดเป็นอันดับ 2 ของโลก รองจากพระเจ้าหลุยส์ที่ 14 แห่งฝรั่งเศส หลังจากสมเด็จพระเจ้าจอร์จที่ 6 แห่งสหราชอาณาจักร|สมเด็จพระเจ้าจอร์จที่ 6 พระราชบิดาสวรรคตในคืนวันที่ 6 กุมภาพันธ์ ค.ศ. 1952 เจ้าหญิงเอลิซาเบธ อเล็กซานดรา แมรี่ จึงเสด็จขึ้นครองราชย์เป็น '''สมเด็จพระราชินีนาถเอลิซาเบธที่ 2''' ในขณะมีพระชนมายุ 25 พรรษา สิบหกเดือนหลังจากนั้นพระองค์ได้เข้าพระราชพิธีราชาภิเษกที่มหาวิหารเวสมินสเตอร์ เมื่อวันที่ 2 มิถุนายน ค.ศ. 1953 เป็นครั้งแรกที่พระราชพิธีนี้ได้ถ่ายทอดไปทั่วโลก พระองค์มีพระราชโอรสพระองค์แรกคือเจ้าชายชาลส์ เจ้าชายแห่งเวลส์|เจ้าชายชาลส์ ซึ่งปัจจุบันเสด็จขึ้นครองราชย์เป็น "สมเด็จพระเจ้าชาลส์ที่ 3 แห่งสหราชอาณาจักร" พระราชสมภพเมื่อปี 1948 พระองค์ที่สองเป็นพระราชธิดา มีพระนามว่าเจ้าหญิงแอนน์ พระราชกุมารี|เจ้าหญิงแอนน์ ประสูติเมื่อปี 1950 ซึ่งปัจจุบันทรงดำรงพระอิสริยยศเป็น "ราชกุมารี" พระราชโอรสพระองค์ที่สามคือเจ้าชายแอนดรูว์ ดยุกแห่งยอร์ก|เจ้าชายแอนดรูว์ ประสูติเมื่อปี 1960 ปัจจุบันทรงดำรงพระอิสริยยศเป็น "ดยุกแห่งยอร์ก" และพระราชโอรสพระองค์เล็กคือเจ้าชายเอ็ดเวิร์ด ดยุกแห่งเอดินบะระ|เจ้าชายเอ็ดเวิร์ด ซึ่งประสูติในปี 1964 ปัจจุบันดำรงพระอิสริยยศเป็น "ดยุกแห่งเอดินบะระ" == พระชนม์ชีพช่วงต้น == เจ้าหญิงเอลิซาเบธ (พระยศในขณะนั้น) ทรงเป็นพระราชธิดาองค์แรกในสมเด็จพระเจ้าจอร์จที่ 6 แห่งสหราชอาณาจักร|เจ้าชายอัลเบิร์ต ดยุกแห่งยอร์ก (ภายหลังขึ้นเถลิงราชสมบัติเป็นสมเด็จพระเจ้าจอร์จที่ 6) กับสมเด็จพระราชินีเอลิซาเบธ พระราชชนนี|เอลิซาเบธ ดัชเชสแห่งยอร์ก (ภายหลังเป็น สมเด็จพระราชินีเอลิซาเบธ พระราชชนนี) พระราชบิดาของพระองค์เป็นพระราชโอรสพระองค์ที่สองในสมเด็จพระเจ้าจอร์จที่ 5 แห่งสหราชอาณาจักร|สมเด็จพระเจ้าจอร์จที่ 5 กับแมรีแห่งเทก สมเด็จพระราชินีแห่งสหราชอาณาจักร|สมเด็จพระราชินีแมรี พระราชมารดาของพระองค์เป็นธิดาคนสุดท้ายของขุนนางชาวสกอตแลนด์นามว่า โคลด โบวส์-ลีออน เอิร์ลที่ 14 แห่งสตราธมอร์และคิงฮอร์น เจ้าหญิงเอลิซาเบธประสูติโดยการคลอดแบบการผ่าท้องทำคลอด|ผ่าท้องเมื่อเวลา 2.40 น. (ตามเวลากรีนิช) ของวันที่ 21 เมษายน ค.ศ. 1926 ณ บ้านเลขที่ 17 ถนนบรูตัน เมย์แฟร์ กรุงลอนดอน ซึ่งเป็นของพระอัยกาฝ่ายพระราชมารดา (ตา) ในกรุงลอนดอนBradford, p. 22; Brandreth, p. 103; Marr, p. 76; Pimlott, pp. 2–3; Lacey, pp. 75–76; Roberts, p. 74 ต่อมาวันที่ 29 พฤษภาคม ทรงเข้ารับพิธีบัพติศมากับคริสตจักรแห่งอังกฤษจากคอสโม กอร์ดอน แลง อาร์ชบิชอปแห่งยอร์ก ณ โบสถ์ส่วนพระองค์ภายในพระราชวังบักกิงแฮมHoey, p. 40 และได้รับพระนาม ''เอลิซาเบธ'' ตามพระราชมารดา, ''อะเล็กซานดรา'' ตามอเล็กซานดราแห่งเดนมาร์ก สมเด็จพระราชินีแห่งสหราชอาณาจักร|สมเด็จพระราชินีอเล็กซานดรา พระปัยยิกา (ย่าทวด) ซึ่งสิ้นพระชนม์ก่อนการประสูติของเจ้าหญิงเอลิซาเบธ 6 เดือน และ ''แมรี'' ตามสมเด็จพระราชินีแมรี พระอัยยิกาฝ่ายพระราชบิดา (ย่า) และยังหมายถึง พระแม่มารีย์ ผู้เป็นพระมารดาของพระเยซูเจ้าอีกด้วย Brandreth, p. 103 เจ้าหญิงเอลิซาเบธเป็นพระราชนัดดาหัวแก้วหัวแหวนของสมเด็จพระเจ้าจอร์จที่ 5 กล่าวกันว่าเมื่อเจ้าหญิงเอลิซาเบธเสด็จไปเยี่ยมพระอาการประชวรของพระเจ้าจอร์จที่ 5 ในปี ค.ศ. 1929 ทำให้พระเจ้าจอร์จที่ 5 ทรงมีกำลังพระทัยและพระอาการดีขึ้นLacey, p. 56; Nicolson, p. 433; Pimlott, pp. 14–16 ไฟล์:Queen Elizabeth II 1929.jpg|thumb|200px|left|สมเด็จพระราชินีนาถเอลิซาเบธขณะมีพระชนมายุ 3 พรรษา ค.ศ. 1929 พระองค์มีพระขนิษฐาพระองค์เดียวคือเจ้าหญิงมาร์กาเรต เคาน์เตสแห่งสโนว์ดอน|เจ้าหญิงมาร์กาเรต ซึ่งมีพระชันษาน้อยกว่าอยู่ 4 พรรษา ทั้งสองพระองค์ทรงได้รับการศึกษา ณ พระตำหนักที่ประทับภายใต้การควบคุมดูแลของพระราชมารดาและ แมเรียน คราวฟอร์ด พระอาจารย์ส่วนพระองค์ ซึ่งได้รับการเรียกขานในบางโอกาสว่า "คราวฟี"Crawford, p. 26; Pimlott, p. 20; Shawcross, p. 21 บทเรียนที่ทรงศึกษาเน้นหนักไปที่ประวัติศาสตร์, ภาษา, วรรณกรรม และดนตรีBrandreth, p. 124; Lacey, pp. 62–63; Pimlott, pp. 24, 69 ในปี 1930 แมเรียนออกหนังสือเกี่ยวกับพระราชประวัติของเจ้าหญิงเอลิซาเบธและเจ้าหญิงมาร์กาเรตในช่วยวัยเยาว์ชื่อว่า ''The Little Princesses'' (''เจ้าหญิงองค์น้อย'') ซึ่งสร้างความผิดหวังแก่พระราชวงศ์อังกฤษBrandreth, pp. 108–110; Lacey, pp. 159–161; Pimlott, pp. 20, 163 หนังสือได้อธิบายว่าเจ้าหญิงเอลิซาเบธโปรดม้าและสุนัข, ความเป็นระเบียบ และทัศนคติต่อความรับผิดชอบของพระองค์Brandreth, pp. 108–110 ด้านวินสตัน เชอร์ชิลล์ กล่าวถึงเจ้าหญิงเอลิซาเบธขณะมีพระชนมายุ 2 พรรษาว่า "ด้านพระจริยวัตร ทรงมีห้วงอากาศแห่งพระราชอำนาจและความไตร่ตรองอย่างน่าอัศจรรย์ภายในตัวพระองค์"Brandreth, p. 105; Lacey, p. 81; Shawcross, pp. 21–22 ส่วนพระญาตินามว่า มาร์กาเรต โรดส์ กล่าวถึงพระองค์ว่าเป็น "เด็กหญิงตัวเล็กผู้ร่าเริง แต่มีความมีเหตุผลพื้นฐานและความประพฤติที่ดี"Brandreth, pp. 105–106 เมื่อทรงพระเยาว์พระประยูรญาติสนิททรงเรียกพระองค์ว่า "ลิลิเบ็ต"Pimlott, p. 12 เมื่อพระชนมายุได้ 10 พรรษา พระองค์ทรงได้พบกับนักเทศน์คนหนึ่งที่ปราสาทกลามิส เมื่อเขาลากลับ เขาได้สัญญาที่จะส่งมาหนังสือมาให้พระองค์เล่มหนึ่ง เจ้าหญิงตรัสตอบว่า "ไม่เอาเรื่องเกี่ยวกับพระเจ้านะ เรารู้เรื่องพระองค์หมดแล้ว" == รัชทายาทโดยสันนิษฐาน == ในฐานะที่เป็นพระราชนัดดาในพระมหากษัตริย์ซึ่งเป็นบุรุษ มีพระนามเต็มว่า ''เฮอร์รอยัลไฮเนส เจ้าหญิงเอลิซาเบธแห่งยอร์ก'' และอยู่ลำดับที่สามในลำดับการสืบราชบัลลังก์อังกฤษ ตามหลังสมเด็จพระเจ้าเอ็ดเวิร์ดที่ 8 แห่งสหราชอาณาจักร|เจ้าชายเอ็ดเวิร์ด เจ้าชายแห่งเวลส์ พระปิตุลาในลำดับแรก และสมเด็จพระเจ้าจอร์จที่ 6 แห่งสหราชอาณาจักร|เจ้าชายอัลเบิร์ต ดยุกแห่งยอร์ก พระราชบิดาในลำดับที่สอง แม้ว่าการประสูติของพระองค์จะอยู่ในความสนใจของสาธารณชน แต่ก็ไม่มีใครคาดหมายว่าพระองค์จะได้ขึ้นครองราชสมบัติเป็นสมเด็จพระราชินีนาถ เพราะในขณะนั้นเจ้าชายแห่งเวลส์ (พระปิตุลา) ยังมีพระชนมายุไม่มาก ทั้งยังได้รับการคาดหมายว่าจะอภิเษกสมรสและมีพระโอรส-ธิดาของพระองค์เองBond, p. 8; Lacey, p. 76; Pimlott, p. 3 ต่อมาในปี 1936เมื่อพระอัยกาของเจ้าหญิงเอลิซาเบธ สมเด็จพระเจ้าจอร์จที่ 5 เสด็จสวรรคต และเจ้าชายเอ็ดเวิร์ด พระปิตุลา เถลิงถวัลย์ราชสมบัติขึ้นเป็นสมเด็จพระเจ้าเอ็ดเวิร์ดที่ 8 เจ้าหญิงเอลิซาเบธจึงเลื่อนขึ้นมาลำดับที่สองในลำดับการสืบราชบัลลังก์ตามหลังพระราชบิดาในลำดับที่หนึ่ง ภายหลังในปีเดียวกันนี้เองที่พระปิตุลาทรงวิกฤตการณ์สละราชสมบัติของพระเจ้าเอดเวิร์ดที่ 8|สละราชสมบัติเพื่อไปสมรสกับวอลลิส ดัชเชสแห่งวินด์เซอร์|วอลลิส ซิมป์สัน แม่ม่ายชาวอเมริกันผู้หย่าร้างมาแล้วสามรอบ ก่อให้เกิดวิกฤตการณ์รัฐธรรมนูญขึ้นLacey, pp. 97–98 พระราชบิดาขึ้นเถลิงราชสมบัติเป็นพระมหากษัตริย์สหราชอาณาจักร|พระมหากษัตริย์และพระองค์ก็ทรงกลายมาเป็นรัชทายาทโดยสันนิษฐานด้วยพระอิสริยยศ ''รอยัลไฮเนส|เฮอร์รอยัลไฮเนส เจ้าหญิงเอลิซาเบธ''e.g. ซึ่งถ้าหากพระองค์มีพระเชษฐาหรือพระอนุชาร่วมบิดา-มารดา พระองค์ก็จะทรงสูญเสียสถานะรัชทายาทโดยสันนิษฐานและอยู่ในลำดับการสืบราชบัลลังก์ที่ต่ำกว่า เพราะตามกฏสืบราชสมบัติอังกฤษจะให้สิทธิ์แก่รัชทายาทบุรุษเป็นรัชทายาทโดยนิตินัยMarr, pp. 78, 85; Pimlott, pp. 71–73 เจ้าหญิงเอลิซาเบธทรงได้รับการศึกษาในวิชาประวัติศาสตร์รัฐธรรมนูญจาก เฮนรี มาร์เตน รองอาจารย์ใหญ่แห่งวิทยาลัยอีตันBrandreth, p. 124; Crawford, p. 85; Lacey, p. 112; Marr, p. 88; Pimlott, p. 51; Shawcross, p. 25 และทรงเรียนภาษาฝรั่งเศสจากพระอาจารย์ที่พูดภาษาฝรั่งเศสเป็นภาษาแม่หลายคน ต่อมากองเนตรนารีที่หนึ่งแห่งพระราชวังบักกิงแฮมได้รับการก่อตั้งขึ้นเป็นการเฉพาะเพื่อให้พระองค์ทรงสามารถมีพระปฏิสันถารกับเด็กหญิงวัยเดียวกันMarr, p. 84; Pimlott, p. 47 ซึ่งภายหลังทรงดำรงตำแหน่งเป็น ''แรนเจอร์ทะเล'' (sea ranger) ในปี ค.ศ. 1927 เมื่อครั้งพระราชบิดา-มารดาของพระองค์เสด็จพระราชดำเนินเยือนออสเตรเลียและนิวซีแลนด์ เจ้าหญิงเอลิซาเบธยังคงประทับอยู่ในสหราชอาณาจักรเนื่องจากพระราชบิดาทรงเกรงว่าเจ้าหญิงยังทรงพระเยาว์เกินกว่าที่จะสามารถตามเสด็จในที่สาธารณะได้ เช่นเดียวกับครั้งที่เสด็จพระราชดำเนินเยือนแคนาดาและสหรัฐอเมริกาในปี ค.ศ. 1939 เจ้าหญิงก็ยังประทับอยู่ในสหราชอาณาจักรเช่นเดิมPimlott, p. 54 เจ้าหญิงทรงดูเหมือนว่าจะทรงร้องไห้เมื่อพระราชบิดา-มารดาทรงออกเดินทางPimlott, p. 55 ทั้งสองฝ่ายทรงติดต่อกันเป็นประจำ และในวันที่ 18 พฤษภาคม ก็ได้ทรงติดต่อกันผ่านทางโทรศัพท์สาย ''ทรานส์แอตแลนติก'' เป็นครั้งแรก === สงครามโลกครั้งที่สอง === ไฟล์:Queen Mary with Princess Elizabeth and Margaret.jpg|right|thumb|200px|เจ้าหญิงเอลิซาเบธ (ขวา) กับมาเรียแห่งเท็ค|สมเด็จพระราชินีแมรี พระอัยยิกา และเจ้าหญิงมาร์กาเรต พระขนิษฐา ค.ศ. 1939 ในเดือนกันยายน ค.ศ. 1939 สหราชอาณาจักรเข้าร่วมสงครามโลกครั้งที่สองที่ดำเนินไปจนถึงปี 1946 ในระยะเวลาช่วงนี้เองที่กรุงลอนดอนถูกทิ้งระเบิดทางอากาศอย่างหนัก เด็กชาวลอนดอนจำนวนมากถูกอพยพไปอยู่ตามชนบท มีคำแนะนำจากนักการเมืองอาวุโสนามว่า ดักลาส ฮอกก์ วิสเคาท์ที่หนึ่งแห่งเฮลเชม (ลอร์ดเฮลเชม) เสนอให้เชิญพระราชธิดาทั้งสองพระองค์เสด็จลี้ภัยไปประทับอยู่ ณ แคนาดา แต่สมเด็จพระราชินีเอลิซาเบธทรงปฏิเสธข้อเสนอดังกล่าวและทรงประกาศว่า "เด็ก ๆ จะไม่เสด็จไปโดยปราศจากข้าพเจ้า ข้าพเจ้าจะไม่เสด็จไปโดยปราศจากพระเจ้าอยู่หัว และพระเจ้าอยู่หัวจะไม่เสด็จไปไหนทั้งนั้น" เจ้าหญิงเอลิซาเบธและเจ้าหญิงมาร์กาเรตประทับ ณ ปราสาทบาลมอรัลในสกอตตแลนด์จนถึงช่วงคริสต์มาสปี ค.ศ. 1939 เมื่อเสด็จไปประทับที่ตำหนักซานดริงแฮม|พระตำหนักซานดริงแฮมในนอร์ฟอล์กแทนCrawford, pp. 104–114; Pimlott, pp. 56–57 และตั้งแต่เดือนกุมภาพันธ์ถึงเดือนพฤษภาคม พ.ศ. 2483 เสด็จไปประทับที่รอยัลลอดจ์ในวินด์เซอร์ จนในที่สุดเสด็จไปประทับ ณ พระราชวังวินด์เซอร์ ที่ซึ่งใช้เวลาส่วนมากของอีกห้าปีถัดมาประทับอยู่ ณ ที่แห่งนั้นCrawford, pp. 114–119; Pimlott, p. 57 ที่วินด์เซอร์ เจ้าหญิงทั้งสองพระองค์ทรงแสดงละครใบ้ในงานคริสต์มาสเพื่อช่วยหาเงินเข้ากองทุนขนแกะของสมเด็จพระราชินี ซึ่งใช้ในการจัดหาเส้นด้ายในการทอเสื้อผ้าทหารCrawford, pp. 137–141 ในปี 1940 เจ้าหญิงเอลิซาเบธซึ่งมีพระชันษาได้ 14 พรรษา ได้ทรงจัดรายการทางวิทยุของบรรษัทการกระจายเสียงและแพร่ภาพแห่งบริเตน|บีบีซีเป็นครั้งแรกในรายการ ''Children's Hour'' (ชั่วโมงของเด็ก) และทรงกล่าว ต่อเด็ก ๆ ที่อพยพออกจากลอนดอนว่า: ''เราพยายามทุกวิถีทางในการช่วยเหลือเหล่าลูกเรือ, ทหาร และนักบินผู้กล้าหาญของพวกเรา และเราพยายามแบกรับเอาความเศร้าโศกและอันตรายที่มีร่วมกันไว้ด้วยเช่นกัน เราทราบดีว่าท้ายที่สุดแล้วเราทุกคนจะปลอดภัย'' ในปี ค.ศ. 1943 ในขณะที่มีพระชันษา 16 พรรษา เสด็จออกปฏิบัติพระราชกรณียกิจด้วยพระองค์เองเป็นครั้งแรกในการตรวจแถวสวนสนามของกองทัพบก ที่ซึ่งทรงได้รับการพระราชทานตำแหน่งผู้บัญชาการยศพันเอกหญิงในปีก่อนหน้า เมื่อทรงเจริญพระชันษาย่างเข้า 18 พรรษา กฎหมายเปลี่ยนให้ทรงมีฐานะเสมือนเป็นหนึ่งในองคมนตรีแห่งรัฐ (Counsellors of State) ทั้งห้าท่าน เพื่อที่จะสามารถปฏิบัติพระราชกรณียกิจทดแทนยามที่พระราชบิดาทรงติดขัดหรือเสด็จพระราชดำเนินไปต่างประเทศ เช่น ครั้งที่เสด็จพระราชดำเนินไปอิตาลีในปี ค.ศ. 1944 Pimlott, p. 71 ต่อมาเดือนกุมภาพันธ์ ค.ศ. 1945 ทรงเข้าร่วมหน่วยบริการภาคพื้นดินในฐานะผู้บังคับหมวดที่สอง ซึ่งมีหมายเลขประจำพระองค์คือ 230873 ทรงได้รับการฝึกเป็นพนักงานขับรถและช่างยนต์และทรงได้รับการเลื่อนขั้นเป็นผู้บัญชาการระดับอาวุโสในอีก 5 เดือนถัดมาBradford, p. 45; Lacey, p. 148; Marr, p. 100; Pimlott, p. 75 ไฟล์:Special Film Project 186 - Buckingham Palace 2.jpg|thumb|left|200px|เจ้าหญิงเอลิซาเบธ (ซ้ายสุด) ณ บัญชรพระราชวังบักกิงแฮมพร้อมด้วย (จากซ้ายไปขวา) สมเด็จพระราชินีเอลิซาเบธ, นายกรัฐมนตรีวินสตัน เชอร์ชิลล์, สมเด็จพระเจ้าจอร์จที่ 6 และเจ้าหญิงมาร์กาเรต วันที่ 8 พฤษภาคม ค.ศ. 1945 ในวันแห่งชัยชนะในทวีปยุโรปซึ่งเป็นวันที่สงครามโลกครั้งที่สองภาคทวีปยุโรปสิ้นสุดลง เจ้าหญิงเอลิซาเบธและเจ้าหญิงมาร์กาเรตทรงแฝงพระองค์ร่วมเฉลิมฉลองกับประชาชนบนท้องถนนของกรุงลอนดอน ต่อมาได้พระราชทานสัมภาษณ์ว่า "เราสองคนขอพระราชบิดา-มารดาเพื่อที่จะออกไปดูด้วยตัวของเราเอง จำได้ว่าเรากลัวที่จะมีคนจดจำเราได้&nbsp;... มีแถวของผู้คนมากหน้าหลายตาจับมือแล้วร่วมเดินไปด้วยกันบนถนนไวต์ฮอล พวกเราทั้งหมดได้รับการกวาดไปตามกระแสธารแห่งความสุขและความโล่งใจ"Bond, p. 10; Pimlott, p. 79 ช่วงระหว่างสงคราม แผนการของรัฐบาลมากมายได้รับการคิดขึ้นเพื่อระงับกระแสชาตินิยมในเวลส์ ด้วยการผูกมัดเจ้าหญิงเอลิซาเบธให้มีความใกล้ชิดกับเวลส์มากขึ้น อาทิ สถาปนาเจ้าหญิงให้ทรงเป็นผู้ดูแลปราสาทคายร์นาร์วอน ซึ่งในขณะนั้นตำแหน่งผู้ดูแลเป็นของอดีตนายกรัฐมนตรีเดวิด ลอยด์ จอร์จ ด้านเลขาธิการความมั่นคงแห่งมาตุภูมิ เฮอร์เบิร์ต มอร์ริสัน มีอีกแผนการหนึ่งคือให้เจ้าหญิงทรงเป็นผู้อุปถัมภ์สันนิบาตเยาวชนแห่งเวลส์ (the Welsh League of Youth) ส่วนนักการเมืองชาวเวลส์เสนอให้ถวายตำแหน่งเจ้าหญิงแห่งเวลส์ในวันคล้ายวันประสูติปีที่ 18 ของพระองค์Pimlott, pp. 71–73 อย่างไรก็ตามทุกข้อเสนอล้วนถูกปฏิเสธด้วยเหตุผลหลายประการ เช่น ความกลัวที่ว่าจะนำพระองค์ไปข้องเกี่ยวกับกลุ่มผู้ปฏิเสธการเกณฑ์ทหารโดยมโนสำนึกในสันนิบาตเยาวชนแห่งเวลส์ ซึ่งในช่วงที่สหราชอาณาจักรอยู่ในภาวะสงครามถูกมองว่าเป็นกลุ่มบุคคลเสื่อมเสีย ในปี ค.ศ. 1946 ทรงได้รับการแต่งตั้งให้เป็นผู้ชนะและประทับบนบัลลังก์แห่งบาร์ดส์ (Gorsedd of Bards) ในงานเทศกาลไอส์เตดด์วอดแห่งชาติเวลส์ (National Eisteddfod of Wales) ในปี ค.ศ. 1947 เจ้าหญิงเอลิซาเบธเสด็จเยือนต่างประเทศพร้อมกับพระราชบิดา-มารดาเป็นครั้งแรกบริเวณตอนใต้ของทวีปแอฟริกา ในช่วงการเสด็จเยือน ทรงออกแถลงการณ์เป็นภาษาอังกฤษไปยังเครือจักรภพแห่งประชาชาติ|ประเทศเครือจักรภพเนื่องในวโรกาสวันคล้ายวันประสูติปีที่ 21 ว่า: quote|I declare before you all that my whole life, whether it be long or short, shall be devoted to your service and the service of our great imperial family to which we all belong. คำแปล: === อภิเษกสมรส === พระองค์ทรงพบกับเจ้าชายฟิลิป ดยุกแห่งเอดินบะระ|เจ้าชายฟิลิปแห่งกรีซและเดนมาร์ก พระสวามีในอนาคต เมื่อปี ค.ศ. 1934 และ ค.ศ. 1937Brandreth, pp. 132–139; Lacey, pp. 124–125; Pimlott, p. 86 ทั้งสองพระองค์เป็นพระญาติชั้นที่หนึ่งของกันและกันผ่านทางสายพระโลหิตของพระเจ้าคริสเตียนที่ 9 แห่งเดนมาร์ก และเป็นพระญาติชั้นที่สามผ่านทางสายพระโลหิตของสมเด็จพระราชินีนาถวิกตอเรียแห่งสหราชอาณาจักร|สมเด็จพระราชินีนาถวิกตอเรีย จากนั้นทรงพบปะกันอีกครั้งที่วิทยาลัยราชนาวีอังกฤษในปี ค.ศ. 1939 ซึ่งขณะนั้นมีพระชนมายุ 13 พรรษาและทรงยอมรับว่ามีพระเสน่หากับเจ้าชายฟิลิป ทั้งสองพระองค์จึงทรงมีจดหมายและหัตถเลขาถึงกันและกันแต่บัดนั้นเป็นต้นมาBond, p. 10; Brandreth, pp. 132–136, 166–169; Lacey, pp. 119, 126, 135 ต่อมาพิธีหมั้นจึงประกาศออกมาอย่างเป็นทางการในวันที่ 9 กรกฎาคม ค.ศ. 1947Heald, p. 77 การหมั้นในครั้งนี้ย่อมมีเสียงวิพากษ์วิจารณ์ตามมาเนื่องจากเจ้าชายฟิลิปทรงไม่มีฐานะทางการเงินที่แน่นอน ทั้งยังประสูติจากต่างแดน (แม้จะอยู่ใต้บังคับของทางการสหราชอาณาจักรและรับใช้ในราชนาวีอังกฤษช่วงสงครามโลกครั้งที่สอง) รวมถึงการที่พระเชษฐภคินีของเจ้าชายฟิลิปเสกสมรสกับขุนนางชาวเยอรมันผู้มีสายสัมพันธ์กับพรรคนาซี แมเรียน คราวฟอร์ดเขียนไว้ในหนังสือของเธอว่า "ที่ปรึกษาของพระเจ้าจอร์จที่ 6 บางคนคิดว่าเจ้าชายทรงไม่คู่ควรกับเจ้าหญิง เป็นเจ้าชายไร้ถิ่นฐาน และหนังสือพิมพ์บางฉบับก็ยังโจมตีอย่างโจ่งแจ้งในประเด็นที่ว่าทรงมีต้นกำเนิดในต่างแดน"Crawford, p. 180 ในหนังสือพระราชประวัติช่วงหลัง ๆ กล่าวว่าพระราชินีเอลิซาเบธ พระราชมารดา ทรงต่อต้านการเสกสมรสในตอนแรก ถึงขนาดที่ทรงเรียกเจ้าชายฟิลิปว่าเป็นพวกเยอรมัน แต่อย่างไรก็ตามในช่วงท้ายพระชนม์ชีพ พระราชินีเอลิซาเบธได้พระราชทานสัมภาษณ์กับนักอัตชีวประวัติ ทิม ฮีลด์ ถึงเจ้าชายฟิลิปไว้ว่าทรงเป็น "สุภาพบุรุษชาวอังกฤษ"Heald, p. xviii ก่อนการอภิเษกสมรสจะมีขึ้น เจ้าชายฟิลิปสละบรรดาศักดิ์ของกรีซและเดนมาร์ก ทรงเปลี่ยนจากนิกายกรีกออร์ทอดอกซ์มาเข้ารีตแองกลิคัน และใช้พระยศเป็น "ร้อยเอกฟิลิป เมาท์แบตเตน" ซึ่งนามสกุลเมาท์แบตเตนเป็นของบรรพบุรุษฝ่ายอังกฤษของพระมารดาHoey, pp. 55–56; Pimlott, pp. 101, 137 ก่อนพระราชพิธีอภิเษกสมรสจะมีขึ้นไม่นาน ก็ทรงได้รับพระราชทานบรรดาศักดิ์เป็นดยุกแห่งเอดินบะระชั้น "รอยัลไฮเนส" ทั้งสองพระองค์อภิเษกกันในวันที่ 20 พฤศจิกายน ค.ศ. 1947 ณ เวสต์มินสเตอร์แอบบีย์ และทรงได้รับของขวัญวันอภิเษกสมรสจำนวน 2500 ชิ้นจากทั่วทุกมุมโลก และเนื่องจากอังกฤษยังคงบอบช้ำจากสงคราม เจ้าหญิงเอลิซาเบธยังคงต้องใช้บัตรปันส่วนในการจัดหาวัตถุดิบสำหรับตัดฉลองพระองค์ที่จะใช้ในวันอภิเษกซึ่งออกแบบโดยนอร์มัน ฮาร์ตเนลล์Hoey, p. 58; Pimlott, pp. 133–134 นอกจากนี้สายสัมพันธ์กับชาวเยอรมันของเจ้าชายฟิลิปไม่เป็นที่ยอมรับของสาธารณชนชาวอังกฤษ ผู้ที่เพิ่งจะผ่านพ้นความทุกข์ยากของสงครามมา จึงทำให้พระเชษฐภคินีทั้งสามพระองค์ของเจ้าชายไม่ได้รับเชิญให้เสด็จมาร่วมพระราชพิธีอภิเษกสมรสHoey, p. 59; Petropoulos, p. 363 ในขณะที่สมเด็จพระเจ้าเอ็ดเวิร์ดที่ 8 แห่งสหราชอาณาจักร|ดยุกและวอลลิส ดัชเชสแห่งวินด์เซอร์|ดัชเชสแห่งวินด์เซอร์ก็ไม่ได้รับเชิญให้เสด็จมาร่วมพระราชพิธีเช่นกันBradford, p. 61 พระองค์มีประสูติการเจ้าชายชาลส์พระโอรสองค์แรกเมื่อวันที่ 14 พฤศจิกายน ค.ศ. 1948 เป็นเวลาหนึ่งเดือนก่อนที่พระเจ้าจอร์จที่ 6 จะทรงมีจดหมายพระราชทานพระบรมราชานุญาตให้พระโอรสและพระธิดาของเจ้าหญิงเอลิซาเบธทุกพระองค์สามารถใช้บรรดาศักดิ์เป็นเจ้าชายและเจ้าหญิงได้ ซึ่งหากมิเช่นนั้นแล้วจะไม่สามารถใช้บรรดาศักดิ์เป็นเจ้าชาย-เจ้าหญิงอังกฤษ เพราะในขณะนั้นเจ้าชายฟิลิปได้สละบรรดาศักดิ์ที่มีมาแต่กำเนิดไปหมดแล้วและมีบรรดาศักดิ์เป็นเพียงดยุกเท่านั้นLetters Patent, 22 October 1948; Hoey, pp. 69–70; Pimlott, pp. 155–156 ต่อมาในปี พ.ศ. 2493 พระธิดาองค์แรกก็มีพระประสูติกาลโดยมีพระนามว่า เจ้าหญิงแอนน์Pimlott, p. 163 ภายหลังการอภิเษกสมรส ทั้งสองพระองค์ทรงเช่าพระตำหนักวินเดิลแชมมัวร์เป็นที่ประทับซึ่งใกล้กับพระราชวังวินด์เซอร์ไปจนถึงวันที่ 4 กรกฎาคม ค.ศ. 1951 จากนั้นทรงใช้พระตำหนักแคลเรนซ์เป็นที่ประทับหลายครั้งระหว่างช่วงปี 1951 - 1953 ในขณะนั้นดยุกแห่งเอดินบะระ พระสวามี ทรงประจำการอยู่ในราชนาวี|ราชนาวีอังกฤษ ณ มอลตาซึ่งเป็นรัฐในอารักขาของอังกฤษ และประทับอยู่ด้วยกันเป็นช่วง ๆ หลายเดือน ณ วิลลาในหมู่บ้านกวาร์ดามังเจียของมอลตา ซึ่งเป็นบ้านพักของลอร์ดเมาท์แบตเตน พระมาตุลาในดยุกแห่งเอดินบะระ ส่วนพระโอรส-ธิดายังคงประทับอยู่ในสหราชอาณาจักรBrandreth, pp. 226–238; Pimlott, pp. 145, 159–163, 167 ==== พระราชโอรส-ธิดา/พระราชนัดดา ==== มีพระราชโอรส-ธิดากับเจ้าชายฟิลิป ดยุกแห่งเอดินบะระรวมทั้งสิ้น 4 พระองค์ ดังนี้: == พิธีราชาภิเษก == === พิธีราชาภิเษก === ไฟล์:Coronation of Queen Elizabeth II Couronnement de la Reine Elizabeth II.jpg|thumb|right|200px|พระราชพิธีราชาภิเษกสมเด็จพระราชินีนาถเอลิซาเบธที่ 2 ไฟล์:Elizabeth and Philip 1953.jpg|thumb|left|200px|พระบรมฉายาลักษณ์วันราชาภิเษกของสมเด็จพระราชินีนาถเอลิซาเบธที่ 2 ฉายคู่กับดยุกแห่งเอดินบะระ พระราชสวามี เดือนมิถุนายน ค.ศ. 1953 ช่วงปี ค.ศ. 1951 พระพลานามัยของสมเด็จพระเจ้าจอร์จที่ 6 เสื่อมถอยลงและบ่อยครั้งที่เจ้าหญิงต้องเสด็จปฏิบัติพระราชกรณียกิจแทนพระองค์ ในครั้งที่เสด็จเยือนแคนาดาและสหรัฐอเมริกาในเดือนตุลาคมปีเดียวกัน ขณะนั้นทรงพบปะกับประธานาธิบดีแฮร์รี เอส. ทรูแมน ณ กรุงวอชิงตัน ดี.ซี. ราชเลขาธิการส่วนพระองค์ :en:Martin Charteris, Baron Charteris of Amisfield|มาร์ติน ชาร์เตริส ก็ได้จัดทำร่างพระราชดำรัสในพระราชพิธีบรมราชาภิเษกขึ้นเผื่อกรณีที่พระเจ้าจอร์จที่ 6 เสด็จสวรรคตขณะเจ้าหญิงทรงอยู่ต่างประเทศBrandreth, pp. 240–241; Lacey, p. 166; Pimlott, pp. 169–172 ในช่วงต้นปี ค.ศ. 1952 เตรียมเสด็จเยือนออสเตรเลียและนิวซีแลนด์โดยเสด็จเยือนเคนยาก่อน ในวันที่ 6 กุมภาพันธ์ ค.ศ. 1952 เมื่อเพิ่งเสด็จถึงบ้านพักที่ประทับซากานาลอดจ์ในเคนยา หลังจากที่คืนก่อนหน้าเสด็จไปประทับที่โรงแรมทรีท็อปส์ ข่าวการสวรรคตของพระเจ้าจอร์จที่ 6 ก็มาถึงและดยุกแห่งเอดินบะระก็ได้ทรงแจ้งข่าวนี้แก่พระราชินีพระองค์ใหม่Brandreth, pp. 245–247; Lacey, p. 166; Pimlott, pp. 173–176; Shawcross, p.16 :en:Martin Charteris, Baron Charteris of Amisfield|มาร์ติน ชาร์เตริส ได้ทูลถามถึงพระปรมาภิไธยที่จะทรงใช้ พระองค์ทรงเลือก "เอลิซาเบธ" เช่นเดิมแน่นอนBousfield and Toffoli, p. 72; Charteris quoted in Pimlott, p. 179 and Shawcross, p. 17 พระองค์ทรงประกาศตนเป็นพระมหากษัตริย์สหราชอาณาจักร|พระมหากษัตริย์แห่งสหราชอาณาจักรและเครือจักรภพพระองค์ใหม่หลังจากที่ทรงเร่งรีบเสด็จกลับสหราชอาณาจักรPimlott, pp. 178–179 จากนั้นจึงเสด็จย้ายเข้าไปประทับ ณ พระราชวังบักกิงแฮมพร้อมกับดยุกแห่งเอดินบะระPimlott, pp. 186–187 ทั้งที่สมเด็จพระราชินีแมรี พระราชินีในสมเด็จพระเจ้าจอร์จที่ 5 เสด็จสวรรคตในวันที่ 24 มีนาคม แต่แผนการจัดพระราชพิธีราชาภิเษกก็ยังคงดำเนินต่อไปตามที่ทรงร้องขอไว้ก่อนเสด็จสวรรคต โดยจัดขึ้นในวันที่ 2 มิถุนายน ค.ศ. 1953 Bradford, p. 82 ณ มหาวิหารเวสต์มินสเตอร์ ซึ่งเป็นพระราชพิธีราชาภิเษกครั้งแรกที่มีการถ่ายทอดผ่านโทรทัศน์ โดยยกเว้นการถ่ายทอดพิธีเจิมและพิธีมหาสนิทศักดิ์สิทธิ์ในศาสนาคริสต์ นิกายคริสตจักรแห่งอังกฤษ ฉลองพระองค์ในพระราชพิธีได้รับการออกแบบและตัดเย็บโดยนอร์มัน ฮาร์ตเนลล์ ซึ่งประดับด้วยลายพรรณพืชของประเทศในเครือจักรภพตามคำแนะนำของพระราชินีนาถ อันประกอบไปด้วยLacey, p. 190; Pimlott, pp. 247–248 กุหลาบทิวดอร์แห่งอังกฤษ ดอกทริสเติลแห่งสกอตแลนด์ กระเทียมต้นแห่งเวลส์ ดอกแฌมร็อกแห่งไอร์แลนด์ ดอกแวทเทิลแห่งออสเตรเลีย ใบเมเปิลแห่งแคนาดา ใบเฟิร์นสีเงินแห่งนิวซีแลนด์ ดอกโพรทีแห่งแอฟริกาใต้ ดอกบัวหลวงแห่งอินเดียและศรีลังกา รวมไปถึงข้าวสาลี ฝ้าย และปอกระเจาแห่งปากีสถาน ในพระราชพิธีราชาภิเษก พระองค์ได้พระราชทานพระปฐมบรมราชโองการแก่พสกนิกรชาวสหราชอาณาจักรว่า "ในพิธีบรมราชาภิเษกวันนี้ ข้าพเจ้าขอประกาศว่า ข้าพเจ้าพร้อมอุทิศชีวิตเพื่อประชาชนของข้าพเจ้า ข้าพเจ้าอยากขอความร่วมมือจากประชาชนทุกคนไม่ว่าจะศาสนาใดก็ตาม ให้ช่วยสวดภาวนาให้ข้าพเจ้า ในวันที่ข้าพเจ้าต้องปฏิบัติหน้าที่ในฐานะกษัตริย์แห่งอังกฤษ สวดภาวนาให้พระเจ้าประทานพระปัญญาญาณและความเข้มแข็งให้ข้าพเจ้าสามารถปฏิบัติราชกิจลุล่วงตามที่ข้าพเจ้าได้ให้สัตย์ปฏิญาณไว้ และข้าพเจ้าพร้อมรับใช้พระเจ้าและประชาชนของข้าพเจ้า ทุกคนตลอดที่ข้าพเจ้ายังมีลมหายใจ" == เหตุการณ์ตลอดรัชสมัย == === ภายหลังการขึ้นครองราชย์ === ด้วยการเสด็จขึ้นครองราชสมบัติของเจ้าหญิงเอลิซาเบธ มีความเป็นไปได้ว่าอาจมีการเปลี่ยนชื่อราชวงศ์ไปเป็น '':en:Mountbatten family|ราชวงศ์เมาท์แบตเตน'' ตามนามสกุลของดยุกแห่งเอดินบะระ และให้เจ้าหญิงทรงเปลี่ยนไปใช้นามสกุลของพระราชสวามี อย่างไรก็ตามสมเด็จพระราชินีแมรี พระอัยยิกา และนายกรัฐมนตรีวินสตัน เชอร์ชิลล์ เห็นชอบที่จะให้มีการใช้ชื่อราชวงศ์เดิมต่อไป ดังนั้นราชวงศ์วินด์เซอร์จึงสืบเนื่องมาจนถึงปัจจุบัน ดยุกแห่งเอดินบะระทรงบ่นว่า "เป็นบุรุษเพียงคนเดียวในประเทศที่ไม่สามารถให้นามสกุลแก่โอรส-ธิดาของพระองค์ได้"Bradford, p. 80; Brandreth, pp. 253–254; Lacey, pp. 172–173; Pimlott, pp. 183–185 ในปี 1957 หลังจากที่พระราชินีแมรีสิ้นพระชนม์ในปี ค.ศ. 1953 และวินสตัน เชอร์ชิลล์ลาออกจากการเป็นนายกรัฐมนตรีในปี 1957 นามสกุล '':en:Mountbatten-Windsor|เมาท์แบตเตน-วินด์เซอร์'' จึงใช้แก่ดยุกฟิลิปและกับรัชทายาทบุรุษฝ่ายพระราชินีนาถเอลิซาเบธที่ไม่ได้ถือบรรดาศักดิ์ใด ๆ ท่ามกลางการตระเตรียมพระราชพิธีบรมราชาภิเษก เจ้าหญิงมาร์กาเรต เคาน์เตสแห่งสโนว์ดอน|เจ้าหญิงมาร์กาเรตกราบทูลพระเชษฐภคินีของพระองค์ว่าประสงค์ที่จะเสกสมรสกับ:en:Peter Townsend (RAF officer)|ปีเตอร์ ทาวเซินด์ พ่อหม้ายลูกติดสองคนซึ่งมีอายุมากกว่าพระองค์ 16 ปี พระราชินีนาถจึงทูลขอให้ทรงรอเป็นเวลาสองปี ตามคำกล่าวของมาร์ติน คาร์เตริสที่กล่าวว่า "พระราชินีนาถทรงมีความเห็นใจต่อเจ้าหญิงมาร์กาเรต แต่ข้าพเจ้าคิดว่าพระองค์ทรงหวังไว้ว่าเวลาจะช่วยทำให้เรื่องนี้เงียบหายไปในที่สุด"Brandreth, pp. 269–271 ด้านนักการเมืองอาวุโสต่างต่อต้านแนวคิดการเสกสมรสครั้งนี้และคริสตจักรแห่งอังกฤษก็ไม่อนุญาตให้มีการสมรสหลังจากที่หย่าร้างไปแล้ว ซึ่งหากเจ้าหญิงมาร์กาเรตทรงเข้าพิธีสมรสแบบทางราชการ (การสมรสโดยปราศจากพิธีกรรมทางศาสนา) ก็เป็นที่คาดหมายให้สละสิทธิ์ในการสืบราชสมบัติของพระองค์ Brandreth, pp. 269–271; Lacey, pp. 193–194; Pimlott, pp. 201, 236–238 จนในท้ายที่สุดก็ทรงล้มเลิกแผนการเสกสมรสกับปีเตอร์ ทาวเซินด์Bond, p. 22; Brandreth, p. 271; Lacey, p. 194; Pimlott, p. 238; Shawcross, p. 146 ในปี ค.ศ. 1960 เจ้าหญิงมาร์กาเรตเสกสมรสกับ:en:Antony Armstrong-Jones, 1st Earl of Snowdon|แอนโทนี อาร์มสตรอง-โจนส์ ผู้ซึ่งในปีถัดมาได้รับพระราชทานบรรดาศักดิ์เป็น:en:Earl of Snowdon|เอิร์ลแห่งสโนว์ดอน ทั้งสองหย่าร้างกันในปี ค.ศ. 1978 และเจ้าหญิงมาร์กาเรตก็มิเสกสมรสกับบุคคลใดอีกเลย === พระราชินีนาถกับเครือจักรภพ === สมเด็จพระราชินีนาถเอลิซาเบธที่ 2 ทอดพระเนตรเห็นการเปลี่ยนแปลงของจักรวรรดิอังกฤษไปสู่เครือจักรภพแห่งประชาชาติตลอดช่วงพระชนม์ชีพของพระองค์Marr, p. 272 ตั้งแต่การเสด็จขึ้นครองราชย์ในปี ค.ศ. 1952 ตำแหน่งพระประมุขของรัฐอธิปไตยหลากหลายรัฐก็สถาปนาขึ้นไว้แล้วPimlott, p. 182 ซึ่งตลอดช่วงปี 1953 - 1954 พระองค์และพระราชสวามีได้เสด็จพระราชดำเนินเยือนประเทศต่าง ๆ รอบโลกเป็นเวลาหกเดือน และยังเป็นครั้งแรกที่ราชาธิปไตยของออสเตรเลีย|พระมหากษัตริย์แห่งออสเตรเลียและราชาธิปไตยของนิวซีแลนด์|พระมหากษัตริย์แห่งนิวซีแลนด์เสด็จพระราชดำเนินเยือนประเทศของพระองค์ขณะทรงครองราชย์อยู่Marr, p. 126 ประมาณกันว่าสามในสี่ของประชาชนชาวออสเตรเลียได้พบเห็นสมเด็จพระราชินีนาถของตนระหว่างช่วงการเสด็จพระราชดำเนินเยือนBrandreth, p. 278; Marr, p. 126; Pimlott, p. 224; Shawcross, p. 59 เสด็จพระราชดำเนินเยือนต่างประเทศทั้งที่ใช่และไม่ใช่ประเทศเครือจักรภพมากมายตลอดช่วงรัชสมัยของพระองค์ และเป็นพระประมุขแห่งรัฐที่เสด็จพระราชดำเนินเยือนต่างประเทศมากที่สุดในประวัติศาสตร์ ในปี ค.ศ. 1956 นายกรัฐมนตรีฝรั่งเศส กี มอแล และนายกรัฐมนตรีแห่งสหราชอาณาจักร|นายกรัฐมนตรีสหราชอาณาจักร เซอร์ แอนโทนี อีเดน ร่วมหารือถึงความเป็นไปได้ที่ฝรั่งเศสจะเข้าร่วมเป็นประเทศสมาชิกเครือจักรภพ แนวคิดดังกล่าวได้รับการปฏิเสธและในปีถัดมาฝรั่งเศสก็ร่วมลงนามในสนธิสัญญาโรมจัดตั้งประชาคมเศรษฐกิจยุโรป ซึ่งจะนำไปสู่การก่อตั้งสหภาพยุโรปในภายหลัง ในเดือนพฤศจิกายน 1956 สหราชอาณาจักรและฝรั่งเศสเข้ารุกรานอียิปต์ในวิกฤตการณ์คลองสุเอซ|ความพยายามทางการทหารที่ล้มเหลวในการยึดคลองสุเอซ ลอร์ดเมาท์แบตเตนกล่าวว่าพระราชินีนาถทรงต่อต้านการรุกรานครั้งนั้น ซึ่งเซอร์ แอนโทนีปฏิเสธคำพูดดังกล่าวและลาออกในอีกสองเดือนถัดมาPimlott, p. 255; Roberts, p. 84 กลไกในการเลือกผู้นำคนใหม่ของพรรคอนุรักษนิยม (สหราชอาณาจักร)|พรรคอนุรักษนิยมที่หยุดชะงักลง หมายความว่าหลังการลาออกของเซอร์ แอนโทนี เป็นพระราชภาระของสมเด็จพระราชินีนาถเอลิซาเบธที่ 2 ที่จะต้องทรงเลือกว่าใครควรที่จะเป็นผู้นำในการจัดตั้งรัฐบาลชุดใหม่ เซอร์ แอนโทนีได้ถวายคำแนะนำแด่พระองค์ให้ทรงปรึกษากับลอร์ดซอลส์บรี ประธานสภาองคมนตรี ลอร์ดซอลส์บรีและลอร์ดคิลเมียร์ (ขณะนั้นดำรงรัฐมนตรีกระทรวงยุติธรรม) ก็ได้ไปปรึกษากับคณะรัฐมนตรี วินสตัน เชอร์ชิลล์ และคณะกรรมธิการ 1922 (1922 Committee) จนในที่สุดก็ได้จึงโปรดเกล้าฯ แต่งตั้งให้ฮาโรลด์ แมคมิลแลน|เฮโรลด์ แมคมิลแลน ดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีตามที่ได้รับการถวายคำแนะนำมาMarr, pp. 175–176; Pimlott, pp. 256–260; Roberts, p. 84 วิกฤตการณ์คลองสุเอซและการเลือกผู้สืบทอดตำแหน่งของเซอร์ แอนโทนีนำมาซึ่งเสียงวิพากษ์วิจารณ์ในตัวพระราชินีนาถครั้งใหญ่ครั้งแรก John Grigg (writer)|ลอร์ดอัลตรินแชมกล่าวหาว่าพระองค์ทรง "กู่ไม่กลับ"Lord Altrincham in ''National Review (London)|National Review'' quoted by Brandreth, p. 374 and Roberts, p. 83 ในนิตยสารที่เขาเป็นเจ้าของและเป็นบรรณาธิการเองLacey, p. 199; Shawcross, p. 75 ต่อมาเขาจึงถูกประณามโดยบุคคลที่มีชื่อเสียงและถูกทำร้ายร่างกายโดยสาธารณชนผู้ตกตะลึงกับคำกล่าวของเขาBrandreth, p. 374; Pimlott, pp. 280–281; Shawcross, p. 76 หกปีถัดมาในปี ค.ศ. 1963 เฮโรลด์ แมคมิลแลน ลาออกและถวายการแนะนำให้ทรงเลือกอเล็ค ดักลาส-ฮูม|เซอร์ อเลค ดักลาส-ฮูม ขึ้นดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีคนถัดไป ซึ่งพระองค์ก็ทรงทำตามคำแนะนำHardman, p. 22; Pimlott, pp. 324–335; Roberts, p. 84 ทำให้พระองค์ถูกวิจารณ์อีกครั้งว่าทรงแต่งตั้งนายกรัฐมนตรีตามคำแนะนำของรัฐมนตรีเพียงไม่กี่คนหรือเพียงคนเดียวเท่านั้น ในปี ค.ศ. 1965 พรรคอนุรักษนิยมจึงกลับมาใช้กลไกลเลือกตั้งผู้นำพรรคอย่างเป็นทางการ จึงช่วยลดพระราชภาระอันข้องเกี่ยวกับทางการเมืองของพระราชินีนาถลงRoberts, p. 84 ไฟล์:Queen Elizabeth II and the Prime Ministers of the Commonwealth Nations, at Windsor Castle (1960 Commonwealth Prime Minister's Conference).jpg|thumb|left|230px|alt=A formal group of Elizabeth in tiara and evening dress with eleven prime ministers in evening dress or national costume.|สมเด็จพระราชินีนาถเอลิซาเบธที่ 2 พร้อมด้วยนายกรัฐมนตรีและคณะแห่งประเทศเครือจักรภพ ณ การประชุมนายกรัฐมนตรีประเทศเครือจักรภพที่พระราชวังวินด์เซอร์ ค.ศ. 1960 ไฟล์:Richard and Pat Nixon with Queen Elizabeth II.jpg|230px|thumb|left|alt=|สมเด็จพระราชินีนาถพร้อมด้วยนายกรัฐมนตรีเอ็ดวาร์ด ฮีธ (ซ้าย), ประธานาธิบดีริชาร์ด นิกสันแห่งสหรัฐอเมริกา และสุภาพสตรีหมายเลขหนึ่งแห่งสหรัฐอเมริกา|สุภาพสตรีหมายเลขหนึ่ง แพต นิกสัน ค.ศ. 1970 ในปี ค.ศ. 1957 พระองค์เสด็จพระราชดำเนินเยือนสหรัฐอเมริกาอย่างเป็นทางการ ที่ซึ่งทรงกล่าวสุนทรพจน์ต่อสมัชชาใหญ่แห่งสหประชาชาติในนามของเครือจักรภพแห่งชาติ ในครั้งนั้นยังได้เสด็จฯ ไปเปิดการประชุมรัฐสภาแคนาดาสมัยที่ 23 ซึ่งเป็นครั้งแรกที่ราชาธิปไตยของแคนาดา|พระมหากษัตริย์แห่งแคนาดาเสด็จพระราชดำเนินมาเปิดการประชุมของรัฐสภา สองปีถัดมา เสด็จพระราชดำเนินเยือนสหรัฐอเมริกาและแคนาดาผู้เดียวในฐานะสมเด็จพระราชินีนาถแห่งแคนาดาอีกครั้งBradford, p. 114 ที่ซึ่งทรงทราบจากการลงจอดของเครื่องบินที่ประทับ ณ สนามบินเซนต์จอห์นนิวฟันด์แลนด์และแลบราดอร์ว่าทรงพระครรภ์รัชทายาทองค์ที่สามอยู่ ในปี ค.ศ. 1961 เสด็จพระราชดำเนินเยือนไซปรัส, อินเดีย, ปากีสถาน, เนปาล และอิหร่านPimlott, p. 303; Shawcross, p. 83 ในช่วงการเสด็จพระราชดำเนินเยือนกานาในปีเดียวกัน ทรงเพิกเฉยต่อความกังวลเกี่ยวกับความปลอดภัยของพระองค์ หลังจากที่ผู้กราบบังคมทูลเชิญเสด็จฯ ก็คือประธานาธิบดีกวาเม อึนกรูมา ตกเป็นเป้าลอบสังหาร ซึ่งเขาเป็นผู้ที่เปลี่ยนประมุขแห่งรัฐของกานาจากพระราชินีนาถมาเป็นตัวเขาเอง เฮโรลด์ แมคมิลแลน เขียนไว้ว่า "สมเด็จพระราชินีนาถทรงพิจารณาอย่างถี่ถ้วน&nbsp;... ทรงอดทนต่อทัศนคติที่มีต่อพระองค์ ที่ปฏิบัติต่อพระองค์ราวกับว่าเป็น&nbsp;... ดาราภาพยนตร์&nbsp;... ซึ่งแท้ที่จริงแล้วพระองค์ประดุจเป็นดังชายชาติบุรุษ&nbsp;... ทรงรักในพระราชกรณียกิจของพระองค์และทรงเจตนาที่จะเป็นพระราชินีนาถอย่างแน่วแน่"Macmillan, pp. 466–472 ต่อมาก่อนการเสด็จฯ เยือนรัฐเกแบ็ก|เกแบ็กในปี ค.ศ. 1964 สื่อรายงานข่าวว่าขบวนการแบ่งแยกเกแบ็กหัวรุนแรงวางแผนลอบปลงพระชนม์สมเด็จพระราชินีนาถ อย่างไรก็ตามไม่ปรากฏเหตุการณ์ดังกล่าวตามที่มีรายงานออกมา มีเพียงการก่อจลาจลระหว่างเสด็จฯ เยือนมอนทรีออล; ครั้งนั้น "ความสุขุมและความกล้าเผชิญหน้ากับความรุนแรง" ของพระองค์ยังคงเป็นที่จดจำBousfield, p. 139 ในช่วงที่ทรงพระครรภ์เจ้าชายแอนดรูว์ ดยุกแห่งยอร์ก|เจ้าชายแอนดรูว์และเจ้าชายเอ็ดเวิร์ด เอิร์ลแห่งเวสเซ็กส์|เจ้าชายเอ็ดเวิร์ดในปี ค.ศ. 1959 และ ค.ศ. 1963 เป็นช่วงที่ยังมิได้เสด็จฯ ไปเปิดประชุมรัฐสภาสหราชอาณาจักรด้วยพระองค์เป็นครั้งแรกในรัชกาลของพระองค์ นอกจากนี้ยังทรงริเริ่มระเบียบประเพณีใหม่ด้วยการเสด็จพระราชดำเนินพบปะกับประชาชนที่มาเฝ้ารอเสด็จฯ อย่างใกล้ชิดเป็นครั้งแรกในช่วงของการเสด็จฯ เยือนออสเตรเลียและนิวซีแลนด์ ค.ศ. 1970 ในช่วงคริสต์ทศวรรษ 1960 และ 1970 เป็นช่วงที่สหราชอาณาจักรการให้เอกราช|มอบเอกราชให้แก่ประเทศแถบทวีปแอฟริกาและแถบทะเลแคริบเบียน มากกว่า 20 ประเทศได้รับเอกราชอันเป็นส่วนหนึ่งของแผนการเปลี่ยนผ่านไปสู่การปกครองตนเอง อย่างไรก็ตามในปี ค.ศ. 1965 นายกรัฐมนตรีแห่งโรดีเซีย เอียน สมิธ ต่อต้านการเปลี่ยนผ่านนี้ โดยประกาศเอกราชจากสหราชอาณาจักรฝ่ายเดียวในขณะที่ยังคงแสดง "ความจงรักภักดีและความอุทิศตน" ต่อสมเด็จพระราชินีนาถเอลิซาเบธที่ 2 แม้ว่าพระองค์จะทรงเพิกเฉยต่อคำประกาศนี้ในทางสาธารณะก็ตาม ซึ่งปฏิกิริยาจากประชาคมระดับนานาชาติก็คือการคว่ำบาตรต่อโรดีเซีย แม้กระนั้นการบริหารประเทศของเอียน สมิธ ก็ยังสามารถอยู่รอดมาได้เกือบทศวรรษBond, p. 66; Pimlott, pp. 345–354 ในเดือนกุมภาพันธ์ ค.ศ. 1974 นายกรัฐมนตรีแห่งสหราชอาณาจักร เอ็ดวาร์ด ฮีธ ทูลเกล้าให้ทรงยุบสภาและจัดการเลือกตั้งทั่วไปในสหราชอาณาจักร พ.ศ. 2517|การเลือกตั้งทั่วไปขึ้นในขณะที่เสด็จพระราชดำเนินเยือนชายฝั่งมหาสมุทรแปซิฟิกในออสเตรเลีย ทำให้ทรงต้องเสด็จฯ กลับสหราชอาณาจักรBradford, p. 181; Pimlott, p. 418 ผลการเลือกตั้งปรากฏว่าไม่มีพรรคใดได้เสียงมากพอจะจัดตั้งรัฐบาลเสียงข้างมากได้ พรรคอนุรักษนิยมของฮีธไม่ได้รับเลือกให้มีเสียงมากที่สุดในสภา แต่ยังสามารถจัดตั้งรัฐบาลผสมกับพรรคเสรีประชาธิปไตยได้ ซึ่งฮีธเลือกที่จะลาออกหลังจากการเจรจาไม่ประสบผลสำเร็จ สมเด็จพระราชินีนาถจึงทรงมีกระแสรับสั่งให้พรรคฝ่ายค้านในรัฐสภา พรรคแรงงาน (สหราชอาณาจักร)|พรรคแรงงานของนายแฮโรลด์ วิลสัน|เฮโรลด์ วิลสัน จัดตั้งรัฐบาลBradford, p. 181; Marr, p. 256; Pimlott, p. 419; Shawcross, pp. 109–110 ในปีถัดมาในช่วงตึงเครียดที่สุดของวิกฤตการณ์รัฐธรรมนูญออสเตรเลีย พ.ศ. 2518|วิกฤตการณ์รัฐธรรมนูญออสเตรเลีย ค.ศ. 1975 กอฟ วิทแลม นายกรัฐมนตรีออสเตรเลีย ถูกผู้สำเร็จราชการเครือรัฐออสเตรเลีย|ผู้สำเร็จราชการ เซอร์ จอห์น เคอร์ ปลดออกจากตำแหน่ง หลังจากที่วุฒิสภาออสเตรเลียซึ่งฝ่ายค้านมีเสียงส่วนใหญ่ไม่ผ่านร่างงบประมาณที่เสนอโดยวิทแลมBond, p. 96; Marr, p. 257; Pimlott, p. 427; Shawcross, p. 110 และเนื่องจากวิทแลมมีเสียงส่วนมากในสภาผู้แทนราษฎรออสเตรเลีย โฆษกประจำสภาผู้แทนราษฎร กอร์ดอน สโคลส์ จึงทูลเกล้าฯ ถวายฎีกาแด่สมเด็จพระราชินีนาถเอลิซาเบธที่ 2 ให้ทรงเพิกถอนคำสั่งปลดของเซอร์ จอห์น เคอร์ แต่สมเด็จพระราชินีนาถทรงปฏิเสธฎีกาดังกล่าว โดยตรัสว่าจะมิทรงเข้าแทรกแซงอำนาจการตัดสินใจของผู้สำเร็จราชการแห่งออสเตรเลียซึ่งรับรองโดยรัฐธรรมนูญแห่งเครือรัฐออสเตรเลีย|รัฐธรรมนูญแห่งออสเตรเลียPimlott, pp. 428–429 วิกฤตการณ์ในครั้งนี้จึงเท่ากับเป็นการเติมเชื้อไฟให้แก่แนวคิดสาธารณรัฐนิยมในออสเตรเลีย ไฟล์:President Ford and Queen Elizabeth dance - NARA - 6923701.jpg|thumb|right|230px|สมเด็จพระราชินีนาถเอลิซาเบธที่ 2 ขณะทรงเต้นรำกับประธานาธิบดีเจอรัลด์ ฟอร์ด ในงานเลี้ยงพระกระยาหารค่ำเนื่องในวโรกาสเสด็จฯ เยือนสหรัฐอเมริกา ณ ทำเนียบขาว 17 กรกฎาคม ค.ศ. 1976 === ราชาภิเษก === ในปี ค.ศ. 1977 สมเด็จพระราชินีนาถเอลิซาเบธที่ 2 ครองสิริราชสมบัติครบ 25 ปีในพระราชพิธีรัชดาภิเษก การเฉลิมฉลองและงานรื่นเริงต่าง ๆ จัดขึ้นทั่วทุกหนแห่งในประเทศเครือจักรภพ และหลายแห่งที่พระองค์เสด็จพระราชดำเนินไปทรงร่วมงาน การเฉลิมฉลองเหล่านี้เป็นเครื่องยืนยันถึงความนิยมในตัวพระองค์ของเหล่าพสกนิกร แม้ว่าจะมีการนำเสนอข่าวด้านลบเกี่ยวกับชีวิตคู่ที่ล้มเหลวของเจ้าหญิงมาร์กาเรตกับพระสวามีออกมาประจวบเหมาะกับช่วงเวลาดังกล่าวPimlott, p. 449 ในปี ค.ศ. 1978 ทรงต้องฝืนพระองค์ให้การต้อนรับการเดินทางมาเยือนสหราชอาณาจักรของผู้นำเผด็จการคอมมิวนิสต์แห่งโรมาเนีย นีกอลาเอ ชาวูเชสกู พร้อมด้วยภริยา เอเลนา ชาวูเชสกูHardman, p. 137; Roberts, pp. 88–89; Shawcross, p. 178 ซึ่งในพระทัยก็ทรงมองว่าทั้งสองเป็นพวก "มือเปื้อนเลือด"Elizabeth to her staff, quoted in Shawcross, p. 178 ในปีถัดมามีเหตุการณ์สองเหตุการณ์ใหญ่เกิดขึ้นในรัชสมัยของพระองค์: เหตุการณ์แรกคือการเปิดโปง แอนโทนี บลันท์ อดีตผู้กลั่นกรองพระบรมฉายาลักษณ์ส่วนพระองค์ ว่าเป็นสายลับคอมมิวนิสต์ อีกเหตุการณ์ก็คือการลอบสังหารหลุยส์ เมานต์แบ็ตเทน เอิร์ลเมานต์แบ็ตเทนแห่งพม่า|หลุยส์ เมานต์แบ็ตเทน เอิร์ลเมานต์แบ็ตเทนที่ 1 แห่งพม่า โดยกองกำลังติดอาวุธไออาร์เอ (Provisional Irish Republican Army; IRA)Pimlott, pp. 336–337, 470–471; Roberts, pp. 88–89 ตามคำกล่าวอ้างของพอล มาร์ติน ซีเนียร์. ในช่วงปลายคริสต์ทศวรรษ 1970 พระราชินีนาถทรงกังวลว่าสถาบันกษัตริย์ "มีความหมายเพียงน้อยนิด" สำหรับนายกรัฐมนตรีแคนาดา ปีแยร์ ตรูโด โทนี เบนน์ กล่าวว่าในสายพระเนตรของพระองค์ ปีแยร์ ตรูโด "ค่อนข้างน่าผิดหวัง" ซึ่งแนวคิดสาธารณรัฐนิยมของปีแยร์เป็นที่แน่ชัดขึ้นจากท่าทีแสดงการล้อเลียนของเขา เช่น การลื่นไถลตัวเขาเองไปตามราวบันใดในพระราชวังบักกิงแฮม และการเต้นบัลเลต์ท่าหมุนรอบตัวเองอยู่ด้านหลังของพระราชินีนาถในปี ค.ศ. 1977 รวมไปถึงการที่เขาถอดถอนสัญลักษณ์ที่แสดงถึงสถาบันพระมหากษัตริย์แคนาดาหลายประการตลอดช่วงที่ดำรงตำแหน่ง ในปี ค.ศ. 1980 นักการเมืองแคนาดาหลายคนได้รับการส่งไปกรุงลอนดอนในกระบวนการแก้ไขรัฐธรรมนูญแห่งแคนาดา พวกเขาพบว่าพระราชินีนาถเอลิซาเบธที่ 2 ทรง "มีความรู้ความเข้าใจ&nbsp;... มากกว่านักการเมืองหรือข้าราชการชาวอังกฤษเป็นไหน ๆ " ทรงให้ความสนพระราชหฤทัยกับการแก้ไขครั้งนี้โดยเฉพาะหลังจากที่ร่างพระราชบัญญัติซี-60 (Bill C-60) ไม่ผ่านรัฐสภา ซึ่งร่างพระราชบัญญัติดังกล่าวอาจมีผลต่อพระราชสถานะประมุขแห่งรัฐของพระองค์ การแก้ไขดังกล่าวเพิกถอนบทบาทของรัฐสภาแห่งสหราชอาณาจักรที่มีต่อรัฐธรรมนูญแห่งแคนาดาแต่ยังคงไว้ซึ่งสถาบันพระมหากษัตริย์ ปีแยร์กล่าวว่าในความทรงจำของเขาพระราชินีนาถทรงเห็นชอบกับความพยายามของเขาในการแก้ไขรัฐธรรมนูญและเขาประทับใจใน "พระจริยวัตรอันสง่างามที่ทรงแสดงต่อสาธารณชน" และ "พระอัจฉริยะภาพอันปราดเปรื่องที่ทรงแสดงเป็นการส่วนพระองค์"Trudeau, p. 313 === คริสต์ทศวรรษ 1980 === ไฟล์:ElizabethIItroopingcolour crop.jpg|thumb|right|230px|alt=Elizabeth in red uniform on a black horse|สมเด็จพระราชินีนาถเอลิซาเบธที่ 2 ขณะทรงม้าชื่อ ''เบอร์มีส'' ในพิธีสวนสนามเนื่องในวันเฉลิมพระชนมพรรษา ในช่วงของพิธีสวนสนามเนื่องในวันเฉลิมพระชนมพรรษา ค.ศ. 1981 ซึ่งเป็นเวลาเพียงหกสัปดาห์ก่อนพระราชพิธีอภิเษกสมรสระหว่างเจ้าชายชาลส์ เจ้าชายแห่งเวลส์|เจ้าชายแห่งเวลส์กับไดอานา เจ้าหญิงแห่งเวลส์|เลดีไดอานา สเปนเซอร์ มีเสียงปืนดังขึ้นหกนัด โดยปืนเล็งไปที่สมเด็จพระราชินีนาถในระยะประชิดขณะทรงม้าไปตามถนนเดอะมอลล์ (ถนน)|เดอะมอลล์บนม้าทรงชื่อเบอร์มีส ภายหลังตำรวจสืบทราบว่าปืนกระบอกดังกล่าวบรรจุกระสุนเปล่า ผู้ก่อเกตุเป็นเด็กชายอายุ 17 ปีนามว่า มาร์คัส ซาร์เจนต์ ซึ่งถูกตัดสินจำคุกห้าปีและได้รับการปล่อยตัวหลังเวลาผ่านไปสามปี นอกจากนี้ความสงบและทักษะด้านการควบคุมม้าทรงของพระองค์ในเหตุการณ์ดังกล่าวเป็นที่กล่าวสรรเสริญไปทั่วLacey, p. 281; Pimlott, pp. 476–477; Shawcross, p. 192 ตั้งแต่เดือนเมษายนถึงกันยายน พ.ศ. 2525 ทรงกระวนกระวายพระราชหฤทัยBond, p. 115; Pimlott, p. 487 แต่ก็ทรงภูมิใจShawcross, p. 127 ที่พระราชโอรส เจ้าชายแอนดรูว์ทรงรับใช้ชาติในกองทัพอังกฤษในช่วงสงครามฟอล์กแลนด์ ในวันที่ 9 กรกฎาคม ทรงตื่นจากพระบรรทมในพระราชวังบักกิงแฮมและพบว่าไมเคิล เฟแกน บุกรุกเข้ามาในห้องพระบรรทม ทรงมีท่าทีสงบและทรงโทรเรียกตำรวจพระราชวังผ่านทางแผงไฟถึงสองครั้ง ทรงพูดคุยกับไมเคิลผู้ซึ่งนั่งอยู่ปลายแท่นพระบรรทมอยู่นานเจ็ดนาทีก่อนที่ความช่วยเหลือจะมาถึงLacey, pp. 297–298; Pimlott, p. 491 แม้ว่าจะทรงให้การต้อนรับประธานาธิบดีโรนัลด์ เรแกน ณ พระราชวังวินด์เซอร์ในปี ค.ศ. 1982 และเคยเสด็จฯ ไปเยือนบ้านพักส่วนตัวของประธานาธิบดีในแคลิฟอร์เนียในปี ค.ศ. 1983 แต่ก็ทรงกริ้วอย่างมากเมื่อคณะทำงานของประธานาธิบดีเรแกนมีคำสั่งบุกกรีเนดาซึ่งเป็นหนึ่งในประเทศเครือจักรภพโดยไม่ได้มีการแจ้งให้พระองค์ทราบBond, p. 188; Pimlott, p. 497 ช่วงคริสต์ทศวรรษที่ 1980 เกิดความสนใจอย่างแรงกล้าของสื่อมวลชนในพระราชอัธยาศัยและพระราชกิจวัตรประจำวันของพระบรมวงศานุวงศ์ นำไปสู่การเผยแพร่เรื่องราวเหลือเชื่อมากมาย ซึ่งแต่ละเรื่องไม่ถูกต้องอย่างครบถ้วนสมบูรณ์Pimlott, pp. 488–490 เช่นที่เคลวิน แมคเคนซี บรรณาธิการประจำหนังสือพิมพ์ ''เดอะซัน (สหราชอาณาจักร)|เดอะซัน'' กล่าวกับลูกน้องของเขาว่า "เอาข่าวสาดโคลนเกี่ยวกับราชวงศ์สำหรับตีพิมพ์วันจันทร์มาให้ฉันทีสิ ไม่ต้องห่วงถ้าข่าวนั้นจะไม่เป็นความจริง ตราบใดที่ช่วงหลังมานี้ยังคงไม่มีข่าวซุบซิบราชวงศ์ออกมา"Pimlott, p. 521 ด้านบรรณาธิการหนังสือพิมพ์ โดนัลด์ เทรลฟอร์ดเขียนในหนังสือพิมพ์ ''ดิออบเซิร์ฟเวอร์'' ฉบับวันที่ 21 กันยายน ค.ศ. 1986 ว่า "ละครน้ำเน่าเกี่ยวกับพระราชวงศ์บัดนี้ได้มาถึงจุดที่เส้นแบ่งระหว่างข้อเท็จจริงกับนิยายถูกเลือนหาย&nbsp;... ไม่ใช่เพียงแค่บางหนังสือพิมพ์ไม่ตรวจสอบข้อเท็จจริงหรือรับฟังข้อโต้แย้ง แต่พวกเขายังไม่สนใจว่าเรื่องดังกล่าวจะเป็นความจริงหรือไม่อีกด้วย" ในหนังสือพิมพ์ ''เดอะซันเดย์ไทมส์'' ฉบับวันที่ 20 กรกฎาคม ค.ศ. 1986 มีรายงานข่าวอันโด่งดังว่าพระราชินีนาถกังวลพระราชหฤทัยในนโยบายด้านเศรษฐกิจของนายกรัฐมตรีหญิง มาร์กาเรต แทตเชอร์ ว่าจะทำให้สังคมเกิดความแตกแยกซึ่งมีสัญญาณบ่งชี้หลายอย่างเช่น อัตราการว่างงานที่สูง การก่อจลาจลหลายระลอก ความรุนแรงจากกลุ่มคนงานเหมืองที่ประท้วงนัดหยุดงาน รวมไปถึงการที่มาร์กาเรตปฏิเสธการคว่ำบาตรต่อรัฐบาลการถือผิวในประเทศแอฟริกาใต้|ถือผิวในประเทศแอฟริกาใต้ โดยข่าวลือนี้มีที่มาจากเสนาธิการประจำราชสำนัก ไมเคิล ชีอา และผู้สำเร็จราชการประจำเครือจักรภพ ไชร์ดาท แรมพัล แต่ไมเคิลอ้างว่าคำกล่าวของเขาผิดเพี้ยนไปจากบริบทและถูกเสริมแต่งจากการคาดการณ์ส่วนตัวPimlott, pp. 503–515; see also Neil, pp. 195–207 and Shawcross, pp. 129–132 ต่อมาคำกล่าวของมาร์กาเรตก็เป็นที่โจทก์ขานกันไปทั่วเมื่อเธอกล่าวว่า "สมเด็จพระราชินีนาถจะทรงลงคะแนนเสียงให้แก่พรรคสังคมนิยมประชาธิปไตย" ซึ่งเป็นพรรคคู่แข่งของเธอThatcher to Brian Walden quoted in Neil, p. 207; Andrew Neil quoted in Woodrow Wyatt's diary of 26 October 1990 นักชีวประวัติของมาร์กาเรต แทตเชอร์ จอห์น แคมป์เบล อ้างว่า "รายงานชิ้นดังกล่าวเป็นเพียงการสร้างความเสื่อมเสียจากการสื่อสารมวลชน"Campbell, p. 467 ซึ่งเกิดจากการที่สื่อรายงานผิดเพี้ยนจากความจริงเกี่ยวกับประเด็นดังกล่าว ในภายหลังมาร์กาเรต แทตเชอร์จึงแสดงความชื่นชมของเธอที่มีต่อพระราชินีนาถออกมาThatcher, p. 309 และหลังจากที่มาร์กาเรต แทตเชอร์ลาออกจากตำแหน่งนายกรัฐมนตรีโดยมีจอห์น เมเจอร์ ดำรงตำแหน่งเป็นนายกรัฐมนตรีคนใหม่แล้ว สมเด็จพระราชินีนาถเอลิซาเบธที่ 2 ก็ได้พระราชทานเครื่องราชอิสริยาภรณ์เมริตและเครื่องราชอิสริยาภรณ์การ์เตอร์แด่มาร์กาเรต แทตเชอร์ เป็นของขวัญพระราชทานRoberts, p. 101; Shawcross, p. 139 นอกจากนี้อดีตนายกรัฐมนตรีแคนาดา ไบรอัน มัลรอนีย์ กล่าวว่าพระองค์เป็น "พลังขับเคลื่อนเบื่องหลัง" ในการยุติการถือผิวในประเทศแอฟริกาใต้ ในปี ค.ศ. 1987 ในแคนาดา สมเด็จพระราชินีนาถเอลิซาเบธที่ 2 มีพระราชดำรัสว่าทรงสนับสนุนข้อตกลงมีชเลค (Meech Lake Accord) ซึ่งเป็นข้อตกลงที่สร้างความแตกแยกทางการเมือง เป็นข้อตกลงที่โน้มน้าวให้รัฐเกแบ็กยอมรับร่างพระราชบัญญัติแก้ไขรัฐธรรมนูญ ค.ศ. 1982 และยังคงเป็นส่วนหนึ่งของแคนาดาต่อไป ก่อให้เกิดเสียงวิพากษ์วิจารณ์จากฝ่ายต่อต้านการแก้ไขรัฐธรรมนูญ เช่น อดีตนายกรัฐมนตรีปีแยร์ ตรูโด ในปีเดียวกันนั้นเองที่รัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้งของฟีจีถูกรัฐประหารโดยกองทัพ สมเด็จพระราชินีนาถเอลิซาเบธที่ 2 ในฐานะที่เป็นพระมหากษัตริย์ฟีจี ให้การสนับสนุนผู้สำเร็จราชการแห่งฟีจี เพเนเอีย กานิเลา ในการพยายามเจรจาประนีประนอมและยันยันถึงสิทธิ์อันชอบธรรมของรัฐบาล แต่ผู้นำการปฏิวัติ ซิติเวนี ราบูกา กลับเนรเทศผู้สำเร็จราชการและประกาศให้ฟีจีเป็นสาธารณรัฐPimlott, pp. 515–516 ต่อมาในช่วงต้นของปี ค.ศ. 1991 แนวคิดสาธารณรัฐนิยมในสหราชอาณาจักรเพิ่มขึ้นจากรายงานตัวเลขคาดการณ์พระราชทรัพย์ส่วนพระองค์ของสมเด็จพระราชินีนาถซึ่งถูกโต้แย้งโดยสำนักพระราชวัง รวมไปถึงข่าวชีวิตคู่ที่ล้มเหลวของพระบรมวงศานุวงศ์หลายพระองค์Pimlott, pp. 519–534 นอกจากนี้ความเกี่ยวข้องกับเกมโชว์การกุศล ''อิตส์รอยัลน็อคเอาต์'' ของราชนิกุลรุ่นเยาว์ได้รับการเย้ยหยันHardman, p. 81; Lacey, p. 307; Pimlott, pp. 522–526 และสมเด็จพระราชินีนาถก็ทรงตกเป็นเป้าของการเสียดสีล้อเลียนLacey, pp. 293–294; Pimlott, p. 541 === คริสต์ศตวรรษ 1990 === ในปี ค.ศ. 1991 ช่วงที่อังกฤษและสหรัฐอเมริกาได้รับชัยชนะในสงครามอ่าวเปอร์เซีย สมเด็จพระราชินีนาถเอลิซาเบธที่ 2 เสด็จฯ เยือนสหรัฐอเมริกาอีกครั้งและเป็นพระมหากษัตริย์แห่งสหราชอาณาจักรพระองค์แรกที่ได้มีพระราชดำรัสแก่ที่ประชุมร่วมของสภาผู้แทนราษฎรแห่งสหรัฐอเมริกา|สภาผู้แทนราษฎรและวุฒิสภาแห่งสหรัฐอเมริกา|วุฒิสภาสหรัฐอเมริกาPimlott, p. 538 ไฟล์:Bundesarchiv Bild 199-1992-089-19Acropped.jpg|thumb|left|alt=Elizabeth, in formal dress, holds a pair of spectacles to her mouth in a thoughtful pose|เจ้าชายฟิลิปและสมเด็จพระราชินีนาถเอลิซาเบธที่ 2 เดือนตุลาคม ค.ศ. 1992 ในพระราชดำรัสวันที่ 24 พฤศจิกายน ค.ศ. 1992 เนื่องในวโรกาสครองราชสมบัติครบ 40 ปี ทรงกล่าวว่าปี ค.ศ. 1992 เป็น '':en:Annus Horribilis|แอนนัสฮอริบิลิส'' (; ปีแห่งความเลวร้าย) ของพระองค์เนื่องจากมีเหตุการณ์เลวร้ายเกิดขึ้นมากมาย ดังนี้: ในเดือนมีนาคม พระราชโอรสองค์ที่สอง เจ้าชายแอนดรูว์ทรงหย่าร้างกับซาราห์ ดัชเชสแห่งยอร์ก ต่อมาในเดือนเมษายน เจ้าหญิงแอนน์ พระราชกุมารี ก็ทรงหย่าร้างกับพระสวามี มาร์ก ฟิลลิปส์;Lacey, p. 319; Marr, p. 315; Pimlott, pp. 550–551 ในช่วงการเสด็จพระราชดำเนินเยือนเยอรมนีในเดือนตุลาคม กลุ่มผู้ชุมนุมประท้วงผู้โกรธแค้นในเดรสเดินปาไข่ไก่ใส่พระองค์ สาเหตุมาจากปมการทิ้งระเบิดของฝ่ายสัมพันธมิตรในเดรสเดินช่วงสงครามโลกครั้งที่สอง ซึ่งคร่าชีวิตผู้คนไปราว 25,000 คน; ในเดือนพฤศจิกายน พระราชวังวินด์เซอร์ได้รับความเสียหายอย่างหนักจากเหตุอัคคีภัย ด้านสถาบันพระมหากษัตริย์ก็ได้รับเสียงวิพากษวิจารณ์และการจับจ้องจากสาธารณชนมากขึ้นBrandreth, p. 377; Pimlott, pp. 558–559; Roberts, p. 94; Shawcross, p. 204 ในพระราชดำรัสส่วนพระองค์ซึ่งค่อนข้างจากผิดแปลกไปจากปกติ ทรงกล่าวว่าทุก ๆ สถาบันล้วนแล้วแต่ต้องได้รับเสียงวิพากษ์วิจารณ์ไม่เว้นแม้แต่สถาบันพระมหากษัตริย์ แต่การวิพากษ์วิจารณ์ควรกระทำขึ้นบนพื้นฐานของ "อารมณ์ขัน, ความนุ่มนวล และความเข้าอกเข้าใจ"Brandreth, p. 377 สองวันถัดมา นายกรัฐมนตรีจอห์น เมเจอร์ ประกาศแผนปฏิรูปการเงินของพระราชวงศ์ซึ่งตระเตรียมไว้ตั้งแต่ปีก่อนหน้า ในแผนดังกล่าวประกอบด้วยการปฏิรูปต่าง ๆ เช่น การที่สมเด็จพระราชินีนาถจะต้องทรงชำระภาษีเงินได้เป็นครั้งแรกตั้งแต่ปี ค.ศ. 1993 เป็นต้นไป และการตัดลดงบประมาณรายจ่ายสำหรับพระมหากษัตริย์ (Civil list)Bradford, p. 229; Lacey, pp. 325–326; Pimlott, pp. 559–561 ในเดือนธันวาคม เจ้าชายชาลส์ เจ้าชายแห่งเวลส์ และไดอานา เจ้าหญิงแห่งเวลส์ ทรงแยกกันอย่างเป็นทางการBradford, p. 226; Hardman, p. 96; Lacey, p. 328; Pimlott, p. 561 ในช่วงวันท้าย ๆ ของปี 1992 สมเด็จพระราชินีนาถทรงฟ้องร้องหนังสือพิมพ์ ''เดอะซัน'' ฐานละเมิดลิขสิทธิ์ตีพิมพ์ร่างกระแสพระราชดำรัสเนื่องในวันคริสต์มาสสองวันก่อนการออกอากาศทางโทรทัศน์อย่างเป็นทางการ ศาลตัดสินให้หนังสือพิมพ์จ่ายเงินชดเชยแก่พระองค์ตามกฎหมายและบริจาคเงินให้การกุศลกว่า 200,000 ปอนด์Pimlott, p. 562 ในปีถัดมาการเปิดเผยเรื่องราวของเจ้าชายชาลส์และเจ้าหญิงไดอานาต่อสาธารณชนยังคงดำเนินต่อไปBrandreth, p. 356; Pimlott, pp. 572–577; Roberts, p. 94; Shawcross, p. 168 ด้านการเมืองแม้ว่ากระแสสาธารณรัฐนิยมจะมีมากกว่าช่วงใด ๆ ในความทรงจำของพระองค์ แต่ประชาชนที่มีแนวคิดเช่นนี้ก็ยังคงเป็นกลุ่มคนส่วนน้อยของสังคม อีกทั้งการยอมรับสมเด็จพระราชินีนาถของสังคมก็ยังคงมีอยู่สูงMORI poll for ''The Independent'' newspaper, March 1996, quoted in Pimlott, p. 578 and การวิพากษ์วิจารณ์เปลี่ยนจากการจับจ้องแต่เพียงพระราชจริยวัตรและพระราชอัธยาศัยของพระราชินีนาถมาเป็นการจับจ้องสถาบันพระมหากษัตริย์และพระบรมวงศานุวงศ์ในภาพรวมPimlott, p. 578 ในปลายเดือนธันวาคม ค.ศ. 1995 หลังจากทรงปรึกษากับนายกรัฐมนตรีจอห์น เมเจอร์, อาร์ชบิชอปแห่งแคนเทอร์เบอรี จอร์จ เครีย์, ราชเลขาธิการส่วนพระองค์ โรเบิร์ต เฟลโลว์ส และเจ้าชายฟิลิป พระราชสวามี จึงมีพระราชหัตถเลขาถึงเจ้าชายชาลส์และเจ้าหญิงไดอานาว่าโปรดจะให้มีการหย่าร้างอย่างเป็นทางการBrandreth, p. 357; Pimlott, p. 577 หนึ่งปีหลังจากการหย่าร้างซึ่งมีขึ้นในปี ค.ศ. 1996 การสิ้นพระชนม์ของไดอานา เจ้าหญิงแห่งเวลส์|ไดอานา เจ้าหญิงแห่งเวลส์ สิ้นพระชนม์จากอุบัติเหตุทางรถยนต์ในกรุงปารีส 31 สิงหาคม ค.ศ. 1997 ซึ่งพระราชินีนาถทรงอยู่ระหว่างการพักร้อนที่ปราสาทบาลมอรัลกับพระราชโอรสและพระราชนัดดา ในขณะนั้นพระโอรสทั้งสองของเจ้าหญิงไดอานาโปรดที่จะเสด็จไปยังโบสถ์ ดังนั้นพระราชินีนาถและเจ้าชายฟิลิปจึงนำเสด็จฯ ไปยังโบสถ์ในตอนเช้าBrandreth, p. 358; Hardman, p. 101; Pimlott, p. 610 หลังจากการปรากฏพระองค์ในครั้งนั้น ห้าวันต่อมาพระราชินีนาถและเจ้าชายฟิลิปก็ทรงปิดกั้นพระนัดดาทั้งสองจากสื่อที่ให้ความสนใจต่อเหตุการณ์นี้อย่างล้นหลาม โดยประทับ ณ ปราสาทบาลมอรัลที่ซึ่งจะได้ใช้เวลาแห่งความโศกเศร้าเป็นการส่วนพระองค์Bond, p. 134; Brandreth, p. 358; Marr, p. 338; Pimlott, p. 615 แต่การปิดกั้นตัวเองจากสาธารณชนของพระบรมวงศานุวงศ์และการที่พระราชวังบักกิงแฮมไม่ได้การลดธงครึ่งเสา|ลดธงลงครึ่งเสาสร้างความไม่พอใจแก่สาธารณชนเป็นอย่างมากBond, p. 134; Brandreth, p. 358; Lacey, pp. 6–7; Pimlott, p. 616; Roberts, p. 98; Shawcross, p. 8 ต่อมาหลังจากที่ทรงรับทราบกระแสความไม่พอใจ พระราชินีนาถจึงเสด็จฯ กลับลอนดอนและมีพระราชดำรัสแก่ประชาชนซึ่งแพร่ภาพสดไปทั่วโลกในวันที่ 5 กันยายน หนึ่งวันก่อนพระราชพิธีพระศพของเจ้าหญิงไดอานาจะมีขึ้นBrandreth, pp. 358–359; Lacey, pp. 8–9; Pimlott, pp. 621–622 ในกระแสพระราชดำรัสทรงกล่าวชื่นชมเจ้าหญิงไดอานาและความรู้สึกในฐานะ "พระอัยยิกา" ของเจ้าชายวิลเลียม ดยุกแห่งเคมบริดจ์|เจ้าชายวิลเลียมและเจ้าชายแฮร์รีแห่งเวลส์|เจ้าชายแฮร์รีBond, p. 134; Brandreth, p. 359; Lacey, pp. 13–15; Pimlott, pp. 623–624 เป็นผลให้กระแสความไม่พอใจของสาธารณชนที่มีต่อพระบรมวงศานุวงศ์คลี่คลายลง === กาญจนาภิเษก === ไฟล์:George W. Bush toasts Elizabeth II 2007.jpg|thumb|alt=In evening wear, Elizabeth and President Bush hold wine glasses of water and smile|สมเด็จพระราชินีนาถเอลิซาเบธที่ 2 กับประธานาธิบดีจอร์จ ดับเบิลยู. บุช ในงานเลี้ยงพระกระยาหารค่ำ ณ ทำเนียบขาว 7 พฤษภาคม ค.ศ. 2007 ไฟล์:Royal Visit Toronto 2010 5.JPG|thumb|right|alt=Street scene of Elizabeth and spectators|สมเด็จพระราชินีนาถเอลิซาเบธที่ 2 ในฉลองพระองค์สีชมพูขณะทรงพระดำเนินทักทายประชาชน ณ ควีนส์ปาร์ค โทรอนโต 6 กรกฎาคม ค.ศ. 2010 ปี ค.ศ. 2002 ซึ่งเป็นปีเฉลิมฉลองพระราชพิธีกาญจนาภิเษก เจ้าหญิงมาร์กาเรต เคาน์เตสแห่งสโนว์ดอน พระขนิษฐา สิ้นพระชนม์ในเดือนกุมภาพันธ์ ตามมาด้วยการสวรรคตของสมเด็จพระราชินีเอลิซาเบธ พระราชชนนี ในเดือนมีนาคม ทำให้สื่อตั้งคำถามว่าพระราชพิธีกาญจนาภิเษกในปีนี้จะประสบกับความสำเร็จหรือความล้มเหลวBond, p. 156; Bradford, pp. 248–249; Marr, pp. 349–350 และเป็นอีกครั้งที่สมเด็จพระราชินีนาถเอลิซาเบธที่ 2 เสด็จพระราชดำเนินเยือนประเทศเครือจักรภพ โดยเริ่มต้นขึ้นที่จาเมกาในเดือนกุมภาพันธ์ ที่ซึ่งตรัสเรียกการเสด็จฯ ครั้งนั้นว่า "เป็นที่จดจำ" หลังจากที่เกิดเหตุไฟฟ้าขัดข้องจนมืดสนิทไปทั่วบริเวณงานเลี้ยงส่งเสด็จฯ ณ พระตำหนักคิงส์เฮาส์ ซึ่งเป็นที่พำนักอย่างเป็นทางการของผู้สำเร็จราชการแห่งจาเมกาBrandreth, p. 31 ในงานเฉลิมฉลองการครองราชสมบัติครบ 50 ปีในครั้งนี้ มีการเฉลิมฉลองและงานเลี้ยงสังสรรค์บนท้องถนนมากมายเช่นเดียวกับครั้งที่เฉลิมฉลองพระราชพิธีรัชดาภิเษกในปี ค.ศ. 1977 มีอนุสาวรีย์ถูกสร้างขึ้นเพื่อเป็นที่ระลึกการเฉลิมฉลองในครั้งนี้มากมาย และประชาชนกว่าล้านคนออกมาเฉลิมฉลองในงานเฉลิมฉลองอย่างเป็นทางการสามวันของกรุงลอนดอนBond, pp. 166–167 ซึ่งความสนใจของประชาชนต่อพระราชินีนาถและพระราชพิธีนี้มีมากกว่าที่สื่อส่วนมากคาดการณ์ไว้Bond, p. 157 แม้ว่าจะมีพระพลานามัยที่สมบูรณ์แข็งแรงมาตลอดช่วงพระชนม์ชีพ แต่ในปี ค.ศ. 2003 ทรงเข้ารับการผ่าตัดส่องกล้องบริเวณพระชานุ (เข่า) ทั้งสองข้าง ในเดือนตุลาคม ค.ศ. 2006 ก็มิได้เสด็จฯ ไปในงานเปิดสนามเอมิเรตส์สเตเดียมด้วยเพราะทรงมีอาการกล้ามพระปฤษฎางค์ (กล้ามเนื้อหลัง) รัดแน่น ซึ่งทรงมีอาการดังกล่าวมาตั้งแต่ช่วงฤดูร้อน สองเดือนต่อมา เสด็จฯ ออกปรากฏพระองค์ต่อสาธารณชนโดยมีแถบปิดแผลที่บริเวณพระหัตถ์ขวา ทำให้สื่อคาดการณ์กันถึงพระพลานามัยที่เสื่อมลง ต่อมาก็ทรงถูกกัดโดยหนึ่งในสุนัขพันธุ์คอร์กีที่ทรงเลี้ยงไว้เพราะทรงพยายามแยกสุนัขทรงเลี้ยงทั้งสองขณะกำลังกัดกันออกจากกัน ในเดือนพฤษภาคม ค.ศ. 2007 หนังสือพิมพ์ ''เดอะเดลีย์เทเลกราฟ'' รายงานอ้างจากแหล่งข่าวผู้ประสงค์จะไม่ออกนามว่าพระราชินีนาถทรง "ขุ่นเคืองและผิดหวัง" จากนโยบายของนายกรัฐมนตรีโทนี แบลร์ และกังวลพระทัยจากการที่กองทัพสหราชอาณาจักรเข้าไปพัวพันกับความขัดแย้งในอิรักและอัฟกานิสถานมากเกินไป อีกทั้งยังกังวลพระทัยจากประเด็นปัญหาในแถบชนบทและทุรกันดารกับโทนี แบลร์ ซ้ำไปซ้ำมา อย่างไรก็ตาม ทรงชื่นชมโทนี แบลร์ ในความพยายามแสวงหาสันติภาพในไอร์แลนด์เหนือของเขา ในวันที่ 20 มีนาคม ค.ศ. 2008 ณ มหาวิหารเซนต์แทริค อาร์มาจ์ ของคริสจักรแห่งไอร์แลนด์ ทรงเข้าร่วม:en:Royal Maundy|พระราชพิธีวันพฤหัสบดีศักดิ์สิทธิ์ (Royal Maundy) ซึ่งเป็นครั้งแรกที่จัดขึ้นนอกอังกฤษและเวลส์ ในเดือนพฤษภาคม ค.ศ. 2011 เสด็จพระราชดำเนินเยือนไอร์แลนด์ตามคำกราบบังคมทูลเชิญของประธานาธิบดีแมรี แมคอาลีส์ ซึ่งเป็นการเสด็จพระราชดำเนินเยือนสาธารณรัฐไอร์แลนด์เป็นครั้งแรกของพระมหากษัตริย์สหราชอาณาจักรBradford, p. 253 สมเด็จพระราชินีนาถเอลิซาเบธที่ 2 มีพระราชดำรัส ณ ที่สมัชชาใหญ่สหประชาชาติเป็นครั้งที่สองในปี ค.ศ. 2010 ในฐานะที่เป็นพระประมุขแห่งประเทศเครือจักรภพ เลขาธิการสหประชาชาติ พัน กีมุน กล่าวสดุดีพระองค์ว่าเป็น "เสาหลักสำหรับยุคของเรา" ในระหว่างการเสด็จฯ เยือนนครนิวยอร์กซึ่งตามมาด้วยการเสด็จฯ เยือนแคนาดา เสด็จฯ ไปทรงเปิดสวนอนุสรณ์ระลึกถึงเหยื่อผู้เสียชีวิตชาวอังกฤษจากวินาศกรรม 11 กันยายน พ.ศ. 2544|เหตุวินาศกรรม 11 กันยายน ต่อมาเสด็จพระราชดำเนินเยือนออสเตรเลียในปีเดียวกัน ซึ่งเป็นครั้งที่ 16 นับตั้งแต่ ค.ศ. 1954 และได้รับการขนานนามจากสื่อว่าเป็น "การเสด็จฯ เยือนอำลา" เนื่องจากพระองค์มีพระพรรษามากแล้ว === พัชราภิเษก === ไฟล์:West Midlands Police - Diamond Jubilee Visit (7555593638).jpg|thumb|สมเด็จพระราชินีนาถเอลิซาเบธที่ 2 เสด็จฯไปยัง พระราชวังบักกิงแฮม เมื่อเดือนกรกฎาคม ค.ศ. 2012 ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของทัวร์พระราชพิธีพัชราภิเษกของพระองค์ ในปี ค.ศ. 2012 เป็นปีที่ทรงเฉลิมฉลองการครองสิริราชสมบัติครบ 60 ปี (พระราชพิธีพัชราภิเษกแบบอังกฤษ) ซึ่งจัดขึ้นในทุกประเทศเครือจักรภพ ในกระแสพระราชดำรัสที่เผยแพร่ในวันคล้ายวันเสด็จขึ้นครองราชสมบัติ ทรงกล่าวว่า: "ในปีแห่งความพิเศษนี้ ขณะที่ข้าพเจ้าอุทิศตัวเองรับใช้พวกท่านทั้งหลายอีกครั้ง ข้าพเจ้าหวังว่าพวกเราทุกคนจะยังคงระลึกถึงพลานุภาพของความเป็นน้ำหนึ่งใจเดียว และการรวบรวมพละกำลังของครอบครัว, มิตรภาพ และความเป็นเพื่อนบ้านที่ดี&nbsp;... ข้าพเจ้าหวังว่าในปีพัชราภิเษกนี้จะเป็นปีสำหรับการมอบคำขอบคุณสำหรับความก้าวหน้าอันยิ่งใหญ่ที่เกิดขึ้นตั้งแต่ ค.ศ. 1952 และมองไปยังอนาคตด้วยหัวสมองอันปลอดโปร่งและหัวใจอันอบอุ่น" พระองค์และพระราชสวามิได้เสด็จพระราชดำเนินเยือนไปทั่วสหราชอาณาจักร ในขณะที่พระราชโอรส-ธิดาและพระราชนัดดาหลายพระองค์ เสด็จเยือนประเทศในเครือจักรภพอื่น ๆ ในพระนามของสมเด็จพระราชินีนาถ ต่อมาในวันที่ 4 มิถุนายน ดวงประทีปแห่งการเฉลิมฉลองก็จุดขึ้นทั่วโลก ไฟล์:Queen Elizabeth II 2015 HO3.jpg|left|thumb|upright|สมเด็จพระราชินีนาถเอลิซาเบธที่ 2 เสด็จฯไปยังกระทรวงมหาดไทย (สหราชอาณาจักร)|กระทรวงมหาดไทย เมื่อปี ค.ศ. 2015 สมเด็จพระราชินีนาถเอลิซาเบธที่ 2 เสด็จพระราชดำเนินไปทรงเปิดการแข่งขันกีฬาโอลิมปิกฤดูร้อน 2012 ในวันที่ 27 กรกฎาคม และพาราลิมปิกฤดูร้อน 2012 ในวันที่ 29 สิงหาคม ที่จัดขึ้น ณ กรุงลอนดอน สหราชอาณาจักร นอกจากนี้ยังทรงร่วมแสดงคู่กับแดเนียล เคร็ก ผู้รับบทเป็นสายลับเจมส์ บอนด์ ในภาพยนตร์สั้นซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของพิธีเปิดโอลิมปิกฤดูร้อน 2012http://www.bbc.co.uk/news/uk-19018666 How James Bond whisked the Queen to the Olympics at BBC ด้านพระราชบิดา สมเด็จพระเจ้าจอร์จที่ 6 ทรงเคยเปิดการแข่งกันกีฬาโอลิมปิกฤดูร้อน 1948 ส่วนพระปัยกา (ปู่ทวด) สมเด็จพระเจ้าเอ็ดเวิร์ดที่ 7 แห่งสหราชอาณาจักร|สมเด็จพระเจ้าเอ็ดเวิร์ดที่ 7 ก็ทรงเคยเปิดการแข่งขันกีฬาโอลิมปิกฤดูร้อน 1908 ซึ่งสมเด็จพระราชินีนาถเอลิซาเบธที่ 2 ทรงเคยเสด็จฯ ไปทรงเปิดการแข่งขันกีฬาโอลิมปิกฤดูร้อน 1976 ที่มอนทรีออล|นครมอนทรีออล ประเทศแคนาดามาแล้วครั้งหนึ่ง ด้านพระราชสวามี เจ้าชายฟิลิป ดยุกแห่งเอดินบะระ|เจ้าชายฟิลิป ก็เคยเสด็จฯ ไปทรงเปิดการแข่งขันกีฬาโอลิมปิกฤดูร้อน 1956 ที่เมลเบิร์น|นครเมลเบิร์น ประเทศออสเตรเลียด้วยเช่นกัน ทำให้สมเด็จพระราชินีนาถเอลิซาเบธที่ 2 เป็นพระประมุขแห่งรัฐพระองค์แรกที่ได้ทรงเปิดการแข่งขันกีฬาโอลิมปิก 2 ครั้งใน 2 ประเทศ ในวันที่ 18 ธันวาคม เสด็จพระราชดำเนินไปร่วมการประชุมของคณะรัฐมนตรี ซึ่งนับเป็นพระมหากษัตริย์สหราชอาณาจักรพระองค์แรกที่เสด็จฯ ไปร่วมการประชุมของคณะรัฐมนตรีในสภาวะไร้สงครามนับตั้งแต่การเสด็จฯ ของสมเด็จพระเจ้าจอร์จที่ 3 แห่งสหราชอาณาจักร|สมเด็จพระเจ้าจอร์จที่ 3 ในปี ค.ศ. 1781 ต่อมาไม่นานรัฐมนตรีต่างประเทศสหราชอาณาจักร วิลเลียม เฮก ก็ประกาศให้ดินแดนตอนใต้ของบริติชแอนตาร์กติกเทร์ริทอรี|ดินแดนแอนตาร์กติกาของสหราชอาณาจักรที่ยังไม่ได้รับการตั้งชื่อเป็น ''เอลิซาเบธแลนด์'' เพื่อเป็นเกียรติแด่สมเด็จพระราชินีนาถ ในวันที่ 3 มีนาคม ค.ศ. 2013 เสด็จฯ ไปประทับในโรงพยาบาลเพื่อการเฝ้าประเมินอย่างใกล้ชิด หลังจากการกำเริบของพระอาการประชวรด้วยโรคกระเพาะอาหารกับลำไส้อักเสบ ก่อนที่จะเสด็จฯ กลับไปประทับ ณ พระราชวังบักกิงแฮมในวันถัดมา หนึ่งสัปดาห์ต่อมาทรงลงพระปรมาภิไธยในกฎบัตรใหม่ของเครือจักรภพ เนื่องจากพระชนมพรรษาที่มากขึ้นทำให้ต้องจำกัดการปฏิบัติพระราชกรณียกิจ ในปีนั้นเอง พระองค์ตัดสินพระทัยที่จะไม่เสด็จฯร่วมการประชุมรัฐบาลของเครือจักรภพเป็นครั้งแรกในรอบ 40 ปี โดยทรงโปรดเกล้าฯให้ เจ้าชายชาลส์ เสด็จฯแทนพระองค์ในการประชุมที่ประเทศศรีลังกา|ศรีลังกา สมเด็จพระราชินีนาถเอลิซาเบธที่ 2 ทรงครองราชย์ยาวนานแซงหน้าสมเด็จพระราชินีนาถวิกตอเรีย ผู้เป็นพระมารดาของพระปัยกา (ทวด) ของพระองค์ เป็นพระราชวงศ์อังกฤษที่มีพระชนมายุมากที่สุด เมื่อเดือนธันวาคม ค.ศ. 2007 เป็นพระมหากษัตริย์สหราชอาณาจักรที่ครองราชย์ยาวนานที่สุดในประวัติศาสตร์อังกฤษ เมื่อวันที่ 9 กันยายน ค.ศ. 2015 พระองค์ได้รับการเฉลิมฉลองที่แคนาดาในฐานะ ''"ประมุขที่ดำรงตำแหน่งยาวนานที่สุดในยุคสมัยใหม่ของแคนาดา"'' (พระเจ้าหลุยส์ที่ 14 แห่งฝรั่งเศส เป็นพระประมุขของแคนาดายาวนานกว่าสมัยที่เป็นอาณานิคมของฝรั่งเศส) พระองค์ยังเป็นพระราชินีนาถที่ทรงราชย์นานที่สุดในประวัติศาสตร์ และพระองค์ทรงเป็นรายพระนามพระมหากษัตริย์ซึ่งทรงราชย์อยู่เรียงตามอายุรัชกาล|พระมหากษัตริย์ที่ยังทรงราชย์ยาวนานที่สุดในโลก หลังจากการสวรรคตของพระบาทสมเด็จพระมหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร เมื่อวันที่ 13 ตุลาคม พ.ศ. 2559 (ค.ศ. 2016) วันที่ 6 กุมภาพันธ์ ค.ศ. 2017 พระองค์เป็นพระมหากษัตริย์สหราชอาณาจักร พระองค์แรกที่มีการจัดงานฉลองสิริราชสมบัติครบ 65 ปี พระองค์ไม่มีพระราชประสงค์ที่จะสละราชสมบัติBrandreth, pp. 370–371; Marr, p. 395 แม้ว่าสัดส่วนของพระราชกรณียกิจสาธารณะของเจ้าชายชาลส์ ผู้ทรงฉลองวันเฉลิมพระชนมพรรษาครบ 91 พรรษาและปฏิบัติพระราชกรณียกิจสาธารณะแทนพระองค์เพิ่มขึ้นMarr, p. 395 ขณะที่สมเด็จพระราชินีนาถลดพระราชกรณียกิจสาธารณะของพระองค์ลง ปฏิบัติการสะพานลอนดอน|แผนสำหรับวันสวรรคตและงานพระศพของพระองค์ได้รับการเตรียมพร้อมอย่างแพร่หลายจากรัฐบาลอังกฤษและองค์กรสื่อ == สวรรคต == ในวันที่ 8 กันยายน 2022 สำนักพระราชวังประกาศว่าสมเด็จพระราชินีนาถประชวรและอยู่ภายใต้การเข้าเฝ้ารักษาพระวรกายอย่างใกล้ชิดที่บาลมอรัล โดยในประกาศระบุว่า "คณะแพทย์มีความกังวลต่อพระพลานามัยของพระองค์เป็นอย่างมาก และได้แนะนำให้สมเด็จพระราชินีนาถอยู่ภายใต้การดูแลทางการแพทย์อย่างใกล้ชิด อย่างไรก็ตามพระองค์ยังทรงพระเกษมสำราญ และประทับที่ปราสาทแบลมอรัล" โดยมีพระราชโอรสและพระราชธิดาทั้งสี่ของพระองค์ พร้อมด้วยพระสุณิสา เสด็จไปพร้อมกับพระองค์ ในช่วงเย็นวันเดียวกัน สำนักพระราชวังได้ประกาศว่าพระองค์เสด็จสวรรคต ปฏิบัติการสะพานลอนดอน เริ่มทันทีหลังพระองค์สวรรคต ไฟล์:Memorials at the Death of Queen Elizabeth II inside Oxford Circus Station.jpg|thumb|200px|left|การไว้อาลัยที่ สถานีรถไฟใต้ดินอ็อกฟอร์ดเซอร์คัส การสวรรคตของพระองค์นั้นถูกระบุในใบมรณบัตรด้วยสาเหตุ "ชราภาพ" ซึ่งเป็นพระโรคเดียวกับเจ้าชายฟิลิป ดยุกแห่งเอดินบะระ|เจ้าชายฟิลิป พระราชสวามีของพระองค์https://edition.cnn.com/2022/09/29/uk/queen-elizabeth-cause-of-death-intl-scli-gbrhttps://www.theguardian.com/uk-news/2022/sep/29/queen-elizabeth-died-of-old-age-death-certificate-says == มุมมองจากสาธารณชน == เนื่องจากพระองค์พระราชทานสัมภาษณ์น้อยครั้งทำให้สาธารณชนทราบถึงพระราชอัธยาสัยส่วนพระองค์ได้น้อยมาก และในฐานะที่เป็นพระมหากษัตริย์ภายใต้รัฐธรรมนูญ ทำให้ไม่สามารถแสดงทัศนะทางการเมืองส่วนพระองค์ในที่สาธารณะได้ ทรงมีพันธกิจด้านศาสนาและสังคมที่หยั่งรากลึกในพระราชหฤทัย อีกทั้งยังทรงกล่าวพระราชดำรัสสาบานพระองค์ในวันขึ้นเถลิงถวัลย์ราชสมบัติอย่างจริงจังShawcross, pp. 194–195 นอกเหนือจากการที่เป็นประมุขสูงสุดแห่งคริสตจักรแห่งอังกฤษอย่างเป็นทางการแล้ว พระองค์ยังทรงเลื่อมใสในคริสตจักรแห่งอังกฤษและคริสตจักรแห่งสกอตแลนด์เป็นการส่วนพระองค์อีกด้วย และยังทรงแสดงให้เห็นถึงความสัมพันธ์ที่ทรงมีต่อศาสนาอื่น ๆ ด้วยการพบปะกับผู้นำนิกายและศาสนาต่าง ๆ เช่น การที่ทรงพบปะกับพระสันตะปาปาผู้นำคริสตจักรโรมันคาทอลิกถึงสี่พระองค์ ได้แก่ สมเด็จพระสันตะปาปายอห์นที่ 23, สมเด็จพระสันตะปาปายอห์น ปอลที่ 2, สมเด็จพระสันตะปาปาเบเนดิกต์ที่ 16 และสมเด็จพระสันตะปาปาฟรานซิส ความศรัทธาเลื่อมใสในศาสนาของพระองค์ปรากฏให้เห็นบ่อยครั้งในพระราชดำรัสผ่านทางโทรทัศน์เนื่องในวันคริสต์มาสต์ซึ่งถ่ายทอดไปยังประเทศเครือจักรภพเป็นประจำทุกปี เช่นในปี 2000 ที่มีพระราชดำรัสถึงความสำคัญของคริสต์สหัสวรรษที่ 2 อันเป็นปีที่การประสูติของพระเยซูครบรอบ 2000 ปี ดังนี้ quote|สำหรับพวกเราหลายคน ความเชื่อเป็นหนึ่งในความสำคัญขั้นพื้นฐาน สำหรับข้าพเจ้าแล้ว การสั่งสอนของพระเยซูคริสต์และความรับผิดชอบส่วนตัวของข้าพเจ้าที่มีต่อพระเจ้า ได้นำมาซึ่งแนวทางที่ข้าพเจ้าพยายามจะใช้เป็นแนวทางในการดำเนินชีวิต ข้าพเจ้า เฉกเช่นเดียวกับพวกท่านทั้งหลาย ได้รับความสุขสบายในช่วงเวลาที่ยากลำบากจากคำสั่งสอนและตัวอย่างของพระเยซูคริสต์Shawcross, pp. 236–237 ไฟล์:President Reagan and Queen Elizabeth II 1982.jpg|thumb|250px|left|alt=Elizabeth and Ronald Reagan on black horses. He bare-headed; she in a headscarf; both in tweeds, jodhpurs and riding boots.|สมเด็จพระราชินีนาถเอลิซาเบธที่ 2 ขณะทรงม้าพร้อมกับประธานาธิบดีโรนัลด์ เรแกน ณ วินด์เซอร์ ค.ศ. 1982 พระองค์ทรงเป็นผู้อุปถัมภ์องค์กรและมูลนิธิต่าง ๆ มากกว่า 600 แห่ง ส่วนการพักผ่อนที่ทรงสนพระราชหฤทัยโดยหลัก ๆ ได้แก่ การขี่ม้าและสุนัขทรงเลี้ยง โดยเฉพาะสุนัขพันธุ์เพ็มโบรคเวลช์คอร์กี ความสนพระราชหฤทัยในสุนัขพันธุ์คอร์กีนี้เริ่มต้นในปี ค.ศ. 1933 กับสุนัขทรงเลี้ยงที่ชื่อ "ดูกี" ซึ่งเป็นสุนัขพันธุ์คอร์กีตัวแรกที่พระราชวงศ์ของพระองค์ทรงเลี้ยงไว้ นอกจากนี้ ภาพพระราชอิริยาบถส่วนพระองค์ยามพักผ่อนและชีวิตประจำวันส่วนพระองค์ก็มีปรากฏให้เห็นอยู่เป็นครั้งคราว เช่น การที่สมเด็จพระราชินีนาถเอลิซาเบธที่ 2 และพระบรมวงศานุวงศ์พระองค์อื่น ๆ ทรงตระเตรียมพระกระยาหารด้วยกันและทรงล้างจานด้วยกันหลังเสวยพระกระยาหารเสร็จสิ้น ในช่วงคริสต์ทศวรรษที่ 1950 ที่เสด็จขึ้นครองราชสมบัติเมื่อยังทรงพระเยาว์ ทรงได้รับการกล่าวขานราวกับเป็น "ราชินีในเทพนิยาย"Bond, p. 22 ภายหลังความชอกช้ำจากสงครามโลก อังกฤษก็เข้าสู่ยุคแห่งความหวัง เป็นช่วงสมัยของการพัฒนาและความสำเร็จที่ได้รับการขนานนามว่า "สมัยเอลิซาเบธใหม่"Bond, p. 35; Pimlott, p. 180; Roberts, p. 82; Shawcross, p. 50 John Grigg (writer)|ลอร์ดอัลตรินแชมกล่าวหาพระราชดำรัสของพระองค์ในปี ค.ศ. 1957 ว่าฟังเหมือนกับเสียงของ "เด็กนักเรียนหญิงผู้โอ้อวด" ซึ่งเป็นคำวิจารณ์ที่พบได้น้อยครั้งมากBond, p. 35; Pimlott, p. 280; Shawcross, p. 76 ในช่วงปลายคริสต์ทศวรรษที่ 1960 มีความพยายามมากขึ้นในการสร้างภาพราชวงศ์ยุคใหม่ในสารคดีโทรทัศน์เรื่อง "Royal Family (film)|รอยัลแฟมิลี" ซึ่งอำพรางเจ้าชายชาลส์ด้วยพระนาม "เจ้าชายแห่งเวลส์"Bond, pp. 66–67, 84, 87–89; Bradford, pp. 160–163; Hardman, pp. 22, 210–213; Lacey, pp. 222–226; Marr, p. 237; Pimlott, pp. 378–392; Roberts, pp. 84–86 พระราชินีนาถเอลิซาเบธทรงฉลองพระองค์ในที่สาธารณะด้วยฉลองพระองค์ที่ส่วนใหญ่เป็นสีเดียวพร้อมด้วยพระมาลา (หมวก) ประดับลูกไม้ ทำให้ประชาชนสามารถสังเกตเห็นพระองค์ได้โดยง่าย ในพระราชพิธีรัชดาภิเษก ค.ศ. 1977 ฝูงชนและการเฉลิมฉลองนับว่ามีชีวิตชีวาอย่างแท้จริงBond, p. 97; Bradford, p. 189; Pimlott, pp. 449–450; Roberts, p. 87; Shawcross, pp. 114–117 แต่ถัดมาในช่วงคริสต์ทศวรรษที่ 1980 เสียงวิพากษ์วิจารณ์พระราชวงศ์เพิ่มมากขึ้นจากการที่ชีวิตส่วนพระองค์และชีวิตการทรงงานของบรรดาพระราชโอรส-พระราชธิดาอยู่ภายใต้การพินิจพิเคราะห์ของสื่อBond, p. 117; Roberts, p. 91 ความนิยมของประชาชนต่อสมเด็จพระราชินีนาถตกต่ำถึงขีดสุดในช่วงคริสต์ทศวรรษที่ 1990 และด้วยแรงกดดันจากความคิดเห็นของสาธารณชน พระองค์จึงทรงเริ่มชำระภาษีเงินได้เป็นครั้งแรก อีกทั้งยังเป็นครั้งแรกที่พระราชวังบักกิงแฮมเปิดให้ประชาชนทั่วไปเข้าเยี่ยมชมBond, p. 134; Pimlott, pp. 556–561, 570 ความไม่พอใจต่อระบอบกษัตริย์ดำเนินมาถึงจุดสูงสุดเมื่อการสิ้นพระชนม์ของไดอานา เจ้าหญิงแห่งเวลส์|ไดอานา เจ้าหญิงแห่งเวลส์สิ้นพระชนม์ แม้กระนั้นก็ตาม ความนิยมในสมเด็จพระราชินีนาถและแรงสนับสนุนในระบอบกษัตริย์ก็ฟื้นคืนกลับมาหลังพระองค์มีพระราชดำรัสถ่ายทอดสดทางโทรทัศน์ไปทั่วโลกหลังจากการสิ้นพระชนม์ของเจ้าหญิงแห่งเวลส์ 5 วันBond, p. 134; Pimlott, pp. 624–625 ในเดือนพฤศจิกายน ค.ศ. 1999 มีการลงประชามติว่าด้วยสาธารณรัฐออสเตรเลีย พ.ศ. 2542|การลงประชามติในออสเตรเลียว่าด้วยอนาคตของราชาธิปไตยของออสเตรเลีย|สถาบันพระมหากษัตริย์ออสเตรเลีย ผลที่ออกมาได้บ่งบอกถึงความต้องการที่จะรักษาไว้ซึ่งประมุขของประเทศที่ไม่ได้มาจากการเลือกตั้งโดยตรงHardman, p. 310; Lacey, p. 387; Roberts, p. 101; Shawcross, p. 218 จากการสำรวจความคิดเห็นในสหราชอาณาจักรในปี 2006 และ 2007 พบว่ายังคงมีแรงสนับสนุนในสมเด็จพระราชินีนาถอยู่มาก ส่วนผลการลงประชามติว่าด้วยรัฐธรรมนูญตูวาลู พ.ศ. 2551|การลงประชามติในตูวาลู ค.ศ. 2008 และการลงประชามติว่าด้วยรัฐธรรมนูญเซนต์วินเซนต์และเกรนาดีนส์ พ.ศ. 2552|การลงประชามติในเซนต์วินเซนต์และเกรนาดีนส์ ค.ศ. 2009 ยืนยันถึงความต้องการของทั้งสองประเทศที่ปฏิเสธการเปลี่ยนระบอบการปกครองไปเป็นสาธารณรัฐ === การเงิน === ไฟล์:Sandringham House garden.jpg|thumb|right|พระตำหนักซานดริงแฮม ที่ประทับส่วนพระองค์ของสมเด็จพระราชินีนาถเอลิซาเบธที่ 2 ในซานดริงแฮม, นอร์ฟอร์ก การติดตามพระราชทรัพย์ส่วพระองค์ของสมเด็จพระราชินีนาถเอลิซาเบธที่ 2 ดำเนินมาหลายปี นิตยสารฟอบส์ประเมินพระราชทรัพย์ส่วนพระองค์ในปี ค.ศ. 2010 ว่ามีมูลค่าสุทธิราว 450 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ แต่แถลงการณ์สำนักพระราชวังบักกิงแฮมในปี 1993 กล่าวว่าการประเมินพระราชทรัพย์ไว้ที่ 100 ล้านปอนด์นั้นเป็น "การกล่าวเกินจริงอย่างมากมาย"Lord Chamberlain David Ogilvy, 13th Earl of Airlie|Lord Airlie quoted in Hoey, p. 225 and Pimlott, p. 561 จ็อค โคลวิลล์ อดีตราชเลขาธิการส่วนพระองค์และอดีตผู้อำนวยการธนาคารส่วนพระองค์ ''คุตส์'' (Coutts) ประเมินทรัพย์สินส่วนพระองค๋ในปี 1971 ไว้ที่ 2 ล้านปอนด์ (เทียบเท่าประมาณ 21 ล้านปอนด์ในปัจจุบัน)Pimlott, p. 401 องค์สมเด็จพระราชินีนาถไม่ได้ทรงครอบครองงานสะสมศิลปะหลวงของพระราชวงศ์อังกฤษ|งานสะสมศิลปะหลวง (ซึ่งรวมถึงงานศิลปะและเครื่องราชกกุธภัณฑ์แห่งสหราชอาณาจักร|เครื่องราชกกุธภัณฑ์) แต่มีการถือครองตามกฎหมายทรัสต์ ด้านอสังหาริมทรัพย์ที่ประทับอย่างพระราชวังบักกิงแฮม, พระราชวังวินด์เซอร์ และดัชชีแลงแคสเตอร์ มีมูลค่าในปี 2011 ที่ 383 ล้านปอนด์ ส่วนพระตำหนักซานดริงแฮมและปราสาทแบลมอรัลองค์สมเด็จพระราชินีนาถทรงถือครองเป็นการส่วนพระองค์ พระราชทรัพย์ของพระมหากษัตริย์สหราชอาณาจักร (The British Crown Estate) ซึ่งมีมูลค่าในปี 2011 รวมกันทั้งสิ้น 7.3 พันล้านปอนด์ ได้รับการถือครองไว้ในกฎหมายทรัสต์ไว้เป็นสมบัติของชาติ สมเด็จพระราชินีนาถทรงไม่สามารถจำหน่ายพระราชทรัพย์เหล่านี้ได้เป็นการส่วนพระองค์ == พระบรมราชอิสริยยศและตราอาร์ม == === พระบรมราชอิสริยยศ === สมเด็จพระราชินีนาถเอลิซาเบธที่ 2 ทรงดำรงพระราชอิสริยยศและตำแหน่งทางการทหารในประเทศเครือจักรภพมากมาย เป็นผู้พระราชทานเครื่องราชอิสริยาภรณ์ในประเทศของพระองค์ ทรงได้รับการถวายพระเกียรติและรางวัลมากมายจากทั่วโลก และมีพระราชอิสริยยศเป็นการเฉพาะในแต่ละประเทศ เช่น สมเด็จพระราชินีนาถแห่งจาเมกา, สมเด็จพระราชินีนาถแห่งออสเตรเลีย ฯลฯ เป็นต้น นอกจากนี้ยังทรงดำรงตำแหน่งอื่น ๆ เช่น อัครศาสนูปถัมภก เมื่อพระราชินีนาถมีพระราชปฏิสันธานกับเรา ควรเริ่มเอ่ยถึงพระองค์ด้วยคำว่า Your Majesty (ฝ่าพระบาท) หลังจากนั้นจึงค่อยใช้คำว่า Ma'am (ท่าน) ในการกล่าวถึงพระองค์ ลำดับฐานันดรศักดิ์ที่ทรงได้พระกรุณาโปรดเกล้าฯสถาปนาและได้ทรงดำรงตลอดช่วงพระชนม์ชีพมีดังต่อไปนี้ : * 21 เมษายน 1926 – 11 ธันวาคม 1936: ''เฮอร์รอยัลไฮเนส'' เจ้าหญิงเอลิซาเบธแห่งยอร์ก ''(Her Royal Highness Princess Elizabeth of York)'' * 11 ธันวาคม 1936 – 20 พฤศจิกายน 1947: ''เฮอร์รอยัลไฮเนส'' เจ้าหญิงเอลิซาเบธ ''(Her Royal Highness The Princess Elizabeth)'' * 20 พฤศจิกายน 1947 – 6 กุมภาพันธ์ 1952: ''เฮอร์รอยัลไฮเนส'' เจ้าหญิงเอลิซาเบธ ดัชเชสแห่งเอดินบะระ ''(Her Royal Highness The Princess Elizabeth, Duchess of Edinburgh)'' * 6 กุมภาพันธ์ 1952 – 8 กันยายน 2022: ''เฮอร์มาเจสตี'' สมเด็จพระราชินีนาถ ''(Her Majesty The Queen)'' === ตราอาร์ม === ตั้งแต่วันที่ 21 เมษายน ค.ศ. 1945 จนกระทั่งเสด็จขึ้นครองราชย์ ตราอาร์มประจำพระองค์ของสมเด็จพระราชินีนาถเอลิซาเบธที่ 2 แห่งสหราชอาณาจักรประกอบด้วย ตราแผ่นดินของสหราชอาณาจักรในรูปทรงข้าวหลามตัด (มุทราศาสตร์)|ข้าวหลามตัดพร้อมด้วยบังเหียน (มุทราศาสตร์)|บังเหียนสีเงิน (มุทราศาสตร์)|สีเงินสามพู่ พู่กลางเป็นตรากุหลาบทิวดอร์ ส่วนอีกสองพู่เป็นตรากางเขนแห่งเซนต์จอร์จ หลังจากการเสด็จขึ้นครองราชย์ ทรงสืบทอดตราอาร์มที่พระราชบิดาทรงถือครองในฐานะพระมหากษัตริย์ นอกจากนี้ยังทรงครอบครองธงพระอิสริยยศและธงประจำพระองค์เพื่อใช้ในสหราชอาณาจักร, แคนาดา, ออสเตรเลีย, นิวซีแลนด์, จาเมกา, บาร์เบโดส และประเทศเครือจักรภพอื่น ๆ | border="0" align="center" width="100%" |- !width=20% |ไฟล์:Coat of Arms of Elizabeth, Heiress Presumptive (1944-1947).svg|center|215px !width=20% |ไฟล์:Coat of Arms of Elizabeth, Duchess of Edinburgh (1947-1952).svg|center|215px !width=20% |ไฟล์:Royal Coat of Arms of the United Kingdom (St Edward's Crown).svg|center|180px !width=20% |ไฟล์:Royal Coat of Arms of the United Kingdom (Scotland).svg|center|180px !width=20% |ไฟล์:Royal Coat of Arms of Canada.svg|center|145px |- |ตราอาร์มประจำพระองค์เจ้าหญิงเอลิซาเบธ (ค.ศ. 1944-1947) |ตราอาร์มประจำพระองค์เจ้าหญิงเอลิซาเบธ ดัชเชสแห่งเอดินบะระ (ค.ศ. 1947-1952) |ตราแผ่นดินของสหราชอาณาจักร|ตราอาร์มประจำพระองค์สมเด็จพระราชินีนาถเอลิซาเบธที่ 2 ในสหราอาณาจักร (ยกเว้นในสกอตแลนด์) |ตราแผ่นดินของสกอตแลนด์|ตราอาร์มประจำพระองค์สมเด็จพระราชินีนาถเอลิซาเบธที่ 2 ในสกอตแลนด์ |ตราแผ่นดินของแคนาดา|ตราอาร์มประจำพระองค์สมเด็จพระราชินีนาถเอลิซาเบธที่ 2 ในแคนาดา (หนึ่งในสามแบบที่ใช้ในรัชกาลของพระองค์) efn|name=arms|Canada has used three different versions of the arms during her reign. This version was used between 1957 and 1994. | == พงศาวลี == == ดูเพิ่ม == * รายนามประมุขแห่งรัฐและหัวหน้ารัฐบาลปัจจุบัน * รายพระนามพระมหากษัตริย์ที่มีพระราชทรัพย์มากที่สุดในโลก * รายพระนามกษัตริย์แห่งหมู่เกาะอังกฤษ * รายพระนามพระมหากษัตริย์สหราชอาณาจักร * รายพระนามพระมหากษัตริย์ทั่วโลกเรียงตามวันเสด็จขึ้นครองราชย์ == อ้างอิง == == บรรณานุกรม == * Bond, Jennie (2006). ''Elizabeth: Eighty Glorious Years''. London: Carlton Publishing Group. ISBN 1-84442-260-7 * Bousfield, Arthur; Toffoli, Gary (2002). ''Fifty Years the Queen''. Toronto: Dundurn Press. ISBN 1-55002-360-8 * Bradford, Sarah (2012). ''Queen Elizabeth II: Her Life in Our Times''. London: Penguin. ISBN 978-0-670-91911-6 * Brandreth, Gyles (2004). ''Philip and Elizabeth: Portrait of a Marriage''. London: Century. ISBN 0-7126-6103-4 * Briggs, Asa (1995). ''The History of Broadcasting in the United Kingdom: Volume 4''. Oxford: Oxford University Press. ISBN 0-19-212967-8 * Campbell, John (2003). ''Margaret Thatcher: The Iron Lady''. London: Jonathan Cape. ISBN 0-224-06156-9 * Crawford, Marion (1950). ''The Little Princesses''. London: Cassell & Co. * Hardman, Robert (2011). ''Our Queen''. London: Hutchinson. ISBN 978-0-09-193689-1 * Heald, Tim (2007). ''Princess Margaret: A Life Unravelled''. London: Weidenfeld & Nicolson. ISBN 978-0-297-84820-2 * Hoey, Brian (2002). ''Her Majesty: Fifty Regal Years''. London: HarperCollins. ISBN 0-00-653136-9 * Lacey, Robert (2002). ''Royal: Her Majesty Queen Elizabeth II''. London: Little, Brown. ISBN 0-316-85940-0 * Macmillan, Harold (1972). ''Pointing The Way 1959–1961'' London: Macmillan. ISBN 0-333-12411-1 * Marr, Andrew (2011). ''The Diamond Queen: Elizabeth II and Her People''. London: Macmillan. ISBN 978-0-230-74852-1 * Neil, Andrew (1996). ''Full Disclosure''. London: Macmillan. ISBN 0-333-64682-7 * Nicolson, Sir Harold (1952). ''King George the Fifth: His Life and Reign''. London: Constable & Co. * Petropoulos, Jonatha (2006). ''Royals and the Reich: the princes von Hessen in Nazi Germany''. New York: Oxford University Press. ISBN 0-19-516133-5 * Pimlott, Ben (2001). ''The Queen: Elizabeth II and the Monarchy''. London: HarperCollins. ISBN 0-00-255494-1 * Roberts, Andrew; Edited by Antonia Fraser (2000). ''The House of Windsor''. London: Cassell & Co. ISBN 0-304-35406-6 * Shawcross, William (2002). ''Queen and Country''. Toronto: McClelland & Stewart. ISBN 0-7710-8056-5 * Thatcher, Margaret (1993). ''The Downing Street Years''. London: HarperCollins. ISBN 0-00-255049-0 * Trudeau, Pierre Elliott (1993). ''Memoirs''. Toronto: McLelland & Stewart. ISBN 0-7710-8588-5 * Wyatt, Woodrow; Edited by Sarah Curtis (1999). ''The Journals of Woodrow Wyatt: Volume II''. London: Macmillan. ISBN 0-333-77405-1 == แหล่งข้อมูลอื่น == === หนังสือและบทความ === * http://thesis.swu.ac.th/swuarticle/His/Hisv2543p116.pdf ชาคริต ชุ่มวัฒนะ. (2543). เอลิซาเบทที่ 2: กษัตริย์ยามอัสดงของเครือจักรภพ. ''วารสารประวัติศาสตร์''. น. 116-126. * เฮิร์ด, ดักลาส. (2559). ''เอลิซาเบธที่ 2 แนวแน่ในปณิธาน''. แปลโดย ธงทอง จันทรางศุ และนรชิต สิงหเสนี. กรุงเทพฯ: openbooks. === ออนไลน์ === * http://www.royal.gov.uk/HMTheQueen/HMTheQueen.aspx เว็บไซต์ทางการสหราชอาณาจักร * http://canadiancrown.gc.ca/eng/1331810132814 เว็บไซต์ทางการแคนาดา * * หมวดหมู่:สมเด็จพระราชินีนาถเอลิซาเบธที่ 2 แห่งสหราชอาณาจักร| หมวดหมู่:ราชินีนาถแห่งบริติชไอลส์ หมวดหมู่:พระมหากษัตริย์สหราชอาณาจักร หมวดหมู่:พระมหากษัตริย์อังกฤษ หมวดหมู่:พระมหากษัตริย์สกอตแลนด์ หมวดหมู่:พระมหากษัตริย์แคนาดา หมวดหมู่:พระมหากษัตริย์ออสเตรเลีย หมวดหมู่:พระมหากษัตริย์นิวซีแลนด์ หมวดหมู่:ตระกูลโบวส์-ลีออน หมวดหมู่:พระมหากษัตริย์แอฟริกาใต้ หมวดหมู่:พระมหากษัตริย์ซีลอน หมวดหมู่:พระมหากษัตริย์ปากีสถาน หมวดหมู่:พระมหากษัตริย์ยูกันดา หมวดหมู่:ประมุขแห่งรัฐแคนาดา หมวดหมู่:ประมุขแห่งเครือจักรภพ หมวดหมู่:ดัชเชสแห่งเอดินบะระ หมวดหมู่:รัชทายาทสหราชอาณาจักร หมวดหมู่:ผู้ได้รับเครื่องราชอิสริยาภรณ์ ม.จ.ก. (ฝ่ายใน) หมวดหมู่:ผู้ได้รับเครื่องอิสริยาภรณ์เลฌียงดอเนอร์ หมวดหมู่:พระราชธิดาในสมเด็จพระจักรพรรดิ หมวดหมู่:พระราชธิดาในพระมหากษัตริย์ หมวดหมู่:พระราชบุตรในสมเด็จพระเจ้าจอร์จที่ 6 แห่งสหราชอาณาจักร
สมเด็จพระราชินีนาถเอลิซาเบธที่ 2 แห่งสหราชอาณาจักร
กล่องข้อมูล นักการเมือง | name = สุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ | honorific-suffix = | image = Suriya Juangroongruangkit, 13 January 2023.jpg | caption = สุริยะใน พ.ศ. 2566 | office = รายชื่อรองนายกรัฐมนตรีไทย|รองนายกรัฐมนตรี | office3 = รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคมของไทย|รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม | term_start = 27 เมษายน พ.ศ. 2567() | term_end = | primeminister = เศรษฐา ทวีสินแพทองธาร ชินวัตร | predecessor = สมศักดิ์ เทพสุทิน | successor = | term_start2 = 2 สิงหาคม พ.ศ. 2548 | term_end2 = 19 กันยายน พ.ศ. 2549() | primeminister2 = ทักษิณ ชินวัตร | alongside = ภูมิธรรม เวชยชัยพิชัย ชุณหวชิรอนุทิน ชาญวีรกูลพัชรวาท วงษ์สุวรรณพีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค(2567)ภูมิธรรม เวชยชัยอนุทิน ชาญวีรกูลพีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาคพิชัย ชุณหวชิรประเสริฐ จันทรรวงทอง(2567–ปัจจุบัน) | term_start3 = 1 กันยายน พ.ศ. 2566() | term_end3 = | primeminister3 = เศรษฐา ทวีสินแพทองธาร ชินวัตร | deputyminister3 = มนพร เจริญศรีสุรพงษ์ ปิยะโชติ | predecessor3 = ศักดิ์สยาม ชิดชอบ | term_start4 = 11 มีนาคม พ.ศ. 2548 | term_end4 = 2 สิงหาคม พ.ศ. 2548() | primeminister4 = ทักษิณ ชินวัตร | deputyminister4 = อดิศร เพียงเกษภูมิธรรม เวชยชัย | predecessor4 = ตนเอง | successor4 = พงษ์ศักดิ์ รักตพงษ์ไพศาล | term_start5 = 3 ตุลาคม พ.ศ. 2545 | term_end5 = 11 มีนาคม พ.ศ. 2548() | predecessor5 = วันมูหะมัดนอร์ มะทา | successor5 = ตนเอง | office6 = รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรมของไทย|รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม | primeminister6 = ประยุทธ์ จันทร์โอชา | term_start6 = 10 กรกฎาคม พ.ศ. 2562 | term_end6 = 17 มีนาคม พ.ศ. 2566() | predecessor6 = อุตตม สาวนายน | successor6 = อนุชา นาคาศัย | primeminister7 = ทักษิณ ชินวัตร | term_start7 = 2 สิงหาคม พ.ศ. 2548 | term_end7 = 19 กันยายน พ.ศ. 2549() | predecessor7 = วัฒนา เมืองสุข | successor7 = โฆษิต ปั้นเปี่ยมรัษฎ์ | term_start8 = 17 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2544 | term_end8 = 3 ตุลาคม พ.ศ. 2545() | predecessor8 = สุวัจน์ ลิปตพัลลภ | successor8 = สมศักดิ์ เทพสุทิน | office9 = รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงอุตสาหกรรมของไทย|รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม | term_start9 = 5 ตุลาคม พ.ศ. 2541 | term_end9 = 29 มิถุนายน พ.ศ. 2542() | primeminister9 = ชวน หลีกภัย | office10 = สภาผู้แทนราษฎรไทย|สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรแบบบัญชีรายชื่อ | term_start10 = 14 พฤษภาคม พ.ศ. 2566 | term_end10 = 19 มกราคม พ.ศ. 2567() | office11 = | term_start11 = 24 มีนาคม พ.ศ. 2562 | term_end11 = 17 มีนาคม พ.ศ. 2566() | predecessor11 = | successor11 = | office12 = พรรคไทยรักไทย|เลขาธิการพรรคไทยรักไทย | termstart12 = 27 มกราคม พ.ศ. 2545 | termend12 = 2 ตุลาคม พ.ศ. 2549() | predecessor12 = ปุระชัย เปี่ยมสมบูรณ์ | successor12 = วิเชษฐ์ เกษมทองศรี | office13 = พรรคพลังประชารัฐ|รองหัวหน้าพรรคพลังประชารัฐ | termstart13 = 27 มิถุนายน พ.ศ. 2563 | termend13 = 17 มีนาคม พ.ศ. 2565() | birth_date = | birth_place = จังหวัดพระนคร ประเทศไทย | death_date = | death_place = | spouse = สุริสา จึงรุ่งเรืองกิจ | party = พรรคกิจสังคม|กิจสังคม (2519–2542)พรรคไทยรักไทย|ไทยรักไทย (2542–2550)พรรคภูมิใจไทย|ภูมิใจไทย (2552–2556) พรรคเพื่อไทย|เพื่อไทย (2556–2561, 2566–ปัจจุบัน)พรรคพลังประชารัฐ|พลังประชารัฐ (2561–2566) | signature = Suriya Juangroongruangkit signature.svg | footnotes = '''สุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ''' (เกิด 10 ธันวาคม พ.ศ. 2497) เป็นนักการเมืองชาวไทย ปัจจุบันดำรงตำแหน่งรายชื่อรองนายกรัฐมนตรีไทย|รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคมของไทย|รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม ในคณะรัฐมนตรีไทย คณะที่ 64|รัฐบาล แพทองธาร ชินวัตร อดีตสภาผู้แทนราษฎรไทย ชุดที่ 26|สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรแบบบัญชีรายชื่อ และอดีตรัฐมนตรีหลายกระทรวง == ประวัติ == สุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ เกิดเมื่อวันที่ 10 ธันวาคม พ.ศ. 2497 ที่กรุงเทพมหานคร (จังหวัดพระนครในขณะนั้น) เป็นบุตรของนายอาฮง แซ่จึง และ นางม้วยเซียง(แซ่เดิมคือ "แซ่โป่ว" หรือ "แซ่หวัง") มีพี่น้อง 5 คน คือ นายสรรเสริญ จุฬางกูร, นายพัฒนา จึงรุ่งเรืองกิจ(เสียชีวิตแล้ว), นายโกมล จึงรุ่งเรืองกิจ, นายสุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ และ น.ส.อริสดา จึงรุ่งเรืองกิจ นายสุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจจบการศึกษาระดับมัธยมศึกษา จากโรงเรียนเตรียมอุดมศึกษา และเข้าศึกษาต่อที่คณะแพทยศาสตร์ศิริราชพยาบาล มหาวิทยาลัยมหิดล|คณะแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล ซึ่งเป็นรุ่นเดียวกับนายแพทย์พรหมินทร์ เลิศสุริย์เดช ซึ่งเป็นเลขาธิการนายกรัฐมนตรีในสมัยรัฐบาลทักษิณและรัฐบาลเศรษฐา โดยนายสุริยะได้ศึกษาเป็นเวลาครึ่งปี แต่ด้วยผลกระทบจากเหตุการณ์ความไม่สงบทางการเมืองที่เกิดขึ้นในช่วงเวลานั้น ทำให้นายสุริยะได้เปลี่ยนแผนไปศึกษาต่อที่ต่างประเทศแทน จนสำเร็จการศึกษาระดับปริญญาตรี วิศวกรรมอุตสาหการ จากมหาวิทยาลัยแคลิฟอร์เนีย เบิร์กลีย์ ประเทศสหรัฐอเมริกา ในปี พ.ศ.2521 นอกจากนี้ยังเข้าศึกษาที่วิทยาลัยป้องกันราชอาณาจักร(วปอ.) จนกระทั่งสำเร็จได้รับวุฒิปริญญาบัตรในปี 2538 ซึ่งเรียนรุ่นเดียวกันกับ คุณทนง พิทยะ คุณสมชาย วงศ์สวัสดิ์ อดีตนายกรัฐมนตรีและอดีตปลัดกระทรวงยุติธรรม คุณพิสิฐ กุศลาไสยานนท์ อดีตกรรมการผู้จัดการใหญ่ การบินไทย https://www.thairath.co.th/news/politic/1893737 ไพบูลย์เปิดหน้าชน ดัน "สุริยะ" เป็น รมว.พลังงาน ยืนยันเป็นโควตพลังประชารัฐ ไทยรัฐ. 21 กรกฎาคม 2563 ด้านชีวิตส่วนตัวสมรสแล้วกับนางสุริสา จึงรุ่งเรืองกิจ มีบุตรชาย 1 คน คือ ศาตนันท์ จึงรุ่งเรืองกิจ และเป็นอาของธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ อดีตหัวหน้าพรรคอนาคตใหม่ นายสุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ ได้เข้าสู่ชีวิตทางการเมืองมีตำแหน่งทางการเมืองครั้งแรก คือ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม ในสมัยรัฐบาลชวน หลีกภัย ปี พ.ศ. 2541 ในโควตาพรรคกิจสังคม ซึ่งการก้าวสู่เส้นทางทางการเมืองได้รับการเชื่อถือจากนายมนตรี พงษ์พานิช หัวหน้าพรรคกิจสังคม ซึ่งนายสุริยะได้เป็นที่ปรึกษารัฐมนตรีหลายกระทรวงในช่วงที่นายสมศักดิ์ เทพสุทินดำรงตำแหน่งรัฐมนตรี ในเวลาต่อมาเมื่อการเลือกตั้งปี พ.ศ. 2544 นายสุริยะได้เข้าร่วมสังกัดพรรคไทยรักไทย ที่มี พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร เป็นหัวหน้าพรรค โดยนายสุริยะเป็นสมาชิกผู้แทนราษฎรแบบบัญชีรายชื่อ ลำดับที่ 12 เมื่อวันที่ 27 มกราคม พ.ศ.2545 ในการประชุมใหญ่สามัญประจำปีพรรคไทยรักไทย มีการปรับเปลี่ยนตำแหน่งในพรรคไทยรักไทย นายสุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ ได้เข้าสู่ตำแหน่งเลขาธิการพรรคไทยรักไทย แทน ร.ต.อ.ปุระชัย เปี่ยมสมบูรณ์ ผลงานที่สำคัญระหว่างที่นายสุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ ดำรงตำแหน่งเป็นรัฐมนตรีในรัฐบาลทักษิณ เมื่อครั้งดำรงตำแหน่งรัฐมนตรีว่าการอุตสาหกรรม ในปี พ.ศ. 2544 ได้จัดตั้งธนาคารพัฒนาวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม แปรรูปการปิโตรเลียมแห่งประเทศไทย เพื่อพัฒนารัฐวิสาหกิจให้เป็นองค์กรหลักในการกอบกู้เศรษฐกิจและสร้างรายได้ให้ประเทศ รวมถึงการเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันของอุตสาหกรรมไทย ในปี พ.ศ. 2545 วันที่ 25 เมษายน ที่ทำเนียบรัฐบาล พ.ต.ท ทักษิณ ชินวัตร พร้อมด้วยนายสุริยะ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรมและนายชัก วิลเลียมสัน ประธานกรรมการบริษัทยูโนแคล คอร์ปอเรชั่น ร่วมเป็นสักขีพยานในพิธีลงนามแก้ไขเพิ่มเติมสัญญาซื้อขายก๊าซธรรมชาติระหว่างบริษัท ปตท. จำกัด(มหาชน) กับบริษัท ยูโนแคลไทยแลนด์ จำกัด บริษัทมิตซุยออยล์ เอ็กซพลอเรชั่น จำกัด และบริษัทปตท.สำรวจและผลิตปิโตรเลียม จำกัด จำนวน 2 ฉบับได้แก่ สัญญาซื้อขายก๊าซธรรมชาติแหล่งเอราวัณและแหล่งยูโนแคล 2/3 ทั้งนี้ส่งผลให้เกิดการประหยัดเงินได้ 10,294 ล้านบาท ตลอดอายุสัมปทาน 10 https://www.newswit.com/th/j1qnl692m7pwordq1rlkzf6oxnz3u3ce ปี ผลงานที่สำคัญในช่วงที่ดำรงตำแหน่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม ระหว่างวันที่ 2 ตุลาคม 2545 จนถึง ปี 2548 คือ การดูแลเรื่องการปฏิรูปรัฐวิสาหกิจ อย่างการท่าอากาศยานแห่งประเทศไทย, การปราบปรามทุจริตในการจัดเก็บค่าผ่านทางมอเตอร์เวย์ของกรมทางหลวงในปี พ.ศ. 2545 การเร่งรัดการก่อสร้างท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ , การสนับสนุนให้มีการก่อสร้างระบบทางด่วนขั้นที่ 3 สายใต้ ตอน S1 , การเร่งรัดการเปิดดำเนินการให้บริการรถไฟฟ้าใต้ดิน สายสีน้ำเงินตอนหัวลำโพง-บางซื่อ ของการรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนแห่งประเทศไทย จนถึงการเปิดเสรีการบินในประเทศไทย พัฒนาประเทศไทยให้เป็นศูนย์กลางการบินของภูมิภาค นโยบายสายการบินราคาประหยัด(Low Cost Airlines) ในประเทศไทย ถือเป็นการเปลี่ยนโฉมหน้าของการเดินทางทางอากาศของประเทศไทย โดยเป็นการเพิ่มโอกาสการเดินทางของประชาชนมากขึ้น ทำให้สะดวก รวดเร็ว และประหยัดเวลา ทำให้วงจรเศรษฐกิจหมุนเร็วขึ้น อันมีผลทั้งทางตรงและทางอ้อมต่อเศรษฐกิจโดยรวมของประเทศ อีกทั้งทำให้เกิดการจ้างงานเพิ่มในอุตสาหกรรมการบิน เช่น โครงการนักบินเอื้ออาธร เป็นต้น4 ปีซ่อมประเทศไทยเพื่อคนไทย โดย รัฐบาลพันตำรวจโท ทักษิณ ชินวัตร, น. 83 ทั้งนี้เมื่อวันที่ 28 สิงหาคม พ.ศ. 2555 ทาง คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ หรือ ป.ป.ช. ได้มีมติเอกฉันท์ยกคำร้องกรณีคดีทุจริตเครื่องตรวจสัมภาระภายในท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ หรือ CTX9000 ของนายสุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ ขณะดำรงตำแหน่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคมในขณะนั้นhttp://www.thairath.co.th/content/287043 'ทักษิณ-สุริยะ'เฮยกคำร้องคดีทุจริต "ซีทีเอ็กซ์" ไทยรัฐ. 29 สิงหาคม 2555 ==การทำงาน== * รัฐมนตรีว่าการ กระทรวงอุตสาหกรรม (พรรคไทยรักไทย, คณะรัฐมนตรีไทย คณะที่ 55|รัฐบาลทักษิณ 2) (พรรคพลังประชารัฐ,คณะรัฐมนตรีไทย คณะที่ 62|รัฐบาลประยุทธ์ 2) * รัฐมนตรีว่าการ กระทรวงคมนาคม (พรรคไทยรักไทย, คณะรัฐมนตรีไทย คณะที่ 55|รัฐบาลทักษิณ 2)ราชกิจจานุเบกษา, https://ratchakitcha.soc.go.th/pdfdownload/?id=154678 พระบรมราชโองการ ประกาศ แต่งตั้งรัฐมนตรี, เล่ม ๑๒๒ ตอนพิเศษ ๒๒ ง หน้า ๒, ๑๑ มีนาคม ๒๕๔๘ * เลขาธิการพรรค พรรคไทยรักไทย * พ.ศ. 2544 - พ.ศ. 2545 - รัฐมนตรีว่าการ กระทรวงอุตสาหกรรม (ส.ส. บัญชีรายชื่อลำดับที่ 12 พรรคไทยรักไทย, คณะรัฐมนตรีไทย คณะที่ 54|รัฐบาลทักษิณ 1) * พ.ศ. 2541 - รัฐมนตรีช่วยว่าการ กระทรวงอุตสาหกรรม (พรรคกิจสังคม, คณะรัฐมนตรีไทย คณะที่ 53|รัฐบาลชวน 2) * ที่ปรึกษารัฐมนตรีว่าการ กระทรวงอุตสาหกรรม * ที่ปรึกษารัฐมนตรีช่วยว่าการ กระทรวงแรงงานและสวัสดิการสังคม * ที่ปรึกษารัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี * ที่ปรึกษารัฐมนตรีช่วยว่าการ กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ * ที่ปรึกษารัฐมนตรีช่วยว่าการ กระทรวงพาณิชย์ * กรรมการ ปตท.|การปิโตรเลียมแห่งประเทศไทย (ปตท.) * กรรมการ บริษัท วิทยุการบินแห่งประเทศไทย จำกัด * ประธานกรรมการ บริษัท ซัมมิทอิเล็กทรอนิกส์ คอมโพเนนท์ จำกัด * ประธานกรรมการ บริษัท ซัมมิท แอดวานซ์ แมททีเรียล จำกัด * กรรมการผู้จัดการ บริษัท โอโดซีพ อินดัสตรี จำกัด * กรรมการผู้จัดการ บริษัท ซัมมิท โอโตบอดี้ อินดัสตรี จำกัด * กรรมการบริหาร บริษัท ซัมมิท ไพน์เฮิร์สท กอล์ฟ แอนด์ คันทรีคลับ จำกัด *ประธานกรรมการยุทธศาสตร์การเลือกตั้ง พรรคพลังประชารัฐ (พปชร.) == การเข้าร่วมกับพรรคพลังประชารัฐ == ในปี พ.ศ. 2550 เขาได้ถูกตัดสิทธิทางการเมืองเป็นเวลา 5 ปี เนื่องจากเป็นกรรมการบริหารพรรคไทยรักไทยซึ่งถูกยุบในคดียุบพรรคการเมือง พ.ศ. 2549 หลังจากนั้นได้เข้าร่วมแถลงข่าวเปิดตัวพรรคภูมิใจไทย เมื่อวันที่ 14 มกราคม พ.ศ. 2552 ที่โรงแรมสยามซิตี้ โดยร่วมกับแกนนำ อาทิ ชวรัตน์ ชาญวีรกูล บุญจง วงศ์ไตรรัตน์ โสภณ ซารัมย์ ศุภชัย ใจสมุทร และพรทิวา ศักดิ์ศิริเวทย์กุล|พรทิวา นาคาศัย กระทั่งวันพุธที่ 27 มิถุนายน พ.ศ. 2561 นายสุริยะในฐานะหัวหน้ากลุ่มสามมิตรได้ประกาศเข้าร่วมงานกับ พรรคพลังประชารัฐ ต่อมาก่อนการเลือกตั้ง พ.ศ. 2566 เขาและกลุ่มสามมิตร ได้ย้ายไปร่วมงานกับพรรคเพื่อไทย == การเข้าร่วมกับพรรคเพื่อไทย == สุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ ได้ย้ายไปร่วมงานกับพรรคเพื่อไทย ก่อนการเลือกตั้ง พ.ศ. 2566 จะเกิดขึ้น ต่อมาเขาได้รับเลือกตั้งเป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรแบบบัญชีรายชื่อ และเป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม ในรัฐบาลเศรษฐา ทวีสิน ในปี 2566https://www.thaipbs.or.th/news/content/331202 โปรดเกล้าฯ แต่งตั้ง คณะรัฐมนตรี "เศรษฐา" นายกฯ ควบ "รมว.คลัง" และต่อมาในปลายเดือนเมษายน พ.ศ. 2567 เขาได้รับพระบรมราชโองการโปรดเกล้าฯให้เป็นรองนายกรัฐมนตรีอีกตำแหน่งหนึ่ง == เครื่องราชอิสริยาภรณ์ == ราชกิจจานุเบกษา, https://ratchakitcha.soc.go.th/documents/117203.pdf ประกาศสำนักนายกรัฐมนตรี เรื่อง พระราชทานเครื่องราชอิสริยาภรณ์อันเป็นที่เชิดชูยิ่งช้างเผือกและเครื่องราชอิสริยาภรณ์อันมีเกียรติยศยิ่งมงกุฎไทย, เล่ม ๑๑๙ ตอนที่ ๒๑ ข หน้า ๑, ๔ ธันวาคม ๒๕๔๕ ราชกิจจานุเบกษา, https://ratchakitcha.soc.go.th/documents/27052.pdf ประกาศสำนักนายกรัฐมนตรี เรื่อง พระราชทานเครื่องราชอิสริยาภรณ์อันเป็นที่เชิดชูยิ่งช้างเผือกและเครื่องราชอิสริยาภรณ์อันมีเกียรติยศยิ่งมงกุฎไทย, เล่ม ๑๑๘ ตอนที่ ๒๒ ข หน้า ๖, ๔ ธันวาคม ๒๕๔๔ == อ้างอิง == == แหล่งข้อมูลอื่น == * http://www.bangkokbiznews.com/2005/special/ctx/index.php ผ่าขบวนการ สินบนอินวิชั่น , นสพ. กรุงเทพธุรกิจ หมวดหมู่:ชาวไทยเชื้อสายแต้จิ๋ว หมวดหมู่:สกุลจึงรุ่งเรืองกิจ หมวดหมู่:นักธุรกิจชาวไทย หมวดหมู่:นักการเมืองไทย หมวดหมู่:บุคคลจากกรุงเทพมหานคร หมวดหมู่:รองนายกรัฐมนตรีไทย หมวดหมู่:รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรมไทย หมวดหมู่:รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคมไทย หมวดหมู่:สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรไทยแบบบัญชีรายชื่อ หมวดหมู่:พรรคกิจสังคม หมวดหมู่:นักการเมืองพรรคไทยรักไทย หมวดหมู่:พรรคภูมิใจไทย หมวดหมู่:พรรคพลังประชารัฐ หมวดหมู่:นักการเมืองพรรคเพื่อไทย หมวดหมู่:บุคคลจากโรงเรียนเตรียมอุดมศึกษา หมวดหมู่:บุคคลจากมหาวิทยาลัยแคลิฟอร์เนีย เบิร์กลีย์ หมวดหมู่:ผู้ได้รับเครื่องราชอิสริยาภรณ์ ม.ป.ช. หมวดหมู่:ผู้ได้รับเครื่องราชอิสริยาภรณ์ ม.ว.ม.
สุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ
กล่องข้อมูล สมเด็จพระสังฆราช |ภาพ = ไฟล์:กรมพระยาปวเรศวริยาลงกรณ์.webp |พระอิสริยยศ = สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปริณายก | สีพิเศษ = Orange |succession = สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปริณายก |ดำรงพระยศ = ธันวาคม พ.ศ. 2434 - 28 กันยายน พ.ศ. 2435(10เดือนเศษ) |สมณุตตมาภิเษก = 27 พฤศจิกายน พ.ศ. 2434 |ก่อนหน้า = สมเด็จพระมหาสมณเจ้า กรมพระปรมานุชิตชิโนรส |ถัดไป = สมเด็จพระอริยวงศาคตญาณ (สา ปุสฺสเทโว) |ตำแหน่ง = เจ้าอาวาสวัดบวรนิเวศวิหาร |reign-type2 = ดำรงตำแหน่ง |reign2 = พ.ศ. 2394 – พ.ศ. 2435 |predecessor2 = พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว|พระวชิรญาณเถร |successor2 = สมเด็จพระมหาสมณเจ้า กรมพระยาวชิรญาณวโรรส |ราชวงศ์ = ราชวงศ์จักรี|จักรี |พระบิดา = สมเด็จพระบวรราชเจ้ามหาเสนานุรักษ์ |พระมารดา = เจ้าจอมมารดาน้อยเล็ก |ประสูติ = |พระนาม = สมเด็จพระมหาสมณเจ้า กรมพระยาปวเรศวริยาลงกรณ์ |สิ้นพระชนม์ = |สถานที่สิ้นพระชนม์ = วัดบวรนิเวศราชวรวิหาร '''สมเด็จพระมหาสมณเจ้า กรมพระยาปวเรศวริยาลงกรณ์''' เป็นสมเด็จพระสังฆราชไทย พระองค์ที่ 8 แห่งกรุงรัตนโกสินทร์ และเป็นหนึ่งในสิบพระเถระผู้เป็นต้นวงศ์ธรรมยุต''ประวัติคณะธรรมยุต'', หน้า 25-29 ประทับ ณ วัดบวรนิเวศราชวรวิหาร ได้รับมหาสมณุตมาภิเษกเมื่อปี พ.ศ. 2434 ขณะพระชันษาได้ 82 ปี ดำรงตำแหน่งได้ 10 เดือนก็สิ้นพระชนม์เมื่อปี พ.ศ. 2435 ขณะมีพระชันษา == พระประวัติ == === ทรงพระเยาว์ === สมเด็จพระมหาสมณเจ้า กรมพระยาปวเรศวริยาลงกรณ์ เป็นพระราชโอรสพระองค์ที่ 18 ในสมเด็จพระบวรราชเจ้ามหาเสนานุรักษ์ ประสูติแต่เจ้าจอมมารดาน้อยเล็ก เมื่อวันพฤหัสบดี ขึ้น 6 ค่ำ เดือน 10 ปีมะเส็ง ตรงกับวันที่ 14 กันยายน จ.ศ. 1171 (พ.ศ. 2352) เวลาสี่ทุ่มเศษ เนื่องจากวันประสูตินั้นเป็นวันเริ่มสวดมนต์ตั้งพระราชพิธีบรมราชาภิเษกพระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย พระองค์จึงได้รับพระราชทานนามว่า''พระองค์เจ้าฤกษ์''ราชกิจจานุเบกษา, http://www.ratchakitcha.soc.go.th/DATA/PDF/2435/028/224.PDF พระประวัติพระเจ้าบรมวงษ์เธอ กรมสมเด็จพระปวเรศวริยาลงกรณ์, เล่ม ๙, ตอน ๒๘, ๙ ตุลาคม พ.ศ. ๑๘๙๒, หน้า ๒๒๔-๗ เมื่อพระบิดาสวรรคตในปี พ.ศ. 2360 พระองค์ได้เสด็จไปประทับในพระบรมมหาราชวังกับสมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ เจ้าฟ้าประไพวดี กรมหลวงเทพยวดี เป็นบางคราว เพราะเจ้าจอมมารดาของพระองค์เคยเป็นข้าหลวงของเจ้าฟ้าพระองค์นี้ ต่อมาเจ้าฟ้าฯ กรมหลวงเทพยวดีได้นำพระองค์ไปฝากกับพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ตั้งแต่ยังทรงพระเยาว์ จึงคุ้นเคยกันมานับแต่นั้น === ผนวช === พ.ศ. 2365 เมื่อพระชันษาได้ 13 ปี ได้ผนวชเป็นสามเณร ณ วัดมหาธาตุยุวราชรังสฤษฎิ์ราชวรมหาวิหาร โดยมีสมเด็จพระอริยวงษญาณ (มี) เป็นพระอุปัชฌาย์ แล้วศึกษาภาษาบาลีตามคัมภีร์มูลกัจจายน์กับพระญาณสมโพธิ (รอด) จนชำนาญ ผนวชได้ 4 พรรษา ก็ประชวรด้วยโรคฝีดาษ|พระโรคทรพิษ จึงลาผนวชมารักษาพระองค์จนหายประชวร สมเด็จพระบวรราชเจ้ามหาศักดิพลเสพโปรดให้ผนวชเป็นสามเณรอีกครั้ง ณ พระราชวังบวรสถานมงคล พ.ศ. 2372 เมื่อมีพระชันษาครบ 20 ปี พระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัวโปรดให้ลาสิกขาบทเพื่อทำการสมโภชพร้อมกับสมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ เจ้าฟ้าอาภรณ์|สมเด็จพระเจ้าน้องยาเธอ เจ้าฟ้าอาภรณ์ ที่จะทรงผนวชเป็นสามเณรในเวลานั้น ได้สมเด็จพระอริยวงษญาณ (ด่อน) เป็นพระอุปัชฌาย์ สมเด็จพระมหาสมณเจ้า กรมพระปรมานุชิตชิโนรส|พระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมหมื่นนุชิตชิโนรส เป็นพระกรรมวาจาจารย์ และพระวินัยรักขิต วัดมหาธาตุ เป็นพระอนุสาวนาจารย์ ผนวชแล้วศึกษาพระปริยัติธรรมในสำนักพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวขณะเป็นพระภิกษุ เมื่อพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงตั้งธรรมยุติกนิกาย ก็ได้ทรงเข้าถือธรรมเนียมนั้นตาม ทรงทำทัฬหีกรรม ณ นทีสีมา โดยมีพระสุเมธมุนี (ซาย พุทฺธวํโส) เป็นพระอุปัชฌาย์ พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวเมื่อทรงเป็นพระภิกษุเป็นพระกรรมวาจาจารย์ แล้วศึกษาพระปริยัติธรรมต่อในสำนักพระวิเชียรปรีชา (ภู่) แม้จะไม่เคยสอบพระปริยัติธรรม แต่พระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัวก็พระราชทานตาลปัตรสำหรับพระเปรียญที่พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าทรงเคยรับ ให้ทรงใช้ต่อ ปีวอก พ.ศ. 2379 ทรงติดตามพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ย้ายไปประทับ ณ วัดบวรนิเวศวิหาร == พระอิสริยยศ == ไฟล์:Pavaresh Variyalongkorn.jpg|thumb|180px|สมเด็จพระมหาสมณเจ้า กรมพระยาปวเรศวริยาลงกรณ์ ทรงฉายพระรูปที่หน้าพระอุโบสถ วัดบวรนิเวศวิหาร ในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้ดำรงสมณศักดิ์เสมอพระราชาคณะชั้นสามัญ พระราชทานตาลปัตรแฉกถมปัด และเครื่องยศตามศักดิ์พระราชาคณะ ตั้งฐานานุกรมได้ 2 รูป รับนิตยภัตเดือนละ 3 ตำลึง และเบี้ยหวัดปีละ 2 ชั่งตามเดิม ต่อมาในปี พ.ศ. 2394 พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ สถาปนาขึ้นเป็นพระองค์เจ้าต่างกรม มีพระนามว่า ''พระเจ้าวรวงษ์เธอ กรมหมื่นบวรรังษีสุริยพันธุ์ ปิยพรหมจรรย์ธรรมวรยุต ปฏิบัติสุทธคณะนายก พุทธสาสนดิลกบวรัยยะบรรพชิต สรรพธรรมิกกิจโกศล สุวิมลปรีชา ปัญญาอรรคมหาสมณุดม บรมบพิตร'' และดำรงตำแหน่งเจ้าคณะใหญ่คณะธรรมยุตพระองค์แรก ตั้งฐานานุกรมได้ 11 รูป ได้รับนิตยภัตเดือนละ 5 ตำลึง เบี้ยหวัดปีละ 10 ชั่ง เมื่อสมเด็จพระมหาสมณเจ้า กรมพระปรมานุชิตชิโนรส สิ้นพระชนม์เมื่อปี พ.ศ. 2396 พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว มิได้ทรงสถาปนาพระเถระรูปใดขึ้นเป็นสมเด็จพระสังฆราชอีกตลอดรัชกาลรวมเป็นระยะเวลา 15 ปี ในระหว่างนั้น พระองค์ทรงดำรงสมณฐานันดรเป็นที่สอง รองจากสมเด็จพระมหาสมณเจ้า กรมพระปรมานุชิตชิโนรส ซึ่งทรงดำรงตำแหน่งมหาสังฆปริณายก เมื่อปี พ.ศ. 2416 พระองค์เป็นพระราชอุปัธยาจารย์ของพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว หลังจากลาผนวช ทรงตั้งพระทัยจะถวายมหาสมณุตตมาภิเษก แต่กรมหมื่นบวรรังษีสุริยพันธุ์ไม่ทรงรับ เพราะถ่อมพระองค์ว่าจะเป็นเจ้าวังหน้า ไม่ควรข้ามชั้นเจ้านายวังหลวงหลายพระองค์ที่มีพระชันษาสูงกว่า''พระเกียรติคุณสมเด็จพระมหาสมณเจ้า กรมพระยาปวเรศวริยาลงกรณ์ (พระองค์เจ้าฤกษ์)'', หน้า 6 พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวจึงโปรดเกล้า ฯ เลื่อนพระอิสริยยศขึ้นเป็น ''พระเจ้าบรมวงษ์เธอ กรมพระปวเรศวริยาลงกรณ์ บวรรังษีสุริยพันธุ์ ปิยพรหมจรรย์ธรรมวรยุต ปฏิบัติสุทธะคณะนายก พุทธสาสนดิลกบวรัยยะบรรพชิต สรรพธรรมิกกิจโกศล สุวิมลปรีชา ปัญญาอรรคอนาคาริยรัตโนดม พุทธะวราคมโหรกลากุสโลภาศ ปรมินทรมหาราชหิโตปัธยาจารย์ มโหฬารเมตยาภิธยาไศรย พุทธาทิศรีรัตนไตรคุณารักษ์ อุกฤษฐศักดิ์สกลสังฆปาโมกข์ ประธานาธิบดินทร มหาสมณคะณินทรวโรดม บรมบพิตร'' ได้รับนิตยภัตเดือนละ 10 ตำลึง เบี้ยหวัดปีละ 30 ชั่ง การที่เลื่อนพระอิสริยยศครั้งนี้ แม้ว่าพระองค์จะไม่ทรงรับถวายมหาสมณุตมาภิเษกในที่สมเด็จพระสังฆราช แต่พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวก็ถวายพระเกียรติยศในทางสมณศักดิ์สูงสุด เท่ากับทรงเป็นสมเด็จพระสังฆราช และมิได้ทรงสถาปนาพระเถระรูปอื่นใดเป็นสมเด็จพระสังฆราชเป็นระยะเวลาถึง 23 ปี ในปี พ.ศ. 2434 พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวมีพระราชดำริว่า พระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระปวเรศวริยาลงกรณ์ทรงเจริญพระชนมายุไม่มีพระบรมวงศานุวงศ์พระองค์ใดในพระบรมราชตระกูลอันนี้ ที่ล่วงลับไปแล้วก็ดี ยังดำรงอยู่ก็ดี ที่จะมีพระชนมายุเทียมถึง ทั้งยังเป็นที่นับถือของคนทั่วไปทั้งฝ่ายคฤหัสถ์และฝ่ายบรรพชิต พระองค์จึงทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้ตั้งพระราชพิธีมหาสมณุตมาภิเษก เลื่อนพระอิสริยยศเป็นกรมสมเด็จพระ พระราชทานเบญจปฎลเศวตฉัตร ตาลปัตรแฉกพื้นตาด รับนิตยภัตเดือนละ 12 ตำลึง เบี้ยหวัดปีละ 35 ชั่ง ตั้งฐานานุกรมได้เพิ่มอีก 4 รูป มีพระนามตามจารึกในพระสุพรรณบัฏว่า "''พระเจ้าบรมวงษ์เธอ กรมสมเด็จพระปวเรศวริยาลงกรณ์ บวรรังษีสุริยพันธุ์ ปิยพรหมจรรย์ธรรมวรยุต ปฏิบัติสุทธิคณะนายก ธรรมนิติสาธกปวรัยบรรพชิต สรรพธรรมิกกิจโกศล สุวิมลปรีชา ปัญญาอรรคมหาสมณุดม บรมพงษาธิบดี จักรกรีบรมนารถ มหาเสนานุรักษ์อนุราชวรางกูร ปรมินทรบดินทร์สูริย์หิโตปัธยาจารย์ มโหฬารเมตยาภิธยาไศรย์ ไตรปิฎกโหรกลาโกศล เบญจปดลเสวตรฉัตร ศิริรัตโนปลักษณมหาสมณุตมาภิเศกาภิสิต ปรมุกฤษฐสมณศักดิธำรง มหาสงฆปรินายก พุทธสาสนดิลกโลกุตมมหาบัณฑิตย์ สุนทรวิจิตรปฏิภาณ ไวยัตติยญาณมหากระวี พุทธาทิศรีรัตนไตรคุณารักษ์ เอกอรรคมหาอนาคาริยรัตน์ สยามาธิโลกยปฏิพัทธ พุทธบริสัษยเนตร สมณคณินทราธิเบศร์ สกลพุทธจักโรปการกิจ สฤษดิศุภการ มหาปาโมกษประธานวโรดม บรมนารถบพิตร''"ราชกิจจานุเบกษา, http://www.ratchakitcha.soc.go.th/DATA/PDF/2434/036/312.PDF ประกาศการมหาสมณุตตมาภิเศก, เล่ม ๘, ตอน ๓๖, หน้า ๓๑๒-๓๑๕ ภายหลังพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัวมีพระราชดำริว่า การเรียกพระนามเจ้า|พระบรมราชวงศ์ซึ่งดำรงสมณศักดิ์เป็นพระประมุขแห่งสังฆมณฑลแต่เดิมนั้นเรียกตามพระอิสริยยศแห่งพระบรมราชวงศ์ ไม่ได้เรียกตามสมณศักดิ์ของพระประมุขแห่งสังฆมณฑล คือ "สมเด็จพระอริยวงศาคตญาณ" หรือที่เรียกอย่างย่อว่า "สมเด็จพระสังฆราช" พระองค์จึงเปลี่ยนคำนำพระนามของพระบรมวงศานุวงศ์ซึ่งดำรงสมณศักดิ์เป็นพระประมุขแห่งสังฆมณฑลว่า "สมเด็จพระมหาสมณเจ้า" เพื่อให้ปรากฏพระนามในส่วนสมณศักดิ์ด้วย ดังนั้น จึงเปลี่ยนคำนำพระนามเป็น "'''สมเด็จพระมหาสมณเจ้า กรมพระยาปวเรศวริยาลงกรณ์'''"ราชกิจจานุเบกษา, http://www.ratchakitcha.soc.go.th/DATA/PDF/2464/A/10.PDF พระบรมราชโองการ ประกาศ สถาปนาสมเด็จพระมหาสมณเจ้า, เล่ม ๓๘, ตอน ๐ ก ,๑๒ เมษายน พ.ศ. ๒๔๖๔, หน้า ๑๐ == สิ้นพระชนม์ == สมเด็จพระมหาสมณเจ้า กรมพระยาปวเรศวริยาลงกรณ์ ประชวรด้วยต้อกระจกจนทำให้พระเนตรบอด ต่อมาทรงพระประชวรด้วยพระโรคชราตั้งแต่วันที่ 13 กันยายน พ.ศ. 2435 ทำให้พระบังคนหนักไม่ได้ และรู้สึกหนาวพระวรกาย ถึงวันที่ 17 ทรงพระอาเจียน เสวยไม่ค่อยได้ บรรทมไม่หลับ ถึงวันที่ 21 เป็นวันอุโบสถ มีพระประสงค์จะลงอุโบสถ เพราะนับแต่ผนวชมาทรงลงอุโบสถเสมอไม่เคยขาด พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวเกรงว่าหากเสด็จไปพระอาการจะทรุดลงจึงโปรดอุทิศพระตำหนักนั้นเป็นอุโบสถ เพื่อให้ทรงได้ทำอุโบสถตามพระประสงค์ วันต่อ ๆ มาพระอาการยังคงทรุดลงตามลำดับ จนกระทั่งสิ้นพระชนม์เมื่อวันที่ 28 กันยายน พ.ศ. 2435 เวลา 23:03 น.ราชกิจจานุเบกษา, http://www.ratchakitcha.soc.go.th/DATA/PDF/2435/027/217.PDF ข่าวสิ้นพระชนม์ พระเจ้าบรมวงษ์เธอ กรมสมเด็จพระปวเรศวริยาลงกรณ์, เล่ม ๙, ตอน ๒๗, ๒ ตุลาคม พ.ศ. ๑๘๙๒,หน้า ๒๑๗ พระชันษาได้ 83 ปี 13 วัน ผนวชเป็นพระภิกษุได้ 64 พรรษา พระศพประดิษฐานอยู่ ณ พระตำหนัก นานถึง 8 ปี จึงพระราชทานเพลิงพระศพ ณ พระเมรุ ท้องสนามหลวง เมื่อวันที่ 16 มกราคม พ.ศ. 2443ราชกิจจานุเบกษา, http://www.ratchakitcha.soc.go.th/DATA/PDF/2443/044/623.PDF การพระเมรุท้องสนามหลวง, เล่ม ๑๗, ตอน ๔๔, ๒๗ มกราคม ร.ศ. ๑๑๙, หน้า ๖๒๗-๖๓๑ == พระปรีชาสามารถ == ไฟล์:Chulalongkorn and his teachers in ordination.jpg|right|thumb|250px|ในการอุปสมบทพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวประทับนั่งทางซ้ายสุดของภาพ พระภิกษุรูปที่ 4 จากซ้ายคือ'''พระเจ้าวรวงศ์เธอ กรมหมื่นบวรรังษีสุริยพันธุ์''' สมเด็จพระมหาสมณเจ้า ฯ ทรงแตกฉานในภาษาบาลี พระนิพนธ์ที่แสดงให้เห็นถึงพระปรีชาสามารถในภาษาบาลีคือพระนิพนธ์เรื่อง "สุคตวิทัตถิวิธาน" ซึ่งทรงนิพนธ์เป็นภาษาบาลี นอกจากนี้ ยังได้ทรงนิพนธ์เรื่องเบ็ดเตล็ดอื่น ๆ เป็นภาษาบาลีอีกหลายเรื่อง นับว่าพระองค์ทรงเป็นปราชญ์ทางภาษาบาลีที่สำคัญพระองค์หนึ่ง ไฟล์:จดหมายเหตุบัญชีน้ำฝน วัดบวรนิเวศ.jpg|thumb|จดหมายเหตุบัญชีน้ำฝน ต้นฉบับ นอกจากจะเป็นปราชญ์ทางภาษาบาลีแล้ว ยังมีพระปรีชาสามารถ ในด้านต่าง ๆ พอประมวลได้ดังนี้ คือ * '''ด้านสถาปัตยกรรม''' ทรง ออกแบบพระปฐมเจดีย์ องค์ที่เป็นอยู่ปัจจุบัน เมื่อปี พ.ศ. 2396 * '''ด้านโบราณคดี''' ทรงเป็นนักอ่านศิลาจารึกรุ่นแรกของไทยได้ศึกษาและรวบรวมจารึกต่าง ๆ ในประเทศไทยไว้มาก และได้ทรงอ่านจารึกสุโขทัยหลักที่ 2 (จารึกวัดศรีชุม) ที่เป็นอักษรขอม เป็นพระองค์แรก * '''ด้านประวัติศาสตร์''' ทรงนิพนธ์ลิลิตพงศาวดารเหนือ เรื่องพระปฐมเจดีย์ และพระราชประวัติพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว เป็นต้น * '''ด้านดาราศาสตร์''' ทรงพระนิพนธ์ตำราปฏิทินปักขคณนา (คำนวณปฏิทินทางจันทรคติ) ไว้อย่างพิสดาร * '''ด้านวิทยาศาสตร์''' ทรงบันทึกจำนวนฝนตกเป็นรายวัน ติดต่อกันเป็นเวลาถึง 45 ปี ตั้งแต่ปี พ.ศ. 2389 ถึงปี พ.ศ. 2433 เพื่อเป็นการเก็บสถิติน้ำฝนในประเทศไทย เรียกบันทึกนี้ว่า จดหมายเหตุบัญชีน้ำฝน * '''ด้านกวี''' ทรงพระนิพนธ์เรื่องต่าง ๆ ทั้งที่เป็นภาษาไทยและภาษาบาลี ไว้เป็นจำนวนมาก ที่เป็นภาษาไทย ทรงนิพนธ์ไว้จำนวนมาก เช่น ได้ลงพระราชประวัติพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว กาพย์เสด็จนครศรีธรรมราช ลิลิตพงศาวดารเหนือ เป็นต้น * '''ด้านพระศาสนา''' ทรงเป็นองค์ประธานชำระและแปลพระไตรปิฎก พิมพ์พระไตรปิฎกฉบับภาษาไทยขึ้นเป็นครั้งแรก ทรงกำหนดพระราชบัญญัติ และประกาศคณะสงฆ์ต่าง ๆ ทรงให้กำเนิดพระกริ่งในประเทศไทย ทรงสร้างพระกริ่งที่เรียกกันว่าพระกริ่งปวเรศ ซึ่งเป็นต้นแบบของพระกริ่งในยุคต่อมาของไทย == พงศาวลี == == อ้างอิง == ;เชิงอรรถ ;บรรณานุกรม * * หมวดหมู่:สมเด็จพระสังฆราชเจ้า หมวดหมู่:พระองค์เจ้าชาย หมวดหมู่:กรมพระยา หมวดหมู่:พระกุลเชษฐ์ในราชวงศ์จักรี หมวดหมู่:เจ้าคณะใหญ่คณะธรรมยุต หมวดหมู่:เจ้าอาวาสวัดบวรนิเวศราชวรวิหาร หมวดหมู่:พระราชโอรสในสมเด็จพระบวรราชเจ้ามหาเสนานุรักษ์ หมวดหมู่:ภิกษุที่เป็นเจ้านายในราชวงศ์จักรี หมวดหมู่:ผู้รอดชีวิตจากฝีดาษ หมวดหมู่:บุคคลจากเขตพระนคร หมวดหมู่:บุคคลในประวัติศาสตร์กรุงรัตนโกสินทร์
สมเด็จพระมหาสมณเจ้า กรมพระยาปวเรศวริยาลงกรณ์
กล่องข้อมูล สมเด็จพระสังฆราช | สีพิเศษ = Orange |พระอิสริยยศ = สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปริณายก | ภาพ = สมเด็จพระญาณสังวร สมเด็จพระสังฆราช.jpg | พระนาม = สมเด็จพระสังฆราชเจ้า กรมหลวงวชิรญาณสังวร | สถิต = วัดบวรนิเวศราชวรวิหาร | นิกาย = ธรรมยุติกนิกาย | พระนามเดิม = '''เจริญ คชวัตร''' | ประสูติ = | สิ้นพระชนม์ = | พระชนก = น้อย คชวัตร | พระชนนี = กิมน้อย คชวัตร | succession = สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปริณายก | ดำรงพระยศ = 21 เมษายน พ.ศ. 2532 - 24 ตุลาคม พ.ศ. 2556 () | พรรษา = | สถาปนา = 21 เมษายน พ.ศ. 2532 | สถานที่สถาปนา = พระอุโบสถวัดพระศรีรัตนศาสดาราม ในพระบรมมหาราชวัง |สถานที่ประสูติ= จังหวัดกาญจนบุรี อาณาจักรรัตนโกสินทร์|ประเทศสยาม | สถานที่สิ้นพระชนม์ =โรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์​ สภากาชาดไทย กรุงเทพมหานคร ประเทศไทย | ก่อนหน้า = สมเด็จพระสังฆราชเจ้า กรมหลวงชินวราลงกรณ | ถัดไป = สมเด็จพระอริยวงศาคตญาณ (อัมพร อมฺพโร) | signature = Signature_of_Somdej_Phra_Yannasangwon_(Suvaddhana_Mahathera)-2.svg |burial_style = พระราชทานเพลิง |burial_place = เมรุหลวงหน้าพลับพลาอิสริยาภรณ์ วัดเทพศิรินทราวาส|พระเมรุ วัดเทพศิรินทราวาสราชวรวิหาร|วัดเทพศิรินทราวาส |burial_date = 16 ธันวาคม พ.ศ. 2558 '''สมเด็จพระสังฆราชเจ้า กรมหลวงวชิรญาณสังวร''' พระนามเดิม '''เจริญ คชวัตร''' ฉายา '''สุวฑฺฒโน''' (3 ตุลาคม พ.ศ. 2456 – 24 ตุลาคม พ.ศ. 2556) เป็นสมเด็จพระสังฆราชไทย|สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปริณายกพระองค์ที่ 19 แห่งอาณาจักรรัตนโกสินทร์ (สมัยสมบูรณาญาสิทธิราชย์)|กรุงรัตนโกสินทร์ สถิต ณ วัดบวรนิเวศราชวรวิหาร ทรงดำรงตำแหน่งเมื่อ พ.ศ. 2532 ในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระมหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร ถือเป็นสมเด็จพระสังฆราชองค์แรกที่มีพระชันษามากกว่าพระสังฆราชในอดีตและเป็นพระองค์แรกของไทยที่มีชันษา 100 ปี สิ้นพระชนม์เมื่อวันที่ 24 ตุลาคม พ.ศ. 2556 เนื่องจากติดเชื้อในกระแสพระโลหิต == พระประวัติ == === ขณะทรงพระเยาว์ === สมเด็จพระสังฆราชเจ้า กรมหลวงวชิรญาณสังวร มีพระนามเดิมว่า '''เจริญ คชวัตร''' ประสูติเมื่อวันที่ 3 ตุลาคม พ.ศ. 2456 ที่ตำบลปากแพรก อำเภอเมืองกาญจนบุรี จังหวัดกาญจนบุรี เป็นบุตรคนโตของพระชนกน้อย คชวัตร และพระชนนีกิมน้อย คชวัตร พระองค์มีน้องชาย 2 คน ได้แก่ นายจำเนียร คชวัตร และนายสมุทร คชวัตร พระชนกของพระองค์ป่วยเป็นโรคเนื้องอกและเสียชีวิตไปตั้งแต่พระองค์ยังเล็ก หลังจากนั้น พระองค์ได้มาอยู่ในความดูแลของนางกิมเฮ้ง หรือกิมเฮงซึ่งเป็นพี่สาวของพระชนนีกิมน้อยที่ได้ขอพระองค์มาเลี้ยงดูhttp://www.watbowon.com/Monk/ja/06/ สมเด็จพระญาณสังวร สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปริณายก เจ้าอาวาสลำดับที่ ๖ (หน้า 1) , วัดบวรนิเวศวิหาร, เข้าถึงวันที่ 21 เมษายน พ.ศ. 2556 และนางกิมเฮ้งจึงตั้งชื่อหลานชายผู้นี้ว่า "เจริญ"''บวรธรรมบพิตร พระประวัติ สมเด็จพระญาณสังวร สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปริณายก'', หน้า 21 พระชนกน้อย คชวัตร เป็นบุตรคนที่สามจากทั้งหมดสี่คนของเล็ก กับแดงอิ่ม คชวัตร เป็นหลานปู่-หลานย่าของหลวงพิพิธภักดี ผู้เคยเป็นข้าราชการชาวกรุงเก่า''บวรธรรมบพิตร พระประวัติ สมเด็จพระญาณสังวร สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปริณายก'', หน้า 20 กับนางจีนผู้ภริยาหลวงพิพิธภักดีเป็นหลานยายของท้าวเทพกระษัตรี''บวรธรรมบพิตร พระประวัติ สมเด็จพระญาณสังวร สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปริณายก'', หน้า 18-19 ส่วนพระชนนีกิมน้อย หรือน้อย ซึ่งเคยเปลี่ยนชื่อเป็นแดงแก้วนั้น มีบิดาเป็นคนเชื้อสายจีนคือนายเฮงเล็ก แซ่ตั๊น กับมารดาเชื้อสายญวนชื่อนางทองคำ ครั้นนายเฮงเล็กถึงแก่กรรม นางทองคำจึงสมรสใหม่กับนายสุข รุ่งสว่าง มีบุตรด้วยกัน 4 คน ไฟล์:Visut phrasangharaja.jpg|thumb|left|527px|ด.ช.เจริญ คชวัตร ขณะศึกษาอยู่ ณ โรงเรียนวิสุทธรังษี(พึงสังเกตได้ว่า ด.ช.เจริญสวมเครื่องชุดลูกเสือสามัญในตำแหน่งยศลูกเสือเอก) เมื่อพระชันษาได้ 8 ปี ทรงเข้าเรียนที่โรงเรียนประชาบาล วัดเทวสังฆาราม จนจบชั้นประถม 5 (เทียบเท่าชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 และ 2 ในปัจจุบัน) เมื่อ พ.ศ. 2468 ในขณะที่มีพระชันษา 12 ปี หลังจากนั้น ทรงไม่รู้ว่าจะเรียนอะไรต่อและไม่รู้ว่าจะเรียนที่ไหน ทรงเล่าว่า "''เมื่อเยาว์วัยมีพระอัธยาศัยค่อนข้างขลาด กลัวต่อคนแปลกหน้า และค่อนข้างจะเป็นคนติดป้าที่อยู่ ใกล้ชิดกันมาแต่ทรงพระเยาว์โดยไม่เคยแยกจากกันเลย''" จึงทำให้พระองค์ไม่กล้าตัดสินพระทัยไปเรียนต่อที่อื่น === บรรพชาและอุปสมบท === เมื่อพระองค์ยังทรงพระเยาว์นั้นทรงเจ็บป่วยออดแอดอยู่เสมอ โดยมีอยู่คราวหนึ่งที่ทรงป่วยหนักจนญาติ ๆ ต่างพากันคิดว่าคงไม่รอดแล้วและได้บนไว้ว่า ถ้าหายป่วยจะให้บวชเพื่อแก้บน แต่เมื่อหายป่วยแล้ว พระองค์ก็ยังไม่ได้บวช จนกระทั่งเรียนจบชั้นประถม 5 แล้ว พระองค์จึงได้ทรงบรรพชาเป็นสามเณรเพื่อแก้บนในปี พ.ศ. 2469 ขณะมีพระชันษาได้ 14 ปี ที่วัดเทวสังฆาราม โดยมีพระเทพมงคลรังษี (ดี พุทฺธโชติ) เจ้าอาวาสวัดเทวสังฆาราม เป็นพระอุปัชฌาย์ และพระครูนิวิฐสมาจาร (เหรียญ สุวณฺณโชติ) เจ้าอาวาสสวัดศรีอุปลาราม เป็นพระอาจารย์ให้สรณะและศีล ภายหลังบรรพชาแล้วได้จำพรรษาอยู่ที่วัดเทวสังฆาราม 1 พรรษา และได้มาศึกษาพระธรรมวินัยที่วัดเสน่หา จังหวัดนครปฐม หลังจากนั้น พระเทพมงคลรังษี (ดี พุทธฺโชติ) พระอุปัชฌาย์ได้พาพระองค์ไปยังวัดบวรนิเวศราชวรวิหาร และนำพระองค์ขึ้นเฝ้าถวายตัวต่อสมเด็จพระวชิรญาณวงศ์ เจ้าอาวาสวัดบวรนิเวศวิหาร (ต่อมาคือสมเด็จพระสังฆราชเจ้า กรมหลวงวชิรญาณวงศ์) เพื่ออยู่ศึกษาพระปริยัติธรรมในสำนักวัดบวรนิเวศวิหาร พระองค์ทรงได้รับประทานนามฉายาจากสมเด็จพระสังฆราชว่า “'''สุวฑฺฒโน'''” ซึ่งมีความหมายว่า “ผู้เจริญดี”http://www.watbowon.com/Monk/ja/06/index2.htm สมเด็จพระญาณสังวร สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปริณายก เจ้าอาวาสลำดับที่ ๖ (หน้า 2) , วัดบวรนิเวศวิหาร, เข้าถึงวันที่ 21 เมษายน พ.ศ. 2556 จนกระทั่งพระชันษาครบอุปสมบทจึงทรงเดินทางกลับไปอุปสมบทที่วัดเทวสังฆารามเมื่อ พ.ศ. 2476 ภายหลังจึงได้เดินทางเข้ามาจำพรรษา ณ วัดบวรนิเวศวิหาร กรุงเทพมหานคร เพื่อทรงศึกษาพระธรรมวินัยและที่วัดบวรนิเวศวิหารนี่เอง พระองค์ท่านได้เข้าพิธีอุปสมบทซ้ำในธรรมยุติกนิกายเมื่อวันที่ 15 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2476 (นับแบบปัจจุบันตรงกับ พ.ศ. 2477) โดยมีสมเด็จพระสังฆราชเจ้า กรมหลวงวชิรญาณวงศ์ เป็นพระอุปัชฌาย์ พระรัตนธัชมุนี (จู อิสฺสรญาโณ)|พระเทพเมธี (จู อิสฺสรญาโณ) เป็นพระกรรมวาจาจารย์ === การศึกษาพระปริยัติธรรม === พระองค์ทรงเริ่มเรียนพระปริยัติธรรมตามคำชักชวนของพระเทพมงคลรังษี (ดี พุทฺธโชติ) พระอุปัชฌาย์ ที่ตั้งใจจะให้พระองค์กลับมาสอนพระปริยัติธรรมที่วัดเทวสังฆารามและจะสร้างโรงเรียนพระปริยัติธรรมเตรียมไว้ให้ โดยพระอุปัชฌาย์นำพระองค์ไปฝากไว้กับพระครูสังวรวินัย (อาจ) เจ้าอาวาสวัดเสน่หา เมื่อวันที่ 20 มิถุนายน พ.ศ. 2470 แล้วจึงเริ่มเรียนภาษาบาลีโดยมีพระเปรียญจากวัดมกุฏกษัตริยารามราชวรวิหาร กรุงเทพมหานคร เป็นอาจารย์สอน หลังจากนั้น จึงเดินทางมายังกรุงเทพมหานครเพื่อศึกษาพระปริยัติธรรมที่วัดบวรนิเวศวิหาร พระองค์ทรงสอบได้นักธรรมชั้นตรีได้เมื่อ พ.ศ. 2472 และทรงสอบได้นักธรรมชั้นโทและเปรียญธรรม 3 ประโยค ในปี พ.ศ. 2473http://www.watbowon.com/Monk/ja/06/index3.htm สมเด็จพระญาณสังวร สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปริณายก เจ้าอาวาสลำดับที่ ๖ (หน้า 3) , วัดบวรนิเวศวิหาร, เข้าถึงวันที่ 24 เมษายน พ.ศ. 2556 พระองค์ทรงตั้งพระทัยอย่างมากในการสอบเปรียญธรรม 4 ประโยค แต่ผลปรากฏว่าทรงสอบตก ทำให้ทรงรู้สึกท้อแท้และคิดว่า "''คงจะหมดวาสนาในทางพระศาสนาเสียแล้ว''" แต่เมื่อทรงคิดทบทวนและไตร่ตรองดูว่าทำไมจึงสอบตก ก็ทรงตระหนักได้ว่าเหตุแห่งการสอบตกนั้นเกิดจากความประมาทโดยแท้ กล่าวคือ ทรงทำข้อสอบโดยไม่พิจารณาให้รอบคอบด้วยสำคัญผิดว่าตนรู้ดีแล้ว ทั้งยังมุ่งอ่านเฉพาะเนื้อหาที่เก็งว่าจะออกเป็นข้อสอบเท่านั้น ซึ่งพระองค์ทรงพบว่าเป็นวิธีการเรียนที่ไม่ถูกต้องเพราะไม่ทำให้เกิดความรู้อย่างแท้จริง จึงเป็นสาเหตุที่ทำให้พระองค์สอบตก เมื่อพระองค์ทรงตระหนักได้ดังนี้แล้วจึงทรงเปลี่ยนมาใช้วิธีเรียนแบบสม่ำเสมอและทั่วถึง พระองค์จึงสอบได้ทั้งนักธรรมชั้นเอกและเปรียญธรรม 4 ประโยค ในปี พ.ศ. 2475 หลังจากนั้น พระองค์ทรงกลับไปสอนพระปริยัติธรรมที่โรงเรียนเทวานุกูล วัดเทวสังฆาราม เพื่อสนองพระคุณพระเทพมงคลรังษีเป็นเวลา 1 พรรษา แล้วจึงทรงกลับมาอยู่วัดบวรนิเวศวิหารเพื่อทรงศึกษาพระปริยัติธรรมต่อไป โดยทรงสอบได้เปรียญธรรม 5 ประโยค โดยในระหว่างที่ทรงอยู่วัดบวรนิเวศวิหารนั้น พระองค์ก็ยังคงกลับไปช่วยสอนพระปริยัติธรรมที่วัดเทวสังฆารามอยู่เสมอ พระองค์ยังทรงศึกษาพระปริยัติธรรมอย่างต่อเนื่อง จนกระทั่ง สอบได้เปรียญธรรม 9 ประโยค ในปี พ.ศ. 2484 === การปฏิบัติหน้าที่ด้านคณะสงฆ์ === หลังจากที่พระองค์สอบได้เปรียญธรรม 9 แล้ว พระองค์ทรงเริ่มงานอันเกี่ยวเนื่องกับคณะสงฆ์อีกมากมาย ซึ่งนอกเหนือจากเป็นครูสอนพระปริยัติธรรมแล้ว พระองค์ยังเป็นผู้อำนวยการศึกษาสำนักเรียนวัดบวรนิเวศวิหารซึ่งมีหน้าที่จัดการศึกษาของภิกษุสามเณรทั้งแผนกธรรมและแผนกบาลี รวมทั้งทรงเป็นสมาชิกสังฆสภาโดยตำแหน่งในฐานะเป็นพระเปรียญ 9 ประโยค ต่อมา เมื่อมีการจัดตั้งมหาวิทยาลัยมหามกุฏราชวิทยาลัยขึ้นอีกครั้งในปี พ.ศ. 2488 พระองค์ทรงรับหน้าที่เป็นกรรมการสภาการศึกษาและอาจารย์ของมหาวิทยาลัย รวมทั้ง เป็นพระวินัยธรชั้นอุทธรณ์และรักษาการพระวินัยธรชั้นฎีกาในกาลต่อมา นอกจากนี้ ยังทรงเป็นเลขานุการในสมเด็จพระสังฆราชเจ้า กรมหลวงวชิรญาณวงศ์อีกด้วยhttp://www.watbowon.com/Monk/ja/06/index4.htm สมเด็จพระญาณสังวร สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปริณายก เจ้าอาวาสลำดับที่ ๖ (หน้า 4) , วัดบวรนิเวศวิหาร, เข้าถึงวันที่ 27 เมษายน พ.ศ. 2556 เมื่อมีพระชันษาได้ 34 ปี พระองค์ได้รับพระราชทานสมณศักดิ์เป็นพระราชาคณะ ชั้นสามัญ ที่ '''พระโศภนคณาภรณ์''' โดยพระองค์ได้รับเลือกจากสมเด็จพระสังฆราชเจ้า กรมหลวงวชิรญาณวงศ์ให้เป็นพระอภิบาลของพระภิกษุพระบาทสมเด็จพระมหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตรในระหว่างที่ผนวชเป็นพระภิกษุและเสด็จประทบ ณ วัดบวรนิเวศวิหาร เมื่อปี พ.ศ. 2499 ต่อมา ได้เลื่อนสมณศักดิ์เป็นพระราชาคณะ ชั้นธรรม ที่ '''พระธรรมวราภรณ์''' โดยราชทินนามทั้ง 2 ข้างต้นนั้นเป็นราชทินนามที่ตั้งขึ้นใหม่สำหรับพระราชทานแก่พระองค์เป็นรูปแรกhttp://www.watbowon.com/Monk/ja/06/index5.htm สมเด็จพระญาณสังวร สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปริณายก เจ้าอาวาสลำดับที่ ๖ (หน้า 5) , วัดบวรนิเวศวิหาร, เข้าถึงวันที่ 27 เมษายน พ.ศ. 2556 ในปี พ.ศ. 2504 พระองค์ได้รับตำแหน่งเป็นผู้รักษาการเจ้าคณะธรรมยุตภาคทุกภาคและเจ้าอาวาสวัดบวรนิเวศวิหารราชวรวิหาร ในปีเดียวกันนี้เองพระองค์ได้รับการสถาปนาที่ '''พระสาสนโสภณ''' พระองค์เข้ารับตำแหน่งกรรมการมหาเถรสมาคมตั้งแต่ปี พ.ศ. 2506 นอกจากนั้น ยังได้ทรงนิพนธ์ผลงานทางวิชาการ เอกสาร และตำราด้านพุทธศาสนาไว้มากมายhttp://www.sangharaja.org/home/index.php?mode=kit พระศาสนกิจทางการคณะสงฆ์ , สังฆราชดอตคอม, เข้าถึงวันที่ 27 เมษายน พ.ศ. 2556 === สมเด็จพระสังฆราช === ไฟล์:สถาปนาสมเด็จพระสังฆราช.jpg|250px|thumbnail|พระราชพิธีสถาปนาสมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปริณายก ณ พระอุโบสถวัดพระศรีรัตนศาสดาราม ในพระบรมมหาราชวัง เมื่อวันศุกร์ที่ 21 เมษายน พ.ศ. 2532 พ.ศ. 2515 พระองค์ได้รับพระราชทานสถาปนาเป็นสมเด็จพระราชาคณะที่ '''สมเด็จพระญาณสังวร''' ซึ่งเป็นราชทินนามที่พระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัยโปรดให้ตั้งขึ้นใหม่สำหรับพระราชทานสถาปนาสมเด็จพระอริยวงษญาณ (สุก ญาณสังวร) พระราชาคณะฝ่ายวิปัสสนาธุระเป็นครั้งแรก เมื่อ พ.ศ. 2359 ตำแหน่งสมเด็จพระราชาคณะที่สมเด็จพระญาณสังวร จึงเป็นตำแหน่งพิเศษที่โปรดพระราชทานสถาปนาแก่พระเถระผู้ทรงคุณทางวิปัสสนาธุระเท่านั้น เมื่อสมเด็จพระสังฆราชเจ้า กรมหลวงชินวราลงกรณ สมเด็จพระสังฆราชในขณะนั้นสิ้นพระชนม์ในปี พ.ศ. 2531 ทำให้ตำแหน่งสมเด็จพระสังฆราชว่างลง พระบาทสมเด็จพระมหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตรจึงมีพระบรมราชโองการโปรดเกล้าฯ สถาปนาพระองค์ขึ้นเป็นสมเด็จพระสังฆราชไทย|สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปริณายก ในราชทินนามเดิมคือ '''สมเด็จพระญาณสังวร''' ซึ่งราชทินนามดังกล่าวนับเป็นราชทินนามพิเศษ กล่าวคือ สมเด็จพระสังฆราชที่มิได้เป็นพระบรมวงศานุวงศ์นั้น โดยปกติจะใช้ราชทินนามว่า ''สมเด็จพระอริยวงศาคตญาณ'' บางพระองค์ ครั้งนี้จึงนับเป็นอีกหนึ่งครั้งมีการใช้ราชทินนาม ''สมเด็จพระญาณสังวร'' สำหรับสมเด็จพระสังฆราชเพื่อเป็นการยกย่องพระเกียรติคุณทางวิปัสสนาธุระของพระองค์ให้เป็นที่ประจักษ์ === ผู้ปฏิบัติหน้าที่แทนสมเด็จพระสังฆราช === ไฟล์:CaretakerSupremePatriarch.jpg|left|thumb|หนังสือ “ขอรับพระบัญชาสมเด็จพระสังฆราช” ที่ พศ 0006/3 วันที่ 15 มกราคม พ.ศ. 2547 ในช่วงที่สมเด็จพระญาณสังวร สมเด็จพระสังฆราช มีศาสนกิจที่จะต้องเสด็จไปต่างประเทศ พระองค์จะมีพระบัญชาแต่งตั้งผู้ปฏิบัติหน้าที่แทนสมเด็จพระสังฆราช โดยเมื่อครั้งพระองค์เสด็จประเทศจีนอย่างเป็นทางการ ตามคำกราบทูลอาราธนาของทบวงศาสนกิจ ประเทศจีน และเสด็จปฏิบัติศาสนกิจที่ประเทศเนปาล พระองค์มีพระบัญชาแต่งตั้งให้ สมเด็จพระพุทธโฆษาจารย์ (ฟื้น ชุตินฺธโร) เป็นผู้ปฏิบัติหน้าที่แทนสมเด็จพระสังฆราชราชกิจจานุเบกษา, http://www.ratchakitcha.soc.go.th/DATA/PDF/2536/D/089/38.PDF ประกาศกระทรวงศึกษาธิการ เรื่อง ผู้ปฏิบัติหน้าที่แทนสมเด็จพระสังฆราช สมเด็จพระพุทธโฆษาจารย์ (ฟื้น ชุตินธโร), เล่ม ๑๑๐, ตอน ๘๙ ง, ๘ กรกฎาคม พ.ศ. ๒๕๓๖, หน้า ๓๘ราชกิจจานุเบกษา, http://www.ratchakitcha.soc.go.th/DATA/PDF/2538/E/043/17.PDF ประกาศกระทรวงศึกษาธิการ เรื่อง ผู้ปฏิบัติหน้าที่แทนสมเด็จพระสังฆราช (สมเด็จพระพุทธโฆษาจารย์ (ฟื้น ชุตินธโร), เล่ม ๑๑๒, ตอน พิเศษ ๔๓ ง, ๑๗ พฤศจิกายน พ.ศ. ๒๕๓๘, หน้า ๑๗ นอกจากนี้ เมื่อครั้งที่พระองค์เสด็จปฏิบัติศาสนกิจที่ประเทศญี่ปุ่นและประเทศอินเดีย พระองค์มีพระบัญชาแต่งตั้งสมเด็จพระพุทธปาพจนบดี (ทองเจือ จินฺตากโร) เป็นผู้ปฏิบัติหน้าที่แทนสมเด็จพระสังฆราชราชกิจจานุเบกษา, http://www.ratchakitcha.soc.go.th/DATA/PDF/2541/E/032/3.PDF ประกาศกระทรวงศึกษาธิการ เรื่อง ผู้ปฏิบัติหน้าที่แทนสมเด็จพระสังฆราช, เล่ม ๑๑๕, ตอนพิเศษ ๓๒ ง, ๒๗ เมษายน พ.ศ. ๒๕๔๑, หน้า ๓ราชกิจจานุเบกษา, http://www.ratchakitcha.soc.go.th/DATA/PDF/2542/D/027/34.PDF ประกาศกระทรวงศึกษาธิการ เรื่อง ผู้ปฏิบัติหน้าที่แทนสมเด็จพระสังฆราช, เล่ม ๑๑๖, ตอน ๒๗ ง, ๖ เมษายน พ.ศ. ๒๕๔๒, หน้า ๓๔ ไฟล์:นายกรัฐมนตรี ถวายเครื่องสักการะสมเด็จพระญาณสังวรสมเด็จ - Flickr - Abhisit Vejjajiva.jpg|250px|thumb|นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี (ขณะนั้น) เข้าเฝ้าถวายเครื่องสักการะแด่เจ้าประคุณสมเด็จพระญาณสังวรฯ เนื่องในเทศกาลเข้าพรรษาประจำปี 2553 ณ ตึกวชิรญาณ-สามัคคีพยาบาร ชั้น 6 โรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์ สภากาชาดไทย เมื่อวันพฤหัสบดีที่ 29 กรกฎาคม พ.ศ. 2553 ช่วงปี พ.ศ. 2547 หลังจากที่สมเด็จพระญาณสังวร สมเด็จพระสังฆราช ประชวรและประทับรักษาพระอาการประชวร ณ โรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์ สภากาชาดไทย เข้าร่วมงานพระศาสนาไม่สะดวก มหาเถรสมาคม ซึ่งเป็นองค์กรปกครองคณะสงฆ์ ได้แต่งตั้งให้สมเด็จพระพุฒาจารย์ (เกี่ยว อุปเสโณ) เป็นผู้ปฏิบัติหน้าที่สมเด็จพระสังฆราชราชกิจจานุเบกษา, http://www.ratchakitcha.soc.go.th/DATA/PDF/00136151.PDF ประกาศสำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ เรื่อง แต่งตั้งคณะผู้ปฏิบัติหน้าที่สมเด็จพระสังฆราช , เล่ม ๑๒๑, ตอนพิเศษ ๓ง, ๑๔ มกราคม พ.ศ. ๒๕๔๗, หน้า ๒๘ ซึ่งสมเด็จพระสังฆราชได้มีพระบัญชาว่า “ทราบและเห็นชอบ” เมื่อวันที่ 26 มกราคม พ.ศ. 2547 ต่อมา การแต่งตั้งนั้นได้สิ้นสุดลงเพราะครบระยะเวลาที่กำหนด มหาเถรสมาคมจึงได้แต่งตั้งคณะผู้ปฏิบัติหน้าที่สมเด็จพระสังฆราช เพื่อบริหารกิจการคณะสงฆ์แทนสมเด็จพระญาณสังวร สมเด็จพระสังฆราช โดยประกอบด้วยพระราชาคณะ รวม 7 รูป จากพระอาราม 7 วัด โดยมีสมเด็จพระพุฒาจารย์ (เกี่ยว อุปเสโณ) ในฐานะมีอาวุโสสูงสุดโดยสมณศักดิ์ทำหน้าที่ประธานคณะผู้ปฏิบัติหน้าที่สมเด็จพระสังฆราชราชกิจจานุเบกษา, http://www.ratchakitcha.soc.go.th/DATA/PDF/0E/00143686.PDF ประกาศมติมหาเถรสมาคม ครั้งที่ ๒๐/๒๕๔๗ เรื่อง การแต่งตั้งคณะผู้ปฏิบัติหน้าที่สมเด็จพระสังฆราช, เล่ม ๑๒๑, ตอนพิเศษ ๗๙ ง, ๒๐ กรกฎาคม พ.ศ. ๒๕๔๗, หน้า ๑ผู้จัดการออนไลน์, http://www.manager.co.th/Politics/ViewNews.aspx?NewsID=9480000152276 สำนักนายกฯแถลง “สมเด็จญาณฯ” ทรงเป็นสมเด็จพระสังฆราชแต่เพียงพระองค์เดียว , 3 พฤศจิกายน 2548 === สิ้นพระชนม์ === ไฟล์:Phra Kot Kudan Yai for Somdej Phra Yannasangwon (3).jpg|thumb|200x200px|พระโกศกุดั่นใหญ่ ณ ตำหนักเพ็ชร วัดบวรนิเวศราชวรวิหาร เมื่อวันที่ 10 ธันวาคม พ.ศ. 2558 สมเด็จพระญาณสังวร สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปรินายก (เจริญ สุวฑฺฒโน) สิ้นพระชนม์เนื่องจากการติดเชื้อในพระกระแสโลหิต ณ โรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์ สภากาชาดไทย เมื่อวันพฤหัสบดีที่ 24 ตุลาคม พ.ศ. 2556 เวลา 19.30 น. วันศุกร์ที่ 25 ตุลาคม พ.ศ. 2556 เวลา 17.00 น. พระบาทสมเด็จพระมหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าโปรดกระหม่อมให้พระบาทสมเด็จพระวชิรเกล้าเจ้าอยู่หัว|สมเด็จพระบรมโอรสาธิราช เจ้าฟ้ามหาวชิราลงกรณ สยามมกุฎราชกุมาร (พระอิสริยยศในเวลานั้น) เสด็จพระราชดำเนินไปทรงปฏิบัติพระราชกรณียกิจแทนพระองค์ ไปในการพระราชพิธีถวายน้ำสรงพระศพ สมเด็จพระญาณสังวร สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปริณายก ณ ตำหนักเพชร วัดบวรนิเวศราชวรวิหาร อนึ่ง พระบาทสมเด็จพระมหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร ทราบฝ่าละอองทุลีพระบาทด้วยความเศร้าสลดพระราชหฤทัยอย่างยิ่ง จึงทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้ไว้ทุกข์ในพระราชสำนัก 15 วัน นับตั้งแต่วันศุกร์ที่ 25 ตุลาคม พ.ศ. 2556 ถึงวันศุกร์ที่ 8 พฤศจิกายน พ.ศ. 2556 และโปรดถวายพระโกศกุดั่นใหญ่ทรงพระศพ ประดิษฐานพระศพไว้ ณ ตำหนักเพชร วัดบวรนิเวศราชวรวิหาร และถวายเกียรติตามราชประเพณีทุกประการ เมื่อถึงวาระที่จะพระราชทานเพลิงพระศพอันเป็นปัจฉิมวาระแห่งการพระราชกุศล พระบาทสมเด็จพระมหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร ทรงพระกรุณาโปรดถวายพระโกศทองน้อยทรงพระศพโดยอนุโลมตามโบราณราชประเพณี มีพระบรมราชโองการโปรดเกล้าโปรดกระหม่อมให้เจ้าพนักงานจัดฉัตรตาดเหลือง 5 ชั้น กางกั้นพระโกศ ถวายเป็นเครื่องเพิ่มเติมพระเกียรติยศให้ปรากฏสืบไป วันพุธที่ 16 ธันวาคม พ.ศ. 2558 เวลา 16.30 น. พระบาทสมเด็จพระมหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าโปรดกระหม่อมให้สมเด็จพระบรมโอรสาธิราช เจ้าฟ้ามหาวชิราลงกรณ สยามมกุฎราชกุมาร (พระอิสริยยศในเวลานั้น) เสด็จพระราชดำเนินไปทรงปฏิบัติพระราชกรณียกิจแทนพระองค์ ไปในการพระราชพิธีพระราชทานเพลิงพระศพ สมเด็จพระญาณสังวร สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปริณายก ณ เมรุหลวงหน้าพลับพลาอิศริยาภรณ์ วัดเทพศิรินทราวาส|พระเมรุ วัดเทพศิรินทราวาสราชวรวิหาร ประดิษฐานพระอัฐิ ณ ตำหนักเดิม วัดบวรนิเวศราชวรวิหาร และประดิษฐานพระสรีรางคาร ณ พระวิหารเก๋ง วัดบวรนิเวศราชวรวิหาร ในปี พ.ศ. 2562 พระบาทสมเด็จพระวชิรเกล้าเจ้าอยู่หัว ได้ทรงสถาปนาพระอัฐิของสมเด็จพระญาณสังวร (เจริญ สุวฑฺฒโน) สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปริณายก ในฐานะกรรมวาจาจารย์|พระราชกรรมวาจาจารย์เมื่อครั้งทรงผนวช ขึ้นเป็น "สมเด็จพระสังฆราชเจ้า กรมหลวงวชิรญาณสังวร" ในการนี้ ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าโปรดกระหม่อมให้เจ้าพนักงานจัดฉัตรตาดเหลือง 5 ชั้น ถวายกางกั้นพระรูปบรรจุพระสรีรางคาร ณ วัดบวรนิเวศราชวรวิหาร กับทรงพระกรุณาโปรดเกล้าโปรดกระหม่อมให้แบ่งพระอัฐิบรรจุลงพระโกศทองคำ เชิญมาประดิษฐานในหอพระนาก วัดพระศรีรัตนศาสดาราม เพื่อเป็นที่ทรงสักการบูชาและทรงบำเพ็ญพระราชกุศลอุทิศถวายในพระฐานะพระบุพการีทางธรรมสืบไป == พระกรณียกิจ == === ด้านการพระศาสนาในต่างประเทศ === พระองค์ได้เป็นกำลังสำคัญในการดำเนินการมาโดยลำดับ ดังนี้ * พ.ศ. 2509 ในฐานะประธานกรรมการอำนวยการฝึกอบรมพระธรรมทูตในต่างประเทศ ได้เสด็จไปเป็นประธานสงฆ์ ในพิธีเปิดวัดพุทธประทีป ณ กรุงลอนดอน ประเทศอังกฤษ และดูกิจการพระธรรมทูตในประเทศอังกฤษและประเทศอิตาลี|อิตาลี * พ.ศ. 2511 เสด็จไปดูการพระศาสนา วัฒนธรรม และการศึกษาในประเทศอินโดนีเซีย ประเทศออสเตรเลีย|ออสเตรเลีย และประเทศฟิลิปปินส์|ฟิลิปปินส์ อันเป็นผลให้ต่อมาได้มีการวางแผนร่วมกับชาวพุทธอินโดนีเซีย ในอันที่จะฟื้นฟูพระพุทธศาสนาในประเทศนั้น และได้ส่งพระธรรมทูตชุดแรกไปยังอินโดนีเซีย เมื่อปี พ.ศ. 2512 ได้ส่งพระภิกษุจากวัดบวรนิเวศ ออกไปปฏิบัติศาสนกิจที่ประเทศออสเตรเลีย เมื่อปี พ.ศ. 2516, และตั้งสำนักสงฆ์ในปี พ.ศ. 2518 * พ.ศ. 2514 เสด็จไปดูการพระศาสนา และการศึกษาในประเทศเนปาล และอินเดีย ปากีสถาน ตะวันออก (บังคลาเทศ) ทำให้เกิดงานฟื้นฟูพระพุทธศาสนาในเนปาล ในขั้นแรก ได้ให้ทุนภิกษุ สามเณรเนปาลมาศึกษาพระพุทธศาสนาในไทย ที่วัดบวรนิเวศฯ * พ.ศ. 2520 เสด็จไปบรรพชาชาวอินโดนีเซีย จำนวน 43 คน ที่เมืองสมารัง ตามคำอาราธนาของคณะสงฆ์เถรวาทอินโดนีเซีย * พ.ศ. 2528 ทรงเป็นประธานคณะสงฆ์ ไปประกอบพิธีผูกพัทธสีมาอุโบสถ วัดจาการ์ต้าธรรมจักรชัย ณ ประเทศอินโดนีเซีย นับเป็นการผูกพันธสีมาอุโบสถวัดพระพุทธศาสนาเถรวาท เป็นครั้งแรกของประเทศอินโดนีเซีย และในปีเดียวกันนี้ ได้เสด็จไปเป็นประธานบรรพชากุลบุตรศากย แห่งเนปาล จำนวน 73 คน ณ กรุงกาฐมาณฑุ ประเทศเนปาล * พ.ศ. 2536 เสด็จไปเจริญศาสนาสัมพันธ์ระหว่างไทย-จีน เป็นครั้งแรก ที่ประเทศจีน ตามคำกราบทูลอาราธนาของรัฐบาลจีน * พ.ศ. 2538 เสด็จไปเป็นประธาน วางศิลาฤกษ์วัดไทย ณ ลุมพินี ประเทศเนปาล ซึ่งรัฐบาลไทยจัดสร้างถวายเป็นพุทธบูชา และเพื่อเฉลิมพระเกียรติพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช เนื่องในพระราชพิธีกาญจนาภิเษก พ.ศ. 2539|วโรกาสทรงครองสิริราชสมบัติครบ 50 ปี === ด้านสาธารณูปการ === ได้ทรงบูรณะซ่อมสร้างเสนาสนะ และถาวรวัตถุอันเป็นสาธารณประโยชน์เป็นจำนวนมาก กล่าวคือ ; ปูชนียสถาน: ได้แก่ มณฑปประดิษฐานพระพุทธบาทจำลอง พระเจดีย์ วัดบวรนิเวศวิหาร พระบรมธาตุ เจดีย์ศรีนครินทรมหาสันติคีรี ดอยแม่สลอง พระอาราม ได้แก่ วัดสันติคีรี ดอยแม่สลอง จังหวัดเชียงราย วัดรัชดาภิเศก อำเภอบ่อพลอย จังหวัดกาญจนบุรี วัดล้านนาสังวราราม อำเภอจอมทอง จังหวัดเชียงใหม่ วัดพุมุด อำเภอไทรโยค กาญจนบุรี วัดญาณสังวราราม อำเภอบางละมุง จังหวัดชลบุรี นอกจากนั้นยังทรงอุปถัมภ์วัดไทยในต่างประเทศอีกหลายแห่งคือ วัดพุทธรังสี นครซิดนีย์ ออสเตรเลีย วัดจาการ์ตาธรรมจักรชัย กรุงจาการ์ตา ประเทศอินโดนีเซีย วัดนครมณฑปศรีกีรติวิหาร เมืองกิรติปูร เนปาล ; โรงเรียน: ได้แก่ โรงเรียนสมเด็จพระญาณสังวร ยโสธร โรงเรียนสมเด็จพระปิยมหาราชรมณียเขต กาญจนบุรี ; โรงพยาบาล: ได้แก่ การสร้างตึกวชิรญาณวงศ์ ตึกวชิรญาณสามัคคีพยาบาร และตึก ภปร. โรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์, โรงพยาบาลสมเด็จพระปิยมหาราชรมณียเขต จังหวัดกาญจนบุรี, โรงพยาบาลวัดญาณสังวราราม จังหวัดชลบุรี, และโรงพยาบาลสกลมหาสังฆปรินายก เพื่อถวายเป็นอนุสรณ์ แด่สมเด็จพระสังฆราชแห่งกรุงรัตนโกสินทร์ทุกพระองค์ รวม 19 แห่ง ได้เริ่มก่อสร้างไปแล้วหลายแห่ง === พระภารกิจ === ไฟล์:Vajirañāṇasaṃvara 1961.jpg|right|thumb|200px|สมเด็จพระสังฆราชเจ้า กรมหลวงวชิรญาณสังวร ขณะทรงดำรงสมณศักดิ์เป็นรองสมเด็จพระราชาคณะ ที่พระสาสนโสภณ เมื่อ พ.ศ. 2504 * พ.ศ. 2484 เป็นสมาชิกสังฆสภาโดยตำแหน่ง เป็นกรรมการสังคายนาพระธรรมวินัย และเป็นผู้อำนวยการศึกษาสำนักเรียนวัดบวรนิเวศวิหาร * พ.ศ. 2489 เป็นพระวินัยธรชั้นอุทธรณ์ และเป็นกรรมการสภาการศึกษามหามกุฏราชวิทยาลัย * พ.ศ. 2493 เป็นกรรมการเถรสมาคม คณะธรรมยุต ประเภทชั่วคราว * พ.ศ. 2494 เป็นกรรมการอำนวยการมหามงกุฎราชวิทยาลัย และเป็นกรรมการแผนกตำราของมหามกุฏราชวิทยาลัย * พ.ศ. 2496 เป็นกรรมการตรวจชำระ คัมภีร์ฎีกา * พ.ศ. 2497 เป็นกรรมการเถรสมาคมคณะธรรมยุตประเภทถาวร * พ.ศ. 2499 เป็นพระอภิบาล (พระพี่เลี้ยง) ในพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดชซึ่งทรงพระผนวชและเสด็จประทับ ณ วัดบวรนิเวศวิหาร ได้เลื่อนสมณศักดิ์เป็นพระราชาคณะชั้นธรรม ที่พระธรรมวราภรณ์ และรักษาการวินัยธรชั้นฎีกา * พ.ศ. 2501 เป็นกรรมการคณะธรรมยุติ และเป็นกรรมการมูลนิธิส่งเสริมกิจการพระศาสนา และมนุษยธรรม (ก.ศ.ม.) * พ.ศ. 2503 เป็นสังฆมนตรีช่วยว่าการองค์การปกครองราชกิจจานุเบกษา, http://www.ratchakitcha.soc.go.th/DATA/PDF/2503/D/041/1437.PDF ประกาศตั้งคณะสังฆมนตรี, เล่ม 77, ตอนที่ 41, 17 พฤษภาคม 2503, หน้า 1437-9 สั่งการองค์การปกครองฝ่ายธรรมยุต * พ.ศ. 2504 เป็นเจ้าอาวาสวัดบวรนิเวศวิหาร เป็นผู้อำนวยการมหามกุฏราชวิทยาลัย เป็นประธานกรรมการสภาการศึกษามหามกุฏราชวิทยาลัย เป็นผู้รักษาการณ์เจ้าคณะธรรมยุตภาคทุกภาค และเป็นพระอุปัชฌาย์ * พ.ศ. 2506 เป็นกรรมการเถรสมาคม ซึ่งเป็นกรรมการชุดแรก ตาม พ.ร.บ. คณะสงฆ์ พ.ศ. 2505 * พ.ศ. 2515 เป็นเจ้าคณะกรุงเทพมหานครและสมุทรปราการ * พ.ศ. 2517 เป็นประธานกรรมการคณะธรรมยุต * พ.ศ. 2521 เป็นพระกรรมวาจาจารย์ ในพระราชพิธีทรงผนวช พันตรี สมเด็จพระบรมโอรสาธิราช เจ้าฟ้ามหาวชิราลงกรณ สยามมกุฎราชกุมาร ณ พระอุโบสถวัดพระศรีรัตนศาสดารามhttp://www.ratchakitcha.soc.go.th/DATA/PDF/2521/D/122/37.PDF หมายกำหนดการ พระราชพิธีทรงผนวช พันตรี สมเด็จพระบรมโอรสาธิราช เจ้าฟ้ามหาวชิราลงกรณ สยามมกุฏราชกุมาร ณ พระอุโบสถวัดพระศรีรัตนศาสดาราม พฤศจิกายน พุทธศักราช ๒๕๒๑ * พ.ศ. 2528 เป็นรองประธานกรรมการสังคีติการสงฆ์ ในการสังคายนาพระธรรมวินัย ตรวจชำระพระไตรปิฎก และเป็นสังฆปาโมกข์ปาลิวิโสธกะพระวินัยปิฎก เนื่องในวโรกาสมหามงคลเฉลิมพระชนมพรรษา 5 รอบ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว * พ.ศ. 2531 รักษาการเจ้าคณะใหญ่ธรรมยุต เป็นนายกกรรมการมหามกุฏราชวิทยาลัย และเป็นนายกสภาการศึกษามหามกุฏราชวิทยาลัย == พระนิพนธ์ == ทรงนิพนธ์เรื่องต่าง ๆ ไว้เป็นอันมาก ทั้งที่เป็นตำรา พระธรรมเทศนา และทั่วไป พอประมวลได้ดังนี้: '''ประเภทตำรา''' ทรงเรียบเรียง * วากยสัมพันธ์ ภาค 1-2 สำหรับใช้เป็นหนังสือประกอบ การศึกษาของนักเรียนบาลี และทรงอำนวยการจัดทำ * ปทานุกรม บาลี ไทย อังกฤษ สันสกฤต ฉบับพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระจันทบุรีนฤนาถ '''ประเภทพระธรรมเทศนา''' มีอยู่เป็นจำนวนมาก เท่าที่พิมพ์เป็นเล่มแล้ว เช่น: * ปัญจคุณ 5 กัณฑ์ * ทศพลญาณ 10 กัณฑ์ * มงคลเทศนา * โอวาทปาฏิโมกข์ 3 กัณฑ์ * สังฆคุณ 9 กัณฑ์ '''ประเภทงานแปลเป็นภาษาต่างประเทศ''' ทรงริเริ่มและดำเนินการให้แปลตำราทางพุทธศาสนา จากภาษาไทยเป็นภาษาอังกฤษ เพื่อใช้ในการศึกษาพระพุทธศาสนา เช่น: * นวโกวาท * วินัยมุข * พุทธประวัติ * ภิกขุปาติโมกข์ * อุปสมบทวิธี * ทำวัตรสวดมนต์ '''ประเภททั่วไป''' มีอยู่เป็นจำนวนมาก เช่น: * การนับถือพระพุทธศาสนา * หลักพระพุทธศาสนา * พระพุทธเจ้าของเรานั้นท่านล้ำเลิศ * 45 พรรษาพระพุทธเจ้า * พระพุทธเจ้าสั่งสอนอะไร (ไทย-อังกฤษ) * วิธีปฏิบัติตนให้ถูกต้องทางธรรมะ * พระพุทธศาสนากับสังคมไทย * เรื่องกรรม ศีล (ไทย-อังกฤษ) * แนวปฏิบัติในสติปัฎฐาน * อาหุเณยโย * อวิชชา * สันโดษ * หลักธรรมสำหรับการปฏิบัติอบรมจิต * การบริหารจิตสำหรับผู้ใหญ่ * บัณฑิตกับโลกธรรม * แนวความเชื่อ * บวชดี * บุพการี-กตัญญูกตเวที * คำกลอนนิราศสังขาร * ตำนานวัดบวรนิเวศ * วิธีสร้างบุญบารมี * แสงส่องใจ * ความซับซ้อนของกรรม * พุทธวิธีแก้หลง == พระเกียรติยศ == === ลำดับสมณศักดิ์ === * พ.ศ. 2490 พระราชาคณะชั้นสามัญ ที่ ''พระโศภณคณาภรณ์''ราชกิจจานุเบกษา, http://www.ratchakitcha.soc.go.th/DATA/PDF/2490/D/027/1526.PDF แจ้งความสำนักนายกรัฐมนตรี เรื่อง พระราชทานสัญญาบัตรตั้งสมณศักดิ์, เล่ม ๖๔, ตอน ๒๗ ง, ๑๗ มิถุนายน พ.ศ. ๒๔๙๐, หน้า ๑๕๒๖ * พ.ศ. 2495 พระราชาคณะชั้นราช ในราชทินนามเดิม * พ.ศ. 2498 พระราชาคณะชั้นเทพ ในราชทินนามเดิม * พ.ศ. 2499 พระราชาคณะชั้นธรรม ที่ ''พระธรรมวราภรณ์ บรมนริศรธรรมนีติสาธก ตรีปิฎกคุณวิภูสิต ธรรมวิทิตคณิสสร บวรสังฆาราม คามวาสี''ราชกิจจานุบเกษา, http://www.ratchakitcha.soc.go.th/DATA/PDF/2500/D/006/1.PDF แจ้งความสำนักคณะรัฐมนตรี เรื่อง พระราชทานสัญญาบัตรตั้งสมณศักดิ์, เล่ม ๗๔, ตอน ๖ ง ฉบับพิเศษ, ๑๒ มกราคม พ.ศ. ๒๕๐๐, หน้า ๑ * พ.ศ. 2504 พระราชาคณะเจ้าคณะรอง|รองสมเด็จพระราชาคณะ มีราชทินนามตามจารึกในหิรัญบัฏว่า ''พระสาสนโสภณ วิมลญาณสุนทร บรมนริศรธรรมนีติสาธก ตรีปิฎกธรรมาลังการวิภูสิต ธรรมยุตติกคณิสสร บวรสังฆาราม คามวาสี''ราชกิจจานุเบกษา, http://www.ratchakitcha.soc.go.th/DATA/PDF/2504/A/104/1.PDF ประกาศสถาปนาสมณศักดิ์, ตอนที่ 104, เล่ม 78, วันที่ 15 ธันวาคม พ.ศ. 2504, หน้า 13-16 * พ.ศ. 2515 สมเด็จพระราชาคณะ มีราชทินนามตามจารึกในสุพรรณบัฏว่า ''สมเด็จพระญาณสังวร บรมนริศรธรรมนีติสาธก ตรีปิฎกปริยัตติธาดา สัปตวิสุทธิจริยาสมบัติ อุดมศีลจารวัตรสุนทร ธรรมยุตติกคณิสสร บวรสังฆาราม คามวาสี อรัณยวาสี ''ราชกิจจานุเบกษา, http://www.ratchakitcha.soc.go.th/DATA/PDF/2515/A/202/1.PDF ประกาศสถาปนาสมณศักดิ์ (พระสาสณโสภณ เป็นสมเด็จพระราชาคณะ), ตอนที่ 102, เล่ม 89, วันที่ 31 ธันวาคม พ.ศ. 2515, หน้า 1-5 * 21 เมษายน พ.ศ. 2532 ทรงได้รับการสถาปนาเป็นสมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปริณายก มีพระนามตามจารึกในพระสุพรรณบัฏว่า ''สมเด็จพระญาณสังวร บรมนริศรธรรมนีติภิบาล สมเด็จพระอริยวงศาคตญาณ|อริยวงศาคตญาณวิมล สกลมหาสังฆปริณายก ตรีปิฎกปริยัตติธาดา วิสุทธจริยาธิสมบัติ สุวัฑฒนภิธานสงฆวิสุต ปาวจนุตตมพิสาร สุขุมธรรมวิธานธำรง วชิรญาณวงศวิวัฒ พุทธบริษัทคารวสถาน วิจิตรปฏิภาณพัฒนคุณ วิบุลสีลาจารวัตรสุนทร บวรธรรมบพิตร สรรพคณิศรมหาปธานาธิบดี คามวาสี อรัณยวาสี สมเด็จพระสังฆราช''ราชกิจจานุเบกษา, http://www.ratchakitcha.soc.go.th/DATA/PDF/2532/A/063/1.PDF ประกาศสถาปนาสมเด็จพระสังฆราช, ตอนที่ 63, เล่ม 106, วันที่ 21 เมษายน พ.ศ. 2532, หน้า 1-7 ===== ภายหลังการสิ้นพระชนม์ ===== * 28 กรกฎาคม พ.ศ. 2562 ทรงได้รับการสถาปนาพระอัฐิเป็น ''สมเด็จพระสังฆราชเจ้า กรมหลวงวชิรญาณสังวร วชิราลงกรณราชาภินิษกรมณาจารย์ สุขุมธรรมวิธานธำรง อริยวงศาคตญาณวิมล สกลมหาสังฆปริณายก ตรีปิฎกปริยัติธาดา วิสุทธจริยาธิสมบัติ สุวัฑฒนภิธานสังฆวิสุต ปาวจนุตตมพิสาร วชิรญาณวงศวิวัฒ พุทธบริษัทคารวสถาน วิจิตรปฏิภาณพัฒนคุณ วิบุลสีลาจารวัตรสุนทร สรรพคณิศรมหาสังฆาธิบดี ศรีสมณุดมบรมบพิตร'' === ตำแหน่งที่ได้รับการถวาย === ไฟล์:สมเด็จพระญาณสังวรฯ เป็นผู้นำพุทธศาสนาสูงสุดสากล.jpg|thumb|เอกสารถวายตำแหน่งผู้นำคณะสงฆ์สูงสุดแห่งโลกพระพุทธศาสนา * '''ผู้นำคณะสงฆ์สูงสุดแห่งโลกพระพุทธศาสนา''' (Supreme Holiness of World Buddhism) อันเป็นตำแหน่งที่ได้รับการทูลถวายจากผู้นำชาวพุทธโลกจาก 32 ประเทศเข้าร่วมประชุมสุดยอดพุทธศาสนิกชนแห่งโลก ณ ประเทศญี่ปุ่น เมื่อ พ.ศ. 2555 ในฐานะที่ทรงได้รับการเคารพอย่างสูงสุด รวมทั้งเป็นสมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปริณายกแห่งประเทศไทย ผู้สอนพระธรรมคำสั่งสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าให้ทุกคนปฏิบัติธรรมตั้งอยู่ในพระปัญญาธรรมและพระกรุณาธรรมนำ ไปสู่สันติภาพและความเจริญรุ่งเรืองมีพระบารมีปกแผ่ไพศาลไปทั่วราชอาณาจักรไทยและทั่วโลก นับเป็นแบบอย่างของสากลโลก ซึ่งเป็นการมอบตำแหน่งนี้เป็นครั้งแรกของโลกhttp://www.thairath.co.th/content/edu/290143 ถวาย "ผู้นำคณะสงฆ์สูงสุดแห่งโลกพุทธ", ไทยรัฐออนไลน์, เข้าถึงวันที่ 30 เมษายน พ.ศ. 2556http://www.dailynews.co.th/education/154352 สมเด็จพระสังฆราช“ผู้นำคณะสงฆ์สูงสุดแห่งโลกพระพุทธศาสนา”, เดลินิวส์ออนไลน์, เข้าถึงวันที่ 30 เมษายน พ.ศ. 2556 === ปริญญากิตติมศักดิ์ === พระองค์ได้รับการถวายปริญญากิตติมศักดิ์จากสถาบันการศึกษา ดังต่อไปนี้http://www.sangharaja.org/home/index.php?mode=his&id=43 ปริญญาดุษฎีบัณฑิต , สังฆราชดอตคอม, เข้าถึงวันที่ 28 เมษายน พ.ศ. 2556http://www.watbowon.com/Monk/ja/06/index12.htm สมเด็จพระญาณสังวร สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปริณายก เจ้าอาวาสลำดับที่ ๖ (หน้า 12) , วัดบวรนิเวศวิหาร, เข้าถึงวันที่ 28 เมษายน พ.ศ. 2556 * พ.ศ. 2529: ปรัชญาดุษฎีบัณฑิตกิตติมศักดิ์ จากมหาวิทยาลัยรามคำแหง * พ.ศ. 2532: อักษรศาสตรดุษฎีบัณฑิตกิตติมศักดิ์ จากมหาวิทยาลัยมหิดล * พ.ศ. 2533: พุทธศาสตรดุษฎีบัณฑิตกิตติมศักดิ์ จากมหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย * พ.ศ. 2537: ศิลปศาสตรดุษฎีบัณฑิตกิตติมศักดิ์ สาขาปรัชญาและศาสนา จากมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ * พ.ศ. 2538: การศึกษาดุษฎีบัณฑิตกิตติมศักดิ์ สาขาบริหารการศึกษา จากมหาวิทยาลัยนเรศวร * พ.ศ. 2539: ศิลปศาสตรดุษฎีบัณฑิตกิตติมศักดิ์ จากมหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ * พ.ศ. 2540: ศิลปศาสตรดุษฎีบัณฑิตกิตติมศักดิ์ สาขาวิชาภาษาไทย จากมหาวิทยาลัยขอนแก่นhttp://www.archive.kku.ac.th/kku-ar/index.php?option=com_content&task=view&id=20&Itemid=29 รายพระนามและรายนามผู้ได้รับปริญญาดุษฎีบัณฑิตกิตติมศักดิ์จากมหาวิทยาลัยขอนแก่น ปี 2511 - ปัจจุบัน , มหาวิทยาลัยขอนแก่น, เข้าถึงวันที่ 28 เมษายน พ.ศ. 2556 * พ.ศ. 2543: ศิลปศาสตรดุษฎีบัณฑิตกิตติมศักดิ์ สาขาวิชาปรัชญาและศาสนา จากมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์http://www.tu.ac.th/news/2000/06/05.htm มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ทูลเกล้าฯ ถวายปริญญาดุษฎีบัณฑิตกิตติมศักดิ์ , มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์, เข้าถึงวันที่ 28 เมษายน พ.ศ. 2556 * พ.ศ. 2545: ปรัชญาดุษฎีบัณฑิตกิตติมศักดิ์ สาขาวิชาไทศึกษา จากมหาวิทยาลัยมหาสารคาม สืบค้นเมื่อ 4 พฤศจิกายน พ.ศ. 2564. * พ.ศ. 2547: ครุศาสตรดุษฎีบัณฑิตกิตติมศักดิ์ สาขาการบริหารการศึกษา จากมหาวิทยาลัยราชภัฏกาญจนบุรี * พ.ศ. 2548: ครุศาสตรดุษฎีบัณฑิตกิตติมศักดิ์ สาขาการบริหารการศึกษา จากมหาวิทยาลัยราชภัฏมหาสารคาม * พ.ศ. 2554: ครุศาสตรดุษฎีบัณฑิตกิตติมศักดิ์ สาขาการบริหารการศึกษา จากมหาวิทยาลัยราชภัฏภูเก็ตhttp://www.thairath.co.th/content/royal/206223 บำเพ็ญพระกุศล สังฆราช 98 พรรษา, ไทยรัฐออนไลน์, เข้าถึงวันที่ 28 เมษายน พ.ศ. 2556 * พ.ศ. 2556: ศาสนศาสตรดุษฎีบัณฑิตกิตติมศักดิ์ สาขาวิชาพุทธศาสน์ศึกษา จากมหาวิทยาลัยมหามกุฏราชวิทยาลัยhttp://www.matichon.co.th/news_detail.php?newsid=1380274715&grpid=&catid=19&subcatid=1904 มมร.ทูลถวายปริญญาเอกพุทธศาสน์ศึกษาแด่พระสังฆราช ฉลองพระชนมายุ 100 พรรษา , มติชนออนไลน์, เข้าถึงวันที่ 27 กันยายน พ.ศ. 2556 ==สถานที่เนื่องด้วยพระนาม== *ตำบลสมเด็จเจริญ อำเภอหนองปรือ จังหวัดกาญจนบุรี *โรงพยาบาลสมเด็จพระสังฆราชองค์ที่ 19 (เจริญ สุวฑฺฒโน) จังหวัดกาญจนบุรี อำเภอท่าม่วง จังหวัดกาญจนบุรี *โรงพยาบาลญาณสังวร เชียงราย *โรงพยาบาลญาณสังวร ชลบุรี *ตึก 100 ปี สมเด็จพระญาณสังวร สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปรินายก โรงพยาบาลพหลพลพยุหเสนา จังหวัดกาญจนบุรี *อาคารเทิดพระเกียรติสมเด็จพระญาณสังวร (เจริญ สุวฑฺฒโน) สภากาชาดไทย *วัดญาณสังวรารามวรมหาวิหาร อำเภอบางละมุง จังหวัดชลบุรี *อาคารสมเด็จพระญาณสังวร โรงพยาบาลสมเด็จพระสังฆราชองค์ที่ 19 (เจริญ สุวฑฺฒโน) จังหวัดกาญจนบุรี *ศูนย์สุขภาพพระสงฆ์ สมเด็จพระสังฆราชองค์ที่ 19 ตำบลวังด้ง อำเมืองกาญจนบุรี จังหวัดกาญจนบุรี == งานฉลองพระชันษา 96 ปี (8 รอบ) == 3 ตุลาคม พ.ศ. 2552 สมเด็จพระญาณสังวร สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปรินายก ทรงเจริญพระชันษาครบ 96 ปี รัฐบาลจัดให้มีการบำเพ็ญกุศล และงานฉลองเนื่องในโอกาสมงคลนี้ == งานฉลองพระชันษา 100 ปี == งานแสดงมุทิตาจิต ฉลองพระชันษา 100 ปี สมเด็จพระญาณสังวร สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปริณายก ในวันพฤหัสบดีที่ 3 ตุลาคม พ.ศ. 2556 ณ ตึกวชิรญาณ-สามัคคีพยาบาร โรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์ *เวลา 08.00 น. สมเด็จพระญาณสังวร สมเด็จพระสังฆราช เสด็จฯ ออกทรงรับบาตรจากศิษยานุศิษย์ และ ประชาชนทั่วไป *เวลา 09.00 น. ศิลปิน ดารา นักร้อง ที่จะมาร่วมรณรงค์รับบริจาคเงิน เพื่อโดยเสด็จพระกุศล สมเด็จพระสังฆราชให้โรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์ เข้าเฝ้าฯ ถวายพระพรและรับประทานเกียรติบัตร และออกรณรงค์รับบริจาคตามคลินิกผู้ป่วยนอก / หอผู้ป่วยพิเศษ / สำนักงาน *เวลา 11.00 น. ถวายภัตตาหารเพล ณ ตึกวชิรญาณ สามัคคีพยาบาร ชั้น 5 *เวลา 13.00 น. การบรรยายพิเศษ “ใส่บาตรอย่างไร ได้บุญ ไกลโรค” ณ ห้องประชุมเฉลิม พรมมาส ตึก อปร. *เวลา 13.30 น. สมเด็จพระญาณสังวร สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปริณายก ทรงรับน้ำสรงพระราชทาน จากพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว สมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ และบรมวงศานุวงศ์ทุก พระองค์ เนื่องในงานฉลองพระชันษา 100 ปี *เวลา 15.00 น. สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี เสด็จฯ เป็นองค์ประธานทอดผ้าป่าสามัคคี 84,000 กอง *เวลา 15.30 - 16.45 น. สมเด็จพระญาณสังวร สมเด็จพระสังฆราช โปรดฯ ให้ศิษยานุศิษย์และประชาชนทั่วไปเข้าเฝ้าฯ ถวายพระพร *เวลา 17.00 น. พิธีเจริญพระพุทธมนต์แสดงมุทิตาจิตฉลองสมเด็จพระญาณสังวร สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปริณายก เนื่องในงานฉลองพระชันษา 100 ปี *เวลา 18.00 น. พิธีลาบวชเนกขัมมบารมี 101 คน == พงศาวลี == == อ้างอิง == ; เชิงอรรถ ; บรรณานุกรม * == แหล่งข้อมูลอื่น == * หมวดหมู่:สมเด็จพระสังฆราชเจ้า หมวดหมู่:กรมหลวง หมวดหมู่:สังฆมนตรีช่วยว่าการองค์การปกครอง หมวดหมู่:เจ้าคณะใหญ่คณะธรรมยุต หมวดหมู่:เจ้าอาวาสวัดบวรนิเวศราชวรวิหาร หมวดหมู่:เปรียญธรรม 9 ประโยค หมวดหมู่:ชาวไทยเชื้อสายจีน หมวดหมู่:ชาวไทยเชื้อสายเวียดนาม หมวดหมู่:ชาวไทยที่มีอายุเกิน 100 ปี หมวดหมู่:ผู้ได้รับปริญญากิตติมศักดิ์จากมหาวิทยาลัยรามคำแหง หมวดหมู่:ผู้ได้รับปริญญากิตติมศักดิ์จากมหาวิทยาลัยมหิดล หมวดหมู่:ผู้ได้รับปริญญากิตติมศักดิ์จากมหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย หมวดหมู่:ผู้ได้รับปริญญากิตติมศักดิ์จากมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ หมวดหมู่:ผู้ได้รับปริญญากิตติมศักดิ์จากมหาวิทยาลัยนเรศวร หมวดหมู่:ผู้ได้รับปริญญากิตติมศักดิ์จากมหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ หมวดหมู่:ผู้ได้รับปริญญากิตติมศักดิ์จากมหาวิทยาลัยขอนแก่น หมวดหมู่:ผู้ได้รับปริญญากิตติมศักดิ์จากมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ หมวดหมู่:ผู้ได้รับปริญญากิตติมศักดิ์จากมหาวิทยาลัยมหาสารคาม หมวดหมู่:ผู้ได้รับปริญญากิตติมศักดิ์จากมหาวิทยาลัยราชภัฏมหาสารคาม หมวดหมู่:ผู้ได้รับปริญญากิตติมศักดิ์จากมหาวิทยาลัยราชภัฏภูเก็ต หมวดหมู่:ผู้ได้รับปริญญากิตติมศักดิ์จากมหาวิทยาลัยมหามกุฏราชวิทยาลัย หมวดหมู่:บุคคลจากอำเภอเมืองกาญจนบุรี หมวดหมู่:เสียชีวิตจากภาวะพิษเหตุติดเชื้อ หมวดหมู่:ภิกษุจากจังหวัดกาญจนบุรี หมวดหมู่:บุคคลในประวัติศาสตร์กรุงรัตนโกสินทร์
สมเด็จพระสังฆราชเจ้า กรมหลวงวชิรญาณสังวร
กล่องข้อมูล ชีวประวัติ 2 | name = คาร์ล เซแกน | image = Carl Sagan Planetary Society.JPG | alt = | caption = | birth_date = | birth_place = บรุกลิน นครนิวยอร์ก สหรัฐอเมริกา | death_date = | death_place = ซีแอตเติล รัฐวอชิงตัน สหรัฐอเมริกา | nationality = อเมริกัน | other_names = | known_for = เซติ|โครงการเซติCosmos: A Personal Voyageแผ่นจานทองคำในยานวอยเอจเจอร์แผ่นจานทองคำในยานไพโอเนียร์คอนแทค (นวนิยาย)|''Contact''เพลบลูดอต | occupation = นักดาราศาสตร์ '''คาร์ล เซแกน''' (; 9 พฤศจิกายน ค.ศ. 1934 – 20 ธันวาคม ค.ศ. 1996) เป็นนักดาราศาสตร์สหรัฐอเมริกา|ชาวอเมริกัน ผู้เชี่ยวชาญเกี่ยวกับบรรยากาศของดาวเคราะห์ต่าง ๆ เซแกนได้ศึกษาว่าสิ่งมีชีวิตเกิดขึ้นและมีวิวัฒนาการบนโลกอย่างไร สนใจถึงความเป็นไปได้ที่จะมีสิ่งมีชีวิตอยู่บนดาวอื่นเป็นพิเศษ เซแกนเป็นคนริเริ่มความคิดที่จะติดตั้งแผ่นป้ายบนไพโอเนียร์ 10|ยานสำรวจอวกาศไพโอเนียร์ 10 ที่เป็นเหมือนจดหมายจากโลก ยานไพโอเนียร์ 10 ผ่านเข้าใกล้ดาวพฤหัสบดีใน ค.ศ. 1973 ก่อนที่จะออกไปยังขอบนอกของระบบสุริยะแล้วออกสู่อวกาศ แผ่นป้ายแบบเดียวกันติดไปกับไพโอเนียร์ 11|ยานสำรวจอวกาศไพโอเนียร์ 11 ในปีต่อมา นอกจากงานด้านดาราศาสตร์แล้ว เซแกนยังมีชื่อเสียงจากนิยายวิทยาศาสตร์เรื่อง ''Contact'' ซึ่งเกี่ยวกับความพยายามของมนุษย์ในการค้นหาสิ่งมีชีวิตทรงภูมิปัญญานอกโลก นิยายเรื่องนี้ ภายหลังได้ถูกนำไปสร้างเป็นภาพยนตร์ในชื่อเดียวกัน (ชื่อภาษาไทยคือ "อุบัติการสัมผัสห้วงอวกาศ|คอนแทค อุบัติการณ์สัมผัสห้วงจักรวาล") นำแสดงโดย โจดี้ ฟอสเตอร์ == ประวัติ == คาร์ล เซแกน เกิดที่บรุกลิน นครนิวยอร์กPoundstone, William (1999). ''Carl Sagan: A Life in the Cosmos''. New York: Henry Holt & Company. pp. 363–364, 374–375. ISBN 0-8050-5766-8. ในครอบครัวชาวยิวรัสเซีย พ่อของเขาคือ แซม เซแกน พนักงานโรงงานทอผ้าที่อพยพมาจากรัสเซีย แม่ของเขาคือ ราเชล มอลลี กรูเบอร์ เป็นแม่บ้าน ชื่อ ''คาร์ล'' มาจากชื่อแม่ของราเชล คือ คลารา เซแกนจบการศึกษาจากโรงเรียนมัธยมราห์เวย์ ในเมืองราห์เวย์ นิวเจอร์ซีย์ ใน ค.ศ. 1951Davidson, Keay (1999). ''Carl Sagan: A Life''. John Wiley & Sons. pp. 33–41. ISBN 0-471-25286-7. และได้เข้าศึกษาต่อที่มหาวิทยาลัยชิคาโก ที่นี่เขาได้เข้าร่วมสมาคมดาราศาสตร์รายร์สัน ได้รับปริญญาศิลปศาสตรบัณฑิตเกียรตินิยมใน ค.ศ. 1954 วิทยาศาสตร์บัณฑิตใน ค.ศ. 1955 วิทยาศาสตร์มหาบัณฑิตสาขาฟิสิกส์ ใน ค.ศ. 1956 จากนั้นจึงได้รับดุษฎีบัณฑิตในปี ค.ศ. 1960 ในสาขาดาราศาสตร์และฟิสิกส์ดาราศาสตร์ เมื่ออายุได้ 26 ปีhttp://chronicle.uchicago.edu/931111/sagan.shtml Graduate students receive first Sagan teaching awards ระหว่างที่ศึกษาปริญญาตรี เซแกนใช้เวลาว่างทำงานในห้องทดลองของนักพันธุวิทยา H. J. Muller ต่อมาในปี 1960-1962 เขาได้รับทุนวิจัย Miller Fellow ที่มหาวิทยาลัยแคลิฟอร์เนีย ปี 1962-1968 ได้เข้าทำงานที่หอดูดาวฟิสิกส์ดาราศาสตร์สมิธโซเนียน ที่เมืองเคมบริดจ์ รัฐแมสซาชูเซตส์ เซแกนเป็นผู้บรรยายและทำวิจัยที่มหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ดทุกปีจนถึง ค.ศ. 1968 จึงได้ย้ายไปอยู่มหาวิทยาลัยคอร์เนลในนิวยอร์ก เขาได้เลื่อนตำแหน่งเป็นศาสตราจารย์ที่คอร์เนลใน ค.ศ. 1971 และได้เป็นผู้อำนวยการห้องทดลองวิทยาศาสตร์ดาวเคราะห์ที่นี่ ช่วง ค.ศ. 1972-1981 เซแกนได้เป็นผู้ช่วยผู้อำนวยการศูนย์วิจัยวิทยุสำหรับฟิสิกส์และอวกาศ ที่คอร์เนล เซแกนเป็นนักวิทยาศาสตร์ที่ทำงานกับโครงการสำรวจอวกาศของสหรัฐอเมริกานับแต่แรกเริ่ม นับแต่คริสต์ทศวรรษ 1950 เป็นต้นมา เขาทำงานเป็นที่ปรึกษาให้กับองค์การนาซา หน้าที่หนึ่งขณะที่เขาทำงานให้กับองค์การอวกาศแห่งนี้คือการบรรยายแก่นักบินอวกาศในโครงการอพอลโลก่อนที่พวกเขาจะไปสู่ดวงจันทร์ เซแกนให้การสนับสนุนต่อโครงการยานอวกาศแบบขับเคลื่อนด้วยหุ่นยนต์หลายโครงการที่ออกไปสำรวจระบบสุริยะตลอดช่วงชีวิตของเขา เขาเป็นผู้ริเริ่มแนวคิดในการนำข้อมูลข่าวสารอันเป็นสากลให้ติดไปบนยานอวกาศที่ตั้งเป้าเดินทางออกนอกระบบสุริยะ เพื่อให้สิ่งมีชีวิตทรงภูมิปัญญาที่อาจมาพบมันเข้าจะได้เข้าใจได้ เซแกนเป็นผู้เรียบเรียงข้อมูลชุดแรกที่ส่งออกไปสู่อวกาศในรูปของแผ่นจานทองคำ ที่ติดไปกับยานสำรวจอวกาศ ไพโอเนียร์ 10 ส่งขึ้นสู่อวกาศใน ค.ศ. 1972 ต่อมายานไพโอเนียร์ 11 ก็ได้นำแผ่นจานลักษณะเดียวกันนี้อีกแผ่นหนึ่งไปด้วยเมื่อขึ้นสู่อวกาศในปีถัดไป เซแกนยังคงปรับแต่งแผ่นจานข้อมูลนี้อยู่ตลอดชีวิตของเขา ชุดที่บรรจงสร้างอย่างประณีตที่สุด คือ ''แผ่นจานทองคำของวอยเอจเจอร์'' ที่เขาพัฒนาและติดตั้งไว้บนยานวอยเอจเจอร์ ที่ถูกส่งออกไปใน ค.ศ. 1977 นอกจากนี้เซแกนยังมักยื่นข้อเสนอกับเงินทุนสนับสนุนโครงการกระสวยอวกาศและสถานีอวกาศ ให้นำไปพัฒนาโครงการสำรวจอวกาศด้วยหุ่นยนต์แทนCharlie Rose interview, January 5, 1994 เซแกนสอนวิชาการคิดเชิงวิพากษ์ที่มหาวิทยาลัยคอร์เนลจนถึง ค.ศ. 1996 ซึ่งเขาเสียชีวิตด้วยโรคเกี่ยวกับเนื้อเยื่อในโพรงกระดูกอันพบได้ค่อนข้างยาก วิชาที่เซแกนสอนนั้นจำกัดจำนวนที่นั่งเพียงภาคเรียนละ 20 ที่นั่ง แต่ในแต่ละปี มีนักศึกษาหลายร้อยคนที่ขอลงทะเบียนเรียนกับเขา หลังจากเซแกนเสียชีวิต หลักสูตรนี้ก็ปิดตัวลง จนกระทั่งถึง ค.ศ. 2000 จึงได้เปิดสอนอีกครั้งโดย Dr. Yervant Terzian == ความสำเร็จทางวิทยาศาสตร์ == เซแกนให้ความสนใจกับการสำรวจพื้นผิวอุณหภูมิสูงของดาวศุกร์ ในช่วงต้นคริสต์ทศวรรษ 1960 ยังไม่มีใครทราบถึงสภาวะที่แท้จริงของพื้นผิวดาวดวงนั้น เซแกนได้จัดทำรายการความเป็นไปได้ในรายงานฉบับหนึ่ง ซึ่งภายหลังได้เผยแพร่ในหนังสือของ Time-Life ชื่อ ''Planets'' และมีชื่อเสียงมาก มุมมองของเซแกนคือ พื้นผิวดาวศุกร์แห้งผากอย่างยิ่งและร้อนมาก ตรงกันข้ามกับภาพของสรวงสวรรค์ที่เคยจินตนาการกันมาแต่ก่อน เขาได้ตรวจสอบการแผ่รังสีคลื่นวิทยุจากดาวศุกร์และสรุปว่าอุณหภูมิพื้นผิวของดาวศุกร์สูงถึง 500&nbsp;°C (900&nbsp;°F) เมื่อครั้งที่เป็นนักวิทยาศาสตร์รับเชิญไปยังห้องทดลองการขับเคลื่อนด้วยไอพ่นของนาซ่า เขาได้ช่วยเหลือโครงการมาริเนอร์อันเป็นภารกิจสู่ดาวศุกร์ โดยทำหน้าที่ออกแบบยานและบริหารโครงการ ผลสำรวจจากยานมาริเนอร์ 2 ในปี ค.ศ. 1962 ช่วยยืนยันข้อสรุปของเซแกนเกี่ยวกับพื้นผิวของดาว เซแกนเป็นนักวิทยาศาสตร์กลุ่มแรกๆ ที่ทำนายว่า ไททัน (ดวงจันทร์)|ไททัน ดวงจันทร์บริวาร|ดวงจันทร์ของดาวเสาร์น่าจะมีพื้นผิวห่อหุ้มด้วยมหาสมุทร และ ยูโรปา (ดวงจันทร์)|ยูโรปา ดวงจันทร์ของดาวพฤหัสบดีน่าจะมีชั้นใต้พื้นผิวเต็มไปด้วยน้ำเช่นเดียวกัน ซึ่งทำให้ยูโรปาเป็นดาวที่มีความเป็นไปได้สำหรับอยู่อาศัยงานวิจัยของเซแกนในสาขาวิทยาศาสตร์ดาวเคราะห์ ได้รวบรวมไว้โดย วิลเลียม พาวด์สโตน ในชีวประวัติเซแกนที่พาวด์สโตนรวบรวมไว้ มีบันทึกรายการบทความทางวิทยาศาสตร์ของเซแกนที่พิมพ์เผยแพร่ระหว่าง ค.ศ. 1957-1998 ความยาวกว่า 8 หน้า รายละเอียดข้อมูลเกี่ยวกับผลงานทางวิทยาศาสตร์ของเซแกนส่วนมากนำมาจากบทความวิจัยเหล่านี้ เช่น : Sagan, C., Thompson, W. R., and Khare, B. N. Titan: ''A Laboratory for Prebiological Organic Chemistry'', Accounts of Chemical Research, volume 25, page 286 (1992). ซึ่งเป็นบทความอธิบายถึงรายละเอียดงานวิจัยเกี่ยวกับไททัน จาก http://www.daviddarling.info/encyclopedia/T/Titanprebiotic.html Encyclopedia of Astrobiology, Astronomy, and Spaceflight. ในเวลาต่อมา ยานอวกาศกาลิเลโอได้ยืนยันการมีอยู่ของชั้นผิวมหาสมุทรของยูโรปา เซแกนยังมีส่วนช่วยไขปัญหาความลึกลับของหมอกแดงที่เห็นอยู่บนไททัน เขาเห็นว่ามันคือโมเลกุลอินทรีย์อันซับซ้อนที่ตกลงเหมือนฝนสู่พื้นผิวของดวงจันทร์ เขายังให้ความสนใจอย่างต่อเนื่องกับชั้นบรรยากาศของดาวศุกร์และดาวพฤหัสบดี รวมถึงการเปลี่ยนแปลงของฤดูกาลบนดาวอังคาร เซแกนเป็นผู้ริเริ่มทฤษฎีว่าชั้นบรรยากาศของดาวศุกร์นั้นร้อนจัดมาก และมีความหนาแน่นสูงมากโดยมีแรงดันเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ เมื่อลงไปใกล้ถึงระดับพื้นผิว เขายังคาดการณ์ถึงสภาวะโลกร้อน อันเป็นอันตรายที่เพิ่มพูนขึ้นเรื่อยๆ จากฝีมือมนุษย์ โดยโยงปรากฏการณ์นี้เข้ากับการพัฒนาการของดาวศุกร์อันมีลักษณะคล้ายปรากฏการณ์เรือนกระจก ซึ่งกลายเป็นดาวเคราะห์ที่ร้อนและไม่สามารถอยู่อาศัยได้ เซแกนกับเพื่อนร่วมงานที่มหาวิทยาลัยคอร์เนล เอ็ดวิน เออร์เนสต์ ซัลปีเตอร์ ได้ทำนายถึงชีวิตที่มีอยู่ในกลุ่มเมฆของดาวพฤหัสบดี เนื่องจากชั้นบรรยากาศอันหนาแน่นของดาวนั้นอุดมไปด้วยโมเลกุลอินทรีย์ เซแกนเฝ้าสังเกตการเปลี่ยนแปลงของสีของพื้นผิวดาวอังคาร และสรุปว่าไม่มีฤดูกาลหรือปรากฏการณ์ใดๆ อันเนื่องมาจากพืชพันธุ์ไม้บนดาวดวงนั้นดังที่คนส่วนใหญ่เชื่อกันในเวลานั้น เขาบอกว่าการเปลี่ยนแปลงของสีบนพื้นผิวเป็นผลจากฝุ่นผงที่ถูกพายุพัดเท่านั้น ผลงานของเซแกนที่สร้างชื่อเสียงแก่เขามากที่สุด คืองานวิจัยเกี่ยวกับเซติ|ความเป็นไปได้ของสิ่งมีชีวิตต่างดาว รวมถึงการทดลองสร้างกรดอมิโนขึ้นจากองค์ประกอบเคมีพื้นฐานโดยอาศัยรังสีThe Columbia Encyclopedia. http://www.bartelby.com/65/sa/Sagan-Ca.html "Sagan, Carl Edward". Sixth Edition. สำนักพิมพ์มหาวิทยาลัยโคลัมเบีย. เก็บข้อมูลเมื่อ 2007-05-02. ใน ค.ศ. 1994 เซแกนได้รับเหรียญรางวัล Public Welfare Medal ซึ่งเป็นรางวัลสูงสุดขององค์กรวิทยาศาสตร์แห่งชาติ สหรัฐอเมริกา (National Academy of Sciences) ในฐานะ "ผู้อุทิศตนในการประยุกต์ความรู้ทางวิทยาศาสตร์เพื่อประโยชน์สุขของมนุษยชาติ"http://www.planetary.org/about/founders/carl_sagan.html "Carl Sagan" . The Planetary Society. เก็บข้อมูลเมื่อ 2007-05-14. == รางวัลและเกียรติยศ == ไฟล์:NASA Distinguished Public Service Medal.png|thumb|right|เหรียญรางวัลนาซา ผู้อุทิศตนแก่สาธารณประโยชน์ * รางวัลประจำปีสำหรับรายการโทรทัศน์ยอดเยี่ยม - 1981 - มหาวิทยาลัยรัฐโอไฮโอ - PBS series ''Cosmos: A Personal Voyage|Cosmos'' * โครงการอพอลโล|Apollo Achievement Award - องค์การนาซา * เหรียญรางวัลนาซา ผู้อุทิศตนแก่สาธารณประโยชน์ - องค์การนาซา (ได้รับ 2 ครั้ง) * รางวัลเอ็มมี - Outstanding Individual Achievement - 1981 - PBS series ''Cosmos'' * รางวัลเอ็มมี - Outstanding Informational Series - 1981 - PBS series ''Cosmos'' * NASA Exceptional Achievement Medal|Exceptional Scientific Achievement Medal - องค์การนาซา * Helen Caldicott Leadership Award - Women's Action for Nuclear Disarmament * รางวัลฮิวโก - 1981 - ''Cosmos'' * Humanist of the Year - 1981 - Awarded by the American Humanist Association * In Praise of Reason Award - 1987 - คณะกรรมการการสืบสวนทางวิทยาศาสตร์เกี่ยวกับการกล่าวอ้างปรากฏการณ์เหนือธรรมชาติ (Committee for the Scientific Investigation of Claims of the Paranormal) * รางวัลไอแซก อสิมอฟ - 1994 - คณะกรรมการการสืบสวนทางวิทยาศาสตร์เกี่ยวกับการกล่าวอ้างปรากฏการณ์เหนือธรรมชาติ * รางวัล John F. Kennedy Astronautics - สมาคมนักบินอวกาศแห่งสหรัฐอเมริกา * รางวัล จอห์น ดับเบิลยู. แคมป์เบล อนุสรณ์ - 1974 - ''Cosmic Connection: An Extraterrestrial Perspective'' * รางวัล Joseph Priestley - "สำหรับการอุทิศตนเพื่อประโยชน์ของมนุษยชาติ" * Klumpke-Roberts Award จาก สมาคมดาราศาสตร์แห่งแปซิฟิก - 1974 * เหรียญรางวัล Konstantin Tsiolkovsky - มอบให้โดยสมาพันธ์นักบินอวกาศโซเวียต * รางวัลโลกัส โพล|รางวัลโลกัส 1986 - ''คอนแทค (นวนิยาย)|Contact'' * รางวัลโลเวลล์ โทมัส - ชมรมนักสำรวจ - โอกาสครบรอบ 75 ปี * Masursky Award - สมาคมดาราศาสตร์อเมริกัน * ทุนวิจัยมิลเลอร์ - สถาบันมิลเลอร์ (1960–1962) * หอเกียรติยศนิวเจอร์ซีย์ - 2009 inductee http://news.yahoo.com/s/ap/20090202/ap_en_mu/people_nj_hall_of_fame;_ylt=AlZVKwTMpyR6gahss6B1PmtxFb8C New Jersey to Bon Jovi: You Give Us a Good Name Yahoo News, February 2, 2009 * Oersted Medal - 1990 - สมาคมครูฟิสิกส์แห่งอเมริกัน * Peabody Award - 1980 - PBS series ''Cosmos'' * Prix Galbert - The international prize of Astronautics * เหรียญรางวัล Public Welfare Medal - 1994 - องค์กรวิทยาศาสตร์แห่งชาติ สหรัฐอเมริกา * รางวัลพูลิตเซอร์|รางวัลพูลิตเซอร์ ประเภทวรรณกรรมทั่วไป - 1978 - ''The Dragons of Eden'' * SF Chronicle Award - 1998 - ''อุบัติการสัมผัสห้วงอวกาศ|Contact'' * ได้รับยกย่องเป็น "99th Greatest American" (ชาวอเมริกันผู้ยิ่งใหญ่ คนที่ 99) เมื่อวันที่ 5 มิถุนายน ค.ศ. 2005 จากรายการ ''Greatest American'' ทางช่อง Discovery Channel == อ้างอิง == == แหล่งข้อมูลอื่น == * http://www.carlsagan.com/ The Carl Sagan Portal * http://www.imdb.com/name/nm0755981/ Carl Sagan at the Internet Movie Database * ''http://www.stephenjaygould.org/ctrl/sagan_science.html Can We Know the Universe? '' – 1979 essay โดย Carl Sagan นำมาจากหนังสือของเขา ชื่อ ''Broca's Brain'' หมวดหมู่:นักวิทยาศาสตร์ หมวดหมู่:นักดาราศาสตร์ หมวดหมู่:นักดาราศาสตร์ชาวอเมริกัน หมวดหมู่:นักเขียนชาวอเมริกัน หมวดหมู่:การสำรวจอวกาศ หมวดหมู่:SETI หมวดหมู่:ชาวอเมริกันเชื้อสายรัสเซีย หมวดหมู่:บุคคลจากบรุกลิน หมวดหมู่:ศิษย์เก่าจากมหาวิทยาลัยชิคาโก หมวดหมู่:บุคคลจากมหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ด หมวดหมู่:บุคคลจากมหาวิทยาลัยคอร์เนล
คาร์ล เซแกน
Infobox Person | honorific prefix = พลตรี|พลตรีหญิง ท่านผู้หญิง | name = ศรีรัศมิ์ สุวะดี | honorific suffix = ปฐมจุลจอมเกล้า|ป.จ., เครื่องราชอิสริยาภรณ์อันเป็นที่เชิดชูยิ่งช้างเผือก|ม.ป.ช., เครื่องราชอิสริยาภรณ์อันมีเกียรติยศยิ่งมงกุฎไทย|ม.ว.ม. | image = HRH Srirasmi (Cropped).jpg | caption = | birth_date = | birth_place = จังหวัดสมุทรสงคราม ประเทศไทย | alma_mater = มหาวิทยาลัยสุโขทัยธรรมาธิราช (Bachelor of Management Studies|BMS, พ.ศ. 2545)มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ (Master of Science|MS, พ.ศ. 2550) | spouse = พระบาทสมเด็จพระวชิรเกล้าเจ้าอยู่หัว(พ.ศ. 2544–2557) | children = สมเด็จพระเจ้าลูกยาเธอ เจ้าฟ้าทีปังกรรัศมีโชติ มหาวชิโรตตมางกูร สิริวิบูลยราชกุมาร | relatives = พงศ์พัฒน์ ฉายาพันธุ์ (น้า) | module = Infobox military person|embed=yes | allegiance= | rank= ไฟล์:RTA OF-7 (Major General).svg|15px ยศทหารและตำรวจไทย|พลตรีhttp://www.ratchakitcha.soc.go.th/DATA/PDF/2556/B/025/1.PDF ได้รับพระราชทานยศ | branch= กองทัพบกไทย | commands = ทหารรักษาพระองค์ | signature = Signature of Srirasmi Suwadee.png พลตรีหญิง ท่านผู้หญิง '''ศรีรัศมิ์ สุวะดี''' มีพระนามเดิม '''พระเจ้าวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าศรีรัศมิ์ พระวรชายา'''ในพระบาทสมเด็จพระวชิรเกล้าเจ้าอยู่หัว|สมเด็จพระบรมโอรสาธิราช เจ้าฟ้ามหาวชิราลงกรณ สยามมกุฎราชกุมาร (เกิดเมื่อวันที่ 9 ธันวาคม พ.ศ. 2514) เป็นอดีตพระวรชายาในพระบาทสมเด็จพระวชิรเกล้าเจ้าอยู่หัว เมื่อครั้งยังทรงเป็นพระบาทสมเด็จพระวชิรเกล้าเจ้าอยู่หัว|สมเด็จพระบรมโอรสาธิราชฯ สยามมกุฎราชกุมาร และเป็นพระมารดาในสมเด็จพระเจ้าลูกยาเธอ เจ้าฟ้าทีปังกรรัศมีโชติ|สมเด็จพระเจ้าลูกยาเธอ เจ้าฟ้าทีปังกรรัศมีโชติ มหาวชิโรตตมางกูร สิริวิบูลยราชกุมาร พลตรีหญิง ท่านผู้หญิงศรีรัศมิ์ สุวะดี ได้อภิเษกสมรสกับพระบาทสมเด็จพระวชิรเกล้าเจ้าอยู่หัว เมื่อครั้งยังดำรงพระยศเป็นสมเด็จพระบรมโอรสาธิราชฯ สยามมกุฎราชกุมารเมื่อวันที่ 10 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2544 และได้รับโปรดเกล้าโปรดกระหม่อมสถาปนาเป็นพระเจ้าวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าศรีรัศมิ์ พระวรชายาฯ ในเวลาต่อมา จนในปี 2557 มีข่าวริบนามสกุลพระราชทานและกวาดล้างครอบครัวและเครือข่ายของพระองค์ ซึ่งสื่อมองว่าเป็นการหย่าร้างของทั้งสอง สุดท้ายท่านผู้หญิงศรีรัศมิ์ ได้กราบถวายบังคมลาออกจากฐานันดรศักดิ์แห่งพระราชวงศ์กับทั้งได้รับเงินพระราชทานจากสำนักงานทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์ == ประวัติ== === พื้นฐานครอบครัวและการศึกษา === ท่านผู้หญิงศรีรัศมิ์ สุวะดี มีชื่อเล่นว่า อี๊ด เกิดเมื่อวันที่ 9 ธันวาคม พ.ศ. 2514 เป็นบุตรคนที่สามจากทั้งหมดห้าคน ของอภิรุจ สุวะดี และวันทนีย์ (สกุลเดิม: เกิดอำแพง) พื้นเพเดิมเป็นชาวจังหวัดสมุทรสงคราม บิดาเป็นชาวตำบลวัดประดู่ อำเภออัมพวา จังหวัดสมุทรสงคราม ส่วนมารดาเป็นชาวมอญจากตำบลอำแพง อำเภอบ้านแพ้ว จังหวัดสมุทรสาคร ท่านผู้หญิงศรีรัศมิ์มีพี่สาวและพี่ชายคือ สุดาทิพย์ ม่วงนวล, ณรงค์ สุวะดี ส่วนน้องสาวและน้องชายคือ ปณิดา สุวะดี และณัฐพล อัครพงศ์ปรีชา|ณัฐพล สุวะดี อดีตราชองครักษ์เวร ส่วนพลตำรวจโท พงศ์พัฒน์ ฉายาพันธุ์ เป็นน้าของเธอ ท่านผู้หญิงศรีรัศมิ์เข้ารับการศึกษาระดับประถมศึกษาตอนต้นจากโรงเรียนทีปังกรวิทยาพัฒน์ (วัดสุนทรสถิต) ในพระราชูปถัมภ์ฯ|โรงเรียนวัดสุนทรสถิต (สามัคคีวิทยาคม) ในอำเภอบ้านแพ้ว ระดับประถมศึกษาตอนปลายจากโรงเรียนเทศบาลบ้านมหาชัย (อนุกูลราษฎร์) อำเภอเมืองสมุทรสาคร|อำเภอเมือง จังหวัดสมุทรสาคร และเข้าศึกษาต่อในระดับมัธยมศึกษาที่โรงเรียนทีปังกรวิทยาพัฒน์ (วัดน้อยใน) ในพระราชูปถัมภ์ฯ|โรงเรียนวัดน้อยใน เขตตลิ่งชัน กรุงเทพมหานคร ภายหลังสำเร็จการศึกษาระดับประกาศนียบัตรวิชาชีพจากโรงเรียนกรุงเทพการบัญชีวิทยาลัย ก่อนจะเข้าศึกษาในระดับปริญญาตรีที่มหาวิทยาลัยสุโขทัยธรรมาธิราช คณะวิทยาการจัดการ สาขาวิชาการจัดการทั่วไป (หลักสูตร 4 ปี) เมื่อปี พ.ศ. 2540 ได้รับพระราชทานปริญญาบัตรจากพระบาทสมเด็จพระวชิรเกล้าเจ้าอยู่หัว ขณะดำรงพระอิสริยยศเป็นสมเด็จพระบรมโอรสาธิราช เจ้าฟ้ามหาวชิราลงกรณ สยามมกุฎราชกุมาร เมื่อวันที่ 23 มกราคม พ.ศ. 2545 และสำเร็จการศึกษาปริญญาโท หลักสูตรปริญญาวิทยาศาสตรมหาบัณฑิต (คหกรรมศาสตร์) ภาคพิเศษ สาขาวิชาการพัฒนาการครอบครัวและเด็ก คณะเกษตร มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์|คณะเกษตร มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ ด้วยคะแนนเฉลี่ย 3.94http://www.dailynews.co.th/web/html/popup_news/Default.aspx?Newsid=134928&NewsType=1&Template=1 สมเด็จพระบรมฯทรงร่วมยินดี ‘พระองค์เจ้าศรีรัศมิ์’ ทรงสำเร็จปริญญาโท === เข้าสู่พระราชวงศ์ === ไฟล์:Vajiralongkorn and Srirasmi, 2007.jpg|thumb|right|พระบาทสมเด็จพระวชิรเกล้าเจ้าอยู่หัว ขณะดำรงพระอิสริยยศเป็นสมเด็จพระบรมโอรสาธิราชฯ กับพระเจ้าวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าศรีรัศมิ์ พระวรชายา|ท่านผู้หญิงศรีรัศมิ์เมื่อครั้งดำรงพระอิสริยยศเป็นพระวรชายา ปี พ.ศ. 2550 ท่านผู้หญิงศรีรัศมิ์เริ่มเข้าถวายการรับใช้พระบาทสมเด็จพระวชิรเกล้าเจ้าอยู่หัว เมื่อครั้งยังทรงเป็นสมเด็จพระบรมโอรสาธิราชฯ สยามมกุฎราชกุมาร ตั้งแต่ปี พ.ศ. 2536 โดยรับผิดชอบหน้าที่การงานในฐานะข้าราชการพลเรือนในพระองค์ นอกจากนี้ยังได้ถวายงานสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง ในด้านศิลปาชีพ พระบาทสมเด็จพระวชิรเกล้าเจ้าอยู่หัวและท่านผู้หญิงศรีรัศมิ์ได้ทรงจดทะเบียนสมรสตามกฎหมาย ต่อมาเข้ารับพระราชทานน้ำพระมหาสังข์จากพระบาทสมเด็จพระมหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร และทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ สถาปนาขึ้นเป็น "หม่อมศรีรัศมิ์ มหิดล ณ อยุธยา" เมื่อวันที่ 10 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2544 โดยพระบาทสมเด็จพระวชิรเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงกล่าวว่า คำพูด|''ตอนนี้อยู่เป็นครอบครัว มีกันอยู่ 4 คน มีเรา หม่อม พระองค์ภา และท่านหญิง อยู่กับหม่อมมาตั้งแต่ปี 2536 อยู่มานาน รู้จักกันมา 9-10 ปีแล้ว ดูใจกันมานานแล้ว ... เราอยากจะสร้างครอบครัวขึ้นมาให้ดี หม่อมมีหน้าที่ดูแลเรื่องต่าง ๆ ภายในบ้าน ดูแลข้าราชบริพาร รวมทั้งถวายงานสมเด็จ (สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ) เราใช้ชีวิตกันแบบสบาย ๆ ไม่มีอะไร ... เราอายุ 50 ปีแล้ว ไม่อยากเริ่มต้นชีวิตใหม่ อยากได้ครอบครัวที่ดี ที่คนพอใจเป็นประโยชน์ คบได้ ไม่ใช่เป็นการเอาอะไรมาใส่ประชาชน แต่ขอให้ประชาชนยอมรับว่าคนนี้ใช้ได้ ถ้าเป็นหม่อมในพระบรมฯ ทุกคนก็ต้องกราบไหว้ มันก็พัง'' พระบิดาและพระมารดาของพระองค์รวมทั้งสมาชิกในครอบครัวได้รับพระราชทานนามสกุลจากพระบาทสมเด็จพระวชิรเกล้าเจ้าอยู่หัวว่า "อัครพงศ์ปรีชา" เมื่อวันที่ 22 พฤษภาคม พ.ศ. 2545 หม่อมศรีรัศมิ์ได้รับพระราชทานเครื่องราชอิสริยาภรณ์จุลจอมเกล้า ปฐมจุลจอมเกล้า ชั้นที่1 ฝ่ายใน เมื่อวันที่ 6 พฤษภาคม พ.ศ. 2547 และได้มีพระประสูติกาลสมเด็จพระเจ้าลูกยาเธอ เจ้าฟ้าทีปังกรรัศมีโชติ|สมเด็จพระเจ้าลูกยาเธอ เจ้าฟ้าทีปังกรรัศมีโชติ มหาวชิโรตตมางกูร สิริวิบูลยราชกุมาร พระราชโอรส เมื่อวันที่ 29 เมษายน พ.ศ. 2548 ภายในปีนั้นพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดชมีพระบรมราชโองการโปรดเกล้าฯ สถาปนา ''หม่อมศรีรัศมิ์ มหิดล ณ อยุธยา'' ขึ้นดำรงพระอิสริยยศเป็น '''พระเจ้าวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าศรีรัศมิ์ พระวรชายาในสมเด็จพระบรมโอรสาธิราชฯ สยามมกุฎราชกุมาร''' เป็นเจ้านายแห่งราชวงศ์ตั้งแต่วันที่ 15 มิถุนายน พ.ศ. 2548 === ทรงขอลาออกจากฐานันดรศักดิ์ === กองกิจการในพระองค์สมเด็จพระบรมโอรสาธิราชฯ สยามมกุฎราชกุมาร (พระอิสริยยศขณะนั้น) มีหนังสือลงวันที่ 28 พฤศจิกายน พ.ศ. 2557 แจ้งถึงปลัดกระทรวงมหาดไทย เพื่อขอยกเลิกชื่อสกุลพระราชทาน "อัครพงศ์ปรีชา" โดยให้ผู้ใช้ชื่อสกุลพระราชทานนี้ในปัจจุบันกลับไปใช้ชื่อสกุลเดิม โดยก่อนหน้านั้นมีการกวาดล้างพระญาติใกล้ชิดของพระองค์ซึ่งถูกกล่าวหาว่าเกี่ยวข้องกับการฉ้อราษฎร์บังหลวง โดยทั้งหมดกลับไปใช้สกุลเดิมก่อนพระราชทานคือ "เกิดอำแพง" ต่อมาข้อมูลนามสกุลนั้นผิด เมื่อตรวจสอบแล้วจึงเปลี่ยนให้ใช้ชื่อสกุลว่า "สุวะดี" อันเป็นชื่อสกุลเดิมทีแท้จริง ตั้งแต่วันที่ 29 พฤศจิกายน พ.ศ. 2557 ซึ่งสำนักข่าวบีบีซีมองว่า นี่อาจเป็นก้าวแรกที่จะนำไปสู่การหย่าร้างของทั้งสองพระองค์ วันที่ 12 ธันวาคมปีเดียวกัน พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดชมีพระบรมราชโองการโปรดเกล้าโปรดกระหม่อมให้ประกาศว่า พระเจ้าวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าศรีรัศมิ์ พระวรชายาฯ (ยศในขณะนั้น) ได้ทรงนำความขึ้นกราบบังคมทูลสมเด็จพระบรมโอรสาธิราช เจ้าฟ้ามหาวชิราลงกรณ สยามมกุฎราชกุมาร (พระอิสริยศในขณะนั้น) เป็นลายลักษณ์อักษรว่าขอพระราชทานกราบบังคมทูลลาออกจากฐานันดรศักดิ์ มีผลตั้งแต่วันที่ 11 ธันวาคม พ.ศ. 2557 การนี้พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดชพระราชทานเงิน 200,000,000 บาท แก่พระองค์เจ้าศรีรัศมิ์เพื่อทรงใช้ในการดำรงพระชนม์ชีพและทรงดูแลครอบครัว มีข่าวกระทรวงการคลังยืนยันว่า สมเด็จพระบรมโอรสาธิราชฯ สยามมกุฎราชกุมาร (พระอิสริยศในขณะนั้น) ขอรับเงินพระราชทานจากสำนักงานทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์ และยังขอความร่วมมือสื่อมวลชนงดเผยแพร่เอกสารที่ไม่เหมาะสมในสื่อทุกชนิดไฟล์:ประกาศลาออกจากฐานันดรศักดิ์ (๒๕๕๗-๑๒-๑๑ ธันวาคม).pdf|thumb|309x309px|ประกาศการลาออกจากฐานันดรศักดิ์ ลงวันที่ 11 ธันวาคม พ.ศ. 2557 วันที่ 13 ธันวาคม สังคมออนไลน์ส่งภาพศรีรัศมิ์ทรงทำบัตรประชาชนใหม่ต่อ ๆ กัน เธอทรงใช้คำนำหน้านามว่า "นางสาว" และพระองค์ได้ทรงย้ายออกจากวังศุโขทัยเสด็จไปประทับอยู่ที่พระตำหนักในอำเภอวัดเพลง จังหวัดราชบุรี อย่างไรก็ตามเธอจะมีคำนำหน้านามว่า "ท่านผู้หญิง" เนื่องจากพระองค์ได้ทรงรับพระราชทานเครื่องราชอิสริยาภรณ์จุลจอมเกล้า ชั้นปฐมจุลจอมเกล้า (ฝ่ายใน) ทั้งนี้ ''มติชนออนไลน์'' ได้ให้ข้อมูลว่าพระองค์ได้ทรงลาออกจากการเป็นข้าราชการทหาร วันที่ 17 ธันวาคม เธอเขียนจดหมายขอบคุณสื่อมวลชนที่ติดตาม และขอปฏิบัติธรรมเงียบ ๆ กับครอบครัว เนื่องจากมีสื่อมวลชนติดตามข่าวอย่างใกล้ชิดจนรบกวนการปฏิบัติธรรมของพระองค์ == พระกรณียกิจ == พระกรณียกิจส่วนใหญ่ของท่านผู้หญิงศรีรัศมิ์ ขณะดำรงพระอิสริยยศเป็นพระเจ้าวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าศรีรัศมิ์ พระวรชายาในสมเด็จพระบรมโอรสาธิราช เจ้าฟ้ามหาวชิราลงกรณ สยามมกุฎราชกุมาร นั้นจะเน้นในด้านครอบครัวและเด็กเป็นหลัก โดยโครงการแรกของคือ ''โครงการสายใยรักจากแม่สู่ลูก'' ต่อมาเปลี่ยนชื่อเป็น ''โครงการสายใยรักแห่งครอบครัวในพระราชูปถัมภ์สมเด็จพระบรมโอรสาธิราชฯ สยามมกุฎราชกุมาร'' ที่รณรงค์การเลี้ยงลูกด้วยนมแม่ โครงการดังกล่าวมีวัตถุประสงค์ที่จะสร้างความเข้มแข็งในครอบครัว เพิ่มประสิทธิภาพของสถาบันครอบครัว และลดปัญหาสังคมทางหนึ่ง ต่อมาได้มีพระดำริในการเปิด ''ศูนย์ ๓ วัยสานสายใยรักแห่งครอบครัว'' อันจะเป็นศูนย์กลางของการพัฒนาคุณภาพชีวิตเป็นวงจรทุกช่วงวัย ระหว่างวัยเด็ก วัยทำงาน และวัยชรา ให้มีความสัมพันธ์กลมเกลียว พระเจ้าวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าศรีรัศมิ์ พระวรชายาฯ ทรงประกอบพระกรณียกิจครั้งสุดท้ายก่อนลาออกจากฐานันดรศักดิ์ในพิธีเปิดมหกรรม 9 ปี สายใยรักแห่งครอบครัว เมื่อวันที่ 6 ธันวาคม 2557 === ด้านสาธารณสุข === มีพระดำริจัดตั้ง ''ศูนย์ศรีทวีรัก'' อันมีความหมายว่า "ศูนย์แห่งการแบ่งปันและเพิ่มพูนความรัก" มีหลักการเดียวกับสถานรับเลี้ยงเด็ก แต่เปลี่ยนมาเป็นบริการแก่ผู้สูงอายุแทน โดยให้ลูกหลานนำผู้สูงอายุมาฝากในเวลากลางวันเพื่อไปประกอบอาชีพ ณ ที่นั่นผู้สูงอายุก็จะพบปะกับสหายวัยเดียวกัน บริการผู้สูงวัยอายุระหว่าง 65-80 ปี ให้ได้รับการพักผ่อนอย่างมีความสุขในบั้นปลายชีวิต มีการสร้าง ''ศุโขโยคะ'' ซึ่งเป็นโครงการเสริมสร้างสุขภาพ ณ พื้นที่ควบคุมในพระองค์ 904 ของสมเด็จพระบรมโอรสาธิราชฯ สยามมกุฎราชกุมาร เมื่อปี พ.ศ. 2554 เพื่อให้ข้าราชบริพารและประชาชนทั่วไปได้เข้ามาใช้ประโยชน์ มีระบบการออกกำลังกายแบบ "ไจโรทานิก" (Gyrotonic) โดยกล่าวไว้ว่า "ไปเล่นที่เมืองนอกมา เห็นว่าอะไรดีก็นำเข้ามาให้ประชาชนได้เล่นกัน" ที่สุดศุโขโยคะ ได้ปิดตัวลงในวันที่ 13 ธันวาคม พ.ศ. 2557 นอกจากนี้มีการจัดตั้ง ''"กองทุนทีปังกรนภัทรบุตร"'' ที่นำเงินไปสนับสนุนโครงการที่ช่วยเหลือทารก ซึ่งถือเป็นโครงการที่ผลักดันให้มีการจัดทำนโยบายสาธารณสุขระดับประเทศแก่ทารกวัยตั้งแต่ 0-5 ปี รวมไปถึงการช่วยเหลือทารกที่คลอดก่อนกำหนด และการรณรงค์และป้องกันการท้องก่อนวัยอันควร === ด้านสาธารณประโยชน์ === วันที่ 16 มีนาคม พ.ศ. 2554 สมเด็จพระบรมโอรสาธิราชฯ สยามมกุฎราชกุมาร และพระเจ้าวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าศรีรัศมิ์ พระวรชายาฯ (พระยศในขณะนั้น) ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าให้ พลอากาศโท ภักดี แสง-ชูโต นำผ้าห่มกันหนาว 20,000 ผืน ไปช่วยเหลือผู้ประสบภัยในเหตุการณ์แผ่นดินไหวและคลื่นสึนามิในโทโฮะกุ พ.ศ. 2554 ที่ประเทศญี่ปุ่น โดยมีกษิต ภิรมย์ เป็นผู้รับมอบหนังสือพิมพ์สยามรัฐ ปีที่ 61 ฉบับที่ 21143 วันที่ 17 มีนาคม ค.ศ. 2554 หน้า 1, 12 ในด้านสาธารณประโยชน์ เมื่อวันที่ 30 พฤศจิกายนปีเดียวกันนั้น หลังอุทกภัยในประเทศไทย พ.ศ. 2554 พระเจ้าวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าศรีรัศมิ์ พระวรชายาฯ เสด็จพร้อมด้วยพระเจ้าหลานเธอ พระองค์เจ้าทีปังกรรัศมีโชติ ได้ทรงร่วมกิจกรรมฟื้นฟูพื้นที่ประสบอุทกภัยด้วยการทำความสะอาดพื้นอาคารและกระจกของอาคารศรีรัศมิ์ ภายในมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ โดยก่อนหน้านี้ได้ทรงเยี่ยมผู้ประสบภัย และประทานถุงยังชีพแก่ราษฎรในต่างจังหวัด ทั้งนี้สมเด็จพระบรมโอรสาธิราชฯ สยามมกุฎราชกุมาร และพระเจ้าวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าศรีรัศมิ์ พระวรชายาฯ ได้ทรงอุปการะเด็กกำพร้า คือ จักรกฤษณ์ และอนุเดช ชูศรี ที่ครอบครัวเสียชีวิตจากภูเขาถล่มเมื่อปี พ.ศ. 2554 รวมทั้งครอบครัวของบูรฮาน และบุศรินทร์ หร่ายมณี ซึ่งบิดาถูกลอบสังหารจากเหตุความไม่สงบในสามจังหวัดชายแดนภาคใต้ เมื่อปี พ.ศ. 2556 เป็นต้น === มูลนิธิ/องค์กรในพระอุปถัมภ์ === * ศูนย์ ๓ วัย สานสายใยรักแห่งครอบครัว * มูลนิธิส่งเสริมการพัฒนาบุคคล ในพระอุปถัมภ์ฯปัจจุบัน เปลี่ยนชื่อมูลนิธิเป็น มูลนิธีส่งเสริมการพัฒนาบุคคล * กองทุนทีปังกรนภัทรบุตร == พระเกียรติยศ == === พระอิสริยยศ === * ศรีรัศมิ์ สุวะดี (9 ธันวาคม พ.ศ. 2514 — 10 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2544) * หม่อมศรีรัศมิ์ มหิดล ณ อยุธยา (10 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2544 — 15 มิถุนายน พ.ศ. 2548) * พระเจ้าวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าศรีรัศมิ์ พระวรชายาในสมเด็จพระบรมโอรสาธิราช เจ้าฟ้ามหาวชิราลงกรณ สยามมกุฎราชกุมาร (15 มิถุนายน พ.ศ. 2548 — 11 ธันวาคม พ.ศ. 2557) * ท่านผู้หญิงศรีรัศมิ์ สุวะดี (11 ธันวาคม พ.ศ. 2557 — ปัจจุบัน) === เครื่องราชอิสริยาภรณ์ === === พระยศทหาร === * '''ว่าที่ร้อยตรีหญิง''' และได้รับโปรดเกล้าฯ แต่งตั้งให้เป็นราชองครักษ์พิเศษ (5 เมษายน พ.ศ. 2555) * '''ร้อยตรีหญิง''' และได้รับโปรดเกล้าฯ ให้ดำรงตำแหน่งนายทหารพิเศษประจำกรมทหารราบที่ 1 มหาดเล็กรักษาพระองค์ (12 เมษายน พ.ศ. 2555) * '''พันเอกหญิง''' (4 พฤษภาคม พ.ศ. 2555) * ได้รับโปรดเกล้าฯ แต่งตั้งให้เป็นผู้อำนวยการสำนักเวชศาสตร์ครอบครัว กรมแพทย์ทหารบก (1 พฤศจิกายน 2556) * '''พลตรีหญิง''' (1 พฤศจิกายน พ.ศ. 2556) === ปริญญาดุษฎีบัณฑิตกิตติมศักดิ์ === | class="wikitable" |- ! ปริญญากิตติมศักดิ์ !! สถาบัน !! อ้างอิง |- | วิทยาศาสตรดุษฎีบัณฑิตกิตติมศักดิ์ สาขาส่งเสริมธุรกิจการเกษตร | มหาวิทยาลัยราชภัฏจันทรเกษม | |- | ปรัชญาดุษฎีบัณฑิตกิตติมศักดิ์ สาขาปฐมวัย | มหาวิทยาลัยราชภัฏราชนครินทร์ | |- | ครุศาสตร์บัณฑิตกิตติมศักดิ์ สาขาวิชาการปฐมวัย | มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ | |- | สาธารณสุขศาสตรดุษฎีบัณฑิตกิตติมศักดิ์ สาขาวิชาวิทยาศาสตร์สุขภาพ | มหาวิทยาลัยสุโขทัยธรรมาธิราช | |- | สังคมสงเคราะห์ศาสตรดุษฎีบัณฑิตกิตติมศักดิ์ | มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ | | == สถานที่อันเนื่องด้วยนาม == * อาคารศรีรัศมิ์ คณะสังคมศาสตร์ มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ ปัจจุบันเปลี่ยนเป็นชื่อ อาคาร 4 == อ้างอิง == == แหล่งข้อมูลอื่น == * * * http://www.saiyairak.com/ โครงการสายใยรักแห่งครอบครัว หมวดหมู่:แม่ชี หมวดหมู่:ชาวไทยเชื้อสายมอญ หมวดหมู่:พระภรรยาในรัชกาลที่ 10 หมวดหมู่:พระองค์เจ้าที่ทรงลาออกจากฐานันดรศักดิ์ หมวดหมู่:ท่านผู้หญิง หมวดหมู่:บุคคลจากสาขาวิชาวิทยาการจัดการ มหาวิทยาลัยสุโขทัยธรรมาธิราช หมวดหมู่:บุคคลจากคณะเกษตร มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ หมวดหมู่:ผู้ได้รับปริญญากิตติมศักดิ์จากมหาวิทยาลัยเชียงใหม่ หมวดหมู่:ผู้ได้รับปริญญากิตติมศักดิ์จากมหาวิทยาลัยสุโขทัยธรรมาธิราช หมวดหมู่:ผู้ได้รับปริญญากิตติมศักดิ์จากมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ หมวดหมู่:ผู้ได้รับเครื่องราชอิสริยาภรณ์ ป.จ. (ฝ่ายใน) หมวดหมู่:ผู้ได้รับเครื่องราชอิสริยาภรณ์ ม.ป.ช. หมวดหมู่:ผู้ได้รับเครื่องราชอิสริยาภรณ์ ม.ว.ม. หมวดหมู่:ผู้ได้รับเหรียญรัตนาภรณ์ ภ.ป.ร.1‎ หมวดหมู่:ผู้ได้รับเครื่องราชอิสริยาภรณ์ จ.ภ. หมวดหมู่:บุคคลจากจังหวัดสมุทรสงคราม‎‎ หมวดหมู่:ณ อยุธยา หมวดหมู่:หม่อม หมวดหมู่:ราชสกุลมหิดล
ศรีรัศมิ์ สุวะดี
Infobox person | name = วอลต์ ดิสนีย์ | image = Walt Disney 1946.JPG | caption = ดิสนีย์ ค.ศ. 1946 | birth_name = วอลเตอร์ อีเลียส ดิสนีย์ | birth_date = | birth_place = ชิคาโก รัฐอิลลินอย สหรัฐ | death_date = | death_place = เบอร์แบงก์ รัฐแคลิฟอร์เนีย สหรัฐ | burial_place = ฟอเรสต์ลอนเมมโมเรียลพาร์ก เกล็นเดล รัฐแคลิฟอร์เนีย | title = ประธานบริษัทเดอะวอลต์ดิสนีย์ | occupation = | spouse = | children = 2, รวมถึงไดแอน ดิสนีย์ มิลเลอร์ | relations = ครอบครัวดิสนีย์ | awards = Plainlist| * 26 รางวัลออสการ์ * 3 รางวัลลูกโลกทองคำ * 1 รางวัลเอมมี | signature = Walt Disney 1942 signature.svg '''วอลเตอร์ อีเลียส ดิสนีย์''' (; 5 ธันวาคม ค.ศ. 1901 - 15 ธันวาคม ค.ศ. 1966) เป็นนักสร้างแอนิเมชัน ผู้ผลิตภาพยนตร์ และนักธุรกิจชาวอเมริกัน ในฐานะผู้บุกเบิกอุตสาหกรรมแอนิเมชันในอเมริกา เขาแนะนำการพัฒนาหลายอย่างในการผลิตการ์ตูน ในฐานะผู้อำนวยการสร้างภาพยนตร์นั้น ได้รับรางวัลออสการ์เป็นส่วนใหญ่ที่ได้รับการเสนอชื่อเข้าชิงโดยบุคคล เขาได้รับรางวัลลูกโลกทองคำสาขาพิเศษสองรางวัลและรางวัลเอมมี ท่ามกลางรางวัลเกียรติยศอื่น ๆ ภาพยนตร์ของเขาหลายเรื่องได้รับการขึ้นหอทะเบียนภาพยนตร์แห่งชาติ|ทะเบียนภาพยนตร์แห่งชาติโดยหอสมุดรัฐสภา และบางเรื่องยังได้รับการเสนอชื่อให้เป็นภาพยนตร์ที่ยิ่งใหญ่ที่สุดเท่าที่เคยมีมาโดยสถาบันภาพยนตร์อเมริกัน ดิสนีย์เกิดที่ชิคาโกในปี ค.ศ. 1901 โดยเริ่มมีความสนใจในการวาดภาพตั้งแต่แรกเริ่ม เขาเข้าเรียนวิชาศิลปะตั้งแต่ยังเป็นเด็ก และได้งานเป็นนักวาดภาพประกอบเชิงการค้าตั้งแต่อายุ 18 ปี เขาย้ายไปรัฐแคลิฟอร์เนียในช่วงต้นทศวรรษ 1920 และก่อตั้งดิสนีย์บราเธอส์สตูดิโอ (ปัจจุบันคือบริษัทเดอะวอลต์ดิสนีย์) ร่วมกับรอย โอ. ดิสนีย์|รอยพี่ชายของเขา เขาได้พัฒนาตัวละครมิกกี้ เมาส์ ร่วมกับอับบ์ ไอเวิร์กส ในปี ค.ศ. 1928 ซึ่งถือเป็นความสำเร็จที่ได้รับความนิยมอย่างสูงเป็นครั้งแรกของเขา เขายังเป็นผู้ให้เสียงในผลงานการสร้างสรรค์ของเขาในช่วงแรก ๆ เมื่อสตูดิโอได้เติบโตขึ้น เขาก็ชอบผจญภัยมากขึ้น โดยนำเสนอเสียงที่ซิงโครไนซ์ เทคนิคคัลเลอร์สามแถบสี การ์ตูนขนาดยาว และการพัฒนาด้านเทคนิคในกล้อง ผลลัพธ์ที่เห็นในภาพยนตร์เช่น ''สโนว์ไวท์กับคนแคระทั้งเจ็ด'' (1937), ''พินอคคิโอ (ภาพยนตร์ พ.ศ. 2483)|พินอคคิโอ'', ''แฟนเทเชีย (ภาพยนตร์)|แฟนเทเชีย'' (ทั้งสองในปี 1940), ''ดัมโบ้'' (1941) และ''กวางน้อย...แบมบี้'' (1942) ทำให้การพัฒนาภาพยนตร์แอนิเมชันได้ก้าวหน้ายิ่งขึ้น ภาพยนตร์แอนิเมชันและภาพยนตร์ฉบับคนแสดงเรื่องใหม่ตามมาหลังสงครามโลกครั้งที่สอง รวมถึงภาพยนตร์ที่ประสบความสำเร็จอย่างล้นหลามอย่าง ''ซินเดอเรลล่า (ภาพยนตร์ พ.ศ. 2493)|ซินเดอเรลล่า'' (1950), ''เจ้าหญิงนิทรา (ภาพยนตร์ ค.ศ. 1959)|เจ้าหญิงนิทรา'' (1959) และ''แมรี่ ป๊อปปินส์ (ภาพยนตร์)|แมรี่ ป๊อปปินส์'' (1964) ซึ่งเรื่องสุดท้ายที่กล่าวมานั้นได้รับรางวัลออสการ์ถึงห้ารางวัล ในช่วงคริสต์ทศวรรษ 1950 ดิสนีย์ได้ทำการขยายเข้าสู่อุตสาหกรรมสวนสนุก และในเดือนกรกฎาคม ค.ศ. 1955 เขาได้เปิดสวนสนุกดิสนีย์แลนด์ในเมืองแอนะไฮม์ รัฐแคลิฟอร์เนีย เพื่อให้ทุนแก่โครงการนี้ เขาจึงกระจายการลงทุนไปเป็นรายการโทรทัศน์ เช่น ''วอลต์ดิสนีย์ดิสนีย์แลนด์'' และ''เดอะมิกกีเมาส์คลับ'' เขายังมีส่วนร่วมในการวางแผนงานมอสโกแฟร์ ค.ศ. 1959, โอลิมปิกฤดูหนาว 1960|โอลิมปิกฤดูหนาว ค.ศ. 1960 และงานนิวยอร์กเวิลด์แฟร์ ค.ศ. 1964 ในปี ค.ศ. 1965 เขาได้เริ่มพัฒนาสวนสนุกอีกแห่งในชื่อวอลต์ดิสนีย์เวิลด์|ดิสนีย์เวิลด์ ซึ่งมีหัวใจสำคัญของการเป็นเมืองรูปแบบใหม่ นั่นคือ "ชุมชนต้นแบบทดลองแห่งอนาคต" (เอ็ปคอต) ดิสนีย์เป็นนักสูบบุหรี่จัดในตลอดชีวิตของเขา และเสียชีวิตด้วยโรคมะเร็งปอดในเดือนธันวาคม ค.ศ. 1966 ก่อนที่สวนสนุกหรือโครงการเอ็ปคอตจะแล้วเสร็จ ดิสนีย์มีนิสัยเป็นคนขี้อาย ไม่เห็นคุณค่าในตัวเอง และไม่มั่นคงในที่ส่วนตัว แต่กลับรับเอาบุคลิกที่อบอุ่นและเข้ากับคนอื่นได้ง่าย เขามีมาตรฐานสูงและความคาดหวังสูงจากคนที่เขาทำงานด้วย แม้ว่าจะมีข้อกล่าวหาว่าเขาคตินิยมเชื้อชาติในสหรัฐ|เหยียดเชื้อชาติหรือต่อต้านชาวยิว แต่ก็มีข้อโต้แย้งจากหลายคนที่รู้จักเขา ประวัติศาสตร์ของดิสนีย์มีมุมมองที่หลากหลาย ตั้งแต่มุมมองของเขาในฐานะผู้ส่งมอบคุณค่าความรักชาติที่อบอุ่น ไปจนถึงการเป็นตัวแทนของลัทธิจักรวรรดินิยมอเมริกา ดิสนีย์ได้รับการยกย่องอย่างกว้างขวางว่าเป็นหนึ่งในบุคคลที่มีอิทธิพลมากที่สุดแห่งศตวรรษที่ 20 โดยยังคงมีบทบาทสำคัญในประวัติศาสตร์แอนิเมชันและประวัติศาสตร์วัฒนธรรมของสหรัฐ ซึ่งเขาได้รับการยอมรับว่าเป็นสัญลักษณ์ทางวัฒนธรรมประจำชาติ ผลงานภาพยนตร์ของเขายังคงได้รับการฉายและดัดแปลงอย่างต่อเนื่อง สวนสนุกดิสนีย์มีขนาดและจำนวนเพิ่มขึ้นเพื่อดึงดูดผู้เข้าชมในหลายประเทศ และบริษัทของเขาได้เติบโตขึ้นจนกลายเป็นหนึ่งในกลุ่มสื่อมวลชน|บริษัทสื่อและความบันเทิงที่ใหญ่ที่สุดในโลก == ชื่อเสียง == มุมมองของดิสนีย์และผลงานของเขาเปลี่ยนแปลงไปตลอดหลายทศวรรษ และมีความคิดเห็นที่แตกขั้วกัน มาร์ก แลงเกอร์ ใน''อเมริกันดิกชินนารีออฟเนชันแนลไบโอกราฟี'' เขียนว่า "การประเมินก่อนหน้านี้ของดิสนีย์ยกย่องเขาว่าเป็นผู้รักชาติ ศิลปินพื้นบ้าน และผู้เผยแพร่วัฒนธรรม ไม่นานมานี้ ดิสนีย์ได้รับการยกย่องว่าเป็นกระบวนทัศน์ของจักรวรรดินิยมอเมริกา|ลัทธิจักรวรรดินิยมและโมหาคติ ตลอดจนเป็นผู้ที่ละทิ้งวัฒนธรรม" สตีเวน วัตต์สเขียนว่าบางคนประณามดิสนีย์ "ในฐานะผู้บิดเบือนสูตรทางวัฒนธรรมและการค้าอย่างเหยียดหยาม" ในขณะที่พีบีเอสบันทึกว่านักวิจารณ์ได้กล่าวถึงงานของเขาเพราะ "เบื้องหน้าอันเรียบเนียนของความรู้สึกนึกคิดและการมองโลกในแง่ดีที่ดื้อรั้น เป็นการเขียนประวัติศาสตร์อเมริกาขึ้นมาใหม่ด้วยความรู้สึกที่ดี" ดิสนีย์ได้มีการนำเสนอหลายครั้งในผลงานสมมติ เอช. จี. เวลส์ อ้างอิงถึงดิสนีย์ในนวนิยายเรื่อง ''เดอะโฮลีเตอร์เรอร์'' ของเขาในปี ค.ศ. 1938 ซึ่งผู้เผด็จการโลกรุดกลัวว่าโดนัลด์ ดั๊ก จะมีเจตนาจะล้อเลียนเผด็จการ ดิสนีย์แสดงโดยเลน คาริโอในภาพยนตร์ที่สร้างสำหรับโทรทัศน์ในปี ค.ศ. 1995 เรื่อง ''อะดรีมอิสอะวิสยัวร์ฮาร์ตเมกส์: ดิแอนเน็ตต์ฟูนิเซลโลสตอรี'' และโดยทอม แฮงส์ในภาพยนตร์ปี ค.ศ. 2013 เรื่อง ''สุภาพบุรุษนักฝัน'' โดยในปี ค.ศ. 2001 นักเขียนชาวเยอรมันปีเตอร์ สเตฟาน จังก์ ได้ตีพิมพ์หนังสือ (แปล: ราชาแห่งอเมริกา) ซึ่งเป็นผลงานสมมติในช่วงหลายปีต่อมาของดิสนีย์ที่จินตนาการว่าเขาเป็นผู้เหยียดเชื้อชาติที่หิวโหยอำนาจ ในเวลาต่อมานักแต่งเพลงฟิลิป กลาส ได้ดัดแปลงหนังสือเป็นโอเปร่า ''เดอะเพอร์เฟ็กต์อเมริกา'' (2013) นักวิจารณ์หลายคนอธิบายว่าดิสนีย์เป็นสัญลักษณ์ทางวัฒนธรรม การเสียชีวิตของดิสนีย์ ศาสตราจารย์ด้านวารสารศาสตร์ ราล์ฟ เอส. อิซาร์ด ให้ความเห็นว่าคุณค่าในภาพยนตร์ของดิสนีย์คือสิ่งที่ "ถือว่ามีคุณค่าในสังคมคริสเตียนอเมริกัน" ซึ่งรวมถึง "ความเป็นปัจเจกบุคคล ความเหมาะสม ... ความรักต่อเพื่อนมนุษย์ การเล่นที่ยุติธรรม และความอดทน" ข่าวมรณกรรมของดิสนีย์ใน''เดอะไทมส์''เรียกภาพยนตร์เรื่องนี้ว่า "มีประโยชน์ อบอุ่น และสนุกสนาน ... มีศิลปะที่หาที่เปรียบมิได้และงดงามน่าสัมผัส" นักข่าวบอสลีย์ โครว์เธอร์ ให้เหตุผลว่า "ความสำเร็จของดิสนีย์ในฐานะผู้สร้างความบันเทิงสำหรับสาธารณชนโดยแทบไม่จำกัด และในฐานะผู้ขายสินค้าที่ชาญฉลาดอย่างสูงสามารถนำมาเปรียบเทียบได้กับนักอุตสาหกรรมที่ประสบความสำเร็จมากที่สุดในประวัติศาสตร์" ผู้สื่อข่าวอลิสแตร์ คุก เรียกดิสนีย์ว่า " โฟล์กพื้นบ้าน ... ปิ๊ด ไพเพอร์แห่งฮอลลีวูด" ในขณะที่เกเบลอร์มองว่าดิสนีย์ "ได้เปลี่ยนโฉมวัฒนธรรมและจิตสำนึกของชาวอเมริกัน" ใน''อเมริกันดิกชินนารีออฟเนชันแนลไบโอกราฟี'' แลงเกอร์ได้เขียนไว้ว่า: ดิสนีย์ยังคงเป็นบุคคลสำคัญในประวัติศาสตร์ของแอนิเมชัน ด้วยนวัตกรรมทางเทคโนโลยีและการเป็นพันธมิตรกับรัฐบาลและบริษัทต่าง ๆ เขาได้เปลี่ยนสตูดิโอเล็ก ๆ ในรูปแบบการสื่อสารเพียงเล็กน้อยให้กลายเป็นยักษ์ใหญ่ในอุตสาหกรรมสันทนาการข้ามชาติ แม้ว่าเขาจะถูกวิพากษ์วิจารณ์ แต่วิสัยทัศน์ของเขาเกี่ยวกับยูโทเปียขององค์กรสมัยใหม่ในฐานะส่วนขยายของค่านิยมดั้งเดิมของอเมริกาอาจได้รับความเปลี่ยนแปลงมากขึ้นในช่วงหลายปีหลังจากการเสียชีวิตของเขา ในเดือนธันวาคม ค.ศ. 2021 พิพิธภัณฑ์ศิลปะเมโทรโพลิทันในนิวยอร์กได้เปิดนิทรรศการพิเศษเป็นระยะเวลา 3 เดือนเพื่อเป็นเกียรติแก่ดิสนีย์ในหัวข้อ "สร้างแรงบันดาลใจให้กับวอลต์ ดิสนีย์""Centuries-old art behind Disney’s best animated films arrives at the Met". By Zachary Kussin. December 18, 2021. https://nypost.com/2021/12/18/centuries-old-art-that-inspired-disney-arrives-at-the-met/ == เครื่องราชอิสริยาภรณ์ไทย == ราชกิจจานุเบกษา, http://www.ratchakitcha.soc.go.th/DATA/PDF/2505/D/062/1555.PDF แจ้งความสำนักนายกรัฐมนตรี เรื่อง พระราชทานเครื่องราชอิสริยาภรณ์, เล่ม ๗๙, ตอน ๖๒, ๑๐ กรกฎาคม พ.ศ. ๒๕๐๕ == หมายเหตุ == == อ้างอิง == == แหล่งข้อมูลอื่น == * * http://www.waltdisney.org/ The Walt Disney Family Museum * http://www.thewaltdisneybirthplace.org/ The Walt Disney Birthplace * https://vault.fbi.gov/walter-elias-disney FBI Records: The Vault – Walter Elias Disney from the Federal Bureau of Investigation หมวดหมู่:ดิสนีย์ หมวดหมู่:บุคคลที่เกิดในปี พ.ศ. 2444 หมวดหมู่:บุคคลที่เสียชีวิตในปี พ.ศ. 2509 หมวดหมู่:นักแสดงชายชาวอเมริกันในศตวรรษที่ 20 หมวดหมู่:นักสร้างการ์ตูน หมวดหมู่:ผู้กำกับภาพยนตร์ชาวอเมริกัน หมวดหมู่:ผู้อำนวยการสร้างภาพยนตร์ชาวอเมริกัน หมวดหมู่:ชาวอเมริกันเชื้อสายแคนาดา หมวดหมู่:ชาวอเมริกันเชื้อสายอังกฤษ หมวดหมู่:ชาวอเมริกันเชื้อสายเยอรมัน หมวดหมู่:ชาวอเมริกันเชื้อสายไอริช หมวดหมู่:ผู้ได้รับอิสริยาภรณ์เหรียญแห่งอิสรภาพของประธานาธิบดี หมวดหมู่:ผู้ได้รับเครื่องราชอิสริยาภรณ์ ต.ม.
วอลต์ ดิสนีย์
Infobox person | honorific_prefix = ยศข้าราชการทหารและพลเรือนของสยาม|รองเสวกเอก | name = หลวงประดิษฐไพเราะ (ศร ศิลปบรรเลง) | honorific_suffix = เบญจมาภรณ์มงกุฎไทย|บ.ม. | image = หลวงประดิษฐไพเราะ (ศร ศิลปบรรเลง) ๑.jpg | alt = | caption = | birth_date = | birth_place = ตำบลดาวดึงส์ อำเภออัมพวา จังหวัดสมุทรสงคราม ประเทศสยาม | death_date = | death_place = บ้านศิลปบรรเลง ถนนบริพัตร จังหวัดพระนคร ประเทศไทย | nationality = ไทย | other_names = ศร ศิลปบรรเลง | known_for = ผู้ชำนาญด้านดนตรีไทยผู้ประพันธ์เพลง"แสนคำนึง" | occupation = นักดนตรีไทย อาจารย์ | musical instrument = ระนาดเอก | spouse = โชติ หุราพันธ์ ฟู หุราพันธ์ | children = 12 คน รองเสวกเอก '''หลวงประดิษฐไพเราะ (ศร ศิลปบรรเลง)''' (6 สิงหาคม พ.ศ. 2424 – 8 มีนาคม พ.ศ. 2497) เป็นนักดนตรีไทยผู้มีชื่อเสียงในด้านการเล่นระนาดเอกและประพันธ์เพลงไทยเดิมประมาณ 300 เพลง == ชีวิตส่วนบุคคล == หลวงประดิษฐไพเราะ นามเดิม ศร เกิดเมื่อวันที่ 6 สิงหาคม พ.ศ. 2424 ในรัชสมัยของพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ที่ตำบลดาวดึงส์ อำเภออัมพวา จังหวัดสมุทรสงคราม|สมุทรสงคราม เป็นบุตรของ นายสิน นางยิ้ม ศิลปบรรเลง บิดาของท่านคือครูสินเป็นเจ้าของวงปี่พาทย์ และเป็นศิษย์ของพระประดิษฐไพเราะ (มี ดุริยางกูร) หลวงประดิษฐไพเราะถึงแก่กรรมเมื่อวันที่ 8 มีนาคม พ.ศ. 2497 รวมอายุ 73 ปี === ครอบครัว === รองเสวกเอก หลวงประดิษฐไพเราะ (ศร ศิลปบรรเลง) สมรสครั้งแรกกับนางโชติ ประดิษฐ์ไพเราะ (สกุลเดิม: หุราพันธ์) ธิดาของนายพันโท พระประมวญประมาณพล มีบุตรธิดาด้วยกัน 7 คน ต่อมาเมื่อนางโชติถึงแก่กรรมแล้วจึงได้สมรสครั้งที่ 2 กับนางฟู ศิลปบรรเลง (สกุลเดิม: หุราพันธ์) ซึ่งเป็นน้องสาวของนางโชติ มีบุตรธิดาด้วยกัน 5 คน รวมจำนวนบุตรธิดาทั้งหมด 12 คน ซึ่งได้แก่https://archive.org/details/1024980000unse หนังสืองานพระราชทานเพลิงศพ หลวงประดิษฐไพเราะ (ศร ศิลปบรรเลง) 10 มีนาคม 2498 ณ เมรุวัดเทพศิรินทราวาส # เด็กหญิงสร้อยไข่มุกด์ ศิลปบรรเลง - ถึงแก่กรรมตั้งแต่ยังเด็ก # เด็กหญิงศุกร์ดารา ศิลปบรรเลง - ถึงแก่กรรมตั้งแต่ยังเด็ก # ชิ้น ศิลปบรรเลง|นางชิ้น ไชยพรรค (คุณหญิงชิ้น ศิลปบรรเลง) # นางมหาเทพกษัตรสมุห (บรรเลง สาคริก) # เด็กชายศิลปสราวุธ ศิลปบรรเลง - ถึงแก่กรรมตั้งแต่ยังเด็ก # ประสิทธิ์ ศิลปบรรเลง|นายประสิทธิ์ ศิลปบรรเลง # นางภัลลิกา ศิลปบรรเลง # นางชัชวาลย์ จันทร์เรือง # เด็กชายแดง ศิลปบรรเลง - ถึงแก่กรรมตั้งแต่ยังเด็ก # นายขวัญชัย ศิลปบรรเลง # นาวาเอกสมชัย ศิลปบรรเลง # นายสนั่น ศิลปบรรเลง == ทักษะทางด้านดนตรี == ไฟล์:หลวงประดิษฐไพเราะ (ศร ศิลปบรรเลง) ๒.jpg|thumb|หลวงประดิษฐไพเราะ เมื่อวัย 36 ปี ศร สามารถตีฆ้องวงใหญ่ได้เองตั้งแต่อายุ 5 ขวบ เริ่มเรียนปี่พาทย์เมื่ออายุ 11 ปี ตีระนาดได้รวดเร็ว มาตั้งแต่เด็ก โดยมีบิดาเป็นผู้ถ่ายทอดวิชาปี่พาทย์ให้จนกระทั่งมีความสามารถในการประชันวงถึงขั้นมีชื่อเสียงไปทั่วลุ่มแม่น้ำแม่กลอง จากการได้ออกแสดงฝีมือนี้เองทำให้ชื่อเสียงของนายศร เป็นที่เลื่องลือในหมู่นักดนตรีมากขึ้น โดยเฉพาะในงานใหญ่ครั้งแรก คือ "งานโกนจุกเจ้าจอมเอิบ" และ เจ้าจอมอาบ ธิดาเจ้าพระยาสุรพันธ์พิสุทธิ์ จังหวัดเพชรบุรี ในปี พ.ศ. 2443 ขณะเมื่ออายุ 19 ปี ท่านได้แสดงฝีมือเดี่ยวระนาดเอกถวายสมเด็จพระราชปิตุลา บรมพงศาภิมุข เจ้าฟ้าภาณุรังษีสว่างวงศ์ กรมพระยาภาณุพันธุวงศ์วรเดช เป็นที่ต้องพระทัยมาก จึงทรงรับตัวเข้ามาไว้ที่วังบูรพาภิรมย์ ทำหน้าที่คนระนาดเอกประจำ ต่อมาวันที่ 27 มิถุนายน พ.ศ. 2468 นายศร ศิลปบรรเลง ได้รับพระราชทานบรรดาศักดิ์เป็น''หลวงประดิษฐไพเราะ'' มีราชการในกรมมหรสพ ถือศักดินา 400ราชกิจจานุเบกษา, http://www.ratchakitcha.soc.go.th/DATA/PDF/2468/D/1033.PDF พระราชทานบรรดาศักดิ์ , เล่ม 42, ตอน 0 ง, 5 กรกฎาคม 2468, หน้า 1033 เข้ารับพระราชทานสัญญาบัตรเมื่อวันที่ 11 กรกฎาคม ณ พระที่นั่งบรมพิมานราชกิจจานุเบกษา, http://www.ratchakitcha.soc.go.th/DATA/PDF/2468/D/1151_1.PDF พระราชทานสัญญาบัตรบรรดาศักดิ์, เล่ม 42, ตอน 0 ง, 19 กรกฎาคม 2468, หน้า 1151-2 แล้วได้รับพระราชทานยศเป็น ''หุ้มแพร'' ในวันที่ 13 กรกฎาคม ศกเดียวกันราชกิจจานุเบกษา, http://www.ratchakitcha.soc.go.th/DATA/PDF/2468/D/1152.PDF พระราชทานยศ , เล่ม 42, ตอน 0 ง, 19 กรกฎาคม 2468, หน้า 1152 ทั้งนี้ท่านไม่เคยรับราชการอยู่ในกรมกองใดมาก่อน แต่เพราะฝีมือและความสามารถของท่านเป็นที่ต้องพระหฤทัย ในปี พ.ศ. 2469 ท่านได้เข้ารับราชการในกรมปี่พาทย์และโขนหลวง กระทรวงวัง ท่านได้มีส่วนถวายการสอนดนตรีให้กับพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว และสมเด็จพระนางเจ้ารำไพพรรณี พระบรมราชินี รวมทั้งมีส่วนช่วยงานพระราชนิพนธ์เพลงสามเพลง คือ เพลงราตรีประดับดาวเถา เพลงเขมรละออองค์เถา และ เพลงโหมโรงคลื่นกระทบฝั่ง สามชั้น == ยศและบรรดาศักดิ์ == * 27 มิถุนายน 2468 – หลวงประดิษฐ์ไพเราะ * 11 กรกฎาคม 2468 – เข้ารับพระราชทานสัญญาบัตรบรรดาศักดิ์ * 13 กรกฎาคม 2468 – หุ้มแพร == ในสื่อ == ชีวประวัติของท่านเป็นแรงบันดาลใจในการสร้างภาพยนตร์เรื่อง''โหมโรง (ภาพยนตร์)|โหมโรง'' ออกฉายในปีพ.ศ. 2547 และได้รับการดัดแปลงซ้ำเป็นโหมโรง (ละครโทรทัศน์)|ละครโทรทัศน์ ออกฉายทางสถานีโทรทัศน์ไทยพีบีเอส เมื่อ พ.ศ. 2555 == ผลงาน == ไฟล์:หลวงประดิษฐไพเราะ (ศร ศิลปบรรเลง) ๓.jpg|thumb|หลวงประดิษฐไพเราะ เมื่อวัย 51 ปี หลวงประดิษฐไพเราะ ท่านได้แต่งเพลงไว้มากกว่าร้อยเพลง ดังนี้: ; เพลงโหมโรง : * โหมโรงกระแตไต่ไม้ * โหมโรงปฐมดุสิต * โหมโรงศรทอง * โหมโรงประชุมเทวราช * โหมโรงบางขุนนท์ * โหมโรงนางเยื้อง * โหมโรงม้าสะบัดกีบ * โหมโรงบูเซ็นซ๊อค * ฯลฯ ; เพลงเถา : * กระต่ายชมเดือนเถา * ขอมทองเถา * เขมรเถา * เขมรปากท่อเถา * เขมรราชบุรีเถา * แขกขาวเถา * แขกสาหร่ายเถา * แขกโอดเถา * จีนลั่นถันเถา * ชมแสงจันทร์เถา * ครวญหาเถา * เต่าเห่เถา * นกเขาขแมร์เถา * พราหมณ์ดีดน้ำเต้าเถา * มุล่งเถา * แมลงภู่ทองเถา * ยวนเคล้าเถา * ช้างกินใบไผ่เถา * ระหกระเหินเถา * ระส่ำระสายเถา * ไส้พระจันทร์เถา * ลาวเสี่ยงเทียนเถา * แสนคำนึงเถา * สาวเวียงเหนือเถา * สาริกาเขมรเถา * โอ้ลาวเถา * ครุ่นคิดเถา * กำสรวลสุรางค์เถา * แขกไทรเถา * สุรินทราหูเถา * เขมรภูมิประสาทเถา * แขไขดวงเถา * พระอาทิตย์ชิงดวงเถา * กราวรำเถา * ฯลฯ == เครื่องราชอิสริยาภรณ์ == ราชกิจจานุเบกษา, https://ratchakitcha.soc.go.th/documents/1088889.pdf ส่งเครื่องราชอิสริยาภรณ์ไปพระราชทาน , เล่ม ๔๗ ตอนที่ ๐ ง หน้า ๓๒๒๘, ๒๓ พฤศจิกายน ๒๔๗๓ ราชกิจจานุเบกษา, https://ratchakitcha.soc.go.th/documents/1084629.pdf พระราชทานเครื่องราชอิสริยาภรณ์ , เล่ม ๔๖ ตอนที่ ๐ ง หน้า ๓๖๔, ๑๒ พฤษภาคม ๒๔๗๒ ราชกิจจานุเบกษา, https://www.ratchakitcha.soc.go.th/DATA/PDF/2450/052/1413_3.PDF พระราชทานเหรียญราชรุจิ, เล่ม ๒๔ ตอนที่ ๕๒ หน้า ๑๔๑๔, ๒๙ มีนาคม ๑๒๖ ราชกิจจานุเบกษา, https://ratchakitcha.soc.go.th/pdfdownload?id=1052747 พระราชทานเหรียญราชรุจิ, เล่ม ๓๔ ตอนที่ ๐ ง หน้า ๕๙๓, ๒๗ พฤษภาคม ๒๔๖๐ == อ้างอิง == == แหล่งข้อมูลอื่น == * http://www.sac.or.th/databases/siamrarebooks/th/website/oldbook/flibbook_all/10275/9507/4#book/50 หนังสือที่ระลึกงานพระราชทานเพลิงศพ บนฐานข้อมูล ศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร หมวดหมู่:บรรดาศักดิ์ชั้นหลวง หมวดหมู่:นักดนตรีไทย หมวดหมู่:ผู้ได้รับเหรียญ ร.ด.ม.(ศ)‎ หมวดหมู่:บุคคลจากอำเภออัมพวา
หลวงประดิษฐไพเราะ (ศร ศิลปบรรเลง)
กล่องข้อมูล นักเขียน | name = อังคาร กัลยาณพงศ์ | honorific_suffix = จัตุรถาภรณ์มงกุฎไทย|จ.ม. | image = อังคาร กัลยาณพงศ์.jpg | caption = | pseudonym = อังคาร กัลยาณพงศ์ | birth_date = | birth_place = จังหวัดนครศรีธรรมราช | death_date = | death_place = | occupation = กวี, จิตรกร ศิลปินแห่งชาติ | nationality = | module = | spouse = อุ่นเรือน กัลยาณพงศ์ | children = อ้อมแก้ว กัลยาณพงศ์ | period = | genre = | subject = | movement = | debut_works = | influences = | influenced = | signature = | website = | footnotes = '''อังคาร กัลยาณพงศ์''' (13 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2469 – 25 สิงหาคม พ.ศ. 2555) เป็นทั้งกวีและจิตรกร เกิดที่ตำบลท่าวัง อำเภอเมือง จังหวัดนครศรีธรรมราช ศึกษาระดับประถมที่ โรงเรียนวัดจันทาราม ต่อมาก็เรียนที่วัดใหญ่จนจบประถมสี่ แล้วย้ายไปเรียนที่โรงเรียนมัธยมประจำจังหวัด คือ โรงเรียนเบญจมราชูทิศ นครศรีธรรมราช ศึกษาศิลปะที่โรงเรียนเพาะช่าง และที่คณะจิตรกรรมประติมากรรมและภาพพิมพ์ มหาวิทยาลัยศิลปากร อังคารเป็นผู้ได้รับการยอมรับในฐานะเป็นจิตรกรและกวี เป็นกวีที่มีความโดดเด่น ทั้งในด้านความคิดและรูปแบบ อีกทั้งยังเป็นกวีที่มีความคิดเป็นอิสระ ไม่ถูกร้อยรัดด้วยรูปแบบที่ตายตัว จึงนับเป็นกวีผู้บุกเบิกกวีนิพนธ์ยุคใหม่ ซึ่ง นิธิ เอียวศรีวงศ์ ได้กล่าวถึงผลงานกวีนิพนธ์ของอังคาร กัลยาณพงศ์ ว่ามีความโดดเด่นเป็นอย่างมาก ปีที่ 32 ฉบับที่ 1672. วันที่ 31 สิงหาคม – 6 กันยายน พ.ศ. 2555. หน้า 30–31. . == ประวัติ == พื้นเพเดิมอังคารเป็นคนเมืองนครศรีธรรมราช ซึ่งมีผู้กล่าวว่าเป็นเมืองแห่งกาพย์กลอนอยู่แล้ว หลังศึกษาจบระดับมัธยมที่โรงเรียนเบญจมราชูทิศ ได้เดินทางเข้ามาเรียนต่อที่ โรงเรียนเพาะช่าง และ มหาวิทยาลัยศิลปากร อังคารได้เป็นศิษย์ของศิลปินใหญ่อย่าง ศ.ศิลป พีระศรี, อ.เฟื้อ หริพิทักษ์ และ อ.เฉลิม นาคีรักษ์ ทำให้ได้ติดตามและร่วมงานกับอาจารย์ในการศึกษาค้นคว้างานด้านต่าง ๆ ทั้งศิลปกรรม โบราณคดี และประวัติศาสตร์ ความเป็นกวีและจิตรกรนั้นเป็นพรสวรรค์ที่อังคารเองเชื่อมั่นและฝึกฝนมาตั้งแต่วัยเยาว์ ซึ่งได้พูดถึงการเป็นทั้งจิตรกรและกวีของตนว่า บทกวีและจิตรกรรมนั้นมาจากดวงใจดวงเดียวกัน "การวาดรูปกับการแต่งบทกวีต้องใช้ความคิดกับจินตนาการ อาจจะผิดกันในเรื่องเทคโนโลยีกับเทคนิค แต่ใช้จิตใจดวงเดียวกัน ทั้งงานเขียนรูปและเขียนหนังสือก็ต้องอาศัยมโนคติ บางคนเขาเรียก อิมเมจิเนชั่น ต้องมีจินตนาการความคิด เหมือนคนที่สร้างนครวัด เขาต้องมีภาพมาก่อนว่าทำอย่างไรจึงจะมีปราสาทขึ้นมา ถ้าเรามีมโนภาพกว้างใหญ่ไพศาล เราก็สามารถสร้างสรรค์อะไรที่ใหญ่โตขึ้นมา ถ้ามีมโนภาพคับแคบก็สร้างสรรค์อะไรอยู่ในกะลาเท่านั้น" "คนอื่นเขาอาจจะไปทำขนมครก ไปรับเหมาทางด่วน ไปทำอะไรก็ได้ แต่กวีต้องเป็นกวีอยู่ทุกลมหายใจ คือโดยหลักจริง ๆ แล้วผมยังเขียนบทกวีอยู่เรื่อยๆ จะชำระของที่ดูไม่ค่อยเรียบร้อยให้เรียบร้อย ให้หมดจดขึ้น มีถ้อยคำที่ลงตัว คือพูดง่ายๆ ว่า ถ้าเราตายไปแล้ว เราก็หมดโอกาสที่จะเปิดฝาโลงขึ้นมาชำระโคลงของเราให้เรียบร้อย คนที่เขียนกวี ถ้าบทกวีชิ้นใดไม่สมบูรณ์ ก็เหมือนเราไปปรโลกแล้วยังมีห่วงอยู่" แต่ในการจะสร้างสรรค์ผลงานออกมาให้ได้ดีนั้นก็ต้องมีอารมณ์ที่จดจ่ออยู่กับงานด้วย "โดยหลักการ การเขียนกาพย์กลอนต้องโปร่งใส ต้องใช้อิสระเสรี ถึงจะทำได้ดี ก็เหมือนทะเลเวลามีคลื่นลมมากเรือที่ลอยอยู่ก็สามารถจมได้ บางครั้งอารมณ์ไม่ดีก็ทำไม่ได้" ส่วนในด้านงานจิตรกรรมนั้น อังคารเรียนวิชาวาดเขียนได้คะแนนดีมาโดยตลอด จนได้รับคำบันทึกจากคุณครูเขียนลงในสมุดรายงานว่า เป็นผู้มีใจรักและฝักใฝ่ในวิชาวาดเขียน เขามองว่าการวาดเขียนถึงแม้จะไม่ได้เงินทองมาก แต่จะมีประโยชน์ไปบริการทางวิญญาณ จะทำให้วิญญาณมนุษย์ดีขึ้น อังคารยังให้ทัศนะในการทำงานว่า ก็เหมือนกับการเติบโตของต้นไม้ มันค่อยๆ ขึ้นทีละใบสองใบ ค่อยแตกไปเรื่อย ๆ ถึงฤดูกาลก็แตกดอกออกผล ก่อนออกผลก็ออกดอกเสียก่อนไปตามลำดับ พร้อมกับยืนยันว่าจะไม่ขอทำอย่างอื่นแล้วในชีวิตนี้ จะทำงานเหล่านี้ไปตลอดจนถึงชาติหน้า ทั้งงานศิลปะ ไม่ว่าจะวาดหรือปั้น รวมถึงงานเขียนบทกวี และกล่าวถึงผู้สืบทอดในงานว่า "ไม่ได้คิดอะไร เหมือนเราเกิดมาเป็นต้นโพธิ์ ถึงฤดูกาลใบมันก็หล่นลงมายังพื้นดิน กลายเป็นดิน น้ำ ลม ไฟตามเดิม ใครที่เขาเห็นคุณค่า เขามาไถ่ถามก็ให้เขาไปตามเรื่อง" สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี เสด็จพระราชดำเนินไปในการพระราชทานเพลิงศพ นายอังคาร กัลยาณพงศ์ ณ เมรุวัดทองนพคุณ เขตคลองสาน กรุงเทพมหานคร เมื่อวันอาทิตย์ที่ 27 สิงหาคม 2556 เวลา 17.00 น. == ศิลปินแห่งชาติ == == ผลงานรางวัลซีไรต์ == * ปณิธานกวี (พ.ศ. 2529) == เครื่องราชอิสริยาภรณ์ == ราชกิจจานุเบกษา. https://ratchakitcha.soc.go.th/documents/1639832.pdf ประกาศสำนักนายกรัฐมนตรี เรื่อง พระราชทานเครื่องราชอิสริยาภรณ์ ในวโรกาสพระราชพิธีเฉลิมพระชนมพรรษา ๕ ธันวาคม ๒๕๓๕ ผู้ทำคุณประโยชน์ให้แก่ทางราชการ. เล่ม 110 ตอนที่ 36 ง ฉบับพิเศษ หน้า 73. วันที่ 26 มีนาคม 2536. == อ้างอิง == === บรรณานุกรม === * Cite book |author=สมบัติ จำปาเงิน |title=ศิลปินแห่งชาติ พ.ศ. 2531–2533 |publisher=สุวีริยาสาส์น |date= |location=กรุงเทพฯ |isbn=978-974-298-245-4 == แหล่งข้อมูลอื่น == * * * * หมวดหมู่:บุคคลจากวิทยาลัยเพาะช่าง มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลรัตนโกสินทร์ หมวดหมู่:บุคคลจากคณะจิตรกรรมประติมากรรมและภาพพิมพ์ มหาวิทยาลัยศิลปากร หมวดหมู่:นักเขียนชาวไทย หมวดหมู่:นักประพันธ์รางวัลซีไรต์ชาวไทย หมวดหมู่:จิตรกรชาวไทย หมวดหมู่:ศิลปินชาวไทย หมวดหมู่:ศิลปินแห่งชาติสาขาวรรณศิลป์ หมวดหมู่:บุคคลจากอำเภอเมืองนครศรีธรรมราช‎ หมวดหมู่:กวีชาวไทย หมวดหมู่:บุคคลจากโรงเรียนเบญจมราชูทิศ นครศรีธรรมราช หมวดหมู่:พันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย หมวดหมู่:พรรคศิลปิน หมวดหมู่:ผู้ได้รับเครื่องราชอิสริยาภรณ์ จ.ม.
อังคาร กัลยาณพงศ์
Infobox civil conflict | title = พฤษภาทมิฬ | image = Black_May_1992.jpg | image_size = 300px | caption = ผู้ชุมนุมและทหารในช่วงพฤษภาทมิฬ บริเวณถนนราชดำเนิน | date = 17 – 24 พฤษภาคม 2535 ( ปีที่แล้ว) | place = กรุงเทพมหานครและปริมณฑล | coordinates = | causes = | goals = | methods = | result = | side1 = '''ผู้ประท้วง''' * สหพันธ์นิสิตนักศึกษาแห่งประเทศไทย * ไฟล์:Flag of Thailand.svg|25pxประชาชนทั่วไป '''พรรคการเมือง''' * ไฟล์:Democrat TH Logo.svg|25pxพรรคประชาธิปัตย์​ * ไฟล์:พรรคพลังธรรม.png|25pxพรรคพลังธรรม * ไฟล์:New Aspiration Party (Thai) Logo.jpg|25pxพรรคความหวังใหม่ * ไฟล์:252820 พรรคมวลชน (2528).png|25pxพรรคมวลชน | side2 = '''รัฐบาล''' * คณะรักษาความสงบเรียบร้อยแห่งชาติ (รสช.) ** **สำนักงานตำรวจแห่งชาติ|กรมตำรวจ ***ไฟล์:Metropolitan Police Bureau logo.png|25pxกองบัญชาการตำรวจนครบาล|ตำรวจนครบาล ***ไฟล์:Patch color of Border Patrol Police.svg|25pxตำรวจตระเวนชายแดน ไฟล์:Seal of the Office of the Prime Minister of Thailand.svg|25px คณะรัฐมนตรีไทย คณะที่ 48|คณะรัฐมนตรี​ไทยคณะที่48 '''พรรคการเมือง''' * พรรคสามัคคี​ธรรม | leadfigures1 = พล.ต.จำลอง ศรีเมือง พล.อ.พัลลภ ปิ่นมณี นพ.เหวง โตจิราการ ร.อ.ฉลาด วรฉัตร น.ต.ประสงค์ สุ่นศิริ | leadfigures2 = พล.อ.สุจินดา คราประยูร พล.อ.สุนทร คงสมพงษ์ พล.อ.อ.เกษตร โรจนนิล ณรงค์ วงศ์วรรณ พล.อ.อิสระพงศ์ หนุนภักดี | leadfigures3 = | howmany3 = | casualties1 = | casualties2 = | casualties3 = | fatalities = กว่า 500 คน (ไม่เป็นทางการ) | injuries = 1,728 คน | arrests = ไม่ทราบ | detentions = | charged = | fined = | casualties_label = | notes = |latitude=|longitude= '''เหตุการณ์พฤษภาทมิฬ'''เป็นเหตุการณ์ที่ การก่อการกำเริบโดยประชาชน|ประชาชนเคลื่อนไหวประท้วงรัฐบาลครั้งสำคัญครั้งหนึ่งในประวัติศาสตร์การเมืองที่มี สุจินดา คราประยูร|พล.อ. สุจินดา คราประยูร เป็นนายกรัฐมนตรี และต่อต้านการสืบทอดอำนาจของ คณะรักษาความสงบเรียบร้อยแห่งชาติ (รสช.) ระหว่างวันที่ 17-24 พฤษภาคม พ.ศ. 2535 ซึ่งเป็นการรัฐประหาร รัฐบาล ชาติชาย ชุณหะวัณ|พล.อ. ชาติชาย ชุณหะวัณ เมื่อเดือนกุมภาพันธ์ พ.ศ. 2534 นำไปสู่เหตุการณ์ปราบปรามและปะทะกันระหว่างเจ้าหน้าที่ตำรวจและทหารกับประชาชนผู้ชุมนุม มีผู้เสียชีวิตและบาดเจ็บจำนวนมาก (พลเอกสุจินดาแถลงว่ามีผู้เสียชีวิต 44 คน บาดเจ็บ 1,728 คน) https://prachatai.com/journal/2017/05/71545 เปิดรายชื่อคนตาย พ.ค.35 และ พ.ค.53 – 7 ปี ความยุติธรรมที่ไม่ไปไหน และนำไปสู่การเปลี่ยนแปลงทางการเมือง อีกทั้งยังมีการตื่นตัวทางการเมืองจากกลุ่มชนชั้นกลาง จึงเรียกกันว่า “ม็อบมือถือ”https://www.matichon.co.th/mic/news_3347802 ม็อบมือถือ” พลังแห่งชนชั้นกลาง ในเหตุการณ์ “พฤษภาทมิฬ 2535” เหตุการณ์ได้เริ่มต้นขึ้นเมื่อ รสช. ได้ทำการรัฐประหารรัฐบาล ชาติชาย ชุณหะวัณ|พล.อ. ชาติชาย ชุณหะวัณ โดยมีหัวหน้าคณะคือ สุนทร คงสมพงษ์|พล.อ. สุนทร คงสมพงษ์ ผู้บัญชาการทหารสูงสุด ในขณะนั้นภายหลังการรัฐประหารได้เลือกนาย อานันท์ ปันยารชุน เป็นนายกรัฐมนตรีและได้ร่างรัฐธรรมนูญจนมีการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรไทยเป็นการทั่วไป มีนาคม พ.ศ. 2535|การเลือกตั้งผลปรากฏว่าณรงค์ วงศ์วรรณ|นายณรงค์ วงศ์วรรณ หัวหน้าพรรคสามัคคีธรรมที่ตั้งขึ้นและได้รับการสนับสนุนจากบุคคลในคณะรสช. ได้คะแนนมากที่สุด แต่สุดท้ายไม่สามารถดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีได้เนื่องจากถูกรัฐบาลสหรัฐอเมริกาขึ้นบัญชีดำจากความใกล้ชิดกับนักค้ายาเสพติดhttp://wiki.kpi.ac.th/index.php?title=%E0%B8%AA%E0%B8%B2%E0%B8%A1%E0%B8%B1%E0%B8%84%E0%B8%84%E0%B8%B5%E0%B8%98%E0%B8%A3%E0%B8%A3%E0%B8%A1_(%E0%B8%9E.%E0%B8%A8.2535) สามัคคีธรรม (พ.ศ. 2535) ,ฐานข้อมูลการปกครอง สถาบันพระปกเกล้า .วันที่ 5 ต.ค. 2554 ทำให้ พล.อ. สุจินดา ขึ้นเป็นนายกรัฐมนตรีแทน ซึ่งเป็นการตระบัดสัตย์ที่เคยกล่าวไว้ว่าจะไม่ดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรี จนได้รับฉายา "'''เสียสัตย์เพื่อชาติ'''" จากสื่อมวลชนในเวลาต่อมาhttp://www.manager.co.th/Columnist/ViewNews.aspx?NewsID=9550000105111 วาทกรรมทางการเมืองกับความหมายเชิงสัญญะ ,ผู้จัดการ .วันที่ 27 สิงหาคม 2555 จากผลดังกล่าว ทำให้ประชาชนหลายส่วนไม่พอใจการขึ้นดำรงตำแหน่งเป็นนายกรัฐมนตรีของ พล.อ. สุจินดา ซึ่งขัดกับหลักประชาธิปไตย จนนำไปสู่การประท้วงทั้งการอดอาหาร การเดินขบวน และการชุมนุมในสถานที่ต่าง ๆ ในกรุงเทพมหานคร ทำให้รัฐบาล พล.อ. สุจินดาใช้คำสั่งสลายการชุมนุม เกิดการปะทะขึ้น มีประชาชนเสียชีวิตและบาดเจ็บเป็นจำนวนมาก ในเวลาต่อมาพระบาทสมเด็จพระมหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร|พระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตรได้ทรงรับสั่งให้พลเอกสุจินดา คราประยูรและ จำลอง ศรีเมือง|พล.ต. จำลอง ศรีเมืองเข้าเฝ้า โดยทรงพระราชทานพระราชดำรัสแก่คณะผู้เข้าเฝ้าทูลละอองธุลีพระบาท ซึ่งได้มีการเผยแพร่ผ่านโทรทัศน์รวมการเฉพาะกิจแห่งประเทศไทย(ทรท.) หลังจากนั้นอีก 4 วัน พล.อ.สุจินดา จึงได้ประกาศลาออกจากการเป็นนายกรัฐมนตรี และนายอานันท์ ปันยารชุน ได้ดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีอีกครั้ง ก่อนการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรไทยเป็นการทั่วไป กันยายน พ.ศ. 2535|การเลือกตั้งในเวลาต่อมา == สาเหตุ == เหตุการณ์ครั้งนี้ เริ่มต้นมาจากเหตุการณ์รัฐประหาร 23 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2534 หรือ 1 ปีก่อนหน้าการประท้วง ซึ่ง รสช. ได้ยึดอำนาจจากรัฐบาล ซึ่งมีชาติชาย ชุณหะวัณ|พล.อ.ชาติชาย ชุณหะวัณ เป็น นายกรัฐมนตรี โดยให้เหตุผลหลักว่า มีการฉ้อราษฎร์บังหลวงอย่างหนักในรัฐบาล และรัฐบาลพยายามทำลายสถาบันทหาร โดยหลังจากยึดอำนาจ คณะ รสช. ได้เลือก อานันท์ ปันยารชุน|นายอานันท์ ปันยารชุน เป็นนายกรัฐมนตรี มีการแต่งตั้ง สภานิติบัญญัติแห่งชาติ (ประเทศไทย) พ.ศ. 2534|สภานิติบัญญัติแห่งชาติขึ้น รวมทั้งการแต่งตั้งคณะกรรมการร่างรัฐธรรมนูญ 20 คน โดย มีชัย ฤชุพันธุ์ เป็นประธานคณะกรรมการ เพื่อร่างรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ขึ้นแทนธรรมนูญการปกครองราชอาณาจักร พุทธศักราช 2534 ประกาศใช้เมื่อวันที่ 1 มีนาคม 2534 หลังจากร่างรัฐธรรมนูญสำเร็จ ก็ได้มีการจัดการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรไทยเป็นการทั่วไป มีนาคม พ.ศ. 2535|การเลือกตั้งทั่วไปเมื่อวันที่ 22 มีนาคม พ.ศ. 2535 โดยพรรคที่ได้จำนวนผู้แทนมากที่สุดคือ พรรคสามัคคีธรรม (79 คน) ได้เป็นแกนนำจัดตั้งรัฐบาล โดยมีการรวมตัวกับพรรคร่วมรัฐบาลอื่น ๆ คือ พรรคชาติไทย พรรคกิจสังคม และพรรคราษฎร และมีการเตรียมเสนอณรงค์ วงศ์วรรณ|นายณรงค์ วงศ์วรรณ หัวหน้าพรรคสามัคคีธรรมในฐานะหัวหน้าพรรคที่มีผู้แทนมากที่สุด ขึ้นเป็นนายกรัฐมนตรี แต่ปรากฏว่า ทางโฆษกกระทรวงการต่างประเทศสหรัฐอเมริกา มาร์กาเร็ต แท็ตไวเลอร์ ได้ออกมาประกาศว่า นายณรงค์ นั้นเป็นผู้หนึ่งที่ไม่สามารถขอวีซ่าเดินทางเข้าสหรัฐอเมริกา ได้ เนื่องจากมีความใกล้ชิดกับนักค้ายาเสพติด ในที่สุด จึงมีการเสนอชื่อ สุจินดา คราประยูร|พล.อ.สุจินดา คราประยูร ขึ้นเป็นนายกรัฐมนตรีแทน ซึ่งเมื่อได้รับพระราชทานแต่งตั้งอย่างเป็นทางการแล้ว ก็เกิดความไม่พอใจของประชาชนในวงกว้าง เนื่องจากก่อนหน้านี้มีการทักท้วงโต้แย้งเกี่ยวกับรัฐธรรมนูญที่ร่างขึ้นมาใหม่ว่า ไม่มีความเป็นประชาธิปไตย ซึ่งรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2534|รัฐธรรมนูญฉบับนี้ก็ได้ถูกประกาศใช้ === พรรคเทพ พรรคมาร === ''พรรคเทพ พรรคมาร'' เป็นคำที่สื่อมวลชนใช้เรียกกลุ่มพรรคการเมืองในเหตุการณ์พฤษภาทมิฬ ที่แบ่งแยกเป็น 2 ฝ่ายชัดเจน พรรคที่ถูกเรียกว่า ''พรรคเทพ'' คือพรรคที่ประกาศตัวเป็นฝ่ายค้าน ไม่สนับสนุนการดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีของ สุจินดา คราประยูร|พล.อ.สุจินดา คราประยูร ผู้นำคณะรักษาความสงบเรียบร้อยแห่งชาติ|คณะรัฐประหาร รสช. ที่ไม่ได้มาจากการเลือกตั้ง และได้ประกาศต่อสาธารณะมาตลอดว่าจะไม่รับตำแหน่งนายกรัฐมนตรี โดยที่กระแส "นายกฯ ต้องมาจากการเลือกตั้ง" เป็นกระแสหลักของสังคมไทยในขณะนั้น ''พรรคเทพ'' ประกอบด้วย 4 พรรคการเมือง ได้แก่ # พรรคความหวังใหม่ (72 เสียง) # พรรคประชาธิปัตย์ (44 เสียง) # พรรคพลังธรรม (41 เสียง) # พรรคเอกภาพ (6 เสียง) ในขณะที่ ''พรรคมาร'' คือพรรคที่สนับสนุนพลเอกสุจินดา คราประยูร ประกอบด้วยพรรคการเมืองคณะรัฐมนตรีไทย คณะที่ 48|ร่วมรัฐบาล 5 พรรค ได้แก่ # พรรคสามัคคีธรรม (79 เสียง) # พรรคชาติไทย (74 เสียง) # พรรคกิจสังคม (31 เสียง) # พรรคประชากรไทย (7 เสียง) # พรรคราษฎร (4 เสียง) ซึ่งก่อนเกิดเหตุการณ์พฤษภาทมิฬมีกระแสเรียกร้องให้แก้ไขรัฐธรรมนูญ ให้นายกรัฐมนตรีต้องมาจากการเลือกตั้ง และทั้ง 5 พรรคนี้ต่างเคยตอบรับมาก่อน แต่ในที่สุดกลับหันมาสนับสนุน พล.อ.สุจินดา คราประยูร และเห็นว่าเป็นการพยายามสืบทอดอำนาจของคณะรัฐประหาร (รสช.) == การต่อต้านของประชาชน == พลเอกสุจินดา คราประยูร ได้ให้สัมภาษณ์หลายครั้งว่า ตนและสมาชิกในคณะรักษาความสงบเรียบร้อยแห่งชาติจะไม่รับตำแหน่งทางการเมืองใด ๆ แต่ภายหลังได้มารับตำแหน่งรัฐมนตรี ซึ่งไม่ตรงกับที่เคยพูดไว้ เหตุการณ์นี้ จึงได้เป็นที่มาของประโยคที่ว่า ''"เสียสัตย์เพื่อชาติ"'' และเป็นหนึ่งในชนวนให้ฝ่ายที่คัดค้านรัฐธรรมนูญฉบับนี้ทำการเคลื่อนไหวอีกด้วย การรับตำแหน่งนายกรัฐมนตรีของพลเอกสุจินดา ดังกล่าว นำไปสู่การเคลื่อนไหวคัดค้านต่าง ๆ ของประชาชน รวมถึงการอดอาหารของ ฉลาด วรฉัตร|ร.ต.ฉลาด วรฉัตร และ จำลอง ศรีเมือง|พล.ต.จำลอง ศรีเมือง (หัวหน้าพรรคพลังธรรมในขณะนั้น) สหพันธ์นิสิตนักศึกษาแห่งประเทศไทย ที่มีนายปริญญา เทวานฤมิตรกุล เป็นเลขาธิการ ตามมาด้วยการสนับสนุนของพรรคฝ่ายค้านประกอบด้วยพรรคประชาธิปัตย์, พรรคเอกภาพ, พรรคความหวังใหม่และพรรคพลังธรรมโดยมีข้อเรียกร้องให้นายกรัฐมนตรีลาออกจากตำแหน่ง และเสนอว่าผู้ดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีต้องมาจากการเลือกตั้ง หลังการชุมนุมยืดเยื้อตั้งแต่เดือนเมษายน เมื่อเข้าเดือนพฤษภาคม รัฐบาลเริ่มระดมทหารเข้ามารักษาการในกรุงเทพมหานคร และเริ่มมีการเผชิญหน้ากันระหว่างผู้ชุมนุมกับเจ้าหน้าที่ตำรวจและทหารในบริเวณราชดำเนินกลาง ทำให้สถานการณ์ตึงเครียดมากขึ้นเรื่อย ๆ กระทั่งในคืนวันที่ 17 พฤษภาคม ขณะที่มีการเคลื่อนขบวนประชาชนจากสนามหลวงไปยังถนนราชดำเนินกลางเพื่อไปยังหน้าทำเนียบรัฐบาลไทย|ทำเนียบรัฐบาล ตำรวจและทหารได้สกัดการเคลื่อนขบวนของประชาชน ณ สะพานผ่านฟ้าลีลาศ เริ่มเกิดการปะทะกันระหว่างประชาชนกับเจ้าหน้าที่ตำรวจในบางจุด และมีการบุกเผาสถานีตำรวจนครบาลนางเลิ้ง จากนั้นวันที่ 18 พฤษภาคม เวลา 00.30 น.http://www.ratchakitcha.soc.go.th/DATA/PDF/2535/A/059/1.PDF การเคลื่อนไหวประชาชนรัฐบาลได้ประกาศสถานการณ์ฉุกเฉินในกรุงเทพมหานคร จังหวัดปทุมธานี จังหวัดสมุทรปราการ จังหวัดสมุทรสาคร และจังหวัดนนทบุรีhttp://www.ratchakitcha.soc.go.th/DATA/PDF/2535/A/059/2.PDF รัฐบาลได้ประกาศฉุกเฉิน,ประกาศ ห้ามมิให้ชุมนุมหรือมั่วสุมกันhttp://www.ratchakitcha.soc.go.th/DATA/PDF/2535/A/059/4.PDF ประกาศ ห้ามมิให้ชุมนุมหรือมั่วสุมกันและประกาศให้วันที่ 18 - 20 พฤษภาคม เป็นวันหยุดราชการhttp://www.ratchakitcha.soc.go.th/DATA/PDF/2535/A/059/2.PDF ประกาศสำนักนายกรัฐมนตรี เรื่อง กำหนดวันหยุดราชการพร้อมกับปิดโรงเรียนและมหาวิทยาลัยในจังหวัดที่ประกาศสถานการณ์ฉุกเฉินเป็นเวลา 3 วันhttp://www.ratchakitcha.soc.go.th/DATA/PDF/2535/A/059/8.PDF ประกาศกระทรวงศึกษาธิการ เรื่อง ให้สถานศึกษาปิดเรียน (วันที่ 18 - 20 พฤษภาคม พ.ศ. 2535)http://www.ratchakitcha.soc.go.th/DATA/PDF/2535/A/059/9.PDF ประกาศทบวงมหาวิทยาลัย เรื่องให้สถาบันอุดมศึกษา ในสังกัดทบวงมหาวิทยาลัย ทั้งของรัฐและเอกชนงดการเรียนการสอน และกิจกรรมนิสิต - นักศึกษาและงดการตรวจร่างกายและเอกซเรย์ เนื่องจากวันหยุดราชการ โดยให้ตรวจระหว่างวันที่ 21 - 23 พฤษภาคม พ.ศ. 2535 แทนhttp://www.ratchakitcha.soc.go.th/DATA/PDF/2535/A/059/10.PDF ประกาศทบวงมหาวิทยาลัย เรื่อง งดการตรวจร่างกายและเอกซเรย์ โดยให้ทหารกับตำรวจตระเวนชายแดน​ทำหน้าที่รักษาความสงบ แต่ได้นำไปสู่การปะทะกันกับประชาชน มีการใช้กระสุนจริงยิงใส่ผู้ชุมนุมในบริเวณถนนราชดำเนินจากนั้นจึงเข้าสลายการชุมนุมในเช้ามืดวันเดียวกันนั้น ตามหลักฐานที่ปรากฏมีผู้เสียชีวิตหลายสิบคน เวลา 15.30 นาฬิกา ของวันที่ 18 พฤษภาคม ทหารได้เคลื่อนกำลังครั้งสำคัญครั้งหนึ่งและควบคุมตัวพลตรีจำลอง ศรีเมือง จากบริเวณที่ชุมนุมกลางถนนราชดำเนินกลาง และรัฐบาลได้ออกแถลงการณ์หลายฉบับและรายงานข่าวทางโทรทัศน์ของรัฐบาลทุกช่องยืนยันว่าไม่มีการเสียชีวิตของประชาชน แต่การชุมนุมต่อต้านของประชาชนยังไม่สิ้นสุด เริ่มมีประชาชนออกมาชุมนุมอย่างต่อเนื่องในหลายพื้นที่ทั่วกรุงเทพมหานคร โดยเฉพาะที่มหาวิทยาลัยรามคำแหง พร้อมมีการตั้งแนวป้องกันการปราบปรามตามถนนสายต่าง ๆ ขณะที่รัฐบาลได้ออกประกาศจับแกนนำอีก 7 คน คือ # ดร.ปริญญา เทวานฤมิตรกุล # เหวง โตจิราการ|นพ.เหวง โตจิราการ # นพ.สันต์ หัตถีรัตน์ # สมศักดิ์ โกศัยสุข|นายสมศักดิ์ โกศัยสุข # ประทีป อึ้งทรงธรรม ฮาตะ|นางประทีป อึ้งทรงธรรม ฮาตะ # นางสาวจิตราวดี วรฉัตร # วีระ มุสิกพงศ์|นายวีระ มุสิกพงศ์ โดยตั้งข้อหาฝ่าฝืนพระราชกำหนดการบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉิน พ.ศ. 2495 และระบุว่าบุคคลเหล่านี้ยังคงชุมนุมไม่เลิก และยังปรากฏข่าวรายงานการปะทะกันระหว่างเจ้าหน้าที่กับประชาชนในหลายจุดและเริ่มเกิดการปะทะกันรุนแรงมากขึ้นในคืนวันนั้นในบริเวณถนนราชดำเนินกลาง มีผู้ถูกอาวุธปืนยิง เช่นนาย ปัญจพล เสน่ห์สังคมhttps://mgronline.com/onlinesection/detail/9580000089171 เปิดตัวตน “ปัญจพล เสน่ห์สังคม” เจ้าของวาทะ “ผมเป็นผู้พิพากษาของพระเจ้าอยู่หัว”! 19 พฤษภาคม เจ้าหน้าที่เริ่มเข้าควบคุมพื้นที่บริเวณถนนราชดำเนินกลางได้ และควบคุมตัวประชาชนจำนวนมากขึ้นรถบรรทุกทหารไปควบคุมไว้พลเอกสุจินดา คราประยูร นายกรัฐมนตรี แถลงการณ์ย้ำว่าสถานการณ์เริ่มกลับสู่ความสงบและไม่ให้ประชาชนเข้าร่วมชุมนุมอีก แต่ยังปรากฏการรวมตัวของประชาชนใหม่ที่มหาวิทยาลัยรามคำแหงในคืนวันเดียวกัน และมีการเริ่มก่อความไม่สงบเพื่อต่อต้านรัฐบาลโดยกลุ่มจักรยานยนต์หลายพื้นที่ในกรุงเทพมหานคร เช่น การทุบทำลายป้อมจราจรและสัญญาณไฟจราจร เป็นต้น วันเดียวกันนั้นเริ่มมีการออกแถลงการณ์เรียกร้องให้นายกรัฐมนตรีลาออกจากตำแหน่งเพื่อรับผิดชอบต่อการเสียชีวิตของประชาชน ขณะที่สื่อของรัฐบาลยังคงรายงานว่าไม่มีการสูญเสียชีวิตของประชาชน แต่สำนักข่าวต่างประเทศอย่างซีเอ็นเอ็นและบีบีซี เวิลด์นิวส์|บีบีซีได้รายงานภาพของการสลายการชุมนุมและการทำร้ายผู้ชุมนุม หนังสือพิมพ์ในประเทศไทยบางฉบับเริ่มตีพิมพ์ภาพการสลายการชุมนุม ขณะที่รัฐบาลได้ประกาศให้มีการตรวจและควบคุมการเผยแพร่ข่าวสารทางสื่อมวลชนเอกชนในประเทศ ซึ่งการชุมนุมในครั้งนี้ ด้วยผู้ชุมนุมส่วนใหญ่เป็นชนชั้นกลางในเขตตัวเมือง เป็นนักธุรกิจหรือบุคคลวัยทำงาน ซึ่งแตกต่างจากเหตุการณ์ 14 ตุลา ในอดีต ซึ่งผู้ชุมนุมส่วนใหญ่เป็นนิสิต นักศึกษา ประกอบกับเทคโนโลยีโทรศัพท์มือถือที่เพิ่งเข้ามาในประเทศไทย และใช้เป็นเครื่องมือสำคัญในการติดต่อสื่อสารในครั้งนี้ เหตุการณ์พฤษภาทมิฬนี้จึงได้ชื่อเรียกอีกชื่อนึงว่า ''"ม็อบมือถือ"'' === ไอ้แหลม === ไอ้แหลม เป็นชื่อที่เรียกบุคคลลึกลับซึ่งไม่ทราบว่าเป็นผู้ใดจนถึงทุกวันนี้ เป็นชายที่ส่งเสียงรบกวนวิทยุสื่อสารของทหารและตำรวจตลอดระยะเวลาการชุมนุม โดยมักกวนเป็นเสียงแหลมสูง และมีประโยคด่าทอรัฐบาล ทหารและตำรวจด้วยวาทะที่เจ็บแสบhttp://bbznet.pukpik.com/scripts/view.php?do=form_edit_topic&board=40&id=14&user=myzeon “ไอ้แหลม” มาแล้ว... === แผนไพรีพินาศ === ''แผนไพรีพินาศ'' เป็นแผนยุทธการจัดวางกองกำลังและสลายการชุมนุม ในลักษณะของแผนเผชิญเหตุ จัดทำขึ้นโดยกองกำลังรักษาพระนครตั้งแต่ปี พ.ศ. 2524 เพื่อให้หน่วยงานต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องกับการรักษาความสงบ ได้แก่ ทหาร ตำรวจ และข้าราชการพลเรือน นำไปปฏิบัติ ต่อมาในปี พ.ศ. 2527 และ พ.ศ. 2529 ได้มีการพัฒนาปรับปรุงแผนให้สอดคล้องกับสถานการณ์มากขึ้น ส่วนแผนที่มีผลบังคับใช้ขณะเกิดเหตุการณ์พฤษภาทมิฬ คือ แผนไพรีพินาศ/33 ซึ่งมี 4 ขั้นตอน ได้แก่ # ขั้นการเตรียมการ โดยให้ทุกกองกำลังออกหาข่าว รวบรวมข่าวสาร และเตรียมกำลัง เจ้าหน้าที่ รวมถึงอุปกรณ์ต่าง ๆ ในการปฏิบัติการ # ขั้นป้องกัน ใช้กองกำลังตำรวจในการสกัดกั้น ให้การประชาสัมพันธ์เพื่อให้ผู้ก่อความไม่สงบ ทราบถึงข้อเท็จจริงเกี่ยวกับสถานการณ์โดยถูกต้องและยุติการกระทำเอง ทางเจ้าหน้าที่จะปิดล้อมพื้นที่สำคัญ เพื่อป้องกันมิให้เกิดความเสียหายเพิ่มขึ้น พร้อมทั้งอารักขาสถานที่และบุคคลสำคัญของประเทศ # ขั้นปราบปรามรุนแรง หากการปฏิบัติการขั้นที่ 2 หรือกองกำลังตำรวจไม่สามารถที่จะระงับสถานการณ์ได้สำเร็จ และสถานการณ์ทวีความรุนแรงจนไม่สามารถควบคุมได้แล้ว จึงใช้กองกำลังของกองทัพบก กองทัพเรือ และกองทัพอากาศ เข้าระงับยับยั้งยุติภัยคุกคาม # ขั้นสุดท้าย คือ การส่งมอบพื้นที่และความรับผิดชอบ ให้แก่เจ้าหน้าที่ฝ่ายพลเรือนหรือตำรวจรับผิดชอบต่อไป เมื่อสถานการณ์คลี่คลายแล้ว === พระราชทานพระราชดำรัส === เมื่อเวลาประมาณ 21:30 นาฬิกา ของวันพุธที่ 20 พฤษภาคม พ.ศ. 2535 พระบาทสมเด็จพระมหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร|พระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร พระราชทานพระบรมราชวโรกาสให้ สัญญา ธรรมศักดิ์ รายพระนามและชื่ออภิรัฐมนตรีและองคมนตรีไทย|ประธานองคมนตรี และเปรม ติณสูลานนท์|พลเอก เปรม ติณสูลานนท์ คณะองคมนตรีไทย|องคมนตรีและรัฐบุรุษ นำสุจินดา คราประยูร|พลเอก สุจินดา คราประยูร นายกรัฐมนตรีไทย|นายกรัฐมนตรี และจำลอง ศรีเมือง|พลตรี จำลอง ศรีเมือง แกนนำผู้ชุมนุม เข้าเฝ้าทูลละอองธุลีพระบาท โอกาสนี้ ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าโปรดกระหม่อม พระราชทานพระราชดำรัสแก่คณะผู้เข้าเฝ้าทูลละอองธุลีพระบาทด้วยhttps://www.facebook.com/Horoworldfanpage/photos/a.300900791174.153901.100346446174/10151747481136175/?type=3&theater พระราชดำรัสของในหลวง ในเหตุการณ์พฤษภาทมิฬ ปี 2535 จากเฟซบุ๊ก ซึ่งโทรทัศน์รวมการเฉพาะกิจแห่งประเทศไทย นำเทปบันทึกภาพเหตุการณ์ดังกล่าว ออกอากาศทางรายชื่อสถานีโทรทัศน์ในประเทศไทย|สถานีโทรทัศน์ทั้ง 5 ช่อง เมื่อเวลา 24:00 นาฬิกาของคืนเดียวกันhttps://www.youtube.com/watch?v=TOkfIEdDB8A พระราชดำรัส 20 พฤษภาคม 2535 ของ พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช King of Thailand. จากยูทูบ วันที่ 24 พฤษภาคม พล.อ.สุจินดา จึงกราบบังคมทูล ลาออกจากตำแหน่งนายกรัฐมนตรี และมอบหมายให้มีชัย ฤชุพันธุ์ รองนายกรัฐมนตรี เป็นผู้รักษาราชการแทนเป็นการชั่วคราว == ลำดับเหตุการณ์ตั้งแต่ปี พ.ศ. 2534 ถึง พ.ศ. 2535 == '''พ.ศ. 2534''' * 23 กุมภาพันธ์ - เวลา 11.30 น. คณะรักษาความสงบเรียบร้อยแห่งชาติ ยึดอำนาจจากรัฐบาลพลเอกชาติชาย ชุณหะวัณ '''พ.ศ. 2535''' * 22 มีนาคม - มีการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรไทยเป็นการทั่วไป มีนาคม พ.ศ. 2535|การเลือกตั้งใหญ่ทั่วประเทศ พรรคสามัคคีธรรม ของนายณรงค์ วงศ์วรรณ ได้รับเลือกตั้งมาเป็นลำดับหนึ่ง แต่ถูกขึ้นบัญชีดำผู้ค้ายาเสพติดจากสหรัฐอเมริกา * 27 มีนาคม - พระบาทสมเด็จพระมหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร|พระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร มีพระบรมราชโองการโปรดเกล้าฯ พระราชกฤษฎีกาเรียกประชุมรัฐสภา พ.ศ. 2535 http://www.ratchakitcha.soc.go.th/DATA/PDF/2535/A/029/1.PDF พระราชกฤษฎีกาเรียกประชุมรัฐสภา พ.ศ. 2535 * 2 เมษายน - เวลา 15.40 น. พระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร เสด็จพระราชดำเนินทรงเปิดประชุมรัฐสภา ณ พระที่นั่งอนันตสมาคม พระราชวังดุสิต และทรงพระราชทานพระราชดำรัสhttp://www.ratchakitcha.soc.go.th/DATA/PDF/2535/D/048/4248.PDF ข่าวในพระราชสำนัก วันพฤหัสบดีที่ 2 เมษายน พ.ศ. 2535 (หน้า 7-8) * 5 เมษายน - นายมนตรี พงษ์พานิช หัวหน้าพรรคกิจสังคม ได้แถลงข่าวว่า พรรคสามัคคีธรรม พรรคชาติไทย พรรคกิจสังคม พรรคประชากรไทย และพรรคราษฎร ได้มีมติให้พลเอกสุจินดา คราประยูร ผู้บัญชาการทหารสูงสุด และผู้บัญชาการทหารบก เป็นนายกรัฐมนตรี ทั้งนี้ เพื่อความมั่นคงของประเทศและเศรษฐกิจhttp://wiki.kpi.ac.th/index.php?title=%E0%B8%AA%E0%B8%B2%E0%B8%A1%E0%B8%B1%E0%B8%84%E0%B8%84%E0%B8%B5%E0%B8%98%E0%B8%A3%E0%B8%A3%E0%B8%A1_(%E0%B8%9E.%E0%B8%A8.2535) พรรคสามัคคีธรรม (พ.ศ. 2535) * 7 เมษายน - พระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร มีพระบรมราชโองการโปรดเกล้าฯ แต่งตั้ง พลเอกสุจินดา คราประยูร ขึ้นดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีคนทื่ 19 ของประเทศไทย * 8 เมษายน - ร้อยตรีฉลาด วรฉัตร เริ่มอดอาหารประท้วงวันแรก * 17 เมษายน - มีพระบรมราชโองการแต่งตั้งคณะรัฐมนตรีไทย คณะที่ 48|คณะรัฐมนตรีชุดใหม่ * 20 เมษายน - พรรคฝ่ายค้านเริ่มการปราศรัยที่ลานพระบรมรูปทรงม้ามีผู้ร่วมชุมนุมเกือบ 100,000 คน * 4 พฤษภาคม -พลตรีจำลอง ศรีเมือง เริ่มอดอาหารประท้วงวันแรก * 7 พฤษภาคม -พลเอกสุจินดา แถลงนโยบายต่อรัฐสภา แต่พรรคฝ่ายค้านไม่เข้าร่วม ขณะเดียวกันบริเวณหน้ารัฐสภามีผู้ชุมนุมร่วมประท้วง จนต้องมีการปิดประชุมโดยกะทันหันให้มาประชุมใหม่ในวันรุ่งขึ้น * 8 พฤษภาคม -พลเอกสุจินดา แถลงถึงเหตุผลที่ต้องมารับตำแหน่งนายกรัฐมนตรี * 9 พฤษภาคม - นายอุกฤษ มงคลนาวิน ประธานรัฐสภาประสานให้พรรคร่วมรัฐบาลและพรรคฝ่ายค้านร่วมกันตกลงว่าจะแก้ไขรัฐธรรมนูญบางประการ และพลตรีจำลอง ประกาศเลิกอดอาหาร * 11 พฤษภาคม -พลตรีจำลอง ประกาศสลายการชุมนุมและประกาศชุมนุมใหม่อีกครั้งในวันที่ 17 พฤษภาคม หากในวันที่ 15 พฤษภาคม ซึ่งเป็นวันที่พรรคร่วมรัฐบาลให้สัญญาว่าจะแถลงถึงเรื่องแก้ไขรัฐธรรมนูญไม่มีความคืบหน้า * 15 พฤษภาคม - พรรคร่วมรัฐบาลเปลี่ยนท่าทีเรื่องแก้ไขรัฐธรรมนูญ โดยอ้างว่าเป็นการให้สัมภาษณ์โดยพลการของ นายอาทิตย์ อุไรรัตน์ ประธานสภาผู้แทนราษฎร โดยอ้างว่าจะแก้ให้มีบทเฉพาะกาล ว่า นายกรัฐมนตรีต้องมาจากการเลือกตั้ง ซึ่งพลเอกสุจินดา ต้องดำรงตำแหน่งจนครบวาระ 4 ปี เสียก่อน * 17 พฤษภาคม - รัฐบาลจัดคอนเสิร์ตต้านภัยแล้งสกัดม็อบที่สนามกีฬากองทัพบกและวงเวียนใหญ่ โดยขนรถสุขาของกรุงเทพมหานคร|กรุงเทพ ฯมาไว้ที่นี่หมด ช่วงเที่ยงคืนเริ่มเกิดการตำรวจปะทะกันระหว่างผู้ชุมนุมกับตำรวจต่อเนื่องถึงเช้าวันที่ 18 พฤษภาคม * 18 พฤษภาคม - ก่อนรุ่งสาง รัฐบาลเริ่มนำกำลังทหารและตำรวจตระเวนชายแดนจัดการกับผู้ชุมนุมอย่างรุนแรงและประกาศสถานการณ์ฉุกเฉินhttp://www.ratchakitcha.soc.go.th/DATA/PDF/2535/A/059/2.PDF ประกาศสถานการณ์ฉุกเฉินในเขตท้องที่กรุงเทพมหานครและปริมณฑลพร้อมกับแถลงการณ์ของคณะรัฐมนตรีไทย คณะที่ 48|รัฐบาลhttp://www.ratchakitcha.soc.go.th/DATA/PDF/2535/A/059/1.PDF แถลงการณ์ของรัฐบาล,กองทัพบกไทย|กองทัพบกและกองกำลังรักษาพระนครhttp://www.ratchakitcha.soc.go.th/DATA/PDF/2535/A/059/7.PDF แถลงการณ์กองทัพบกและกองกำลังรักษาพระนคร เรื่องให้ประชาชนเลิกการชุมนุมมั่วสุมกัน ฉบับที่ 1ให้เลิกการชุมนุม และออกประกาศอีกหลายฉบับ เช่น ประกาศ ห้ามเสนอข้อความหรือเผยแพร่รวมไปถึงพิมพ์เอกสารที่กระทบกระเทือนต่อความมั่นคงhttp://www.ratchakitcha.soc.go.th/DATA/PDF/2535/A/059/5.PDF ประกาศห้ามมิให้ผู้ใดกระทำการโฆษณาหรือพิมพ์เอกสารอันกระทบกระเทือนต่อความมั่นคงหรือความปลอดภัยแห่งราชอาณาจักรเวลาบ่ายพลตรีจำลอง ศรีเมือง และผู้ชุมนุมบางส่วนถูกจับกุม * 19 พฤษภาคม - กลุ่มผู้ชุมนุมที่ไม่ได้ถูกจับกุมย้ายสถานที่ชุมนุมไปที่มหาวิทยาลัยรามคำแหง * 20 พฤษภาคม - พลเอก สุจินดา คราประยูร ได้ประกาศห้ามมิให้บุคคลใดในกรุงเทพมหานครออกนอกเคหสถาน เวลา 21.00 น. ถึง 04.00 น. ของวันที่ 21 พฤษภาคมhttp://www.ratchakitcha.soc.go.th/DATA/PDF/2535/A/061/1.PDF ประกาศห้ามมิให้บุคคลใดในกรุงเทพมหานครออกนอกเคหสถานภายในระยะเวลาที่กำหนด * - พระบาทสมเด็จพระมหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร|พระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตรมีรับสั่งให้ผู้นำทั้งสองฝ่าย คือพลเอกสุจินดา และพลตรีจำลอง เข้าเฝ้า โดยผู้ที่นำเข้าเฝ้าคือพลเอกเปรม ติณสูลานนท์ และสัญญา ธรรมศักดิ์ ประธานองคมนตรี ในขณะนั้น * - กระทรวงศึกษาธิการ ประกาศให้สถานศึกษาปิดเรียนเพิ่มเติมในจังหวัดที่ประกาศสถานการณ์ฉุกเฉินต่อไปจนถึงวันที่ 22 พฤษภาคม http://www.ratchakitcha.soc.go.th/DATA/PDF/2535/A/061/3.PDF ประกาศกระทรวงศึกษาธิการ เรื่อง ให้สถานศึกษาปิดเรียน (วันที่ 21 - 22 พฤษภาคม พ.ศ. 2535) * 21 พฤษภาคม - เวลา 12.00 น. พลเอก สุจินดา คราประยูร ได้ประกาศยกเลิกการห้ามมิให้บุคคลใดในกรุงเทพมหานครออกนอกเคหสถาน เนื่องจากสถานการณ์ได้คลี่คลายลงแล้วhttp://www.ratchakitcha.soc.go.th/DATA/PDF/2535/A/062/1.PDF ประกาศ ยกเลิกการห้ามมิให้บุคคลใดในกรุงเทพมหานครออกนอกเคหสถาน * 23 พฤษภาคม - พระบาทสมเด็จพระมหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร|พระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร มีพระบรมราชโองการโปรดเกล้าฯ พระราชกำหนดนิรโทษกรรมแก่ผู้กระทำความผิดเนื่องในการชุมนุมกันระหว่างวันที่ 17 พฤษภาคม พ.ศ. 2535 ถึงวันที่ 21 พฤษภาคม พ.ศ. 2535 พ.ศ. 2535 * 24 พฤษภาคม - พลเอกสุจินดา และพลตรีจำลอง แถลงการณ์ร่วมกันผ่านโทรทัศน์รวมการเฉพาะกิจแห่งประเทศไทยและพลเอกสุจินดา ลาออกจากตำแหน่งนายกรัฐมนตรี * 26 พฤษภาคม - ได้มีประกาศยกเลิกประกาศสถานการณ์ฉุกเฉินในกรุงเทพมหานคร จังหวัดสมุทรปราการ จังหวัดสมุทรสาคร จังหวัดนนทบุรี และจังหวัดปทุมธานี โดยยกเลิกตั้งแต่เวลา 12.00 น.ของวันที่ 26 พฤษภาคม พ.ศ. 2535http://www.ratchakitcha.soc.go.th/DATA/PDF/2535/A/064/2.PDF ประกาศยกเลิกสถานการณ์ฉุกเฉิน * 10 มิถุนายน - แกนนำจัดตั้งรัฐบาลเสนอชื่อพลอากาศเอกสมบุญ ระหงษ์ หัวหน้าพรรคชาติไทย เป็นนายกรัฐมนตรี แต่นายอาทิตย์ อุไรรัตน์ รองหัวหน้าพรรคสามัคคีธรรม ในฐานะประธานสภาผู้แทนราษฎร และรักษาการประธานรัฐสภา ตัดสินใจนำชื่อนายอานันท์ ปันยารชุน ขึ้นทูลเกล้าฯ เพื่อโปรดเกล้าฯ ให้ กลับมาดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีอีกครั้งหนึ่ง เพื่อบริหารประเทศชั่วคราว ยุบสภาผู้แทนราษฎร และจัดการเลือกตั้งใหม่ * 30 มิถุนายน - พระบาทสมเด็จพระมหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร|พระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร มีพระบรมราชโองการ โปรดเกล้าฯ ประกาศใช้ พระราชกฤษฎีกาการยุบสภาผู้แทนราษฎรไทย|ยุบสภาผู้แทนราษฎร โดยกำหนดให้วันอาทิตย์ที่ 13 กันยายน พ.ศ. 2535 เป็นวันเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร * 13 กันยายน - มีการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรไทยเป็นการทั่วไป กันยายน พ.ศ. 2535|การเลือกตั้งใหญ่ทั่วทั้งประเทศ พรรคประชาธิปัตย์ได้รับคะแนนเสียงมาเป็นลำดับหนึ่ง พระบาทสมเด็จพระมหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร|พระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร มีพระบรมราชโองการ โปรดเกล้าฯแต่งตั้งนายชวน หลีกภัย เป็นนายกรัฐมนตรี == เหตุการณ์สืบเนื่อง == ไฟล์:อนุสรณ์พฤษภาประชาธรรม สวนสันติพร The Black May 1992 Memorial Bangkok 01.jpg|thumb|อนุสรณ์สถานพฤษภาประชาธรรม * ภายหลังการประกาศลาออกของพลเอกสุจินดา คราประยูร ทำให้นายมีชัย ฤชุพันธุ์|มีชัย ฤชุพันธ์ รองนายกรัฐมนตรี ได้รักษาการแทนนายกรัฐมนตรี จนกระทั่งมีการแต่งตั้งนายกรัฐมนตรีคนใหม่ในวันที่ 10 มิถุนายน 2535 คณะรัฐมนตรีคณะที่ 48 ของรัฐบาลพลเอก สุจินดา คราประยูร จึงพ้นจากตำแหน่งไปตามวาระ * ภายหลังเหตุการณ์พฤษภาทมิฬ พ.ศ. 2535 และ สุจินดา คราประยูร|พล.อ.สุจินดา คราประยูร ประกาศลาออกจากตำแหน่ง นายกรัฐมนตรี ในเวลานั้น พล.อ.อ.สมบุญ อดีตผู้ว่าการการท่าอากาศยานแห่งประเทศไทย ดำรงตำแหน่งเป็น หัวหน้าพรรคชาติไทย สืบต่อจาก ชาติชาย ชุณหะวัณ|พล.อ.ชาติชาย ชุณหะวัณ ที่ลาออกหลังรัฐประหาร เป็นที่เชื่อกันในขณะนั้นว่า พล.อ.อ.สมบุญ จะต้องได้ขึ้นดำรงตำแหน่ง นายกรัฐมนตรี ต่อจาก พล.อ.สุจินดา อย่างแน่นอน แต่แล้วเมื่อ อาทิตย์ อุไรรัตน์|ดร.อาทิตย์ อุไรรัตน์ นำชื่อขึ้นทูลเกล้าฯ กลับกลายเป็นการแต่งตั้งให้ อานันท์ ปันยารชุน|นายอานันท์ ปันยารชุน อดีตนายกรัฐมนตรีระหว่างการรัฐประหาร กลับมารับตำแหน่งนายกรัฐมนตรี และทำให้เป็นที่พูดต่อๆ กันมาถึงเหตุการณ์ครั้งนั้นว่า พล.อ.อ.สมบุญ '''"แต่งชุดขาวรอเก้อ"http://www.matichon.co.th/news_detail.php?newsid=1379904106&grpid=01&catid=09&subcatid=0905 อดีตแกนนำส.ส.กลุ่มงูเห่า "สมบุญ ระหงษ์" เจ้าของฉายา "แต่งชุดขาวรอเก้อ" สมัยพฤษภาทมิฬ เสียชีวิตแล้ว!''' * 5 พรรคที่สนับสนุนสุจินดาเป็นนายกรัฐมนตรี ได้แก่ '''พรรคสามัคคีธรรม'''  พรรคชาติไทย พรรคประชากรไทย  พรรคราษฎร (พ.ศ. 2529)|พรรคราษฎร ยกเว้น พรรคกิจสังคม เป็นฝ่ายค้านในสภาผู้แทนราษฎรไทย ชุดที่ 18 * มีการแก้รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2534 จำนวน 6 ครั้ง มีประเด็นสำคัญในการแก้ไขเพิ่มเติม คือ แก้ไขให้ประธานสภาผู้แทนราษฎรเป็นประธานรัฐสภา และประธานวุฒิสภาเป็นรองประธานรัฐสภา รวมทั้งแก้ไของค์ประกอบของคณะตุลาการรัฐธรรมนูญให้เหมาะสมยิ่งขึ้น , การกำหนดคุณสมบัติของผู้จะดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรี ต้องเป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรhttp://webcache.googleusercontent.com/search?q=cache:l6qLl2m18fcJ:wiki.kpi.ac.th/index.php%3Ftitle%3D%25E0%25B8%2581%25E0%25B8%25B2%25E0%25B8%25A3%25E0%25B9%2581%25E0%25B8%2581%25E0%25B9%2589%25E0%25B9%2584%25E0%25B8%2582%25E0%25B9%2580%25E0%25B8%259E%25E สภาบันพระปกเกล้า:รัฐธรรมนูญ 2534 แก้ไขเพิ่มเติม * รัฐบาลได้เปิดให้เอกชนประมูลจัดตั้งสถานีโทรทัศน์แห่งใหม่ในระบบยูเอชเอฟ เพื่อเป็นทางเลือกในการรับข้อมูลข่าวสารของประชาชน ภายใต้ชื่อสถานีโทรทัศน์ไอทีวี ซึ่งต่อมาได้กลายเป็น สถานีโทรทัศน์ทีไอทีวี และกลายเป็น สถานีโทรทัศน์ไทยพีบีเอส ในปัจจุบันhttp://news.sanook.com/politic/politic_106505.php จุดกำเนิดไอทีวี จนถึงวันที่ถูกสั่งปิดจากสนุกดอตคอม === ผลกระทบต่อความคิดเปลี่ยนแปลงสังคม === ไฟล์:Bangkok May 1992 protests memorial.jpg|thumb|อนุสรณ์สถานสตรีทอาร์ท ใกล้ถนนข้าวสาร จากเหตุการณ์สูญเสียชีวิตประชาชนดังกล่าว ได้ก่อให้เกิดทัศนะว่าผู้นำการประท้วงหรือชุมนุมพึงรู้จักใช้วิธีการเพื่อรักษาชีวิตของประชาชนไว้ อาจยอมลดเป้าหมายของข้อเรียกร้องเพื่อลดโอกาสนองเลือด หรือยอมแพ้ทางการเมืองเสียดีกว่า ซึ่งสุรพล ธรรมร่มดีมองว่าเป็นการยอมรับอนุรักษนิยมทางสังคม และบอกให้ประชาชนทนกับความเลวร้ายที่น้อยกว่า (lesser evil) === ตลาดหุ้น === เมื่อตลาดหุ้นเปิดทำการในวันที่ 19 พฤษภาคม พ.ศ. 2535 ดัชนีหุ้นไทยตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย|เซ็ท อินเด็กซ์ ตกลง 9% จาก 732.89 จุดไปอยู่ที่ 675.51 จุด ทันทีที่เหตุการณ์สงบลง ดัชนีปรับขึ้น 13% ในช่วง 1 เดือนหลังจากนั้น == ดูเพิ่ม == * :หมวดหมู่:บุคคลที่เกี่ยวข้องกับเหตุการณ์พฤษภาทมิฬ|บุคคลที่เกี่ยวข้องกับเหตุการณ์พฤษภาทมิฬ * การสลายการชุมนุมที่แยกราชประสงค์ พ.ศ. 2553|พฤษภาอำมหิต 2553 == อ้างอิง == * http://www.oknation.net/blog/print.php?id=38110 17-20 พฤษภาทมิฬ ลำดับเหตุการณ์ความรุนแรงทั้ง 4 วันด้วยภาพและเสียง 78 ภาพ เว็บไซต์โอเคเนชั่น * http://www.manager.co.th/Politics/ViewNews.aspx?NewsID=4790179268716 รำลึก13ปี...พฤษภาทมิฬ , ผู้จัดการออนไลน์, 17 พฤษภาคม 2548 * https://web.archive.org/web/20040708230141/http://www.geocities.com/thaifreeman/17may/may.html พฤษภาทมิฬ Thaifreeman * ไศล ภูลี้. บันทึกพฤษภา 2535 ปากคำประวัติศาสตร์จากเลือดเนื้อและน้ำตา. มหาสารคาม : พอเพียงพริ้นติ้ง, 2545. * http://www.ratchakitcha.soc.go.th/DATA/PDF/2535/A/059/3.PDF ประกาศ เรื่อง แต่งตั้งเจ้าหน้าที่เพื่อปฏิบัติการตามพระราชบัญญัติว่าด้วยการบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉิน พ.ศ. 2495 * http://www.ratchakitcha.soc.go.th/DATA/PDF/2535/A/061/2.PDF ประกาศ เรื่อง พนักงานเจ้าหน้าที่มีอำนาจอนุญาตให้บุคคลออกนอกเคหสถาน * http://www.ratchakitcha.soc.go.th/DATA/PDF/2535/A/060/7.PDF ประกาศกระทรวงมหาดไทย เรื่อง ให้ข้อพิพาทแรงงานที่ตกลงไม่ได้เข้าสู่การชี้ขาดของคณะกรรมการแรงงานสัมพันธ์และห้ามนายจ้างปิดงานหรือลูกจ้างนัดหยุดงานในระหว่างประกาศสถานการณ์ฉุกเฉินตามกฎหมายว่าด้วยการบริหารสถานการณ์ฉุกเฉิน == แหล่งข้อมูลอื่น == * http://www.siamweb.org/content/News-Culture/142/year1997_tha.php Black May 1992 , ลำดับเหตุการณ์พฤษภาทมิฬ จากข่าวในหนังสือพิมพ์บางกอกโพสต์ โดย SiamWEB.org (ภาษาอังกฤษ) * http://www.manager.co.th/Politics/ViewNews.aspx?NewsID=9480000065108 รำลึก13ปี...พฤษภาทมิฬ , ผู้จัดการออนไลน์, 17 พฤษภาคม 2548 (มีคลิปเสียงเหตุการณ์) * http://www.oknation.net/blog/vihokpludtin/2007/05/17/entry-1 17-20 พฤษภาทมิฬ ลำดับเหตุการณ์ความรุนแรงทั้ง 4 วันด้วยภาพและเสียง 78 ภาพ * http://www.rakbankerd.com/01_jam/thaiinfor/country_info/index.html?topic_id=626 พฤษภาทมิฬ , รากฐานไทย - ข้อมูลพื้นหลัง และลำดับเหตุการณ์ * http://www.asoke.info/09Communication/DharmaPublicize/Book/jumlonglife/jumlong_001.html ร่วมกันสู้, หนังสือบันทึกเหตุการณ์โดยพลตรีจำลอง ศรีเมือง * http://www.youtube.com/watch?v=qz5nHpznnnc วีดิทัศน์จากเว็บไซต์ยูทูบ การปราบปรามอย่างรุนแรงโดยใช้อาวุธของฝ่ายทหารที่โรงแรมรัตนโกสินทร์และสรุปลำดับเหตุการณ์ต่างๆ ในตอนท้ายมีพลเอกสุจินดา กล่าวว่าจำเป็นต้องเสียสัตย์เพื่อชาติ * http://www.sarakadee.com/feature/2002/05/may_tragedy.htm ๑๐ ปี พฤษภาคม ๒๕๓๕,นิตยสาร สารคดี โดย ธนาพล อิ๋วสกุล * http://www.ratchakitcha.soc.go.th/DATA/PDF/00090785.PDF กระทู้ที่ 149 ร.เรื่อง นโยบายรัฐบาลต่อเหตุการณ์พฤษภาทมิฬ ถามโดย นพ.เปรมศักดิ์ เพียยุระ สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร พรรคความหวังใหม่ จังหวัดขอนแก่น * https://www.youtube.com/watch?v=u03WJwKBBxY สรุปเหตุการณ์พฤษภาทมิฬ (2535) จาก สถานีโทรทัศน์ช่อง 9 อ.ส.ม.ท. หมวดหมู่:เหตุการณ์พฤษภาทมิฬ| หมวดหมู่:การประท้วงในประเทศไทย หมวดหมู่:ประวัติศาสตร์ไทยสมัยรัตนโกสินทร์ หมวดหมู่:การสังหารหมู่ในประเทศไทย หมวดหมู่:การสังหารหมู่ที่ก่อการโดยไทย หมวดหมู่:เหตุการณ์ในรัชกาลที่ 9 หมวดหมู่:การใช้กำลังเกินกว่าเหตุโดยตำรวจในประเทศไทย หมวดหมู่:ความรุนแรงทางการเมืองในประเทศไทย หมวดหมู่:การจลาจลและก่อความไม่สงบในประเทศไทย
พฤษภาทมิฬ
Infobox scientist | name = ชาลส์ ดาร์วิน | image = Charles Darwin seated crop.jpg | image_size = 240px | alt = | caption = ชาลส์ ดาร์วิน เมื่อ ค.ศ. 1854 | birth_date = | birth_place = เมาต์เฮาส์ ชรูส์บรี เทศมณฑลชรอปเชอร์ ประเทศอังกฤษ | death_date = | death_place = ดาวน์เฮาส์ ดาวน์ เทศมณฑลเคนท์ ประเทศอังกฤษ | citizenship = บริติช | fields = ประวัติศาสตร์ธรรมชาติ | workplaces = Geological Society of London|สมาคมภูมิศาสตร์ลอนดอน | alma_mater = มหาวิทยาลัยเอดินบะระมหาวิทยาลัยเคมบริดจ์ | doctoral_advisor = | academic_advisors = John Stevens HenslowAdam Sedgwick | doctoral_students = | notable_students = | known_for = ''The Voyage of the Beagle''''กำเนิดสปีชีส์''การคัดเลือกโดยธรรมชาติ | author_abbrev_bot = | author_abbrev_zoo = | influenced = อเล็คซันเดอร์ ฟ็อน ฮุมบ็อลท์จอห์น เฮอร์เชลCharles Lyell|ชาลส์ ไลเอล | influences = โจเซฟ ดาลตัน ฮูเกอร์โทมัส เฮนรี ฮักซ์เลย์George RomanesErnst Haeckel | awards = Royal Medal (1853) Wollaston Medal (1859) Copley Medal (1864) | signature = Charles Darwin Signature.svg | signature_alt = "Charles Darwin", with the surname underlined by a downward curve that mimics the curve of the initial "C" | footnotes = '''ชาลส์ โรเบิร์ต ดาร์วิน''' () เป็นนักธรรมชาติวิทยาชาวอังกฤษ ผู้ทำการปฏิวัติความเชื่อเดิม ๆ เกี่ยวกับที่มาของสิ่งมีชีวิต และเสนอทฤษฎีซึ่งเป็นทั้งรากฐานของทฤษฎีวิวัฒนาการสมัยใหม่ และหลักการพื้นฐานของกลไกการคัดเลือกโดยธรรมชาติ (natural selection) เขาตีพิมพ์ข้อเสนอของเขาในปี ค.ศ. 1859 ในหนังสือชื่อ''กำเนิดสปีชีส์'' (''On the Origin of Species'') ซึ่งเป็นผลงานที่มีชื่อเสียงที่สุดของเขา ผลงานนี้ปฏิเสธแนวคิดทางวิทยาศาสตร์ทั้งหมดที่เคยมีมาก่อนหน้านี้เกี่ยวกับการกลายพันธุ์ของสปีชีส์ ช่วงคริสต์ทศวรรษ 1870 ชุมชนวิทยาศาสตร์และสาธารณชนส่วนมากจึงยอมรับทฤษฎีวิวัฒนาการในฐานะที่เป็นความจริง อย่างไรก็ดี ยังมีคำอธิบายที่เป็นไปได้ทางอื่นๆ อีก และยังไม่มีการยอมรับทฤษฎีนี้เป็นเอกฉันท์ว่าเป็นกลไกพื้นฐานของวิวัฒนาการ ตราบจนกระทั่งเกิดแนวคิดการสังเคราะห์วิวัฒนาการยุคใหม่ (modern evolutionary synthesis) ขึ้นในช่วงคริสต์ทศวรรษ 1930-1950 การค้นพบของดาร์วินยังถือเป็นรูปแบบการรวบรวมทางทฤษฏีของศาสตร์เกี่ยวกับชีวิต ที่อธิบายถึงความหลากหลายทางชีวภาพ|ความหลากหลายทางชีวภาพของสิ่งมีชีวิตhttp://darwin-online.org.uk/biography.html The Complete Works of Darwin Online – Biography. ''darwin-online.org.uk''. Retrieved on 2006-12-15นักวิชาการดาร์วินชื่อ โจเซฟ คาร์โรล แห่งมหาวิทยาลัยมิสซูรี - เซ็นหลุยส์ เขียนไว้ในคำนำหนังสือของเขาเมื่อคราวตีพิมพ์งานของดาร์วินใหม่ว่า: "''กำเนิดสปีชีส์' เป็นที่น่าสนใจอย่างยิ่งสำหรับพวกเรา มันเป็นหนึ่งในงานที่ยิ่งใหญ่ที่สุดตลอดกาลเพียงไม่กี่ชิ้น งานซึ่งเปลี่ยนแปลงโลกทัศน์ของพวกเราในระดับรากฐานไปอย่างถาวร ... มันเป็นงานที่รุนแรง แต่ก็คมคาย กระตุ้นจินตนาการ และน่าดึงดูดใจ" ความสนใจเกี่ยวกับธรรมชาติตั้งแต่วัยเด็กทำให้ดาร์วินไม่สนใจการศึกษาวิชาแพทย์ในมหาวิทยาลัยเอดินบะระเลย แต่กลับหันไปช่วยการตรวจสอบสัตว์น้ำที่ไม่มีกระดูกสันหลัง เมื่อศึกษาที่มหาวิทยาลัยเคมบริดจ์ได้ช่วยกระตุ้นความหลงใหลในวิทยาศาสตร์ธรรมชาติมากขึ้น การเดินทางออกไปยังท้องทะเลเป็นเวลา 5 ปีกับเรือบีเกิล (HMS Beagle) และโดยเฉพาะการเฝ้าสำรวจที่หมู่เกาะกาลาปากอส เป็นทั้งแรงบันดาลใจ และให้ข้อมูลจำนวนมาก ซึ่งเขานำมาใช้ในทฤษฎีของเขา ผลงานตีพิมพ์เรื่อง การผจญภัยกับบีเกิล (The Voyage of the Beagle) ทำให้เขามีชื่อเสียงในฐานะนักเขียน ด้วยความพิศวงกับการกระจายตัวของสิ่งมีชีวิตในภูมิภาคที่แตกต่างกัน กับฟอสซิลที่เขาสะสมมาระหว่างการเดินทาง ดาร์วินเริ่มการศึกษาอย่างละเอียด และในปี ค.ศ. 1838 จึงได้สรุปเป็นทฤษฎีการคัดเลือกตามธรรมชาติ แม้ว่าเขาจะอภิปรายแนวคิดของตนกับนักธรรมชาติวิทยาหลายคน แต่ก็ยังต้องการเวลาเพื่อการวิจัยเพิ่มเติม โดยให้ความสำคัญกับงานด้านธรณีวิทยา เขาเขียนทฤษฎีของตนขึ้นเมื่อ ค.ศ. 1858 เมื่อ อัลเฟรด รัสเซล วอลเลซ ส่งบทความชุดหนึ่งที่อธิบายแนวคิดเดียวกันนี้มาให้เขา และทำให้เกิดการรวมงานตีพิมพ์ของทฤษฎีทั้งสองนี้เข้าด้วยกันในทันที งานของดาร์วินทำให้เกิดวิวัฒนาการสืบเนื่องต่อมา โดยดัดแปลงมาเป็นคำอธิบายทางวิทยาศาสตร์ที่มีอิทธิพลยิ่งต่อแนวคิดเรื่องความหลากหลายทางชีววิทยาในธรรมชาติ ในปี ค.ศ. 1871, เขาได้ตรวจดู วิวัฒนาการของมนุษย์ และ การคัดเลือกทางเพศ ใน ''The Descent of Man|The Descent of Man, and Selection in Relation to Sex'' ตามด้วย ''The Expression of the Emotions in Man and Animals''. งานวิจัยเกี่ยวกับพืชได้ตีพิมพ์เป็นหนังสือชุดหลายเล่ม ในเล่มสุดท้ายเขาได้ตรวจสอบ ไส้เดือน และอิทธิพลที่มันมีต่อดิน ดาร์วินได้รับยกย่องในฐานะนักวิทยาศาสตร์โดยมีการจัดพิธีศพอย่างเป็นทางการในมหาวิหารเวสต์มินสเตอร์ และฝังร่างของเขาไว้เคียงข้างกับจอห์น เฮอร์เชล และ ไอแซก นิวตัน เขาได้รับยกย่องว่าเป็นหนึ่งในบุคคลผู้ทรงอิทธิพลที่สุดในประวัติศาสตร์มนุษยชาติ == ประวัติ == === วัยเด็กและวัยเรียน === ไฟล์:Charles Darwin 1816.jpg|thumb|left|upright|ชาลส์ ดาร์วิน วัยเจ็ดขวบ เมื่อปี ค.ศ. 1816 ชาลส์ โรเบิร์ต ดาร์วิน เกิดที่เมืองชรูส์บรี ชรอปเชอร์ ประเทศอังกฤษ เมื่อวันที่ 12 กุมภาพันธ์ ค.ศ. 1809 ที่บ้านของตระกูล คือเดอะเมานท์ เขาเป็นบุตรคนที่ห้าในจำนวนทั้งหมด 6 คนของครอบครัวที่มีฐานะร่ำรวยและมีชื่อเสียงครอบครัวหนึ่งของอังกฤษ บิดาของดาร์วินเป็นนายแพทย์ชื่อว่า โรเบิร์ต วอริง ดาร์วิน มารดาชื่อ ซูซานนา ดาร์วิน (สกุลเดิม เวดจ์วูด) เขาเป็นหลานของเอรัสมัส ดาร์วิน กับ โจสิอาห์ เวดจ์วูด ทั้งสองตระกูลนี้เป็นคริสตชนยูนิทาเรียน (Unitarian) ผู้เคร่งครัดที่เชื่อว่ามีพระเจ้าเพียงองค์เดียว แต่ตัวโรเบิร์ต ดาร์วิน นั้นเป็นคนหัวเสรี และให้ชาลส์บุตรชายไปรับศีลในโบสถ์ของนิกายแองกลิกัน แต่ชาลส์กับพี่น้องก็ไปเข้าโบสถ์ของยูนิทาริสต์กับมารดา เมื่อชาลส์อายุ 8 ขวบ ได้หลงใหลในประวัติศาสตร์ธรรมชาติและเริ่มสะสมสิ่งต่างๆ เมื่อเขาเข้าโรงเรียนเมื่อปี ค.ศ. 1817 มารดาของเขาเสียชีวิตเมื่อเดือนกรกฎาคมปีนั้น นับจากเดือนกันยายน ค.ศ. 1818 เขาก็ไปอยู่ประจำที่โรงเรียนซรูซบรีอันเป็นโรงเรียนนิกายแองกลิกัน กับพี่ชายของตนคือ เอรัสมัส อัลวีย์ ดาร์วิน ช่วงฤดูร้อนปี ค.ศ. 1825 ดาร์วินใช้เวลาเป็นผู้ช่วยแพทย์ฝึกหัด โดยช่วยบิดาของตนในการรักษาคนยากจนในชรอปเชอร์ ก่อนจะเข้าเรียนวิทยาลัยแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยเอดินบะระ พร้อมกับเอรัสมัสพี่ชาย ในเดือนตุลาคม ค.ศ. 1825 แต่ดาร์วินกลับเห็นชั่วโมงบรรยายเป็นสิ่งน่าเบื่อ ทั้งไม่ชอบการผ่าตัด จึงไม่เอาใจใส่การเรียน เขาเรียนวิธีสตาร์ฟสัตว์ตายจาก จอห์น เอ็ดมอนสโตน ทาสผิวดำที่ได้เป็นไทซึ่งร่วมงานอยู่กับชาลส์ วอเทอร์ทันในป่าดงดิบตอนใต้ของอเมริกา และมักจะนั่งคุยกับ "ชายผู้เฉลียวฉลาดและน่าคบหา" คนนี้อยู่เป็นประจำ เมื่อขึ้นปีสอง ดาร์วินเข้าร่วมสมาคมพลิเนียน (Plinian Society) ซึ่งเป็นกลุ่มศึกษาด้านประวัติศาสตร์ธรรมชาติในมหาวิทยาลัยเอดินบะระ เขาช่วยเหลือโรเบิร์ต เอ็ดมอนด์ แกรนท์ ในการสำรวจศึกษาลักษณะทางกายภาพและวงจรชีวิตของสัตว์ทะเลที่ไม่มีกระดูกสันหลังในเฟิร์ธออฟฟอร์ธ วันที่ 27 มีนาคม ค.ศ. 1827 เขานำเสนอการค้นพบของตนต่อสมาคมพลิเนียนว่า จุดสีดำที่พบในเปลือกหอยนางรมนั้นเป็นไข่ของปลิง วันหนึ่ง แกรนท์ยกย่องแนวคิดเรื่องวิวัฒนาการของ ชอง-แบบติสต์ ลามาร์ค (Jean-Baptiste Lamarck) ดาร์วินถึงกับตะลึง แต่ก่อนหน้านั้นเขาเคยอ่านแนวคิดคล้ายคลึงกันนี้จากเอรัสมัสผู้เป็นปู่ และเห็นว่ามันไม่ต่างกัน ดาร์วินค่อนข้างเบื่อหน่ายกับวิชาประวัติศาสตร์ธรรมชาติของโรเบิร์ต เจมสัน ซึ่งวุ่นวายกับธรณีวิทยา รวมถึงการโต้แย้งกันระหว่างทฤษฎีการเกิดของน้ำ (Neptunism) กับทฤษฎีการเกิดพลูตอน (Plutonism) เขาได้เรียนรู้การจัดอันดับของพืช และได้ช่วยงานด้านการเก็บรักษาในรอยัลมิวเซียม ซึ่งเป็นหนึ่งในพิพิธภัณฑ์ที่ใหญ่ที่สุดในยุโรปในเวลานั้น การไม่เอาใจใส่การเรียนแพทย์เช่นนี้ทำให้บิดาของเขาไม่พอใจ ภายหลังจึงส่งเขาไปยังวิทยาลัยไครสต์ มหาวิทยาลัยเคมบริดจ์ เพื่อศึกษาในคณะอักษรศาสตร์สำหรับการเตรียมตัวเข้าบวชในนิกายแองกลิกัน ดาร์วินสอบ''ไทรพอส'' ไม่ผ่าน จึงสำเร็จการศึกษามาด้วยปริญญาระดับ''ปกติ'' เมื่อเดือนมกราคม ค.ศ. 1828 ดาร์วินชอบท่องเที่ยวและกีฬายิงปืนมากกว่าการเล่าเรียน ญาติคนหนึ่งของเขาคือ วิลเลียม ดาร์วิน ฟ็อกซ์ จึงแนะนำให้เขาไปเข้าร่วมชมรมสะสมแมลงเต่าทอง ซึ่งดาร์วินตั้งหน้าตั้งตาร่วมกิจกรรมอย่างกระตือรือร้น จนงานค้นพบของเขาได้รับการตีพิมพ์ใน ''Illustrations of British entomology'' ของเจมส์ ฟรังซิส สตีเฟน ดาร์วินกลายเป็นเพื่อนสนิทและผู้ติดตามของศาสตราจารย์ด้านพฤกษศาสตร์ จอห์น สตีเฟน เฮนสโลว์ และได้พบปะกับนักธรรมชาติวิทยาชั้นแนวหน้าหลายคน จนกระทั่งใกล้ถึงการสอบปลายภาค ดาร์วินจึงหันมาสนใจการเรียนแล้วมาชื่นชอบงานเขียนของวิลเลียม พาลีย์ ''Evidences of Christianity'' ดาร์วินทำคะแนนได้ดีในการสอบไล่ครั้งสุดท้ายในเดือนมกราคม ค.ศ. 1831 โดยได้ลำดับที่ 10 จาก 178 คนที่อยู่ในหลักสูตรปริญญา''ปกติ'' ดาร์วินยังต้องอยู่เคมบริดจ์จนกระทั่งเดือนมิถุนายน เขาศึกษางานของพาลีย์ เรื่อง '':en:Natural Theology (Paley)|Natural Theology'' ซึ่งทำให้เกิดข้อโต้แย้งเรื่องการออกแบบธรรมชาติจากสิ่งศักดิ์สิทธิ์ โดยอธิบายถึงการปรับตัวของธรรมชาติว่าเป็นการกระทำของพระผู้เป็นเจ้าโดยผ่านกฎของธรรมชาติ เขาอ่านหนังสือใหม่ของจอห์น เฮอร์เชล ซึ่งอธิบายจุดประสงค์สูงสุดของปรัชญาทางธรรมชาติด้วยการทำความเข้าใจกับกฎเกณฑ์เหล่านั้นผ่านการให้เหตุผลโดยอุปนัยโดยมีพื้นฐานจากการสังเกต และงานเขียนของอเล็กซานเดอร์ ฟอน ฮัมโบลท์ เรื่อง ''Personal Narrative'' เกี่ยวกับการเดินทางของวิทยาศาสตร์ ด้วยแรงบันดาลใจจากภายใน ดาร์วินวางแผนจะไปเยือนเตเนรีเฟกับเพื่อนร่วมชั้นหลังจากจบการศึกษา เพื่อไปศึกษาประวัติศาสตร์ธรรมชาติในบริเวณภูมิภาคนั้น ระหว่างเตรียมการ เขาเข้าเรียนหลักสูตรธรณีวิทยาของอดัม เซดจ์วิค จากนั้นใช้เวลาครึ่งเดือนในช่วงฤดูร้อนเพื่อทำแผนที่ในเวลส์ และอีก 1 สัปดาห์กับเพื่อนนักเรียนในบาร์มอธ หลังจากนั้นเมื่อเขากลับมาบ้าน จึงได้รับจดหมายฉบับหนึ่งจากเฮนสโลว์เสนอให้ดาร์วินเป็นนักธรรมชาติวิทยา (แม้ยังเรียนไม่จบ) โดยใช้ทุนวิจัยของตนเอง ร่วมกับกัปตันโรเบิร์ต ฟิตซ์รอย ในการเดินทางร่วมกับเรือหลวงบีเกิลที่กำลังจะออกเดินทางไปยังชายฝั่งอเมริกาใต้ภายในเวลา 4 สัปดาห์ บิดาของเขาไม่เห็นด้วยกับการต้องออกเดินทางไปถึง 2 ปี ด้วยเห็นว่าเป็นการเสียเวลาเปล่า แต่จากการเกลี้ยกล่อมของ โจซิอาห์ เวดจ์วูดที่ 2|โจซิอาห์ เวดจ์วูด ผู้เป็นน้องเขย จึงได้ยินยอมให้ดาร์วินร่วมเดินทางได้ === การเดินทางกับเรือบีเกิล === ไฟล์:Voyage of the Beagle.jpg|thumb|300px|เส้นทางการเดินทางสำรวจของเรือหลวงบีเกิล การเดินทางเริ่มขึ้นเมื่อวันที่ 27 ธันวาคม ค.ศ. 1831 และใช้เวลาเดินทางรวมทั้งสิ้น 5 ปี ขณะที่เรือหลวงบีเกิลทำการสำรวจและทำแผนที่ชายฝั่งอเมริกาใต้นั้น ดาร์วินใช้เวลาส่วนใหญ่อยู่บนฝั่งเพื่อสำรวจด้านธรณีวิทยาและเก็บสะสมตัวอย่างสำหรับการศึกษาประวัติศาสตร์ สมดังที่ที่ฟิตซ์รอยตั้งใจไว้ เขาเขียนบันทึกผลการสังเกตการณ์และการคาดเดาทางทฤษฎีอย่างละเอียด ระหว่างช่วงหยุดพัก ดาร์วินส่งของตัวอย่างกลับไปยังเคมบริดจ์ พร้อมกับจดหมายซึ่งมีสำเนาบันทึกงานเขียน ''การเดินทางของบีเกิล'' (The Voyage of the Beagle) ไปให้ครอบครัวด้วย ดาร์วินค่อนข้างเชี่ยวชาญด้านธรณีวิทยา รวมถึงการสะสมเต่าทอง และการผ่าตัดศึกษาสัตว์ทะเล แต่ในสาขาอื่นๆ แล้วเขาแทบไม่รู้อะไรเลย และเก็บตัวอย่างเอาไว้เพื่อส่งต่อไปให้ผู้เชี่ยวชาญอื่นตรวจสอบ ดาร์วินเมาคลื่นมาก แต่กระนั้นก็ยังเขียนหนังสือมากมายขณะอยู่ในเรือ งานเขียนเชิงสัตววิทยาส่วนใหญ่เกี่ยวกับสัตว์ทะเลที่ไม่มีกระดูกสันหลัง เริ่มจากแพลงตอนซึ่งเก็บได้ระหว่างช่วงทะเลสงบ เมื่อเรือหยุดพักครั้งแรกที่ :en:Santiago, Cape Verde|St. Jago ดาร์วินพบว่าแถบสีขาวที่อยู่ด้านบนหินภูเขาไฟนั้นมีเปลือกหอยอยู่ด้วย ฟิตซ์รอยมอบหนังสือเล่มแรกในชุด ''Principles of Geology'' ของ Charles Lyell ให้เขาเพื่อศึกษาแนวคิดหลักความเป็นเอกภาพ (Uniformitarianism) ของผืนดินที่ค่อยๆ ดันตัวขึ้นหรือถล่มลงหลังจากเวลาผ่านไปนานๆ ดาร์วินเห็นเช่นเดียวกับ Lyell และได้เริ่มทฤษฎีและคิดจะเขียนหนังสือเกี่ยวกับธรณีวิทยา ดาร์วินดีใจมากที่พบป่าเขตร้อนที่บราซิล แต่ก็ไม่ชอบใจที่พบเห็นการใช้งานทาสที่นั่น ที่ Punta Alta ใน Patagonia เขาได้ค้นพบครั้งใหญ่คือกระดูกฟอสซิลของสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมขนาดใหญ่ที่สูญพันธุ์ไปแล้วในหุบเขา ข้างกันกับเปลือกหอยใหม่ๆ ซึ่งบ่งชี้ว่าเป็นการสูญพันธุ์เมื่อไม่นานมานี้โดยที่ไม่มีร่องรอยการเปลี่ยนแปลงของภูมิอากาศหรือหายนะภัยใดๆ เลย เขาแยกแยะว่าซากนั้นคือ ''Megatherium'' โดยดูจากฟันและความสัมพันธ์ของโครงกระดูกซึ่งในตอนแรกเขาคิดว่าดูเหมือน armadillo ในท้องถิ่นที่มีขนาดยักษ์ การค้นพบนี้กลายเป็นจุดสนใจอย่างมากเมื่อพวกเขากลับไปยังอังกฤษ ขณะขี่ม้าไปกับพวกกอโช (gaucho) สู่ด้านในแผ่นดินเพื่อสำรวจทางธรณีวิทยาและเก็บรวบรวมฟอสซิลเพิ่มขึ้น เขาได้รับมุมมองด้านสังคม การเมือง และมานุษยวิทยา ในหมู่ชนพื้นเมืองกับชาวอาณานิคมในยุคของการปฏิวัติ และได้เรียนรู้ว่านก rhea สองชนิดนั้นอยู่แยกกันแต่มีอาณาเขตที่คาบเกี่ยวกัน ยิ่งสำรวจไกลลงไปทางใต้ เขาแลเห็นที่ราบลดหลั่นกันเป็นชั้น เต็มไปด้วยกรวดและเปลือกหอยเหมือนกับชายหาดที่ยกตัวขึ้นมา เขาอ่านหนังสือเล่มที่ 2 ของ Lyell และยอมรับมุมมองว่าด้วย "ศูนย์กลางการสร้างสรรค์" ของสปีชีส์ แต่การค้นพบของเขากับทฤษฎีที่คิดขึ้นมานั้นท้าทายต่อแนวคิดของ Lyell ว่าด้วยการเปลี่ยนแปลงอย่างต่อเนื่องราบรื่น กับการสูญพันธุ์ของบางสปีชีส์ === การริเริ่มทฤษฎีวิวัฒนาการ=== ทฤษฎีวิวัฒนาการ คือแนวคิดของนักวิทยาศาสตร์ที่พยายามจะอธิบายว่าวิวัฒนาการมีจริงและเกิดขึ้น ได้อย่างไรโดยอาศัยหลักฐานทางด้านต่างๆประกอบและยืนยันแนวโน้มของวิวัฒนาการมีดังนี้ 1. เป็นการเปลี่ยนแปลงที่ไปข้างหน้าไม่ย้อนกลับ มีแนวโน้มการเปลี่ยนแปลงจากแบบ ง่าย ๆ เป็นซับซ้อนจากแบบโบราณเป็นแบบก้าวหน้าและจากแบบทั่วไปเป็นแบบจำเพาะเจาะจงเช่น การลดจำนวนของกระดูก ก้นกบหรือการเชื่อมของ กลีบดอกเป็นต้น 2. ลักษณะทางพันธุกรรมที่ไม่เหมาะสมกับสภาพแวดล้อมจะถูกกำจัด หรือสูญหายไป ทฤษฎีวิวัฒนาการของนักวิทยาศาสตร์ที่สำคัญ ๆ ได้แก่ 1. ทฤษฏีของลามาร์ค (Jean Lamarck) 2. ทฤษฎีของ ชาร์ลส์ ดาร์วิน ( Charles Darwin) 3. ทฤษฏีของดาร์วิน และ วอลเลช (Alfred Russel Wallace) === ชีวิตสมรสและช่วงเจ็บป่วย === === ช่วงสุดท้ายของชีวิต === หนังสือเล่มสุดท้ายก่อนที่ดาร์วินจะเสียชีวิตในวันที่ 19 เมษายน ค.ศ. 1882 ศพของเขาถูกฝังอยู่ที่แอบบีเวสต์มินสเตอร์|วิหารเวสต์มินสเตอร์ ผลงานหนังสือที่ตีพิมพ์ของดาร์วินเป็นผลงานที่มีประโยชน์อย่างมากทั้งทางชีววิทยา และมานุษยวิทยา โดยเฉพาะทฤษฎีวิวัฒนาการถือได้ว่าเป็นก้าวสำคัญในวงการชีววิทยา == ผลงาน == === ทฤษฎีการคัดเลือกโดยธรรมชาติ === === การคัดเลือกทางเพศ === == อนุสรณ์ == == อ้างอิง == == บรรณานุกรม == * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * == แหล่งข้อมูลอื่น == * http://darwin-online.org.uk ห้องสมุดดาร์วินออนไลน์ (Darwin online) จัดทำโดยมหาวิทยาลัยเคมบริดจ์ * The Complete Works of Charles Darwin Online – http://darwin-online.org.uk/ Darwin Online; Darwin's publications, private papers and bibliography, supplementary works including biographies, obituaries and reviews * ; public domain * http://www.darwinproject.ac.uk/ Darwin Correspondence Project Full text and notes for complete correspondence to 1867, with summaries of all the rest * http://librivox.org/newcatalog/search.php?title=&author=charles+darwin&status=all&action=Search Works by Charles Darwin in audio format from LibriVox * http://archives.cbc.ca/science_technology/natural_science/topics/3696/ Video and radio clips Canadian Broadcasting Corporation * * * * http://www.darwin200.org/ Darwin 200: Celebrating Charles Darwin's bicentenary , Natural History Museum * http://www.thesecondevolution.com/darwin_intro.html A Pictorial Biography of Charles Darwin * http://www.rationalrevolution.net/articles/darwin_nazism.htm Mis-portrayal of Darwin as a Racist * http://www.stanford.edu/group/microdocs/darwinvolcano.html Darwin's Volcano – a short video discussing Darwin and Agassiz' coral reef formation debate * * http://www.guardian.co.uk/science/interactive/2009/feb/12/charles-darwin '' The life and times of Charles Darwin'', an audio slideshow, The Guardian, Thursday 12 February 2009, (3 min 20 sec). * http://www.screenaustralia.gov.au/showcases/charlesdarwin/ Darwin's Brave New World – A 3 part drama-documentary exploring Charles Darwin and the significant contributions of his colleagues Joseph Hooker, Thomas Huxley and Alfred Russel Wallace also featuring interviews with Richard Dawkins, David Suzuki, Jared Diamond * http://maps.google.com/maps/ms?ie=UTF8&hl=en&msa=0&msid=202977755949863934429.00049d94d190aa3d3bcc9&z=0 Interactive Google Map of Charles Darwin's Voyage of the Beagle Zoom in on the actual locations Darwin explored in both satellite and terrain mode, complete with Wikipedia links to descriptions of each location. * http://www.cnrs.fr/cw/dossiers/dosdarwinE/darwin.html A naturalist's voyage around the world Account of the ''Beagle'' voyage using animation, in English from French National Centre for Scientific Research|Centre national de la recherche scientifique * หมวดหมู่:บุคคลที่เกิดในปี พ.ศ. 2352 หมวดหมู่:บุคคลที่เสียชีวิตในปี พ.ศ. 2425 หมวดหมู่:นักธรรมชาติวิทยา หมวดหมู่:นักพฤกษศาสตร์ หมวดหมู่:ภาคีสมาชิกราชสมาคมแห่งลอนดอน หมวดหมู่:บุคคลจากมหาวิทยาลัยเคมบริดจ์ หมวดหมู่:ผู้ได้รับพัวร์เลอเมรีท (ชั้นพลเรือน) หมวดหมู่:บุคคลจากมหาวิทยาลัยเอดินบะระ หมวดหมู่:บุคคลจากมหาวิทยาลัยเคมบริดจ์ หมวดหมู่:บุคคลจากชรูส์บรี
ชาลส์ ดาร์วิน
Infobox person | name = เฮนรี ฟอร์ด | image = Henry ford 1919.jpg | caption = เฮนรี ฟอร์ด | birth_name = | birth_date = | birth_place = | death_date = | death_place = | nationality = สหรัฐ|อเมริกัน | occupation = วิศวกร, ผู้มีอิทธิพลทางธุรกิจ, คนใจบุญ | known_for = ผู้ก่อตั้งฟอร์ดมอเตอร์ | title = ประธานในบริษัทฟอร์ดมอเตอร์ค.ศ.1906–1919 และ 1943–1945 | years_active = ค.ศ.1891–1945 | party = *พรรคเดโมแครต (สหรัฐ)|พรรคเดโมแครต (หลังค.ศ. 1918) | spouse = | parents = | children = เอ็ดเซล ฟอร์ด | signature = Henry Ford Signature.svg '''เฮนรี ฟอร์ด''' (; 30 กรกฎาคม 1863 – 7 เมษายน 1947) เป็นผู้ก่อตั้งบริษัทฟอร์ดมอเตอร์ และได้ชื่อว่าเป็นผู้หนึ่งที่มีส่วนก่อให้เกิด "ชนชั้นกลาง" ขึ้นมาในสังคมอเมริกัน ฟอร์ดเป็นผู้แรกที่ประยุกต์ระบบสายพานการผลิตเข้ากับการผลิตยานยนต์ในจำนวนมาก ๆ ความสำเร็จนี้ไม่เพียงแต่ปฏิวัติการผลิตเชิงอุตสาหกรรมเท่านั้น แต่ยังมีอิทธิพลอย่างมากกับวัฒนธรรมสมัยใหม่ โดยนักทฤษฎีสังคมหลายคนถึงกับเรียกช่วงประวัติศาสตร์เศรษฐกิจและสังคมช่วงนี้ว่า "แบบฟอร์ด" (Fordism) == ประวัติ == ฟอร์ด เป็นวิศวกรของบริษัทเอดิสัน ในเมืองดีทรอยต์ (มลรัฐมิชิแกน)|ดีทรอยต์ เขาได้รับมอบหมายให้ศึกษาและพัฒนาเครื่องยนต์ที่ใช้เชื้อเพลิงจากน้ำมัน จนกระทั่งสามารถพัฒนารถยนต์สี่ล้อคันแรกสำเร็จในปี 1896 เขาตั้งชื่อว่า "ฟอร์ด ควอดริไซเคิล" (Ford Quadricycle) ต่อมา ในปี 1903 เขาได้ตั้ง "บริษัท ฟอร์ด มอเตอร์" (Ford Motor Company) ร่วมกับเพื่อน ๆ นักประดิษฐ์ และเขาริเริ่มนำระบบสายพานมาใช้ในการผลิต โดยให้อุปกรณ์ไหลไปตามสายพานและให้คนงานประกอบรถยนต์ทีละส่วน และทำให้ผลิตรถยนต์หนึ่งคันเพียงชั่วโมงครึ่ง เขาผลิตรถยนต์ ฟอร์ด โมเดล ที จากเดิมราคา 850 ดอลลาร์ เหลือเพียง 360 ดอลลาร์ ออกจำหน่ายเป็นครั้งแรก ปรากฏว่าได้รับการตอบรับจากอเมริกันชนเป็นอย่างดี เพราะเป็นรถยนต์ที่สวยงาม มีความแข็งแรงทนทาน และมีราคาถูกกว่ารถยนต์ยี่ห้ออื่นในตลาดเกือบครึ่ง รถยนต์รุ่นนี้ผลิตจนถึงปี 2470 จำหน่ายได้ทั้งหมดราว 15 ล้านคัน ต่อมาเกิดสงครามโลกครั้งที่ 1 บริษัทฟอร์ดก็ยังประสบความสำเร็จในการผลิตเครื่องบิน "ฟอร์ด 4เอที ไตรมอเตอร์" (Ford 4AT Trimotor) ฟอร์ดมีส่วนในการพัฒนาอุตสาหกรรมรถยนต์ให้ก้าวหน้าขึ้นกลายเป็นธุรกิจที่ใหญ่ที่สุดในช่วงต้นคริสต์ศตวรรษที่ 20 ฟอร์ดถึงแก่กรรม 7 เมษายน 1947 ฟอร์ดได้รับการยกย่องให้เป็น "บิดาแห่งการผลิตระบบสายพาน" ปัจจุบันบริษัท ฟอร์ด มอเตอร์ ได้ขยายกิจการธุรกิจรถยนต์ไปทั่วโลก โดยเป็นเจ้าของธุรกิจรถยนต์แบรนด์อเมริกันคือ "ฟอร์ด" (Ford) "ลินคอล์น" (Lincoln) และ "เมอร์คิวรี" (Mercury) และปัจจุบันยังมีหุ้น แอสตันมาร์ติน (Aston Martin) อยู่ นอกจากนี้ยังร่วมลงทุนกับบริษัทผลิตรถยนต์ของญี่ปุ่นคือ "มาสด้า" (Mazda) และเคยเป็นเจ้าของแบรนด์อังกฤษคือ จากัวร์ (Jaguar) แลนด์ โรเวอร์ (Land Rover) และแบรนด์สวีเดนคือ "วอลโว่" (Volvo) ฟอร์ด มอเตอร์ทำรายได้ต่อปีประมาณ 12.6 พันล้านบาท (ปี 2006) มีพนักงานทั่วโลกราว 280,000 คน (ปี 2006) == อ้างอิง == * Baldwin, Neil; Henry Ford and the Jews: The Mass Production of Hate; PublicAffairs, 2000; ISBN 1-58648-163-0 * Foust, James C. "Mass-produced Reform: Henry Ford's Dearborn Independent" American Journalism 1997 14 (3–4) : 411–424. หมวดหมู่:บุคคลที่เกิดในปี พ.ศ. 2406 หมวดหมู่:นักธุรกิจชาวอเมริกัน หมวดหมู่:ผู้บุกเบิกยานยนต์ หมวดหมู่:ชาวอเมริกันเชื้อสายเบลเยียม หมวดหมู่:บุคคลจากรัฐมิชิแกน
เฮนรี ฟอร์ด
'''โยฮันเนิส เก็นส์ไฟลช์ ซัวร์ ลาเดิน ซุม กูเทินแบร์ค''' (; ประมาณ ค.ศ. 1400 – 3 กุมภาพันธ์ ค.ศ. 1468) เป็นช่างเหล็ก ช่างทอง ช่างพิมพ์ และนักประดิษฐ์ชาวเยอรมัน มีชื่อเสียงจากการมีส่วนพัฒนาเทคโนโลยีการพิมพ์ในช่วงคริสต์ทศวรรษ 1450 ซึ่งรวมถึงตัวพิมพ์โลหะอัลลอย และหมึกพิมพ์ที่ใช้น้ำมันเป็นฐาน แม่พิมพ์สำหรับหล่อตัวพิมพ์ได้อย่างแม่นยำ และแท่นพิมพ์แบบกดแบบใหม่ ซึ่งพัฒนาจากเครื่องกดที่ใช้ในการทำไวน์ กูเทินแบร์คได้ชื่อว่าเป็นผู้ประดิษฐ์ตัวพิมพ์ที่ถอดได้ขึ้นในยุโรป ซึ่งเป็นการพัฒนาต่อจากการพิมพ์แบบบล็อกที่ใช้กันอยู่ในขณะนั้น เมื่อรวมส่วนประกอบต่าง ๆ ดังกล่าวเข้าด้วยกันในระบบการผลิตแล้ว เขาได้ทำให้การพิมพ์อย่างรวดเร็วเป็นไปได้ และทำให้ข้อมูลข่าวสารแพร่กระจายออกไปอย่างรวดเร็วในสมัยฟื้นฟูศิลปวิทยาของยุโรป กูเทินแบร์คเกิดที่เมืองไมนทซ์ในจักรวรรดิโรมันอันศักดิ์สิทธิ์ (ปัจจุบันอยู่ในประเทศเยอรมนี) เป็นบุตรชายของพ่อค้าชื่อ ฟรีเลอ เก็นส์ไฟลช์ ซัวร์ ลาเดิน (Friele Gensfleisch zur Laden) ซึ่งต่อมาได้รับเอาชื่อ "ซุม กูเทินแบร์ค" (zum Gutenberg) ซึ่งเป็นชื่อบริเวณที่ครอบครัวของเขาย้ายเข้าไปอยู่อาศัย มาใช้เป็นนามสกุล == อ้างอิง == หมวดหมู่:บุคคลที่เกิดในปี พ.ศ. 1941 หมวดหมู่:นักประดิษฐ์ชาวเยอรมัน หมวดหมู่:บุคคลจากไมนทซ์
โยฮันเนิส กูเทินแบร์ค
ไฟล์:Bonnieclyde f.jpg|200px|right|thumb|บอนนีและไคลด์ '''บอนนี เอลิซาเบธ พาร์คเกอร์''' (, 1 ตุลาคม พ.ศ. 2453 – 23 พฤษภาคม พ.ศ. 2477) และ'''ไคลด์ แชมเปียน บาร์โรว์''' (, 24 มีนาคม พ.ศ. 2452 – 23 พฤษภาคม พ.ศ. 2477) เป็นบุคคลนอกกฎหมายและโจรชิงทรัพย์ชาวอเมริกันจากพื้นที่ดัลลัสซึ่งท่องสหรัฐอเมริกาตอนกลางพร้อมแก๊งระหว่างภาวะเศรษฐกิจตกต่ำครั้งใหญ่ ทั้งคู่เสียชีวิตเมื่อวันที่ 23 พฤษภาคม พ.ศ. 2477 เมื่อทั้งสองขับรถเข้าไปติดกับดักที่ตำรวจเตรียมไว้และถูกยิงเสียชีวิต โดยเจ้าหน้าที่จากรัฐเท็กซัสและรัฐลุยเซียนา|หลุยเซียนา บอนนี พาร์คเกอร์ และไคลด์ บาร์โรว์ได้สร้างความหวาดกลัวแก่ประชาชน ในช่วง 4 ปีสุดท้าย สังหารผู้คนไปถึง 12 คน ปล้นทั้งธนาคารและปั้มน้ำมัน บาร์โรว์ อายุ 25 และพาร์คเกอร์อายุ 23 ปี เรื่องราวของบอนนีแอนด์ไคลด์ ถูกนำมาสร้างเป็นภาพยนตร์เรื่อง ''Bonnie and Clyde'' (1967) นำแสดงโดย วอร์เรน บีตตี้และเฟย์ ดันนะเวย์ โดยถ่ายทำในสถานที่จริงในประวัติศาสตร์ หมวดหมู่:อาชญากรชาวอเมริกัน หมวดหมู่:บุคคลจากรัฐเท็กซัส‎ หมวดหมู่:คู่รัก หมวดหมู่:คู่หูอาชญากร
บอนนีและไคลด์
Infobox football biography | name = จอห์น เทอร์รี | image = John Terry in 2021 FIFA Club World Cup Final.jpg | image_size = 200 | caption = เทร์รีใน ค.ศ. 2022 | fullname = จอห์น จอร์จ เทอร์รี | birth_date = | birth_place = บาร์กิง, ลอนดอน, อังกฤษ | height = | position = กองหลัง#เซ็นเตอร์แบ็ก|เซ็นเตอร์แบ็ก | currentclub = | clubnumber = | youthyears1 = | youthclubs1 = สโมสรฟุตบอลเซนรับ|เซนรับ | youthyears2 = 1991–1995 | youthclubs2 = สโมสรฟุตบอลเวสต์แฮมยูไนเต็ด|เวสต์แฮมยูไนเต็ด | youthyears3 = 1995–1998 | youthclubs3 = สโมสรฟุตบอลเชลซี|เชลซี | years1 = 1998–2017 | clubs1 = สโมสรฟุตบอลเชลซี|เชลซี | caps1 = 492 | goals1 = 41 | years2 = 2000 | clubs2 = → สโมสรฟุตบอลนอตทิงแฮมฟอเรสต์|นอตทิงแฮมฟอเรสต์ (ยืมตัว) | caps2 = 6 | goals2 = 0 | years3 = 2017–2018 | clubs3 = สโมสรฟุตบอลแอสตันวิลลา|แอสตันวิลลา | caps3 = 32 | goals3 = 1 | nationalyears1 = 2000–2002 | nationalteam1 = ฟุตบอลทีมชาติอังกฤษรุ่นอายุไม่เกิน 21 ปี|อังกฤษ อายุไม่เกิน 21 ปี | nationalcaps1 = 9 | nationalgoals1 = 1 | nationalyears2 = 2003–2012 | nationalteam2 = ฟุตบอลทีมชาติอังกฤษ|อังกฤษ | nationalcaps2 = 78 | nationalgoals2 = 6 | manageryears1 = | managerclubs1 = | manageryears2 = | managerclubs2 = '''จอห์น จอร์จ เทร์รี''' () เกิดเมื่อวันที่ 7 ธันวาคม ค.ศ. 1980 เป็นอดีตนักฟุตบอลชาวอังกฤษในตำแหน่งกองหลัง#เซ็นเตอร์แบ็ก|เซ็นเตอร์แบ็ก == ประวัติ == จอห์น เทร์รี เกิดเมื่อวันที่ 7 ธันวาคม ค.ศ. 1980 เล่นฟุตบอลกับเชลซีมาตั้งแต่สมัยเยาวชน เล่นตำแหน่งกองหลังตัวกลาง ติดทีมชาติอังกฤษครั้งแรกใน ค.ศ. 2003 เขามีความรับผิดชอบสูงและเกลียดความพ่ายแพ้ เวลาว่างเขากับเพื่อน ๆ จะไปเล่นเพนต์บอล (Paint Ball) กันเป็นประจำ จอห์น เทร์รี เป็นคนที่มีความเป็นผู้นำสูง เป็นขวัญและกำลังใจให้กับลูกทีมทั้งเชลซีและทีมชาติอังกฤษ ถึงแม้ว่าเมื่อก่อนเขาจะเคยเป็นแบดบอย ติดเหล้าและการพนัน แต่เขาก็สามารถปรับปรุงตัวใหม่ และก้าวไปสู่ความสำเร็จได้มั่นคง (ว่ากันว่าเทร์รีจะหลีกเลี่ยงการดื่มเหล้าหรือเบียร์ด้วยการดื่มน้ำส้มคั้นแทน ทุกครั้งที่มีการเลี้ยงฉลองที่ผับหรืองานเลี้ยงรื่นเริง) ดังนั้นเทร์รีจึงอาจจะเป็นผู้ชายในฝันชองสาว ๆ หลายคน ถึงแม้ว่าเขาจะแต่งงานแล้วก็ตาม จอห์น เทร์รี ได้รับเลือกให้เป็นกัปตันทีมเชลซีครั้งแรกในเกมพรีเมียร์ลีกนัดที่เชลซีพบกับสโมสรฟุตบอลชาร์ลตันแอธเลติก|ชาร์ลตัน แอธเลติก เมื่อวันที่ 5 ธันวาคม ค.ศ. 2001หน้า 89, ''Zoo Sport''. นิตยสาร Zoo Weekly ฉบับ Thai Edition: 11 November 2013 วันที่ 21 พฤษภาคม ค.ศ. 2008 ในนัดชิงชนะเลิศของฟุตบอลยูฟ่าแชมเปียนส์ลีก จอห์น เทร์รี ยิงจุดโทษพลาด ทำให้เชลซีต้องพลาดแชมป์ จอห์น เทร์รี ยังมีแฟนบอลมากกว่าที่คิด นอกจากนั้นก่อนที่จะได้เข้ามาในสโมสรเชลซียังถูกตีราคาถึง 70 ล้านปอนด์ทีเดียว เข้ามาวันแรกก็โชว์ฟอร์มได้ยอดเยี่ยมทีเดียว นอกจากนั้นยังมีส่วนในการนำทีมชาติอังกฤษไปถึงฟุตบอลโลกด้วย ในช่วงต้นเดือนกุมภาพันธ์ ค.ศ. 2010 ฟาบีโอ กาเปลโล ผู้จัดการฟุตบอลทีมชาติอังกฤษ ได้ปลดเทร์รีจากตำแหน่งกัปตันทีมชาติ เนื่องจากข่าวความสัมพันธ์ของเขากับกับวาเนสซา เพอร์รอนเซล ภรรยาของเวย์น บริดจ์ เพื่อนร่วมทีมชาติ ในปี ค.ศ. 2012 เทร์รีลาออกจากการเป็นกองหลังให้กับทีมชาติอังกฤษหลังจากถูกสมาคมฟุตบอลอังกฤษแบนในคดีเหยียดสีผิวแอนทอน เฟอร์ดินานด์ ฟุลแบ็กสโมสรฟุตบอลควีนส์พาร์กเรนเจอส์ เนื่องจากศาลได้มีคำพิพากษาให้จอห์น เทร์รีพ้นผิด แต่สมาคมฟุตบอลอังกฤษยืนยันที่จะริบปลอกแขนของเขา ซึ่งสร้างความไม่พอใจให้เขาและฟาบีโอ กาเปลโลอย่างมาก เป็นเหตุผลให้ทั้งคู่หันหลังให้ทีมชาติอังกฤษ ฤดูกาล 2014-2015 เทร์รีทำสถิติลงเล่นครบ 38 นัดในลีก ถือเป็นนักเตะคนที่สองที่ไม่ใช่ผู้รักษาประตูซึ่งลงเล่นทุกนาทีกับทีมในหนึ่งฤดูกาล และยังคว้าแชมป์มาครองได้ ต่อจากแกรี พูลลิสเตอร์ ในฤดูกาล 1992-1993 และทำลายสถิติเป็นผู้เล่นในตำแหน่งกองหลังที่ยิงประตูสูงสุดตลอดกาลพรีเมียร์ลีกที่ 41 ประตู แซงหน้าเดวิด อันสเวิร์ท ตำนานฟุลแบ็กของเอฟเวอร์ตัน และพาทีมคว้าแชมป์พรีเมียร์ลีกและแคพิทัลวันคัพ พร้อมทั้งติดทีมยอดเยี่ยมประจำฤดูกาลอีกด้วย == เกียรติประวัติ == * '''เชลซี''' ** แชมป์พรีเมียร์ลีก ฤดูกาล ** แชมป์เอฟเอคัพ ปี ** แชมป์ลีกคัพ ฤดูกาล ** แชมป์เอฟเอคอมมิวนิตีชีลด์|คอมมิวนิตีชีลด์ ปี 2005, 2009 ** แชมป์ยูฟ่าคัพ ฤดูกาล 2012-2013 ** แชมป์ยูฟ่าแชมเปียนส์ลีก ฤดูกาล 2011-2012 === เกียรติประวัติส่วนตัว === * นักฟุตบอลยอดเยี่ยมของพีเอฟเอ ปี 2005 == อ้างอิง == หมวดหมู่:นักฟุตบอลชาวอังกฤษ หมวดหมู่:นักฟุตบอลทีมชาติอังกฤษ‎ หมวดหมู่:ผู้เล่นสโมสรฟุตบอลเชลซี หมวดหมู่:ผู้เล่นสโมสรฟุตบอลแอสตันวิลลา หมวดหมู่:ผู้เล่นในพรีเมียร์ลีก หมวดหมู่:ผู้เล่นในฟุตบอลโลก 2006 หมวดหมู่:ผู้เล่นในฟุตบอลโลก 2010 หมวดหมู่:นักฟุตบอลจากลอนดอน หมวดหมู่:ผู้เล่นในฟุตบอลชิงแชมป์แห่งชาติยุโรป 2004 หมวดหมู่:ผู้เล่นในฟุตบอลชิงแชมป์แห่งชาติยุโรป 2012 หมวดหมู่:บุคคลจากบาร์คิง
จอห์น เทร์รี
กล่องข้อมูล นักการเมือง | honorific-prefix = คุณหญิง | name = สุดารัตน์ เกยุราพันธุ์ | honorific-suffix = | image = Khun Ying Sudarat Keyuraphan.jpg | order = รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ของไทย|รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ | term_start = 11 มีนาคม พ.ศ. 2548 | term_end = 19 กันยายน พ.ศ. 2549() | primeminister = ทักษิณ ชินวัตร | predecessor = วันมูหะมัดนอร์ มะทา | successor = ธีระ สูตะบุตร | order2 = รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุขของไทย|รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข | term_start2 = 17 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2544 | term_end2 = 11 มีนาคม พ.ศ. 2548() | primeminister2 = ทักษิณ ชินวัตร | predecessor2 = กร ทัพพะรังสี | successor2 = สุชัย เจริญรัตนกุล | order3 = รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงมหาดไทยของไทย|รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงมหาดไทย | term_start3 = 18 กรกฎาคม พ.ศ. 2538 | term_end3 = 14 สิงหาคม พ.ศ. 2539() | primeminister3 = บรรหาร ศิลปอาชา | headminister3 = บรรหาร ศิลปอาชา | order4 = รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงคมนาคมของไทย|รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงคมนาคม | term_start4 = 25 ตุลาคม พ.ศ. 2537 | term_end4 = 19 พฤษภาคม พ.ศ. 2538() | primeminister4 = ชวน หลีกภัย | headminister4 = วิชิต สุรพงษ์ชัย | birth_date = | birth_place = จังหวัดพระนคร ประเทศไทย | death_date = | death_place = | party = พรรคพลังธรรม|พลังธรรม (2535–2541)พรรคไทยรักไทย|ไทยรักไทย (2541–2550)พรรคเพื่อไทย|เพื่อไทย (2555–2563)พรรคไทยสร้างไทย|ไทยสร้างไทย (2564–ปัจจุบัน) | children = | spouse = สมยศ ลีลาปัญญาเลิศ | signature = | footnotes = | caption = สุดารัตน์ใน พ.ศ. 2563 | predecessor4 = จรัส พั้วช่วย | successor4 = สมบัติ อุทัยสาง | predecessor3 = สุชาติ ตันเจริญ | successor3 = อาษา เมฆสวรรค์ | order6 = พรรคไทยสร้างไทย|หัวหน้าพรรคไทยสร้างไทย | term_start6 = 9 กันยายน พ.ศ. 2565() | predecessor6 = สอิสร์ โบราณ | order5 = สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรไทย|สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรแบบบัญชีรายชื่อ | termstart5 = 14 พฤษภาคม พ.ศ. 2566 | termend5 = 11 กรกฎาคม พ.ศ. 2566() คุณหญิง '''สุดารัตน์ เกยุราพันธุ์''' (เกิด 1 พฤษภาคม พ.ศ. 2504) ชื่อเล่น '''หน่อย''' เป็นนักการเมืองชาวไทย ผู้ก่อตั้งและหัวหน้าพรรคไทยสร้างไทย และประธานมูลนิธิไทยพึ่งไทยhttp://www.ratchakitcha.soc.go.th/DATA/PDF/2543/D/034/42.PDF ประธานมูลนิธิไทยพึ่งไทย อดีตประธานยุทธศาสตร์พรรคเพื่อไทย อดีตรัฐมนตรีเคยดำรงตำแหน่งสำคัญทั้งในรัฐบาล ทักษิณ ชินวัตร และ ชวน หลีกภัย อดีตสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรไทย ชุดที่ 26 และเคยร่วมประท้วงในเหตุการณ์พฤษภาทมิฬ == ประวัติ == สุดารัตน์เกิดเมื่อวันที่ 1 พฤษภาคม พ.ศ. 2504 เป็นบุตรของสมพล เกยุราพันธุ์ อดีตสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรจังหวัดนครราชสีมา และเรณู เกยุราพันธ์ สุดารัตน์สมรสกับสมยศ ลีลาปัญญาเลิศ นักธุรกิจชาวไทย มีบุตรชาย 2 คน และบุตรหญิง 1 คน ดังนี้ # ภูมิภัทร ลีลาปัญญาเลิศ (บอส) # พีรภัทร ลีลาปัญญาเลิศ (เบสท์) # ยศสุดา ลีลาปัญญาเลิศ (จินนี่) สุดารัตน์จบมัธยมศึกษาจากโรงเรียนเซนต์โยเซฟคอนเวนต์ สำเร็จการศึกษาระดับปริญญาตรี ด้านการตลาด จากคณะพาณิชยศาสตร์และการบัญชี จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย (Shi 41) และระดับปริญญาโท บริหารธุรกิจมหาบัณฑิต จากสถาบันบัณฑิตบริหารธุรกิจศศินทร์แห่งจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย|สถาบันบัณฑิตบริหารธุรกิจศศินทร์ (MBA จาก GIBA) สำเร็จการศึกษาปริญญาเอก พุทธศาสตรดุษฎีบัณฑิต สาขาวิชาพระพุทธศาสนา จากบัณฑิตวิทยาลัย มหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย สุดารัตน์ ยังได้รับปริญญาศิลปศาสตรดุษฎีบัณฑิตกิตติมศักดิ์ (ปริญญาเอกกิตติมศักดิ์เชิดชูเกียรติคุณ) สาขาวิชาพัฒนาสังคมและสิ่งแวดล้อม จากสภามหาวิทยาลัยนครพนม และปริญญาดุษฎีบัณฑิตกิตติมศักดิ์ สาขาสาธารณสุขศาสตร์ จากมหาวิทยาลัยเวสเทิร์นhttps://mgronline.com/onlinesection/detail/9650000078795 “สุดารัตน์” รับมอบปริญญาดุษฎีบัณฑิตกิตติมศักดิ์จาก ม.เวสเทิร์น == การเมือง == สุดารัตน์เข้าสู่แวดวงการเมืองครั้งแรกในการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรไทยเป็นการทั่วไป มีนาคม พ.ศ. 2535|การเลือกตั้งเมื่อวันที่ 22 มีนาคม พ.ศ. 2535 ได้รับการเลือกตั้งเป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรกรุงเทพมหานคร เขต 12 พรรคพลังธรรม (บางเขน, หลักสี่, ดอนเมือง, สายไหม, มีนบุรี, หนองจอก, คลองสามวา) ซึ่งเป็นพื้นที่ขนาดใหญ่ประมาณ 1 ใน 3 ของพื้นที่ทั้งกรุงเทพมหานคร ต่อมาในปลายปีเดียวกันได้มีการเลือกตั้งอีกครั้งหนึ่ง สุดารัตน์ได้รับการเลือกตั้งเป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร กรุงเทพมหานคร เขต 7 พรรคพลังธรรม (ลาดพร้าว, วังทองหลาง, บางกะปิ, บึงกุ่ม, คันนายาว, สะพานสูง) และได้รับการแต่งตั้งเป็นรองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรีhttp://www.ratchakitcha.soc.go.th/DATA/PDF/2535/D/138/30.PDF คำสั่งสำนักนายกรัฐมนตรี ที่ 218/2535 เรื่อง แต่งตั้งข้าราชการการเมือง (1นายมนตรี ด่านไพบูลย์ 2 นางสุดารัตน์ เกยุราพันธ์ 3 นายธำรงค์ ไทยมงคล) ในรัฐบาลของชวน หลีกภัย สมัยที่ 1 หรือ รัฐบาลชวน 1/1 ในปี พ.ศ. 2537 สุดารัตน์ได้รับการแต่งตั้งเป็นเลขาธิการพรรคพลังธรรม และได้ดำรงตำแหน่งรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงคมนาคม (ประเทศไทย)|กระทรวงคมนาคมhttp://www.ratchakitcha.soc.go.th/DATA/PDF/2537/E/050/1.PDF พระบรมราชโองการ ประกาศ ให้รัฐมนตรีพ้นจากความเป็นรัฐมนตรี และแต่งตั้งรัฐมนตรี ในรัฐบาลของชวน หลีกภัย หรือรัฐบาลชวน 1/2 ต่อมาได้จัดให้มีการเลือกตั้งในปี พ.ศ. 2538 สุดารัตน์ได้รับการเลือกตั้งเป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรกรุงเทพมหานคร เขต 7 พรรคพลังธรรม (บางกะปิ, บึงกุ่ม, วังทองหลาง, คันนายาว, สะพานสูง) และได้ดำรงตำแหน่งรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงมหาดไทย (ประเทศไทย)|กระทรวงมหาดไทย ในรัฐบาลของนายบรรหาร ศิลปอาชา หรือรัฐบาลบรรหาร 1 จนกระทั่งมีการยุบสภาผู้แทนราษฎรและมีการเลือกตั้งในปีถัดมา ในการเลือกตั้ง พ.ศ. 2539 สุดารัตน์ได้รับการเลือกตั้งเป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรกรุงเทพมหานคร เขต 7 (บางกะปิ, บึงกุ่ม, วังทองหลาง, คันนายาว, สะพานสูง) โดยเป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรในสังกัดพรรคพลังธรรม เพียงคนเดียวในสภาฯ ต่อมาเธอได้ลาออกจากพรรคพลังธรรม เพื่อไปจัดตั้ง '''กลุ่มพลังไทย''' ซึ่งเตรียมความพร้อมสำหรับการเลือกตั้งสมาชิกสภากรุงเทพมหานครและสมาชิกสภาเขต พ.ศ. 2541 โดยมี สก. ของกลุ่มพลังไทยได้รับเลือกตั้งทั้งหมด 13 คน หลังสิ้นสุดการเลือกตั้ง สุดารัตน์ก็ได้รับเชิญให้ไปสังกัดพรรคไทยรักไทย ของ ทักษิณ ชินวัตร|พันตำรวจโท ทักษิณ ชินวัตร รวมทั้งได้รับแต่งตั้งเป็นรองหัวหน้าพรรคในเวลาต่อมา ใน การเลือกตั้งผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร พ.ศ. 2543 สุดารัตน์ได้ลงสมัครรับเลือกตั้งตำแหน่งผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานครในนามของพรรคไทยรักไทย นับเป็นครั้งแรกของพรรคที่ได้ลงสนามการเลือกตั้ง หากไม่นับการเลือกตั้งซ่อม สก. โดยสุดารัตน์ได้คะแนนรวมเป็นลำดับสอง พ่ายแพ้ให้กับ สมัคร สุนทรเวช ซึ่งมีคะแนนเสียงมากกว่าเกือบสองเท่า ในการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรไทยเป็นการทั่วไป พ.ศ. 2544 สุดารัตน์ได้รับเลือกตั้งเป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรแบบบัญชีรายชื่อของพรรคไทยรักไทย และได้ดำรงตำแหน่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข (ประเทศไทย)|กระทรวงสาธารณสุข ดูแลรับผิดชอบงานนโยบายสำคัญของรัฐบาลพันตำรวจโท ทักษิณ ชินวัตร (ยศขณะนั้น) คือนโยบาย 30 บาทรักษาทุกโรค ต่อมาในปี พ.ศ. 2548 ได้รับเลือกตั้งอีกสมัย และดำรงตำแหน่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ (ประเทศไทย)|กระทรวงเกษตรและสหกรณ์http://www.ratchakitcha.soc.go.th/DATA/PDF/00154678.PDF พระบรมราชโองการ ประกาศ แต่งตั้งรัฐมนตรี จนกระทั่งถูกตัดสิทธิ์ทางการเมืองเป็นเวลา 5 ปี (30 พ.ค. 50 - 30 พ.ค. 55) เนื่องจากเป็นหนึ่งในกรรมการบริหารพรรคไทยรักไทยซึ่งถูกยุบในคดียุบพรรคการเมือง พ.ศ. 2549 ภายหลังพ้นกำหนดถูกตัดสิทธิ์ทางการเมือง สุดารัตน์ได้เข้ารับตำแหน่งประธานยุทธศาสตร์พรรคเพื่อไทย โดยในการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรไทยเป็นการทั่วไป พ.ศ. 2562|การเลือกตั้ง พ.ศ. 2562 สุดารัตน์เป็นรายชื่อบุคคลที่ได้รับเสนอชื่อเป็นนายกรัฐมนตรีไทย พ.ศ. 2562|บุคคลที่ได้รับเสนอชื่อเป็นนายกรัฐมนตรีในบัญชีรายชื่อของพรรคเพื่อไทย พร้อมกับชัชชาติ สิทธิพันธุ์ และชัยเกษม นิติสิริ รวมทั้งได้ลงสมัครรับเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรแบบบัญชีรายชื่อลำดับที่ 2https://www.thaipost.net/main/detail/28393 เปิด 97 บัญชีรายชื่อเพื่อไทย 'บรรยิน'ลุ้นได้เป็นส.ส. แต่ไม่ได้รับเลือกตั้ง เนื่องจากพรรคเพื่อไทยมีจำนวนสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรมากกว่าจำนวนสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรพึงมีตามที่กำหนดไว้ในรัฐธรรมนูญ ต่อมาเมื่อวันที่ 30 พฤศจิกายน พ.ศ. 2563 สุดารัตน์ลาออกจากพรรคเพื่อไทย โดยระบุเหตุผล 3 ประการ ได้แก่ 1. ความไม่ชัดเจนเรื่องการเลือกตั้งผู้ว่ากรุงเทพมหานคร 2. มีการตั้งกรรมการและอนุกรรมการโดยกีดกันทีมของเธอ และ 3. การเลือกตั้งนายกองค์การบริหารส่วนท้องถิ่น ที่ไม่อนุญาตให้เธอลงพื้นที่ช่วยหาเสียง จากนั้นในปี พ.ศ. 2564 ได้ร่วมก่อตั้งพรรคไทยสร้างไทย และดำรงตำแหน่งประธานพรรค ก่อนที่จะได้รับเลือกเป็นหัวหน้าพรรคเมื่อวันที่ 9 กันยายน พ.ศ. 2565https://www.bangkokbiznews.com/politics/1025805 “สุดารัตน์” ผงาด นั่ง หัวหน้าพรรคไทยสร้างไทย “ศิธา” เป็นเลขาฯhttps://ratchakitcha.soc.go.th/documents/140D006N0000000022202.pdf ประกาศนายทะเบียนพรรคการเมือง เรื่อง การเปลี่ยนแปลงข้อบังคับพรรคและคณะกรรมการบริหารพรรคไทยสร้างไทย โดยในการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรไทยเป็นการทั่วไป พ.ศ. 2566|การเลือกตั้ง พ.ศ. 2566 สุดารัตน์เป็นรายชื่อบุคคลที่ได้รับเสนอชื่อเป็นนายกรัฐมนตรีไทย พ.ศ. 2566|บุคคลที่ได้รับเสนอชื่อเป็นนายกรัฐมนตรีอีกครั้ง แต่อยู่ในบัญชีรายชื่อของพรรคไทยสร้างไทย พร้อมกับสุพันธุ์ มงคลสุธี และศิธา ทิวารี รวมทั้งได้ลงสมัครรับเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรแบบบัญชีรายชื่อลำดับที่ 1 และได้รับเลือกตั้ง โดยเป็น สส. ระบบบัญชีรายชื่อคนเดียวของพรรคไทยสร้างไทยในสภาผู้แทนราษฎรไทย ชุดที่ 26 แต่สุดารัตน์ทำหน้าที่ สส. เพียงแค่ 1 ครั้ง คือในการประชุมครั้งแรกเพื่อเลือกประธานและรองประธานสภาผู้แทนราษฎร หลังจากนั้นก็ได้ประกาศลาออกจาก สส. เพื่อเปิดโอกาสให้คนอื่นในพรรคได้ขึ้นมาทำหน้าที่แทน === สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร === # การเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรในประเทศไทย มีนาคม พ.ศ. 2535 จังหวัดกรุงเทพมหานคร เขต 12 สังกัดพรรคพลังธรรม # การเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรไทยเป็นการทั่วไป กันยายน พ.ศ. 2535 จังหวัดกรุงเทพมหานคร เขต 7 สังกัดพรรคพลังธรรม # การเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรไทยเป็นการทั่วไป พ.ศ. 2538 จังหวัดกรุงเทพมหานคร เขต 7 สังกัดพรรคพลังธรรม # การเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรไทยเป็นการทั่วไป พ.ศ. 2539 จังหวัดกรุงเทพมหานคร เขต 7 สังกัดพรรคพลังธรรม # การเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรไทยเป็นการทั่วไป พ.ศ. 2544 แบบบัญชีรายชื่อ สังกัดพรรคไทยรักไทย # การเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรไทยเป็นการทั่วไป พ.ศ. 2566 แบบบัญชีรายชื่อ สังกัดพรรคไทยสร้างไทย == บทบาททางสังคม == สุดารัตน์ ได้จัดตั้งมูลนิธิผู้หญิงเพื่อประชาธิปไตย และกลุ่มผู้หญิงกับการเมือง เมื่อปี พ.ศ. 2536 ซึ่งต่อมาพัฒนาเป็นสถาบันผู้หญิงกับการเมือง (เพื่อส่งเสริมให้ผู้หญิงได้มีความรู้ความเข้าใจในการเมือง ที่ถูกต้อง และสนใจเข้าร่วมกิจกรรมทางการเมืองมากขึ้น) และในปี พ.ศ. 2541 ได้จัดตั้งโครงการ “ไทยพึ่งไทย” เพื่อช่วยเหลือผู้หญิงที่ตกงานให้สามารถสร้างงานสร้างอาชีพของตนเองได้ในยามที่ประเทศกำลังประสบกับภาวะวิกฤติเศรษฐกิจ ปี พ.ศ. 2554 สุดารัตน์ รับแต่งตั้งดำรงตำแหน่งประธานกรรมการโครงการ “หนึ่งใจ...ช่วยเหลือผู้ประสบภัย และสู้ภัยพิบัติแห่งชาติ” ของมูลนิธิมิราเคิล ออฟไลฟ์ ในทูลกระหม่อมหญิงอุบลรัตนราชกัญญา สิริวัฒนาพรรณวดี ประธานกรรมการมูลนิธิไทยพึ่งไทย ผู้ก่อตั้งและประธานกรรมการสถาบันสร้างไทย == รางวัลเชิดชูเกียรติคุณ == * มหาวิทยาลัยนครพนม|สภามหาวิทยาลัยนครพนมได้อนุมัติปริญญาศิลปศาสตรดุษฎีบัณฑิตกิตติมศักดิ์ (ปริญญาเอกกิตติมศักดิ์เชิดชูเกียรติคุณ) สาขาวิชาพัฒนาสังคมและสิ่งแวดล้อม มอบให้ คุณหญิงสุดารัตน์ เกยุราพันธุ์ == เครื่องราชอิสริยาภรณ์ == ราชกิจจานุเบกษา, https://ratchakitcha2.soc.go.th/pdfdownload?id=709809 ประกาศสำนักนายกรัฐมนตรี เรื่อง พระราชทานเครื่องราชอิสริยาภรณ์อันเป็นที่เชิดชูยิ่งช้างเผือกและเครื่องราชอิสริยาภรณ์อันมีเกียรติยศยิ่งมงกุฎไทย , เล่ม ๑๑๖ ตอนที่ ๒๐ ข หน้า ๘, ๒ ธันวาคม ๒๕๔๒ ราชกิจจานุเบกษา, https://ratchakitcha2.soc.go.th/pdfdownload?id=1671117 ประกาศสำนักนายกรัฐมนตรี เรื่อง พระราชทานเครื่องราชอิสริยาภรณ์ , เล่ม ๑๑๓ ตอนที่ ๒๑ ข หน้า ๑๗, ๔ ธันวาคม ๒๕๓๙ ราชกิจจานุเบกษา, https://ratchakitcha2.soc.go.th/pdfdownload?id=177273 ประกาศสำนักนายกรัฐมนตรี เรื่อง พระราชทานเครื่องราชอิสริยาภรณ์อันเป็นที่สรรเสริญยิ่งดิเรกคุณาภรณ์ ให้แก่บุคคลที่ช่วยเหลือผู้ประสบธรณีพิบัติภัย “สึนามิ” , เล่ม ๑๒๒ ตอนที่ ๒๓ ข หน้า ๒, ๓ ธันวาคม ๒๕๔๘ ราชกิจจานุเบกษา, https://ratchakitcha2.soc.go.th/pdfdownload?id=157260 ประกาศสำนักนายกรัฐมนตรี เรื่อง พระราชทานเครื่องราชอิสริยาภรณ์จุลจอมเกล้า , เล่ม ๑๒๒ ตอนที่ ๖ ข หน้า ๓, ๕ พฤษภาคม ๒๕๔๘ ==ลำดับสาแหรก== == อ้างอิง == * http://www.naewna.com/news.asp?ID=57908 โปรดเกล้า3รัฐมนตรี "ณัฐ"ม้ามืดซิวรมต.กีฬาฯ == แหล่งข้อมูลอื่น == * https://sudarat.me/ เว็บไซต์อย่างเป็นทางการ * * สืบตำแหน่ง | สี1 = #65408F | สี2 = | สี3 = #65408F | รูปภาพ =Thai Sang Thai Party logo.svg | ตำแหน่ง = พรรคไทยสร้างไทย|หัวหน้าพรรคไทยสร้างไทย | จำนวนตำแหน่ง = | ก่อนหน้า = | จำนวนก่อนหน้า = | ถัดไป = | จำนวนถัดไป = | ช่วงเวลา = 9 กันยายน พ.ศ. 2565 - ปัจจุบัน หมวดหมู่:บุคคลจากจังหวัดพระนคร หมวดหมู่:ชาวไทยเชื้อสายแคะ หมวดหมู่:พุทธศาสนิกชนชาวไทย หมวดหมู่:สกุลเกยุราพันธุ์ หมวดหมู่:คุณหญิง หมวดหมู่:นักการเมืองสตรีชาวไทย หมวดหมู่:รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ไทย หมวดหมู่:รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุขไทย หมวดหมู่:สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรกรุงเทพมหานคร หมวดหมู่:สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรไทยแบบบัญชีรายชื่อ หมวดหมู่:หัวหน้าพรรคการเมืองในประเทศไทย หมวดหมู่:บุคคลที่เกี่ยวข้องกับเหตุการณ์พฤษภาทมิฬ หมวดหมู่:พรรคพลังธรรม หมวดหมู่:นักการเมืองพรรคไทยรักไทย หมวดหมู่:นักการเมืองพรรคเพื่อไทย หมวดหมู่:พรรคไทยสร้างไทย หมวดหมู่:นิสิตเก่าคณะพาณิชยศาสตร์และการบัญชี จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย หมวดหมู่:บุคคลจากมหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย หมวดหมู่:ผู้ได้รับปริญญากิตติมศักดิ์จากมหาวิทยาลัยนครพนม หมวดหมู่:ผู้ได้รับปริญญากิตติมศักดิ์จากมหาวิทยาลัยเวสเทิร์น หมวดหมู่:ผู้บังคับบัญชาและเจ้าหน้าที่กองอาสารักษาดินแดน หมวดหมู่:ผู้ได้รับเครื่องราชอิสริยาภรณ์ ม.ป.ช. หมวดหมู่:ผู้ได้รับเครื่องราชอิสริยาภรณ์ ม.ว.ม. หมวดหมู่:ผู้ได้รับเครื่องราชอิสริยาภรณ์ ป.ภ. หมวดหมู่:ผู้ได้รับเครื่องราชอิสริยาภรณ์ จ.จ.
สุดารัตน์ เกยุราพันธุ์
Infobox scientist | region = ปรัชญาตะวันตก | era = ปรัชญาในศตวรรษที่ 17 | image = Spinoza.jpg | caption = | name = บารุค สปิโนซา (Benedictus de Spinoza) | birth_date = | birth_place = อัมสเตอร์ดัม, สาธารณรัฐดัตช์ | death_date = | death_place = เดอะเฮก, สาธารณรัฐดัตช์ | education = Talmud Torah แห่งอัมสเตอร์ดัม(ถอนตัว)มหาวิทยาลัยไลเดิน(ไม่ได้ใบปริญญา)Steven Nadler, ''Spinoza and Medieval Jewish Philosophy'', Cambridge University Press, 2014, p. 27: "Spinoza attended lectures and anatomical dissections at the University of Leiden..." | residence = เนเธอร์แลนด์ | school_tradition = RationalismSpinozismFoundationalism (รายงานจากเฮเกิล)James Kreines, ''Reason in the World: Hegel's Metaphysics and Its Philosophical Appeal'', Oxford University Press, 2015, p. 25: "Spinoza's foundationalism (Hegel argues) threatens to eliminate all determinate reality, leaving only one indeterminate substance."ConceptualismStefano Di Bella, Tad M. Schmaltz (eds.), ''The Problem of Universals in Early Modern Philosophy'', Oxford University Press, 2017, p. 64 "there is a strong case to be made that Spinoza was a ''conceptualist'' about universals..."สัจนิยมโดยตรงMichael Della Rocca (ed.), ''The Oxford Handbook of Spinoza'', Oxford University Press, 2017, p. 288.Correspondence theory of truthhttp://plato.stanford.edu/entries/truth-correspondence/ The Correspondence Theory of Truth (Stanford Encyclopedia of Philosophy) | main_interests = Ethics, epistemology, metaphysics, Hebrew grammar | influenced = เรอเน เดการ์ต, ลัทธิสโตอิก, Maimonides, อับราฮัม อิบน์ เอสรา, อิบน์ ซีนา, อิบน์ รุชด์, แอริสตอเติล, ดิมอคริตัส, Lucretius, Epicurus, นิกโกเลาะ มาเกียเวลลี, โทมัส ฮอบส์, จอร์ดาโน บรูโน, Franciscus van den Enden, Menasseh Ben Israel | influences = ยุคเรืองปัญญา, อาร์ทัวร์ โชเพินเฮาเออร์, ฆอร์เฆ ลุยส์ บอร์เฆส, เกออร์ค วิลเฮ็ล์ม ฟรีดริช เฮเกิล, ฌ็อง-ฌัก รูโซ, ฟรีดริช วิลเฮ็ล์ม โยเซ็ฟ เช็ลลิง, Arne Næss|Næss, คาร์ล มาคส์, Gabriel Wagner|G. Wagner, โดนัลด์ เดวิดสัน (นักปราชญ์)|โดนัลด์ เดวิดสัน, Gilles Deleuze|Deleuze, อัลเบิร์ต ไอน์สไตน์, จอร์จ อีเลียต, โยฮัน ก็อทลีพ ฟิชเทอ, โยฮัน ก็อทฟรีท แฮร์เดอร์, โนวาลิส, ก็อทฟรีท วิลเฮ็ล์ม ไลบ์นิทซ์, โยฮัน ว็อล์ฟกัง ฟ็อน เกอเทอ, Charles Renouvier|Renouvier, ฟรีดริช นีทเชอ, เบอร์ทรันด์ รัสเซลล์, ลุดวิจ วิทท์เกนชไตน์, ซีคมุนท์ ฟร็อยท์, Miguel de Unamuno|Unamuno, Louis Althusser|Althusser, Étienne Balibar|Balibar, ไมเคิล ฮาร์ดต์, Evald Ilyenkov|Ilyenkov, อันโตนีโอ เนกรี, George Santayana|Santayana, แซมมวล เทย์เลอร์ คอเลริดจ์, Gotthold Ephraim Lessing, ลีโอ สเตราส์, Leszek Kołakowski|Kołakowski, Irvin D. Yalom|Yalom, เลฟ วีกอตสกี | notable_ideas = สรรพเทวนิยม, determinism, neutral monism, psychophysical parallelism, intellectual freedom|intellectual และเสรีภาพทางศาสนา, การแยกศาสนจักรกับอาณาจักร, การวิจารณ์บทประพันธ์ที่เกี่ยวกับโมเสสในคัมภีร์ฮีบรู, รัฐบาล|political society as derived from อำนาจ|power (ไม่ใช่สัญญาประชาคม), Affect (philosophy)|affect, ''natura naturans''/''natura naturata'' '''เบเนดิคตัส เดอ สปิโนซา''' หรือ '''บารุค สปิโนซา''' หรือชื่อในภาษาลาตินของเขาคือ '''เบเนดิก''' (24 พ.ย. ค.ศ. 1632 (พ.ศ. 2175) - 21 ก.พ. ค.ศ. 1677 (พ.ศ. 2220) จากผู้อาวุโสชาวยิว และเป็นที่รู้จักในชื่อ ''เบนโต เดอ สปิโนซา'' หรือ ''เบนโต เอสปิโนซา'' ในชุมชนที่เขาได้เติบโตขึ้น &nbsp; เรอเน เดส์การตส์ กอทท์ฟรีด วิลเฮล์ม ไลบ์นิซ|กอทท์ฟรีด ไลบ์นิซ และสปิโนซา เป็นนักเหตุผลนิยมที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของปรัชญาคริสต์ศตวรรษที่ 17 &nbsp; เขาได้รับการพิจารณาว่าเป็นผู้ริเริ่มการวิพากษ์เกี่ยวกับไบเบิล ผลงานชิ้นสำคัญของเขาคือหนังสือ ''จริยศาสตร์'' == ประวัติ == สปิโนซา เกิดที่เมืองอัมสเตอร์ดัม ในปี 1632 พ่อแม่เป็นชาวฮอลแลนด์ที่มีเชื้อสายยิว เข้าเรียนที่โรงเรียนของชาวยิวที่เมืองอัมสเตอร์ดัม ที่ซึ่งท่านได้เรียนรู้ข้อคำสอนต่าง ๆ ของชาวยิว รวมไปถึงปรัชญาของชาวยิวอีกด้วย การที่ท่านได้เรียนปรัชญาของชาวยิวนี้เอง ทำให้ท่านปฏิเสธความคิดของกลุ่มชาวยิว ท่านได้เรียนและให้ความสนใจกับลัทธิเหตุผลนิยมและวิธีการทางคณิตศาสตร์มากเป็นพิเศษ ทำให้ความคิดของท่านแตกต่างไปจากนักเรียนชาวยิวคนอื่น ๆ และในที่สุดท่านก็ไม่ได้รับการยอมรับจากบรรดาชาวยิว และถูกขับไล่ในจากศาลาธรรมของชาวยิวในปี 1665 โดยข้อหาสอนคำสอนที่ผิดไปจากศาสนายิว หลังจากที่ถูกขับไล่ ท่านได้ย้ายไปอยู่ทางตอนใต้ของฮอลแลนด์ ที่นั่นเองที่ท่านได้ตั้งระบบความคิดของท่าน และในที่สุดท่านก็สิ้นชีวิตที่เมืองแห่งนี้เอง ในวันที่ 21 กุมภาพันธ์ 1677 อย่างสงบและเรียบง่าย ==อ้างอิง== หมวดหมู่:บุคคลที่เกิดในปี พ.ศ. 2175 หมวดหมู่:นักปรัชญาชาวดัตช์|สปิโนซา, บารุค หมวดหมู่:นักปรัชญาชาวยิว หมวดหมู่:บุคคลจากอัมสเตอร์ดัม หมวดหมู่:นักปรัชญายุคเรืองปัญญา หมวดหมู่:นักปรัชญาการเมือง หมวดหมู่:ศิษย์เก่าจากมหาวิทยาลัยไลเดิน
บารุค สปิโนซา
Infobox Chinese | pic = Kongzi (Chinese characters).svg | piccap = "ขงจื๊อ" ในอักษรจีนโบราณ (บน) และในอักษรจีน (ล่าง) | picsize = 125px | c = 孔子 | l = "อาจารย์ขง" | p = Kǒngzǐ | w = K'ung3-tzŭ3 | mi = | gr = Koongtzyy | j = Hung2-zi2 | y = Húng-jí | ci = | suz = Khòn-tzỳ | poj = Khóng-chú | tl = Khóng-tsú | mc = khúwng tsí | oc-b92 = &#42; | oc-bs = &#42; | c2 = 孔丘 | l2 = (ชื่อเกิด) | p2 = Kǒng Qiū | w2 = K'ung3 Ch'iu1 | mi2 = | gr2 = Koong Chiou | j2 = Hung2 Jau1 | y2 = Hung2 Yau1 | h2 = Kung3 Hiu1 | poj2 = Khóng Khiu | wuu2 = Khon Chieu | mc2 = Khúwng Khjuw | oc-bs2 = &#42;Kʰˤongʔ Kʷʰə '''ขงจื๊อ''' (; ; ภาษาไทยมีเรียกกันหลายชื่อ เช่น ขงฟู่จื่อ ขงบรมครูจื่อ ข่งชิว) (ตามธรรมเนียม, 8 กันยายน 551 – 479 ปีก่อน ค.ศ.) 8 ปีก่อนพุทธศักราช หรือ วันที่ 27 เดือน 8 (八月廿七日) ตามปฏิทินทางจันทรคติของจีน http://plato.stanford.edu/entries/confucius/ Stanford Encyclopedia of Philosophy ชื่อรอง ''จ้งหนี'' เป็นนักคิดและนักปรัชญาสังคมที่มีชื่อเสียงของประเทศจีน|จีน คำสอนของขงจื๊อนั้น ฝังรากอิทธิพลลึกลงไปในสังคมเอเชียตะวันออกมาเป็นเวลาถึง 20 ศตวรรษ หลักปรัชญาของขงจื๊อนั้นเน้นเกี่ยวกับศีลธรรมส่วนตัว และศีลธรรมในการปกครอง ความถูกต้องเหมาะสมของความสัมพันธ์ในสังคม และ ความยุติธรรมและบริสุทธิ์ใจ == ชีวประวัติโดยสังเขป == บรรพชนของขงจื๊อสืบเชื้อสายจากเจ้าผู้ครองรัฐซ่ง|แคว้นซ่ง(宋国)ซึ่งเป็นหนึ่งในสายราชนิกุลแห่งราชวงศ์ซาง(商朝)บรรพชนรุ่นต่อมาได้รับราชการเป็นขุนนางชั้นสูงของแคว้นซ่งมาหลายชั่วคน แต่ด้วยเหตุความวุ่นวายทางการเมืองจึงลี้ภัยมาอยู่ที่รัฐหลู่|แคว้นหลู่(鲁国)บิดาของขงจื๊อมีนามว่า ข่งเหอ(孔纥)หรือเรียกอีกชื่อหนึ่งว่า ซูเหลียงเหอ(叔梁纥)เป็นผู้มีการศึกษาและชำนาญยุทธ์รูปร่างสูงใหญ่กำยำ รับราชการในแคว้นหลู่ และเคยเข้าร่วมกับกองทัพปกป้องบ้านเมืองจาการรุกรานของต่างแว่นแคว้นถึง 2 ครั้ง เขามีภรรยา 3 คน ภรรยาคนแรกให้กำเนิดบุตรสาว 9 คน ส่วนภรรยาคนที่สอง ถึงแม้จะให้กำเนิดบุตรชายคนแรก แต่ก็พิการทางขาตั้งแต่ยังเด็ก ซูเหลียงเหอในวัย 66 ปีจึงต้องแต่ง เหยียนเจิงไจ้(颜征在 บางตำราเขียนว่า 颜征)เป็นภรรยาคนที่สาม เพื่อมีทายาทสืบสกุลอย่างสมบูรณ์ ขงจื๊อเดิมชื่อว่า ชิว(丘)ชื่อรอง จ้งหนี(仲尼) เป็นชาวเมืองโจวอี้(陬义)ในแคว้นหลู่ ปัจจุบันคือเมืองชวีฟู่(曲阜)ในมณฑลซานตง(山东)ท่านเกิดในยุคชุนชิว(春秋)เมื่อ 551 ปีก่อนคริสตกาล (8 ปีก่อนพ.ศ.) ถึงแก่กรรมเมื่อ 479 ปีก่อนคริสตกาล (พ.ศ. 64) สิริอายุ 73 ปี ใน ‘บันทึกประวัติศาตร์สื่อจี้ บทตระกูลขงจื๊อ’ >ได้บันทึกไว้ว่า ขงจื๊อสูงประมาณ 2 เมตร เรียกได้ว่าเป็น ‘ผู้สูงใหญ่’ อย่างแท้จริง ตามคำร่ำลือกำลังแขนของขงจื๊อแข็งแรงยิ่งนัก คุณลักษณะทางกายภาพเหล่านี้ ขงจื๊อได้รับถ่ายทอดจากผู้เป็นบิดาซึ่งไม่ตรงกับภาพลักษณ์ที่คนรุ่นหลังกล่าวกันว่า ขงจื๊อเป็นปัญญาชนที่ร่างกายอ่อนแอ เพราะท่านชำนาญทั้งเกาทัณฑ์และขี่ม้า นอกจากนี้ ความสามารถในการดื่มสุราก็เหนือกว่าใคร เมื่อขงจื๊ออายุได้ 3 ขวบ บิดาก็เสียชีวิต เหยียนเจิงไจ้ทนการกดขี่ของภรรยาหลวงไม่ไหว จึงพาบุตรชายสองคนไปใช้ชีวิตตามลำพัง นางอบรมเลี้ยงดูบุตรทั้งสองอย่างดี ให้ความสำคัญกับการศึกษาหาความรู้ โดยได้รับความช่วยเหลือจากบิดาของนาง มารดาและผู้เป็นตาจึงเป็นผู้ปลูกฝังความใฝ่รู้ให้กับขงจื๊อตั้งแต่ยังเยาว์วัย สิ่งที่ขงจื๊อเล่าเรียนในขณะนั้นคือ จารีต ประเพณี ธรรมเนียมปฏิบัติ และพิธีกรรมของชนชั้นสูงและผู้มีฐานะในสังคมสมัยราชวงศ์โจว เมื่อขงจื๊ออายุ 15 ปี ก็ตั้งปณิธานใฝ่ศึกษาศิลปวิชาแขนงต่าง ๆ ดังที่มีบันทึกในหนังสือ ‘วาทะวิจารณ์ของขงจื๊อ’ > ว่า “ข้าอายุ 15 ก็ตั้งมั่นในการศึกษา” (吾十有五而志于学) พออายุ 17 ผู้เป็นมารดาจากไป ขงจื๊อเลี้ยงชีพด้วยการเป็นข้าราชการชั้นผู้น้อยในแคว้นหลู่ ทำหน้าที่เป็นเจ้าพนักงานดูแลคลังเสบียงและเจ้าหน้าที่ปศุสัตว์ ตามลำดับ นอกจากนี้ จวนขุนนางหรือคหบดีคนใดมีงานมงคลหรืออวมงคล ก็จะไปเป็นผู้ทำพิธีกรรมให้ ด้วยอุปนิสัยที่ใฝ่รู้ท่านจึงมุ่งมานะหมั่นศึกษามาโดยตลอด อายุ 20 กว่าก็สนใจเกี่ยวกับการเมืองการปกครอง มักถกปัญหาและให้ข้อคิดเห็นเกี่ยวกับบ้านเมืองแก่บรรดานักปกครอง จนได้รับการยกย่องให้เป็น ‘ผู้รอบรู้และสันทัดในนิติธรรมเนียม (礼)’ ดังเช่น ครั้นเมื่อเจ้าผู้ครองรัฐฉี|แคว้นฉี พระนามว่า ‘ฉีจิ่งกง’ (齐景公) เดินทางมาเยือนแคว้นหลู่ พร้อมกับเสนาบดีผู้กระเดื่องนามในประวัติศาตร์นามว่า ‘ยั่น อิง|เยี่ยนอิง’(晏婴)ทั้งสองได้เชิญขงจื๊อเข้าพบและแลกเปลี่ยนความคิดเห็นเกี่ยวกับสถานการณ์บ้านเมือง ขงจื๊อถนัดในการศึกษาเรียนรู้ข้อดีของคนอื่น ดังที่ได้กล่าวไว้ว่า “สามคนร่วมเดิน จักต้องมีอาจารย์ของเราเป็นแน่ จงเลือกที่ดีเพื่อเอาอย่าง ส่วนที่ไม่ดีก็จงนำมาแก้ไขปรับปรุงตน”(三人行,必有一师焉。择其善者而从之,其不善者而改之)และยังเห็นว่า “ผู้มีความรู้ต้องพร้อมด้วยวรยุทธ์ ผุ้มีวรยุทธ์ต้องพร้อมด้วยความรู้”(有文事者必有武备,有武事者必有文备)ซึ่งก็ต้องเป็นผุ้รอบรู้นั่นเอง ความขยันหมั่นเพียรศึกษาเล่าเรียนตั้งแต่เยาว์วัย เป็นการสั่งสมความรู้ความสามารถสำหรับการสร้างระบบแนวคิด และปูพื้นฐานที่มั่นคงในการถ่ายทอดความรู้แก่ลูกศินย์ ทำให้ขงจื๊อเป็นผู้รอบรู้ในยุคสมัยนั้นและมีผู้มาฝากตัวเป็นศินย์เพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ ครั้นอายุ 35 แคว้นหลู่เกิดศึกการเมืองภายในจากการแย่งชิงอำนาจกันเองของผู้ปกครอง ขงจื๊อจึงเดินทางไปยังแคว้นฉีด้วยความคาดหวังว่า เจ้าผุ้ปกครองแคว้นฉีจะสนใจแนวคิดการปกครองของตน แต่ต้องผิดหวังที่เจ้าผู้ปกครองแคว้นไม่ได้ให้ความสำคัญเท่าที่ควร ทั้งยังมีขุนนางคอยกลั่นแกล้งและกีดกัน ท่านจึงกลับมายังแคว้นหลู่หลังจากที่อยู่แคว้นฉีได้ราวหนึ่งปี และดำเนินชีวิตเป็นครูผู้ประสิทธิ์ประสาทวิชาให้แก่บรรดาสานุศินย์ทั้งหลาย ขงจื๊อในวัย 51-54 ปีใช้ชีวิตวัยกลางคนคลุกคลีกับการปกครองบ้านเมืองอย่างเต็มตัว ด้วยการดูแลท้องที่เล็ก ๆ แห่งหนึ่งจากนั้นไม่นานก็ได้เป็นผู้คุมการโยธา และผู้ดูแลกฎหมายและการลงทัณฑ์ของแคว้นหลู่ ตามลำดับ ท่านทุ่มเทกับงานและปรารถนาให้มีการปกครองที่ดี บ้านเมืองสงบสุข แต่ต้องผิดหวังกับการเมืองภายในแคว้น จึงได้ลาออกและเดินทางเยือนแว่นแคว้นต่าง ๆ เผยแพร่แนวความคิดทางการปกครอง ด้วยความคาดหวังให้บรรดาผู้ปกครองยึดหลักธรรมในการบริหารบ้านเมือง สังคมเป็นระเบียบแบบแผนและสงบสุข แม้จะรู้ว่าเป้นไปได้ยากในสภาพบ้านเมืองเวลา 14 ปี จนกระทั่งอายุได้ 67 ปี จึงเดินทางกลับแคว้นหลู่ และเสียชีวิตเมื่ออายุ 73 ปี ตลอดระยะเวลาสิบกว่าปีที่เดินทางเยือนผู้ปกครองของแว่นแคว้นต่าง ๆ เพื่อแนะแนวทางการบริหารบ้านเมือง ขงจื๊อประสบกับอุปสรรคนานัปการ ไม่ว่าจะถูกดูหมิ่นเหยียดหยาม ใส่ร้ายป้ายสี ปองร้าย ควบคุมตัว และแนวความคิดก็ไม่เป็นที่ยอมรับ เนื่องจากสวนทางกับสภาพบ้านเมืองและสังคมในขณะนั้นที่เจ้าครองแคว้นต่างคำนึงถึงผลประโยชน์ความอยู่รอดของแคว้นตน แต่ท่านก็ไม่ลดละความมุ่งมั่นและความกระตือรือร้นที่ต้องการมีส่วนร่วมสร้างสังคมที่ดี ยินดีที่จะอุทิศตนเพื่อประชาชน ท่านกล่าวว่า “ผู้มีปณิธานและมนุษยธรรมจะไม่ทำลายมนุษยธรรมเพียงเพื่อแลกกับการมีชีวิต จะมีแต่อุทิศชีวิตตนเพื่อให้บรรลุมนุษยธรรม” File:Thai Human Imagery Museum พิพิธภัณฑ์หุ่นขี้ผึ้งไทย อ.นครชัยศรี จ.นครปฐม (71).jpg|thumb|หุ่นขี้ผึ้งขงจื๊อ จัดแสดง ณ พิพิธภัณฑ์หุ่นขี้ผึ้งไทย จังหวัดนครปฐม == หลักความรู้ == ไฟล์:Confuciustombqufu.jpg|thumb|200px|ป้ายหลุมศพของขงจื๊อในอารามขงจื๊อ เมืองฉีฟู่ มณฑลซานตง ; ศาสตร์สี่แขนง : ที่ขงจื๊อวางรากฐานไว้ ได้แก่ วัฒนธรรม ความประพฤติ ความจงรักภักดี และ ความซื่อสัตย์ โดยวัฒนธรรมเน้นถึงการเคารพบรรพบุรุษและพิธีการโบราณ ยึดถือผู้อาวุโสเป็นหลัก แต่ไม่ยึดติดหรืออายที่จะหาความรู้จากคนที่ต่ำชั้นหรืออายุน้อยกว่า ; แปดหลักการพื้นฐานในการเรียนรู้ : ได้แก่ สำรวจตรวจสอบ ขยายพรมแดนความรู้ จริงใจ แก้ไขดัดแปลงตน บ่มความรู้ ประพฤติตามกฎบ้านเมือง ประเทศต้องได้รับการดูแล นำความสงบสุขมาสู่โลก ; ลำดับการเรียนรู้ : ได้แก่ พิธีกรรม ดนตรี ยิงธนู ขี่ม้า ประวัติศาสตร์ และ คณิตศาสตร์ ; คุณธรรมทั้งสาม : ที่ได้จากการเรียนรู้ ได้แก่ ภูมิปัญญา เมตตากรุณา และความกล้าหาญ ; สี่ขั้นตอนหลักการสอน : ได้แก่ ตั้งจิตใจไว้บนมรรควิธี ตั้งตนในคุณธรรม อาศัยหลักเมตตาเกื้อกูล สร้างสรรค์ศิลปะใหม่ ; สี่ลำดับการสอน : ได้แก่ คุณธรรมและความประพฤติ ภาษาและการพูดจา รัฐบาลและกิจการบ้านเมือง และสุดท้ายคือวรรณคดี == เนื้อหาปรัชญาของขงจื๊อ == ;'''ปรัชญาปัจเจกชน :''' ขงจื๊อสอนว่า ความเจริญหรือความเสื่อมของโลก ของสังคมเกิดมาจากปัจเจกชนหรือแต่ละบุคคลเป็นรากฐาน เพราะฉะนั้นรัฐจะต้องพัฒนาคนให้ดีเสียก่อน แล้วสังคม ประเทศ ตลอดถึงโลกก็จะดีขึ้นตามโดยอัตโนมัติ ขงจื๊อเชื่อว่า การที่จะเป็นคนดีได้นั้น ประการแรก จะต้องได้รับการศึกษา การได้รับการศึกษาจากสถาบันการศึกษาหรือจะศึกษาค้นคว้าด้วยตัวเองก็ได้ การศึกษาก็จะทำให้คนฉลาดขึ้น สามารถแยกแยะระหว่างสิ่งดีและสิ่งชั่วร้าย ว่าสิ่งไหนควรทำและไม่ควรทำ อะไรเป็นไปเพื่อความเจริญ อะไรเป็นไปเพื่อความเสื่อม เมื่อรู้แล้วก็จะหาทางหลีกเลี่ยงความเสื่อมแล้วดำเนินไปสู่ความเจริญ ขงจื๊อเชื่อว่าทุกคนมีอัธยาศัยใกล้เคียงกัน แต่ที่มาแตกต่างกัน เป็นคนดี คนชั่ว คนฉลาด คนโง่ ก็เพราะการศึกษาอบรม อย่างเช่น คนที่มีการศึกษาอบรม ก็ย่อมจะรู้จักปรับปรุงตนให้ดีขึ้น สละความไม่ดีทิ้งออกไป เหล่านี้เป็นต้น ก็จะเป็นผลให้เป็นคนดี แต่ถ้าไม่เป็นตามนี้ ก็เป็นคนชั่ว ดังที่ขงจื๊อ กล่าวว่า “การไม่อบรมตนให้มีคุณธรรมหนึ่ง การไม่เสาะแสวงหาความรู้หนึ่ง ประสบความชอบธรรมแล้วไม่อนุวัตรตามความชอบธรรมนั้นหนึ่ง การไม่สละความผิดด้วยการปรับปรุงตนใหม่หนึ่ง ทั้งหมดนี้เป็นความทุกข์ของฉัน” คนที่ฉลาดย่อมปรับปรุงตนเองให้สูงขึ้นอยู่เสนอ ทั้งสามารถหาสาระได้จากสิ่งที่ไม่น่ามีสาระ อย่างที่ขงจื้อกล่าวว่า “ในจำนวนคน 3 คนที่เดินมาด้วยกัน จะต้องมีคนที่สามารถเป็นครูของฉันได้ จงเลือกเอาแต่จุดที่ดีของเขามาปฏิบัติ ส่วนจุดที่เสียก็จงละเว้น” หรือขงจื๊อกล่าวไว้ว่า “จงร่อนเอาความดีออกจากสิ่งต่าง ๆ ที่ท่านได้ยิน และปฏิบัติตามความดีเหล่านั้น จงร่อนเอาความดีออกจากสิ่งต่าง ๆ ที่ท่านได้เห็นและจำความดีเอาไว้” ขงจื๊อมีความเห็นว่า คนดีจะต้องช่วยกันรักษาจารีตประเพณีตลอดถึงมารยาทที่ดีงามไว้ เพราะเรื่องเหล่านี้ได้ผ่านการกลั่นกรองและทดสอบด้วยกาลเวลามาแล้ว จารีตประเพณีตลอดถึงมารยาทที่ดีงามจะทำให้เป็นอารยชน ไม่ป่าเถื่อน และจะช่วยให้คนก้าวหน้าไปสู่ความเจริญยิ่งขึ้นต่อไป และที่สำคัญยิ่ง คนดีจะต้องมีหลักธรรมประจำใจ ยึดมั่นในคุณธรรม เช่น ความขยันหมั่นเพียร ความซื่อสัตย์สุจริต ความยุติธรรม ความกล้าหาญ ความเมตตากรุณา เป็นต้น คนดีจะต้องเทิดทูนคุณธรรมไว้ยิ่งชีวิต ดังที่ขงจื้อกล่าวว่า “บัณฑิตย่อมเห็นแก่คุณธรรมยิ่งกว่าปากท้อง” หรือ “บัณฑิตผู้มีธรรม ย่อมไม่ทำลายธรรมเพราะเห็นแก่ชีวิต แต่ยอมสละชีวิตเพื่อรักษาธรรมไว้” ขงจื๊อสนับสนุนให้คนเทิดทูนธรรมยิ่งกว่าชีวิต ข้อนี้ตรงกับโซเครตีส นักปรัชญาผู้ยิ่งใหญ่ของกรีก และตัวโซเครตีสเอง ก็ได้ปฏิบัติเป็นตัวอย่างมาแล้ว หรือแม้แต่พระพุทธเจ้าก็ได้ตรัสเชิดชูคุณธรรมเช่นกัน แสดงว่าคุณธรรมมีคุณค่าเหนือสิ่งใด ๆ ขงจื๊อได้กล่าวถึงคุณธรรมที่เป็นไปเพื่อความสุข ความเจริญไว้เป็นอเนกนัย เช่น “สิ่งเหล่านี้บัณฑิตคอยต่อต้าน คือ กามตัณหาในเนื้อหนังในวัยหนุ่ม การระรานในวัยฉกรรจ์ และความละโมบในวัยชรา” “บัณฑิตย่อมคิดถึงแต่อุปนิสัยของตน ส่วนคนพาลคิดแต่ตำแหน่งของตน ฝ่ายแรกคิดหาวิธีแก้ไขความผิด แต่ฝ่ายหลังคิดถึงแต่ความโปรดปราน” “บัณฑิตแสวงหาสิ่งที่เป็นความถูกต้อง ส่วนคนพาลเสาะแสวงหาแต่ผลประโยชน์” “คุณสมบัติแก่นสาร 4 อย่างของวีรชน คือ เขาเป็นคนถ่อมตน เคารพนบนอบต่อผู้ใหญ่ มีความกรุณาต่อคนทั่วไป และเป็นคนยุติธรรมเสมอ” ;'''ปรัชญาสังคม :''' สังคมมิใช่อื่นไกล ก็คือการรวมตัวของปัจเจกชนนั่นเอง คนเรามิใช่อยู่โดดเดี่ยว จะต้องเกี่ยวข้องกับคนอื่นด้วย เมื่อมีความเกี่ยวข้องกัน สังคมก็เกิดขึ้น และเมื่อมีความเกี่ยวข้องกัน ก็จำเป็นต้องมีหลักในการปฏิบัติต่อกัน เป็นเหตุให้เกิดปรัชญาสังคมขึ้นมา ขงจื๊อได้จัดความเกี่ยวข้องหรือความสัมพันธ์ระหว่างบุคคล 5 ประเภท พร้อมทั้งหน้าที่ ที่จะต้องปฏิบัติต่อกันดังต่อไปนี้ 1. ผู้ปกครองกับผู้อยู่ใต้การปกครอง โดยผู้ปกครองผู้ปกครองแสดงความนับถือให้เกียรติ ส่วนผู้อยู่ใต้ปกครองก็ต้องจงรักภักดี 2. บิดามารดากับบุตรธิดา โดยบิดามารดาให้ความเมตตากรุณา ส่วนบุตรธิดาก็มีความกตัญญูกตเวที 3. สามีกับภรรยา โดยสามี มีคุณธรรม ฝ่ายภรรยาก็ต้องเชื่อฟัง 4. พี่กับน้อง โดยที่วางตัวให้สมกับเป็นพี่ ส่วนน้องก็เคารพเชื่อฟัง 5. เพื่อนกับเพื่อน ต่างก็ต้องทำตัวให้น่าเชื่อถือและไว้วางใจกันได้ ขงจื๊อมีความเห็นว่า ความยุ่งยากที่เกิดขึ้นในสังคม ก็เพราะคนไม่ทำหน้าที่ของตนให้สมบูรณ์ เช่น บิดามารดาไม่เลี้ยงดูบุตรธิดาให้ดี บุตรธิดาก็ไม่มีความกตัญญูกตเวทีต่อบิดามารดา สามีกับภรรยาต่างนอกใจกัน เป็นต้น ผลก็คือความเดือดร้อนต่าง ๆ ก็จะมาตกแก่สังคม ทำให้สังคมเดือดร้อน แต่ตรงกันข้าม หากทุกคนทำตามหน้าที่ของตนให้สมบูรณ์ ปัญหาความวุ่นวายของสังคมก็จะหมดไป เพราะฉะนั้นการทำหน้าที่ของตนให้ดีจึงสำคัญ ดังที่ขงจื๊อว่า “กษัตริย์ต้องทำหน้าที่ของกษัตริย์ให้สมบูรณ์ ขุนนางต้องทำหน้าที่ขุนนางให้สมบูรณ์ บิดามารดาทำหน้าที่บิดามารดาให้สมบูรณ์ บุตรธิดาก็ทำหน้าที่บุตรธิดาให้สมบูรณ์” การที่แต่ละคนจะทำหน้าที่ของตนให้สมบูรณ์ได้ ก็เพราะมีใจตั้งอยู่บนคุณธรรมพื้นฐาน คือ เอาใจเขามาใส่ใจเรา เรารักสุขเกลียดทุกข์ฉันใด คนอื่นสัตว์อื่นก็ฉันนั้น การเอาใจเขามาใส่ใจเรา ภาษาจีนเรียกว่า “ซู่” (恕) อย่างเช่น ครั้งหนึ่งจื้อกงถามขงจื๊อว่า “จะมีคำสักคำไหมที่จะนำมาเป็นหลักในการดำเนินชีวิต” ปรัชญาสังคมของขงจื๊อ ก็ทำนองเดียวกับคำสอนในพุทธศาสนาที่เรียกว่า คิหิปฏิบัติ ตอนที่ว่าด้วยทิศ 6 ได้แก่ ทิศตะวันออก คือบิดามารดา ทิศใต้ คือ ครู-อาจารย์ ทิศตะวันตก บุตร ภรรยา ทิศเหนือ มิตรสหาย ทิศเบื้องบน นักบวช และทิศเบื้องต่ำ ข้าทาส บริสาร หรือผู้น้อย ทุกคนที่เกิดมาในโลกนี้ ย่อมจะมีความเกี่ยวข้องกันในฐานะใด ฐานะหนึ่ง หรือหลายฐานะ ใครอยู่ในฐานะไหนก็ต้องทำหน้าที่ของตนให้สมบูรณ์ อย่างเช่น บิดา มารดา มีหน้าที่ต้องทำต่อบุตรธิดา คือ 1.ห้ามไม่ให้ทำความชั่ว 2.ให้ตั้งอยู่ในความดี 3.ให้การศึกษาศิลปวิทยา 4.หาคู่ครองที่สมควรให้ 5.มอบมรดกให้เมื่อถึงเวลา ส่วนบุตรธิดา ก็ต้องทำหน้าที่ของตนต่อบิดามารดา คือ 1.เลี้ยงดูท่านตอบ 2.ช่วยทำกิจธุระของท่าน 3.ดำรงวงศ์ตระกูลของท่าน 4.ประพฤติตัวให้สมควรรับมรดก 5.เมื่อบิดามารดาสิ้นชีพไปแล้วก็หมั่นทำบุญอุทิศไปให้ท่าน เหล่านี้เป็นต้น ;'''ปรัชญาด้านการเมือง :''' สังคมทั้งหลายเมื่อมารวมกัน ก็เป็นเหตุให้เกิดรัฐขึ้นมา เมื่อมีรัฐหรือประเทศก็ต้องมีผู้ปกครองหรือรัฐบาล คอยปกครองดูแลสังคมให้เป็นไปอย่างปกติสุขและเจริญก้าวหน้าต่อไป แต่ก็เป็นความจริงว่า ยังมีผู้ปกครองหรือรัฐบาลที่ไม่ดีอยู่มาก ใช้วิธีกดขี่ทารุณประชาชน ทำให้ประชาชนต้องเดือดร้อนมาก อย่างเช่น คราวหนึ่งขงจื๊อพาคณะเดินทางไปรัฐฉี (齐国) ขณะที่ผ่านป่าใหญ่ใกล้เชิงเขาไท่ซาน (泰山) ก็ได้ยินเสียงร้องไห้สะอึกสะอื้นของหญิงคนหนึ่ง ขงจื๊อจึงพูดขึ้นว่า ”เสียงร้องไห้ ฟังโหยหวนโศกาดูรยิ่งนัก หญิงผู้นั้นคงจะมีทุกข์หนักเป็นแน่แท้” จึงใช้ให้จื่อก้งไปถาม หญิงคงนั้นได้ตอบจื่อก้งว่า “น้าชายของฉันถูกเสือกัดตายไม่นานนี้ ต่อมาสามีของฉันก็ถูกเสือกัดตาย ครั้นมาบัดนี้ลูกชายของฉันต้องมาตายเพราะถูกเสือกัดอีก” จื่อก้ง “ก็ทำไมไม่ย้ายบ้านหนีไปเล่า” หญิงคนนั้นตอบว่า “ก็ที่นี่ไม่มีรัฐบาลที่กดขี่ทารุณนะซี” จื่อก้งจึงนำความมาบอกขงจื๊อ ขงจื๊อฟังด้วยความสลดใจ ได้กล่าวขึ้นว่า “ศิษย์ทั้งหลาย จงจำไว้เถิด อันรัฐบาลที่กดขี่ทารุณนั้น มันร้ายยิ่งกว่าเสือเสียอีก” ขงจื๊อได้รับความกระทบกระเทือนใจมากจากเรื่องที่ฟังมา จึงคิดหาทางที่จะให้มีนักปกครองหรือรัฐบาลที่ดีให้จงได้ จึงเป็นสาเหตุให้เกิดปรัชญารัฐหรือปรัชญาการเมืองขึ้นมา โดยส่วนตัว ขงจื๊อนิยมชมชอบรัฐศาสตร์จารีต นิติธรรมเนียมโบราณ สมัยพระเจ้าเงี้ยว พระเจ้าซุ่น พระเจ้าอู๊ และราชวงศ์โจว โดยเฉพาะก็ โจงกง รัฐบุรุษเชื้อสายราชวงศ์โจวเป็นบุคคลแบบอย่างในอุดมคติของขงจื๊อ ขงจื๊อจึงพยายามบำเพ็ญตนให้เหมือนโจวกง ทั้งเทิดทูลพระเกียรติคุณของกษัตริย์ดังกล่าวมานั้น ขงจื๊อได้เสนอปรัชญาการเมืองขึ้นมา มีเป้าหมายเพื่อนำสันติสุขและความเจริญมาให้ประชาชนเป็นที่ตั้ง เหตุที่สำคัญที่จะบันดาลให้บรรลุถึงผลดังกล่าวได้ก็อยู่ที่ตัวผู้นำ หากได้ผู้นำเป็นคนดีมีความรู้ก็สามารถทำให้สัมฤทธิผลได้ เพราะฉะนั้นขงจื๊อจึงให้ความสำคัญในการพัฒนาผู้นำเป็นการใหญ่ แต่ทำอย่างไรจึงจะสามารถสร้างผู้นำที่ดีให้เกิดมีขึ้น ขงจื๊อเชื่อว่า การที่จะสร้างให้เป็นคนดี ประการแรกจะต้องให้การศึกษาอบรมเสียก่อน วิชาที่ขงจื๊อสอนมีหลายวิชา หรือที่เรียกว่าศาสตร์ทั้ง 6 ซึ่งก็มีประวัติศาสตร์ รัฐศาสตร์ ธรรมชาติวิทยา นิติธรรมเนียม กวีนิพนธ์ ดนตรี เพราะนิติธรรมเนียมประเพณีตลอดถึงมารยาททางสังคมเป็นแนวทางให้คนดำเนินไปสู่ความเป็นอารยชนเป็นคนเมือง มิใช่คนป่า ส่วนวิชากวีนิพนธ์ก็เพื่อให้ใจเห็นความงามและเป็นระเบียบ ทำให้เกิดแรงบันดาลใจนำไปสู่การคิดคำนึงถึงความทรงจำเก่า ๆ ทั้งเป็นการเสริมสร้างการสมาคมและเป็นการระบายความไม่สมหวังของคนได้ด้วย ส่วนวิชาดนตรีก็เพื่อให้ซาบซึ้งถึงความไพเราะ ความกลมกลืนกัน ดนตรีมิเพียงแต่ทำความรู้สึกนึกคิดให้กลมกลืนกันเท่านั้น แต่ยังนำความสับสนวุ่นวายของสังคมไปสู่ความเป็นระเบียบเรียบร้อยอีกด้วย วิชาทั้ง 3 นี้ เป็นไปเพื่อกล่อมเกลาใจคนให้อ่อนโยนละมุนละไม เหมาะที่จะปลูกให้มีคุณธรรมต่อไป ขงจื๊อได้กล่าวว่า “อุปนิสัยของคนอาจปลูกฝังขึ้นได้ด้วยกวีนิพนธ์เสริมสร้างให้มั่งคงด้วยจารีตประเพณี และทำให้สมบูรณ์ได้ด้วยดนตรี” ความเป็นไปของขงจื๊อหลายอย่างคล้ายกับโซเครตีส อย่างเช่น ขงจื๊อและโซเครตีสชอบเสาะแสวงหาความรู้อย่างไม่หยุดหย่อน ทั้งพยายามสั่งสอนอบรมคนอย่างไม่เบื่อหน่าย โซเครตีสกล่าวว่า “ข้าพเจ้ารู้อย่างเดียวว่าข้าพเจ้าไม่รู้” ("I know that I know nothing" หรือ "I know one thing: that I know nothing") ส่วนขงจื๊อก็กล่าวว่า “ลักษณะผู้รู้คือผู้รู้ตัวว่ารู้อะไรบ้างและไม่รู้อะไรบ้าง“ ดังที่ขงจื๊อกล่าวว่า เมื่อข้าพเจ้าสอนอะไร หากท่านรู้ก็บอกว่ารู้ เมื่อไม่รู้ก็บอกว่าไม่รู้ นั่นแหละคือความรู้ (”知之为知之,不知为不知,是知也”)ข้อนี้ก็ตรงกับคำสอนในศาสนาคริสต์ ที่พระเยซูสอนไม่ให้สบถสาบาน แต่ให้พูดตามความจริง ถ้าใช่ก็ว่าใช่ ถ้าไม่ก็ว่าไม่พูดเท่านี้พอแล้ว คำพูดที่เกินกว่านี้ย่อมมาจากความชั่ว (มัทธิว ๕ : ๓๓-๓๗) โซเครติสเที่ยวสั่งสอนอบรมคนให้เป็นฉลาดและเป็นคนดี ดังที่เขากล่าวว่า “ข้าพเจ้าจะอยู่ในกรุงเอเธนส์ตามเทวบัญชา จะคอยชักนำชาวเอเธนส์ให้ทำความดีตลอดเวลา จะอยู่กับท่านไม่จากไป ดุจตัวไรไม่พรากไปจากม้า… ข้าพเจ้าทำตัวเหมือนบิดาหรือพี่ชายใหญ่ คอยให้โอวาทเพื่อดำเนินชีวิตไปในทางที่ชอบ พยายามให้แต่ละคนเลิกคิดถึงเรื่องว่าคนมีอะไร แต่ให้คิดเสียใหม่ว่าตนคืออะไร ให้ศึกษาทางที่จะเป็นคนฉลาดและเป็นคนดี…” ส่วนขงจื๊อก็เที่ยวสั่งสอนอบรมคนให้เป็นคนฉลาดและคนดีเช่นกัน และการใช้ดนตรีและกวีนิพนธ์มาเป็นหลักสูตรในการศึกษาของขงจื๊อ ก็เหมือนกับวิธีการของเพลโต้ ศิษย์เอกของโซเครตีส เพลโต้ถือว่าดนตรีและกวีนิพนธ์มีอานุภาพช่วยกล่อมเกลาจิตใจให้อ่อนโยนควรที่จะรับคุณธรรมต่อไป ดนตรีทำให้วิญญาณได้ส่วน ทำนองเดียวกับกายบริหารทำให้ร่างกายได้สัดส่วนฉันนั้น ขงจื๊อก็เช่นกัน ถือว่ากวีนิพนธ์และดนตรีเป็นเครื่องมือในการกล่อมเกลาอารมณ์ให้สงบประณีตได้อย่างดี ขงจื๊อเป็นคนรักดนตรีอย่างยิ่ง จนได้รับเกียรติว่าเป็นปรมาจารย์แห่งดนตรี เมื่อเขาเดินทางไปอาศัยรัฐฉี (齐国) ขงจื๊อได้ศึกษาดนตรีของนครฉี จนลืมรสอาหารถึง 3 เดือน ดังที่ขงจื๊อกล่าวว่า “ข้าพเจ้าไม่เคยสดับเสียงดนตรีที่ไพเราะเสนาะโสตอย่างนี้เลย” ตลอดชีวิตของท่านได้อาศัยกวีนิพนธ์และดนตรีเป็นเพื่อนคู่ทุกข์คู่ยากก็ว่าได้ ขงจื๊อได้วิจารณ์ดนตรีสมัยพระเจ้าซุ่นว่า ทั้งไพเราะทั้งดีงาม ทั้งนี้ก็เพราะมีเนื้อและทำนองนุ่มนวลสงบเย็น ผิดกับดนตรีสมัยพระเจ้าโจวอู่อ๋อง(周武王)ซึ่งก็ไพเราะ แต่ขาดความดีงาม เพราะเนื้อและทำนองรวดเร็ว รุนแรงแบบรบพุ่งปราบปราม วิชาดนตรีและกวีนิพนธ์จึงเป็นหลักสูตรสำคัญยิ่งที่นักศึกษาทุกคนจะต้องเรียนในมหาวิทยาลัยขงจื๊อ การศึกษาวิชาการต่าง ๆ ผู้ศึกษาจะต้องศึกษาให้เข้าใจอย่างแจ่มแจ้ง ไม่ใช่ศึกษาว่าตาม ๆ กันโดยไม่คิดนึกตรึกตรองให้เห็นอย่างถ่องแท้ ถ้าศึกษาแบบนี้ก็ไม่มีประโยชน์ ในทำนองเดียวกัน การคิดเอาเองโดยไม่เรียนก็ไม่ดีเช่นกัน ดังที่ขงจื๊อกล่าวว่า “การศึกษาโดยปราศจากความคิดก็ไร้ประโยชน์ ทำนองเดียวกัน ความคิดที่ปราศจากการศึกษาก็เป็นอันตราย” ขงจื๊อให้ความสำคัญต่อการศึกษามาก คนที่ได้รับการศึกษาแล้วไม่ได้รับประโยชน์นั้นไม่มี เพราะฉะนั้นทุกคนควรศึกษาเล่าเรียนไม่ว่าจะอยู่ในวัยไหน แต่ปฐมวัยดูจะเหมาะกว่า ดังมีเรื่องเล่าว่า ครั้งหนึ่งขงจื๊อถูกถามว่า “การศึกษาดีสำหรับคนทุกคนหรือไม่” ก็ได้รับคำตอบว่า “คนที่ศึกษาได้ 3 ปี แล้วไม่ได้ประโยชน์อะไรเลยจากการศึกษานั้นหายากเหลือเกิน” ขงจื๊อถูกถามอีกว่า “การศึกษาดีทุกเวลาทุกวัยหรือไม่” ก็ได้รับคำตอบว่า “การศึกษาดีทุกเวลาและทุกวัย แต่ถ้าได้รับการศึกษาเมื่อยังหนุ่มย่อมดีกว่า” ขงจื๊อมีความเชื่อว่า ทุกคนมีอัธยาศัยคล้ายกันโดยธรรมชาติคืออยากเป็นคนดี ไม่อยากเป็นคนชั่ว แต่ที่ต้องถลำตัวเป็นคนชั่วก็เพราะ 2 สาเหตุ คือ 1. ไม่ได้รับการศึกษาอบรม จึงทำให้ไม่รู้ว่าอะไรดีอะไรชั่ว 2. ความจำเป็นบังคับ เช่น ความอดอยากยากจน หากรัฐสามารถแก้เหตุทั้ง 2 อย่างนี้ได้ก็จะไม่มีคนชั่วอีกต่อไป ขงจื๊อได้พิสูจน์ถึงทฤษฎีนี้แล้ว ได้ผลสมความมุ่งหมาย เรื่องมีอยู่ว่า สมัยที่ขงจื๊อกำลังมีชีวิตรุ่งโรจน์ในทางการเมืองในแคว้นหลู่ โดยเป็นรัฐมนตรีกระทรวงยุติธรรม ขงจื๊อได้ใช้อำนาจหน้าที่ออกระเบียบแก้ไขนักโทษล้นคุก ดังต่อไปนี้ ประการแรก ขงจื๊อได้ทำการศึกษาประวัตินักโทษแต่ละคนตลอดถึงครอบครัวของเขา ประการถัดมา ขงจื๊อได้เชิญนักกฎหมายและผู้พิพากษามาพบ ขงจื๊อได้กล่าวแก่นักกฎหมายและผู้พิพากษาว่า ตนได้ศึกษาประวัตินักโทษแต่ละคนแล้ว พบว่านักโทษเกือบทั้งหมดเป็นคนเขลา เพราะไม่ได้รับการศึกษาอบรม และเป็นคนยากจนหรือเป็นลูกของคนเขลาและยากจน คนรวยมักจะได้รับการศึกษา จึงมีความสามารถที่จะประกอบอาชีพเลี้ยงชีวิตได้ เมื่อคนรวยทำอาชญากรรมก็อาจหลบเลี่ยงโทษทัณฑ์ โดยให้สินบนแก่ผู้พิพากษา เพราะฉะนั้นงานที่จะต้องทำรีบด่วนก็คือ ขจัดความโง่เขลาโดยให้การศึกษา และขจัดความยากจนโดยช่วยให้เขามีความสามารถประกอบอาชีพที่ซื่อสัตย์สุจริต นักกฎหมายและผู้พิพากษาถามว่า “เราจะเริ่มต้นที่ไหนดี” ขงจื๊อตอบว่า “เริ่มที่ตัวเรา พวกท่านเป็นนักกฎหมายและผู้พิพากษา ก็ขออย่าพลิกกลับความยุติธรรม มีการตัดสินสำหรับคนจนอย่างหนึ่ง และอีกอย่างหนึ่งสำหรับคนรวย กฎข้อแรกของพวกท่าน ก็คืออย่าทำอะไรแก่ผู้อื่นอย่างที่ท่านก็ไม่ปรารถนาจะให้ผู้อื่นทำกับท่าน” ผลการทดลองตามทฤษฏีของขงจื๊อ ปรากฏว่า ต่อมาอีก 2 ปี เรือนจำในแคว้นหลู่ว่างเปล่า ไม่มีนักโทษอยู่เลย ความเชื่อของขงจื๊อที่ว่าทุกคนไม่อยากเป็นคนชั่ว ก็ตรงกับความเชื่อของโซเครตีส กล่าวคือ โซเครตีสเชื่อว่า ทุกคนอยากเป็นคนดีด้วยกันทั้งนั้น แต่ที่หันไปทำความชั่วก็เพราะไม่รู้ว่าอะไรเป็นความดี อะไรเป็นความชั่ว หากรู้ว่าอะไรเป็นความชั่วแล้ว ก็จะไม่มีใครหันไปทำความชั่วอย่างแน่นอน เพราะการทำความชั่วทั้ง ๆ ที่รู้นั้นไม่ใช่ธรรมชาติของมนุษย์ หรือหากถูกบังคับให้เลือกทำความชั่ว 2 อย่าง ก็จะไม่มีใครที่เลือกทำความชั่วชนิดที่หนักกว่าเลย โซเครตีสเชื่อว่า คุณธรรมจะคอยควบคุมไม่ให้คนทำความชั่ว สมมุติว่าถ้าจะทำความชั่ว โซเครติสก็ยังมีความเห็นว่า ถ้าบุคคลทำความชั่วทั้ง ๆ ที่รู้ว่าเป็นความชั่วก็ยังดีกว่า คนที่ทำความชั่วโดยยังไม่รู้ว่าชั่ว เพราะฝ่ายแรกยังมีความรู้ว่าอะไรดี ยังมีภาวะแห่งความดีเป็นสาระอยู่ในตัว ผิดกับฝ่ายหลังยังไม่มีภาวะดังกล่าวเลยก็มีหวังทำความชั่วต่อไปเรื่อย ๆ ขงจื๊อเชื่อว่า หากได้ผู้นำที่ดีเด่นทั้งความรู้และคุณธรรมมาปกครองประเทศแล้วไซร้ ก็จะบันดาลความผาสุกและเจริญรุ่งเรืองให้เกิดขึ้นแก่พลเมืองได้เป็นแน่แท้ ขงจื๊อให้ความสำคัญต่อผู้นำประเทศชาติมาก เป็นกัปตันที่จะพารัฐนาวาไปถึงจุดหมายปลายทาง คือ ความสุข ความเจริญรุ่งเรือง เพราะความรู้ความสามารถและคุณธรรมที่สูงส่งของผู้นำบันดาลให้เกิด ทั้งความดีของผู้นำก็ช่วยดึงดูดจิตใจของพลเมืองให้เอาแบบอย่างด้วย ขงจื๊อได้วางหลักสูตรสำหรับผู้ปกครองไว้ 9 ประการ คือ 1. การอบรมตนให้มีคุณธรรม 2. การยกย่องผู้มีความรู้ความสามารถ 3. การปฏิบัติหน้าที่อย่างดีที่สุด ตามความสามารถเหมาะสมกับฐานะบุคคลในสังคม 4. การยกย่องขุนนางผู้ใหญ่หรือผู้มีอำนาจในแผ่นดิน 5. การแผ่พระคุณไปในหมู่ขุนนางผู้น้อง 6. การแผ่ความรักไปในหมู่ราษฎร ดุจบุตรธิดาในอุทร 7. การสนับสนุนส่งเสริมศิลปวิทยาและอาชีพต่าง ๆ ให้เจริญ 8. การต้อนรับชาวต่างชาติที่เข้ามาค้าขายหรือสวามิภักดิ์ 9. การผูกมัดน้ำใจเจ้าครองนครทั้งหลายด้วยไมตรี สูตรทั้ง 9 ข้อนี้ มีทั้งนโยบายปกครองตน ปกครองประชาชน ปกครองราชการ นโยบายการศึกษา เศรษฐกิจ ตลอดถึงนโยบายต่างประเทศ และสูตรทั้ง 9 ข้อนี้ สามารถย่อยลงในคำพูด 2 คำ คือ เจิ้งหมิง (正名) ซึ่งแปลว่า การปฏิบัติงานให้ถูกต้องกับฐานะและชื่อเสียงของตน ขงจื๊อมีความเห็นว่า ในการปกครองประเทศ ผู้ปกครองอย่าใช้พระเดชนำหน้า เพราะการใช้พระเดชอาจทำให้ราษฎรเกรงกลัวได้ก็จริง แต่รัฐก็ได้รับความเกลียดชังจากราษฎรเช่นกัน เพราะกลัวกับการเกลียดนั้นอยู่ใกล้กัน การใช้กำลังถึงจะเอาชนะได้ก็เพียงชนะภายนอก ไม่สามารถเอาชนะจิตใจราษฎรได้ เมื่อราษฎรไม่พอใจมากก็จะคิดต่อต้าน หรืออย่างน้อยก็ไม่ให้ความร่วมมือ แต่ตรงกันข้ามหากรัฐบาลใช้พระคุณนำหน้า พลเมืองก็จะนิยมชมชอบและให้การสนับสนุน ดังที่ ขงจื๊อกล่าวไว้ว่า “ในการปกครอง หากใช้แต่กฎหมายอย่างเดียวปกครองประชาชน สร้างความเป็นระเบียบเรียบร้อยด้วยอาชญาแล้วไซร้ ประชาชนไม่เพียงจักหลบเลี่ยงละเมิดกฎหมายเท่านั้น ยังจะไม่มีความละอายต่อความชั่วด้วยความรู้สึกผิดชอบของตน แต่ตรงกันข้าม หากปกครองโดยใช้คุณธรรมนำประชาชน สร้างความเป็นระเบียบเรียบร้อยด้วยนิติธรรมเนียม จารีตประเพณี ประชาชนก็จักมีความละอายต่อความชั่วด้วยความรู้สึกผิดชอบของตนเอง ทั้งยังจะก้าวหน้าไปสู่ความดีเบื้องสูงอีกด้วย” ผู้ปกครองหรือรัฐที่ฉลาด จะต้องตระหนักอยู่เสมอว่า ตนตกเป็นเป้าสายตาของประชาชน หากทำดีให้ประชาชนเห็น ประชาชนก็จะยกย่อง แต่ถ้าทำไม่ดีให้ประชาชนเห็น ประชาชนก็จะเหยียบย่ำ เพราะฉะนั้นผู้นำหรือรัฐบาลที่ดีที่ฉลาดจะต้องทำตัวเป็นตัวอย่างในทางดีเพื่อให้ประชาชนเห็น ดังที่จื่อลู่กับขงจื๊อสนทนากันดังต่อไปนี้ จื่อลู่ “นักปกครองที่ดีนั้นเป็นอย่างไร” ขงจื๊อ “นักปกครองที่ดี ย่อมทำตนให้เป็นตัวอย่างของประชาชน ในงานที่ต้องเกณฑ์ประชาชนทำอย่างเหน็ดเหนื่อย ก็จงเป็นผู้เนื่องเสียก่อนเขาเหล่านั้น” ขงจื๊อกล่าวถึงวิธีสัมฤทธิผลของการปกครองไว้ 5 ประการคือ 1. มีความอ่อนน้อมถ่อมตนต่อประชาชน ประชาชนก็จะให้เกียรติเขา 2. มีความโอบอ้อมอารีต่อประชาชน ประชาชนก็ย่อมจะภักดีต่อเขา 3. มีความซื่อสัตย์ต่อประชาชน ประชาชนก็จะเกิดความมั่นใจในผู้นำนั้น 4. ทำงานอย่างเข้มแข็งจริงจัง ก็ย่อมมีผลงานปรากฏอยู่เสมอ 5. สร้างพระคุณให้ประชาชน ประชาชนก็พร้อมที่จะสนับสนุน เมื่อผู้นำหรือรัฐบาลดี เป็นที่พอใจของประชาชนแล้ว ประชาชนก็จะรักเทิดทูนผู้นำหรือรัฐบาลนั้น ทั้งจะถือผู้นำหรือรัฐบาลคนนั้นเป็นแบบอย่าง เมื่อเป็นเช่นนี้ ผู้นำหรือรัฐบาลก็ไม่จำเป็นต้องใช้พระเดชปกครองบ้านเมือง ความดีของผู้นำหรือรัฐบาลจะเป็นหลักประกัน เกิดเป็นแรงดึงดูดให้ประชาชนทำตาม ดุจฝูงโคก็ย่อมไปตามจ่าฝูง ฉันนั้น ดังที่หลีคังจื้อถามขงจื๊อว่า “จะฆ่าพวกทุจริตให้หมด เพื่อรักษาคนสุจริตให้อยู่อย่างปกติสุขจะดีหรือไม่” ขงจื๊อ “ถ้าท่านเป็นผู้ปกครองที่ดี ทำไมจะต้องใช้วิธีฆ่าฟันกันด้วยเล่า ถ้าท่านทำตัวให้ดี ประชาชนก็จะถือเอาเป็นแบบอย่างเอง ผู้ปกครองเหมือนลม ประชาชนดุจหญ้า ธรรมดาหญ้าย่อมลู่ไปตามลม” ขงจื๊อมีความเห็นว่า ผู้ปกครองที่ดีจะต้องฟังเสียงประชาชนถือเสียงประชาชนเป็นเสียงสวรรค์ ประชาชนต้องการอะไร ก็ต้องตอบสนองอย่างนั้น เป็นฝ่ายประชาชนตลอดเวลา ดังที่ขงจื๊อกล่าวว่า “สิ่งใดที่ประชาชนพอใจ เราจงพอใจ สิ่งใดที่ประชาชนเกลียดชัง เราก็จงเกลียดชัง ผู้ใดทำอย่างนี้ ผู้นั้นเชื่อว่าเป็นบิดามารดาของประชาชน” ถ้าใครทำได้ดังกล่าว ก็จะสามารถอยู่ในตำแหน่งได้นาน เพราะไม่ถูกเล่นงานจากประชาชน แต่ถ้าทำตรงกันข้ามก็จะหลุดจากตำแหน่งในเร็ววัน ดังที่ขงจื๊อกล่าวว่า “ผู้ที่ได้ประชาชนไว้ก็เท่ากับได้รัฐไว้ ส่วนผู้ที่ละทิ้งประชาชนก็เท่ากับเสียรัฐไปด้วย” ข้อนี้แสดงว่า เสียงประชาชนมีความสำคัญกว่าสิ่งใดหมด ผู้นำหรือรัฐบาลก็ต้องฟังเสียงประชาชน ใช้เสียงประชาชนเป็นปรอทวัดอุณหภูมิของการปกครอง ตัดอย่างอื่นพอตัดได้ แต่จะตัดเสียงประชาชนนั้นไม่ได้ ดังที่จื่อก้งถามขงจื๊อ ดังต่อไปนี้ จื่อก้ง “จะปกครองรัฐอย่างไรจึงจะดี” ขงจื๊อ “จงปกครองให้ประชาชนมีอาหารกินสมบูรณ์ มีกองทัพเข้มแข็ง และให้ประชาชนมีความเชื่อมั่นในรัฐบาล จื่อก้ง “หากจำเป็นต้องตัดออกสัก 1 ข้อ จะตัดข้อไหนก่อน” ขงจื๊อ “ตัดกองทัพออก” จื่อก้ง “หากจำต้องตัดอีก 1 ใน 2 ข้อ จะตัดข้อไหน” ขงจื๊อ “ตัดอาหารออก เพราะมนุษย์มีความตายเป็นธรรมดา ต้องตายทุกคน แม้จะต้องอดอาหารตาย ก็ยังดีกว่ารัฐบาลที่ประชาชนเขาไม่นิยมนับถือ ประเทศที่มีรัฐบาลอย่างนี้จักตั้งมั่นได้อย่างไร” ;'''ปรัชญาจริยธรรม :''' ขงจื๊อมองสังคมของมนุษย์ในแง่ของความสัมพันธ์ตามทฤษฎีแบบ Organism คือสังคมประกอบขึ้นจากหน่วยย่อย คือ ปัจเจกชนแต่ละคน ถ้าแต่ละคนเป็นคนดี สังคมก็จะดีด้วย การกระทำของแต่ละคนย่อมกระทบกระเทือนต่อสังคมเหมือนร่างกายเราประกอบขึ้นด้วยอวัยวะ (Organs) ต่าง ๆ ถ้าอวัยวะส่วนใดส่วนหนึ่งได้รับอันตรายย่อมกระทบต่ออวัยวะส่วนสวม (Organism) อนึ่ง ขงจื๊อมีความเห็นว่า บุคคลแต่ละคนย่อมจะมีความสัมพันธ์ต่อกันไม่โดยฐานใดก็ฐานะหนึ่ง และความสันพันธ์ขึ้นมูลฐานในสังคมที่ควรจะได้รับการปรับปรุง พัฒนามีอยู่หลายประการ คือ 1. ความสัมพันธ์ระหว่างผู้ปกครองกับผู้อยู่ใต้ปกครอง 2. ความสัมพันธ์ระหว่างบิดามารดากับบุตรธิดา 3. ความสัมพันธ์ระหว่างสามีกับภรรยา 4. ความสัมพันธ์ระหว่างผู้น้อยกับผู้ใหญ่ 5. ความสัมพันธ์ระหว่างเพื่อนต่อเพื่อน ในความสัมพันธ์ 5 ประการนี้ ขงจื๊อได้วางหลักจริยธรรมสำหรับปฏิบัติ ในฐานะนั้น ๆ ไว้ดังนี้ ความสัมพันธ์ประเภทที่หนึ่ง เมตตา, สุจริต จงรักภักดี ความสัมพันธ์ประเภทที่สอง เมตตา, กตัญญูกตเวที ความสัมพันธ์ประเภทที่สาม รัก, ซื่อสัตย์, รับผิดชอบในหน้าที่แห่งตน ความสัมพันธ์ประเภทที่สี่ คารวธรรม ความสัมพันธ์ประเภทที่ห้า ความจริงใจ ขงจื๊อย้ำว่าในการอยู่ร่วมกัน จะต้องปรับปรุงความสัมพันธ์ขั้นมูลฐานนี้ให้ดีเสียก่อน สังคมส่วนใหญ่จะเป็นอยู่เป็นสุข (Ordered Society) และนอกเนือไปจากนี้ ปัจเจกชนแต่ละคนต้องปฏิบัติตามหลักจริยธรรมดังต่อไปนี้ 1. จริยธรรมทางกาย (Morality in Action) หมายถึง จริยธรรมที่ควรปฏิบัติเพื่อประโยชน์ต่อตัวเองและสังคม จริยธรรมนี้มีชื่อว่า เจิ้งหมิง (正名) คือการปฏิบัติให้สมกับที่ตัวเป็น (Rectification of the name) หมายความว่าแต่ละคนย่อยจะมีความเป็น เช่น เป็นตำรวจ เป็นครู เป็นนายกรัฐมนตรี ฯลฯ ความเป็นแต่ละอย่าง (ชื่อ) ย่อมบ่งยอกถึงหน้าที่และความรับผิดชอบ ฉะนั้น เมื่อเราเป็นอะไร ต้องทำหน้าที่และมีความรับผิดชอบนั้น ๆ อย่างสมบูรณ์ ขงจื๊อกล่าวว่า “ความยุ่งยากในสังคมเกิดขึ้น เพราะคนไม่ทำหน้าที่ของตัวเองให้สมบูรณ์ ส่วนมากเป็นเต่เพียงในนาม” 2. จริยธรรมทางใจ (Morality in Cultivation) คือหลักปฏิบัติเพื่อพัฒนาจิตใจของตัวเอง ได้แก่ 2.1 ความรักใครเมตตา (Human Heartedness) หรือเหริน(任)หมายถึงความรักโดยไม่จำกัดขอบเขต ไม่มีการแบ่งแยก เช่นเดียวกับหลักเมตตาในพระพุทธศาสนา และหลักความรักแห่งพระเจ้า(Divine Love)ในศาสนาคริสต์ 2.2 สัมมาปฏิบัติ (Rightousness) หรืออี้ (义)ได้แก่การกระทำในสิ่งที่เห็นว่าถูกหรือควร โดยไม่หวังสิ่งตอบแทน หรือโดยแรงบังคับภายนอกที่พูดกันสั้น ๆ ว่า ทำความดีเพื่อความดี (Do good for the good’s sake) ขงจื๊อย้ำว่าในการกระทำของเราแม้จะกระทำในสิ่งที่ดี แต่ถ้าทำเพราะหวังสิ่งตอบแทนอย่างอื่น เช่น ชื่อเสียง เงินทอง จะจัดว่าเป็นสัมมาปฏิบัติ (Rightous Action) ไม่ได้ เราจะต้องกระทำความดีนั้นเพื่อความดี เพราะความดีมีค่าในตัวมันเองอยู่แล้ว ความดีมิได้อยู่ที่ผลที่ได้รับ (The Value of doing what we ought to do lies in doing itself and not in the external result) การปฏิบัติตามหลักธรรมดังกล่าวอาจจะเป็นการยาก ขงจื๊อจึงวางหลักปฏิบัติสั้น ๆ เพื่อการก้าวหน้าไปสู่จริยธรรมดังกล่าวข้างต้นไว้ หลักปฏิบัตินี้คือ 1. ปฏิบัติต่อผู้อื่นเหมือนที่ท่านปรารถนาจะให้คนอื่นปฏิบัติต่อท่าน 2. จงอย่าปฏิบัติต่อผู้อื่นในสิ่งที่ท่านไม่ปรารถนาจะให้ผู้อื่นปฏิบัติต่อท่าน อนึ่ง ขงจื๊อกล่าวว่า ผู้ที่จะปฏิบัติตามหลักจริยธรรมต่าง ๆ ได้อย่างไม่ท้อถอย จะต้องเป็นผู้ที่รู้จัก มิ่ง (命) คำว่า มิ่ง มีความหมายว่า “โชคชะตา” หรือโองการสวรรค์ ขงจื๊อให้ความหมายว่าการดำเนินชีวิตนั้น มีบางสิ่งบางอย่างที่พ้นวิสัยที่เราจะควบคุมหรือลิขิต มันเป็นอย่างที่มันจะเป็นเช่นเดียวกับที่ชาวพุทธพูดกันว่า “มันเป็นกรรม” ฉะนั้นในการครองชีวิตเราจะต้องเข้าใจในสิ่งนี้ เพื่อมิให้เกิดความท้อแท้ในการประกอบความดี ;'''ปรัชญาด้านการศึกษา :''' ''อุดมคติความเป็นครู'' โดยปฏิปทาของขงจื๊อเราสามารถที่จะมองเห็นอุดมคติในความเป็นครูอยู่หลายประการ ซึ่งอาจจะแยกแยะให้เห็นได้ดังนี้ 1. การไม่หวงวิชา ความยิ่งใหญ่ของขงจื๊อประการหนึ่งนั้น เห็นได้จากข้อเท็จจริงทางประวัติศาสตร์คือนับตั้งแต่สมัยขงจื๊อเป็นต้นมา การศึกษาได้กลายเป็นสิ่งสำคัญสำหรับคนหนุ่มผู้มีสติปัญญาทั้งหลาย เพราะโดยการศึกษานั้นพวกเขาสามารถที่จะยกฐานะของตนเองจากกำเนิดอันต่ำต้อยไปสู่ความเป็นผู้มีศักดิ์สูงได้ แสดงให้เห็นว่าขงจื๊อไม่หวังความเป็นเลิศทางวิชาการไว้เพื่อศักดิ์ศรีและความยิ่งใหญ่ของตัวเองแต่ผู้เดียว ขงจื๊อเองกล่าวว่า “ข้าพเจ้าไม่เคยปฏิเสธที่จะอบรมสั่งสอนวิชาความรู้ให้แก่ใคร ๆ ผู้ที่มีความกระหายอยากจะเรียนรู้เลย แม้ว่าเขาจะยากจนซึ่งอาจจะหาได้เพียงเนื้อแห้งมัดเดียว เพื่อที่จะนำมาเป็นเครื่องตอบแทนน้ำใจ” 2. ไม่หลงตัวเอง เพิ่มพูนความรู้อยู่เสมอ ดังคำกล่าวที่ขงจื๊ออธิบายดังที่ขงจื๊ออธิบายลักษณะของตนเองในฐานะที่เป็นครูว่า “ไตร่ตรองสิ่งทั้งหลายด้วยดวงจิตที่สงบ เพิ่มพูนความรู้ให้สูงขึ้น แม้จะศึกษารู้มาแล้วมากมาย....” 3. มีฉันทะหรือความเต็มใจในการสอน ข้อความวรรคท้ายของคำกว่างที่ขงจื๊ออธบายลักษณะของตนเองในฐานะที่เป็นครูมีอยู่ว่า “ไม่เคยเบื่อหน่ายในการถ่ายทอดวิชาความรู้ให้แก่ผู้อื่นเลย” ข้อความนี้แสดงให้เห็นความรักความเต็มใจในหน้าที่ ซึ่งเป็นคุณสมบัติประการหนึ่งของคามเป็นครู 4. ประพฤติแต่สิ่งที่ดีงาม ขงจื๊อเป็นนักการศึกษาที่สนใจในจริยธรรมและใช้ชีวิตตารมแนวจริยธรรมหรือความดีงามที่ได้เห็นแจ้งแล้วโดยมีสติปัญญา ในกรณีนี้ขงจื๊อกล่าวว่า “มีคนมากมายที่กระทำอะไรลงไป โดยไม่รู้ว่าทำไมจึงต้องทำเช่นนั้น แต่ข้าพเจ้าไม่เหมือนผู้คนเหล่านั้น ข้าพเจ้าได้ยินได้ฟังมามากเหลือสรรเอาแต่สิ่งที่ดีงานแล้วปฏิบัติตามข้าพเจ้าก็เห็นมาก็มาก ศึกษาสิ่งเหล่านั้นแล้วจดจำไว้ นี่เองทำให้ข้าพเจ้าเข้าไปใกล้กับความรู้ที่แท้จริง” '''''วิชาที่สอนและวัตถุประสงค์''''' กล่าวอย่างรวม ๆ การศึกษาที่ขงจื้อให้กับประชาชนนั้นเป็นเรื่องเกี่ยวกับจริยธรรมและศิลปะในด้านศิลปะนั้น จารีตประเพณี(礼)ดนตรี(乐)กวีนิพนธ์(诗) เป็นวิชาพื้นฐาน ตามทัศนะขงจื้อนั้น จารีตประเพณีในฐานะที่เป็น “สถาบัน” มีส่วนช่วยควบคุมจิตใจและนำความปรารถนาให้เป็นไปในแนวทางที่ถูกที่ควร ดนตรีเป็นเสมือนพลังอารยะ ( A Civilizing Force) ที่ช่วยให้เกิดความรู้สึกอันดีงามและผ่อนคลายความกำหนัดร้อนรน (Passions) กวีนิพนธ์เป็นพลังจริยธรรม (A Moral Force) ที่ช่วยกล่อมเกลาธรรมชาติของคนและบันดาลใจให้เกิดความรู้สึกดีงามในด้านจริยธรรม ขงจื้อกล่าวว่า “อุปนิสัย (Character) ของคนเรานั้นปลูกฝังขึ้นได้โดยอาศัยกวีนิพนธ์รักษาให้มั่นคงสืบไปได้ด้วยจารีตประเพณีและทำให้สมบูรณ์ได้ด้วยดนตรี” กล่าวโดยสรุปวิชาที่สอนรวมอยู่ในวรรณกรรมหรือวิทยา ๖ ประการ (The Six Classies) อันเป็นที่รวมแห่งมรดาทางวัฒนธรรมดังได้กล่าวมาแล้วในเรื่องว่าด้วยวรรณกรรมขงจื้อวัตถุประสงค์เฉพาะ (The Specific Purpose) ของการศึกษาวิชาการทั้ง ๖ มีปรากฏอยู่ในบทนิพนธ์ขงจื้อ (Chuang Tzu) ดังนี้ กวีนิพนธ์ เพื่อสอนอุดมคติ ประวัติศาสตร์ เพื่อสอนเหตุการณ์ต่าง ๆ จารีตประเพณี เพื่อสอนจรรยาความประพฤติ ดนตรี เพื่อสอนความสอดคล้องสัมพันธ์ ธรรมชาติวิทยา เพื่อสอนหลักพลังคู่ของสากลจักรวาล ซุนชิว เพื่อสอนหลักการอันสำคัญของเกียรติยศและหน้าที่ วัตถุประสงค์อันสำคัญนอกเหนือจากจุดประสงค์เฉพาะวิชาดังกล่าว ขงจื้อยังถือหลักว่าการศึกษานั้นย้ำความสำคัญในเรื่อง การศึกษาเพื่อพัฒนาบุคลิกภาพของบุคคลมากกว่าการศึกษาเพื่อความรู้และประโยชน์ของความรู้แต่เพียงด้านเดียว ให้การศึกษาเพื่อบุคคลจะได้เลือกสรรเอาสิ่งที่ดีงาม การเลือกเอาแต่สิ่งที่ดีงามนั้นเป็นการปรับปรุงชีวิตของตนเองและของมนุษยชาติโดยส่วนรวม '''วิธีการศึกษา''' เกี่ยวกับวิธีการศึกษานั้นขงจื้อให้หลักสำคัญพื้นฐานไว้ ๒ ประการ คือ 1. ศึกษาโดยใช้ความคิดหรือเหตุผล นั่นคือในการศึกษาหาความรู้บุคคลจะต้องรู้จักคิดแยกแยะ มิใช่การจำแล้วทำตามและโดยนัยเดียวกันการศึกษานั่นเองจะช่วยให้บุคคลรู้จักคิด ดังคำกล่าวของขงจื้อที่ว่า “การศึกษาที่ปราศจากความคิด ไร้ประโยชน์ความคิดปราศจากการศึกษา เป็นอันตราย” (Study without thought is in vain ; Thought without study is dangerous) 2. กล้าเผชิญกับความเป็นจริงของตัวเอง หมายความว่าผู้ศึกษาจะต้องยอมรับความเป็นจริงในแง่ที่ว่ารู้หรือไม่รู้ อาจจะกล่าวได้ว่าเข้าใจหรือไม่เข้าใจในสิ่งที่ตัวเองศึกษา อย่ามีลักษณะที่ไม่รู้แล้วแสร้งทำเป็นรู้ หรือรู้แต่เพียงผิวเผินแต่ทำตัวเป็นผู้รู้เจนจบ ความนี้ปรากฏชัดในคำกล่าวของขงจื้อว่า “ขอให้ข้าพเจ้าได้ชี้ทางแห่งความรู้แก่ท่านขอเพียงบอกว่า รู้ เมื่อท่านรู้จริง ๆ และยอมรับว่าไม่รู้ในสิ่งที่ท่านไม่รู้ นี่คือหนทางไปสู่ความรู้” == ผลงานของขงจื๊อ == ผลงานของขงจื๊อ งานทางด้านการเขียนของขงจื๊อปรากฏอยู่ในหนังสือ สังเขปการสอนของขงจื๊อ หรือที่จีนเรียกว่า “หลุน-อฺวี่ (论语) ” เป็นเรื่องราวเกี่ยวกับบันทึกและเรื่องราวต่าง ๆ เช่น คำพูด คำสอนของขงจื๊อและกิจกรรมต่าง ๆ ที่ลูกศิษย์ของท่านได้ช่วยกันงรวบรวมขึ้นหลังจากการจากไปของขงจื๊อส่วนวรรณกรรมที่ท่านได้รวบรวมขึ้นมีดังนี้ 1. ชุนชิว (春秋) 2. ซือจิง (诗经) เป็นหนังสือเกี่ยวกับบทกวีนิพนธ์ต่าง ๆ หนังสือเล่มนี้สามารถนำไปเปรียบเทียบกับ Song of Solomon ในคัมภีร์ไบเบิ้ล โคลงต่าง ๆ เป็นเพลงพื้นเมืองที่ร้องกันในสมัยแรก ๆ โดยทั่วไปแล้วเป็นบทพรรณนาถึงหนุ่ม ๆ สาว ที่กำลังร้องรำทำเพลงและเล่นหยอกล้อกันด้วยความเสน่หาในฤดูใบไม้ผลิและในฤดูเก็บเกี่ยว 3. ซูจิง(书经) เป็นหนังสือเกี่ยวกับประวัติศาสตร์สันนิษฐานว่ารวมโดยขงจื๊อเอง ดังนั้นจึงมีความสำคัญอย่างลึงซึ้ง เป็นการประมวลคำปราศรัย คำสัตย์ปฏิญาณในพิธีกรรม 4. อิ้จิง (易经) เป็นหนังสือเกี่ยวกับการเปลี่ยนแปลงเป็นตำนานลึกลับ ซึ่งเกี่ยวข้องกับอำนาจศักดิ์สิทธิ์และพลังแห่งจุดหมายปลายทาง เป็นงานชิ้นแรกซึ่งได้รับความนิยมและจัดเข้าเป็นขั้นคลาสิคในสมัยต่อ ๆ มา ลักษณะเด่นตำราเล่มนี้คือ ปากัวหรือรอยสลักแปดตัวซึ่งโหรจีนให้ใช้กันมาตั้งแต่โบราณ และเอ้อหยา ซึ่งเป็นปทานุกรมฉบับแรกที่พยายามอธิบายความมืดมนของตำราว่าด้วยการเปลี่ยนแปลงและตำราว่าด้วยพิธีกรรม 5. หลี่จี้(礼记) เป็นหนังสือเกี่ยวกับพิธีการต่าง ๆ เป็นการสั่งเกี่ยวกับการปฏิบัติตามพิธีกรรมต่าง ๆ เช่น วิธีที่ควรจะถือและเหนี่ยวคันศรในระหว่างที่แสดงศิลปะของสุภาพบุรุษในการยิง นอกจากนั้นก็กล่าวถึงการเรียกอันยิ่งใหญ่และทฤษฎีแห่งมัชฌิม เมื่อพวกมองโกลเข้ายึดจีนได้ในราว ค.ศ. 1278-1368 จักรพรรดิกุบไล่ข่านก็มิได้ขัดขวางลัทธินี้ ทรงยึดหลักของขงจื๊อ ต่อมาในสมัยราชวงศ์เหม็งได้พยายามล้มล้างอิทธิพลของพวกมองโกล และรื้อฟื้นการตั้งยศฐาบรรดาศักดิ์ตลอดจนมีพิธีการบูชาขงจื๊อและเล็งเห็นความสำคัญของการศึกษาตำราขงจื๊อเป็นอย่างมาก สมัยราชวงศ์เหม็งได้รื้อฟื้นการสอบแบบขงจื๊อคือเปิดให้มีการสอบชั้นสูงถึง 89 ครั้ง มีผู้สอบผ่านการสอบชั้นสูงเพียง 280 คน มีการยกส่วนต่าง ๆ ของตำราขงจื๊อมาเขียนตีความและวิจารณ์ โดยยึดแบบของชูชีตั้งแต่สมัยราชวงศ์ซ้องเป็นหลัก ลัทธิขงจื๊อนี้มีชื่อเสียงมาก และเผยแพร่เข้าไปในหมู่พวกแมนจูโดยพวกแมนจูใช้หลักของขงจื๊อในการปกครองจีน จะเห็นได้ว่าไม่ว่าพวกมองโกลหรือแมนจูก็ตามที่มีอำนาจยึดครองจีนได้ ต่างก็ตระหนักดีว่า การที่จะปกครองจีนได้จะต้องธำรงไว้ซึ่งอารยธรรมตลอดจนลัทธิขงจื๊อที่ชาวจีนยึดถือปฏิบัติกัน == อิทธิพลของปรัชญาขงจื๊อ == ปรัชญาขงจื๊อ ได้มีอิทธิพลต่อชาวจีนอย่างใหญ่หลวงรอบด้าน คำสอนของขงจื๊อถือเป็นแบบอย่างในการดำเนินชีวิต และเป็นมาตรฐานของสังคม ความรู้สึกนึกคิดของชาวจีนจะแนบแน่นอยู่กับปรัชญาขงจื๊อ งานนิพนธ์ของขงจื๊อ ถือกันว่าเป็นวรรณกรรมชั้นสูง และเป็นหลักสูตรใช้ศึกษากันในสถาบันการศึกษาต่าง ๆ อีกทั้งเป็นวิชาสำหรับสอบไล่ของทางราชการอีกด้วย ปรัชญาขงจื๊อทำให้ชาวจีนมีวัฒนธรรมที่เป็นเอกลักษณ์ของตนหลายอย่าง เช่น 1. ชาวจีนให้ความสำคัญในเรื่องครอบครัวมาก ถือว่าครอบครัวเป็นรากฐานของสังคม จึงพยายามสร้างครอบครัวให้เป็นปึกแผ่น เป็นครอบครัวใหญ่ ประกอบด้วยคนหลายรุ่น ทั้งพ่อ แม่ ปู่ ย่า ลูก หลาน เหลน ทั้งในภาษาจีนก็เอื้ออำนวย คือมีคำบอกลำดับญาติไว้อย่างชัดเจน ว่าใครมีความสัมพันธ์กันอย่างไร มาจากสายไหน สืบสายมาจากบิดา หรือมารดา ดุจคำว่าน้าและอา ในภาษาไทยฉันนั้น รวมความแล้ว ชาวจีนให้ความสำคัญต่อญาติมาก 2. ชาวจีนให้เกียรติผู้สูงอายุ ทั้งใช้สรรพนามให้เหมาะสมกับวัย เรียกพี่ ป้า น้า อา เป็นต้น แม้ต่อคนที่ไม่ใช่ญาติ ดุจเดียวกับธรรมเนียมไทย คนจีนมีลูกหลานแล้วมักจะไว้หนวดเพื่อแสดงว่าตัวแก่แล้ว 3. ชาวจีนให้ความสำคัญต่อบรรพบุรุษที่ล่วงลับไปแล้ว จะต้องดูแลสถานที่ฝังศพบรรพบุรุษให้ดี ตลอดถึงคอยเซ่นไหว้อยู่เสมอ และให้ดีด้วย 4. ชาวจีนนิยมยกย่องครูบาอาจารย์ไว้สูง แต่ไม่นิยมยกย่องทหาร ชาวจีนให้ความสำคัญต่อผู้ใช้ความรู้มากกว่าผู้ใช้กำลัง ตามคำสอนของขงจื๊อ 5. ชาวจีนไม่ชอบมีเรื่องต้องขึ้นโรงขึ้นศาล แต่จะพยายามตกลงปรองดองกันให้ได้ เหล่านี้เป็นต้น เพราะฉะนั้นปรัชญาขงจื๊อจึงเป็นแม่แห่งวัฒนธรรมจีนตลอดมากว่า 2,000 ปี ส่วนสาเหตุที่ทำให้อิทธิพลของปรัชญาขงจื๊อต้องเสื่อมไปก็มี 2 ครั้งใหญ่ คือ * '''''ครั้งที่ 1''''' เมื่อขงจื๊อสิ้นชีพแล้วได้ 200 ปีเศษ หรือพุทธศตวรรษที่ 3 จิ๋นซีฮ่องเต้ กษัตริย์แห่งนครฉี ทรงปราบรัฐใหญ่ ๆ 6 รัฐหมดแล้ว จึงปราบดาภิเษกเป็นพระเจ้าจักรพรรดิ ปกครองประเทศจีนแต่เพียงพระองค์เดียว พระองค์ปรารถนาจะให้ราชบัลลังก์ของพระองค์ยั่งยืนอยู่ชั่วกาลนาน ทรงเห็นชอบกับคำแนะนำของ หลีซือ นายกรัฐมนตรีว่า บรรดาศาสนาและปรัชญาต่าง ๆ ทำให้คนฉลาดและมีความคิดเห็นแตกต่างกัน ยากที่จะปกครอง ควรที่จะล้มเลิกศาสนาและปรัชญาเหล่านั้น จิ๋นซีฮ่องเต้จึงทรงรับสั่งให้นำคัมภีร์ของศาสนาและปรัชญาทั้งหมดมารวมกันแล้วเผาทำลายทั้งหมด กล่าวกันว่า กองไฟเผาคัมภีร์เหล่านี้ลุกโชติช่วงติดต่อกันไม่ดับเป็นเวลา 3 เดือน พวกนักปราชญ์ของศาสนาและปรัชญาถูกฆ่าถึง 460 คนเศษ ลัทธิขงจื๊อและม่อจื๊อ ได้รับความกระทบกระเทือนมากที่สุด เพราะรัฐบาลเห็นว่าเป็นศัตรูหมายเลข 1 แต่ความหวังของจิ๋นซีฮ่องเต้ที่จะให้ราชวงศ์ของพระองค์ยั่งยืนเป็นหมื่นปีก็พังลง เพราะหลังจากพระองค์สิ้นพระชนม์แล้วก็ได้เกิดกบฏล้มราชบัลลังก์ โดย หลิวปัง ขุนพลคนหนึ่งเป็นหัวหน้า ทำการได้สำเร็จจึงปราบดาภิเษกขึ้นเป็นกษัตริย์ พระนามว่า พระเจ้าฮั่นเกาจู่ ตั้งราชวงศ์ฮั่น สืบสันตติวงศ์ต่อมา ราชวงศ์ฮั่นได้ปกครองบ้านเมืองมาตามลำดับ จนถึงพระเจ้าฮั่นอู่ตี้ ราวต้นพุทธศตวรรษที่ 5 ทรงฟื้นฟูปรัชญาขงจื๊อขึ้นใหม่ และทรงให้การสนับสนุนเป็นการใหญ่ ปรัชญาขงจื๊อจึงได้กลับมามีชีวิตอีกครั้งหนึ่ง * '''''ครั้งที่ 2''''' เมื่อประเทศจีนเปลี่ยนการปกครองเป็นแบบคอมมิวนิสต์ ศาสนาขงจื๊อได้รับความกระทบกระเทือนมากในยุคนี้ บางครั้งทางการได้รณรงค์ให้กำจัดศาสนา โดยเฉพาะศาสนาขงจื๊อทางการถือว่าเป็นศัตรูหมายเลข 1 เพราะขงจื๊อสอนให้อนุรักษ์จารีตประเพณี และเน้นเรื่องความกตัญญูกตเวทีต่อผู้มีพระคุณ ศาสนิกชนศาสนาขงจื๊อไม่กล้าแสดงตนอย่างเปิดเผย เกรงมีภัยต่อตนเอง อิทธิพลของศาสนาขงจื๊อจึงลดลงตามลำดับ แต่ถึงอย่างนั้นในส่วนลึกของหัวใจ คนส่วนใหญ่ก็ยังนับถือศาสนาขงจื๊ออยู่ อิทธิพลของศาสนาขงจื๊อถึงจะเสื่อมไปจากแผ่นดินใหญ่ แต่ยังคงมีชีวิตอยู่ในประเทศจีนคณะชาติ เพราะรัฐบาลของประเทศจีนคณะชาติบนเกาะไต้หวัน ได้ให้เกียรติยกย่องขงจื๊อ เช่น พ.ศ. 2495 รัฐบาลได้เปลี่ยนวันครูแห่งชาติ จากวันที่ 17 สิงหาคม มาใช้วันเกิดของขงจื๊อ คือวันที่ 28 กันยายน แทน และเมื่อถึงวันนี้ทางการจะหยุดงาน 1 วัน เพื่อให้เกียรติต่อศาสดาของศาสนาขงจื๊อ นอกจากนี้ยังได้ให้เงินเดือนเป็นค่าครองชีพแก่ผู้สืบสกุลขงจื๊ออีกด้วย == 72 ศิษย์เอกขงจื๊อ == ชั่วชีวิตของขงจื๊อมีลูกศิษย์ทั้งสิ้นกว่าสามพันคน http://thai.cri.cn/1/2008/03/04/[email protected] China Radio International สถานีวิทยุ ซี.อาร์.ไอ. ภาคภาษาไทย ในจำนวนนี้มีลูกศิษย์เอก 72 คน จางสื่อ และ จินซื่อ เรียบเรีนงจาก "สื่อจี้" และ "หรุ้นอวี่" (ชุมนุมคติพจน์), ศรีวารี แปล, ''ระเบียงภาพ 72 ศิษย์ขงจื๊อ'', สำนักพิมพ์ธรรมชาติ, พ.ศ. 2534, 175 หน้า, ISBN 974-401-076-2 * เหยียน หุย (颜回, Yan Hui) * หมิ่น สุ่น (Min Sun) * หย่าน เกิง (Ran Geng) * หย่าน หยง (Ran Yong) * หย่าน ฉิว (Ran Qiu) * ตวนมู่ ซื่อ (Duanmu Ci) * จ้ง โหยว (仲由,Zhòngyóu) * จ่าย อวี๋ (Zai Yu) * เอี๋ยน เอี่ยน (Yan Yan) * ปู่ ซาง (Pu Shang) * จวนซุน ซือ (颛孙师,Zhuānsūn Shī) * เจิง ชาน (Zeng Shen) * ต้านไถ เมี่ยหมิง (Dantai Mieming) * ฟู่ ปู้ฉี (Fu Buji) * เอี๋ยน จี๋ (Yan Zu) * หยวน เซี่ยน (Yuan Xian) * กงเหยี่ย ฉาง (公冶长,Gōngyě Cháng) * หนานกง ควา (Nangong Kuo) * กงซี อาย (Gongxi Ai) * เจิง เตี่ยน (Zeng Dian) * เอี๋ยน อู๋หยาว (Yan Wuyao) * สูจ้ง หุ้ย (Shuzhung Hui) * ซาง ฉวี (Shang Zhu) * เกา ไฉ (Gao Chai) * ชีเตียว คาย (Qidiao Kai) * กงป๋อ เหลียว (Gongbo Liao) * ซือหม่า เกิง (Sima Geng) * ฝาน ซวี (Fan Xu) * โหย่ว ยั่ว (You Ruo) * กงซี ฉื้อ (Gongxi Chi) * อูหม่า ซือ (Wuma Shi) * เหลียง จาน (Liang Zhan) * เอี๋ยน ซิ่ง (Yan Xing) * หย่าน หยู (Ran Ru) * เฉา ซวี่ (Cao Xu) * ป๋อ เฉียน (Bo Qian) * กงซุน หลง (Gongsun Long) * ซี หยงเตี่ยน (Xi Yongdian) * หย่าน จี้ (Ran Ji) * กงจู่ จวี้จือ (Gongzu Gouzi) * ซือ จือชาง (Shi Zhichang) * ฉิน จู่ (Qin Zu) * ซีเตียว ตัว (Qidiao Chi) * เอี๋ยน เกา (Yan Gao) * ซีเตียว ถูฝู้ (Qidiao Dufu) * หย่าง ซื่อชื่อ (Zeng Sichi) * ซาง เจ๋อ (Shang Zhai) * สือ จั้ว (Shi Zuo) * เยิ่น ปู้ฉี (Ren Buji) * โห้ว ชู่ (Hou Chu) * ฉิน หย่าน (Qin Ran) * ฉิน ซาง (Qin Shang) * เซิน ต่าง (Shen Dang) * เอี๋ยน จือผู (Yan Zhipo) * หยง ฉี (Yan Zhi) * เซี่ยน เฉิง (Xian Chang) * จั่ว เหยินอิ่ง (Zuo Renying) * เจิ้ง กั๋ว (Zhang Guo) * ฉิน เฟย (Qin Fei) * เอี๋ยน ขว้าย (Yan Kuai) * ปู้ สูเฉิง (Bu Shusheng) * เยว่ เขอ (Yue Ke) * เหลียน เจี๋ย (Lian Jie) * ตี๋ เฮย (Di Hei) * ปาน ซวิ่น (Kui al. Bang Sun) * ขง จง (Kong Zhong) * กงซี เตี่ยน (Gongxi Dian) * จวี้ อ้าย * ฉิน เหลา * หลิน ฟ่าง (Lin Fang) * เฉิง ค่าง (Chan Kang) * เซิน เฉิง <!-- http://en.wikipedia.org/wiki/Disciples_of_Confucius Yong Qi, Zhu Yuan, Shen Chang, Shen Tang, Mu Pi, Zuo Qiuming, Yan He, Zhu al. Gou Jing-qiang, Han al. Zai-fu Hei, Jiao dan, Gong Jianding, Gongliang Ru, Gongxia Shou, Xian Dan, Yuan Kang, Qin Zhang, Gongxi Yuru --> == ดูเพิ่ม == * หลุน-อฺวี่ คัมภีร์พื้นฐานของสำนักปรัชญาขงจื๊อ * เม่งจื๊อ ศิษย์ของขงจื๊อ ผู้เชื่อว่าโดยธรรมชาติแล้ว มนุษย์ทุกคนมีพื้นฐานเป็นคนดีมาแต่กำเนิด * ซุนจื๊อ ศิษย์ของขงจื๊อ ผู้เชื่อว่าตามธรรมชาติแล้วมนุษย์ชั่วร้าย ซึ่งเกิดจากกิเลสอยากได้อยากมี == อ้างอิง == == แหล่งข้อมูลอื่น == * http://www.rta.mi.th/chukiat/story/khongjue.html ประวัติขงจื๊อ จากเว็บกองทัพบกไทย * http://www.manager.co.th/China/ViewNews.aspx?NewsID=4644559914469 ห้านักปราชญ์ซึ่งถือเป็นผู้นำทางความคิดในสมัยชุนชิวจั้นกว๋อได้แก่ เหลาจื่อ สวินจื่อ จวงจื่อ ม่อจื่อและขงจื่อ จากเว็บผู้จัดการ * * '''หนังสือ กระแสธารปรัชญาจีน ข้อโต้แย้งเรื่องธรรมชาติ อำนาจ และจารีต''', ''สุวรรณา สถาอานันท์'', สำนักพิมพ์แห่งจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย * '''หนังสือ ปรัชญาจีน''' , ''น้อย พงษ์สนิท'', ศูนย์หนังสือเชียงใหม่ * '''หนังสือ ปวงปรัชญาจีน''' , ''น้อย พงษ์สนิท'', ศูนย์หนังสือเชียงใหม่ หมวดหมู่:ขงจื๊อ| หมวดหมู่:ทฤษฎีการศึกษา หมวดหมู่:ลัทธิขงจื๊อ หมวดหมู่:บุคคลในศาสนา หมวดหมู่:นักปรัชญาชาวจีน หมวดหมู่:บุคคลในศตวรรษที่ 6 ก่อนคริสตกาล หมวดหมู่:บุคคลในศตวรรษที่ 5 ก่อนคริสตกาล หมวดหมู่:บุคคลในยุคราชวงศ์โจว หมวดหมู่:ศาสดา หมวดหมู่:นักปรัชญาในศตวรรษที่ 5 ก่อนคริสตกาล
ขงจื๊อ
ไฟล์:JSBach.jpg|thumb|250px|right|โยฮัน เซบัสทีอัน บัค, ปี ค.ศ. 1748 วาดโดย อีลิอาส ก็อตลอบ เฮาส์มันน์ (Elias Gottlob Haussmann) '''โยฮัน เซบัสทีอัน บัค''' () เป็นคีตกวีและนักออร์แกนชาวเยอรมัน เกิดเมื่อวันที่ 21 มีนาคม ค.ศ. 1685 ในครอบครัวนักดนตรี ที่เมืองไอเซอนัค บัคแต่งเพลงไว้มากมายโดยดั้งเดิมเป็นเพลงสำหรับใช้ในโบสถ์ เช่น "แพชชัน" บัคถึงแก่กรรมเมื่อวันที่ 28 กรกฎาคม ค.ศ. 1750 ที่เมืองไลพ์ซิช บัคเป็นนักประพันธ์ดนตรีสมัยบาโรก เขาสร้างดนตรีของเขาจนกลายเป็นเอกลักษณ์ของยุคสมัย บัคมีอิทธิพลอย่างสูงและยืนยาวต่อการพัฒนาดนตรีตะวันตก แม้แต่นักประพันธ์เพลงผู้ยิ่งใหญ่ เช่น ว็อล์ฟกัง อมาเดอุส โมทซาร์ท|โมทซาร์ท, ลูทวิช ฟัน เบทโฮเฟิน|เบทโฮเฟิน ยังยอมรับบัคในฐานะปรมาจารย์ งานของบัคโดดเด่นในทุกแง่มุม ด้วยความพิถีพิถันของบทเพลงที่เต็มไปด้วย ท่วงทำนอง เสียงประสาน หรือเทคนิคการสอดประสานกันของท่วงทำนองต่าง ๆ รูปแบบที่สมบูรณ์แบบ เทคนิคที่ฝึกฝนมาเป็นอย่างดี การศึกษาค้นคว้า แรงบันดาลใจอันเต็มเปี่ยม รวมทั้งปริมาณของบทเพลงที่แต่ง ทำให้งานของบัคหลุดจากวงจรทั่วไปของชีวิตการเป็นศิลปินที่ปกติแล้วจะเริ่มต้น เติบโตจนรุ่งโรจน์ถึงขีดสุด แล้วเสื่อมถอยไปในบั้นปลาย กล่าวคือไม่ว่าจะเป็นเพลงที่บัคได้ประพันธ์ไว้ทั้งในช่วงวัยเยาว์ ในช่วงหลังของชีวิตก็ล้วนแต่มีคุณภาพทัดเทียมกัน บัคเป็นคีตกวีที่มีอิทธิพลอย่างยิ่งต่อการพัฒนาศิลปะการเล่นเครื่องดนตรีประเภทคีย์บอร์ด เช่น แคลฟวิคอร์ด|คลาวิคอร์ด และ ฮาร์ปซิคอร์ด|ฮาร์พซิคอร์ด (harpsicord) โดยแต่เพลงประเภทพรีลูดและฟิวก์ (preludes and fugues) ไว้มากมาย โดยเฉพาะอย่างยิ่งชุมนุมบทเพลงพรีลูดและฟิวก์ในเว็ลเท็มเพอร์คลาเวียร์ (The Well-tempered Clavier) 2 เล่ม โดยเล่มแรกมี 24 เพลง และเล่มที่สองอีก 24 เพลง แต่บัคยังได้ประพันธ์เพลงพรีลูดสั้น ๆ ไว้อีกเป็นจำนวนมาก โดยยังได้รับความนิยมฝึกฝนและบรรเลงโดยนักเปียโนมาตลอดจวบจนปัจจุบัน == ประวัติ == === ไอเซอนัค === บัคถือกำเนิดในครอบครัวนักดนตรีที่ยึดอาชีพนักดนตรีประจำราชสำนัก ประจำเมืองและโบสถ์ในทือริงเงินมาหลายชั่วอายุ ซึ่งก็นับได้ว่าโยฮัน เซบัสทีอัน บัค เป็นรุ่นที่ห้าแล้ว หากจะนับกันตั้งแต่บรรพบุรุษที่บัครู้จัก นั่นคือนายเวียต บัค ผู้มีชีวิตในคริสต์ศตวรรษที่ 16 ในฐานะเจ้าของโรงโม่และนักดนตรีสมัครเล่นในประเทศฮังการี|ฮังการี ตั้งแต่บัคเกิด สมาชิกครอบครับบัคที่เล่นดนตรีมีจำนวนหลายสิบคน ทำให้ตระกูลบัคกลายเป็นครอบครัวนักดนตรีที่สำคัญและเป็นที่รู้จักมากที่สุดในประวัติศาสตร์ดนตรีตะวันตก บัคได้รับการศึกษาทางดนตรีจากบิดา คือ โยฮัน อัมโบรซิอุส นักไวโอลิน เมื่ออายุได้สิบปี เขาก็ต้องสูญเสียทั้งมารดาและบิดาในเวลาที่ห่างกันเพียงไม่กี่เดือน ทำให้เขาต้องอยู่ในความอุปการะของพี่ชายคนโต '''โยฮัน คริสท็อฟ บัค''' ผู้เป็นศิษย์ของโยฮัน พาเคลเบล และมีอาชีพเป็นนักเล่นออร์แกนในเมืองโอร์ดรุฟ ในขณะที่รับการศึกษาด้านดนตรีไปด้วย โยฮัน เซบัสทีอันได้แสดงให้เห็นความเป็นอัจฉริยะทางดนตรี รวมทั้งยังช่วยครอบครัวหาเงินโดยการเป็นนักร้องในวงขับร้องประสานเสียงของครอบครัว และยังชอบคัดลอกงานประพันธ์และศึกษาผลงานของนักประพันธ์อื่น ๆ ที่เขาสามารถพบหาได้อีกด้วยเช่นกันกับทุกคนที่ชื่นชอบนักดนตรีเอกของโลกอย่าง โยฮัน เซบัสทีอัน บัค === ลือเนอบวร์ค === ทรัพย์สินเงินทองของพี่ชายชองโยฮัน เซบัสทีอัน มีจำกัด อีกทั้งพี่ชายยังมีครอบครัวที่ต้องเลี้ยงดู ราวปี ค.ศ. 1700 โยฮัน เซบัสทีอัน ก็ได้รับการตอบรับให้เข้าเรียนที่โรงเรียนในโบสต์ (ลา มิคาเอลิสสกูล) ที่เมืองลูนเบิร์ก ซึ่งเป็นเมืองที่ตั้งอยู่ห่างออกไปทางเหนือราว 200 กิโลเมตร ซึ่งเขาต้องเดินทางด้วยเท้าไปเข้าเรียนที่นั่นพร้อมกับเพื่อนร่วมชั้นคนหนึ่ง นอกเหนือจากการเรียนดนตรีแล้ว เขายังได้ยังได้เรียนวาทศิลป์ ตรรกศาสตร์ ภาษาละติน ภาษากรีก และภาษาฝรั่งเศส เขายังได้ทำความรู้จักกับจอร์จ เบอห์ม นักดนตรีของ โจฮันเนส เคียร์ช และศิษย์ของ โยฮัน อาดัม เรนเคน นักเล่นออร์แกนคนดังของนครฮัมบวร์ค โยฮัน อะดัม เรนเคน|เรนเคนนี่เองที่เป็นคนสอนเขาเกี่ยวกับรูปแบบดนตรีของประเทศเยอรมนี|เยอรมนีตอนเหนือ ที่ลือเนบวร์ก เขายังได้รู้จักกับนักดนตรีชาวประเทศฝรั่งเศส|ฝรั่งเศสอพยพ โดยเฉพาะอย่างยิ่งโธมาส์ เดอ ลา เซลล์ ศิษย์ของฌ็อง-บาติสต์ ลูว์ลี|ลูว์ลี และด้วยการได้สัมผัสกับวัฒนธรรมทางดนตรีในอีกรูปแบบ เขาได้คัดลอกบทเพลงสำหรับออร์แกนของนิโกลาส์ เดอ กรินยี และเริ่มติดต่อทางจดหมายกับ ฟร็องซัวส์ คูเปอแรง บัคศึกษาและวิเคราะห์โน้ตแผ่นของนักดนตรีที่มีชื่อเสียงด้วยความละเอียดรอบคอบ ความสนอกสนใจและความอยากรู้อยากเห็นของเขามีมาก กระทั่งว่าเขายอมเดินเท้าไปหลายสิบกิโลเมตรเพื่อจะฟังการแสดงของนักดนตรีดัง เป็นต้นว่าจอร์จ โบห์ม โยฮัน อาดัม เรนเคน และ วินเซนต์ ลึบเบ็ค และแม้กระทั่ง ดีทริช บุกซ์เตฮูเด้ ผู้ซึ่งโด่งดังกว่า มินิกิปปิ === อาร์นชตัดท์ === ในปีค.ศ.1703 บัคได้กลายเป็นนักเล่นออร์แกนประจำเมืองอาร์นสตัดต์ เขาเริ่มมีชื่อเสียงอย่างรวดเร็วในฐานะนักดนตรีเอก และนักดนตรีที่เล่นสดได้โดยไม่ต้องดูโน้ต === มืลเฮาเซิน === ตั้งแต่ปี ค.ศ. 1707 ถึง ค.ศ. 1708 เขาได้เป็นนักเล่นออร์แกนประจำเมืองมืลเฮาเซิน บัคได้ประพันธ์เพลงคันตาตาบทแรกขึ้น ซึ่งเป็นบทนำก่อนที่เขาจะเริ่มประพันธ์บทเพลงทางศาสนาอันยิ่งใหญ่อลังการ และเขายังได้ประพันธ์บทเพลงสำหรับบรรเลงด้วยออร์แกนเพิ่มเติมด้วย อันเป็นผลงานที่ยืนยันถึงความอัจฉริยะ ความลึกซึ้ง และความงามอันบริสุทธิ์ของเขา ทำให้บัคกลายเป็นนักดนตรีที่ยิ่งใหญ่ที่สุดตลอดกาล ในบรรดาบทเพลงทางศาสนาแล้ว ตลอดชั่วชีวิตของบัค เขาได้ใช้เวลากับการประพันธ์เพลงคันตาตาร่วมห้าปี หรือกว่าสามร้อยชิ้น ในบรรดาบทเพลงราวห้าสิบชิ้นที่สูญหายไปนั้น ส่วนใหญ่เป็นเพลงที่ถูกประพันธ์ขึ้นในช่วงเวลาดังกล่าว === ไวมาร์ === ในระหว่างปี ค.ศ. 1708 ถึง ค.ศ. 1717 บัคดำรงตำแหน่งนักเล่นออร์แกน และนักไวโอลินเดี่ยวมือหนึ่ง ประจำวิหารส่วนตัวของดยุคแห่งไวมาร์ ทำให้เขามีทั้งออร์แกน เครื่องดนตรีและนักร้องประจำวงในครอบครอง ช่วงเวลาดังกล่าวเป็นช่วงเวลาแห่งการสร้างสรรค์ผลงานของบัคมากมาย ไม่ว่าจะเป็นเพลงบรรเลงด้วยออร์แกน คันตาต้า เพลงสำหรับฮาร์ปซิคอร์ด ที่ได้แรงบันดาลใจมาจากปรมาจารย์ทางดนตรีชาวประเทศอิตาลี|อิตาเลียนทั้งหลาย === เคอเทิน === ระหว่างปี ค.ศ.1717 ถึง ค.ศ.1723 เขาได้ตำรงตำแหน่งผู้ดูแลวิหารประจำราชสำนักของเจ้าชายอันฮัลท์-เคอเทิน เจ้าชายเป็นนักดนตรีและนักเล่นฮาร์ปซิคอร์ด ช่วงเวลาอันแสนสุขของการเติบโตในหน้าที่การงาน ได้เป็นแรงผลักดันให้เขาประพันธ์ผลงานที่ยิ่งใหญ่มากมาย สำหรับบรรเลงด้วย ลิวต์ (Lute) ฟลูต ไวโอลิน (โซนาตาและบทเพลงสำหรับเดี่ยวไวโอลิน) ฮาร์ปซิคอร์ด (หนังสือ ''เว็ลเท็มเปอร์คลาเวียร์'' เล่มที่สอง) เชลโล(สวีทสำหรับเดี่ยวเชลโล) และบทเพลงบรันเด็นเบอร์ก คอนแชร์โต้ หกบท === ไลพ์ซฺช === ระหว่างปี ค.ศ. 1725 ถึง ค.ศ. 1750 หรือเป็นระยะเวลากว่า 25 ปีที่บัคพำนักอยู่ที่เมืองไลพ์ซฺช บัคได้สืบทอดตำแหน่งผู้อำนวยการดนตรีของโบสถ์เซนต์โทมัส ในนิกายลูเธอรัน ต่อจากโยฮัน คูห์นาว เขาเป็นครูสอนดนตรีและภาษาละติน แต่ก็ยังต้องประพันธ์เพลงจำนวนมากให้กับโบสถ์ โดยมีบทเพลงคันตาตาทุกวันอาทิตย์และวันนักขัตฤกษ์ ในขณะดำรงตำแหน่งนี้ เขาได้ประพันธ์คันตาต้าไว้กว่า 126 บท แต่บทเพลงดังกล่าวมักจะไม่ได้รับการถ่ายทอดออกมาอย่างที่ควรเนื่องจากขาดแคลนเครื่องดนตรี และนักดนตรีที่มีฝีมือ บัคได้ใช้แนวทางเดิมในการประพันธ์บทเพลงใหม่ ๆ แต่ความเป็นอัจฉริยะ ความคิดสร้างสรรค์ และความฉลาดของเขาทำให้ผลงานทุกชิ้นมีเอกลักษณ์ และถูกนับเป็นหนึ่งในผลงานยอดเยี่ยมแห่งประวัติศาสตร์ดนตรีตะวันตก โดยเฉพาะ ''"เซนต์แมทธิวแพชชัน"'' ''"แมส ในบันไดเสียงบีไมเนอร์"'' ''"เว็ลเท็มเปอร์คลาเวียร์"'' ''"มิวสิกคัล ออฟเฟอริ่ง"'' ดนตรีของบัคหลุดพ้นจากรูปแบบทั่วไป โดยที่เขาได้ใช้ความสามารถของเขาอย่างเต็มพิกัด และถ่ายทอดออกมาเป็นบทเพลงจนถึงขีดสุดของความสมบูรณ์แบบ === มรดกทางดนตรี === เมื่อโยฮัน เซบัสทีอัน บัค ดนตรีบาโรกได้ถึงจุดสุดยอดและถึงกาลสิ้นสุดในเวลาอันรวดเร็ว หลังจากการเสียชีวิตของบัค ดนตรีของเขาถูกลืม เนื่องด้วยเพราะมันล้าสมัยไปแล้ว เช่นเดียวกับเทคนิคการสอดประสานกันของท่วงทำนองต่างๆที่เขาพัฒนาให้มันสมบูรณ์แบบอย่างหาใดเทียม บุตรชายที่เขาได้ฝึกสอนดนตรีไว้ ไม่ว่าจะเป็นวิลเฮ็ล์ม ฟรีดมานน์ บัค คาร์ล ฟิลลิป เอ็มมานูเอ็ล บัค โยฮัน คริสตอฟ ฟรีดริช บัค และ โยฮัน คริสเตียน บัค ได้รับถ่ายทอดพรสวรรค์บางส่วนจากบิดา และได้รับถ่ายทอดเทคนิคการเล่นจากบัค ก็ได้ทอดทิ้งแนวทางดนตรีของบิดาเพื่อไปสนใจกับแนวดนตรีที่ทันสมัยกว่าในที่สุด เช่นเดียวกับนักดนตรีร่วมสมัยเดียวกันกับบัค (เป็นต้นว่า เกออร์ก ฟิลลิป เทเลมันน์ ผู้มีอายุแก่กว่าบัคสี่ปี ก็ได้รับอิทธิพลจากดนตรีที่ทันสมัยกว่า) ปรากฏการณ์นิยมแนวดนตรีใหม่นี้ก็เกิดกับว็อล์ฟกัง อมาเดอุส โมทซาร์ท|โมทซาร์ทเช่นกัน จนกระทั่งวันหนึ่ง เมื่อบารอนฟาน สวีเทน ผู้หลงใหลในดนตรีบาโรกและมีห้องสมุดส่วนตัวสะสมบทเพลงบาโรกไว้เป็นจำนวนมาก ได้ให้โมทซาร์ทชมผลงานอันยิ่งใหญ่ของบัคบางส่วน ทำให้ความมีอคติต่อดนตรีบาโรกของโมทซาร์ทนั้นถูกทำลายไปสิ้น จนถึงขั้นไม่สามารถประพันธ์ดนตรีได้ตลอดช่วงระยะเวลาหนึ่ง เมื่อเขาสามารถยอมรับมรดกทางดนตรีของบัคได้แล้ว วิธีการประพันธ์ดนตรีของเขาก็เปลี่ยนไป ราวกับว่าบัคมาเติมเต็มรูปแบบทางดนตรีให้แก่เขา โดยที่ไม่ต้องละทิ้งรูปแบบส่วนตัวแต่อย่างใด ตัวอย่างผลงานของว็อล์ฟกัง อมาเดอุส โมทซาร์ท|โมทซาร์ทที่ได้รับอิทธิพลของบัคก็เช่น ''"เพลงสวดศพเรเควียม"'' ''"ซิมโฟนีจูปิเตอร์"'' ซึ่งท่อนที่สี่เป็นฟิวก์ห้าเสียง ที่ประพันธ์ขึ้นโดยใช้เทคนิคการสอดประสานกันของท่วงทำนองต่างๆ รวมทั้งบางส่วนของอุปรากรเรื่อง''"ขลุ่ยวิเศษ"'' ลูทวิช ฟัน เบทโฮเฟิน รู้จักบทเพลงสำหรับคลาวิคอร์ดของบัคเป็นอย่างดี จนสามารถบรรเลงบทเพลงส่วนใหญ่ได้ขึ้นใจ ตั้งแต่วัยเด็ก สำหรับประชาชนทั่วไปแล้ว ความเป็นอัจฉริยะของบัคไม่ได้เป็นที่รู้จักต่อสาธารณชน จนกระทั่งในคริสต์ศตวรรษที่ 19 อันเนื่องมาจากความพยายามของเฟลิกซ์ เม็นเดลโซห์น ผู้สืบทอดตำแหน่งผู้อำนวยการดนตรีที่โบสถ์เซนต์โธมัส แห่งเมืองไลพ์ซิช นับแต่นั้นเป็นต้นมา ผลงานของบัคที่ยืนยงคงกระพันต่อการเปลี่ยนแปลงของรสนิยมทางดนตรี ก็ได้กลายเป็นหลักอ้างอิงที่มิอาจหาผู้ใดเทียมทานได้ในบรรดาผลงานดนตรีตะวันตก ในช่วงคริสต์ทศวรรษที่ 30 ที่เมืองไลพ์ซิช คาร์ล สโตรป ได้คิดค้นวิธีบรรเลงบทเพลงของบัคในรูปแบบใหม่ โดยการใช้เครื่องดนตรีที่มีประสิทธิภาพมากกว่า และใช้วงขับร้องประสานเสียงในแบบที่ยืดหยุ่นกว่าที่บรรเลงและขับร้องกันในคริสต์ศตวรรษที่ 19 เขายังได้บรรเลงบทเพลงทางทฤษฎี เป็นต้นว่า ''อาร์ต ออฟฟิวก์'' (โดยใช้วงดุริยางค์ประกอบด้วย) ผลสัมฤทธิ์ของแนวทางใหม่นี้ได้เห็นเป็นรูปธรรมในคริสต์ทศวรรษที่ 50 โดยมีนักดนตรีอย่างกุสตาฟ เลออนฮาร์ทและบรรดาลูกศิษย์ลูกหาของเขา รวมถึงนิโคเลาส์ อาร์นองกูต์ โดยที่กุสตาฟ เลออนฮาร์ทและนิโคเลาส์ อาร์นองกูต์เป็นนักดนตรีคนแรกๆที่บันทึกเสียงบทเพลงคันตาต้าของบัคครบทุกบท แม้ว่าดนตรีของบัคจะถูกตีความในลักษณะอื่น เช่น แจ๊ส (บรรเลงโดยฌาค ลูสิเยร์(Jaques Loussier) หรือ เวนดี คาร์ลอส) บรรเลงโดยใช้เครื่องดนตรีประเภทอื่น หรือถูกดัดแปลงเป็นแจ๊ส มันก็ยังคงเอกลักษณ์เดิมไว้ ราวกับว่าโครงสร้างของบทเพลงที่โดดเด่นทำให้สิ่งอื่น ๆ กลายเป็นแค่ส่วนประกอบเท่านั้น มาร์เซล ดูเปรสามารถบรรเลงบทเพลงทุกบทของบัคด้วยออร์แกนได้อย่างขึ้นใจ เช่นเดียวกับเฮลมุท วาลคา นักเล่นออร์แกนชาวประเทศเยอรมนี|เยอรมัน ผู้ที่ตาบอดตั้งแต่เกิด แต่ก็ได้หัดเล่นเพลงของบัคโดยอาศัยการฟังอย่างตั้งอกตั้งใจ == แนวคิด == * « บัคเป็นคนประเภทที่เห็นคนอื่นๆเป็นเพียงเด็กน้อยในสายตาของเขา » โรเบิร์ต อเล็กซานเดอร์ ชูมันน์ * « หากไม่มีบัค เทววิทยาคงขาดเป้าหมาย การสร้างโลกของพระเจ้ากลายเป็นเพียงตำนาน และความว่างเปล่ากลายเป็นสิ่งที่ไม่อาจปฏิเสธได้», « หากมีใครสักคนที่เป็นหนี้บุญคุณบัคทุกอย่าง นั่นคงเป็นพระเจ้า », ซิโอร็อง, ''Syllogismes de l'amertume'' สำนักพิมพ์กัลลิมาร์ * « ดนตรีของบัคมีแนวโน้มจะกลายเป็นสิ่งมีชีวิต มีชีพจร และอารมณ์ความรู้สึก» ปิแอร์ วิดาล * « มีบัคก่อน...แล้วจึงมีคนอื่นๆตามมา » พาโบล คาซาลส์ * « ถึงแม้ข้าพเจ้าจะมีความรักในศิลปินคนอื่น – ไม่ได้รักลุดวิก ฟาน เบทโฮเฟิน|เบทโฮเฟิน และว็อล์ฟกัง อมาเดอุส โมทซาร์ท|โมทซาร์ทน้อยไปกว่ากัน – ข้าพเจ้าก็ไม่อาจเห็นด้วยกับคำกล่าวของคาซาลส์ได้ บัคโดดเด่นกว่าพวกเขาเหล่านั้นทั้งหมด » ปอล โทเทลลิเยร์ == บทประพันธ์ที่สำคัญ == * ''คันตาต้า BWV 4, BWV 6, BWV 78, BWV 106, BWV 140, BWV 136, BWV 198, BWV 146, BWV 177, BWV 127, BWV 35, BWV 51, BWV 56, BWV 82, BWV 201, BWV 205, BWV 208, BWV 211, BWV 212''. * '' BWV 245'' ; * ''เซนต์แมทธิวแพชชัน, BWV 244'' ; * ''แมส ในบันไดเสียงบีไมเนอร์, BWV 232'' ; * ''คริสต์มาส โอราทอริโอ, BWV 248'' ; * ''มักนิฟิคัท, BWV 243'' ; * ''โมเต็ต, BWV 225 ถึง BWV 231'' ; * ''ท็อคคาต้า และ ฟิวก์ ในบันไดเสียง ดีไมเนอร์ สำหรับออร์แกน, BWV 565'' และบทเพลงพรีลูด แอนด์ ฟิวก์อีกหลายบท เป็นต้นว่า BWV 542, 543, 544, 545, 582; * ''โกลด์แบร์ก วาริเอชั่น, BWV 988'' ; * ''พาร์ติต้าหกบทสำหรับคลาวิคอร์ด, BWV 825 ถึง BWV 830'' ; * ''อินเวนชั่นและซิมโฟนี, BWV 772 ถึง BWV 801'' ; ** ''อินเวนชั่น'', BWV 772 : สื่อ:Bach-invention-01.mid ** ''ซิมโฟนี'', BWV 787 : สื่อ:Bwv787.mid * ''เว็ลเท็มเพปร์คลาเวียร์ สองเล่ม, เพลงชื่อ พรีลูดแอนด์ฟิวก์ BWV 846 ถึง BWV 893'' ; ** ''พรีลูดหมายเลข 1'', BWV 846 : สื่อ:Wtk1-prelude1.midรวม48เพลง * พรีลูดแอนด์ฟิวก์ BWV 894 ถึง BWV 898'' ; * พรีลูดแนด์ฟูเก็ตต้า BWV 899 ถึง BWV 902 * ''โซนาต้า และพาร์ติต้าสำหรับเดี่ยวไวโอลิน, BWV 1001 ถึง BWV 1006'' ; * ''สวีทสำหรับเดี่ยวเชลโล, BWV 1007 ถึง BWV 1012'' ; ** ''สวีทสำหรับเดี่ยวเชลโล'', BWV 1008, โน้ตแผ่น : http://wikisource.org/wiki/Suite_pour_violoncelle%2C_II#Courante * ''โซนาต้าสำหรับฟลู้ต, BWV 1013, BWV 1020, BWV 1030 ถึง BWV 1035'' ; * ''บรันเด็นเบอร์ก คอนแชร์โต หกบท, BWV 1046 ถึง BWV 1051'' ; * ''คอนแชร์โตสำหรับไวโอลิน, BWV 1041, BWV 1042, BWV 1043'' ; * ''คอนแชร์โตสำหรับฮาร์ปซิคอร์ด, BWV 1052 ถึง BWV 1065'' ; * ''สวีทสำหรับออร์เคสตร้า, BWV 1066 ถึง BWV 1070'' ; * ''มิวสิกคัล ออฟเฟอริ่ง, BWV 1079'' ; * ''อาร์ต ออฟ ฟิวก์, BWV 1080''; ไฟล์:BWV1001-cropped.jpg|right|thumb|200px|''Violin Sonata No. 1 in G minor'' (BWV 1001) ในลายมือของบัค == การจัดเรียงผลงานการประพันธ์ == ผลงานดนตรีของบัคเรียงลำดับตัวเลขตามหลังคำว่า BWV ซึ่งเป็นตัวย่อของ Bach Werke Verzeichnis แปลว่า ''แคตตาล็อกผลงานของบัค'' ตีพิมพ์ขึ้นในปี ค.ศ. 1950 เรียบเรียงโดยโวล์ฟกัง ชมีเดอร์ (Wolfgang Schmieder). แคตตาล็อกนี้ไม่ได้ถูกเรียงลำดับตามเวลาที่ประพันธ์ แต่เรียงตามลักษณะของบทประพันธ์. เช่น BWV 1-224 เป็นผลงานคันตาต้า, BWV 225–48 เป็นผลงานสำหรับกลุ่มนักร้องประสานเสียง, BWV 250–524 เป็นผลงานขับร้องและดนตรีศาสนา, BWV 525–748 เป็นผลงานสำหรับออร์แกน, BWV 772–994 เป็นผลงานสำหรับเครื่องดนตรีคีย์บอร์ด, BWV 995–1000 เป็นผลงานสำหรับลิวท์, BWV 1001–40 เป็นผลงานดนตรีเชมเบอร์ (chamber music), BWV 1041–71 เป็นผลงานสำหรับวงดุริยางค์ และ BWV 1072–1126 เป็นผลงานแคนนอน และ ฟิวก์ ในขั้นตอนการจัดเรียงแคตตาล็อกนี้ ชมีเดอร์เรียบเรียงตาม Bach Gesellschaft Ausgabe ที่เป็นผลงานของบัคแบบครบถ้วนที่ตีพิมพ์ขึ้นในระหว่างปี ค.ศ. 1850-1905. == สื่อ == == งานเขียนที่กล่าวถึงบัค == * ''ชีวิตของโยฮัน เซบาสเทียน บัค'' โดย โยฮัน นิโคเลาส์ ฟอร์เคล : หนังสือเล่มแรกที่เล่าชีวประวัติของบัค (ค.ศ. 1802) == แหล่งข้อมูลอื่น == * http://www.aucx96.dsl.pipex.com/Lbsdb/LBSDB_OP_INTRO.html สมาคมบัค ลอนดอน * http://www.mutopiaproject.org/cgibin/make-table.cgi?Composer=BachJS Projet Mutopia : โน้ตแผ่น * http://www.jsbach.org/ www.jsbach.org เว็บไซต์เกี่ยวกับบัคที่มีเนื้อหาสมบูรณ์ (ภาษาอังกฤษ) * http://www.bach-cantatas.com/ เว็บไซต์เกี่ยวกับบัคที่มีเนื้อหาสมบูรณ์ (ภาษาอังกฤษ) * http://infopuq.uquebec.ca/~uss1010/catal/bacjs/bacjs.html แคตตาล็อกผลงานของบัคฉบับสมบูรณ์ (ภาษาฝรั่งเศส) * http://www.greatjsbach.net/BachScores.php3 โน้ตแผ่น : ผลงานของบัคฉบับสมบูรณ์ (ภาษาเกาหลี) * http://oregonbachfestival.com/digitalbach/bminor/ แมส ในบันไดเสียงบีไมเนอร์ (อะโดบี แฟลช) BWV 232 * http://oregonbachfestival.com/digitalbach/goldberg/ โกลด์แบร์ก วาริเอชั่น BWV 988 หมวดหมู่:คีตกวีชาวเยอรมัน|ยโฮันน์ ซเบาสเทียน บัค หมวดหมู่:นักดนตรีคลาสสิก|ยโฮันน์ ซเบาสเทียน บัค หมวดหมู่:นักออร์แกน หมวดหมู่:บุคคลจากไอเซอนัค
โยฮัน เซบัสทีอัน บัค
Infobox person | honorific_prefix = Mahātmā|มหาตมา | name = คานธี | other_names = บาปู (Bapu) | image = Mahatma-Gandhi, studio, 1931.jpg | caption = คานธี ภาพถ่ายปี 1931 | citizenship = | native_name = | native_name_lang = | birth_name = โมหนทาส กรมจันท์ คานธี | birth_date = | birth_place = Porbandar|โปร์บันดาร์ Porbandar State|รัฐโปร์บันดาร์ Kathiawar Agency|เอเยนซีกาฐิยาวาร British Raj|อินเดียในปกครองอังกฤษ | death_date = | death_place = นิวเดลี Dominion of India|โดมิเนียนอินเดีย | death_cause = Assassination of Mahatma Gandhi|ถูกลอบสังหาร (บาดแผลอาวุธปืน) | monuments = | module = | known_for = | notable_works = ''The Story of My Experiments with Truth|ข้าพเจ้าทดลองความจริง'' | height_m = | party = Indian National Congress|คองเกรสแห่งชาติอินเดีย (1920–1934) | movement = Indian independence movement|ขบวนการเอกราชอินเดีย | alma_mater = ubl|Samaldas Arts College|วิทยาลัยศิลปะสมัลทาส|University College London|ยูนิเวอร์ซิตีคอลเลจลอนดอนCity Law School|วิทยาลัยนิติศาสตร์อินส์ออฟคอร์ต | occupation = | years_active = 1893–1948 | era = British Raj|บริติชราช | spouse = | children = | mother = Putlibai Gandhi|ปุตลีบาอี คานธี | father = Karamchand Gandhi|กรมจันท์ คานธี | relatives = ดูเพิ่มที่ Family of Mahatma Gandhi|ครอบครัวของมหาตมา คานธีC. Rajagopalachari|ซี ราชโคปาลจารี (พ่อตาของเทวทาส) | awards = Time Person of the Year|บุคคลแห่งปีของ ''ไทม์'' (1930) | signature = Mohandas K. Gandhi signature.svg | signature_alt = Signature of Gandhi | module2 = '''โมหนทาส กรมจันท์ คานธี'''#tag:ref|Pronounced variously ,http://dictionary.reference.com/browse/gandhi "Gandhi". ''Random House Webster's Unabridged Dictionary''. (ไทยปรับรูป: ''โมหะนะทาสะ กะระมะจันทะ คานธี'', อักษรโรมัน: Mohandas Karamchand Gandhi, |group=pron, 2 กันยายน 186930 มกราคม 1948) เป็นนักกฎหมาย, Anti-colonial nationalism|นักชาตินิยมต้านลัทธิอาณานิคม และ Political ethics|นักจริยธรรมการเมืองชาวอินเดีย ผู้นำเอาหลักnonviolent resistance|การต่อต้านโดยสันติวิธีมาใช้นำพาIndian independence movement|ขบวนการต่อสู้เพื่อเอกราชจากBritish Raj|เจ้าอาณานิคมอังกฤษสำเร็จ สันติวิธีของคานธีมีอิทธิพลต่อCivil rights movements|ขบวนการสิทธิพลเมืองและเสรีภาพทั่วโลก คำนำหน้านาม '''มหาตมา''' (Mahātmā) เพื่อให้เกียรติ เริ่มนำมาใช้ในUnion of South Africa|แอฟริกาใต้ในปี 1914 และปัจจุบันใช้นำหน้านามของคานธีอยู่ทั่วไปจนถึงปัจจุบัน คานธีเกิดและเติบโตในครอบครัวชาวฮินดูในชายฝั่งของคุชราต และเข้ารับการศึกษาด้านนิติศาสตร์ที่Inner Temple|อินเนอร์เทมเพิล ลอนดอน ก่อนจะCall to the bar|ได้รับประสาทปริญญาเนติบัณฑิตด้วยวัย 22 เมื่อเดือนมิถุนายน 1891 หลังสองปีที่ไม่แน่นอนในอินเดียที่เขาไม่ประสบความสำเร็จในการว่าความเท่าไร เขาได้ย้ายไปยังแอฟริกาใต้ในปี 1893 เพื่อว่าความให้กับพ่อค้าชาวอินเดีย ก่อนที่จะอาศัยอยู่ที่นั่นนาน 21 ปี ระหว่างนี้เขาได้มีครอบครัวและเริ่มนำขบวนการต่อสู้โดยสันติวิธีเพื่อเรียกร้องสิทธิพลเมือง ในปี 1915 เมื่อวัย 45 เขาเดินทางกลับอินเดียและได้นำการประท้วงโดยทาส เกษตรกร และคนงานในเมือง เพื่อประท้วงต่อภาษีที่ดินที่สูงและการกดขี่ เขาเริ่มต้นนำIndian National Congress|คองเกรสแห่งชาติอินเดียในปี 1921 และเริ่มต้นนำขบวนการทั่วประเทศในการแก้ไขความยากจน ขยายสิทธิสตรี สร้างสัมพันธไมตรีระหว่างศาสนาและกลุ่มชาติพันธุ์ ยกเลิกuntouchability|สถานะอันแตะต้องไม่ได้ และที่สำคัญที่สุด คือการตั้ง ''swaraj|สวราช'' หรือการปกครองตนเอง คานธีได้เริ่มสวม ''dhoti|โธตี'' สั้น ที่ทอมาจากด้ายCharkha (spinning wheel)|ปั่นมือ เป็นสัญลักษณ์ในการแทนตนสำหรับคนยากไร้ในชนบทของอินเดีย เขาเข้าอยู่อาศัยในSabarmati Ashram|ชุมชนพึ่งพาตนเอง, กินอาหารเรียบง่าย และก่อการList of fasts undertaken by Mahatma Gandhi|อดอาหารยาวนาน เพื่อทั้งเป็นการสำรวจจิตใจตนเองและเป็นการประท้วงความอยุติธรรม คานธีได้นำพาแนวคิดชาตินิยมต้านเจ้าอาณานิคมอังกฤษมาสู่สามัญชนชาวอินเดีย และนำขบวนการต่อต้านSalt tax#Impacted regions|ภาษีเกลือผ่านการSalt March|เดินขบวนเกลือระยะทาง ในปี 1930 พร้อมทั้งเรียกร้องให้Quit India Movement|อังกฤษออกจากอินเดียในปี 1942 คานธีเคยถูกจับขังหลายครั้งทั้งในแอฟริกาใต้และอินเดีย ทัศนคติของคานธีต่ออินเดียในฐานะรัฐเอกราชมีรากฐานบนreligious pluralism|ความเป็นพหุนิยมทางศาสนา แต่ฐานคิดนี้ถูกสั้นคลอนในทศวรรษ 1940s หลังขบวนการชาตินิยมมุสลิมได้เรียกร้องการตั้งดินแดนแยกสำหรับชาวมุสลิใภายในเขตของบริติชอินเดีย ในเดือนสิงหาคม 1947 อินเดียได้รับเอกราชจากอังกฤษและpartition of India|ถูกตัดแบ่งเป็นสองdominion|โดมิเนียน ได้แก่Dominion of India|อินเดียที่มีฮินดูเป็นหลัก และ Dominion of Pakistan|ปากีสถานที่มีมุสลิมเป็นหลัก ระหว่างที่ชาวฮินดู มุสลิม สิกข์ จำนวนมากทำการโยกย้ายถิ่นฐานไปยังดินแดนใหม่ ได้เกิดความรุนแรงระหว่างศาสนาขึ้นจำนวนมาก โดยเฉพาะในภูมิภาคปัญจาบและBengal|เบงกอล คานธีไม่ได้ปรากฏตัวในIndependence Day (India)|การเฉลิมฉลองเอกราชอย่างเป็นทางการ แต่กลับเดินทางไปยังพื้นที่ที่เกิดความรุนแรงเหล่านี้เพื่อพยายามแก้ไขสถานการณ์ เป็นเวลาหลายเดือนนับจากนั้นที่คานธีกระทำhunger strike|การอดอาหารประท้วงจำนวนมากเพื่อเรียกร้องให้หยุดความรุนแรงทางศาสนา โดยครั้งสุดท้ายมีขึ้นในเดลีเมื่อ 12 มกราคม 1948 เวลานั้น คานธีมีอายุ 78 ปี ในเวลานั้น มีความเชื่อแพร่กระจายไปทั่วว่าคานธีมีความแน่วแน่มากเกินในการปกป้องทั้งมุสลิมในอินเดียและปากีสถาน ซึ่งนำไปสู่Assassination of Mahatma Gandhi|การลอบสังหารคานธีโดยสมาชิกกองกำลังHindu nationalism|ชาตินิยมฮินดู Nathuram Godse|นถุราม โคทเส จากปูเณ คานธีถูกลอบสังหารด้วยปืนสามนัดเข้าที่อกและเสียชีวิตจากบาดแผลกระสุนปืนระหว่างการพบปะสวดภาวนาระหว่างศาสนาในเดลีเมื่อวันที่ 30 มกราคม 1948 วันคล้ายวันเกิดของคานธี ซึ่งตรงกับวันที่ 2 ตุลาคม ได้รับการเฉลิมฉลองเป็นGandhi Jayanti|วันคานธีชยันตี ซึ่งเป็นPublic holidays in India|วันหยุดราชการของอินเดีย และในระดับนานาชาติถือให้วันนี้เป็นInternational Day of Non-Violence|วันแห่งสันติวิธีนานาชาติ คานธีได้รับการยกย่องให้เป็นFather of the Nation|บิดาแห่งรัฐอินเดียยุคหลังอาณานิคม หลังการเสียชีวิต คานธีได้มักรับการเรียกขานว่า ''บาปู'' (Bapu; Gujarati language|ภาษาคุชราต แปลว่า "พ่อ" คล้ายคำว่า "ปะป๊า" Quote: "With love, Yours, Bapu (You closed with the term of endearment used by your close friends, the term you used with all the movement leaders, roughly meaning 'Papa.'" Another letter written in 1940 shows similar tenderness and caring. Quote: "...&nbsp;his niece Manu, who, like others called this immortal Gandhi 'Bapu,' meaning not 'father,' but the familiar, 'daddy.'" (p. 210)) == หมายเหตุ == == อ้างอิง == ===บรรณานุกรม=== :'''หนังสือและสิ่งพิมพ์''' * Ahmed, Talat (2018). ''Mohandas Gandhi: Experiments in Civil Disobedience''. . * (see Bapu (book)|book article) * * Brown, Judith M. (2004). "Gandhi, Mohandas Karamchand Mahatma Gandhi (1869–1948)", ''Oxford Dictionary of National Biography,'' Oxford University Press. * Brown, Judith M., and Anthony Parel, eds. ''The Cambridge Companion to Gandhi'' (2012); 14 essays by scholars * * * * Louis Fischer. ''The Life of Mahatma Gandhi'' (1957) https://archive.org/details/lifeofmahatmagan00loui online * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * ; short biography for children * :'''บทความวิชาการ''' * Danielson, Leilah C. In My Extremity I Turned to Gandhi': American Pacifists, Christianity, and Gandhian Nonviolence, 1915–1941". ''Church History'' 72.2 (2003): 361–388. * Du Toit, Brian M. "The Mahatma Gandhi and South Africa." ''Journal of Modern African Studies'' 34#4 (1996): 643–660. . * Gokhale, B. G. "Gandhi and the British Empire," ''History Today'' (Nov 1969), 19#11 pp 744–751 online. * Juergensmeyer, Mark. "The Gandhi Revival – A Review Article." ''The Journal of Asian Studies'' 43#2 (Feb. 1984), pp.&nbsp;293–298. * Kishwar, Madhu. "Gandhi on Women." ''Economic and Political Weekly'' 20, no. 41 (1985): 1753–758. . * Murthy, C. S. H. N., Oinam Bedajit Meitei, and Dapkupar Tariang. "The Tale Of Gandhi Through The Lens: An Inter-Textual Analytical Study Of Three Major Films-Gandhi, The Making Of The Mahatma, And Gandhi, My Father." ''CINEJ Cinema Journal'' 2.2 (2013): 4–37. https://cinej.pitt.edu/ojs/index.php/cinej/article/download/66/239 online * Power, Paul F. "Toward a Revaluation of Gandhi's Political Thought." ''Western Political Quarterly'' 16.1 (1963): 99–108 https://journals.sagepub.com/doi/abs/10.1177/106591296301600107?journalCode=prqa excerpt. * Rudolph, Lloyd I. "Gandhi in the Mind of America." ''Economic and Political Weekly'' 45, no. 47 (2010): 23–26. . :'''แหล่งข้อมูลปฐมภูมิ''' * * * * * * * (100 volumes). Free online access from Gandhiserve. * * * * * * * * หมวดหมู่:ผู้นำ หมวดหมู่:การอดอาหาร หมวดหมู่:ชาวอินเดียที่ถูกลอบสังหาร หมวดหมู่:นักการเมืองอินเดีย หมวดหมู่:นักเขียนชาวอินเดีย หมวดหมู่:ชาวอินเดียที่นับถือศาสนาฮินดู หมวดหมู่:บุคคลจากรัฐคุชราต หมวดหมู่:ชาวคุชราต หมวดหมู่:เสียชีวิตจากอาวุธปืน หมวดหมู่:ผู้รอดชีวิตจากการลอบสังหาร หมวดหมู่:ผู้เขียนอัตชีวประวัติชาวอินเดีย หมวดหมู่:บุคคลที่เสียชีวิตในเดลี หมวดหมู่:นักเคลื่อนไหวเพื่อเอกราชของอินเดีย
มหาตมา คานธี
ไฟล์:Sadako Sasaki2.jpg|thumb|140px|ซาดาโกะ เมื่ออายุ 12 ปี '''ซาดาโกะ ซาซากิ''' (; 7 มกราคม 2486 – 25 ตุลาคม 2498) เป็นเด็กหญิงชาวญี่ปุ่นที่อาศัยอยู่ใกล้กับสะพานมิซาสะในจังหวัดฮิโรชิมะ ประเทศญี่ปุ่น ในขณะที่การทิ้งระเบิดนิวเคลียร์ที่ฮิโรชิมะและนางาซากิ|ระเบิดนิวเคลียร์ถูกทิ้งลงที่ฮิโรชิมะ เมื่อวันที่ 6 สิงหาคม พ.ศ. 2488 เธอมีอายุเพียงสองปีเท่านั้น จากเหตุการณ์นี้ส่งผลให้มีผู้เสียชีวิตมากมาย แต่ตัวเธอนั้น "รอดชีวิต" ซาดาโกะเป็นเด็กแข็งแรงอีกทั้งเป็นนักกีฬา อย่างไรก็ดีในปี พ.ศ. 2497 เมื่อมีอายุได้ 11 ปี ขณะกำลังซ้อมวิ่ง เธอรู้สึกมึนหัวแล้วล้มลง แพทย์ตรวจพบว่าเป็นโรคมะเร็งเม็ดเลือดขาว ซึ่งเป็นหนึ่งในผลสืบเนื่องจากระเบิดนิวเคลียร์ เพื่อนของซาดาโกะได้เล่าให้เธอฟังเกี่ยวกับตำนานที่ว่า ถ้าใครพับนกกระดาษได้ครบหนึ่งพันตัว จะได้สิ่งที่ตนต้องการ ซาดาโกะหวังว่านี่อาจช่วยให้เธอหายป่วยและกับมาวิ่งได้อีกครั้ง เธอใช้เวลา 14 เดือนในโรงพยาบาล และพับนกมากกว่า 1,300 ตัว ก่อนที่จะเสียชีวิตลงด้วยอายุเพียง 12 ปี (ในเรื่องเล่าที่ค่อนข้างแพร่หลายกล่าวว่าเธอพับนกได้แค่ 644 ตัวก่อนจะเสียชีวิต และเพื่อนของเธอพับนกให้เธอจนครบหนึ่งพันตัว และฝังนกเหล่านั้นพร้อมกับร่างของเธอ) ปัจจุบันที่ฐานอนุสาวรีย์ของเธอในบริเวณอนุสรณ์สถานสันติภาพ ฮิโรชิมะ ผู้คนจากทั่วโลกยังคงแวะเวียน นำพวงมาลัยนกกระเรียนกระดาษมาวางเพื่อระลึกถึงเธอ ผู้ซึ่งเป็นหนึ่งในความสูญเสียที่เกิดขึ้นจากสงคราม == แหล่งข้อมูลอื่น == * http://www.mykku.net/viewq.php?read=1&qid=371&n_answer=8 ซาดาโกะกับนกกระเรียนพันตัว : ตำนานนกกระเรียนพันตัว * http://www.thaimung.net/tricks/webboard/00784.html ตำนานพับนกที่โลกร่ำไห้ ซาดาโกะ กระเรียนพันตัว * http://www.japankiku.com/tour/IIwarsadako.html Japankiku หมวดหมู่:บุคคลจากจังหวัดฮิโรชิมะ หมวดหมู่:เสียชีวิตจากมะเร็งเม็ดเลือดขาว
ซาดาโกะ ซาซากิ
ไฟล์:Lao Tzu - Project Gutenberg eText 15250.jpg|thumb|250px|เล่าจื๊อ, จาก ''ไมท์แอนด์ลีเจนส์ออฟไชน่า'', ค.ศ. 1922 โดย อี.ที.ซี. เวอร์เนอร์ '''เล่าจื๊อ''' (; ) นักปรัชญาชาวจีนที่มีชื่อเสียงที่สุดท่านหนึ่ง เชื่อกันว่ามีชีวิตอยู่ในช่วงศตวรรษที่ 6 ก่อนคริสต์ศักราช ในช่วงของสงครามปรัชญา และสงครามการเมืองยุคชุนชิว เล่าจื๊อได้เขียนตำราอันเป็นแบบแผนในทางเต๋า นั่นคือ "เต้าเต๋อจิง" (道德經) ซึ่งเป็นวรรณกรรมทางลัทธิเต๋า|ศาสนาเต๋าที่ยังคงตกทอดมาถึงยุคปัจจุบันนี้ เล่าจื๊อเป็นนักปราชญ์ที่เชี่ยวชาญทางเต๋า ประวัติศาสตร์ ภูมิศาสตร์ ดาราศาสตร์ == ประวัติ == ตามหลักฐานทางประวัติศาสตร์ เรารู้จักเล่าจื๊อ (เหลาจื่อ) น้อยมาก แต่มีพงศาวดารจีนหลายชิ้นที่กล่าวถึงเล่าจื๊อ ในฐานะที่เป็นผู้แต่งคัมภีร์ ''เต๋าเต็กเก็ง หรือ เต้าเต๋อจิง'' ซึ่งเนื้อหาในคัมภีร์นี้ มีความสำคัญกับวัฒนธรรมจีนในรุ่นต่อๆมาอย่างมาก ถือได้ว่าเทียบเท่าได้กับ ขงจื๊อ ตามพงศาวดารระบุไว้ว่า เล่าจื๊อ เกิดในแคว้นขู่ (苦縣 Kǔ Xiàn) ซึ่งในปัจจุบันคือบริเวณ อำเภอลู่อี้ (鹿邑) ของมณฑลเหอหนาน บางตำนานกล่าวไว้ว่าเล่าจื๊อเมื่อเกิดมามีผมสีขาว และอยู่ในครรภ์มารดานานถึง 8 ทศวรรษ หรือ 80 ปี ชื่อของเล่าจื๊อแปลโดยนัยได้ 2 แบบว่า "อาจารย์ผู้อาวุโส" หรือ "เด็กผู้อาวุโส" เกิดที่หมู่บ้านชีเหยินลี อำเภอขู่เสี้ยน แคว้นฉู่ เมื่อวันที่ 15 เดือนยี่ ก่อน ค.ศ.ราว 576 ปี (ก่อน พ.ศ. 33 ปี) จากพงศาวดารของซือหม่า เชียน กล่าวว่า เล่าจื๊อมีอายุมากกว่าขงจื๊อ แต่อยู่ในยุคสมัยเดียวกัน และเคยได้พบปะเสวนากัน เล่าจื๊อได้ทำงานในราชวงศ์โจว ขงจื๊อและเล่าจื๊อได้มาพบเจอโดยบังเอิญกันในแคว้นโจว (ปัจจุบันคือแถบเมืองลั่วหยาง) โดยขงจื๊อได้มาค้นหาตำราในห้องสมุด จากเรื่องเล่านี้ ทั้งสองได้แลกเปลี่ยนทรรศนะคติความเห็นในหลาย ๆ ด้าน เป็นเวลาหลายเดือน หลังจากการเสวนาในครั้งนี้ ขงจื๊อกล่าวว่า "การได้เสวนากับท่านเล่าจื๊อ ถือว่าเป็นการศึกษาที่ล้ำลึก และดีเยี่ยมกว่าหนังสือในห้องสมุดเสียอีก" == ผลงาน == ผลงานที่สำคัญที่สุดของเล่าจื๊อคือ "คัมภีร์เต๋าเต็กเก็ง หรือ เต้าเต๋อจิง" เป็นคัมภีร์ที่มีอักษรจีน 5,000 อักษร ซึ่งมีอิทธิพลต่อวัฒนธรรมของประเทศจีนอย่างมาก โดยภายในคัมภีร์นั้น มีเนื้อหาในด้านปรัชญาบุคคล ความกลมกลืนต่อการใช้ชีวิตกับธรรมชาติ จนไปถึงปรัชญาการเมือง จากการตีความ คำว่า "เต๋า" ในคัมภีร์ มักจะหมายถึง ''มรรค'' หรือ หนทาง (The way) หรือ ธรรม ซึ่งมีความหมายกว้าง ๆ และมักตีความหมายในแนวเป็นไปตามธรรมชาติ การกระทำที่สอดคล้องกับวิถีแห่งเต๋าใด ๆ จะสามารถบรรลุมรรคผลได้โดยง่าย เล่าจื๊อเชื่อว่า ควรหลีกเลี่ยงความรุนแรงต่าง ๆ เท่าที่จะเป็นไปได้ ส่วนคำว่า "เต็ก หรือ เต๋อ" นั้นหมายถึง "คุณธรรม" คัมภีร์นี้แบ่งออกเป็น 81 บทด้วยกัน ถึงแม้ว่าเล่าจื๊อจะไม่ได้ปลูกฝังวัฒนธรรมหยั่งลึกได้เทียบเท่ากับ ขงจื๊อ ในอารยธรรมจีน แต่ท่านก็ยังเป็นที่เคารพนับถือโดยทั่วไป แม้แต่ขงจื๊อยังเรียกท่านว่าอาจารย์ทั้งแนวความคิดและการปฏิบัติตามหนทางแห่งเต๋า == อิทธิพลต่อปัญญาชนรุ่นหลัง == ผู้ติดตามเล่าจื้อที่มีชื่อเสียงที่สุดคือจวงจื๊อ (Zhuang Zi) ได้เขียนตำราที่มีอิทธิพลต่อวงการวรรณกรรมของจีนมาก โดยให้ข้อคิดเกี่ยวกับ ปัจเจกนิยม, วิมุตติ และ ความปราศจากกังวล == อ้างอิง == * Ariel, Yoav, and Gil Raz. “Anaphors or Cataphors? A Discussion of the Two qi 其 Graphs in the First Chapter of the Daodejing.” PEW 60.3 (2010): 391–421. * Bellamy, James A.B. ''Some Proposed Emendations to the Text of the Koran,'' The Journal of the American Oriental Society 113.4 (1993), citing work by Aad Vervoorn * * * * * * * * *Komjathy, Louis. ''Handbooks for Daoist Practice''. 10 vols. Hong Kong: Yuen Yuen Institute, 2008. * *Long, Roderick T. ''Austro-Libertarian Themes in Early Confucianism'', The Journal of Libertarian Studies Vol XVII No 3 (Summer 2003), pp.&nbsp;35–62. * * * * * * * * Rothbard, Murray N. ''The Ancient Chinese Libertarian Tradition'', Ludwig von Mises Institute (2005).http://www.mises.org/story/1967 * Rothbard, Murray N. ''Concepts in the Role of Intellectuals in Social Change Towards Laissez Faire'', The Journal of Libertarian Studies Vol IX No 2 (Fall 1990), pp.&nbsp;43–67. * * * * == แหล่งข้อมูลอื่น == * * http://plato.stanford.edu/entries/laozi/ Stanford Encyclopedia of Philosophy: Laozi * http://www.iep.utm.edu/l/laozi.htm Internet Encyclopedia of Philosophy: Laozi * http://www.tao-te-king.org Lǎozǐ Dàodéjīng Chinese + English + German, verbatim + analogous * http://www.seeraa.com/china-spirituality/laozi.html China Spirituality of Seeraa: The Biography of Lao Zi หมวดหมู่:ลัทธิเต๋า หมวดหมู่:ศาสดา หมวดหมู่:นักปรัชญาชาวจีน หมวดหมู่:บุคคลในศตวรรษที่ 4 ก่อนคริสตกาล หมวดหมู่:นักปรัชญาในศตวรรษที่ 4 ก่อนคริสตกาล หมวดหมู่:บุคคลในยุคราชวงศ์โจว
เล่าจื๊อ
กล่องข้อมูล นักการเมือง | image = Kofi Annan.jpg | imagesize = 200px | order = เลขาธิการสหประชาชาติคนที่ 7 | term_start = 1 มกราคม ค.ศ. 1997 | term_end = 31 ธันวาคม ค.ศ. 2006 | predecessor = บุฏรุส บุฏรุส-ฆอลี | successor = พัน กีมุน | birth_date = 8 เมษายน ค.ศ. 1938 | birth_place = คูมาซี, บริติชโกลด์โคสต์ | alma_mater =มหาวิทยาลัยวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี กึนวาเม อึนกรูมาห์วิทยาลัยมาคาเลสเตอร์สถาบันบัณฑิตนานาชาติและการพัฒนาการศึกษาสถาบันเทคโนโลยีแมสซาชูเซตส์ | death_date = 18 สิงหาคม ค.ศ. 2018 (อายุ 80 ปี) | death_place = แบร์น สวิตเซอร์แลนด์ | nationality = กานา | spouse = นานี มาเรีย ลาเกอร์เกรน | children = | occupation = นักการทูต | party = | religion = โปรเตสแตนต์|คริสต์นิกายโปรเตสแตนต์ | vicepresident = | signature = Kofi Annan signature.svg | '''โคฟี แอนนัน''' (; 8 เมษายน ค.ศ. 1938 – 18 สิงหาคม ค.ศ. 2018) เป็นนักการทูตชาวประเทศกานา|กานา และเป็นอดีตเลขาธิการองค์การสหประชาชาติลำดับที่ 7 โดยรับตำแหน่งเมื่อวันที่ 1 มกราคม ค.ศ. 1997 และหมดวาระเมื่อวันที่ 31 ธันวาคม ค.ศ. 2006 โคฟี แอนนัน เคยได้รับรางวัลโนเบลสาขาสันติภาพเมื่อปี ค.ศ. 2001 ด้วยhttps://www.nobelprize.org/prizes/peace/2001/summary/|title=The Nobel Peace Prize 2001|website=NobelPrize.org|publisher=Nobel Media AB 2018|accessdate=19 August 2018 == อ้างอิง == หมวดหมู่:เลขาธิการสหประชาชาติ หมวดหมู่:ผู้ได้รับรางวัลโนเบลสาขาสันติภาพ หมวดหมู่:นักการทูตชาวกานา หมวดหมู่:ศิษย์เก่าจากสถาบันเทคโนโลยีแมสซาชูเซตส์ หมวดหมู่:บุคคลจากคูมาซี
โคฟี แอนนัน
กล่องข้อมูล ผู้ดำรงตำแหน่ง | name = จอร์จ ดับเบิลยู. บุช | image = George-W-Bush.jpeg | imagesize = | smallimage = | caption = | order = ประธานาธิบดีสหรัฐ คนที่ 43 | term_start = 20 มกราคม ค.ศ. 2001 | term_end = 20 มกราคม ค.ศ. 2009() | vicepresident = ดิก ชีนีย์ | viceprimeminister = | deputy = | lieutenant = | president = | primeminister = | predecessor = บิล คลินตัน | successor = บารัก โอบามา | order2 = ผู้ว่าการรัฐเท็กซัส คนที่ 46 | term_start2 = 22 มกราคม ค.ศ. 1995 | term_end2 = 14 ธันวาคม ค.ศ. 2000() | vicepresident2 = | viceprimeminister2 = | deputy2 = | lieutenant2 = บ็อบ บุลล็อก (1995–1999) ริก เพอร์รี (1999–2000) | president2 = | primeminister2 = | predecessor2 = แอนน์ ริชาร์ด | successor2 = ริก เพอร์รี | birth_date = | birth_place = นิวเฮเวน รัฐคอนเนทิคัต สหรัฐ | death_date = | death_place = | constituency = | party = พรรคริพับลิกัน (สหรัฐ)|ริพับลิกัน | spouse = ลอรา บุช | profession = | religion = United Methodist Church | signature = GeorgeWBush Signature.svg | footnotes = | native_name = เรืออากาศโท '''จอร์จ วอล์กเกอร์ บุช''' (; เกิด 6 กรกฎาคม ค.ศ. 1946) เป็นประธานาธิบดีสหรัฐคนที่ 43 สังกัดพรรครีพับลิกัน เขาเกิดในตระกูลบุชซึ่งเป็นตระกูลนักการเมืองตระกูลใหญ่ของสหรัฐ โดยบิดาของเขาคือ จอร์จ เอช. ดับเบิลยู. บุช ประธานาธิบดีคนที่ 41 และน้องชายเขา เจบ บุช เป็นอดีตผู้ว่าการรัฐฟลอริดา ก่อนเริ่มเล่นการเมือง บุช เคยทำธุรกิจบ่อน้ำมัน และเป็นเจ้าของทีมเบสบอล เท็กซัส เรนเจอร์ (Texas Rangers) เขาเริ่มเล่นการเมืองระดับท้องถิ่นโดยเป็นผู้ว่าการรัฐเท็กซัสคนที่ 46 และช่วยทำให้เท็กซัสเป็นผู้ผลิตไฟฟ้าพลังงานลมชั้นนำของประเทศ เขาชนะการเสนอชื่อลงชิงตำแหน่งประธานาธิบดีของพรรคริพับลิกัน (สหรัฐ)|พรรครีพับลิกัน และชนะการเลือกตั้งต่อรองประธานาธิบดีสหรัฐ|รองประธานาธิบดี อัล กอร์ใน ค.ศ. 2000 แม้จะมีการฟ้องศาลเพื่อนับคะแนนใหม่ในรัฐฟลอริดาCite web|title=Bush v. Gore Summary, Decision, Significance, & Facts|url=https://www.britannica.com/event/Bush-v-Gore|website=Encyclopedia Britannica|language=en โดยเขาถือเป็นประธานาธิบดีคนที่ 4 ที่ชนะการเลือกตั้งแม้จะแพ้คะแนน Popular Vote เมื่อเข้ารับตำแหน่ง บุชได้ผลักดันโครงการลดหย่อนภาษีจำนวนมากCite web|date=2016-10-04|title=George W. Bush: Domestic Affairs Miller Center|url=https://millercenter.org/president/gwbush/domestic-affairs|website=millercenter.org|language=en และมีส่วนสำคัญในพระราชบัญญัติการดูแลเด็กและเยาวชน ซึ่งเป็นร่างพระราชบัญญัติการปฏิรูปการศึกษาที่สำคัญ นอกจากนี้ เขายังผลักดันให้มีการอนุรักษ์ทางสังคม เช่น พระราชบัญญัติการห้ามทำแท้ง และริเริ่มด้านสวัสดิการ เหตุการณ์สำคัญที่พลิกโฉมรัฐบาลของเขาคือวินาศกรรม 11 กันยายน|วินาศกรรม 11 กันยา เพื่อเป็นการตอบโต้ บุชจึงก่อตั้งกระทรวงความมั่นคงแห่งมาตุภูมิและประกาศสงครามต่อต้านการก่อการร้าย เขาสั่งโจมตีประเทศอัฟกานิสถาน|อัฟกานิสถานโดยมีเป้าหมายเพื่อโค่นล้มกลุ่มตอลิบาน ทำลายกลุ่มก่อการร้ายอัลกออิดะฮ์|อัลกออิดะห์ และจับกุมอุซามะฮ์ บิน ลาดิน เขายังลงนามในพระราชบัญญัติเฝ้าระวังผู้ต้องสงสัยการก่อการร้ายใน ค.ศ. 2003 บุชได้สั่งการบุกอิรักซึ่งเป็นการเริ่มสงครามอิรัก โดยต่อต้านการปกครองของซัดดัม ฮุสเซน ซึ่งสหรัฐฯ กล่าวหามีอาวุธที่มีอำนาจทำลายล้างสูง แต่ได้รับการวิพากษ์วิจารณ์อย่างรุนแรงเมื่อไม่ปรากฏหลักฐานว่ารัฐบาลอิรักมีอาวุธดังกล่าว รวมทั้งไม่มีหลักฐานเพื่อพิสูจน์ความสัมพันธ์ระหว่างอิรักกับอัลกออิดะห์ บุชยังได้ลงนามในกฎหมายว่าด้วยการประกันสุขภาพ บุชชนการเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐ พ.ศ. 2547|ะการเลือกตั้งสมัยที่ 2 ใน ค.ศ. 2004 โดยเอาชนะจอห์น เคร์รี วุฒิสมาชิกจากพรรคเดโมแครต (สหรัฐ)|พรรคเดโมแครต ในการดำรงตำแหน่งสมัยที่สอง บุชบรรลุข้อตกลงการค้าเสรีหลายฉบับ เขาแต่งตั้ง จอห์น โรเบิร์ตส์ และ ซามูเอล อาลิโต เพื่อรับผิดชอบงานศาลสูงสุดสหรัฐ|ศาลสูงสุด เขาพยายามเปลี่ยนแปลงกฎหมายประกันสังคมและกฎหมายผู้อพยพเข้าเมือง แต่ความพยายามทั้งสองล้มเหลวในรัฐสภาสหรัฐ|สภาคองเกรส บุชได้รับการวิพากษ์วิจารณ์เกี่ยวกับการจัดการพายุเฮอริเคนแคทรีนา ส่งผลให้คะแนนนิยมของเขาลดลง และพรรคเดโมแครตกลับเข้ามาได้เสียงข้างมากในสภาคองเกรสอีกครั้งหลังการเลือกตั้ง ค.ศ. 2006 ในขณะที่สงครามในอัฟกานิสถานและอิรักยังคงดำเนินต่อไป และในเดือนมกราคม ค.ศ. 2007 เขาได้เพิ่มกำลังทหารไปประจำการในอิรัก และในเดือนธันวาคม สหรัฐเข้าสู่ภาวะถดถอยทางเศรษฐกิจครั้งใหญ่ กระตุ้นให้รัฐบาลบุชต้องได้รับการอนุมัติจากรัฐสภาสำหรับโครงการเศรษฐกิจหลายโครงการเพื่อรักษาระบบการเงินของประเทศ บุชเป็นหนึ่งในประธานาธิบดีที่ได้รับทั้งความนิยมและไม่เป็นที่นิยมมากที่สุดในประวัติศาสตร์การเมืองสหรัฐhttps://www.washingtonpost.com/outlook/2021/01/25/who-is-worst-american-president-all-time/ เขาได้รับเสียงชื่นชมหลังการตอบโต้จากการโจมตี 11 กันยายน แต่คะแนนนิยมของเขาตกต่ำที่สุดในช่วงวิกฤตการเงิน ค.ศ. 2007 หลังจากลงจากตำแหน่ง บุชกลับมาที่เท็กซัส และเปิดตัวห้องสมุดประธานาธิบดีของเขาใน ค.ศ. 2013Cite web|title=Homepage George W. Bush Library|url=https://www.georgewbushlibrary.gov/|website=www.georgewbushlibrary.gov == การศึกษา การรับราชการทหาร และชีวิตส่วนตัวในช่วงแรก == ไฟล์:Bush_daughters.png|thumb|จอร์จ และลอรา บุช กับบุตรสาว เจนนา และบาบารา ถ่ายเมื่อปี 1990 บุช เป็นบุตรชายคนโต ของอดีตประธานาธิบดีจอร์จ เอ็ช. ดับเบิลยู. บุช และบาบารา บุช(นามสกุลเดิม เพียร์ซ) ภริยาของบุช เกิดที่เมืองนิว ฮาเวน รัฐคอนเน็กติกัต เขาบอกว่าตนเองเป็นชาวเท็กซัสขนานแท้ เนื่องจากครอบครัวได้ย้ายภูมิลำเนาไปอยู่ที่รัฐเท็กซัสเมื่อเขาอายุได้สองขวบ และเติบโตขึ้นในเมืองมิดแลนด์ และนครฮิวสตัน รัฐเท็กซัส พร้อมกับนายเจบ บุช นีล บุช มาร์วิน บุช น้องชาย และ โดโรธี บุช คอช น้องสาว หลังจบการศึกษาจาก ฟีลิปป์ อคาเดมี ที่เมืองอานโดเวอร์ รัฐแมสซาชูเสต เมื่อเดือนมิถุนายน ค.ศ. 1964 บุชเดินทางกลับมายังคอนเน็กติกัต. และได้เข้าศึกษาที่มหาวิทยาลัยเยล สำเร็จปริญญาอักษรศาสตร์ สาขาประวัติศาสตร์ ในปี 1968 เมื่อเรียนอยู่ชั้นปีที่สี่ บุชเป็นสมาชิกสมาคมสกัลแอนด์โบนส์ เมื่อเดือนพฤษภาคม ค.ศ 1968Bush, George W., A Charge to Keep, (1999) ISBN 0-688-17441-8 ระหว่างสงครามเวียดนาม เขาได้เข้าประจำการกองกำลังป้องกันประเทศทางอากาศ แห่งรัฐเท็กซัส เขาเข้ารับการฝึกฝนในกองกำลังเป็นเวลาสองปี และก็ได้เรียนขับเครื่องบินในช่วงนั้นเอง ต่อมาได้รับการแต่งตั้งเป็นเรืออากาศเอก เมื่อเดือนพฤศจิกายน ค.ศ. 1970 จากการสนับสนุนของนาวาอากาศโทเจอรี บี. คิลเลน ผู้บังคับบัญชาในสมัยนั้น บุชรับราชการเป็นนักบินเครื่องเอฟ-102 จนกระทั่งปี 1972 ในปี 1974 เขาได้รับอนุญาตให้สิ้นสุดวาระรับราชการทหาร หกเดือนก่อนกำหนด เพื่อเข้ารับการศึกษาต่อที่โรงเรียนธุรกิจแห่งมหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ด ซึ่งเขาก็ได้รับปริญญาโทสาขาการบริหารธุรกิจ (MBA) ในปี 1975 ทำให้บุชเป็นประธานาธิบดีสหรัฐคนแรกที่จบ MBA ภายหลังจบการศึกษา เขาได้กลับไปยังรัฐเท็กซัสเพื่อเข้าสู่ธุรกิจน้ำมัน สองปีต่อมา เขาได้เข้าพิธีสมรสกับนางสาวลอรา บุช|ลอรา เวลช์ บรรณารักษ์ห้องสมุดโรงเรียน ผู้มีพื้นเพมาจากมิดแลนด์ รัฐเท็กซัส พวกเขามีบุตรสาวฝาแฝด บาบารา และเจนนา บุช เมื่อปี 1981 บุชเป็นประธานาธิบดีสหรัฐคนแรกที่มีบุตรฝาแฝด === ข้อเท็จจริงที่เป็นที่ถกเถียงเกี่ยวกับการรับราชการทหาร === ไฟล์:GW-Bush-in-uniform.jpg|thumb|left|จอร์จ ดับเบิลยู. บุช ในชุดเครื่องแบบ กองกำลังป้องกันประเทศ การรับราชการทหารของบุชกลายเป็นข้อถกเพียง โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ระหว่างการเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐในเมื่อปี 2004 ผู้วิจารณ์บุชอ้างว่า เขาได้ลัดคิวเพื่อให้ได้เข้าร่วมกองกำลังป้องกันประเทศ ได้ละเว้นการปฏิบัติหน้าที่ระหว่างปี 1972 ถึง 1973 และถูกห้ามบิน หลังไม่เข้ารับการตรวจร่างกายและการตรวจปัสสาวะหาสารเสพติด ประเด็นเหล่านี้ได้ปรากฏต่อสาธารณชนตลอดการหาเสียงเลือกตั้งประธานาธิบดีเมื่อปี 2004 อันเกิดจากความพยายามของกลุ่ม ''"เท็กซัน ฟอร์ ทรูธ"'' ผู้สนับสนุนบุชอ้างว่าเอกสารหลักฐานที่ยังหลงเหลืออยู่ เกี่ยวกับการรับราชการทหารของบุชให้กองกำลังป้องกันประเทศ รวมถึงบันทึกการจ่ายเงินเดือน และเอกสารปลดประจำการอย่างเป็นทางการ ต่างระบุว่าบุชได้รับราชการอย่างสมเกียรติ ผู้ที่ตั้งข้อกังขายินดีอย่างยิ่งที่หาเอกสารอย่างเป็นทางการไม่พบ และเหตุการณ์นี้จะคลุมเครืออยู่ต่อไป แต่การพบเอกสารเพิ่มเติมที่ไม่ได้เป็นทั้งหลักฐานที่มัดตัว หรือช่วยให้พ้นข้อกล่าวหา ทำให้ข้อเท็จจริงยังไม่กระจ่างชัดในเร็ววันนี้ === ข้อเท็จจริงที่เป็นที่ถกเถียงเกี่ยวกับการเสพสุราเกินขนาด === เมื่อวันที่ 4 กันยายน ค.ศ. 1976 ใกล้ ๆ กับบ้านพักฤดูร้อนของพ่อแม่ของบุชที่เมืองเคนเนอบังค์พอร์ต รัฐเมน ตำรวจได้จับกุมตัวจอร์จ ดับเบิลยู. บุช ในข้อหาขับขี่รถยนต์ขณะเมาสุรา เขาถูกตัดสินว่ามีความผิดและถูกปรับเป็นเงิน 150 ดอลลาร์สหรัฐ และถูกพักใบอนุญาตขับขี่รถยนต์ในรัฐเมนเป็นเวลา 30 วันhttp://www.thesmokinggun.com/archive/bushdui1.html ได้มีการตีพิมพ์ข่าวการจับกุมห้าวันก่อนการเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐ พ.ศ. 2543|การเลือกตั้งประธานาธิบดีปี 2000 บุชได้เล่าถึงชีวิตก่อนที่เขาจะหันมานับถือศาสนาเมื่อย่างเข้าปีที่ 40 ของชีวิตว่า เป็นช่วงเวลา ''"ร่อนเร่พเนจร"'' ของ ''"วัยเยาว์ที่ไม่มีความรับผิดชอบ"'' และยอมรับว่าดื่ม "มากเกินไป" ในตลอดช่วงปีดังกล่าว เขากล่าวว่าได้เปลี่ยนรูปแบบการดำเนินชีวิตเป็นแบบสมถะ หลังจากตื่นขึ้นมาด้วยอาการเมาค้างในวันเกิดปีที่ 40 ของเขา และยังอ้างว่าการเปลี่ยนแปลงส่วนหนึ่งมาจากการได้พบปะกับบาทหลวงบิลลี เกรแฮม เมื่อปี 1985 แม้ว่าเขาจะยอมรับว่ายังดื่มสุราต่อมาจนกระทั่งถึงเดือนกรกฎาคม ค.ศ. 1986 ก็ตามhttp://www.washingtonpost.com/wp-srv/politics/campaigns/wh2000/stories/bushtext072599.htmhttp://www.washingtonpost.com/wp-srv/politics/campaigns/wh2000/stories/bush072599.htmhttp://www.cnn.com/2000/ALLPOLITICS/stories/11/02/bush.dui บุชยืนยันว่าเขาไม่ได้ใช้สารเสพติดที่ผิดกฎหมายอีกเลยตั้งแต่ปี 1979 ได้มีบทความสนับสนุนว่าเขาหยุดใช้ยาเสพติดตั้งแต่ปี 1974http://www.cnn.com/ALLPOLITICS/stories/1999/08/19/president.2000/bush.drug จากบทความดังกล่าว การสนทนาทางโทรศัพท์ทำให้เราทราบว่าเคยสูบกัญชา และดูเหมือนจะไม่ได้ปฏิเสธการเสพโคเคน เขายังปฏิเสธข้อกล่าวหาของนายเจมส์ ฮาตฟิล์ด นักเขียนที่เขียนไว้ว่าเขาได้ใช้อิทธิพลของครอบครัวเพื่อลบประวัติการถูกจับกุมข้อหามีโคเคนไว้ในครอบครองเมื่อปี 1972 แต่ขอไม่พูดถึงว่าเขาใช้ยาเสพติดก่อนปี 1974 หรือไม่http://www.mapinc.org/drugnews/v99/n1143/a08.html?4588http://news.bbc.co.uk/1/hi/world/americas/4282799.stmhttp://www.msnbc.msn.com/id/6999665 == ความเชื่อทางศาสนาและการปฏิบัติศาสนกิจ == หลังจากได้พบปะกับบิลลี เกรแฮม จากโบสต์นิกายเอแวนเจลิสต์ บุชได้เข้ามามีส่วนเกี่ยวข้องกับความเชื่อ และการปฏิบัติของศาสนาคริสต์มากขึ้นhttp://www.washingtonpost.com/wp-dyn/articles/A24634-2004Sep15_2.html ตลอดระยะเวลานี้ เขาได้ออกจากโบสต์เอปิสโปคัล ที่ครอบครัวบุชนับถือ เพื่อมาเข้าร่วมโบสต์ยูไนเต็ด เมธอดิสต์ ที่ภรรยานับถืออยู่ ซึ่งเป็นการแสดงถึงแนวคิดทางสังคมที่อนุรักษนิยมมากกว่าเดิม บุชมักจะถูกอ้างถึงว่าเป็นชาวคริสต์ที่ได้เกิดอีกครั้งจากการหันมานับถือศาสนาอย่างจริงจัง ในการโต้วาทีทางโทรทัศน์ครั้งหนึ่ง เมื่อปี 2000 ของนักการเมืองดังพรรครีพับลิกัน ผู้ร่วมรายการต่างถูกถามว่าใครเป็นนักปราชญ์คนโปรดของพวกเขา บุชตอบว่า ''"พระเยซู"'' โดยอ้างว่าพระเยซูเจ้าเป็นนักปราชญ์ผู้ที่ได้ ''"เปลี่ยนชีวิตของเขา"'' == อาชีพการงาน == === อาชีพนักธุรกิจ === บุชเริ่มอาชีพนักธุรกิจค้าน้ำมันในปี 1979 ซึ่งเป็นปีที่เขาก่อตั้ง '''"อาร์บุสโต แอร์เนอจี"''' บริษัทสำรวจหาน้ำมันและก๊าซขึ้น ด้วยเงินส่วนที่เหลือจากกองทุนเพื่อการศึกษาของเขา กับเงินสนับสนุนจากผู้ร่วมลงทุน รวมถึงโดโรธี บุช ลิววิส เลห์แมน วิลเลียม เฮนรี เดรปเปอร์ ที่สาม บิล แกมเมล และเจมส์ อาร์. บาธ ซึ่งเป็นตัวแทนของซาลิม บิน ลาเดน ต่อมาในปี 1984 บุชได้ขายกิจการไปเนื่องจากเจ็บตัวจากช่วงแรกเริ่มของวิกฤตการณ์น้ำมันปี พ.ศ. 2522|วิกฤตการณ์นำมันปี 1979 และได้เปลี่ยนชื่อ ''"บุช เอ็กพลอเรชัน คอมพานี"'' เป็น ''"สเป็กตรัม เซเวน"'' ซึ่งเป็นบริษัทสำรวจหาน้ำมันและแก๊สอีกแห่งที่มีฐานที่ตั้งอยู่ในรัฐเท็กซัส ภายใต้เงื่อนไขของการขายกิจการ บุชได้กลายเป็นซีอีโอ ของบริษัท ต่อมา ''"สเป็กตรัม เซเวน"'' มีรายได้ลดลง จึงถูกรวมเข้ากับ"ฮาร์เกน แอร์เนอจี คอร์ปอเรชัน" ในปี 1986 โดยมีบุชเป็นผู้อำนวยการ หลังจากที่ได้ช่วยงานบิดาในการเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐ ค.ศ. 1988 จนประสบความสำเร็จ บุชได้ทราบจากนายวิลเลียม เดวิท จูเนียร์ เพื่อนที่เป็นศิษย์เก่ามหาวิทยาลัยเยลว่า นายเอ็ดดี ชีลส์ เพื่อนของครอบครัวเขาต้องการขายเฟรนไชส์ของทีมเท็กซัส เรนเจอร์ ซึ่งเป็นทีมเบสบอลในเมเจอร์ลีก ในเดือนเมษายน ค.ศ. 1989 บุชได้รวบรวมนักลงทุนได้กลุ่มหนึ่ง จากบรรดาเพื่อนสนิทของบิดา รวมทั้งนายโรแลนด์ ดับเบิลยู. เบ็ทส์ เพื่อนรักของพ่อ กลุ่มนักลงทุนนี้ได้ซื้อหุ้น 86 % ของทีมเรนเจอร์ มาด้วยมูลค่าราว 75 ล้านดอลลาร์สหรัฐ บุชได้รับส่วนแบ่งหุ้น 2% ด้วยการลงทุนเป็นเงิน 606,302 ดอลลาร์สหรัฐ โดยที่ในจำนวนนั้น มีเงิน 500,000 ดอลลาร์ที่ได้มาจากการกู้ธนาคาร บุชจ่ายเงินกู้ด้วยการขายหุ้นของฮาร์เกน แอร์เนอร์จีไปรวมมูลค่า 848,000 ดอลลาร์สหรัฐ ท่ามกลางเสียงคัดค้านของที่ปรึกษา ฮาร์เกนสูญเสียรายได้อย่างมากหลังจากการขายหุ้นของบุช ทำให้บุชถูกตั้งข้อกล่าวหาว่าขายหุ้นเนื่องจากทราบข้อมูลภายใน ในวันที่ 27 มีนาคม ค.ศ. 1992 คณะกรรมาธิการความมั่นคงและการแลกเปลี่ยนของสหรัฐ สรุปว่าบุชได้มี ''"แผนการที่วางไว้ล่วงหน้า"'' ว่าจะขายหุ้น และบุช "มีบทบาทเพียงน้อยนิดในการบริหารฮาร์เกน" ดังนั้นจึงไม่มีหลักฐานเพียงพอที่จะบ่งชี้ว่าบุชขายหุ้นเนื่องจากทราบข้อมูลภายในhttp://www.upi.com/view.cfm?StoryID=20020717-062330-9990rhttp://www.washingtonpost.com/wp-srv/politics/campaigns/wh2000/stories/bush073099.htm ในฐานะหุ้นส่วนร่วมบริหารของทีมเรนเจอร์ บุชได้ช่วยในด้านการประสานงานกับสื่อและการก่อสร้างสเตเดียมแห่งใหม่ บทบาทของเขาต่อสาธารณชนได้ทำให้เกิดแรงสนับสนุนของอาสาสมัครที่มีคุณค่าอย่างยิ่ง และทำให้ชื่อของบุชเป็นที่รู้จักไปทั่วรัฐเท็กซัส แม้ว่าเขาจะเป็นที่รู้จักแล้วก็ตาม จากการมีพ่อที่ดำรงตำแหน่งประธานาธิบดีตลอดช่วงเวลาดังกล่าวhttp://espn.go.com/mlb/bush/friday.html === อาชีพนักการเมือง === บุชเริ่มต้นอาชีพทางการเมืองของเขาด้วยการช่วยการรณรงค์หาเสียงเลือกตั้งวุฒิสมาชิกของบิดาในปี 1964 และ 1970 ซึ่งก็ไม่ประสบความสำเร็จทั้งสองครั้ง หลังจากถูกโยกย้ายไปรับตำแหน่งในกองกำลังป้องกันประเทศสหรัฐ ในปี 1972 เขาก็ได้ทำหน้าที่เป็นผู้อำนวยการการเลือกตั้งวุฒิสมาชิกรัฐแอละแบมา ต่อมาในปี 1978 บุชสมัครต้องการเป็นตัวแทนของพรรครีพับลิกันเข้าชิงที่นั่งส.ส.รัฐเท็กซัส แต่ก็พ่ายต่อนายเคนท์ แฮนซ์ ที่เป็นวุฒิสมาชิกรัฐเท็กซัส โรนัลด์ เรแกน ได้แต่งตั้งคู่แข่งของบุชเป็นผู้สมัครชิงตำแหน่งในการเลือกรายชื่อผู้สมัครขั้นต้นของพรรครีพับลิกัน ในปี 1994 บุชได้สมัครเข้าชิงตำแหน่งผู้ว่าการรัฐเท็กซัส แข่งกับแอน ริชาร์ด เจ้าของธุรกิจผู้ได้รับความนิยมสูงจากพรรคเดโมแครต โดยเมื่อวันที่ 8 พฤศจิกายน ค.ศ. 1994 เขาสามารถเอาชนะริชาร์ดไปได้ด้วยคะแนนเสียง 53 % ต่อ 46 % ในปีเดียวกันนี้เอง เขากํบหุ้นส่วนได้ขายทีมเท็กซัส เรนเจอร์ อันทำให้บุชได้กำไรไปกว่า 14 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ในฐานะผู้ว่าการรัฐ บุชได้เข้าเป็นแนวร่วมทางการเมืองกับบ็อบ บุลล็อก รองผู้ว่าการรัฐเท็กซัสผู้มีอิทธิพล และอยู่กับพรรคเดโมแครตสมานาน ในปี 1998 บุชได้รับเลือกเข้ามาดำรงตำแหน่งผู้ว่าการรัฐอีกครั้ง อย่างถล่มทลายด้วยคะแนนเสียงเกือบๆ 69% และได้กลายเป็นผู้ว่าการรัฐเท็กซัสคนแรกที่ได้รับเลือกให้ดำรงตำแหน่งสองสมัยติดกัน โดยแต่ละสมัยมีวาระดำรงตำแหน่ง 4 ปี (ก่อนปี 1975 วาระดำรงตำแหน่งคือสองปี)http://www.cnn.com/ALLPOLITICS/stories/1998/11/03/election/governors/texas ตลอดระยะเวลาที่บุชดำรงตำแหน่งผู้ว่าการรัฐ เขาได้ดำเนินการแก้กฎหมายสำคัญๆหลายข้อ ที่ว่าด้วยระบบความยุติธรรมทางอาญา กฎหมายละเมิด และการให้เงินสนับสนุนโรงเรียน บุชได้เลือกแนวทางที่ยากลำบากเมื่อเขาสนับสนุนการประหารชีวิต และได้รับกระแสวิพากษ์วิจารณ์เป็นอย่างมากจากทนายความที่ต้องการให้ยกเลิกโทษประหาร และจากผู้ที่โต้แย้งว่ากฎหมายของรัฐเท็กซัสมีจุดบกพร่องอย่างเห็นได้ชัด จนต้องนำโทษประหารมาใช้อย่างระมัดระวัง ภายใต้การนำของบุช อัตราการจำคุกของรัฐเท็กซัส อยู่ที่นักโทษ 1,014 คน ต่อประชากร 100,000 คนในปี 1999 ซึ่งถือว่าสูงสุดเป็นอันดับสองจากการสำรวจทั่วสหรัฐ อันเนื่องมาจากการขยายเวลารับโทษจำคุกในคดีที่เกี่ยวข้องกับยาเสพติด ในเดือนกันยายน ค.ศ. 1999 บุชได้ลงนามในกฎหมายว่าด้วยเจตจำนงของผู้ป่วยที่ระบุไว้ล่วงหน้า ซึ่งอนุญาตให้หน่วยงานสาธารณสุขเอาเครื่องช่วยชีวิตออก โดยที่ผู้ป่วยไม่ยินยอมก็ได้ เป็นเวลาสิบวันหลังจากได้รับถ้อยแถลงจากผู้ป่วย โครงการปฏิรูปต่างๆของบุช รวมทั้งชื่อเสียงของวงศ์ตระกูล ทำให้เขามีโอกาสก้าวหน้าในอาชีพการเมืองในระดับประเทศ == การรณรงค์หาเสียงเลือกตั้งประธานาธิบดี == === การรณรงค์หาเสียงปี 2000 === คณะที่ปรึกษาได้ให้ความเชื่อมั่นกับจอร์จ ดับเบิลยู. บุชว่า ปี 2000 จะเป็นปีที่เหมาะสมสำหรับเข้าชิงตำแหน่งประธานาธิบดี บุชมีเงินเหลือเฟือ และพรรครีพับลิกันก็ขาดผู้สมัครคู่แข่งที่น่ากลัว ก่อนที่บุชจะสมัครเข้าชิงตำแหน่งนั้น ผลการสำรวจหยั่งเสียงระบุอย่างเด่นชัดว่าเขาเป็นที่ชื่นชอบของประชาชน ระหว่างการรณรงค์หาเสียงเลือกตั้งประธานาธิบดีของบุชในปี 2000 บุชได้ประกาศตนเป็น ''"นักการเมืองอนุรักษนิยมที่มีอัธยาศัยดี"'' ซึ่งเป็นคำที่ถูกตั้งขึ้นเป็นครั้งแรกโดยศาสตราจารย์ มาร์วิน โอลาสกี แห่งมหาวิทยาลัยเท็กซัส ในการเลือกตั้งทั่วไป การรณรงค์ทางการเมืองของบุชได้ชูประเด็นสัญญาว่าจะ'' "ฟื้นฟูเกียรติยศและความภาคภูมิของทำเนียบขาว"'' และสัญญาว่าจะลดภาษีครั้งใหญ่เพื่อนำเงินส่วนที่เหลือจากการร่างงบประมาณจำนวนมากมาคืนให้แก่ผู้เสียภาษี และในบรรดาประเด็นต่างๆที่ถูกหยิบยกมาหาเสียง เขายังสนับสนุนให้องค์กรทางศาสนามีส่วนร่วมให้การสนับสนุนทางการเงินในโครงการต่าง ๆ ของรัฐบาลกลาง อุดหนุนการใช้คูปองเพื่อการศึกษา สนับสนุนการขุดเจาะน้ำมันในเขตสงวนพันธุ์สัตว์แห่งชาติในแถบอาร์กติก รักษางบดุลของงบประมาณกลางสหรัฐ และปรับโครงสร้างกองทัพสหรัฐ บุชได้พ่ายแพ้ต่อวุฒิสมาชิก จอห์น แมคเคน แห่งรัฐอริโซนา ในการสรรหาผู้สมัครชิงตำแหน่งประธานาธิบดีของรัฐนิวแฮมป์เชอร์|รัฐนิวแฮมเชียร์ (รัฐแรกที่มีการลงคะแนน) แต่ก็ตีตื้นขึ้นมาชนะ 9 ใน 13 รัฐ จากการลงคะแนน "ซูเปอร์ทิวสเดย์" (การลงคะแนนที่จัดพร้อมๆกันหลายรัฐในวันอังคารต้นเดือนมีนาคม) ซึ่งทำให้เขาได้รับเลือกเป็นผู้สมัครชิงตำแหน่งประธานาธิบดีจากพรรครีพับลิกันในที่สุด จากนั้น บุชก็ได้เลือกนายดิก เชนนี อดีตสมาชิกสภานิติบัญญัติแห่งชาติของสหรัฐ และอดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมสหรัฐในสมัยที่บิดาของเขาดำรงตำแหน่งประธานาธิบดี ให้เป็นรับตำแหน่งรองประธานาธิบดีหากเขาได้รับเลือก หลังการรณรงค์หาเสียงเป็นนานเวลาหลายเดือน การเลือกตั้งที่มีขึ้นในคืนวันที่ 7 พฤศจิกายน ค.ศ. 2000 ได้ให้ผลดีเกินคาด เครือข่ายสถานีโทรทัศน์ได้รายงานว่าอัล กอร์นำ จากนั้นก็บอกว่าบุชนำ และท้ายสุด บอกว่าสูสีกันมากจนไม่อาจวัดได้ อัล กอร์ ผู้ซึ่งโทรศัพท์ไปหาบุชเพื่ออ้างว่าตนได้รับชัยชนะนั้น ได้โทรไปขอถอนคำพูดภายในเวลาไม่ถึงหนึ่งชั่วโมงต่อมา เมื่อการแข่งขันสิ้นสุดลง บุชได้รับการประกาศว่าสามารถเอาชนะอัล กอร์ อดีตรองประธานาธิบดีสหรัฐคู่แข่งจากพรรคเดโมแครตไปได้ และได้ไป 271 คะแนน โดยที่กอร์ได้ 266 คะแนน ชนะการเลือกตั้งแบบเอเลคตอรัลโวตใน 30 รัฐ จากทั้งหมด 50 รัฐ กอร์ได้รับการคาดการณ์ว่าจะชนะการลงคะแนนแบบป็อบปูลาร์โวตจากผู้มีสิทธิ์ออกเสียงเลือกตั้งทั้งหมดราว 105,000,000 เสียง โดยที่บุชได้ไป 50,456,002 เสียง (47.9%) และกอร์ได้ 50,999,897 เสียง (48.4 %) แต่คะแนนนี้ก็ไม่อาจเป็นเครื่องตัดสินว่าใครจะครองตำแหน่งประธานาธิบดีสหรัฐได้ คะแนนส่วนที่เหลือถูกแบ่งปันกันระหว่างผู้สมัครชิงตำแหน่งประธานาธิบดีอิสระ รวมทั้งนายราล์ฟ เนเดอร์ ผู้สมัครจากพรรคกรีน (2,695,696 คะแนน/2.7%) นายแพต บูชานา จากพรรครีฟอร์ม (449,895 คะแนน/0.4%) และ นายแฮร์รี บราวน์เนอร์ จากพรรคลิเบอร์ทาเรียน (386,024 คะแนน/0.4%) การเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐในปี 2000 เป็นครั้งล่าสุดนับตั้งแต่เบนจามิน แฮริสัน ได้เป็นประธานาธิบดี (ค.ศ. 1888) ที่ผู้ชนะไม่ได้รับเสียงข้างมากจากการเลือกตั้งแบบป็อบปูลาร์โวต ซึ่งมีเหตุการณ์ทำนองเดียวกันนี้เกิดขึ้นเป็นครั้งแรก ตั้งแต่รัทเธอร์ฟอร์ด เฮย์ ได้รับเลือกตั้งเป็นประธานาธิบดี โดยการตัดสินของศาลฎีกาสหรัฐ การนับคะแนนเสียงในรัฐฟลอริดา ที่เคยให้บุชชนะในการลงคะแนนสรรหาผู้สมัครชิงตำแหน่งประธานาธิบดี ได้ถูกคัดค้านและกล่าวหาว่ามีความผิดปกติในการลงคะแนนและนับคะแนน อาทิเช่น เกิดการสับสนในการลงคะแนน เครื่องลงคะแนนบกพร่อง มีผู้ลงคะแนนปลอมในหมู่ทหาร และการจัดสรรผู้ลงคะแนนแบบผิดกฎหมายจำนวนมากทำให้กระบวนการเป็นไปด้วยความสับสนอลหม่าน ได้เกิดการฟ้องศาลตามมาหลายครั้งว่าด้วยความชอบธรรมทางกฎหมายในการนับคะแนนซ้ำระดับเคาท์ตี และระดับรัฐ หลังการนับคะแนนซ้ำด้วยมือและด้วยเครื่องในสี่เคาท์ตี และบุชยังอยู่ในศาลฎีการัฐฟลอริดาเพื่อขอให้มีการนับคะแนนใหม่อีกครั้งทั่วทุกเคาท์ตี ศาลฎีกาสหรัฐ ภายใต้การรณรงค์หาเสียง ''"บุช ปะทะ กอร์"'' ได้ล้มล้างคำตัดสินและยับยั้งการนับคะแนนที่จะมีขึ้นใหม่ทั้งหมด หลังจากนำอยู่ระยะหนึ่ง กอร์ก็เป็นฝ่ายยอมประนีประนอม หลายเดือนต่อมา การนับคะแนนใหม่ด้วยเมืองทั่วทั้งรัฐฟลอริดาได้สิ้นสุดลงโดยกลุ่มของนักหนังสือพิมพ์ ผลถูกระบุว่าอัล กอร์เอาชนะบุชไปได้ในรัฐฟลอริดาด้วยมาตรฐานสี่แบบ และพ่ายต่อบุชในการนับแบบมาตรฐานอีกสี่แบบhttp://pqasb.pqarchiver.com/latimes/89693365.html?did=89693365&FMT=ABS&FMTS=FT&date=Nov+13%2C+2001&author=&pub=Los+Angeles+Times&desc=Ballot-Count+Scenarios+in+Bush-Gore+2000http://www.cnn.com/SPECIALS/2001/florida.ballots/stories/main.html ในเมื่อศาลสูงสุดรัฐฟลอริดาไม่ได้กำหนดวิธีการนับคะแนนแบบมาตรฐานในการนับคะแนนใหม่ด้วยมือทั่วทุกเคาท์ตีในรัฐ จึงยังคงเป็นที่ถกเถียงกันว่าใครเป็นผู้ชนะการเลือกตั้งประธานาธิบดีในรัฐฟลอริดา หากว่าศาลฎีกาไม่ได้ยับยั้งการนับคะแนน ในการนับคะแนนครั้งสุดท้าย บุชมีชัยในรัฐฟลอริดาด้วยคะแนนเสียงเพียง 537 คะแนน (บุช 2,912,790 คะแนน/กอร์ 2,912,253 คะแนน)http://www.fec.gov/pubrec/2000presgeresults.htm ทำให้เขาได้เอเล็คตอรัลโวตจากรัฐนี้ไป 25 แต้ม และได้เป็นประธานาธิบดีสหรัฐในที่สุด บุชเข้าพิธีสาบานตนเข้ารับตำแหน่งเมื่อวันที่ 20 มกราคม ค.ศ. 2001 === การรณรงค์หาเสียงปี 2004 === ไฟล์:Bush 43 10-19-04 Stpete.jpg|thumb|จอร์จ ดับเบิลยู. บุช กล่าวปราศรัยหาเสียงใน ค.ศ. 2004 ในการเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐปี 2004 บุชได้รับชัยชนะใน 31 รัฐจากทั้งหมด 50 รัฐ ทำให้ได้คะแนนเอเล็คตอรัลโวตไปทั้งสิ้น 286 คะแนน ผู้ลงคะแนนได้ออกมาเลือกบุชอย่างถล่มทลาย ทำให้เขากลายเป็นประธานาธิบดีที่ได้ป็อบปูลาโวต มากกว่าผู้สมัครชิงตำแหน่งประธานาธิบดีคนไหน ๆ ในประวัติศาสตร์ (62,040,610 โวต/50.7%) ซึ่งนับเป็นครั้งแรกตั้งแต่ปี 1988 ที่ประธานาธิบดีได้รับเสียงประชานิยมข้างมาก ทางด้านวุฒิสมาชิกจอห์น แครี ผู้สมัครคู่แข่งจากพรรคเดโมแครต ชนะไป 19 รัฐรวมทั้งในวอชิงตัน ดี.ซี. ทำให้ได้เอเล็คตอรัลโวตไป 251 คะแนน (59,028,111 โวต/48.3%) โดยที่ผู้ลงคะแนนแบบเอเล็คตอรัลโวตคนหนึ่ง ที่ควรจะลงคะแนนให้จอห์น แครี่ ได้เปลี่ยนใจไปลงคะแนนให้จอห์น เอ็ดเวิร์ด คู่สมัครชิงประธานาธิบดีของแครี่จากพรรคเดโมแครตแทน ทำให้จอห์น เอ็ดเวิร์ด มีเอเล็คตอรัลโวต 1 คะแนน นอกจากนี้แล้วก็ไม่มีผู้สมัครคนไหนได้เอเล็คตอรัลโวตอีก ผู้สมัครที่ไม่ใช่เดโมแครตหรือ รีพับลิกันที่เด่นๆ เป็นต้นว่า ราล์ฟ เนเดอร์ ผู้สมัครอิสระ (463,653 คะแนน/ 0.4%) และ ไมเคิล แบดแนริก จากพรรคลิเบอร์แทเรียน (397,265 คะแนน/0.3%) สภาคองเกรสได้เปิดการโต้วาทีเกี่ยวกับความผิดปกติในการลงคะแนนที่อาจเกิดขึ้น รวมทั้งข้อกล่าวหาว่าเกิดความผิดปกติขึ้นที่รัฐโอไฮโอ และการปลอมแปลงเครื่องลงคะแนนอิเล็คทรอนิกส์ บุชได้เข้ารับตำแหน่งประธานาธิบดีเป็นสมัยที่สอง เมื่อวันที่ 20 มกราคม ค.ศ. 2005 ผู้เป็นประธานในพิธีสาบานตนเข้ารับตำแหน่งได้แก่ นายวิลเลียม เรนควิสต์ ประธานกรรมการตุลาการสหรัฐในขณะนั้น คำปราศรัยของบุชเน้นไปที่อิสรภาพและประชาธิปไตยที่แผ่ขยายออกไปทั่วโลก == คนสำคัญในชีวิตและอาชีพของบุช == จอร์จ ดับเบิลยู. บุช เป็นสมาชิกครอบครัวบุช อันเป็นครอบครัวการเมืองที่มีอำนาจมากของสหรัฐ จอร์จ เอ็ช. ดับเบิลยู. บุช บิดาของเขา เคยดำรงตำแหน่งประธานาธิบดีหนึ่งสมัย และเป็นรองประธานาธิบดีของโรนัลด์ เรแกน สองสมัย เจบ บุช น้องชายเป็นผู้ว่าการรัฐฟลอริดา ส่วนเพรสสก็อต บุช ปู่ของเขา เคยเป็นวุฒิสมาชิกสหรัฐ บุชยังมีน้องชายอีกสองคนที่เป็นนักธุรกิจ ได้แก่มาร์วิน บุช และนีล บุช ในบรรดาประธานาธิบดีสหรัฐทั้งหมดแล้ว มีเพียงจอร์จ ดับเบิลยู. บุช กับ จอห์น ควินซี แอดัมส์เท่านั้น ที่เป็นบุตรชายของอดีตประธานาธิบดีและได้ก้าวขึ้นมาเป็นประธานาธิบดีตามรอยเท้าของบิดา บุชใช้ชีวิตใกล้ชิตกับลอรา บุช ผู้เป็นภริยามาก รวมทั้งยังสนิทกับ จอร์จ เอ็ช. ดับเบิลยู. บุช ผู้เป็นบิดา และบาบารา บุช ผู้เป็นมารดาอีกด้วย นอกจากนี้แล้ว เขายังใกล้ชิดกับโดโรธี บุช คอช พี่สาว และมาร์วิน บุช น้องชาย ความซื่อสัตย์ต่อครอบครัวเป็นเรื่องสำคัญต่อบุชเป็นอย่างมาก และแม้ว่าสมาชิกในครอบครัวจะมีความเห็นที่แตกต่างในเรื่องนโยบายหรือแนวความคิดอยู่บ้าง อีกทั้งยังดำรงชีวิตเป็นเอกเทศต่อกัน แต่บุช กับเจบ บุช น้องชาย ได้ทำงานร่วมกันอย่างใกล้ชิดเพื่อช่วยเหลือกันและกันในอาชีพการเมือง ในการประกอบอาชีพแล้ว บุชยึดมั่นต่อความจงรักภักดีและการทดแทนบุญคุณเป็นหลัก เขาได้สร้างความสัมพันธ์กับที่ปรึกษาหลายต่อหลายคน ที่ยังคงจงรักภักดีต่อเขา และในช่วงที่บุชดำรงตำแหน่งประธานาธิบดีสหรัฐเป็นสมัยที่สอง บุชได้มอบตำแหน่งสำคัญ ๆ ในคณะรัฐบาลให้บรรดาที่ปรึกษาส่วนตัวเหล่านั้น ที่ปรึกษาทางธุรกิจและการเมืองที่ใกล้ชิดกับบุช และได้รับความไว้วางใจที่สุดหลายคนเป็นสตรี คอนโดลีซซา ไรซ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศสหรัฐ เป็นผู้ที่บุชไว้วางใจมากที่สุดในฐานะที่ปรึกษาด้านความมั่นคงแห่งชาติสหรัฐ ในช่วงที่เขาดำรงตำแหน่งประธานาธิบดีสมัยแรก และได้ชื่อว่าเป็นผู้ที่จงรักภักดีต่อบุชมาก ทางด้านมากาเร็ต สเปลลิงส์ เคยดำรงตำแหน่งหัวหน้าคณะที่ปรึกษาด้านกิจการภายในประเทศเมื่อครั้งที่บุชเป็นผู้ว่าการรัฐเท็กซัส และขณะนี้ นางเป็นผู้บริหารสำนักการศึกษาสหรัฐ นอกจาากนี้ยังมีคาเรน ฮิวส์ เป็นหนึ่งในบรรดาที่ปรึกษาที่บุชให้ความไว้วางใจมากที่สุด และมีบทบาทสำคัญในการรณรงค์หาเสียงของเขาระหว่างปี 1994 - 2004 เคยดำรงตำแหน่งที่ปรึกษาทำเนียบขาวเป็นระยะเวลาสั้นๆ และขณะนี้ดำรงตำแหน่งรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการต่างประเทศ ด้านการทูต รับผิดชอบด้านการปรับปรุงภาพลักษณ์ของสหรัฐในสายตาชองชาวโลก โดยเฉพาะอย่างยิ่งในกลุ่มประเทศมุสลิม แฮเรียต ไมเยอร์ เธอเป็นที่ปรึกษาด้านกฎหมายของบุชและผู้จงรักภักดีจากรัฐเท็กซัส และตั้งแต่บุชเข้าดำรงตำแหน่งประธานาธิบดีเป็นสมัยที่สองเธอก็ได้รับตำแหน่งที่ปรึกษาทำเนียบขาว บุชได้เสนอชื่อไมเยอร์ เมื่อวันที่ 3 ตุลาคม ค.ศ. 2005 ให้เข้าดำรงตำแหน่งแทนแซนดรา โอคอนเนอร์ ผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกาสหรัฐที่กำลังจะเกษียณอายุ แต่ไมเยอร์เองก็ขอถอนตัวออกไปเองในอีก 24 วันต่อมา หลังจากถูกวิพากษ์วิจารณ์จากกลุ่มผู้สนับสนุนหัวอนุรักษนิยมของบุชเอง ว่าเธอไม่เคยมีเอกสารแสดงความคิดเห็นทางกฎหมายเป็นลายลักษณ์อักษร หรือแม้แต่ประสบการณ์ด้านการยุติธรรมแต่อย่างใดเลย คาร์ล โรฟ เป็นบุคคลที่มีอิทธิพลต่อชีวิต และหน้าที่การงานของบุชมากที่สุดคนหนึ่ง ตั้งแต่ทั้งคู่พบกันเมื่อปี 1972 โรฟได้สร้างกลไกในการรณรงค์หาเสียงให้บุชเมื่อเขาตัดสินใจลงสมัครชิงตำแหน่งผู้ว่าการรัฐเท็กซัสในปี 1994 และได้กลายเป็นที่ปรึกษาทางการเมืองที่ใกล้ชิดกับบุชมากที่สุด เมื่อบุชได้รับเลือกเป็นประธานาธิบดีสหรัฐในปี 2001 บุชได้ขอให้โรฟเลิกทำธุรกิจไปรษณีย์และมาร่วมงานกับเขาอย่างเต็มตัวที่กรุงวอชิงตัน โดยได้มอบตำแหน่งที่ปรึกษาทำเนียบขาวอย่างเป็นทางการให้ โรฟยังได้ออกแบบกลยุทธทางการเมือง เพื่อให้บุชได้นำไปใช้ในการออกกฎหมายวาระต่างๆ และยังให้คำแนะนำทางการเมืองในประเด็นสำคัญๆของชาติ ทั้งในส่วนของทำเนียบขาวและพรรครีพับลิกัน เพื่อให้บุชได้รับเลือกอีกครั้งในการรณรงค์หาเสียงเลือกตั้งประธานาธิบดีปี 2004 หลังจากได้รับเลือกเป็นประธานาธิบดีอีกสมัย บุชได้ยกย่องโรฟว่าเป็น ''"สถาปนิก"'' ของการรณรงค์หาเสียงเลือกตั้ง และให้โรฟดำรงตำแหน่งหัวหน้าคณะทำงานของประธานาธิบดี ในส่วนของการเมืองในประเทศและความมั่นคงแห่งชาติ โรฟยังมีส่วนสำคัญต่อการขึ้นสู่อำนาจของสมาชิกพรรครีพับลิกันที่ภักดีต่อบุช เป็นต้นว่าเคน เมห์ลแมน ผู้จัดการการรณรงค์หาเสียงของบุช ที่ปัจจุบันดำรงตำแหน่งประธานคณะกรรมาธิการพรรครีพับลิกัน อัลเบอร์โต กอนซาเลส เคยเป็นที่ปรึกษาทางกฎหมายของผู้ว่าการรัฐเท็กซัส และหัวหน้าอัยการ เขาได้มาร่วมงานกับบุชที่กรุงวอชิงตันในปี 2001 และ 2005 และได้รับการแต่งตั้งให้เป็นอัยการสูงสุดของสหรัฐ นับเป็นชาวอเมริกันเชื้อสายสเปนคนแรกที่เข้ามาเป็นผู้บริหารในกระทรวงสหรัฐ == การดำรงตำแหน่งประธานาธิบดีสหรัฐ (ค.ศ. 2001-2009) == ไฟล์:Red Sea Summit in Aqaba.jpg|thumb|left|บุช พบปะกับนายมามุด อับบาส ผู้นำปาเลสไตน์ และนายกรัฐมนตรีอาเรียล ชารอน แห่งอิสราเอล ระหว่างการประชุมสุดยอด กลุ่มประเทศในแถบทะเลแดง ที่เมืองอากาบา ประเทศจอร์แดน เมื่อวันที่ 4 มิถุนายน ค.ศ. 2003 === 100 วันแรก === ช่วงหนึ่งร้อยวันแรกหลังจากที่บุชเข้าดำรงตำแหน่งประธานาธิบดีสหรัฐ ถือว่าเป็นช่วงที่ไม่ได้มีความปรองดองระหว่างสองพรรคใหญ่มากเท่าที่บุชได้อ้างไว้ระหว่างการรณรงค์หาเสียง บุชถูกวิพากษ์วิจารณ์มากที่สุด จากการแต่งตั้งนายจอห์น แอชครอฟต์ เป็นหัวหน้าอัยการ พรรคเดโมแครตต่อต้านแอชครอฟต์เป็นอย่างมาก เนื่องด้วยเขามีหัวอนุรักษนิยมขวาจัด โดยเฉพาะอย่างยิ่งเกี่ยวกับประเด็นเรื่องการทำแท้งและโทษประหารชีวิต แม้ว่าแอชคอรฟต์จะได้รับการยอมรับในเวลาต่อมาก็ตาม ในวันแรกที่บุชเข้าทำงานในทำเนียบขาว เขาก็ได้ยับยั้งการให้เงินช่วยของรัฐบาลกลางที่ให้แก่กลุ่มองค์กรต่างชาติ ที่ให้คำปรึกษาหรือความช่วยเหลือใดๆแก่สตรีให้มีการทำแท้ง หลายวันต่อมา เขาก็ได้ประกาศพันธกิจที่จะเพิ่มเงินช่วยเหลือของรัฐบาลกลางให้แก่องค์กรที่อ้างอิงความเชื่อทางศาสนา จนทำให้นักวิจารณ์หวั่นเกรงว่าจะเกิดความขัดแย้ง ต่อการแยกกันเป็นอิสระระหว่างโบสถ์และรัฐ ตามประเพณีที่เคยปฏิบัติกันมา พรรครีพับลิกันสูญเสียอำนาจควบคุมวุฒิสภาสหรัฐ ในเดือนมิถุนายน เมื่อวุฒิสมาชิกเจมส์ เจฟฟอร์ด จากรัฐเวอร์มอนต์ ลาออกจากพรรครีพับลิกันเพื่อมาเป็นนักการเมืองอิสระ แต่การลาออกเกิดก่อนหน้าที่สมาชิกวุฒิสภาของพรรคเดโมแครตห้าคน จะแหกคอกออกมายกมือสนับสนุนโครงการตัดลดภาษีมูลค่า 1.35 พันล้านดอลลาร์สหรัฐของบุช อย่างไรก็ดี อีกไม่ถึงสามเดือนต่อมา หน่วยงานราชการได้ออกร่างงบประมาณที่แสดงให้เห็นว่าเงินคงคลังที่ได้มาจากการเก็บภาษีเงินได้จะลดลงจนไม่เหลือเลยในอีกหลายปีต่อมา === อุดมคติทางการเมือง === ระหว่างการรณรงค์หาเสียงเลือกตั้งประธานาธิบดี ค.ศ. 2000 บุชได้เริ่มใช้ประโยคว่า "นักอนุรักษนิยมผู้มีความเมตตาปราณี" เพื่ออธิบายอุดมคติความเชื่อของเขา นักอนุรักษนิยมบางคนได้ตั้งข้อกังขาเกี่ยวกับพันธกิจของบุช ที่มีต่ออุดมคติแนวอนุรักษนิยม เนื่องด้วยบุชยินยอมให้เกิดการขาดดุลงบประมาณจำนวนมาก จากการใช้จ่ายในเรื่องสำคัญๆมากขึ้น สมาชิกพรรคเดโมแครตและสมาชิกอิสระอ้างว่า การใช้คำว่า ''"อนุรักษนิยม"'' ตามด้วยคำว่า ''"เมตตาปราณี"'' ไม่ได้แสดงให้เห็นถึงอุดมคติที่แปลกใหม่แต่อย่างใด หากแต่เป็นการทำให้แนวทางอนุรักษนิยมได้รับการยอมรับมากขึ้นจากกลุ่มผู้ลงคะแนนเลือกตั้งอิสระและกลุ่มที่ไม่ได้ปักใจลงคะแนนกับฝ่ายหนึ่งฝ่ายใดอย่างเด็ดขาด ในการกล่าวปราศรัยในพิธีสาบานตนเข้ารับตำแหน่งประธานาธิบดีของบุช เมื่อปี 2005 บุชได้เน้นถึงวิสัยทัศน์ด้านนโยบายการต่างประเทศของเขา และอ้างถึงแผนการที่จะสนับสนุนการเติบโตของระบอบประชาธิปไตยทั่วโลก ตามที่ระบุไว้ในhttp://www.whitehouse.gov/nsc/nss.pdf ยุทธวิธีรักษาความมั่นคงแห่งชาติสหรัฐ (pdf) องค์ประกอบสำคัญในการเป็นประธานาธิบดีของบุช เห็นจะได้แก่การเน้นความสำคัญของอำนาจและสิทธิพิเศษของผู้บริหารระดับสูง ตามความเห็นของบุชและผู้ที่สนับสนุนเขาแล้ว การทำสงครามกับการก่อการร้ายจะเป็นที่จะต้องใช้บริหารระดับสูงที่เข้มแข็ง และมีความสามารถที่จะใช้กลวิธีต่างๆที่ขัดต่อบทบัญญัติของกฎหมายเพื่อต่อกรกับผู้ก่อการร้าย เป็นต้นว่า ครั้งหนึ่ง บุชได้โต้แย้งซ้ำๆหลายครั้งว่าข้อจำกัดของกฎหมายการเฝ้าระวังการข่าวกรองของต่างชาตินั้น เป็นกรอบที่เข้มงวดจนเกินไปต่อความสามารถในการเฝ้าระแวดระวังผู้ก่อการร้ายผ่านทางระบบอิเล็กทรอนิกส์ และบุชได้ผลักดันให้มีการยกเว้นข้อจำกัดต่างๆเหล่านั้นชั่วคราว รวมทั้งบางส่วนของกฎหมายต่อต้านการก่อการร้ายสหรัฐปี 2001 (USA PATRIOT ACT ย่อมาจาก '''U'''niting and '''S'''trengthening '''A'''merica by '''P'''roviding '''A'''ppropriate '''T'''ools '''R'''equired to '''I'''ntercept and '''O'''bstruct '''T'''errorism '''ACT''' of 2001 แปลตรงตัวว่า ''กฎหมายเพื่อการรวมกำลังและเสริมสร้างความแข็งแกร่งของอเมริกา ด้วยการให้เครื่องมือที่เหมาะสมซึ่งจำเป็นต่อการดักจับและขัดขวางการก่อการร้าย บัญญัติเมื่อ ค.ศ. 2001'') คณะผู้บริหารงานแผ่นดินของบุช ได้ข่มขู่ว่าจะวีโต้เอกสารระบุกลวิธีป้องกันประเทศสองฉบับ ที่รวมข้อความที่ถูกแก้ไขโดยวุฒิสมาชิกจอห์น แมคเคน เพื่อจำกัดอำนาจของผู้บริหารระดับสูงในอันที่จะอนุญาตให้มีการกระทำทารุณกรรมต่อมนุษย์ บุชกับพวกได้โต้แย้งว่า การกระทำรุนแรงต่อผู้ถูกจับกุมและเชื่อว่าเป็นผู้ก่อการร้ายนั้น จำเป็นต่อการได้มาซึ่งข้อมูลสำคัญเพื่อต่อต้านการก่อการร้าย ทนายความในคณะรัฐบาลของบุช เป็นต้นว่าจอห์น ยู ได้โต้แย้งว่า ประธานาธิบดีมีอำนาจเบ็ดเสร็จในการนำประเทศเข้าสู่สงครามอยู่แล้วหากเห็นว่าเหมาะสม แม้ว่าจะมีข้อกฎหมายมาจำกัดอำนาจนั้นก็ตาม http://www.usdoj.gov/olc/warpowers925.htm นายจอห์น จี. โรเบิร์ต ผู้ได้รับการแต่งตั้งเป็นหัวหน้าผู้พิพากษาศาลฎีกาสหรัฐ เห็นว่าผู้บริหารระดับสูงควรมีขอบเขตอำนาจกว้างขวางเช่นกัน ในกรณีฮัมแดน ปะทะ รัมสเฟลด์ เขาได้เขียนระบุไว้ว่า มาตราทั่วไปที่ 3 ของสนธิสัญญาเจนีวา ไม่ได้ครอบคลุมถึงผู้ถูกจับกุมตัวจากสงครามการต่อต้านการก่อการร้าย ดังนั้น บุชจึงสามารถเลือกที่จะอนุญาตให้มีการจัดตั้งศาลทหารลับเพื่อพิจารณาคดีผู้ต้องสงสัยว่าเป็นผู้ก่อการร้ายได้ หากเขาต้องการ คณะรัฐบาลของบุชได้สั่งให้เก็บข้อมูลเกี่ยวกับผู้บริหารระดับสูงที่เคยเปิดเผยต่อสาธารณะได้ไว้เป็นความลับ และได้ร่างคำสั่งของผู้บริหารระดับสูงขึ้นเพื่อใช้ยับยั้งคำร้องขอข้อมูลที่อ้างอิงกฎหมายอิสรภาพทางสารสนเทศ อีกทั้งให้เก็บรักษาข้อมูลเก่าที่เป็นความลับต่อไปเกินกว่าวันหมดอายุความลับเดิม http://www.tnr.com/doc.mhtml?i=express&s=prados042104 ผู้วิพากษ์วิจารณ์บุชได้โต้แย้งว่า อำนาจของผู้บริหารระดับสูงที่ไม่ผ่านการกลั่นกรองนั้นเสี่ยงต่อการล่วงละเมิดวัตถุประสงค์ทางการเมือง และละเมิดต่ออิสรภาพของพลเรือน อีกทั้งยังบอกว่าเป็นการขัดต่อรัฐธรรมนูญ ไร้จริยธรรม และมีแนวโน้มก่อให้เกิดกระแสต่อต้าน ดังที่เคยเกิดกระแสต่อต้านของชาวโลกต่อกรณีการทำทารุณกรรมต่อนักโทษในเรือนจำอาบู กราอิบมาแล้ว http://www.tnr.com/doc.mhtml?i=20051219&s=sullivan121905 ส่วนผู้สนับสนุนบุชได้แย้งว่า ขอบข่ายอำนาจที่กว้างขวางในการทำสงครามต่อต้านการก่อการร้ายนั้น จำเป็นอย่างยิ่งในการป้องกันการจู่โจมสหรัฐครั้งสำคัญๆ http://www.opinionjournal.com/editorial/feature.html?id=110001797 และประธานาธิบดีก็มิได้ใช้อำนาจนั้นเกินความจำเป็นแต่อย่างใดhttp://www.opinionjournal.com/columnists/bminiter/?id=95001607 === การบริหารงานแผ่นดิน === บุชได้ให้ความสำคัญอย่างยิ่งต่อความจงรักภักดีส่วนบุคคล อันส่งผลให้คณะบริหารงานแผ่นดินของบุชสามารถสื่อสารแนวความคิดทางการเมืองของบุชแก่ประชาชนได้โดยไม่ไขว้เขว เขายังคงรักษารูปแบบการทำงานแบบ วางมือให้ทีมดำเนินการไป เนื่องจากเชื่อว่าจะป้องกันไม่ให้เขาถูกขัดขวางด้วยกระบวนการตัดสินใจอันสลับซับซ้อน บุชกล่าวกับไดแอน ซอวเยอร์ ในรายการของเอบีซี ในเดือนธันวาคม ค.ศ. 2003 ว่า ''"ข้าพเจ้ามั่นใจในรูปแบบการบริหารงานของตน ข้าพเจ้ามีต้วแทนในการดำเนินงานต่างๆเนื่องจากข้าพเจ้าไว้ใจผู้ที่ข้าพเจ้าขอให้มาร่วมทีม ข้าพเจ้ายินดีที่จะแต่งตั้งตัวแทน และนั่นทำให้การเป็นประธานาธิบดีนั้นง่ายขึ้น"'' อย่างไรก็ดี นักวิจารณ์ได้กล่าวหาว่าบุชต้องการมองข้ามข้อผิดพลาดhttp://devilstower.dailykos.com/story/2005/7/14/131832/042 ที่ผู้ใต้บังคับบัญชาก่อขึ้น และตัวบุชเองก็แวดล้อมไปด้วยพวกประจบสอพลอ ตลอดระยะเวลาดำรงตำแหน่งประธานาธิบดีของบุชนั้น เป็นช่วงที่มีการปกป้องสิทธิพิเศษของผู้บริหารระดับสูงอยู่มาก นักวิจารณ์หลายคนได้อ้างว่า บุชได้ให้ความสำคัญต่อสิทธิพิเศษของผู้บริหารระดับสูง เมื่อเขาเสนอชื่อบุคคลสามคนให้เป็นผู้ดำรงตำแหน่งในศาลฎีกาสหรัฐ และการเสนอชื่อนายจอห์น อาร์. โบลตัน ดำรงตำแหน่งทูตสหรัฐประจำองค์การสหประชาชาติ บุชยังได้บริหารงานแผ่นดินในตำแหน่งประธานาธิบดีหลายอย่าง ในขณะที่พำนักในบ้านไร่เมืองครอวฟอร์ด รัฐเท็กซัส ที่ถูกขนานนามว่า ''"ทำเนียบขาวบ้านไร่"'' ดังเช่นเมื่อวันที่ 2 กันยายน ค.ศ. 2005 บุชได้ไปเยือนบ้านไร่ถึง 49 ครั้งขณะดำรงตำแหน่งประธานาธิบดี รวมเป็นเวลาที่เขาจากทำเนียบขาวไปทั้งสิ้น 319 วัน จนเกือบจะเท่ากับสถิติที่โรนัลด์ เรแกน เคยทำไว้ คือ 335 วัน ภายใน 5 ปีครึ่ง คณะผู้บริหารงานแผ่นดินของบุชได้สนับสนุนแนวทางนี้ โดยกล่าวว่าการไปเยือนบ้านไร่ ช่วยให้ประธานาธิบดีได้มีมุมมองที่แตกต่างจากในวงจรการเมืองน้ำเน่าของแวดวงรัฐบาลกลาง ซึ่งแม้จะอยู่บ้านไร่ ประธานาธิบดีก็ยังคงปฏิบัติภารกิจตามปกติ (คณะผู้บริหารงานแผ่นดินได้บันทึกไว้ว่า การเยือนบ้านไร่ครอวฟอร์ด ครั้งที่ยาวนานที่สุดของบุช คือเมื่อเดือนกันยายน ค.ศ. 2005 ใช้เวลาพักผ่อนรวมเพียงหนึ่งสัปดาห์ จากระยะเวลาเยือนรวมทั้งสิ้น 5 สัปดาห์) รายชื่อคณะรัฐมนตรีของบุชได้ถูกรวบรวมไว้ใน :en:George W. Bush administration|หน้าหลักของรายชื่อคณะรัฐบาล ภายใต้ประธานาธิบดีจอร์จ ดับเบิลยู. บุช (จากวิกิพีเดียภาษาอังกฤษ) === นโยบายการต่างประเทศและความมั่นคง === ระหว่างการเยือนยุโรปครั้งแรกของบุชในฐานะประธานาธิบดี ในเดือนมิถุนายน ค.ศ. 2001 ผู้นำชาติยุโรปได้วิพากษ์วิจารณ์บุชเกี่ยวกับการที่เขาปฏิเสธพิธีสารโตเกียว เพื่อลดการเพิ่มอุณหภูมิของโลก ในปี 2002 บุชได้ปฏิเสธสนธิสัญญาดังกล่าวเนื่องจากเห็นว่าเป็นตัวขัดขวางการเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจของสหรัฐ โดยกล่าวว่า ''"แนวทางของข้าพเจ้านั้นเห็นว่าการเติบโตทางเศรษฐกิจเป็นทางออก ไม่ใช่ปัญหา"''http://georgewbush-whitehouse.archives.gov/news/releases/2002/02/20020214-5.html คณะบริหารงานแผ่นดินของบุชยังโต้แย้งเกี่ยวกับความน่าเชื่อถือทางวิทยาศาสตร์ อันเป็นที่มาของสนธิสัญญาฉบับนี้ http://georgewbush-whitehouse.archives.gov/news/releases/2001/06/20010611-2.html ในเดือนพฤศจิกายน ค.ศ. 2004 รัสเซียได้ลงนามยอมรับสนธิสัญญาดังกล่าว ทำให้มันมีผลบังคับใช้โดยไม่จำเป็นต้องผ่านการลงนามเห็นชอบของสหรัฐอเมริกา นโยบายต่างประเทศของบุชได้รณรงค์สนับสนุนการกระชับความสัมพันธ์ทางเศรษฐกิจ และการเมืองกับกลุ่มประเทศในแถบละตินอเมริกา โดยเฉพาะอย่างยิ่งเม็กซิโก และลดการเข้าแทรกแซง ''"การสร้างชาติ"'' และการแทรกแซงทางการทหารเล็กๆน้อยๆที่เกี่ยวข้องกับผลประโยชน์ของสหรัฐ อย่างไรก็ดี หลังจากวินาศกรรม 11 กันยายน พ.ศ. 2544|เหตุการณ์ก่อวินาศกรรมเมื่อวันที่ 11 กันยายน ค.ศ. 2001 (9/11) กระทรวงการต่างประเทศได้มุ่งเน้นความสำคัญไปยังกลุ่มประเทศตะวันออกกลาง ==== การก่อการร้าย ==== ไฟล์:Bush Ground Zero.jpg|thumb|left|บุชกล่าวต่อบรรดา เจ้าหน้าที่กู้ภัยที่ปฏิบัติงานบริเวณ กราวด์ซีโร ในมหานครนิวยอร์ก เมื่อวันที่ 14 กันยายน ค.ศ. 2001 ว่า ''"กระผมได้ยินเสียงพวกท่าน โลกทั้งใบได้ยินพวกท่าน และผู้ที่ทำตึกเหล่านี้ล้มครืนลงมา จะได้ยินพวกเราทั้งหมดในไม่ช้านี้"'' เมื่อวันที่ 7 ตุลาคม ค.ศ. 2001 สหรัฐอเมริกาภายใต้การสนับสนุนจากนานาชาติ ได้ประกาศสงครามกับรัฐบาลตาลีบัน ของอัฟกานิสถาน ที่ถูกตั้งข้อกล่าวหาว่าให้ที่พักพิงแก่นายโอซามา บิน ลาเดน ผลพวงของความพยายามสร้างชาติอัฟกันร่วมกับสหประชาชาติ และประธานาธิบดีฮามิด การ์ไซ ส่งผลทั้งในแง่บวกและแง่ลบ ในปี 2005 สหรัฐก็ยังหาตัว บิน ลาเดน ไม่พบ การเลือกตั้งประธานาธิบดีอัฟกานิสถานมีขึ้นเมื่อวันที่ 9 ตุลาคม ค.ศ. 2004 แม้ว่าผู้สังเกตการณ์จากนานาชาติจะบอกว่าการเลือกตั้งครั้งนี้ เป็นไปอย่าง ''"ค่อนข้างเป็นประชาธิปไตย"'' และ ''"ได้รับคะแนนเสียงข้างมาก"'' ตามที่ศูนย์สำรวจคะแนนนิยมกลางระบุ ผู้สมัครชิงตำแหน่งประธานาธิบดี 15 จากทั้งหมด 18 คน ก็ถูกข่มขู่ให้ถอนตัว โดยถูกกล่าวหาว่าการลงทะเบียนเป็นมลทิน และไม่มีสภาพเป็นผู้สมัครอย่างถูกต้องhttp://fpc.state.gov/fpc/37133.htm หลายวันหลังจากที่บุชกลับเข้ารับตำแหน่งประธานาธิบดี เขาได้ประกาศว่า "ผมจะเดินหน้าแผนระบบต่อต้านขีปนาวุธ" http://georgewbush-whitehouse.archives.gov/news/releases/20010126-7.html และเพื่อให้บรรลุวัตถุประสงค์ดังกล่าว บุชได้ประกาศเมื่อวันที่ 1 พฤษภาคม ค.ศ. 2001 ว่าเขาประสงค์จะถอนตัวจากสนธิสัญญาต่อต้านขีปนาวุธ ของปี 1972 และใช้ระบบต่อต้านขีปนาวุธที่สามารถกำบังการจู่โจมจากประเทศที่เป็นภัยคุกคามได้http://www.fas.org/nuke/control/abmt/news/010501bush.html สมาคมฟิสิกส์แห่งสหรัฐได้วิพากษ์วิจารณ์การเปลี่ยนแปลงนโยบายครั้งนี้ โดยตั้งข้อกังขาเกี่ยวกับประสิทธิภาพของระบบ บุชได้โต้แย้งว่ามีความสมเหตุสมผลดีแล้ว เนื่องจากสงครามเย็นอันเป็นผลพวงของสนธิสัญญาดังกล่าวได้หมดยุคลงแล้ว เอกสารที่สหรัฐขอถอนตัวจากสนธิสัญญาดังกล่าวอย่างเป็นทางการได้ถูกประกาศเมื่อวันที่ 13 ธันวาคม ค.ศ. 2001 โดยกล่าวถึงความจะเป็นในการต่อต้านการก่อการร้าย แม้จะเคยมีปรากฏว่าประธานาธิบดีเป็นผู้ขอยกเลิกสนธิสัญญา แต่กรณีส่วนใหญ่แล้วจะมีการขอความเห็นชอบจากสภาคองเกรสhttp://caselaw.lp.findlaw.com/data/constitution/article02/11.html#2 ==== อิรัก ==== ไม่นานหลังเกิดเหตุการณ์ 9/11 คณะบริหารงานแผ่นดินของบุชได้เริ่มรณรงค์แผนการตอบโต้เร่งด่วนต่ออิรัก โดยระบุว่าประธานาธิบดีซัดดัม ฮุสเซนของอิรัก ได้กลับมาใช้อาวุธที่มีอานุภาพทำลายล้างสูงอีกครั้ง แม้ว่าซัดดัมจะอ้างว่าเขาได้ทำลายอาวุธเคมีและชีวภาพที่เขาเคยมีเมื่อก่อนปี 1991 ทั้งหมด (ซัดดัมเคยใช้มันสังหารชาวเคิร์ดทางตอนเหนือของอิรัก เมื่อปี 1988 โดยที่โครงการอาวุธดังกล่าวได้รับการสนับสนุนจากสหรัฐและอังกฤษ) ทฤษฎีที่ว่าซัดดัมได้ทำลายอาวุธที่มีอานุภาพทำลายล้างสูงได้ถูกประกาศอย่างโจ่งแจ้งโดยนายสก็อต ริตเตอร์ อดีตผู้ตรวจอาวุธ และนายฮานส์ บลิกซ์ อดีตหัวหน้าผู้ตรวจอาวุธของสหประชาชาติhttp://news.bbc.co.uk/1/hi/world/middle_east/3323633.stm บุชยังกล่าวว่าซัดดัมเป็นภัยคุกคามต่อความมั่นคงแห่งชาติของสหรัฐ และทำให้ขาดเสถียรภาพในตะวันออกกลาง ก่อให้เกิดกรณีพิพาทอิสราเอล-ปาเลสไตน์ อีกทั้งได้ให้เงินสนับสนุนผู้ก่อการร้าย รายงานของหน่วยข่าวกรองแห่งชาติสหรัฐหรือ ซีไอเอ ได้ระบุว่าการที่ซัดดัม ฮุสเซนพยายามจะมีวัตถุนิวเคลียร์ในครอบครองนั้น ไม่ถือว่าเป็นอาวุธเคมี หรืออาวุธชีวภาพที่ฝ่าฝืนมาตรการคว่ำบาตรของสหประชาชาติ และขีปนาวุธของอิรักบางส่วนนั้น มีวิถีไกลเกินกว่าที่มาตรการคว่ำบาตรของสหประชาชาติอนุญาต แต่ถ้าจะว่ากันไปแล้ว ตั้งแต่ปี 1998 เป็นต้นมา ประธานาธิบดีสหรัฐมีนโยบายจะโค่นล้มซัดดัม ฮุสเซน ด้วยการใช้กฎหมายปลดปล่อยอิรัก ที่ผ่านความเห็นชอบของสภานิติบัญญัติ และวุฒิสภา อีกทั้งผ่านการลงนามโดยประธานาธิบดีบิล คลินตัน http://www.timesonline.co.uk/article/0,,2087-1593607,00.html จากการที่ประกาศออกไปว่าซัดดัม ฮุสเซน สามารถส่งมอบอาวุธที่มีอานุภาพทำลายล้างสูงให้แก่ผู้ก่อการร้ายได้ บุชก็ได้เตือนสหประชาชาติให้บังคับใช้อาณัติปลดอาวุธอิรัก โดยอ้างความเร่งด่วนของวิกฤตการณ์ทางการทูต เมื่อวันที่ 13 พฤศจิกายน ค.ศ. 2002 ภายใต้ข้อมติของคณะมนตรีความมั่นคงแห่งสหประชาชาติ นายฮานส์ บลิกซ์ และนายโมฮัมเม็ด เอลบาราดาย ได้นำคณะผู้ตรวจอาวุธของสหประชาชาติไปยังอิรัก การที่อิรักไม่ให้ความร่วมมือ ได้ก่อให้เกิดการโต้วาทีอย่างเผ็ดร้อนเกี่ยวกับประสิทธิภาพของการตรวจการณ์ ส่งผลให้คณะผู้ตรวจอาวุธได้เดินทางออกจากอิรักภายใต้คำแนะนำของสหรัฐ สี่วันก่อนกำหนดการเดิมhttp://www.usatoday.com/news/world/iraq/2003-03-17-inspectors-iraq_x.htm นายโคลิน พาวเวลล์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศสหรัฐ ได้เตือนผู้ร่วมงานในคณะบริหารงานแผ่นดินของประธานาธิบดีบุช ให้หลีกเลี่ยงการก่อสงครามที่ไม่ได้รับความเห็นชอบอย่างเด่นชัดจากสหประชาชาติ คณะบริหารงานแผ่นดินของบุชได้พยายามผลักดันข้อมติอนุมัติการปฏิบัติหน้าที่ของกองกำลังทหาร http://www.worldpress.org/specials/iraq/chapterVII.htm ตามบทบัญญัติที่ 7 แห่งกฎบัตรสหประชาชาติ แต่ก็ต้องเผชิญกับกระแสคัดค้านจากชาติมหาอำนาจหลายชาติ รวมทั้งการข่มขู่ของนานาชาติจากการที่ฝรั่งเศสเสียหน้าในการใช้สิทธิ์ยับยั้ง ทำให้สหประชาชาติไม่อนุมัติ โดยมีเพียงไม่กี่ชาติ ที่ได้รับสมญาว่าเป็น "กลุ่มแนวร่วมฝักใฝ่"เห็นชอบกับสหรัฐ และเตรียมพร้อมเข้าร่วมสงครามhttp://news.bbc.co.uk/2/hi/americas/2862343.stm ไฟล์:Bush-USS-Lincoln.jpg|thumb|ประธานาธิบดี จอร์จ ดับเบิลยู. บุช ได้กล่าวกับนาวิกโยธิน และกับเพื่อนร่วมชาติ จากลานบินบนเรือรบหลวง ยู.เอส.เอส. อับราฮัม ลิงคอล์น นอกชายฝั่งซานดิเอโก รัฐแคลิฟอร์เนีย เมื่อวันที่ 1 พฤษภาคม ค.ศ. 2003 ซึ่งคำประกาศว่า ''"ภารกิจสำเร็จลุล่วงแล้ว!"'' เพื่อประกาศชัยชนะ และการสิ้นสุดปฏิบัติการรบสำคัญๆ ในอิรัก ได้ก่อให้เกิดกระแสวิพากษ์วิจารณ์ตามมา ปฏิบัติการณ์ทางทหารได้เริ่มต้นขึ้นเมื่อวันที่ 20 มีนาคม ค.ศ. 2003 เพื่อพิสูจน์ว่าอิรักมีอาวุธที่มีอานุภาพทำลายล้างสูงไว้ในครอบครอง และโค่นอำนาจของซัดดัม ''การเตรียมพร้อมเข้าสู่ภาวะสงคราม''ของสหรัฐมีขึ้น พร้อมๆกับการที่ซัดดัมยื้อการตรวจอาวุธให้ยืดเยื้อไปอีก การกล่าวหาว่ามีการพยายามลอบสังหารอดีตประธานาธิบดีจอร์จ เอ็ช. ดับเบิลยู. บุช ในปี 1991 การฝ่าฝืนสัญญาหยุดยิงในปีนี้ และการฝ่าฝืนข้อมติต่างๆของสหประชาชาติ โดยมีนายโคฟี อันนัน เลขาธิการองค์การสหประชาชาติ และผู้นำชาติมหาอำนาจหลายประเทศได้ตั้งข้อกังขาเกี่ยวกับความชอบธรรมของสงครามดังกล่าว และแม้ว่าบุชประกาศจะประกาศชัยชนะไปเมื่อวันที่ 1 พฤษภาคม ค.ศ. 2003 แต่ปฏิบัติการทางทหารของสหรัฐยังคงดำเนินต่อไปถึงปี ค.ศ. 2005 อันเนื่องมาจากเหตุการณ์ไม่สงบในอิรัก แม้ว่าจะสามารถจับกุมตัวซัดดัม ฮุสเซนได้แล้วก็ตาม เมื่อวันที่ 30 กันยายน ค.ศ. 2004 รายงานผลสุดท้ายของ คณะสำรวจอิรักของสหรัฐ ได้สรุปว่า "คณะผู้ตรวจสอบอาวุธไม่พบหลักฐานว่า ซัดดัม ฮุสเซน มีอาวุธที่มีอานุภาพทำลายล้างสูงไว้ในครอบครอง ในปี 2003 แต่หลักฐานที่พบจากการตรวจสอบ รวมถึงการสัมภาษณ์ผู้ถูกกักขัง และการตรวจสอบเอกสาร ต่าง»แสดงให้เห็นว่า อาจเป็นไปได้ที่มีอาวุธดังกล่าวอยู่ในอิรัก แม้ว่าจะไม่มีนัยยะสำคัญทางการทหารก็ตาม"http://www.globalsecurity.org/wmd/library/report/2004/isg-final-report/isg-final-report_vol1_rsi-06.htm รายงานของคณะผู้สอบสวนกรณี 9/11 ก็ไม่พบหลักฐานที่อาจเชื่อถือได้ว่าซัดดัม ฮุสเซน มีอาวุธที่มีอานุภาพทำลายล้างสูงไว้ในครอบครอง แม้รายงานจะสรุปว่ารัฐบาลของซัดดัมจะพยายามอย่างหนัก ให้มีเทคโนโลยีที่ทำให้อิรักสามารถผลิตอาวุธที่มีอานุภาพทำลายล้างสูงไว้ในครอบครอง ทันทีที่มีการยกเลิกการคว่ำบาตรของสหประชาชาติhttp://www.9-11commission.gov/report/911Report.pdf นอกจากนี้ คณะผู้สอบสวนกรณี 9/11 ยังพบว่า แม้อิรักจะมีการติดต่อกับกลุ่มอัลกออิดะห์ ในปี 1996 แต่ก็ ''"ไม่มีการประสานความร่วมมือกัน"'' ที่เกี่ยวเนื่องกับเหตุการณ์ก่อวินาศกรรม 9/11 แต่อย่างใดhttp://www.washingtonpost.com/wp-dyn/articles/A47812-2004Jun16.html ==== การอพยพเข้าเมือง ==== บุชได้เสนอให้แก้ไขกฎหมายผู้อพยพเข้าเมือง ที่จะทำให้เกิดการใช้วีซ่าแรงงานต่างชาติอย่างกว้างขวาง ข้อเสนอของเขาสนองตอบต่อความต้องการของนายจ้าง ที่มีแรงงานต่างชาติทำงานให้ไม่เกินหกปี อย่างไรก็ดี ผู้ใช้แรงงานจะไม่มีสิทธิ์ได้รับบัตรพำนักถาวร (หรือ กรีนการ์ด) หรือแม้กระทั่งสัญชาติสหรัฐ ร่างแก้ไขข้อกฎหมายดังกล่าวถูกคัดค้านโดยวุฒิสมาชิกจากพรรคเดโมแครตกลุ่มหนึ่ง รวมถึง บาบารา บ็อกเซอร์ และ เท็ด เคเนดี บุชยังได้ประกาศอย่างเป็นทางการว่า ต้องการเพิ่มความเข้มงวดของการรักษาความปลอดภัย ตามแนวพรมแดนสหรัฐ - เม็กซิโก อีกทั้งต้องการเร่งรัดกระบวนการขับผู้อพยพกลับประเทศ การสร้างที่คุมขังเพิ่มเติม เพื่อรองรับผู้อพยพเข้าเมืองโดยผิดกฎหมาย และการติดตั้งอุปกรณ์เพิ่มเติม และเพิ่มจำนวนเจ้าหน้าที่ตามแนวชายแดน บุชยังเห็นชอบต่อการ "เพิ่มจำนวนกรีนการ์ดประจำปี ที่จะก่อให้เกิดการขอสัญชาติเพิ่มขึ้น" แต่ก็มิได้สนับสนุนการให้นิรโทษกรรมแก่ผู้ที่เข้าประเทศโดยผิดกฎหมายอยู่แต่ก่อนแล้ว โดยอ้างว่ามาตรการดังกล่าวมีแต่จะสนับสนุนให้มีการอพยพเข้าเมืองโดยผิดกฎหมายเพิ่มขึ้น http://www.cnn.com/2005/POLITICS/11/29/bush.immigration/ === การสาธารณสุข (นานาชาติ) === ใน การแถลงนโยบายประจำปี เมื่อเดือนมกราคม ค.ศ. 2003 บุชได้กำหนดยุทธวิธีห้าปี เพื่อบรรเทาการแพร่ระบาดของโรคเอดส์ระดับสากล โดยเขาได้เรียกร้องงบประมาณ 15,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐเพื่อการนี้ และข้อเสนอดังกล่าวก็ได้รับการสนับสนุนจากสภาคองเกรส ความพยายามบรรเทาการระบาดของโรคเอดส์อย่างเร่งด่วน มีนายแรนดาล แอล. โทเบียส ผู้ประสานงานโรคเอดส์สากล ประจำสำนักการต่างประเทศ เป็นหัวหน้าโครงการ โดยในเงินงบประมาณก้อนนี้ ได้มีการจัดสรร 9 พันล้านดอลลาร์สหรัฐเพื่อโครงการบรรเทาการแพร่ระบาดของเอดส์ใน 15 ประเทศที่มีผู้ติดเชื้อHIV|เอช.ไอ.วี. มากที่สุด อีก 5 พันล้านดอลลาร์จะนำไปสนับสนุนการบรรเทาการแพร่ระบาดของเอดส์อย่างต่อเนื่อง ในอีก 100 ประเทศที่สหรัฐได้เคยจัดตั้งโครงการควบคู่ไว้แล้ว และอีกหนึ่งพันล้านดอลลาร์สหรัฐจะนำไปสนับสนุนกองทุนรวมเพื่อต่อสู้กับโรคเอดส์ วัณโรค และมาลาเรีย เงินงบประมาณนี้นับเป็นมูลค่ามากกว่าเงินบริจาคเพื่อต่อสู้กับโรคเอดส์ จากทุกประเทศรวมกันเสียอีก === การพาณิชย์ === การที่บุชบังคับใช้อัตราภาษีนำเข้าเหล็ก และไม้เนื้ออ่อนแปรรูปของแคนาดา ทำให้เกิดการถกเถียงในประเด็นที่เขาให้การสนับสนุนนโยบายการค้าเสรี กับสินค้าตัวอื่น ๆ และทำให้เกิดกระแสวิพากษ์วิจารณ์ ทั้งจากเพื่อนแนวร่วมอนุรักษนิยม และจากชาติที่ได้รับผลกระทบ อัตราภาษีเหล็กนำเข้าได้ถูกเพิกถอนในเวลาต่อมาภายใต้แรงกดดันจากองค์กรการค้าโลก กรณีพิพาทไม้เนื้ออ่อนแปรรูประหว่างแคนาดากับสหรัฐ ยังคงดำเนินอยู่ === การช่วยเหลือเพื่อการพัฒนา === สำนักงานการต่างประเทศสหรัฐ และสำนักงานเพื่อการพัฒนาระหว่างประเทศของสหรัฐ (หรือ ยูเสด) ได้ตีพิมพ์แผนยุทธวิธีสำหรับช่วงปี 2004 - 2009 ซึ่งวัตถุประสงค์หลักของยุทธวิธีดังกล่าว ได้ยึดเอาแนวทางที่ถูกระบุไว้ในยุทธวิธีเพื่อความมั่นคงแห่งชาติของประธานาธิบดีบุช สามประการด้วยกัน อันได้แก่ การทูต การพัฒนา และการป้องกันประเทศ นโยบายใหม่ของบุชจะทำให้มีการให้ความช่วยเหลือเพิ่มขึ้นถึงร้อยละ 50 แก่ประเทศที่ช่วยเหลือตัวเองในการพัฒนา ''"ด้วยการปกครองอย่างถูกต้อง ลงทุนอย่างชาญฉลาดในทรัพยากรมนุษย์ของตน และสนับสนุนให้เกิดอิสรภาพทางเศรษฐกิจ"'' การช่วยเหลือการพัฒนาจะต้องควบคู่ไปกับนโยบายต่างประเทศของสหรัฐ นั่นหมายความว่า ยูเสด จะให้การสนับสนุนเพื่อการพัฒนาแก่ ''"ประเทศที่ยึดมั่นต่อการปกครองตามระบอบประชาธิปไตย เศรษฐกิจแบบเปิด และมีการลงทุนอย่างชาญฉลาดในด้านการศึกษา การสาธารณสุจ และศักยภาพของประชาชน"'' http://www.state.gov/s/d/rm/rls/dosstrat/2004/23503.htm === นโยบายภายในประเทศ === ==== แนวคิดริเริ่มที่อิงคติความเชื่อทางศาสนา ==== ในช่วงต้นปี 2001 บุชได้ทำงานร่วมกับพรรครีพับลิกัน และพรรคสังคมอนุรักษนิยมในสภาคองเกรส เพื่อผ่านร่างกฎหมายสำหรับแก้ไขวิธีการที่รัฐบาลกลางใช้ในการกำหนดควบคุม เก็บภาษี และให้เงินทุนสนับสนุนองค์กรการกุศล และองค์กรที่ไม่แสวงหาผลกำไร ที่ดำเนินการโดยองค์กรทางศาสนา แม้ว่าก่อนหน้าที่จะมีร่างกฎหมายดังกล่าว องค์กรเหล่านี้ก็สามารถรับการสนับสนุนจากรัฐบาลกลางได้ แต่ร่างกฎหมายดังกล่าวก็ได้กำจัดข้อกำหนดที่ระบุว่าองค์กรจะต้องแยกการดำเนินงานเพื่อการกุศล ออกจากการดำเนินงานทางศาสนา บุชยังได้สร้าง ''"สำนักงานประจำทำเนียบขาว เพื่อโครงการริเริ่มที่อิงความเชื่อทางศาสนาและชุมชน"'' http://georgewbush-whitehouse.archives.gov/government/fbci/ องค์การหลายแห่งด้วยกัน เป็นต้นว่า สหภาพเพื่ออิสภาพของพลเรือนอเมริกันได้วิพากษ์วิจารณ์โครงการริเริ่มของบุชที่อิงความเชื่อทางศาสนา โดยโต้แย้งว่า ทำให้รัฐต้องไปพัวพันกับศาสนา และให้การสนับสนุนศาสนา ซึ่งขัดต่อประโยคพื้นฐานในบทบัญญัติแรกของรัฐธรรมนูณของสหรัฐ ที่ว่า "สภาคองเกรสจะต้องไม่บัญญัติกฎหมายที่เอื้อต่อการมีอำนาจทางการเมืองของศาสนจักร" ==== ความหลากหลายของเชื้อชาติและสิทธิพลเมือง ==== บุชคัดค้านการยอมรับกฎหมายสมรสระหว่างเพศเดียวกัน แต่สนับสนุนการอยู่ด้วยกันของหญิงชายโดยไม่จดทะเบียนสมรส (''"กระผมคิดว่า เราไม่ควรปฏิเสธสิทธิของพลเรือนที่จะอยู่ด้วยกันโดยไม่จดทะเบียนสมรส ที่มีการจัดการทางกฎหมายอย่างถูกต้อง"'' ข่าวจากสถานีโทรทัศน์เอบีซี 16 ตุลาคม ค.ศ. 2004) เขาได้ลงนามรับรองร่างแก้ไขเพิ่มเติมกฎหมายสมรสของรัฐบาลกลาง ซึ่งเป็นการเสนอข้อแก้ไขเพิ่มเติมของรัฐธรรมนูญสหรัฐ ที่ให้เพิ่มคำจำกัดความของการสมรสว่า ''"คือการอยู่ร่วมกันระหว่างหนึ่งหญิงและหนึ่งชาย"'' บุชได้ตอกย้ำว่าไม่เห็นด้วยกับแม่แบบทางการเมืองของพรรครีพับลิกัน ที่คัดค้านการอยู่ด้วยกันโดยไม่จดทะเบียนสมรส และกล่าวว่าประเด็นดังกล่าวควรขึ้นอยู่กับการตัดสินใจของรัฐบาลท้องถิ่นในแต่ละรัฐ ในการแถลงนโยบายประจำปีวันที่ 2 กุมภาพันธ์ ค.ศ. 2005 เขาได้ย้ำแนวคิดของเขาที่สนับสนุนให้มีการแก้ไขรัฐธรรมนูญ บุชเป็นประธานาธิบดีคนแรกจากพรรครีพับลิกันที่ได้แต่งตั้งให้เกย์เป็นหนึ่งในคณะบริหารงานแผ่นดินของเขาอย่างเปิดเผยhttp://www.sfgate.com/cgi-bin/article.cgi?file=/chronicle/archive/2001/04/10/MN198145.DTL (สก็อต เอเวิร์ตซ ได้รับการแต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่งผู้อำนวยการสำนักงานควบคุมนโยบายโรคเอดส์แห่งชาติ) และเป็นประธานาธิบดีคนแรกที่ประสบความสำเร็จจากการแต่งตั้งนายไมเคิล อี. เกสต์ ที่เป็นเกย์ให้เป็นเอกอัครราชทูตสหรัฐประจำโรมาเนียอย่างเปิดเผย บุชอ้างว่าเขาสนับสนุนแนวนโยบายของผู้บริหารระดับสูง ที่ออกบังคับใช้โดยประธานาธิบดีบิล คลินตัน ที่ห้ามการจ้างงานที่คัดสรรบุคคลโดยการเหยียดรสนิยมทางเพศ แต่สก็อต บลอช ผู้ที่บุชได้แต่งตั้งให้เป็นที่ปรึกษาพิเศษในปี 2003 รู้สึกว่าเขาไม่มีอำนาจทางกฎหมายในการบังคับใช้แนวนโยบายดังกล่าวhttp://www.washingtonpost.com/wp-dyn/content/article/2005/05/24/AR2005052401496.html ระหว่างการพิจารณาคดีเกี่ยวกับการรณรงค์หาเสียงชิงตำแหน่งประธานาธิบดีของเขาในปี 2000 เขาได้พบกับกลุ่มล็อกเคบินของพรรครีพับลิกัน ซึ่งทำให้เขาเป็นผู้สมัครชิงตำแหน่งประธานาธิบดีจากพรรครีพับลิกันคนแรกที่ได้มีส่วนเกี่ยวข้องกับล็อกเคบิน องค์กรนี้ได้สนับสนุนเขาในการเลือกตั้งประธานาธิบดีปี 2000 แต่ก็ไม่ได้สนับสนุนต่อเนื่องมาถึงการเลือกตั้งประธานาธิบดีปี 2004 คะแนนเสียงสนับสนุนบุชจากชาวอเมริกันเชื้อสายแอฟริกันเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยยะสำคัญทางสถิติ เมื่อเทียบกับผู้สมัครชิงตำแหน่งประธานาธิบดีสหรัฐจากพรรครีพับลิกันคนอื่นๆได้รับในช่วงที่เขารณรงค์หาเสียง แม้ว่าเขาจะได้คะแนนเสียงจากคนผิวดำเพียง 9% ในปี 2000 แต่ก็กลับเพิ่มขึ้นเป็น 12 % ในปี 2004 โดยเฉพาะอย่างยิ่งคะแนนจากคนผิวดำที่เพิ่มขึ้นในรัฐโอไฮโอ ทำให้บุชมีชัยเหนือจอห์น แครี ในที่สุด แม้ว่าบุชจะแสดงความเห็นชอบต่อการที่ศาลฎีกาสหรัฐสนับสนุนให้สถานศึกษาในระดับอุดมศึกษา ได้คัดเลือกนักศึกษาเพื่อความหลากหลายทางเชื้อชาติ คณะบริหารราชการแผ่นดินของเขากลับคัดค้านแนวคิดดังกล่าว บุชยังได้กล่าวว่าเขาคัดค้านการแทรกแซงของรัฐที่บังคับโควตานักศึกษาและการลำเอียงเชื้อชาติ แต่เห็นว่าหน่วยงานภาครัฐและเอกชนควรให้โอกาสแก่ชนกลุ่มน้อยที่มีความสามารถเพื่อให้เกิดการจ้างงานที่มีความหลากหลายทางเชื้อชาติ รายงานของคณะกรรมาธิการสหรัฐว่าด้วยสิทธิพลเมือง เมื่อเดือนสิงหาคม ค.ศ. 2005 ระบุว่า ''"รัฐบาลล้มเหลวที่จะรักษาความเป็นกลางทางเชื้อชาติอย่างจริงจัง ตามที่กำหนดไว้ในรัฐธรรมนูญ"'' นายเจอรัลด์ เอ. เรย์โนลด์ ประธานคณะกรรมาธิการ อธิบายว่า ''"หน่วยงานของรัฐบาลกลางไม่ได้ประเมิน ทำวิจัย เก็บรวบรวมข้อมูล หรือทบทวนโครงการต่างๆอย่างสม่ำเสมอและเป็นเอกเทศ เพื่อที่จะตัดสินว่ายุทธวิธีเป็นกลางทางเชื้อชาติจะเป็นทางเลือกที่เหมาะสมสำหรับโครงการรณรงค์ให้เกิดความตระหนักทางเชื้อชาติ"'' กลุ่มรณรงค์สิทธิพลเมืองได้แสดงความห่วงใยว่ารายงานฉบับนี้ เป็นการโจมตีการสนับสนุนให้เกิดความหลากหลายทางเชื้อชาติที่สวนทางกับคำวินิจฉัยของศาลฎีกาสหรัฐในคดีกรัทเทอร์ ปะทะ โบลลินเจอร์ ในช่วงที่บุชดำรงตำแหน่งประธานาธิบดีสหรัฐสมัยแรก เขาได้แต่งตั้งโคลิน พาวเวลล์ ให้เป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ พาวเวลล์เป็นชาวสหรัฐเชื้อสายอัฟริกาคนแรกที่ได้รับตำแหน่งนี้ ซึ่งก็ตามมาด้วย คอนโดลีซซา ไรซ์|ดร.คอนโดลีซซา ไรซ์ ที่เป็นสตรีสหรัฐเชื้อสายอัฟริกาคนแรกที่ได้รับตำแหน่งนี้ ในปี 2005 เขาได้แต่งตั้งนายอัลแบร์โต กอนซาเลส ให้เป็นอัยการกลางสหรัฐ ทำให้เขาเป็นชาวสหรัฐเชื้อสายสเปนคนแรกที่ดำรงตำแหน่งนี้ โดยรวมแล้ว บุชได้แต่งตั้งสตรีและชนกลุ่มน้อยให้ดำรงตำแหน่งสำคัญทางการเมือง มากกว่าประธาธิบดีสหรัฐทุกคนที่ผ่านมา ==== เศรษฐกิจ ==== ระหว่างช่วงที่เขาดำรงตำแหน่งประธานาธิบดีสมัยแรก บุชได้ดำเนินความพยายามและประสบผลสำเร็จในการเรียกร้องให้สภาคองเกรสรับรองการลดภาษีสำคัญๆสามอย่างด้วยกัน อันได้แก่การเก็บภาษีเงินได้ทั่วไปสำหรับคู่สมรสน้อยลง ยกเลิกภาษีมรดก และลดอัตราภาษีหน่วยสุดท้าย การลดอัตราภาษีดังกล่าวกำหนดให้มีอันสิ้นสุดภายหลังบังคับใช้เป็นเวลา 10 ปี ซึ่งบุชก็ได้ขอให้สภาคองเกรสอนุมัติการลดอัตราภาษีเป็นการถาวร จากรายงานของสำนักงานวิจัยเศรษฐกิจแห่งชาติ เศรษฐกิจสหรัฐได้รับผลกระทบจากภาวะเศรษฐกิจถดถอยช่วงต้นคริสต์ทศวรรษที่ 2000 หรือระหว่างเดือนมีนาคม จนกระทั่งถึงเดือนพฤศจิกายน ค.ศ. 2001 รัฐบาลกลางใช้จ่ายงบประมาณประจำปีเพิ่มขึ้น 26% ตลอดช่วงสี่ปีครึ่งแรกภายใต้การบริหารของบุช อีกทั้งเงินงบประมาณที่ไม่ได้ถูกใช้เพื่อการป้องกันประเทศเพิ่มขึ้น 18%http://www.bea.gov/bea/dn/nipaweb/TableView.asp?SelectedTable=102&FirstYear=2003&LastYear=2005&Freq=Qtr การลดอัตราภาษี ภาวะเศรษฐกิจถดถอย และการปลดคนงานเพิ่มขึ้น ต่างมีส่วนทำให้เกิดการขาดดุลงบประมาณในช่วงที่บุชดำรงตำแหน่งประธานาธิบดี การขาดดุลประจำปีเพิ่มสูงขึ้นจาก 374,000,000,000 ดอลลาร์สหรัฐในปี 2003 เป็น 413,000,000,000 ดอลลาร์สหรัฐในปี 2004 หนี้สินแห่งชาติ ซึ่งเป็นยอดที่สะสมจากการขาดดุลงบประมาณในแต่ละปี เพิ่มขึ้นจาก 5.7 ล้านล้านดอลลาร์ (58 % ของผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ) เป็นhttp://www.publicdebt.treas.gov/opd/opdpenny.htm 7.9 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐ (68% ของผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศ) ภายใต้การนำของบุช ซึ่งนับว่าสูงมาก เมื่อเทียบกับหนี้สิน 2.7 ล้านล้านดอลลาร์เมื่อเรแกนพ้นจากตำแหน่ง หรือเท่ากับ http://www.bea.gov/ 52% ของผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศ จากการคาดคะเน"ข้อมูลฐาน" รายรับรายจ่ายของรัฐบาลกลางโดยสำนักงบประมาณสภาคองเกรส (การคาดคะเนงบประมาณเมื่อเดือนมกราคม ค.ศ. 2005http://www.cbo.gov/showdoc.cfm?index=6060&sequence=2 ระบุว่า อัตราการขาดดุลงบประมาณจะลดลงในอีกไม่กี่ปีข้างหน้า ซึ่งการขาดดุลจะลดลงเหลือ 368,000,000,000 (ดอลลาร์สหรัฐ) ในปี 2005 เป็น 261,000,000,000 (ดอลลาร์สหรัฐ) ในปี 2007 และ 207,000,000,000 (ดอลลาร์สหรัฐ) ในปี 2009 จนกระทั่งเกินดุลเล็กน้อยในปี 2012 สำนักงานงบประมาณกลางยังระบุด้วยว่า อย่างไรก็ดี "การประมาณการครั้งนี้ไม่ได้คำนึงถึงงบประมาณรายจ่ายจำนวนมหาศาลในปีนั้นๆ สำหรับปฏิบัติการทางทหารในอิรัก และอัฟกานิสถาน และปฏิบัติการต่อต้านการก่อการร้ายทั่วโลก" ประมาณการดังกล่าวยังยึดข้อมูลที่ว่าการตัดลดอัตราภาษีของบุช "จะไม่มีผลบังคับตั้งแต่วันที่ 31 ธันวาคม ค.ศ. 2010 เป็นต้นไป" และถ้าหากว่ามีการขยายระยะเวลาลดอัตราภาษีต่อไปอีก ตามที่บุชเรียกร้อง ประมาณการงบประมาณสำหรับปีค.ศ. 2015 จะเปลี่ยนจากเกินดุลอยู่ 141,000,000,000 (ดอลลาร์สหรัฐ) ไปเป็นขาดดุล 282,000,000,000 (ดอลลาร์สหรัฐ) ในทันที" อัตราเงินเฟ้อภายใต้การนำของบุช นับว่าต่ำสุดเป็นประวัติการณ์ เหลือเพียงแค่ปีละ 2-3% เท่านั้น เศรษฐกิจถดถอยและราคาสินค้าที่ลดลงนั้น มีผลสืบเนื่องมาจากการชะลอตัวของราคา ตั้งแต่ช่วงกลางปี 2001 ถึง 2003 เมื่อไม่นานมานี้ ราคาน้ำมันที่พุ่งสูงขึ้นทำให้เกิดความกังวลเกี่ยวกับการเพิ่มของอัตราเงินเฟ้อ ไฟล์:Unemployment2000-2005.png|thumb|อัตราการว่างงาน ระหว่างปีค.ศ. 2000 – ค.ศ. 2005 การจ้างงานภาคเอกชน (ที่มีการเปลี่ยนแปลงตามฤดูกาล) ได้ลดลงอย่างมากภายใต้การบริหารราชการของบุช จากอัตราจ้างงาน 111,680,000 ตำแหน่งในเดือนธันวาคม ค.ศ. 2000 เหลือเพียง 108,250,000 ตำแหน่งในช่วงกลางปี 2003 นับว่าการจ้างงานนั้นได้ลดลงมากเป็นประวัติการณ์ นับตั้งแต่ปี 1981 - 1983 แต่จากนั้นมา อัตราการเติบโตทางเศรษฐกิจก็ได้เพิ่มงานในภาคเอกชนตลอดช่วง 25 เดือนต่อมา (ตั้งแต่เดือนกรกฎาคม ค.ศ. 2003 ถึงเดือนสิงหาคม ค.ศ. 2005) แต่อัตราการจ้างงานภาคเอกชนยังคงต่ำกว่าอัตราก่อนที่บุชจะเข้ามาดำรงตำแหน่งประธานาธิบดี จนกระทั่งถึงเดือนมิถุนายน ค.ศ. 2005 ที่อัตราการจ้างงานเพิ่มขึ้นเป็น 111,828,000 ตำแหน่ง เมื่อเราคำนึงถึงอัตราการเพิ่มของประชากรด้วยแล้ว ก็นับได้ว่า อัตราการจ้างงานได้ลดลงถึง 4.6% ตั้งแต่บุชเข้ามาดำรงตำแหน่งประธานาธิบดี คณะผู้บริหารงานราชการและนักเศรษฐศาสตร์หลายคนได้แสดงความเห็นว่า อัตราการจ้างงานที่เพิ่มขึ้นในภายหลังนั้น เป็นผลมาจากกฎหมายประนีประนอมการจ้างงานและการลดอัตราภาษี (Jobs and Growth Tax Relief Reconciliation Act - JGTRRA) ที่ประธานาธิบดีจอร์จ ดับเบิลยู. บุช ได้ลงนามไว้เมื่อวันที่ 27 พฤษภาคม ค.ศ. 2003http://georgewbush-whitehouse.archives.gov/infocus/economy/ การสำรวจความยากจนทั่วประเทศครั้งล่าสุด (หรือที่เรียกอีกอย่างว่า การสำรวจครัวเรือน) เป็นการวัดร้อยละของประชากรที่มีงานทำกับไม่มีงานทำโดยการสุ่มตัวอย่าง ผลการสำรวจจะถูกคูณด้วยจำนวนประชากรเพื่อหาค่าประมาณการของอัตราการจ้างงาน การสำรวจแบบนี้ได้เปรียบกว่าการสำรวจการจ่ายเงินค่าจ้าง เนื่องจากรวมการจ่ายเงินค่าจ้างให้ตัวเองไว้ด้วย แต่ก็ให้ผลรวมที่แม่นยำน้อยกว่า (เนื่องจากต้องมีการประมาณการจำนวนประชากร) และใช้วิธีสุ่มตัวอย่างประชากรทั่วประเทศจำนวนน้อยมาก (60,000 ครัวเรือน รวมกับอีก 400,000 บริษัทเอกชน) ไม่ว่าจะดีหรือแย่กว่าก็ตาม การสำรวจครัวเรือนนับจำนวนงานหลายๆงานที่ประชากรคนหนึ่งทำว่าเป็นเพียงงานเดียว อันรวมถึงงานในภาครัฐ ภาคเกษตรกรรม การทำงานในครอบครัวที่ไม่ได้รับค่าจ้าง และคนทำงานที่ลาหยุดโดยไม่ได้รับค่าจ้าง การสำรวจครัวเรือนระบุว่าอัตราร้อยละของประชากรที่มีงานทำ ลดลงจาก 64.4% ในเดือน ธันวาคม ค.ศ. 2000 และเดือนมกราคม ค.ศ. 2001 เป็น 62.1% ในเดือนสิงหาคม และกันยายน ค.ศ. 2003 และในเดือนสิงหาคม ค.ศ. 2005 ได้มีการปรับเพิ่มขึ้นเป็น 62.9% เท่านั้น ตัวเลขต่างๆระบุว่าอัตราการมีงานทำลดลงนั้นสอดคล้องกับตำแหน่งงานที่ลดลง หนึ่งล้านหกแสนตำแหน่ง และได้เพิ่มขึ้นอีก สี่ล้านเจ็ดแสนตำแหน่งภายใต้การบริหารประเทศของบุชhttp://www.bls.gov/webapps/legacy/cpsatab1.htm ภายใต้การบริหารประเทศของบุช อัตราการว่างงานที่เปลี่ยนไปตามฤดูกาล ตามผลการสำรวจครัวเรือนเริ่มต้นที่ 4.7% ในเดือนมกราคม ค.ศ. 2001 และได้เพิ่มขึ้นเป็น 6.2% ในเดือนมิถุนายน ค.ศ. 2003 จนกระทั่งลดลงเหลือ 4.9% ในเดือนสิงหาคม ปี 2005 จากการสำรวจการจ่ายค่าจ้างในเดือนกันยายน ค.ศ. 2005 รายได้เฉลี่ยรวมรายสัปดาห์ของภาคเอกชน คิดเป็นอัตราแลกเปลี่ยนดอลลาร์คงที่ ได้ลดลงต่ำสุดเป็นประวัติการณ์นับตั้งแต่เดือนกรกฎาคม ค.ศ. 1998 แม้ว่าพายุเฮอร์ริเคนแคทรีนาและการเพิ่มขึ้นของราคาสินค้าอาจจะเป็นปัจจัยหนึ่งที่ทำให้เกิดภาวะนี้ขึ้น แต่รายได้เฉลี่ยรวมรายสัปดาห์ก็ลดลงตลอดแปดเดือนที่ผ่านมา สรุปได้ว่า ตลอดช่วงปี 2002-2004 หรือก่อนที่บุชเข้ารับตำแหน่งประธานาธิบดีนั้น ประชากรสหรัฐมีรายรับมากกว่านี้เล็กน้อย การเพิ่มขึ้นของผลผลิตมวลรวมประชาชาตินับตั้งแต่ภาวะเศรษฐกิจถดถอย ได้รับแรงส่งจากผลผลิตภาคแรงงานที่เพิ่มขึ้นอย่างมาก ซึ่งส่วนหนึ่งก็เกิดจากการปลดคนงานที่ไม่ได้ถูกใช้งานเต็มที่ ปัญหาระยะยาวส่วนหนึ่งที่บุชต้องแก้ไขได้แก่การขาดแคลนการลงทุนทางสาธารณูปโภคทางเศรษฐกิจ อัตราการเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วของค่าใช้จ่ายในการรักษาพยาบาลและเงินบำนาญของประชากรผู้สูงอายุ การขาดดุลการค้าและงบประมาณ และการชะลอตัวของรายรับต่อครัวเรือนในหมู่ประชากรผู้มีรายได้น้อย ในขณะที่บางกลุ่มอ้างว่าการฟื้นตัวของผลิตผลมวลรวมประชาชาติในช่วงที่บุชดำรงตำแหน่งประธานาธิบดีนั้น นั้นได้อานิสงค์จากรัฐบาลชุดก่อน ๆhttp://msnbc.msn.com/id/7089700/ รายงานจากสำนักงานสำรวจสำมะโนประชากรสหรัฐกลับระบุว่าปัญหาความยากจนเลวร้ายขึ้นกว่าเดิม ร้อยละของประชากรที่อยู่ใต้ขีดความยากจนเพิ่มขึ้นในช่วงสี่ปีแรกที่บุชเข้ามาบริหารประเทศ ในขณะที่อัตราดังกล่าวลดลงตลอดเจ็ดปีก่อนหน้านั้น โดยต่ำสุดในช่วง 11 ปีที่ผ่านมา แม้ว่าจำนวนอัตราประชากรที่ยากจนจะเพิ่มขึ้น เราจำเป็นต้องเน้นว่าอัตราการเพิ่มขึ้นระหว่างช่วงปี 2000-2002 นั้น กลับต่ำกว่าระหว่างช่วงปี 1992- 1997 เสียอีก (โดยที่อัตราการเพิ่มขึ้นสูงสุดที่ 39.3% ในปี 1993 ในปี 2002 อัตราของประชากรที่ยากจนอยู่ที่ 34.6% ซึ่งก็เกือบเท่ากับอัตราในปี 1998 ที่ 34.5% ส่วนในปี 2004 นั้นอัตราความยากจนอยู่ที่ 12.7%http://www.census.gov/Press-Release/www/releases/archives/income_wealth/005647.htmlhttp://www.census.gov/hhes/www/poverty/histpov/hstpov2.html ==== ประกันสังคม ==== ไฟล์:George W. Bush Omaha panel (cropped).jpg|thumb|หลังจากบุชเข้ารับตำแหน่งประธานาธิบดีวาระที่สองไม่นาน เขากับคณะกรรมการได้ร่วมกันออกเดินสายทั่วประเทศ (ที่เมืองโอมาฮา รัฐเนบราสกาในภาพ) เพื่อรณรงค์ข้อเสนอของเขา เกี่ยวกับบัญชีส่วนตัวสำหรับผู้ทำประกันสังคม บุชเรียกร้องให้มีการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ในเรื่องประกันสังคม ตั้งแต่ช่วงต้นของการดำรงตำแหน่งประธานาธิบดีเป็นสมัยที่ 2 เขาระบุว่าต้องให้ความสำคัญกับการคาดการณ์หนี้สินของระบบที่ไม่มีงบประมาณพอจ่ายเป็นอันดับแรก ตั้งแต่เดือนมกราคม ถึงเมษายน ค.ศ. 2005 เขาได้ออกเดินสายทั่วประเทศ และหยุดแวะในเมืองสำคัญ ๆ ถึง 50 เมือง เพื่อเตือนให้ประชาชนตระหนักถึง"วิกฤตการณ์"ที่กำลังคืบคลานเข้ามา โดยแรกเริ่มเดิมที ประธานาธิบดีบุชได้ย้ำถึงข้อเสนอของเขาให้มีบัญชีส่วนบุคคล ที่จะส่งเสริมให้ผู้ใช้แรงงานแต่ละคนสามารถเอาเงินภาษีประกันสังคม (FICA) ส่วนหนึ่ง มาลงทุนได้อย่างมีหลักประกัน ข้อดีประการสำคัญของบัญชีส่วนบุคคลในการประกันสังคมนั้น อนุญาตให้ผู้ใช้แรงงานเป็นเจ้าของเงินที่ตนเองได้จ่ายไปเพื่อการเกษียณอายุ โดยไม่ได้รับผลกระทบจากการเปลี่ยนแปลงทางการเมือง พรรคฝ่ายซ้ายได้ตอบโต้นโยบายดังกล่าว โดยระบุว่าแนวทางนี้อาจจะทำให้การเสียสมดุลระหว่างรายรับกับรายจ่ายของงบประมาณแผ่นดินแย่ขึ้นไปกว่าเดิม โดยที่บุชได้ให้ความสำคัญกับปัญหานี้มากเกินไป ยิ่งไปกว่านั้น สมาชิกพรรคเดโมแครตหลายคนได้คัดค้านการเปลี่ยนแปลงดังกล่าว โดยเห็นว่าบุชเปลี่ยนการประกันสังคมให้เป็นโครงการสังคมสงเคราะห์ ซึ่งค่อนข้างสุ่มเสี่ยงในทางการเมือง ส่วนหนึ่งของกฎหมายที่บุชผลักดันให้บริษัทเอกชนได้รับยกเว้นการจ่ายเงินประกันสังคมได้รับการร้องเรียนว่า แผนการของบุชนั้นเอื้อประโยชน์ต่อบริษัทเอกชน และได้เปลี่ยนแนวคิดของการประกันสังคมให้กลายเป็นโครงการประกันแบบทั่ว ๆ ไป ==== การสาธารณสุข ==== ไฟล์:PBAsigning.jpg|thumb|ในปี 2003 ประธานาธิบดีบุช ที่รายล้อมไปด้วยวุฒิสมาชิกและสมาชิกสภาคองเกรส ได้ลงนามในกฎหมายต่อต้านการทำแท้งในช่วงแรกเริ่มของการตั้งครรภ์ ในเดือนกรกฎาคม ค.ศ. 2002 บุชได้ระงับเงินทุนจากสหรัฐที่ให้แก่กองทุนเพื่อกิจกรรมประชากรแห่งสหประชาติ โดยเขาอ้างว่ากองทุนดังกล่าวได้สนับสนุนการบังคับทำแท้งและการผ่าตัดทำหมันในสาธารณรัฐประชาชนจีนhttp://news.bbc.co.uk/1/hi/world/americas/2145029.stm บุชได้ลงนามในกฎหมายปรับปรุงและพัฒนาการจ่ายยารักษาโรคให้ทันสมัย สำหรับปี 2003 ซึ่งได้เพิ่มรายการยาที่จะสามารถเบิกกับเมดิแคร์ของสหรัฐ ให้เงินสนับสนุนบริษัทผู้ผลิตยา และห้ามรัฐบาลกลางเจรจาต่อรองราคากับบริษัทยา บุชกล่าวว่ากฎหมายดังกล่าว ที่คาดว่าจะใช้งบประมาณถึง 400,000,000,000 ดอลลาร์สหรัฐในช่วง 10 ปีแรก จะทำให้ผู้สูงอายุ "มีทางเลือกมากขึ้น และสามารถควบคุมการดูแลรักษาสุขภาพของตนได้มากขึ้น" ผู้สูงอายุสามารถซื้อบัตรลดราคายาที่ผ่านการรับรองของเมดิแคร์ ได้ในราคา 30 ดอลลาร์หรือน้อยกว่านั้นเพื่อช่วยค่าใช้จ่ายอันเนื่องมาจากราคายาที่สูงขึ้น กฎหมายดังกล่าวยังเพิ่มการเบิกยาในโปรแกรมการประกันสุขภาพสำหรับผู้สูงอายุของรัฐบาลกลาง นับตั้งแต่ปี 2006 เป็นต้นมา และกฎหมายยังสนับสนุนให้บริษัทประกันเสนอแผนการประกันสุขภาพส่วนบุคคลให้แก่ผู้สูงอายุชาวอเมริกันหลายล้านคน ที่ขณะนี้ได้รับผลประโยชน์ทางด้านสาธารณสุขภายใต้ข้อตกลงที่รัฐบาลกำหนด อันเป็นแนวคิดที่ถูกต่อต้านและโจมตีอย่างหนักจากสมาชิกพรรคเดโมแครตหลายคน บุชได้ลงนามในกฎหมายต่อต้านการทำแท้งในช่วงแรกเริ่มของการตั้งครรภ์ เมื่อปี 2003 โดยประกาศว่าเขามีวัตถุประสงค์เพื่อ "สนับสนุนให้เกิดวัฒนธรรมแห่งชีวิต" แต่กฎหมายดังกล่าวก็ไม่เคยนำมาบังคับใช้ เนื่องจากศาลแขวงสามแห่งได้วินิจฉัยว่าขัดต่อรัฐธรรมนูญ ศาลอุธรณ์เก้าแห่งได้รับรองกฎหมายหนึ่งบท กฎหมายของรัฐบาลกลางสามารถที่จะห้ามกระบวนการทำให้มดลูก"ขยับและหดตัวโดยไม่ก่อให้เกิดความเสียหาย" ซึ่งผู้ทำแท้งทำให้ตัวอ่อนมนุษย์หลุดออกมาก่อนจะฆ่าทิ้ง ผู้สนับสนุนฝ่ายเสรีและฝ่ายอนุรักษนิยมหลายคนมองว่ากฎหมายดังกล่าวเป็นเพียงการเคลื่อนไหวทางการเมือง เนื่องจากในทางเทคนิคแล้ว เราสามารถฆ่าตัวอ่อนตั้งแต่อยู่ในมดลูกแล้วนำออกมาภายหลังได้ ==== การศึกษา ==== ในเดือนมกราคม ค.ศ. 2002 บุชได้ลงนามในกฎหมายดูแลเอาใจใส่เด็กและเยาวชน โดยมีวุฒิสมาชิกเท็ด เคเนดี เป็นผู้สนับสนุนรายใหญ่http://www.boston.com/news/nation/washington/articles/2004/03/16/bush_relaxes_rules_on_teacher_standards/ ที่ต้องการลดช่องว่าในการประสบความสำเร็จของเด็ก วัดประสิทธิภาพในการทำงาน ให้ทางเลือกแก่พ่อแม่ที่มีลูกเรียนด้อย และให้เงินสนับสนุนจากรัฐบาลกลางเพิ่มขึ้นแก่โรงเรียนที่มีรายได้น้อย ผู้วิพากษ์วิจารณ์ (ซึ่งรวมถึงจอห์น แครี และสมาคมการศึกษาแห่งชาติสหรัฐ) ได้แสดงความเห็นว่าโรงเรียนไม่ได้รับทรัพยากรที่เพียงพอเพื่อให้สอดคล้องกับมาตรฐานการศึกษาใหม่ แม้ว่าคำวิจารณ์ดังกล่าวจะอ้างอิงกับข้อมูลที่สัณนิษฐานเอาว่า บุคคลระดับผู้บริหารได้ให้คำมั่นสัญญาไว้มากกว่าให้งบประมาณ รัฐบาลประจำรัฐบาลแห่งได้ปฏิเสธที่จะใช้เงินตามที่ระบุไว้ในกฎหมายตราบใดที่ไม่ได้รับเงินสนับสนุนอย่างเพียงพอ http://www.washingtonpost.com/wp-dyn/articles/A52720-2004Feb18.html ในเดือนมกราคม ค.ศ. 2005 ''หนังสือพิมพ์ยู.เอส.เอ. ทูเดย์'' ได้รายงานว่า กระทรวงศึกษาธิการของสหรัฐได้จ่ายเงิน 240,000 ดอลลาร์สหรัฐให้แก่ นายอาร์มสตรอง วิลเลียมส์ นักวิจารณ์การเมืองชาวอเมริกันเชื้อสายอัฟริกันหัวอนุรักษนิยม "เพื่อให้เขาประชาสัมพันธ์กฎหมายใหม่ในรายการของสหภาพโทรทัศน์อเมริกัน และให้เขาบอกให้นักข่าวผิวดำทำอย่างเดียวกันhttp://www.usatoday.com/news/washington/2005-01-06-williams-whitehouse_x.htm คณะกรรมาธิการการศึกษาและแรงงานสหรัฐได้ระบุไว้ว่า "สืบเนื่องจากกฎหมายดูแลเอาใจใส่เด็กและเยาวชน ที่ประธานาธิบดีบุชได้ลงนามไว้เมื่อวันที่ 8 มกราคม ค.ศ. 2002 รัฐบาลกลางสหรัฐได้ใช้จ่ายงบประมาณเพื่อการศึกษาระดับประถมและมัธยมศึกษา (ภาคบังคับ 12 ปี) มากกว่าช่วงไหนๆในประวัติศาสตร์สหรัฐ".http://www.house.gov/ed_workforce/issues/108th/education/funding/summary.htm ความต้องการเงินทุนสนับสนุนที่เพิ่มขึ้นส่งผลกระทบระดับรัฐ เช่นค่าใช้จ่ายที่สูงขึ้นจากใช้กฎหมายดูแลเอาใจใส่เด็กและเยาวชน รวมทั้งผลกระทบทางเศรษฐกิจในแง่ลบที่ส่งผลต่องบประมาณเพื่อการศึกษา ==== วิทยาศาสตร์ ==== เมื่อวันที่ 19 ธันวาคม ค.ศ. 2002 บุชได้ลงนามในกฎหมายที่ส่งผลกระทบในวงกว้าง อันได้แก่กฎหมายเอ็ช. อาร์. 4664 ว่าด้วยการให้งบประมาณสนับสนุนสถาบันวิทยาศาสตร์แห่งชาติสหรัฐ (NSF) เพิ่มขึ้นสองเท่าในอีกห้าปีข้างหน้า และให้ริเริ่มโครงการเพื่อการศึกษาทางคณิตศาสตร์และวิทยาศาสตร์ใหม่ๆ ทั้งในระดับเตรียมอุดมศึกษาและระดับปริญญาตรี http://www.aibs.org/public-policy-reports/public-policy-reports-2002_12_20.html ในช่วงสามปีแรกของวาระห้าปี จะมีการเพิ่มงบประมาณเพื่อการวิจัยและพัฒนาขึ้น 14% บุชคัดค้านงานวิจัยใหม่ๆ และได้ให้ทุนสนับสนุนจำนวนจำกัดในส่วนที่เกี่ยวข้องกับการวิจัยเซลล์ต้นกำเนิดจากตัวอ่อนมนุษย์ เงินสนับสนุนจากรัฐบาลกลางเพื่อการวิจัยดังกล่าว ได้รับการรับรองเป็นครั้งแรกภายใต้รัฐบาลของประธานาธิบดีบิลล์ คลินตัน เมื่อวันที่ 19 มกราคม ค.ศ. 1999http://www.cnn.com/HEALTH/9901/19/stem.cell.research/ แต่จะไม่มีการจ่ายเงินใดๆจนกว่าจะมีการตีพิมพ์กรอบแนวทางการให้ทุนสนับสนุนการวิจัย กรอบแนวทางได้ถูกเผยแพร่ภายใต้รัฐบาลคลินตันเมื่อวันที่ 23 สิงหาคม ค.ศ. 2000 โดยอนุญาตให้นำเอมบรีโอแช่แข็งที่ไม่ได้ถูกใช้งานมาใช้ได้ ต่อมาเมื่อวันที่ 9 สิงหาคม ค.ศ. 2001 ก่อนที่จะมีการให้ทุนสนับสนุนใดๆภายใต้กรอบนี้ บุชได้ประกาศเปลี่ยนแปลงกรอบแนวทาง โดยอนุญาตให้ใช้งานเซลล์ต้นกำเนิดจากตัวอ่อนมนุษย์ ที่มีอยู่แล้วเท่านั้นhttp://georgewbush-whitehouse.archives.gov/news/releases/2001/08/20010809-2.html ในขณะที่บุชอ้างว่ามีเซลล์ต้นกำเนิดจากตัวอ่อนของมนุษย์อยู่แล้วถึง 60 สายพันธุ์ที่ ได้มาจากทุนวิจัยของภาคเอกชน ในปี 2003 นักวิทยาศาสตร์ได้อ้างว่า มีเพียง 11 สายพันธุ์เท่านั้นที่ใช้งานได้ และต่อมาในปี 2005 ได้ระบุว่าทุกสายพันธุ์ที่ได้รับการรับรองเพื่อรับทุนสนับสนุนจากรัฐบาลกลางนั้น ติดเชื้อและใช้การไม่ได้http://www.cnn.com/2005/POLITICS/05/24/stem.cells/ อย่างไรก็ดี ไม่มีการกำหนดข้อจำกัดในการให้ทุนสนับสนุนการวิจัยเซลล์ต้นกำเนิดจากร่างกายมนุษย์ที่โตแล้ว โดยงานวิจัยดังกล่าวได้รับเงินสนับสนุนที่เป็นกอบเป็นกำมากกว่าจากประธานาธิบดีบุช เมื่อวันที่ 14 มกราคม ค.ศ. 2004 บุชได้ประกาศการปรับเปลี่ยนแนวทางครั้งสำคัญเกี่ยวกับการบริหารองค์การอวกาศแห่งชาติสหรัฐ หรือนาซา ที่รู้จักกันในนามของวิสัยทัศน์สำหรับการสำรวจอวกาศ โดยโครงการดังกล่าวเรียกร้องให้มีการจัดตั้งสถานีอวกาศนานาชาติ ขึ้นภายในปีค.ศ. 2010 และให้ยกเลิกการใช้กระสวยอวกาศ ในขณะที่หันมาพัฒนายานอวกาศ ที่เรียกว่า ยานสำรวจของลูกเรือ ภายใต้โครงการคอนสเตลเลชัน จะมีการใช้ยานสำรวจของลูกเรือส่งนักบินอกาศอเมริกัน กลับไปยังดวงจันทร์ภายในปี 2018 โดยมีวัตถุประสงค์จะจัดตั้งฐานปฏิบัติการบนดวงจันทร์เป็นการถาวร และยังมีแผนจะส่งมนุษย์ไปปฏิบัติภารกิจบนดาวอังคารในอนาคตhttp://www.cnn.com/2004/TECH/space/01/14/bush.space/index.html แม้ว่าแผนดังกล่าวจะได้รับการตอบรับอย่างเย็นชาhttp://www.mercurynews.com/mld/mercurynews/news/world/8572141.htm?1c งบประมาณกลับผ่านการอนุมัติไปด้วยดี และถูกแก้ไขน้อยมากภายหลังการเลือกตั้งในเดือนพฤศจิกายน ในเดือนมกราคม ค.ศ. 2005 ทำเนียบขาวได้เผยเอกสารข้อเท็จจริงเกี่ยวกับนโยบายการคมนาคมอวกาศใหม่http://www.ostp.gov/html/SpaceTransFactSheetJan2005.pdf (พีดีเอฟไฟล์) ที่ได้วางกรอบการบริหารนโยบายอวกาศแห่งชาติในวงกว้าง และได้ผูกนโยบายการพัฒนาขีดความสามารถทางการคมนาคมในอวกาศ เข้ากับข้อกำหนดด้านความมั่นคงของประเทศ เมื่อวันที่ 18 กุมภาพันธ์ ค.ศ. 2004 กลุ่มจับตาดูการพัฒนาทางวิทยาศาสตร์ ที่มีชื่อว่าสหภาพนักวิทยาศาสตร์ที่เกี่ยวข้อง ได้เผยแพร่รายงานที่มีชื่อว่า การผนวกวิทยาศาสตร์เข้ากับการวางนโยบาย http://msnbc.msn.com/id/5722898/ ในรายงานดังกล่าวใช้คำพูดว่า "คัดค้านการใช้เครื่องมือทางวิทยาศาสตร์ของคณะบริหารงานแผ่นดินของบุช" โดยได้กล่าวหาว่า "คณะบริหารราชการแผ่นดินของบุช ได้ละเลยคำแนะนำทางวิทยาศาสตร์ที่ไม่ได้มีส่วนได้ส่วนเสียใดๆ ในการวางนโยบายที่สำคัญยิ่งต่อความอยู่ดีกินดีของพวกเรา" และได้ "ลบหรือบิดเบือนการวิเคราะห์ทางวิทยาศาสตร์ ของหน่วยงานรัฐบาลกลางเพื่อให้ผลการวิเคราะห์สอดคล้องกับแนวนโยบายของคณะบริหารงานแผ่นดิน" ถึงขั้นที่เรียกว่า "อย่างไม่เคยมีมาก่อน" รายงานดังกล่าวได้รับการลงนามโดยนักวิทยาศาสตร์กว่า 7,000 คน รวมถึงผู้ที่เคยได้รับรางวัลโนเบล 49 คน ผู้ที่ได้รับเหรียญรางวัลทางวิทยาศาสตร์แห่งชาติ 63 คน และ สมาชิกสถาบันวิทยาศาสตร์แห่งชาติ 154 คน ทำเนียบขาวได้ถูกวิพากษ์วิจารณ์อย่างหนักเกี่ยวกับรายงานที่เชื่อมโยงกิจกรรมของมนุษย์กับการปล่อยแก๊สเรือนกระจก เข้ากับการเปลี่ยนแปลงสภาวะอากาศของโลก นอกจากนั้น นายฟิลิป คูนนีย์ เจ้าหน้าที่ทำเนียบขาวและอดีตทนายความในบริษัทน้ำมัน ได้แก้ไขข้อความในรายงานวิจัยสภาวะอากาศที่ผ่านการรับรองแล้วจากนักวิทยาศาสตร์ของรัฐ แต่ทำเนียบขาวก็ปฏิเสธว่านายคูนีย์ไม่ได้แก้ไขรายงานฉบับดังกล่าวแต่อย่างใดhttp://news.bbc.co.uk/1/hi/world/americas/4075986.stm ในเดือนมิถุนายน ค.ศ. 2005 รายงานของกระทรวงได้แสดงว่า คณะบริหารราชการแผ่นดินของบุช ได้ขอบคุณผู้บริหารระดับสูงของบริษัทเอกซอน ที่ได้มี"บทบาทอย่างจริงจัง" ในการช่วยคาดการณ์นโยบายการเปลี่ยนแปลงสภาวะอากาศ รวมถึงอนุสัญญาเกียวโต ข้อมูลที่ได้จากสมาพันธ์ภูมิอากาศโลก กลุ่มลอบบีทางธุรกิจก็เป็นหนึ่งในปัจจัยในการคาดการณ์http://www.guardian.co.uk/climatechange/story/0,12374,1501646,00.html วันที่ 1 สิงหาคม ค.ศ. 2005 บุชได้เสนอโครงการที่เป็นที่ถกเถียงกันมาก ว่าด้วยการให้มีการสอนเรื่อง การออกแบบปัญญา (ที่เชื่อว่าสิ่งมีชีวิตชั้นสูงถูกสร้างขึ้น) ควบคู่ไปกับการสอนเรื่องวิวัฒนาการในชั้นเรียนวิทยาศาสตร์ โดยกล่าวว่า "ข้าพเจ้าคิดว่า ส่วนหนึ่งของการศึกษาได้แก่การให้ประชาชนได้มองเห็นแนวทางต่างๆที่หลากหลาย และไม่ใช่การชี้นำแต่อย่างใด ถ้าท่านถามข้าพเจ้าว่าประชาชนควรได้รับรู้ถึงแนวคิดต่างๆที่มีอยู่หรือไม่ คำตอบก็คือใช่" สถาบันการศึกษาหลายแห่ง เป็นต้นว่าhttp://www.nasonline.org/site/PageServer?pagename=ABOUT_main_page สถาบันวิทยาศาสตร์แห่งชาติ มองการสอนการออกแบบปัญญาว่าเป็นความผิดพลาดทางการศึกษาhttp://www.nasonline.org/site/PageServer?pagename=NEWS_statement_president_08201999_BA_Kansas_curriculum ==== สิ่งแวดล้อม ==== บุชได้ลงนามในกฎหมาย มรดกแห่งทะเลสาบใหญ่ทั้งห้า ปี พ.ศ. 2545|มรดกแห่งทะเลสาบทั้งห้า ปี ค.ศ. 2002 ซึ่งอนุญาตให้รัฐบาลกลางเริ่มการเก็บกวาดมลภาวะและโคลนตมที่ติดเชื้อ ในทะเลสาบใหญ่ทั้งห้า รวมถึงกฎหมายบราวน์ฟิลด์ในปี 2002 ที่เร่งรัดการเก็บกวาดขยะอุตสาหกรรมในแถบบราวน์ฟิลด์ บันทึกสิ่งแวดล้อมของบุชได้ถูกโจมตีโดยนักอนุรักษ์สิ่งแวดล้อมส่วนใหญ่ ที่โจมตีว่านโยบายของบุชหนุนหลังพวกอุตสาหกรรม และทำให้การปกป้องสิ่งแวดล้อมแย่ลง กลุ่มรณรงค์เพื่อสิ่งแวดล้อมได้อ้างว่า นอกจากบุชและเชนนีแล้ว ยังมีเจ้าหน้าที่ในคณะบริหารงานแผ่นดินของบุชอีกหลายคนที่มีส่วนพัวพันกับธุรกิจน้ำมัน ธุรกิจยานยนต์ และกลุ่มอื่นๆที่ได้ต่อสู้กับนักรณรงค์รักษาสิ่งแวดล้อม ในเดือนมิถุนายน 2003 บุชได้ลงนามในกฎหมายที่ให้ดำเนินการเสริมสิ่งของสนับสนุนโครงการริเริ่มเพื่อป่าไม้ที่อุดมสมบูรณ์ของเขา กลุ่มอนุรักษ์สิ่งแงดล้อมได้โจมตีว่า โครงการดังกล่าวเป็นเพียงการเอื้อประโยชน์ให้บริษัททำไม้ อีกประเด็นที่เป็นที่ถกเถียงกันได้แก่แนวคิดริเริ่มทำความสะอาดท้องฟ้าของบุช ที่ต้องการลดมลภาวะในอากาศผ่านโครงการสนับสนุนทางเศรษฐกิจแก่ผู้ที่ก่อมลภาวะน้อยลง ผลกระทบบางส่วนจากราคาน้ำมันเชื้อเพลิงที่เพิ่มสูงขึ้น ส่งผลให้บุชคัดค้านการเข้าไปขุดเจาะในเขตสงวนน้ำมัน ที่เป็นเขตสงวนพันธุ์สัตว์ป่าแห่งชาติในแถบอาร์กติก ซึ่งเป็นเขตเปราะบางทางนิเวศวิทยาอย่างยิ่งเนื่องด้วยมันตั้งอยู่ในแถบอาร์กติก คนบางกลุ่มอ้างว่าที่แห่งนี้เป็นธรรมชาติแห่งสุดท้ายในสหรัฐที่ยังไม่แปดเปื้อนด้วยน้ำมือมนุษย์ และน้ำมันส่วนใหญ่ที่ขุดเจาะได้จากแหล่งนี้จะถูกนำไปขายในต่างประเทศ เช่นที่ประเทศญี่ปุ่น ทำให้บริษัทขุดเจาะน้ำมันท้องถิ่นทำกำไรได้มาก บุชยังได้คัดค้านพิธีสารเกียวโต โดยอ้างว่าจะเป็นอันตรายต่อเศรษฐกิจของสหรัฐ บุชยังกล่าวว่าเป็นการไม่ยุติธรรมที่จะมาตั้งข้อกำหนดกับสหรัฐ ในขณะที่ผ่อนปรนอย่างไม่สมเหตุสมผลกับประเทศกำลังพัฒนา โดยเฉพาะอย่างยิ่งจีนและอินเดีย บุชยังระบุว่า "ผู้ปล่อยแก๊สเรือนกระจกรายใหญ่อันดับสองของโลกได้แก่จีน แต่ประเทศจีนก็ยังได้รับการยกเว้นไม่ต้องทำตามข้อกำหนดในพิธีสารเกียวโต" เขายังได้ตั้งคำถามเกี่ยวกับหลักการทางวิทยาศาสตร์ที่อยู่เบื้องหลังปรากฏการณ์โลกร้อนขึ้น โดยย้ำว่าจะต้องมีการทำวิจัยมากกว่านี้จึงจะสามารถบอกได้ว่าทฤษฎีดังกล่าวใช้การได้้http://georgewbush-whitehouse.archives.gov/news/releases/2001/06/20010611-2.html จุดยืนของบุชว่าด้วยการเปลี่ยนแปลงของบรรยากาศโลก ได้เปลี่ยนไป โดยเขาค่อยๆยอมรับว่าปรากฏการณ์โลกร้อนขึ้นนั้นเป็นปัญหาซึ่งส่วนหนึ่งเกิดจากการกระทำของมนุษย์ สหรัฐอเมริกาได้ลงนามเป็นพันธมิตรเอเชียแปซิฟิกเพื่อการพัฒนาและภูมิอากาศที่สะอาด กติกาสัญญาดังกล่าวได้อนุญาตให้ประเทศในกลุ่มตั้งเป้าในการลดการปล่อยแก๊สเรือนกระจกด้วยตนเอง โดยไม่มีกลไกใดๆมาบังคับ ผู้สนับสนุนกติกาสัญญาได้มองว่านี่คือการนำพิธีสารเกียวโตมาบังคับใช้ ในแบบที่ยืดหยุ่นกว่า แต่ผู้วิพากษ์วิจารณ์ก็บอกว่ากติกาสัญญาดังกล่าวจะไม่ได้ผลหากไม่มีการบังคับใช้มาตรการ อาร์โนลด์ ชวาร์เซเนกเกอร์ ผู้ว่าการรัฐจากพรรครีพับลิกัน ร่วมกับผู้ว่าราชการและนายกเทศมนตรีจาก 187 เมืองใหญ่และเล็กทั่วสหรัฐ ได้เรียกร้องให้รัฐบาลยอมรับอนุสัญญาเกียวโตมาใช้ให้ถูกต้องตามกฎหมายhttp://news.bbc.co.uk/1/hi/world/americas/4400534.stm ==== โทษประหาร ==== บุชเป็นผู้สนับสนุนตัวยงในการทำโทษประหารมาใช้ ในระหว่างที่เขาดำรงตำแหน่งผู้ว่าการรัฐเท็กซัส มีผู้ถูกประหารชีวิตในรัฐนี้ถึง 152 คน นับว่าสูงสุดเป็นประวัติการณ์นำหน้ารัฐอื่นๆ เมื่อเข้ามาดำรงตำแหน่งประธานาธิบดีสหรัฐ เขาได้สนับสนุนโทษประหารอย่างต่อเนื่อง รวมทั้งเป็นประธานในการประหารนายทิโมธี แมคเวห์ ผู้ก่อการร้ายที่ถูกรัฐบาลกลางตัดสินประหารชีวิตเป็นรายแรกในรอบทศวรรษ ==== คณะรัฐบาล ==== ==== การเสนอชื่อประธานศาลสูงสุด ==== บุชได้เสนอรายชื่อบุคคลต่อไปนี้ให้ดำรงตำแหน่งต่างๆใน ศาลสูงสุดแห่งสหรัฐอเมริกา: * จอห์น จี. โรเบิร์ตส|จอห์น จี. โรเบิร์ตส จูเนียร์ — รองประธานศาลสูงสุด ได้รับการเสนอชื่อเมื่อวันที่ 19 กรกฎาคม ค.ศ. 2005 ต่อมาได้ถูกเสนอชื่อให้ดำรงตำแหน่งหัวหน้าผู้พิพากษาเมื่อวันที่ 5 กันยายน ค.ศ. 2005 * จอห์น จี. โรเบิร์ตส|จอห์น จี. โรเบิร์ตส จูเนียร์ — หัวหน้าผู้พิพากษาที่ได้รับการเสนอชื่อเมื่อวันที่ 5 กันยายน ค.ศ. 2005 ได้รับการรับรองโดยวุฒิสภาเมื่อวันที่ 29 กันยายน ค.ศ. 2005 * แฮร์เรียต ไมเยอร์ส|แฮร์เรียต อี. ไมเยอร์ส — รองหัวหน้าผู้พิพากษา ถูกเสนอชื่อเมื่อวันที่ 3 ตุลาคม ค.ศ. 2005 ต่อมาไมเยอร์ของถอนตัวเมื่อวันที่ 20 ตุลาคม ค.ศ. 2005 * ซามูเอล อัลลีโต — ผู้ช่วยหัวหน้าผู้พิพากษา ถูกเสนอชื่อเมื่อวันที่ 31 ตุลาคม ค.ศ. 2005 เรื่องเข้าสู่วุฒิสภาเมื่อวันที่ 27 พฤศจิกายน ค.ศ. 2005 โดยมีกำหนดการลงคะแนนเสียงรับรองในเดือนมกราคม ค.ศ. 2005 === การลงนามในกฎหมายหลักๆ === ;ค.ศ. 2001 :* 7 มิถุนายน: กฎหมายประนีประนอมการเติบโตทางเศรษฐกิจและการลดอัตราภาษี เมื่อปี 2001 :* 18 กันยายน: การอนุญาตให้ใช้กำลังทหาร :* 28 กันยายน: กฎหมายการนำเขตการค้าเสรีสหรัฐ-จอร์แดนมาปฏิบัติ :* 26 ตุลาคม: กฎหมายต่อต้านการก่อการร้ายสหรัฐ :* 28 พฤศจิกายน: กฎหมายเก็บภาษีทางอินเทอร์เน็ตโดยไม่เลือกปฏิบัติ ;ค.ศ. 2002 :* 8 มกราคม: กฎหมายสนับสนุนการดูแลเอาใจใส่เด็กและเยาวชน :* 9 มีนาคม: กฎหมายสร้างงานและผู้ช่วยแรงงาน เมื่อปี 2002 :* 27 มีนาคม: กฎหมายรณรงค์การปฏิรูปสองขั้ว เมื่อปี 2002 :* 13 พฤษภาคม: กฎหมายความมั่นคงของฟาร์มและการลงทุนในชนบท เมื่อปี 2002 :* 30 กรกฎาคม: กฎหมายซาร์บานส์-อ็อกซ์เลย์ เมื่อปี 2002 :* 16 ตุลาคม: ข้อตกลงร่วมกันเพื่อให้มีการใช้อาวุธของสหรัฐเพื่อการต่อสู้กับอิรัก :* 25 พฤศจิกายน: กฎหมายเพื่อความมั่นคงแห่งมาตุภูมิ เมื่อปี 2002 ;ค.ศ 2003 :* 11 มีนาคม: กฎหมายงดโทรเพื่อป้องกันการรบกวนจากการขายสินค้าทางโทรศัพท์ :* 30 เมษายน: กฎหมายต่อต้านการใช้แรงงานเด็ก ปี 2003 http://judiciary.senate.gov/special/S151CONF.pdf (พีดีเอฟไฟล์) :* 27 พฤษภาคม: กฎหมายพัฒนาผู้นำเพื่อต่อต้านเอชไอวี/เอดส์ อหิวาตกโรค และมาลาเรีย เมื่อปี 2003 :* 28 พฤษภาคม: กฎหมายประนีประนอมการจ้างงานและการลดอัตราภาษี เมื่อปี 2003 :* 3 กันยายน: กฎหมายการนำเขตการค้าเสรีสหรัฐ-ชิลี มาปฏิบัติ :* 3 กันยายน: กฎหมายการนำเขตการค้าเสรีสหรัฐ-สืงคโปร์ มาปฏิบัติ :* 5 พฤศจิกายน: กฎหมายต่อต้านการทำแท้งในช่วงแรกเริ่มของการตั้งครรภ์ :* 8 ธันวาคม: กฎหมายการปรับปรุงและพัฒนาการจ่ายยาของเมดิแคร์ให้ทันสมัย เมื่อปี 2546 :* 16 ธันวาคม: กฎหมายควบคุมการลวนลามทางเพศและสื่อลามกอนาจาร (CAN-SPAM) ;ค.ศ. 2004 ;* 1 เมษายน: กฎหมายว่าด้วยเหยื่อที่ยังไม่เกิดของการกระทำทารุณกรรม == หลังการดำรงตำแหน่งประธานาธิบดี (ค.ศ.2009-ปัจจุบัน) == === บ้านพักอาศัย === ไฟล์:George & Laura Bush board Air Force One 1-20-09 hires 091220-F-0194C-001a.jpg|thumb|บุชและภรรยาของเขาหลังพิธีสาบานตนของบารัก โอบามา|บารัค โอบามา หลังจากการรับตำแหน่งของบารัก โอบามา|บารัค โอบามา บุชได้กลับไปที่ไร่ของเขาในเมืองครอว์ฟอร์ด,รัฐเท็กซัส ก่อนจะตัดสินใจซื้อบ้านในในย่านเพรสตัน ฮอลโลว์ของแดลลัสในรัฐเท็กซัส เขามักจะปรากฏตัวเป็นประจำในกิจกรรมต่าง ๆ ทั่วพื้นที่ดัลลาส/ฟอร์ตเวิร์ธ โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อเขาทำการโยนเหรียญเปิดเกมแรกของดัลลาสคาวบอยส์ในสนามกีฬาแห่งใหม่ของทีมในอาร์ลิงตัน และเยี่ยมชมเกมเท็กซัสเรนเจอร์ในเดือนเมษายน 2009 ที่ซึ่งเขาขอบคุณชาวดัลลัสที่ต้อนรับเขาเป็นอย่างดี นอกจากนี้ เขายังได้เข้าร่วมการแข่งขันเพลย์ออฟในบ้านทุกเกมในเท็กซัส เรนเจอร์สฤดูกาล 2010 และร่วมกับจอร์จ เอช. ดับเบิลยู. บุช|พ่อของเขา ขว้างลูกเปิดสนามในพิธีที่สนามเรนเจอร์สบอลพาร์คในอาร์ลิงตันสำหรับเกมที่ 4 ของเวิลด์ซีรีส์ 2010 เมื่อวันที่ 31 ตุลาคม ค.ศ. 2010Cite web|date=2010-11-04|title=Video: George W. Bush Throws Out First Pitch Game 4 World Series, Let’s Discuss It NESW Sports|url=http://sports.neswblogs.com/2010/10/31/video-george-w-bush-throws-out-first-pitch-game-4-world-series-lets-discuss-it/|website=web.archive.org|access-date=2021-06-28|archive-date=2010-11-04|archive-url=https://web.archive.org/web/20101104063106/http://sports.neswblogs.com/2010/10/31/video-george-w-bush-throws-out-first-pitch-game-4-world-series-lets-discuss-it/|url-status=bot: unknown == อ้างอิง == == ดูเพิ่ม == * ประธานาธิบดีแห่งสหรัฐอเมริกา * รายนามประธานาธิบดีแห่งสหรัฐอเมริกา * พรรครีพับลิกัน (สหรัฐอเมริกา)|พรรครีพับลิกัน หมวดหมู่:จอร์จ ดับเบิลยู. บุช| หมวดหมู่:ประธานาธิบดีสหรัฐ หมวดหมู่:ชาวอเมริกันเชื้อสายอังกฤษ หมวดหมู่:พรรคริพับลิกัน (สหรัฐ) หมวดหมู่:นักการเมืองอเมริกัน หมวดหมู่:บุคคลจากมหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ด หมวดหมู่:บุคคลจากมหาวิทยาลัยเยล หมวดหมู่:ชาวอเมริกันเชื้อสายไอริช หมวดหมู่:บุคคลที่ยังมีชีวิตอยู่ หมวดหมู่:บุคคลจากฮิวสตัน หมวดหมู่:บุคคลจากนิวเฮเวน หมวดหมู่:ตระกูลบุช หมวดหมู่:ผู้รอดชีวิตจากการลอบสังหาร หมวดหมู่:ผู้ว่าการรัฐเท็กซัส หมวดหมู่:นักลงทุนชาวอเมริกัน
จอร์จ ดับเบิลยู. บุช
Infobox officeholder | image = Lisboa-Museu Nacional de Arte Antiga-Retrato dito de Vasco da Gama-20140917.jpg | image_size = | alt = | caption = วัชกู ดา กามา | order = | office = List of governors of Portuguese India|อุปราชแห่งอินเดียภายใต้การปกครองของโปรตุเกส | term_start = 5 กันยายน ค.ศ.1524 | term_end = 24 ธันวาคม ค.ศ.1524 | monarch = John III of Portugal | predecessor = Duarte de Menezes | successor = Henrique de Menezes | birth_date = ค.ศ.1460 หรือ ค.ศ.1469 | birth_place = Sines, Portugal|Sines, Alentejo, ราชอาณาจักรโปรตุเกส | death_date = 24 ธันวาคม ค.ศ.1524( ปี) | death_place = รัฐกัว, อินเดีย | death_cause = | resting_place = Jerónimos Monastery, ลิสบอน, โปรตุเกส | spouse = Catarina de Ataíde | children = Francisco da Gama, 2nd Count of Vidigueira Estêvão da Gama (16th century)|Estêvão da Gama, Viceroy of India Cristóvão da Gama|Cristóvão da Gama, Captain of Malacca''#Marriage and issue|Among others'' | mother = Isabel Sodré | father = Estêvão da Gama (15th century)|Estêvão da Gama | occupation = นักสำรวจ, List of colonial heads of Portuguese India|อุปราชแห่งประเทศอินเดีย | profession = | known_for = | signature = Vasco da Gama signature almirante.svg | footnotes = ไฟล์:Vasco_da_Gama_(without_background).jpg|right|thumb|200px|วัชกู ดา กามา ไฟล์:Gama route 1.png|thumb|300px|เส้นทางเดินเรือครั้งแรกของวัชกู ดา กามา '''วัชกู ดา กามา''' (; ประมาณ ค.ศ.1460-1525) เป็นนักเดินเรือสำรวจชาวโปรตุเกส เกิดที่เมืองซีนึช แคว้นอาเลงเตฌู ประเทศโปรตุเกส สร้างประวัติศาสตร์ด้วยการค้บพบเส้นทางการเดินเรือจากยุโรปสู่อินเดียระหว่างปี ค.ศ.1497-1499 โดยแล่นเรือตรงจากกรุงลิสบอน ไปถึงชายฝั่งมะละบาร์ ตะวันตกเฉียงใต้ของอินเดีย โดยแล่นเรืออ้อมผ่านแหลมกู๊ดโฮป ทางตอนใต้ของแอฟริกาซึ่งบาร์ตูลูเมว ดีอัช (Bartolomeu Dias) เป็นผู้ค้นพบเมื่อ ค.ศ.1488 วัชกู ดา กามา ได้รับมอบหมายจากพระเจ้ามานูเอลที่ 1 แห่งโปรตุเกส ให้ไปค้นหาอินเดียที่เชื่อกันในสมัยนั้นว่าเป็นแผ่นดินคริสเตียนที่เล่าลือแพร่หลายเกี่ยวกับเปรสเตอร์ จอห์น พระคริสเตียนแห่งอินเดียผู้ครอบครองนคร 100 แห่งในโลกตะวันออก รวมทั้งเพื่อการหาลู่ทางเปิดตลาดค้าขายกับโลกตะวันออก ต่อมา อีกครั้งหนึ่งระหว่างปี ค.ศ.1502-1504 วัชกู ดา กามา ได้นำกองเรือมุ่งสู่โคชิโคด|แคลิคัตเพื่อล้างแค้นจากการที่กลุ่มนักสำรวจชาวโปรตุเกสที่เปดรู อัลวารึช กาบรัล (นักสำรวจสำคัญของโปรตุเกส) ปล่อยไว้ที่นั่นถูกฆ่า ในปี ค.ศ.1519 ได้รับการแต่งตั้งให้เป็นอุปราชแห่งอินเดีย แต่ต่อมาไม่นาน วัชกู ดา กามา ก็ล้มป่วยและเสียชีวิตที่โคชิน (Cochin) และได้รับการนำศพกลับโปรตุเกส วัชกู ดา กามา มีชีวิตอยู่ในสมัยอยุธยาตรงกับรัชสมัยของสมเด็จพระบรมไตรโลกนาถ และสมเด็จพระรามาธิบดีที่ 2 (พระเชษฐาธิราช) หมวดหมู่:บุคคลที่เกิดในคริสต์ทศวรรษ 1460 หมวดหมู่:นักสำรวจชาวโปรตุเกส หมวดหมู่:บุคคลจากเขตซึตูบัล
วัชกู ดา กามา
File:1995 collage V4.png|right|ตามเข็มนาฬิกาจากบนซ้าย: โอ. เจ. ซิมป์สัน O. J. Simpson murder case|พ้นผิดจากข้อหาฆาตกรรมนิโคล เบราน์ ซิมป์สันและโรนัลด์ โกลด์แมนใน "การพิจารณาคดีแห่งศตวรรษ" ในค.ศ. 1994|ปีก่อนที่สหรัฐ; แผ่นดินไหวครั้งใหญ่ฮันชิง ค.ศ. 1995|แผ่นดินไหวครั้งใหญ่ฮันชิงสั่นสะเทือนโคเบะ ประเทศญี่ปุ่น ทำให้มีผู้เสียชีวิต 5,000-6,000 คน; ห้างสรรพสินค้า Sampoong Sampoong Department Store collapse|ถล่ม ทำให้มีผู้เสียชีวิต 502 คน; ป้ายสุสานเหยื่อการสังหารหมู่สเรเบรนิตซาใกล้ช่วงสิ้นสุดของสงครามบอสเนีย; อเมริกันแอร์ไลน์ เที่ยวบินที่ 965 ตกลงใกล้กาลิ ประเทศโคลอมเบีย ทำให้มีผู้เสียชีวิต 159 คน; ค้นพบดาวเคราะห์นอกระบบดวงแรกชื่อ 51 ม้าบิน บี; กระสวยอวกาศแอตแลนติส|กระสวยอวกาศ ''แอตแลนติส'' STS-71|เทียบท่าสถานีอวกาศ ''สถานีอวกาศมีร์|มีร์'' เพื่อแสดงความร่วมมือระหว่างสหรัฐกับรัสเซีย; อาคารกลางอัลเฟรด พี. เมอร์ราห์ในโอคลาโฮมาซิตีถูกเหตุระเบิดในโอคลาโฮมาซิตี|ระเบิดโดยDomestic terrorism in the United States|ผู้ก่อการร้ายในประเทศ ทำให้มีผู้เสียชีวิต 168 คน รวมเด็ก 19 คน|300x300px|thumb '''พุทธศักราช 2538''' ตรงกับปีคริสต์ศักราช 1995 เป็นปีปกติสุรทินที่วันแรกเป็นวันอาทิตย์ตามปฏิทินเกรกอเรียน และเป็น * ปีกุน สัปตศก จุลศักราช 1357 (วันที่ 16 เมษายน เป็นวันเถลิงศก) == ผู้นำประเทศไทย == * '''พระมหากษัตริย์''': พระบาทสมเด็จพระมหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร|พระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร (9 มิถุนายน พ.ศ. 2489 – 13 ตุลาคม พ.ศ. 2559) * '''นายกรัฐมนตรี''' ** ชวน หลีกภัย|นายชวน หลีกภัย (23 กันยายน พ.ศ. 2535 – 12 กรกฎาคม พ.ศ. 2538) ** บรรหาร ศิลปอาชา|นายบรรหาร ศิลปอาชา (13 กรกฎาคม พ.ศ. 2538 – 24 พฤศจิกายน พ.ศ. 2539) == เหตุการณ์ == === มกราคม === * 17 มกราคม – เกิดแผ่นดินไหวแมกนิจูด 7.2 ใกล้โคเบะ|เมืองโคเบะ ประเทศญี่ปุ่น ทำให้มีผู้เสียชีวิตมากกว่า 6,000 คน และเกิดความเสียหายต่อทรัพย์สินเป็นมูลค่ากว่า 100,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ === มีนาคม === * 20 มีนาคม – ลัทธิโอมชินริเกียวก่อวินาศกรรม โดยการการโจมตีด้วยแก๊สพิษซารินในรถไฟใต้ดินกรุงโตเกียว|ปล่อยแก๊สพิษซารินในรถไฟใต้ดินกรุงโตเกียว|รถไฟใต้ดิน กรุงโตเกียว ทำให้มีผู้เสียชีวิต 12 คน บาดเจ็บมากกว่า 6,000 คน * 25 มีนาคม – วอร์ด คันนิงแฮมก่อตั้งคลังแบบรูปพอร์ตแลนด์เป็นวิกิแห่งแรก === เมษายน === * 19 เมษายน – การวางระเบิดในนครโอกลาโฮมา ซึ่งเป็นการก่อการร้ายโดยคนในประเทศครั้งร้ายแรงที่สุดในประวัติศาสตร์สหรัฐ เกิดขึ้น ทำให้มีผู้เสียชีวิต 168 คน * 30 เมษายน - วันก่อตั้งรัฐบาลเวียดนามอิสระ === พฤษภาคม === * 17 พฤษภาคม – หลังจากดำรงตำแหน่งเป็นนายกเทศมนตรีอยู่ 18 ปี ฌัก ชีรัก ได้รับเลือกตั้งเป็นประธานาธิบดีประเทศฝรั่งเศส|ฝรั่งเศส === มิถุนายน === * 5 มิถุนายน – นักฟิสิกส์สังเคราะห์ของเหลวผลควบแน่นโบส-ไอน์สไตน์ ซึ่งเป็นสถานะ (สสาร)|สถานะใหม่ของสสารได้เป็นครั้งแรก * 14 มิถุนายน – เหตุการณ์โป๊ะล่มที่ท่าพรานนก พ.ศ. 2538|เหตุการณ์โป๊ะล่มที่ท่าวังหลังและท่าพรานนก|ท่าน้ำพรานนก ทำให้มีผู้เสียชีวิต 29 คน * 29 มิถุนายน - ** กระสวยอวกาศ ''กระสวยอวกาศแอตแลนติส|แอตแลนติส'' เชื่อมต่อกับสถานีอวกาศมีร์ของรัสเซียเป็นครั้งแรก ** พรรคมอญใหม่ลงนามหยุดยิงกับรัฐบาลทหารพม่า ** ห้างซัมพุง (Sampoong) ในเกาหลีใต้ถล่ม ทำให้พนักงานห้างและลูกค้าเสียชีวิตรวม 507 คน บาดเจ็บกว่า 900 คน === กรกฎาคม === * 2 กรกฎาคม – การเลือกตั้งในประเทศไทยครั้งที่ 20 ผลการเลือกตั้ง พรรคชาติไทยได้คะแนนมาเป็นอันดับหนึ่ง นายบรรหาร ศิลปอาชาหัวหน้าพรรค ได้เป็นนายกรัฐมนตรีคนที่ 21 ของไทย * 21 กรกฎาคม – วิกฤติช่องแคบไต้หวันครั้งที่ 3 เริ่มขึ้นเมื่อประเทศจีน|จีนยิงขีปนาวุธสู่ทะเลทางทิศเหนือของไต้หวัน === สิงหาคม === * 21 สิงหาคม - กลุ่มฮามาสวางระเบิดในกรุงเยรูซาเลม มีผู้เสียชีวิต 6 คน * 24 สิงหาคม – ไมโครซอฟท์วางจำหน่ายวินโดวส์ 95 === กันยายน === === ตุลาคม === * 6 ตุลาคม – วารสาร ''เนเจอร์'' เผยแพร่รายงานการค้นพบดาวเคราะห์โคจรรอบดาว 51 ม้าบิน นับเป็นดาวเคราะห์นอกระบบดวงแรกของดาวฤกษ์ในแถบลำดับหลัก * 24 ตุลาคม เกิดสุริยุปราคาเต็มดวงhttp://eclipse.gsfc.nasa.gov/SEgoogle/SEgoogle1951/SE1995Oct24Tgoogle.html Total Solar Eclipse of 1995 Oct 24 * 30 ตุลาคม – ผลการลงประชามติแยกรัฐควิเบกเป็นเอกราช พ.ศ. 2538|การลงประชามติแยกรัฐควิเบกเป็นเอกราช ปรากฏว่า 50.6% ของผู้มีสิทธิ์เลือกตั้งออกเสียงให้รัฐควิเบกยังเป็นส่วนหนึ่งของประเทศแคนาดา === พฤศจิกายน === * 22 พฤศจิกายน – การ์ตูนที่สร้างด้วยคอมพิวเตอร์ล้วน โดยพิกซาร์ จากประเทศสหรัฐอเมริกา เรื่องแรก "ทอย สตอรี่" ออกฉาย === ธันวาคม === * 7 ธันวาคม – ยานกาลิเลโอขององค์การนาซาถึงดาวพฤหัสบดี หลังจากใช้เวลาเดินทางในอวกาศกว่า 6 ปี * 20 ธันวาคม – องค์การสนธิสัญญาป้องกันแอตแลนติกเหนือ (นาโต) เริ่มภารกิจรักษาสันติภาพในบอสเนีย * 31 ธันวาคม - กองทัพเมิงไตของขุนส่าประกาศหยุดยิงกับรัฐบาลทหารพม่า == วันเกิด == === มกราคม === * 3 มกราคม -​ จีซู​ ศิลปินเกาหลีใต้ * 4 มกราคม - กายา กรอแบ็ลนา​-นักวอลเลย์บอล​ชาวเบลเยียม​ === กุมภาพันธ์ === * ​2 กุมภาพันธ์ ​- การอล ลีแนตตือ​ -​ นักฟุตบอล​ชาวโปแลนด์​ === มีนาคม === * ​ 1 มีนาคม​ - เก็นตะ มิอูระ​ นักฟุตบอล​ชาวญี่ปุ่น * 5 มีนาคม - สวีข่าย นักแสดงชาวจีน * 18 มีนาคม​ - เจณิสตา พรหมผดุงชีพ (เจนิส) นักแสดงหญิงชาวไทย * ​25 มีนาคม​ - การ์ลุส วีนีซียุส​ นักฟุตบอล​ชาวบราซิล​ === เมษายน === * ​15 เมษายน​ -​ คิม นัม-จู​ นักร้องชาวเกาหลีใต้ * ​25 เมษายน​ -​ เคห์ลานี นักร้องชาวอเมริกัน * 29 เมษายน ** สุภัสสรา ธนชาต นักแสดงชาวไทย ** จ้าว เยว่ นักร้องชาวจีน === พฤษภาคม === * ​24 พฤษภาคม​ -​ เจ้าชายโยเซ็ฟ เว็นท์เซิล แห่งลีชเทินชไตน์ * ​25 พฤษภาคม​ -​ โฆเซ กายา​ นักฟุตบอล​ชาวสเปน === มิถุนายน === * 5 มิถุนายน – ทรอย ซีวาน นักแสดง นักร้องชาวแอฟริกาใต้ * 15 มิถุนายน – โคเซ ทานากะ นักมวยสากลชาวญี่ปุ่น​ === กรกฎาคม === * 1 กรกฎาคม - อี แท-ยง ศิลปินชาวเกาหลีใต้ * 9 กรกฎาคม ** จอร์จี เฮนเลย์ นักแสดงชาวอังกฤษ ** ซันโดร รามีเรซ นักฟุตบอลชาวสเปน === สิงหาคม === * 4 สิงหาคม​ -​ เจมส์ เวียร์ (นักฟุตบอล)|เจมส์ เวียร์​ นักฟุตบอล​ชาวอังกฤษ​ * 8 สิงหาคม - เนติพร เสน่ห์สังคม นักกิจกรรมเคลื่อนไหวทางการเมืองชาวไทย (ถึงแก่กรรม 14 พฤษภาคม พ.ศ. 2567)​ === กันยายน === === ตุลาคม === * 11 ตุลาคม -เจ้าหญิงลุยซา มาเรียแห่งเบลเยียม อาร์ชดัชเชสแห่งออสเตรีย-เอสเต​ * 13 ตุลาคม - จีมิน (นักร้องเกิด พ.ศ. 2538)|จีมิน ศิลปินชาวเกาหลีใต้ * 18 ตุลาคม - รัชนก สุวรรณเกตุ (เจนนี่) นักร้องชาวไทย * 21 ตุลาคม -​ โดจา แคต นักร้องนักแต่งเพลงชาวอเมริกัน * 26 ตุลาคม - ยูตะ นากาโมโตะ ศิลปินชาวเกาหลีใต้ * 29 ตุลาคม - จิรายุ ละอองมณี (เก้า) นักแสดงและนักร้องชาวไทย === พฤศจิกายน === * 12 พฤศจิกายน - นานาโวะ อะคาริ นักร้องป๊อปและยูทูเบอร์หญิงชาวญี่ปุ่น * 26 พฤศจิกายน - รินะ อิซึตะ นักร้องชาวญี่ปุ่น === ธันวาคม === * 1 ธันวาคม -​ เจมส์ วิลสัน (นักฟุตบอลเกิด พ.ศ. 2538)|เจมส์ วิลสัน นักฟุตบอลชาวอังกฤษ * 2 ธันวาคม -​ แคลวิน ฟิลลิปส์ ​นักฟุตบอลชาวอังกฤษ * 26 ธันวาคม - กาซีนี กานาโดส​ นางแบบชาวฟิลิปปินส์​ * 30 ธันวาคม - วี (นักร้อง)|วี ศิลปินชาวเกาหลีใต้ == วันถึงแก่กรรม == ไฟล์:Princess Mother Srinagarindra.jpg|thumb|150px|สมเด็จพระศรีนครินทราบรมราชชนนี * 5 กุมภาพันธ์ - พระเจ้าวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าภาณุพันธุ์ยุคล (ประสูติ 27 พฤศจิกายน พ.ศ. 2453) * 28 กุมภาพันธ์ - สุนีรัตน์ เตลาน นักการเมืองชาวไทย (เกิด 23 กรกฎาคม พ.ศ. 2463) * 31 มีนาคม - เซเลนา นักร้องชาวอเมริกัน (เกิด 16 เมษายน พ.ศ. 2514) * 8 พฤษภาคม - เติ้ง ลี่จวิน นักร้องชาวไต้หวัน (เกิด 29 มกราคม พ.ศ. 2496) * 18 กรกฎาคม - สมเด็จพระศรีนครินทราบรมราชชนนี (เสด็จพระราชสมภพ 21 ตุลาคม พ.ศ. 2443) * 21 สิงหาคม - สุพรหมัณยัน จันทรเศขร นักฟิสิกส์ดาราศาสตร์ชาวอินเดีย-อเมริกัน (เกิด 19 ตุลาคม พ.ศ. 2453) * 27 สิงหาคม - หม่อมเจ้าฐิติพันธุ์ ยุคล (ประสูติ 11 ตุลาคม พ.ศ. 2478) * 25 สิงหาคม - เจ้าหญิงเซ็ตสึโกะ พระชายาในเจ้าชายยาซูฮิโตะ (ประสูติ 9 ธันวาคม พ.ศ. 2452) * 9 ตุลาคม - หม่อมราชวงศ์คึกฤทธิ์ ปราโมช (เกิด 20 เมษายน พ.ศ. 2454) == รางวัล == === รางวัลโนเบล === * รางวัลโนเบลสาขาเคมี|สาขาเคมี – Paul J. Crutzen, Mario J. Molina, F. Sherwood Rowland * รางวัลโนเบลสาขาวรรณกรรม|สาขาวรรณกรรม – ซีมุส ฮีนีย์ * รางวัลโนเบลสาขาสันติภาพ|สาขาสันติภาพ – Joseph Rotblat, Pugwash Conferences on Science and World Affairs * รางวัลโนเบลสาขาฟิสิกส์|สาขาฟิสิกส์ – Martin Lewis Perl, Frederick Reines * รางวัลโนเบลสาขาสรีรวิทยาหรือการแพทย์|สาขาสรีรวิทยาหรือการแพทย์ – เอ็ดเวิร์ด บี. ลิวอิส, คริสเตียน นึสชลีน-โวลฮาร์ด, อีริค เอฟ. ไวส์ชาวส์ * รางวัลโนเบลสาขาเศรษฐศาสตร์|สาขาเศรษฐศาสตร์ – Robert Lucas Jr. == บันเทิงคดีที่อ้างถึงปีนี้ == === ภาพยนตร์ === * ''2538 อัลเทอร์มาจีบ'' (พ.ศ. 2558)http://www.siamzone.com/movie/news-7116-2538-อัลเทอร์มาจีบ-ชวนสัมผัสความรักฉบับย้อนยุค 2538 อัลเทรอ์มาจีบ ชวนสัมผัสความรักฉบับย้อนยุค 2538 <!-- === ละคร ซีรีส์ === * === วิดีโอเกม === * --> == อ้างอิง == หมวดหมู่:พ.ศ. 2538|
พ.ศ. 2538
File:2002 Events Collage.png|จากซ้าย ตามเข็มนาฬิกา: โอลิมปิกฤดูหนาว 2002 จัดขึ้นที่ซอลต์เลกซิตี รัฐยูทาห์ สหรัฐ; สมเด็จพระราชินีเอลิซาเบธ พระราชชนนีกับเจ้าหญิงมาร์กาเรต เคาน์เตสแห่งสโนว์ดอน พระธิดา Death and funeral of Queen Elizabeth The Queen Mother|สิ้นพระชนม์; ติมอร์-เลสเตได้รับการเป็นเอกราชของติมอร์-เลสเต|เอกราชจากอินโดนีเซีย และได้รับการยอมรับเป็นสมาชิกสหประชาชาติ; ฟุตบอลโลก 2002 จัดขึ้นในเกาหลีใต้และญี่ปุ่น โดยผู้ชนะคือบราซิล; เหตุระเบิดในบาหลี พ.ศ. 2545|เหตุระเบิดที่กูตาทำให้มีผู้เสียชีวิต 202 คน; การชนกันกลางอากาศที่อือเบอร์ลิงเงิน พ.ศ. 2545|การชนกันกลางอากาศที่อือเบอร์ลิงเงินทำให้มีผู้เสียชีวิต 71 คน; วลาดีมีร์ ปูตินเข้าเยี่ยมเยียนตัวประกันที่เข้ารับการรักษาจากวิกฤตการณ์ตัวประกันโรงละครมอสโก; ยูโรกลายเป็นสกุลเงินของยูโรโซนอย่างเป็นทางการ|300x300px|thumb|right '''พุทธศักราช 2545''' ตรงกับปีคริสต์ศักราช 2002 เป็นปีปกติสุรทินที่วันแรกเป็นวันอังคารตามปฏิทินเกรกอเรียน * ปีมะเมีย จัตวาศก จุลศักราช 1364 (วันที่ 16 เมษายน เป็นวันเถลิงศก) == ผู้นำประเทศไทย == * '''พระมหากษัตริย์''': พระบาทสมเด็จพระมหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร|พระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร (9 มิถุนายน พ.ศ. 2489 – 13 ตุลาคม พ.ศ. 2559) * '''นายกรัฐมนตรี''': ทักษิณ ชินวัตร|พันตำรวจโท ทักษิณ ชินวัตร (9 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2544 – 19 กันยายน พ.ศ. 2549) == เหตุการณ์ == === มกราคม === * 7 มกราคม - โทนี แบลร์ นายกรัฐมนตรีอังกฤษ เยือนอัฟกานิสถาน ถือเป็นผู้นำต่างประเทศคนแรกที่ไปเยือนหลังการล่มสลายของตาลีบัน * 17 มกราคม - ชาวปาเลสไตน์กราดยิงชาวยิวเสียชีวิต 6 ศพในเมืองฮาเดอรา ฆาตกรถูกตำรวจอิสราเอลสังหาร กลุ่มกองพลผู้เสียสละอัล-อักซาออกมาอ้างความรับผิดชอบ * 19 มกราคม – พิธีวางศิลาฤกษ์อาคารผู้โดยสารท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ * 22 มกราคม - กลุ่มติดอาวุธใช้จักรยานยนต์เป็นพาหนะกราดยิงสถานทูตสหรัฐในกัลกัตตา ทำให้มีชาวอินเดียเสียชีวิต 5 คน === กุมภาพันธ์ === * 27 กุมภาพันธ์ – รถไฟขบวนหนึ่งที่นำนักแสวงบุญฮินดูกลับจากอโยธยา สถานที่ศักดิ์สิทธิ์ทางตะวันตกของรัฐคุชราต ประเทศอินเดีย ถูกเผาโดยผู้ก่อการความรุนแรงชาวมุสลิม มีผู้เสียชีวิตบนรถไฟ 58 คน ส่งผลให้เกิดการจลาจลตอบโต้ นำไปสู่การเสียชีวิตของมุสลิมนับพันคน === มีนาคม === * 1 มีนาคม – ปฏิบัติการแอนาคอนดาของสหรัฐอเมริกา เริ่มต้นขึ้นในตะวันออกของประเทศอัฟกานิสถาน|อัฟกานิสถาน * 17 มีนาคม มือปืนขว้างระเบิดมือเข้าใส่โบสถ์นิกายโปรแตสแตนท์ในเมืองอิสลามาบาด ประเทศปากีสถาน ทำให้มีผู้เสียชีวิต 2 คน คาดว่าเป็นฝีมือกองทัพแห่งความชอบธรรม * 20 มีนาคม- เกิดระเบิดรถยนต์บริเวณศูนย์การค้าใกล้สถานทูตสหรัฐในกรุงลิมา ประเทศเปรู มีผู้เสียชีวิต 9 คน เกิดขึ้นก่อนหน้าที่ประธานาธิบดีจอร์จ ดับเบิลยู บุช เดินทางไปเปรู 3 วัน * 27 มีนาคม – เหตุระเบิดพลีชีพที่นาทันยา ประเทศอิสราเอล ทำให้มีผู้เสียชีวิต 30 คน * 30 มีนาคม - เกิดระเบิดที่ศาสนสถานของศาสนาฮินดูในรัฐชัมมูและกัษมีระ มีผู้เสียชีวิต 10 คน กลุ่มแนวร่วมอิสลามออกมาอ้างความรับผิดชอบ === เมษายน === * 12 เมษายน - เกิดระเบิดพลีชีพบนเครื่องบินในกรุงเยรูซาเลม มีผู้เสียชีวิต 6 คน กลุ่มกองพลผู้เสียสละอัลอักซา ออกมาอ้างความรับผิดชอบ * 30 เมษายน – การลงประชามติในประเทศปากีสถาน|ปากีสถานรับรองให้เปอร์เวซ มูชาร์ราฟ ดำรงตำแหน่งประธานาธิบดีต่อไปอีก 5 ปี === พฤษภาคม === * 8 พฤษภาคม - เกิดระเบิดรถยนต์ในกรุงการาจี ประเทศปากีสถานมีผู้เสียชีวิต 12 คน คาดว่าเป็นฝีมือกลุ่มอัลกออิดะห์ * 9 พฤษภาคม - เกิดระเบิดควบคุมด้วยรีโมทในงานพาเหรดที่ดาเกสถาน ประเทศรัสเซีย มีผู้เสียชีวิต 42 คน คาดว่าเป็นฝีมือกลุ่มอัลกออิดะห์ * 20 พฤษภาคม – ประเทศติมอร์ตะวันออกได้รับเอกราช หลังจากอยู่ภายใต้การปกครองของประเทศอินโดนีเซีย|อินโดนีเซีย === มิถุนายน === * 5 มิถุนายน – มูลนิธิมอซิลลาเปิดตัวโปรแกรมค้นดูเว็บ มอซิลลา 1.0 * 6 มิถุนายน – ดาวเคราะห์น้อยขนาดประมาณ 10 เมตร ระเบิดเหนือทะเลเมดิเตอร์เรเนียน ทำให้เกิดพลังงานที่รุนแรงกว่าระเบิดนิวเคลียร์ที่ถล่มนางาซากิเล็กน้อย * 7 มิถุนายน - ทหารฟิลิปปินส์เข้าโจมตีกลุ่มอาบูไซยาฟ ที่เกาะมินดาเนาเพื่อช่วยเหลือตัวประกันชาวสหรัฐที่ถูกจับไปแล้ว 1 ปี ผลปรากฏว่าตัวประกันถูกสังหาร ฝ่ายอาบูไซยาฟเสียชีวิต * 22 มิถุนายน – เกิดแผ่นดินไหวขนาด 6.5 ที่ภาคตะวันตกของประเทศอิหร่านส่งผลให้มีผู้เสียชีวิตมากกว่า 261 ราย * 30 มิถุนายน – ทีมฟุตบอลทีมชาติบราซิลชนะเลิศการแข่งขัน ฟุตบอลโลก ครั้งที่ 17 (สมัยที่5) === กรกฎาคม === * 9 กรกฎาคม – ก่อตั้งสหภาพแอฟริกา ณ อาดดิสอาบาบา ประเทศเอธิโอเปีย === สิงหาคม === * 5 สิงหาคม - เกิดการโจมตีโรงเรียนคริสต์ในปากีสถานที่มีเด็กจากคณะมิชชันนารีทั่วโลกมาร่วมประชุม มีผู้เสียชีวิต 6 คน * 6 สิงหาคม - มีการโจมตีนักแสวงบุญชาวฮินดูที่ไปแสวงบุญในกัษมีระ มีผู้เสียชีวิต 6 คน === กันยายน === * 11 กันยายน - เกิดการลอบสังหารนายมัสตัก อาห์เหม็ด โสนะ รัฐมนตรีกระทรวงยุติธรรมของกัษมีระ === ตุลาคม === * 12 ตุลาคม – เกิดเหตุระเบิดในบาหลี พ.ศ. 2545|เหตุลอบวางระเบิดขึ้นที่ไนต์คลับ 2 แห่ง บนเกาะบาหลี ประเทศอินโดนีเซีย มีผู้เสียชีวิต 202 คน และบาดเจ็บอีกหลายร้อยคน ผู้เสียชีวิตจำนวนมากเป็นชาวต่างชาติ * 23-25 ตุลาคม - กบฏเชเชนจับประชาชนราว 700 คนเป็นตัวประกันในเหตุการณ์วิกฤติตัวประกันโรงละครมอสโก === พฤศจิกายน === * 8 พฤศจิกายน – คณะมนตรีความมั่นคงแห่งสหประชาชาติผ่านความเห็นชอบมติ 1441 ของคณะมนตรีความมั่นคงแห่งสหประชาชาติ|ข้อมติ 1441 บังคับให้ประเทศอิรัก|อิรักปลดอาวุธหรือไม่เช่นนั้นก็เผชิญกับ "ผลร้ายแรงที่ตามมาภายหลัง" * 15 พฤศจิกายน – หู จิ่น เทา ขึ้นดำรงตำแหน่งเลขาธิการพรรคคอมมิวนิสต์จีน * 16 พฤศจิกายน – พบการระบาดครั้งแรกของโรคซาร์ในสาธารณรัฐประชาชนจีน == วันเกิด == * 3 มกราคม - นิโก กอนซาเลซ นักฟุตบอลชาวสเปน * 9 มกราคม - เกียรติภูมิ บันลือชัยฤทธิ์ นักแสดงชายชาวไทย *5 กุมภาพันธ์ - **คัง แทฮย็อน ศิลปินชาวเกาหลีใต้ **พัค จีซ็อง ศิลปินชาวเกาหลีใต้ *2 มีนาคม - ชิน จียุน ศิลปินชาวเกาหลีใต้ *11 มีนาคม - นันท์นภัส เลิศนามเชิดสกุล นักร้องชาวไทย *13 มีนาคม - พัค แชริน ศิลปินชาวเกาหลีใต้ *17 มีนาคม - จักรภัทร อังศุธนมาลี นักแสดงชายชาวไทย *20 มีนาคม - คาวาอิ รุกะ สมาชิกเกิร์ลกรุ๊ปวงเบบีมอนสเตอร์ *27 มีนาคม - รตา ชินกระจ่างกิจ นักร้องชาวไทย * 11 เมษายน - ยงศิลป์ วงศ์พนิตนนท์ นักแสดงชายชาวไทย *16 เมษายน - เซดี้ ซิงค์ นักแสดงชาวอเมริกัน *20 เมษายน - พัค จงซอง|พัค จงซ็อง ศิลปินชาวเกาหลีใต้-อเมริกัน *22 เมษายน - นภสรณ์ ศิริปาณี นักร้องชาวไทย *27 เมษายน - แอนโทนี เอลังกา นักฟุตบอลชาวสวีเดน *30 เมษายน - โช ซอย็อง ศิลปินชาวเกาหลีใต้ *4 พฤษภาคม - ศิภัชรดา ผิวทอง นักแสดงหญิงชาวไทย *7 พฤษภาคม - บัง เยดัม ศิลปินชาวเกาหลีใต้ *10 พฤษภาคม - คิม จีมิน ศิลปินชาวเกาหลีใต้ * 23 พฤษภาคม - อภิชญา ทองคำ นักแสดงหญิงชาวไทย *30 พฤษภาคม - อาณัชญา สุพุทธิพงศ์ นักร้องชาวไทย * 16 มิถุนายน - อนุวัฒน์ แซ่โจว นักร้องชาวไทย * 9 กรกฎาคม - ** พิมรภัส ผดุงวัฒนะโชค นักร้องชาวไทย ** ชา จุนโฮ ศิลปินชาวเกาหลีใต้ * 16 กรกฎาคม - พันวา พรหมเทพ นักร้องและนักแสดงชาวไทย * 22 กรกฎาคม - เจ้าชายเฟลิกซ์แห่งเดนมาร์ก พระโอรสในเจ้าชายโจอาคิมแห่งเดนมาร์กและอเล็กซันดรา เคาน์เตสแห่งเฟรเดอริกสบอร์ก *4 กรกฎาคม - สุชญา แสนโคต นักร้องชาวไทย *8 สิงหาคม - ณฐสิชณ์ เอื้อเอกสิชฌ์ นักแสดงชาวไทย *14 สิงหาคม - ฮยูนิง ไค ศิลปินชาวเกาหลีใต้-อเมริกัน *24 สิงหาคม - อติรุจ แสงเทียน นักแสดงชาวไทย * 3 กันยายน - จณิสตา ตันศิริ นักร้องชาวไทย * 8 กันยายน - เกเตน มาตาราซโซ นักแสดงชาวอเมริกัน * 9 กันยายน - ซน ดงพโย ศิลปินชาวเกาหลีใต้ * 17 กันยายน - คัง มินฮี ศิลปินชาวเกาหลีใต้ *18 กันยายน - ปาฏลี ประเสริฐธีระชัย นักร้องชาวไทย *30 กันยายน - ย็อม แทกยุน ศิลปินชาวเกาหลีใต้ *20 ตุลาคม - เยเรมิ ปิโน นักฟุตบอลชาวสเปน *23 ตุลาคม - หนิง อี้จั๋ว ศิลปินชาวจีน * 26 ตุลาคม - **ลี อึนซัง ศิลปินชาวเกาหลีใต้ **พัค โซอึน ศิลปินชาวเกาหลีใต้ * 31 ตุลาคม - อันซู ฟาตี นักฟุตบอลชาวสเปน *6 พฤศจิกายน - โมริ โคยูกิ ศิลปินชาวญี่ปุ่น *10 พฤศจิกายน - เอดัวร์โด กามาวีงกา นักฟุตบอลชาวฝรั่งเศส *11 พฤศจิกายน - อิม ยอจิน ศิลปินชาวเกาหลีใต้ *13 พฤศจิกายน - ** ดนุภา คณาธีรกุล แร๊ปเปอร์ชาวไทย ** เอ็มมา ราดูคานู นักเทนนิสอาชีพชาวอังกฤษ ** จิโอวานนี เรย์นา นักฟุตบอลชาวสหรัฐ *15 พฤศจิกายน - **ญาณิศา เมืองคำ นักร้องชาวไทย **ชิม แจยุน ศิลปินชาวเกาหลีใต้-ออสเตรเลีย * 25 พฤศจิกายน - เปดริ นักฟุตบอลชาวสเปน * 30 พฤศจิกายน - ซง ฮย็องจุน ศิลปินชาวเกาหลีใต้ * 3 ธันวาคม - ณัฐทิชา จันทรวารีเลขา นักร้องชาวไทย *5 ธันวาคม - ลี แชย็อง ศิลปินชาวเกาหลีใต้ *8 ธันวาคม - พัค ซองฮุน|พัค ซ็องฮุน ศิลปินชาวเกาหลีใต้ * 23 ธันวาคม - ฟินน์ วูล์ฟฮาร์ด นักแสดงและนักดนตรีชาวแคนาดา * 25 ธันวาคม - อ๋าว จื่ออี้ ศิลปินนักแสดงชาวจีน == วันถึงแก่กรรม == ===มกราคม=== === กุมภาพันธ์ === ไฟล์:Princess Margaret.jpg|thumb|100px|เจ้าหญิงมากาเร็ต * 9 กุมภาพันธ์ - เจ้าหญิงมาร์กาเรต เคาน์เตสแห่งสโนว์ดอน (ประสูติ 21 สิงหาคม พ.ศ. 2473) * 20 กุมภาพันธ์ - อัมรินทร์ เหลืองบริบูรณ์ นักร้อง (เกิด 14 ตุลาคม พ.ศ. 2514) ===มีนาคม=== * 30 มีนาคม - สมเด็จพระราชินีอลิซาเบธ โบวส์-ลีออน|สมเด็จพระราชินีเอลิซาเบธ พระราชชนนี (พระราชสมภพ 4 สิงหาคม พ.ศ. 2443) ===เมษายน=== * 1 เมษายน - ซิโม แฮวแฮ พลซุ่มยิงชาวฟินแลนด์ (เกิด 17 ธันวาคม พ.ศ. 2448) * 30 เมษายน - ล้อต๊อก นักแสดงตลกและศิลปินแห่งชาติ(เกิด 1 เมษายน พ.ศ. 2457) ===พฤษภาคม=== * 3 พฤษภาคม - โมฮัมเหม็ด ฮาจี อิบราฮิม อิกอัล นายกรัฐมนตรีแห่งโซมาเลียสองสมัย (เกิด 15 สิงหาคม พ.ศ. 2471) * 13 พฤษภาคม - หม่อมเจ้าการวิก จักรพันธุ์ (ประสูติ 9 เมษายน พ.ศ. 2460) * 18 พฤษภาคม - เดวี บอย สมิธ นักมวยปล้ำชาวอังกฤษ (เกิด 27 พฤศจิกายน พ.ศ. 2505) ===มิถุนายน=== * 5 มิถุนายน - ดี ดี ราโมน มือเบสชาวอเมริกัน (เกิด 18 กันยายน พ.ศ. 2494) * 7 มิถุนายน - ลิเลียน เจ้าหญิงแห่งเรตี เจ้าหญิงแห่งเบลเยียม (พระราชสมภพ 28 พฤศจิกายน พ.ศ. 2459) * 14 มิถุนายน - โฮเซ โบนียา นักมวยสากลชาวเวเนซุเอลา (เกิด 19 พฤศจิกายน พ.ศ. 2510) * 29 มิถุนายน - โรสแมรี คลูนีย์ นักร้องและนักแสดงหญิงชาวอเมริกัน (เกิด 23 พฤษภาคม พ.ศ. 2471) ===กรกฎาคม=== * 9 กรกฎาคม - ร็อด ชไตเกอร์ นักแสดงชายชาวอเมริกัน (เกิด 14 เมษายน พ.ศ. 2468) * 28 กรกฎาคม - อาร์เชอร์ มาร์ติน นักเคมีชาวอังกฤษ (เกิด 1 มีนาคม พ.ศ. 2453) ===สิงหาคม=== ===กันยายน=== ===ตุลาคม=== * 6 ตุลาคม - ** เจ้าชายเคลาส์แห่งเนเธอร์แลนด์ พระราชสวามีในสมเด็จพระราชินีนาถเบียทริกซ์แห่งเนเธอร์แลนด์ (พระราชสมภพ 6 กันยายน พ.ศ. 2469) ** ปีย์ชนิตถ์ อ้นอารี นักร้อง,นักดนตรีชาวไทย (เกิด 21 พฤศจิกายน พ.ศ. 2524) * 12 ตุลาคม - โนโซมิ โมโมอิ นักแสดงภาพยนตร์ลามกอนาจารหญิงชาวญี่ปุ่น (เกิด 23 กันยายน พ.ศ. 2521) * 22 ตุลาคม - สมเด็จพระราชินีเจรัลดีนแห่งแอลเบเนีย สมเด็จพระบรมราชินีในพระเจ้าซ็อกที่ 1 แห่งแอลเบเนีย (พระราชสมภพ 6 สิงหาคม พ.ศ. 2458) * 24 ตุลาคม - แฮร์รี เฮย์ นักสิทธิของกลุ่มบุคคลที่มีความหลากหลายทางเพศเรียงตามประเทศหรือดินแดน|รณรงค์สิทธิ์ของกลุ่มรักร่วมเพศ ผู้นิยมลัทธิคอมมิวนิสต์ และผู้สนับสนุนแรงงาน (เกิด 7 เมษายน พ.ศ. 2455) * 25 ตุลาคม – ริชาร์ด แฮร์ริส นักแสดงชาวไอริช (เกิด 1 ตุลาคม พ.ศ. 2473) ===พฤศจิกายน=== * 2 พฤศจิกายน - ลัว เลี่ย นักแสดงชายชาวฮ่องกง (เกิด 29 มิถุนายน พ.ศ. 2482) * 18 พฤศจิกายน - เจมส์ โคเบิร์น นักแสดงชาวอเมริกัน (เกิด 31 สิงหาคม พ.ศ. 2471) * 21 พฤศจิกายน – เจ้าชายโนริฮิโตะ ทากามาโดะโนะมิยะ พระภาดาในสมเด็จพระจักรพรรดิอากิฮิโตะ (ประสูติ 29 ธันวาคม พ.ศ. 2497) ===ธันวาคม=== * 5 ธันวาคม - เนวี่น ผู้บัญชาการแห่งกองทัพพม่า ประธานาธิบดีพม่าคนที่ 4 (เกิด 10 กรกฎาคม พ.ศ. 2453) == รางวัล == === รางวัลโนเบล === * รางวัลโนเบลสาขาเคมี|สาขาเคมี – John B. Fenn, Koichi Tanaka, Kurt Wüthrich * รางวัลโนเบลสาขาวรรณกรรม|สาขาวรรณกรรม – อิมเร เคอร์เตซ * รางวัลโนเบลสาขาสันติภาพ|สาขาสันติภาพ – จิมมี คาร์เตอร์ * รางวัลโนเบลสาขาฟิสิกส์|สาขาฟิสิกส์ – เรย์มอนด์ เดวิส, มาซาโตชิ โคชิบา, ริคคาร์โด แจ็คโคนี * รางวัลโนเบลสาขาสรีรวิทยาหรือการแพทย์|สาขาสรีรวิทยาหรือการแพทย์ – ซิดนีย์ เบรนเนอร์, เอช. โรเบิร์ต ฮอร์วิทซ์, จอห์น อี. ซุลสตัน * รางวัลโนเบลสาขาเศรษฐศาสตร์|สาขาเศรษฐศาสตร์ – Daniel Kahneman, เวอร์นอน แอล สมิธ == แหล่งข้อมูลอื่น == * http://www.google.com/press/zeitgeist2002.html 2002 Year-End Google Zeitgeist - เหตุการณ์สำคัญและคำค้นภาษาอังกฤษที่พบบ่อยที่สุดใน ปี ค.ศ. 2002 โดยกูเกิล หมวดหมู่:พ.ศ. 2545|
พ.ศ. 2545
Infobox person | name = ลูทวิช ฟัน เบทโฮเฟิน | image = Beethoven.jpg | caption = ภาพวาดโดยโยเซ็ฟ คาร์ล ชตีเลอร์ ค.ศ. 1820 | alt = Portrait by Joseph Karl Stieler, 1820 | parents = โยฮัน ฟัน เบทโฮเฟินมารีอา มัคเดเลนา ฟัน เบทโฮเฟิน|มารีอา มัคเดเลนา เคเวอริช | birth_place = บ็อน รัฐผู้คัดเลือกโคโลญ | birth_date = 16 ธันวาคม ค.ศ. 1770 | baptised = 17 ธันวาคม ค.ศ. 1770 | death_date = | death_place = เวียนนา | occupation = | signature = Beethoven Signature.svg '''ลูทวิช ฟัน เบทโฮเฟิน''' (, ; 16 ธันวาคม ค.ศ. 1770 – 26 มีนาคม ค.ศ. 1827) เป็นคีตกวีและนักเปียโนชาวเยอรมัน เกิดที่เมืองบ็อน ประเทศเยอรมนี เบทโฮเฟินเป็นตัวอย่างของศิลปินยุคจินตนิยมผู้โดดเดี่ยว และไม่เป็นที่เข้าใจของบุคคลในยุคเดียวกันกับเขา ในวันนี้เขาได้กลายเป็นคีตกวีที่มีคนชื่นชมยกย่องและฟังเพลงของเขากันอย่างกว้างขวางมากที่สุดคนหนึ่ง ตลอดชีวิตของเขามีอุปสรรคนานัปการที่ต้องฝ่าฟัน ทำให้เกิดความเครียดสะสมในใจเขา ในรูปภาพต่าง ๆ ที่เป็นรูปเบทโฮเฟิน สีหน้าของเขาหลายภาพแสดงออกถึงความเครียด แต่ด้วยจิตใจที่แข็งแกร่งของเขา ก็สามารถเอาชนะอุปสรรคต่าง ๆ ในชีวิตของเขาได้ ตำนานที่คงอยู่นิรันดร์เนื่องจากได้รับการยกย่องจากคีตกวีจินตนิยมทั้งหลาย เบทโฮเฟินได้กลายเป็นแบบอย่างของพวกเขาเหล่านั้นด้วยความเป็นอัจฉริยะที่ไม่มีใครเทียมทาน ซิมโฟนีของเขา (โดยเฉพาะอย่างยิ่งซิมโฟนีหมายเลข 5 (เบทโฮเฟิน)|ซิมโฟนีหมายเลข 5 ซิมโฟนีหมายเลข 6 (เบทโฮเฟิน)|ซิมโฟนีหมายเลข 6 ซิมโฟนีหมายเลข 7 (เบทโฮเฟิน)|ซิมโฟนีหมายเลข 7 และซิมโฟนีหมายเลข 9 (เบทโฮเฟิน)|ซิมโฟนีหมายเลข 9) และคอนแชร์โตสำหรับเปียโนที่เขาประพันธ์ขึ้น (โดยเฉพาะอย่างยิ่งคอนแชร์โตเปียโนคอนแชร์โตหมายเลข 4 (เบทโฮเฟิน)|หมายเลข 4 และเปียโนคอนแชร์โตหมายเลข 5 (เบทโฮเฟิน)|หมายเลข 5) เป็นผลงานที่ได้รับความนิยมมากที่สุด แต่ก็มิได้รวมเอาความเป็นอัจฉริยะทั้งหมดของคีตกวีไว้ในนั้น == ประวัติ == ไฟล์:Beethoven house.jpg|thumb|บ้านเกิดของเบทโฮเฟินที่เมืองบ็อน ไฟล์:Thirteen-year-old Beethoven.jpg|thumb|ภาพวาด ลูทวิช ฟัน เบทโฮเฟิน ใน ค.ศ. 1783 ไฟล์:Beethoven Hornemann.jpg|thumb|ภาพวาด ลูทวิช ฟัน เบทโฮเฟิน ใน ค.ศ. 1803 ไฟล์:Beethoven Mähler 1815.jpg|thumb|ภาพวาด ลูทวิช ฟัน เบทโฮเฟิน ใน ค.ศ. 1815 ไฟล์:Beethoven Waldmuller 1823.jpg|thumb|ภาพวาด ลูทวิช ฟัน เบทโฮเฟิน ใน ค.ศ. 1823 ลูทวิช ฟัน เบทโฮเฟินเกิดที่เมืองบ็อน (ประเทศเยอรมนี) เมื่อวันที่ 16 ธันวาคม พ.ศ. 2313|ค.ศ. 1770 และได้เข้าพิธีศีลจุ่มในวันที่ 17 ธันวาคม พ.ศ. 2313|ค.ศ. 1770 เป็นลูกชายคนรองของโยฮัน ฟัน เบทโฮเฟิน (Johann van Beethoven) กับมารีอา มัคเดเลนา เคเวอริช (Maria Magdalena Keverich) ขณะที่เกิดบิดามีอายุ 30 ปี และมารดามีอายุ 26 ปี ชื่อต้นของเขาเป็นชื่อเดียวกับปู่ และพี่ชายที่ชื่อลูทวิชเหมือนกัน แต่เสียชีวิตตั้งแต่อายุยังน้อย ครอบครัวของเขามีเชื้อสายเฟลมิช (จากเมืองเมเคอเลินในประเทศเบลเยียม) ซึ่งก็เป็นเหตุผลว่าเหตุใด นามสกุลของเขาจึงขึ้นต้นด้วย ''ฟัน'' ไม่ใช่ ''ฟ็อน'' ตามที่หลายคนเข้าใจ บิดาเป็นนักร้องในคณะดนตรีประจำราชสำนัก และเป็นคนที่ขาดความรับผิดชอบ ซ้ำยังติดสุรา รายได้เกินครึ่งหนึ่งของครอบครัวถูกบิดาของเขาใช้เป็นค่าสุรา ทำให้ครอบครัวยากจนขัดสน บิดาของเขาหวังจะให้เบทโฮเฟินได้กลายเป็นนักดนตรีอัจฉริยะอย่างว็อล์ฟกัง อมาเดอุส โมทซาร์ท|โมทซาร์ท นักดนตรีอีกคนที่โด่งดังในช่วงยุคที่เบทโฮเฟินยังเด็ก จึงเริ่มสอนดนตรีให้ใน ค.ศ. 1776 ขณะที่เบทโฮเฟินอายุ 5 ขวบ แต่ด้วยความหวังที่ตั้งไว้สูงเกินไป (ก่อนหน้าเบทโฮเฟินเกิด โมทซาร์ทสามารถเล่นดนตรีหาเงินให้ครอบครัวได้ตั้งแต่อายุ 6 ปี บิดาของเบทโฮเฟินตั้งความหวังไว้ให้เบทโฮเฟินเล่นดนตรีหาเงินภายในอายุ 6 ปีให้ได้เหมือนโมทซาร์ท) ประกอบกับเป็นคนขาดความรับผิดชอบเป็นทุนเดิม ทำให้การสอนดนตรีของบิดานั้นเข้มงวด โหดร้ายทารุณ เช่น ขังเบทโฮเฟินไว้ในห้องกับเปียโน 1 หลัง , สั่งห้ามไม่ให้เบทโฮเฟินเล่นกับน้อง ๆ เป็นต้น ทำให้เบทโฮเฟินเคยท้อแท้กับเรื่องดนตรี แต่เมื่อได้เห็นสุขภาพมารดาที่เริ่มกระเสาะกระแสะด้วยวัณโรค ก็เกิดความพยายามสู้เรียนดนตรีต่อไป เพื่อหาเงินมาสร้างความมั่นคงให้ครอบครัว ค.ศ. 1777 เบทโฮเฟินเข้าเรียนโรงเรียนสอนภาษาละตินสำหรับประชาชนที่เมืองบ็อน ค.ศ. 1778 การฝึกซ้อมมานานสองปีเริ่มสัมฤทธิ์ผล เบทโฮเฟินสามารถเปิดคอนเสิร์ตเปียโนในที่สาธารณะได้เป็นครั้งแรกในเดือนมีนาคม ขณะอายุ 7 ปี 3 เดือน ที่เมืองโคโลญ แต่บิดาของเบทโฮเฟินโกหกประชาชนว่าเบทโฮเฟินอายุ 6 ปี เพราะหากอายุยิ่งน้อย ประชาชนจะยิ่งให้ความสนใจมากขึ้น ในฐานะนักดนตรีที่เก่งตั้งแต่เด็ก หลังจากนั้น เบทโฮเฟินเรียนไวโอลินและออร์แกนกับอาจารย์หลายคน จนใน ค.ศ. 1781 เบทโฮเฟินได้เป็นศิษย์ของคริสทีอัน ก็อทโลพ เนเฟอ (Christian Gottlob Neefe) ซึ่งเป็นอาจารย์ที่สร้างความสามารถในชีวิตให้เขามากที่สุด เนเฟอสอนเบทโฮเฟินในเรื่องเปียโนและการแต่งเพลง ค.ศ. 1784 เบทโฮเฟินได้เล่นออร์แกนในคณะดนตรีประจำราชสำนัก ในตำแหน่งนักออร์แกนที่สอง มีค่าตอบแทนให้พอสมควร แต่เงินส่วนใหญ่ที่หามาได้ ก็หมดไปกับค่าสุราของบิดาเช่นเคย ค.ศ. 1787 เบทโฮเฟินเดินทางไปยังเมืองเวียนนา เพื่อศึกษาดนตรีต่อ เขาได้พบโมทซาร์ท และมีโอกาสเล่นเปียโนให้ว็อล์ฟกัง อมาเดอุส โมทซาร์ท|โมทซาร์ทฟัง เมื่อโมทซาร์ทได้ฟังฝีมือของเบทโฮเฟินแล้ว กล่าวกับเพื่อนว่าเบทโฮเฟนจะเป็นผู้ยิ่งใหญ่ในโลกดนตรีต่อไป แต่อยู่เมืองนี้ได้ไม่ถึง 2 สัปดาห์ ก็ได้รับข่าวว่าอาการวัณโรคของมารดากำเริบหนัก จึงต้องรีบเดินทางกลับบ็อน หลังจากกลับมาถึงบ็อนและดูแลมารดาได้ไม่นาน มารดาของเขาก็เสียชีวิตลงในวันที่ 17 กรกฎาคม ค.ศ. 1787 ด้วยวัย 43 ปี เบทโฮเฟินเศร้าโศกซึมเซาอย่างรุนแรง ในขณะที่บิดาของเขาก็เสียใจไม่แพ้กัน แต่การเสียใจของบิดานั้น ทำให้บิดาของเขาดื่มสุราหนักขึ้น ไร้สติ จนในที่สุดก็ถูกไล่ออกจากคณะดนตรีประจำราชสำนัก เบทโฮเฟินในวัย 16 ปีเศษ ต้องรับบทเลี้ยงดูบิดาและน้องชายอีก 2 คน ค.ศ. 1788 เบทโฮเฟินเริ่มสอนเปียโนให้กับคนในตระกูลบรอยนิงค์ เพื่อหาเงินให้ครอบครัว ค.ศ. 1789 เบทโฮเฟินเข้าเป็นนักศึกษาไม่คิดหน่วยกิตในมหาวิทยาลัยบ็อน ค.ศ. 1792 เบทโฮเฟินตั้งรกรากที่กรุงเวียนนา ประเทศออสเตรีย เบทโฮเฟินมีโอกาสศึกษาดนตรีกับโยเซ็ฟ ไฮเดิน หลังจากเขาเดินทางมาเวียนนาได้ 1 เดือน ก็ได้รับข่าวว่าบิดาป่วยหนักใกล้จะเสียชีวิต (มาเวียนนาครั้งก่อน อยู่ได้ครึ่งเดือนมารดาป่วยหนัก มาเวียนนาครั้งนี้ได้หนึ่งเดือนบิดาป่วยหนัก) แต่ครั้งนี้เขาตัดสินใจไม่กลับบ็อน แบ่งหน้าที่ในบ็อนให้น้องทั้งสองคอยดูแล และในปีนั้นเองบิดาของเบทโฮเฟินก็สิ้นใจลงโดยไม่มีเบทโฮเฟินกลับไปดูใจ แต่เบทโฮเฟินเองก็ประสบความสำเร็จในการแสดงคอนเสิร์ตในฐานะนักเปียโนเอก และเป็นผู้ที่สามารถเล่นได้โดยคิดทำนองขึ้นมาสด ๆ ทำให้เขาเป็นที่รู้จักอย่างกว้างขวางในแวดวงและครอบครัวขุนนาง ค.ศ. 1795 เขาเปิดการแสดงดนตรีในโรงละครสาธารณะในเวียนนา และแสดงต่อหน้าประชาชน ทำให้เบทโฮเฟินเริ่มเป็นที่รู้จักของประชาชนมากขึ้น ค.ศ. 1796 ระบบการได้ยินของเบทโฮเฟินเริ่มมีปัญหา เขาเริ่มไม่ได้ยินเสียงในสถานที่กว้าง ๆ และเสียงกระซิบของผู้คน เขาตัดสินใจปิดเรื่องหูตึงนี้เอาไว้ เพราะในสังคมยุคนั้น ผู้ที่ร่างกายมีปัญหา (พิการ) จะถูกกลั่นแกล้ง เหยียดหยาม จนในที่สุดผู้พิการหลายคนกลายเป็นขอทาน ดังนั้น เขาต้องประสบความสำเร็จให้ได้เสียก่อนจึงจะเปิดเผยเรื่องนี้ จากนั้นเขาก็เริ่มประพันธ์บทเพลงขึ้นมา แล้วจึงหันเหจากนักดนตรีมาเป็นผู้ประพันธ์เพลง เขาสร้างสรรค์ผลงานที่มีแนวแตกต่างไปจากดนตรียุคคลาสสิกคือ ใช้รูปแบบยุคคลาสสิก แต่ใช้เนื้อหาจากจิตใจ ความรู้สึกในการประพันธ์เพลง จึงทำให้ผลงานเป็นตัวของตัวเอง เนื้อหาของเพลงเต็มไปด้วยการแสดงออกของอารมณ์อย่างเด่นชัด ค.ศ. 1801 เบทโฮเฟินเปิดเผยเรื่องปัญหาในระบบการได้ยินให้ผู้อื่นฟังเป็นครั้งแรก แต่ครั้งนี้สังคมยอมรับ ทำให้เขาไม่จำเป็นต้องปกปิดเรื่องอาการหูตึงอีก หลังจากนั้น ก็เป็นยุคที่เขาประพันธ์เพลงออกมามากมาย แต่เพลงที่เขาประพันธ์นั้นจะมีปัญหาตรงที่ล้ำสมัยเกินไป ผู้ฟังเพลงไม่เข้าใจในเนื้อหา แต่ในภายหลัง เมื่อยุคสมัยเปลี่ยนไป ผู้คนเริ่มเข้าใจในเนื้อเพลงของเบทโฮเฟิน บทเพลงหลายเพลงเหล่านั้นก็เป็นที่นิยมล้นหลามมาถึงปัจจุบัน เมื่อเบทโฮเฟินโด่งดังก็ย่อมมีผู้อิจฉา มีกลุ่มที่พยายามแกล้งเบทโฮเฟินให้ตกต่ำ จนเบทโฮเฟินคิดจะเดินทางไปยังเมืองคัสเซิล ทำให้มีกลุ่มผู้ชื่นชมในผลงานของเบทโฮเฟินมาขอร้องไม่ให้เขาไปจากเวียนนา พร้อมทั้งเสนอตัวให้การสนับสนุนการเงิน โดยมีข้อสัญญาว่าเบทโฮเฟินต้องอยู่ในเวียนนา ทำให้เขาสามารถอยู่ได้อย่างสบาย ๆ และผลิตผลงานตามที่ต้องการโดยไม่ต้องรับคำสั่งจากใคร เบโทเฟินโด่งดังมากในฐานะคีตกวี อาการสูญเสียการได้ยินมีมากขึ้น แต่เขาพยายามสร้างสรรค์ผลงานจากความสามารถและสภาพที่ตนเป็นอยู่ มีผลงานชั้นยอดเยี่ยมให้กับโลกแห่งเสียงเพลงเป็นจำนวนมาก ผลงานอันโด่งดังในช่วงนี้ได้แก่ ซิมโฟนีหมายเลข 5 (เบทโฮเฟิน)|ซิมโฟนีหมายเลข 5 ที่เบทโฮเฟินถ่ายทอดท่วงทำนองออกมาเป็นจังหวะ ''สั้น - สั้น - สั้น - ยาว'' อาการไม่ได้ยินรุนแรงขึ้นเรื่อย ๆ และ ซิมโฟนีหมายเลข 9 ที่เขาประพันธ์ออกมาเมื่อหูหนวกสนิทตั้งแต่ปี ค.ศ. 1819 เป็นต้นมา รวมทั้งบทเพลงควอเท็ตเครื่องสายที่ยอดเยี่ยมที่สุดของเขาก็ประพันธ์ออกมาในช่วงเวลานี้เช่นกัน ในช่วงนี้ เบโทเฟินมีอารมณ์แปรปรวน เนื่องจากปัญหาเกี่ยวกับหลานชายที่เขารับมาอุปการะ เขาถูกหาว่าเป็นคนบ้า และถูกเด็ก ๆ ขว้างปาด้วยก้อนหินเมื่อเขาออกไปเดินตามท้องถนน แต่ก็ไม่มีใครสามารถปฏิเสธความเป็นอัจฉริยะของเขาได้ แต่ภายหลังเขาก็ได้พูดคุยปรับความเข้าใจกับหลานชายเป็นที่เรียบร้อย ค.ศ. 1826 โรคเรื้อรังในลำไส้ที่เบทโฮเฟินเป็นมานานก็กำเริบหนัก หลังจากรักษาแล้ว ได้เดินทางมาพักฟื้นที่บ้านน้องชายบนที่ราบสูง แต่อารมณ์แปรปรวนก็ทำให้เขาทะเลาะกับน้องชายจนได้ เขาตัดสินใจเดินทางกลับเวียนนาในทันที แต่รถม้าที่นั่งมาไม่มีเก้าอี้และหลังคา เบทโฮเฟินทนหนาวมาตลอดทาง ทำให้เป็นโรคปอดบวม แต่ไม่นานก็รักษาหาย 12 ธันวาคม ค.ศ. 1826 โรคเรื้อรังในลำไส้และตับของเบทโฮเฟินกำเริบหนัก อาการทรุดลงตามลำดับ 26 มีนาคม พ.ศ. 2369|ค.ศ. 1827 เบทโฮเฟินเสียชีวิตลง พิธีศพของเขาจัดขึ้นอย่างอลังการในโบสถ์เซนต์ทรินิตี โดยมีผู้มาร่วมงานกว่า 20,000 คน ศพของเขาถูกฝังอยู่ที่สุสานกลางในกรุงเวียนนา เบทโฮเฟินมีชีวิตอยู่ตรงกับระหว่างรัชสมัยของสมเด็จพระเจ้ากรุงธนบุรีในสมัยธนบุรี และพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัวในสมัยรัตนโกสินทร์ == รูปแบบทางดนตรีและนวัตกรรม == ในประวัติศาสตร์ดนตรีแล้ว ผลงานของเบทโฮเฟินแสดงถึงช่วงรอยต่อระหว่างยุคคลาสสิก (ค.ศ. 1750 - ค.ศ. 1810) กับยุคจินตนิยม (ค.ศ. 1810 - ค.ศ. 1900) ในซิมโฟนีหมายเลข 5 (เบทโฮเฟิน)|ซิมโฟนีหมายเลข 5 ของเขา เบทโฮเฟินได้นำเสนอทำนองหลักที่เน้นอารมณ์รุนแรงในท่อนท่อน เช่นเดียวกับในอีกสามท่อนที่เหลือ (เป็นรูปแบบที่พบเห็นได้บ่อยในผลงานประพันธ์ช่วงวัยเยาว์ของเขา) ช่วงต่อระหว่างท่อนที่สามกับท่อนสุดท้าย เป็นทำนองหลักของอัตทากาโดยไม่มีการหยุดพัก และท้ายสุด ซิมโฟนีหมายเลข 9 ได้มีการนำการขับร้องประสานเสียงมาใช้ในบทเพลงซิมโฟนีเป็นครั้งแรก (ในท่อนที่สี่) ผลงานทั้งหลายเหล่านี้นับเป็นนวัตกรรมทางดนตรีอย่างแท้จริง เขาได้ประพันธ์อุปรากรเรื่อง ''"ฟิเดลิโอ"'' โดยใช้เสียงร้องในช่วงความถี่เสียงเช่นเดียวกับเครื่องดนตรีในวงซิมโฟนี โดยมิได้คำนึงถึงขีดจำกัดของนักร้องประสานเสียงแต่อย่างใด หากจะนับว่าผลงานของเขาประสบความสำเร็จต่อสาธารณชน นั่นก็เพราะแรงขับทางอารมณ์ที่มีอยู่อย่างเปี่ยมล้นในงานของเขา ในแง่ของเทคนิคทางดนตรีแล้ว เบโฮเฟนได้ใช้ทำนองหลักหล่อเลี้ยงบทเพลงทั้งท่อน และนับเป็นผลสัมฤทธิ์ทางดนตรีที่ไม่มีผู้ใดปฏิเสธได้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งความเข้มข้นทางจังหวะที่มีความแปลกใหม่อยู่ในนั้น เบทโฮเฟินได้ปรับแต่งทำนองหลัก และเพิ่มพูนจังหวะต่าง ๆ เพื่อพัฒนาการของบทเพลงเดียวกันตั้งแต่ต้นจนจบ เขาใช้เทคนิคนี้ในผลงานเลื่องชื่อหลายบท ไม่ว่าจะเป็นท่อนแรกของเปียโนคอนแชร์โตหมายเลข 4 (ที่ใช้ตั้งแต่ห้องแรก) ท่อนแรกของซิมโฟนีหมายเลข 5 (ที่ใช้ตั้งแต่ห้องแรกเช่นกัน) ท่อนที่สองของซิมโฟนีหมายเลข 7 (ในจังหวะอนาเปสต์) การนำเสนอความสับสนโกลาหลของท่วงทำนองในรูปแบบแปลกใหม่ตลอดเวลา ความเข้มข้นของท่วงทำนองตั้งแต่ช่วงเริ่มต้นที่ย้อนกลับมาสู่โสตประสาทของผู้ฟังอยู่เรื่อย ๆ อย่างไม่หยุดยั้ง ส่งผลให้เกิดความประทับใจต่อผู้ฟังอย่างถึงขีดสุด เบทโฮเฟินยังเป็นบุคคลแรก ๆ ที่ศึกษาศาสตร์ของวงออร์เคสตราอย่างพิถีพิถัน ไม่ว่าจะเป็นการพัฒนาบทเพลง การต่อบทเพลงเข้าด้วยกันโดยเปลี่ยนรูปแบบ และโดยเฉพาะอย่างยิ่งในโน้ตแผ่นที่เขาเขียนให้เครื่องดนตรีชิ้นต่าง ๆ นั้น ได้แสดงให้เห็นวิธีการนำเอาทำนองหลักกลับมาใช้ในบทเพลงเดียวกันในรูปแบบที่มีเอกลักษณ์ โดยมีการปรับเปลี่ยนเสียงประสานเล็กน้อยในแต่ละครั้ง การปรับเปลี่ยนโทนเสียงและสีสันทางดนตรีอย่างไม่หยุดยั้ง เปรียบได้กับการเริ่มบทสนทนาใหม่ โดยที่ยังรักษาจุดอ้างอิงของความทรงจำเอาไว้ สาธารณชนในขณะนี้จะรู้จักผลงานซิมโฟนีและคอนแชร์โตของเบทโฮเฟินเสียเป็นส่วนใหญ่ มีน้อยคนที่ทราบว่าผลงานการคิดค้นแปลกใหม่ที่สุดของเบทโฮเฟินนั้นได้แก่เชมเบอร์มิวสิค โดยเฉพาะอย่างยิ่งโซนาตาสำหรับเปียโน 32 บท และบทเพลงสำหรับวงควอเท็ตเครื่องสาย 16 บท นั้น นับเป็นผลงานสร้างสรรค์ทางดนตรีอันเจิดจรัส --- โซนาตาสำหรับเครื่องดนตรีสองหรือสามชิ้นนับเป็นผลงานสุดคลาสสิก --- บทเพลงซิมโฟนีเป็นผลงานคิดค้นรูปแบบใหม่ --- ส่วนบทเพลงคอนแชร์โตนั้น ก็นับว่าควรค่าแก่การฟัง === ผลงานซิมโฟนี === โจเซฟ ไฮเดินได้ประพันธ์ซิมโฟนีไว้กว่า 104 บท ว็อล์ฟกัง อมาเดอุส โมทซาร์ท|โมทซาร์ทประพันธ์ไว้กว่า 40 บท หากจะนับว่ามีคีตกวีรุ่นพี่เป็นตัวอย่างที่ดีแล้ว เบทโฮเฟินไม่ได้รับถ่ายทอดมรดกด้านความรวดเร็วในการประพันธ์มาด้วย เพราะเขาประพันธ์ซิมโฟนีไว้เพียง 9 บทเท่านั้น และเพิ่งจะเริ่มประพันธ์ซิมโฟนีหมายเลข 10 แต่สำหรับซิมโฟนีทั้งเก้าบทของเบทโฮเฟินนั้น ทุกบทต่างมีเอกลักษณ์เฉพาะตัว ซิมโฟนีสองบทแรกของเบทโฮเฟินได้รับแรงบันดาลใจและอิทธิพลจากดนตรีในยุคคลาสสิก อย่างไรก็ดี ซิมโฟนีหมายเลข 3 ที่มีชื่อเรียกว่า ''"อิรอยกา"'' จะเป็นจุดเปลี่ยนสำคัญในการเรียบเรียงวงออร์เคสตราของเบทโฮเฟิน ซิมโฟนีบทนี้แสดงถึงความทะเยอทะยานทางดนตรีมากกว่าบทก่อน ๆ โดดเด่นด้วยความสุดยอดของเพลงทุกท่อน และการเรียบเรียงเสียงประสานของวงออร์เคสตรา เพราะแค่ท่อนแรกเพียงอย่างเดียวก็มีความยาวกว่าซิมโฟนีบทอื่น ๆ ที่ประพันธ์กันในสมัยนั้นแล้ว ผลงานอันอลังการชิ้นนี้ได้ถูกประพันธ์ขึ้นเพื่อเป็นเกียรติแก่นโปเลียน โบนาปาร์ต และส่งเบทโฮเฟินขึ้นสู่ตำแหน่งสุดยอดสถาปนิกทางดนตรี และเป็นคีตกวีคนแรกแห่งยุคจินตนิยม แม้ว่าจะถูกมองว่าเป็นซิมโฟนีที่สั้นกว่าและคลาสสิกกว่าซิมโฟนีบทก่อนหน้า ท่วงทำนองของโศกนาฏกรรมในท่อนโหมโรงทำให้ซิมโฟนีหมายเลข 4 เป็นส่วนสำคัญของพัฒนาการทางรูปแบบของเบทโฮเฟิน ต่อจากนั้นก็ตามมาด้วยซิมโฟนีสุดอลังการสองบทที่ถูกประพันธ์ขึ้นในคืนเดียวกัน อันได้แก่ซิมโฟนีหมายเลข 5 และซิมโฟนีหมายเลข 6 (เบทโฮเฟิน)|ซิมโฟนีหมายเลข 6 - หมายเลข 5 นำเสนอทำนองหลักเป็นโน้ตสี่ตัว ''สั้น - สั้น - สั้น - ยาว'' สามารถเทียบได้กับซิมโฟนีหมายเลข 3 ในแง่ของความอลังการ และยังนำเสนอรูปแบบทางดนตรีใหม่ด้วยการนำทำนองหลักของโน้ตทั้งสี่ตัวกลับมาใช้ตลอดทั้งเพลง ส่วนซิมโฟนีหมายเลข 6 (เบทโฮเฟิน)|ซิมโฟนีหมายเลข 6 ที่มีชื่อว่า ''พาสโทราล'' นั้นชวนให้นึกถึงธรรมชาติที่เบทโฮเฟินรักเป็นหนักหนา นอกเหนือจากช่วงเวลาที่เงียบสงบชวนฝันที่ผู้ฟังสามารถรู้สึกได้เมื่อฟังซิมโฟนีบทนี้แล้ว มันยังประกอบด้วยท่อนที่แสดงถึงพายุโหมกระหน่ำที่เสียงเพลงสามารถถ่ายทอดออกมาได้อย่างเหมือนจริงที่สุดอีกด้วย แม้ว่าซิมโฟนีหมายเลข 7 จะมีท่อนที่สองที่ใช้รูปแบบของเพลงมาร์ชงานศพ แต่ก็โดดเด่นด้วยรูปแบบที่สนุกสนานและจังหวะที่รุนแรงเร่าร้อนในท่อนจบของเพลง ริชชาร์ท วากเนอร์ได้กล่าวถึงซิมโฟนีบทนี้ว่า เป็น ''"ท่อนจบอันเจิดจรัสสำหรับการเต้นรำ"'' ซิมโฟนีบทต่อมา (ซิมโฟนีหมายเลข 8) เป็นการย้อนกลับมาสู่รูปแบบคลาสสิก ด้วยท่วงทำนองที่เปล่งประกายและสื่อถึงจิตวิญญาณ ท้ายสุด ซิมโฟนีหมายเลข 9 เป็นซิมโฟนีบทสุดท้ายที่เบทโฮเฟินประพันธ์จบ นับเป็นอัญมณีแห่งซิมโฟนีทั้งหลาย ประกอบด้วยบทเพลงสี่ท่อน รวมความยาวกว่าหนึ่งชั่วโมง และมิได้ยึดติดกับรูปแบบของโซนาตา แต่ละท่อนของซิมโฟนีบทนี้นับได้ว่าเป็นผลงานชั้นครูในตัวเอง แสดงให้เห็นว่าเบทโฮเฟินได้หลุดพ้นจากพันธนาการของยุคคลาสสิก และได้ค้นพบรูปแบบใหม่ในการเรียบเรียงเสียงประสานของวงออร์เคสตราในที่สุด ในท่อนสุดท้าย เบทโฮเฟินได้ใส่บทร้องประสานเสียงและวงควอเท็ตประสานเสียงเข้าไป เพื่อขับร้อง ''"บทเพลงแห่งความอภิรมย์"'' ซึ่งเป็นบทกวีของฟรีดริช ชิลเลอร์ บทประพันธ์ชิ้นนี้ได้เรียกร้องให้มีความรักและภราดรภาพในหมู่มวลมนุษย์ และซิมโฟนีบทนี้ได้กลายเป็นมรดกทางวัฒนธรรมของยูเนสโก ''"บทเพลงแห่งความอภิรมย์"'' ยังได้ถูกเลือกให้เป็นบทเพลงประจำชาติของยุโรปอีกด้วย นอกเหนือจากซิมโฟนีแล้ว เบทโฮเฟินยังได้ประพันธ์ ''คอนแชร์โตสำหรับไวโอลิน'' ที่สุดแสนไพเราะไว้อีกด้วย และได้ถ่ายทอดบทเพลงเดียวกันออกมาเป็นคอนแชร์โตสำหรับเปียโน ที่ใช้ชื่อว่า ''คอนแชร์โตหมายเลข 6'' นอกจากนั้นก็ยังมี คอนแชร์โตสามชิ้นสำหรับไวโอลิน เชลโล และเปียโน และคอนแชร์โตสำหรับเปียโนอีก 5 บท ซึ่งในบรรดาคอนแชร์โตทั้งห้าบทนี้ ''คอนแชร์โตหมายเลข 5 สำหรับเปียโน'' นับว่าเป็นรูปแบบของเบทโฮเฟินที่เด่นชัดที่สุด แต่ก็ไม่ควรลืมช่วงเวลาอันเข้มข้นในท่อนที่สองของ''คอนแชร์โตหมายเลข 4 สำหรับเปียโน'' เบทโฮเฟินยังได้ประพันธ์เพลงโหมโรงอันเยี่ยมยอดไว้หลายบท (''เลโอนอเร่'', ''ปิศาจแห่งโพรเมเธอุส'') แฟนตาซีสำหรับเปียโน วงขับร้องประสานเสียง และวงออร์เคสตราอีกหนึ่งบท ซึ่งทำนองหลักทำนองหนึ่งของเพลงนี้ได้กลายมาเป็นต้นแบบของ ''"บทเพลงแห่งความอภิรมย์"'' นอกจากนี้ยังมีเพลงสวดมิสซา ซึ่งมี ''มิสซาโซเลมนิส'' โดดเด่นที่สุด ถือได้ว่าเป็นหนึ่งในผลงานดนตรีขับร้องทางศาสนาที่สำคัญที่สุดเท่าที่เคยมีมา ท้ายสุด เบทโฮเฟินได้ฝากผลงานประพันธ์อุปรากรเรื่องแรกและเรื่องเดียวไว้ มีชื่อเรื่องว่า ''ฟิเดลิโอ'' นับเป็นผลงานที่เขาผูกพันมากที่สุด อีกทั้งยังทุ่มเททั้งแรงกายและแรงใจไปมากที่สุดอีกด้วย === บทเพลงสำหรับเปียโน === <!-- Bien que les symphonies soient ses œuvres ses plus populaires et celles par qui le nom de Beethoven est connu du grand public, c’est certainement dans sa musique pour le piano et pour le quatuor à cordes que se distingue le plus le génie de Beethoven. Très tôt reconnu comme un maître dans l’art de toucher le pianoforte, le compositeur va, au cours de son existence, s’intéresser de près à tous les développements techniques de l’instrument, et les exploiter au-delà de leurs possibilités dans ses compositions. Beethoven a écrit 32 sonates pour piano qui s’échelonnent sur une vingtaine d’années. Cet ensemble, aujourd’hui considéré comme l’un des monuments dédiés à l’instrument, témoigne, encore plus que les symphonies, du cheminement stylistique du compositeur au cours des années. Les sonates, de forme classique au début, vont peu à peu s’affranchir de cette forme et ne plus en garder que le nom, Beethoven se plaisant à commencer ou à terminer une composition par un mouvement lent, par exemple comme dans la célèbre sonate dite « au Clair de Lune », à y inscrire une fugue, ou à nommer sonate une composition à deux mouvements. Au fur et à mesure, les compositions gagnent en liberté d’écriture, sont de plus en plus architecturées, et de plus en plus complexes. On peut citer parmi les plus célèbres l’''Appassionnata'' (1804), la ''Waldstein'' de la même année, ou ''Les Adieux'' (1810). Dans une sonate comme la célèbre ''Sonate pour piano n° 29 (Beethoven)|Hammerklavier'' (1819), longueur et difficultés techniques atteignent des proportions telles qu’elles mettent en jeu les possibilités physiques de l’interprète comme celles de l’instrument, et exigent une attention soutenue de la part de l’auditeur. Elle fait partie des cinq dernières sonates, qui forment un groupe à part, dit de la « dernière manière ». Ce terme désigne un aboutissement stylistique de Beethoven, dans lequel le compositeur, désormais totalement sourd, et possédant toutes les difficultés techniques de la composition, délaisse toute considération formelle pour ne s’attacher qu’à l’invention et à la découverte de nouveaux territoires sonores. Les cinq dernières sonates constituent un point culminant de la littérature pianistique. La « dernière manière » de Beethoven, associée à la dernière période de la vie du maître, désigne la manifestation la plus aiguë de son génie, et n’aura pas de descendance. À côté des 32 sonates, il ne faut pas négliger les ''33 Bagatelles'' (notamment la fameuse Lettre à Élise). Enfin, en 1822, l’éditeur (et lui-même compositeur) Anton Diabelli eut l’idée de réunir en un recueil des pièces des compositeurs majeurs de son époque autour d’un unique thème musical. L’ensemble de ces variations devait servir de panorama musical de l’époque. Beethoven, sollicité, et qui n’avait pas écrit pour le piano depuis longtemps, se prit au jeu, et au lieu de fournir une variation, en écrivit 33, qui furent publiées dans un fascicule à part. Les ''Variations Diabelli'', de par leur invention, constituent le véritable testament de Beethoven pianiste. --> === เชมเบอร์มิวสิก === <!-- 6 string Quartets in F,G,D,Cm,A,B Op.18 String Quartets No.7-9Rassumousky in F,Em,C,Op.59 String Quartet in F Major Op.18 No.1 String Quartet No.10 in E Major"Harp"Op.74 String Quartet No.11 in F Minor "Quartett Serioso"Op.95 String Quartet No.13 in B major"scherzoso"Op.130 Quintet for piano oboe clarinet bassoon and horn Op.16 Trio for Two Oboe and English horn Op.87 À coté des quatuors, Beethoven a écrit de belles sonates pour violon et piano, les premières étant l’héritage direct de Mozart, alors que les dernières, notamment la sonate « à Kreutzer » s’en éloignent pour être du pur Beethoven, cette dernière sonate étant quasiment un concerto pour piano et violon. Cycle moins connu que ses sonates pour violon ou ses quatuors, ses sonates pour violoncelle et piano font partie des œuvres réellement novatrices de Beethoven, n’ayant pour ainsi dire pas d’antécédent. Beethoven y développe des formes très personnelles, éloignées très vite du schéma classique de Mozart et Haydn, schéma qui à l’inverse perdure dans ses sonates pour violon. Enfin, il est l’auteur de plusieurs cycles de lieder, dont celui ''À la Bien-aimée lointaine'' qui, s’ils n’atteignent pas la profondeur de ceux de Franz Schubert (qu’il découvrira peu avant de mourir), n’en sont pas moins de grande qualité. --> == ผลงานของเบทโฮเฟิน == ผลงานของเบทโฮเฟินแบ่งได้เป็นสามระยะ ตามลักษณะดนตรีที่แตกต่างกัน ระยะแรก (1780 – 1802) ใช้รูปแบบการประพันธ์เพลงของดนตรียุคคลาสสิกอย่างเด่นชัด ซึ่งได้รับอิทธิพลมาจากไฮเดินและโมทซาร์ท ระยะที่สอง (1802 – 1816) เบทโฮเฟินแสดงความเป็นตัวของตัวเองออกมาอย่างเด่นชัด รูปแบบการประพันธ์มีการพัฒนาอย่างสง่างามมากขึ้น ความยาวในแต่ละส่วนแต่ละตอนมีมากกว่าเพลงในยุคแรก วงออร์เคสตราปรับปรุงเพิ่มจำนวนเครื่องดนตรีให้มากขึ้น เพราะต้องการแสดงถึงความมีพลัง ความยิ่งใหญ่ ชัยชนะ การประสานเสียงโดยใช้คอร์แปลก ๆ มากขึ้น จัดได้ว่าเป็นผลงานเพลงที่แตกต่างจากยุคคลาสสิกอย่างชัดเจน ระยะที่สาม (1816 – 1827) เป็นช่วงที่เบทโฮเฟินเปลี่ยนแนวการประพันธ์ไป เนื่องจากต้องการสร้างสรรค์สิ่งใหม่ขึ้นมา ผลงานในช่วงท้ายมักจะแสดงออกถึงความเข้มแข็ง ไม่นุ่มนวลมากนักและหลายบทเพลงไม่เป็นที่รู้จัก ผลงานของเบทโฮเฟินประกอบด้วย ซิมโฟนี 9 บท เปียโนคอนแชร์โต 5 บท ไวโอลินคอนแชร์โต 1 บท โอเปรา 1 เรื่อง สติงควอเท็ต 16 บท เปียโนโซนาตา 32 บทและผลงานสำคัญอีกจำนวนมาก นับว่าเบทโฮเฟินเป็นผู้เชื่อมต่อระหว่างยุคคลาสสิกและยุคจินตนิยมเข้าด้วยกันอย่างแท้จริง<!-- Les numéros d’opus de son œuvre ont été donnés par ses éditeurs et suivent l’ordre de publication (plutôt que l’ordre d’écriture). Par exemple l’''Octuor pour instruments à vent'' écrit en 1792 est l’opus 103, alors que les opus 102 et 104 furent écrits en 1815 et 1817 respectivement. De la liste qui suit, toutes les œuvres jusqu’à l’opus 135 furent publiées du vivant du compositeur. * Opus 1 n° 1 (1795) Trio pour piano et cordes n° 1 en mi bémol majeur * Opus 1 n° 2 (1795) Trio pour piano et cordes n° 2 en sol majeur * Opus 1 n° 3 (1795) Trio pour piano et cordes n° 3 en do mineur * Opus 2 n° 1 (1796) Sonate pour piano n° 1 en fa mineur * Opus 2 n° 2 (1796) Sonate pour piano n° 2 en la majeur * Opus 2 n° 3 (1796) Sonate pour piano n° 3 en ut majeur * Opus 3 (1794) Trio à cordes n° 1 en mi bémol majeur * Opus 4 (1795) Quintette à cordes en mi bémol majeur * Opus 5 n° 1 (1796) Sonate pour piano et violoncelle n° 1 en fa majeur * Opus 5 n° 2 (1796) Sonate pour piano et violoncelle n° 2 en sol mineur * Opus 6 (1797) Sonate pour piano à quatre mains * Opus 7 (1797) Sonate pour piano n° 4 en mi bémol majeur * Opus 8 (1797) Sérénade en ré majeur pour trio à cordes * Opus 9 n° 1 (1798) Trio à cordes n° 2 en sol majeur * Opus 9 n° 2 (1798) Trio à cordes n° 3 en ré majeur * Opus 9 n° 3 (1798) Trio à cordes n° 4 en do mineur * Opus 10 n° 1 (1798) Sonate pour piano n° 5 en do mineur * Opus 10 n° 2 (1798) Sonate pour piano n° 6 en fa majeur * Opus 10 n° 3 (1798) Sonate pour piano n° 7 (Beethoven)|Sonate pour piano n° 7 en ré majeur * Opus 11 (1798) Trio pour piano et cordes n° 4 en si bémol majeur * Opus 12 n° 1 (1798) Sonate pour violon n° 1 en ré majeur * Opus 12 n° 2 (1798) Sonate pour violon n° 2 en la majeur * Opus 12 n° 3 (1798) Sonate pour violon n° 3 en mi bémol majeur * Opus 13 (1799) Sonate pour piano n° 8 (Beethoven)|Sonate pour piano n° 8 en do mineur « Pathétique » * Opus 14 n° 1 (1799) Sonate pour piano n° 9 en mi majeur * Opus 14 n° 2 (1799) Sonate pour piano n° 10 en sol majeur * Opus 15 (1795) Concerto pour piano n° 1 (Beethoven)|Concerto pour piano et orchestre n° 1 en ut majeur * Opus 16 (1796) Quintette pour piano et instruments à vent * Opus 17 (1800) Sonate pour cor en fa majeur * Opus 18 n° 1 (1800) Quatuor à cordes n° 1 en fa majeur * Opus 18 n° 2 (1800) Quatuor à cordes n° 2 en sol majeur * Opus 18 n° 3 (1800) Quatuor à cordes n° 3 en ré majeur * Opus 18 n° 4 (1800) Quatuor à cordes n° 4 en do mineur * Opus 18 n° 5 (1800) Quatuor à cordes n° 5 en la majeur * Opus 18 n° 6 (1800) Quatuor à cordes n° 6 en si bémol majeur * Opus 19 (1795) Concerto pour piano n° 2 (Beethoven)|Concerto pour piano et orchestre n° 2 en si bémol majeur * Opus 20 (1799) Septuor en mi bémol majeur pour violon, alto, violoncelle, contrebasse, clarinette, cor et basson * Opus 21 (1800) Symphonie n° 1 de Beethoven|Symphonie n° 1 en ut majeur * Opus 22 (1800) Sonate pour piano n° 11 en si bémol majeur * Opus 23 (1801) Sonate pour violon n° 4 en la mineur * Opus 24 (1801) Sonate pour violon n° 5 en fa majeur « Printemps » * Opus 25 (1801) Sérénade en ré majeur pour flûte, violon et Alto * Opus 26 (1801) Sonate pour piano n° 12 (Beethoven)|Sonate pour piano n° 12 en la bémol majeur * Opus 27 n° 1 (1801) Sonate pour piano n° 13 en mi bémol majeur * Opus 27 n° 2 (1801) Sonate pour piano n° 14 (Beethoven)|Sonate pour piano n° 14 en do dièse mineur « Clair de lune » : ** Adagio sostenuto : Media:Moonlight1.mid * Opus 28 (1801) Sonate pour piano n° 15 en ré majeur * Opus 29 (1801) Quintette à cordes en ut majeur * Opus 30 n° 1 (1803) Sonate pour violon n° 6 en la majeur * Opus 30 n° 2 (1803) Sonate pour violon n° 7 en do mineur * Opus 30 n° 3 (1803) Sonate pour violon n° 8 en sol majeur * Opus 31 n° 1 (1802) Sonate pour piano n° 16 (Beethoven)|Sonate pour piano n° 16 en sol majeur * Opus 31 n° 2 (1802) Sonate pour piano n° 17 en ré mineur « La Tempête » * Opus 31 n° 3 (1802) Sonate pour piano n° 18 en mi bémol majeur * Opus 32 (1805) Lied - An die Hoffnung * Opus 33 (1802) Sept Bagatelles pour piano * Opus 34 (1802) Six variations pour piano sur un thème original, en fa majeur * Opus 35 (1802) Quinze variations et une fugue pour piano sur un thème original, en mi bémol majeur, « Eroica » * Opus 36 (1803) Symphonie n° 2 de Beethoven|Symphonie n° 2 en ré majeur * Opus 37 (1803) Concerto pour piano n° 3 (Beethoven)|Concerto pour piano et orchestre n° 3 en do mineur * Opus 38 (1803) Trio pour piano et cordes n° 8 (Arrangement du Septuor op. 20) * Opus 39 (1789) Deux Préludes pour piano * Opus 40 (1802) Romance pour violon en sol majeur * Opus 41 (1803) Sérénade pour piano et flûte ou violon en ré majeur * Opus 42 (1803) Notturno pour alto et piano en ré majeur * Opus 43 (1801) Les Créatures de Prométhée : ouverture et Ballet * Opus 44 (1792) Trio pour piano et cordes n° 10 (Variations sur un thème original en mi bémol majeur) * Opus 45 (1803) 3 Marches pour piano à 4 mains * Opus 46 (1795) Lied - Adélaïde * Opus 47 (1802) Sonate pour violon n° 9 en la majeur « Kreutzer » * Opus 48 n° 1 (1802) Lied - Bitten * Opus 48 n° 2 (1802) Lied - Die Liebe des Nächsten * Opus 48 n° 3 (1802) Lied - Vom Tode * Opus 48 n° 4 (1802) Lied - Die Ehre Gottes aus der Natur * Opus 48 n° 5 (1802) Lied - Gottes Macht und Vorsehung * Opus 48 n° 6 (1802) Lied - Bußlied * Opus 49 n° 1 (1792) Sonate pour piano n° 19 en sol mineur * Opus 49 n° 2 (1792) Sonate pour piano n° 20 en sol majeur * Opus 50 (1798) Romance pour violon en fa majeur * Opus 51 n° 1 (1797) Rondo en ut majeur pour piano * Opus 51 n° 2 (1798) Rondo en sol majeur pour piano * Opus 52 n° 1 (1805) Lied - Urians Reise um die Welt * Opus 52 n° 2 (1805) Lied - Feuerfab * Opus 52 n° 3 (1805) Lied - Das Liedchen von der Ruhe * Opus 52 n° 4 (1805) Lied - Maigesang * Opus 52 n° 5 (1805) Lied - Mollys Abschied * Opus 52 n° 6 (1805) Lied - Die Liebe * Opus 52 n° 7 (1805) Lied - Marmotte * Opus 52 n° 8 (1805) Lied - Das Blümchen Wunderhold * Opus 53 (1803) Sonate "Waldstein" (Beethoven)|Sonate pour piano n° 21 en ut majeur « Waldstein » * Opus 54 (1804) Sonate pour piano n° 22 en fa majeur * Opus 55 (1805) Symphonie n° 3 en mi bémol majeur « Eroica » * Opus 56 (1805) Triple Concerto en ut majeur * Opus 57 (1805) Sonate pour piano n° 23 (Beethoven)|Sonate pour piano n° 23 en fa mineur « Appassionata » * Opus 58 (1807) Concerto pour piano n°4 (Beethoven)|Concerto pour piano et orchestre n° 4 en sol majeur * Opus 59 n° 1 (1806) en° 7 en fa majeur « Razoumovski » * Opus 59 n° 2 (1806) Quatuor à cordes n° 8 en mi mineur « Razoumovski » * Opus 59 n° 3 (1806) Quatuor à cordes n° 9 en ut majeur « Razoumovski » * Opus 60 (1807) Symphonie n° 4 en si bémol majeur * Opus 61 (1808) Concerto pour violon et orchestre (Ludwig van Beethoven)|Concerto pour violon et orchestre en ré majeur * Opus 62 (1807) Ouverture de Coriolan * Opus 63 (1806) Transcription du Quintette à cordes, op. 4, pour Trio pour piano et cordes * Opus 64 (1807) Transcription du Trio pour piano et cordes, op. 3, pour piano et violoncelle * Opus 65 (1796) Aria - Ah perfido ! * Opus 66 (1796) Variations pour violoncelle sur ''Ein Mädchen oder Weibchen'' de Wolfgang Amadeus Mozart|Mozart * Opus 67 (1808) 5e symphonie de Beethoven|5 symphonie en do mineur * Opus 68 (1808) 6e symphonie de Beethoven|6 symphonie en fa majeur « Pastorale » * Opus 69 (1808) Sonate pour piano et violoncelle n° 3 en la majeur * Opus 70 n° 1 (1808) Trio pour piano et cordes n° 5 en ré majeur * Opus 70 n° 2 (1808) Trio pour piano et cordes n° 6 en mi bémol majeur * Opus 71 (1796) Sextuor à vents en mi bémol * Opus 72a (1805) Opéra - Léonore (avec l’ouverture Léonore II) * Opus 72b (1806) Opéra - Léonore (avec l’ouverture Léonore III) * Opus 72c (1814) Opéra - Fidelio * Opus 73 (1809) Concerto pour piano n° 5 (Beethoven)|Concerto pour piano et orchestre n° 5 en mi bémol majeur « l’Empereur » * Opus 74 (1809) Quatuor à cordes n° 10 en mi bémol majeur « les Harpes » * Opus 75 n° 1 (1809) Lied - Mignon * Opus 75 n° 2 (1809) Lied - Neue Liebe, neues Leben * Opus 75 n° 3 (1809) Lied - Aus Goethes Faust* Es war einmal ein König * Opus 75 n° 4 (1809) Lied - Gretels Warnung * Opus 75 n° 5 (1809) Lied - An die fernen Geliebten * Opus 75 n° 6 (1809) Lied - Der Zufriedene * Opus 76 (1809) Six variations pour piano sur un thème original en ré majeur * Opus 77 (1809) Fantaisie pour piano * Opus 78 (1809) Sonate pour piano n° 24 en fa dièse majeur * Opus 79 (1809) Sonate pour piano n° 25 (Beethoven)|Sonate pour piano n° 25 en sol majeur * Opus 80 (1808) Fantaisie chorale * Opus 81a (1809) Sonate pour piano n° 26 (Beethoven)|Sonate pour piano n° 26 en mi bémol majeur « Les Adieux » * Opus 81b (1795) Septuor en mi bémol * Opus 82 n° 1 (1809) Lied - Hoffnung * Opus 82 n° 2 (1809) Lied - Liebes-Klage * Opus 82 n° 3 (1809) Duo - L’amante impatiente * Opus 82 n° 4 (1809) Lied - L’amante impatiente * Opus 82 n° 5 (1809) Lied - Lebens-Genuß * Opus 83 n° 1 (1810) Lied - Wonne der Wehmut * Opus 83 n° 2 (1810) Lied - Sehnsucht * Opus 83 n° 3 (1810) Lied - Mit einem gemalten Band * Opus 84 (1810) ''Egmont'' (Overture et Incidental Music) * Opus 85 (1804) Christus am Ölberge * Opus 86 (1807) Messe en ut majeur * Opus 87 (1795) Trio pour deux hautbois et cor anglais en ut majeur * Opus 88 (1803) Lied - Das Gluck der Freundschaft * Opus 89 (1814) Polonaise en ut majeur * Opus 90 (1814) Sonate pour piano n° 27 (Beethoven)|Sonate pour piano n° 27 en mi mineur * Opus 91 (1813) La Victoire de Wellington (''Wellingtons Sieg'') * Opus 92 (1813) 7e symphonie de Beethoven|7 symphonie en la majeur * Opus 93 (1814) Symphonie n° 8 de Beethoven|8 symphonie en fa majeur * Opus 94 (1815) Lied - An die Hoffnung * Opus 95 (1810) Quatuor à cordes n° 11 en fa mineur « Serioso » * Opus 96 (1812) Sonate pour violon n° 10 en sol majeur * Opus 97 (1811) Trio pour piano et cordes n° 7 en si bémol majeur « l’archiduc » * Opus 98 (1816) Lied Cycle - An die ferne Geliebte * Opus 99 (1816) Lied - Der Mann von Wort * Opus 100 (1814) Lied - Merkenstein * Opus 101 (1816) Sonate pour piano n° 28 en la majeur * Opus 102no 1 (1815) Sonate pour piano et violoncelle n° 4 en ut majeur * Opus 102no 2 (1815) Sonate pour piano et violoncelle n° 5 en ré mineur * Opus 103 (1792) Octuor à vents en mi bémol * Opus 104 (1817) Quintette à cordes (arrangement du Trio pour piano et cordes n° 3) * Opus 105 (1819) Six variations pour piano et flûte * Opus 106 (1818) Sonate pour piano n° 29 (Beethoven)|Sonate pour piano n° 29 en si bémol majeur « Hammerklavier » * Opus 107 (1820) Dix variations pour piano et flûte * Opus 108 (1818) Vingt-six Lieder écossais * Opus 109 (1822) Sonate pour piano n° 30 en mi majeur * Opus 110 (1822) Sonate pour piano n° 31 en la bémol majeur * Opus 111 (1822) Sonate pour piano n° 32 en do mineur * Opus 112 (1815) Meeresstille und glückliche Fahrt (pour chœur et orchestre) * Opus 113 (1811) Singspiel - Die Ruinen von Athen (Les ruines d’Athènes) * Opus 114 (1822) Marche et chœurs - Die Weihe des Hauses * Opus 115 (1815) Ouverture - Zur Namensfeier * Opus 116 (1802) Trio vocal avec orchestre - Tramte, empi tremate * Opus 117 (1811) Singspiel - King Stephen * Opus 118 (1814) Eligischer Gesang (pour chœur et orchestre) * Opus 119 (1822) Onze nouvelles bagatelles pour piano * Opus 120 (1823) Trente-trois variations pour piano sur une valse de Anton Diabelli|Diabelli, ut majeur (''Variations Diabelli'') * Opus 121a (1803) Trio pour piano et cordes n° 11 (Variations sur ''Ich bin der Schneider Kakadu'') * Opus 121b (1822) Opferlied (pour chœur et orchestre) * Opus 122 (1824) Bundeslied (pour chœur et orchestre) * Opus 123 (1822) Messe en ré majeur (Missa Solemnis) * Opus 124 (1822) Ouverture - Die Weihe des Hauses * Opus 125 (1824) 9e symphonie de Beethoven|Symphonie n° 9 en ré mineur « Ode à la joie » * Opus 126 (1824) Six Bagatelles pour piano * Opus 127 (1825) Quatuor à cordes n° 12 en mi bémol majeur * Opus 128 (1822) Lied - Der Kuss * Opus 129 (1795) Rondo Capriccio pour piano en sol majeur * Opus 130 (1825) Quatuor à cordes n° 13 en si bémol majeur * Opus 131 (1826) Quatuor à cordes n°14 (Beethoven)|Quatuor à cordes n° 14 en do dièse mineur * Opus 132 (1825) Quatuor à cordes n°15 (Beethoven)|Quatuor à cordes n° 15 en la mineur * Opus 133 (1826) Grande fugue (''Große Fuge'') en si bémol majeur * Opus 134 (1826) Arrangement pour piano à 4 mains de la Grande fugue * Opus 135 (1826) Quatuor à cordes n°16 (Beethoven)|Quatuor à cordes n° 16 en fa majeur * Opus 136 (1814) Cantate - Der glorreiche Augenblick * Opus 137 (1817) Quintette à cordes (fugue) en ré majeur * Opus 138 (1807) Ouverture - Léonore I --> == ผลงานของเบทโฮเฟินในปัจจุบัน == <!-- Aujourd'hui, son œuvre est reprise dans de nombreux films. Ainsi, Elephant, palme d'or à Cannes en 2003, est un film composé de très peu de dialogues sur ''Lettre à Élise'' en trame de fond. --> == มีเดีย == ''' Orchestral ''' ''' Chamber ''' <!-- --> ''' Other ''' == อ้างอิง == ไฟล์:Beethoven buste1.jpg|thumb|รูปปั้นของเบทโฮเฟินและบ้านเกิดของเขาที่เมืองบ็อน <!-- * Jean et Brigitte Massin - ''Beethoven'' * Barry Cooper - ''Beethoven'' 1991 * Philippe Autexier - ''Beethoven la force de l’absolu'', Découvertes Gallimard, 1991 * André Boucourechliev - ''Beethoven'', Seuil, 1994 * Michel Lecompte - ''La musique symphonique de Beethoven'', Fayard, 1995 * Eve Ruggieri - ''Beethoven Itinéraire sentimental'', JC Lattès, 1996 * Jean-Jacques Greif - ''Réveille-toi Ludwig'', L’école des loisirs, 1997 * Toa de Nora - ''Beethoven et la construction du génie'', Fayard, 1998 * Marcel Marnat - ''Beethoven'', Editions Jean-paul Gisserot, 1998 * Esteban Buch - ''La neuvième de Beethoven'', Gallimard, 1999 * Elisabeth Brisson - ''Le sacre du musicien'', CNRS Editions, 2000 --> == แหล่งข้อมูลอื่น == * http://www.lvbeethoven.com/index_Fr.html เว็บไซต์อุทิศให้เบทโฮเฟิน * http://www.gutenberg.org/author/Beethoven,+Ludwig+van จดหมายและผลงานของเบทโฮเฟินจากโครงการกูเทนเบิร์ก * http://www.bh2000.net/score/orchbeet/ โน้ตแผ่นซิมโฟนีและคอนแชร์โต * http://imslp.org/wiki/Category:Beethoven%2C_Ludwig_van โน้ตแผ่นโซนาตาสำหรับเปียโน แวรีเอชัน ... * http://perso.wanadoo.fr/claude-broussy/musique_et_beethoven.htm บทความเกี่ยวกับเบทโฮเฟิน * http://perso.wanadoo.fr/crampman/album_cris/musiciens_2.html รายงานภาพเบทโฮเฟินจากเวียนนา * http://www.unheardbeethoven.org/ รวบรวมไฟล์ ''midi'' บทเพลงหายากของเบทโฮเฟิน * https://www.youtube.com/watch?v=UoXn8CfmpPI/ หนังสั้นเรื่อง ลูทวิช ฟัน เบทโฮเฟิน ปะทะ ว็อล์ฟกัง อมาเดอุส โมทซาร์ท หมวดหมู่:นักดนตรีคลาสสิก หมวดหมู่:คีตกวีชาวเยอรมัน หมวดหมู่:นักเปียโนชาวเยอรมัน หมวดหมู่:บุคคลจากบ็อน หมวดหมู่:ผู้รอดชีวิตจากฝีดาษ
ลูทวิช ฟัน เบทโฮเฟิน
File:1988 Events Collage.png|จากซ้ายตามเข็มนาฬิกา: แท่นน้ำมัน Piper Alpha ระเบิดและพังทลายในทะเลเหนือ ทำให้คนงานเสียชีวิต 165 คน; USS Vincennes (CG-49)|USS ''Vincennes'' (CG-49) ยิงอิหร่านแอร์ เที่ยวบินที่ Flight 655 ลงอย่างผิดพลาด; ออสเตรเลียฉลองAustralian Bicentenary|ครบรอบ 200 ปี ในวันที่ 26 มกราคม; โอลิมปิกฤดูร้อน 1988 จัดขึ้นที่โซล ประเทศเกาหลีใต้; กองทัพสหภาพโซเวียต|โซเวียตเริ่มSoviet withdrawal from Afghanistan|ถอนทัพจากอัฟกานิสถาน ซึ่งแล้วเสร็จในค.ศ. 1989|ปีหน้า; 1988 Armenian earthquake|แผ่นดินไหวในอาร์มีเนียทำให้มีผู้เสียชีวิตระหว่าง 25,000-50,000 คน; การก่อการกำเริบ 8888 ในประเทศพม่า นำโดยนักศึกษา ประท้วงต่อพรรคโครงการสังคมนิยมพม่า; เกิดเหตุระเบิดบนแพนแอม เที่ยวบินที่ 103 ทำให้เครื่องบินตกลงที่เมืองล็อกเกอร์บี ประเทศสกอตแลนด์ ทำให้มีผู้เสียชีวิต 270 คน|300x300px|thumb '''พุทธศักราช 2531''' ตรงกับปีคริสต์ศักราช 1988 เป็นปีอธิกสุรทินที่วันแรกเป็นวันศุกร์ (ลิงก์ไปยังปฏิทิน) ตามปฏิทินเกรกอเรียน และเป็น * ปีมะโรง สัมฤทธิศก จุลศักราช 1350 (วันที่ 15 เมษายน เป็นวันเถลิงศก) * มหาศักราช 1910 * ปีจัดพระราชพิธีรัชมังคลาภิเษก ๒ กรกฎาคม พุทธศักราช ๒๕๓๑|พระราชพิธีรัชมังคลาภิเษก * 100 ปี พระยาอนุมานราชธน == ผู้นำประเทศไทย == * '''พระมหากษัตริย์''': พระบาทสมเด็จพระมหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร (9 มิถุนายน พ.ศ. 2489 – 13 ตุลาคม พ.ศ. 2559) * '''นายกรัฐมนตรี''': ** เปรม ติณสูลานนท์|พลเอก เปรม ติณสูลานนท์ (3 มีนาคม พ.ศ. 2523 – 4 สิงหาคม พ.ศ. 2531) ** ชาติชาย ชุณหะวัณ|พลเอก ชาติชาย ชุณหะวัณ (4 สิงหาคม พ.ศ. 2531 – 23 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2534) == เหตุการณ์ == === มกราคม === * 1 มกราคม - เกิดเหตุเพลิงไหม้โรงแรมเฟิส์ท เขตพญาไท กรุงเทพมหานคร ทำให้มีผู้เสียชีวิต 13 คน * 4 มกราคม - สถานีโทรทัศน์ไทยทีวีสีช่อง 4 เริ่มแพร่ภาพออกอากาศ === กุมภาพันธ์ === * 1 กุมภาพันธ์ - ชวลิต ยงใจยุทธ|พลเอกชวลิต ยงใจยุทธ ผู้บัญชาการทหารบก ประกาศเปิดสมรภูมิบ้านร่มเกล้า ระหว่างกองทัพบกไทย|ไทย-กองทัพบกลาว|ลาว ที่ อ.ชาติตระการ จ.พิษณุโลก * 19 กุมภาพันธ์ - มีการประกาศหยุดยิงในสมรภูมิบ้านร่มเกล้า * 25 กุมภาพันธ์ - ภัตตาคาร ห้อยเทียนเหลา ในเยาวราชเปิดบริการเป็นวันสุดท้าย === มีนาคม === * 4 มีนาคม - เหตุลอบสังหาร นายชัยวัฒน์ พลังวัฒนกิจ หรือ โหงว ห้าพลัง ที่สนามมวยเวทีลุมพินี ซึ่งเป็นคดีที่มีการวิพากษ์วิจารณ์ว่าเป็นเรื่องของเจ้าพ่อกับเจ้าพ่อ * 8 มีนาคม - วันสถาปนามหาวิทยาลัยภาคตะวันออกเฉียงเหนือ * 13 มีนาคม - อุโมงค์เซคัง อุโมงค์ที่ยาวที่สุดในโลกในประเทศญี่ปุ่นเปิดให้ใช้บริการอย่างเป็นทางการ * 21 มีนาคม – ทีมฟุตบอลทีมชาติแคเมอรูนชนะเลิศการแข่งขันฟุตบอลชิงแชมป์แห่งชาติแอฟริกา ครั้งที่ 16 ณ ประเทศโมร็อกโก === เมษายน === * 5 เมษายน- เหตุการณ์จี้เครื่องบินคูเวตแอร์เวย์เที่ยวบิน 422ที่ทะเลอาหรับหลังออกจากสนามบินดอนเมืองปลายทางท่าอากาศยานนานาชาติคูเวต มีผู้เสียชีวิต 2 ราย * 26 เมษายน - คณะรัฐมนตรีอนุมัติแผนงานโครงการพัฒนาดอยตุง ตามพระราชดำริ สมเด็จพระศรีนครินทราบรมราชชนนี === พฤษภาคม === * 1 พฤษภาคม - ราชวิทยาลัยอายุรแพทย์แห่งลอนดอน ทูลเกล้าฯ ถวายสมาชิกภาพกิตติมศักดิ์ ซึ่งสถาบันแห่งนี้เคยมอบให้แต่เฉพาะผู้ที่เป็นแพทย์และนักวิทยาศาสตร์ดีเด่นระดับโลกเท่านั้น * 9 พฤษภาคม - เขาค้อ แกแล็คซี่สร้างประวัติศาสตร์เป็นแชมป์โลกคู่แฝดคู่แรกของโลกในวันนี้เมื่อชิงแชมป์โลกรุ่นแบนตัมเวท WBA ชนะคะแนน วิลเฟรโด วาสเควซ โดยแฝดน้องคือ เขาทราย แกแล็คซี่ครองแชมป์โลกตั้งแต่ พ.ศ. 2527 * 21 พฤษภาคม - สมเด็จพระกนิษฐาธิราชเจ้า กรมสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี|สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี เสด็จเป็นองค์ประธานในพิธีเปิดอุทยานประวัติศาสตร์พนมรุ้งอย่างเป็นทางการ * 24 พฤษภาคม - ภรณ์ทิพย์ นาคหิรัญกนก ครองตำแหน่งนางงามจักรวาลคนที่ 37 * 31 พฤษภาคม - องค์การอนามัยโลก ได้จัดวันงดสูบบุหรี่โลกเป็นครั้งแรก === มิถุนายน === * 14 มิถุนายน - มูลนิธิชัยพัฒนา ได้รับการจดทะเบียนให้เป็นนิติบุคคล และได้ประกาศในราชกิจจานุเบกษาในวันที่ 12 กรกฎาคม * 27 มิถุนายน - ชาง จุงกู ทำลายสถิติป้องกันแชมป์โลกสูงสุดของทวีปเอเชียโดยป้องกันแชมป์โลกรุ่นไลท์ฟลายเวท WBC ครั้งที่ 15 ได้ในวันนี้ ทำลายสถิติเดิมของโยโกะ กูชิเก้นที่ทำไว้ 14 ครั้ง และเป็นสถิติโลกในรุ่น 108 ปอนด์ด้วย ก่อนจะถูกทำลายลงโดยยูห์ เมียงวู === กรกฎาคม === * 2 กรกฎาคม - พระราชพิธีรัชมังคลาภิเษก ๒ กรกฎาคม พุทธศักราช ๒๕๓๑|พระราชพิธีรัชมังคลาภิเษก พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช ทรงครองสิริราชสมบัติยาวนานยิ่งกว่าลำดับพระมหากษัตริย์ไทย|พระมหากษัตริย์พระองค์ใดในประวัติศาสตร์ไทย|ประวัติศาสตร์ชาติไทย * 11 กรกฎาคม - สมเด็จพระกนิษฐาธิราชเจ้า กรมสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี|สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี เสด็จพระราชดำเนิน ทรงเปิดอาคารที่ทำการ สถานีวิทยุโทรทัศน์แห่งประเทศไทย จากนั้นเป็นต้นมา จึงกำหนดให้ วันที่ 11 กรกฎาคม ของทุกปี เป็นวันคล้ายวันสถาปนาของสถานีโทรทัศน์แห่งชาติของประเทศไทย * 24 กรกฎาคม - ประเทศไทยจัดการเลือกตั้งทั่วไป ผลปรากฏว่าพรรคชาติไทยได้ที่นั่งมากที่สุดและเป็นแกนนำจัดตั้งรัฐบาลผสม *28 กรกฎาคม - พระราชพิธีมหามงคลเฉลิมพระชนมพรรษา 3 รอบ พระบาทสมเด็จพระวชิรเกล้าเจ้าอยู่หัว|สมเด็จพระบรมโอรสาธิราช เจ้าฟ้ามหาวชิราลงกรณ สยามมกุฎราชกุมาร === สิงหาคม === * 1 สิงหาคม - ชาติชาย ชุณหะวัณ|พลเอกชาติชาย ชุณหะวัณ ดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรี หลังพลเอกเปรม ติณสูลานนท์ ปฏิเสธที่จะรับตำแหน่ง * 4 สิงหาคม - พรรคชาติไทยจัดตั้งรัฐบาล โดยมีชาติชาย ชุณหะวัณ|พลเอกชาติชาย ชุณหะวัณ เป็นรายชื่อนายกรัฐมนตรีของไทย|นายกรัฐมนตรีคนที่ 17 ของประเทศ * 8 สิงหาคม - เกิดการประท้วงต่อต้านรัฐบาลทหารพม่าครั้งใหญ่โดยนักศึกษาและประชาชน * 12 สิงหาคม - นายพลเส่ง ละวินประกาศลาออกจากทุกตำแหน่งในรัฐบาลเนื่องจากการประท้วงอย่างรุนแรงของนักศึกษาและประชาชน * 29 สิงหาคม - ** พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช มีพระบรมราชโองการโปรดเกล้าฯ ยกย่อง เปรม ติณสูลานนท์|พลเอกเปรม ติณสูลานนท์ อดีตผู้บัญชาการทหารบก และนายกรัฐมนตรี ให้เป็นรัฐบุรุษ ** การชกป้องกันตำแหน่งแชมป์โลกรุ่นมินิฟลายเวท IBF ระหว่างสมุทร ศิษย์นฤพนธ์ แชมป์โลกขาวไทยกับ ฮวาง อินเคียว ผู้ท้าชิงชาวเกาหลีใต้ที่เกิดขึ้นในวันนี้เป็นการป้องกันแชมป์โลกคู่สุดท้ายของโลกที่ชกกัน 15 ยก === กันยายน === * 9 กันยายน - เครื่องบินตูโปเลฟ 131 ของสายการบินแอร์เวียดนาม ตกที่อำเภอลำลูกกา จังหวัดปทุมธานี มีผู้เสียชีวิต 76 คน รวมทั้งรัฐมนตรีของเวียดนาม และนักการทูตชาวอินเดีย * 15 กันยายน - วันสถาปนาสถาบันเทคโนโลยีราชมงคล หรือมหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคล ในปัจจุบัน * 17 กันยายน - 2 ตุลาคม - กีฬาโอลิมปิกฤดูร้อน ณ โซล|โซล ประเทศเกาหลีใต้ * 24 กันยายน - ** กีฬาโอลิมปิก : เบน จอห์นสัน "เอาชนะ" คาร์ล ลูอิส และ ลินฟอร์ด คริสตี ในการแข่งขันวิ่ง 100 เมตร ด้วยเวลา 9.79 วินาที (ต่อมาถูกการเพิกถอนสิทธิ|เพิกถอนเนื่องจากพบว่าใช้สารกระตุ้น) ** ก่อตั้งสันนิบาตแห่งชาติเพื่อประชาธิปไตยขึ้นในพม่า * 27 กันยายน - วันสถาปนาพรรคสันนิบาตแห่งชาติเพื่อประชาธิปไตย นำโดย ออง ซาน ซูจี ในประเทศพม่า|พม่า * 29 กันยายน - องค์การนาซาส่งกระสวยอวกาศขึ้นบินเป็นครั้งแรก หลังจากโศกนาฏกรรมกระสวยอวกาศแชลเลนเจอร์ === ตุลาคม === * === พฤศจิกายน === * 10 พฤศจิกายน - ทับหลังนารายณ์บรรทมสินธุ์ ซึ่งถูกลักลอบนำออกไปจากปราสาทหินเขาพนมรุ้ง จังหวัดบุรีรัมย์ เป็นเวลาเกือบ 30 ปี กลับคืนสู่ประเทศไทย หลังการเรียกร้องขอคืนจากสถาบันศิลปะแห่งชิคาโก สหรัฐอเมริกา * 16 พฤศจิกายน - เบนาซีร์ บุตโต วัย 35 ปี ได้รับการเลือกตั้ง|เลือกตั้งให้เป็นนายกรัฐมนตรีของประเทศปากีสถาน|ปากีสถาน นับเป็นนายกรัฐมนตรีหญิงคนแรกของประเทศมุสลิม * 22 พฤศจิกายน - เกิดเหตุโคลนถล่มและซุงจากการลักลอบทำลายป่า ทะลักเข้าใส่หมู่บ้านที่ตำบลกะทูน อำเภอพิปูน จังหวัดนครศรีธรรมราช มีผู้เสียชีวิตถึง 700 คน เหตุการณ์นี้ส่งผลให้มีการยกเลิกสัมปทานป่าไม้ทั่วประเทศ * 24 พฤศจิกายน - ศูนย์พัฒนาประมงน้ำจืด จ.สุราษฎร์ธานี เพาะพันธุ์ปลาตะพัดหรือปลามังกร หรือปลาอะโรวาน่า ซึ่งเป็นปลาน้ำจืดหายาก ใกล้สูญพันธุ์ได้สำเร็จเป็นครั้งแรกในประเทศไทย === ธันวาคม === * 18 ธันวาคม – ทีมฟุตบอลทีมชาติซาอุดีอาระเบียชนะเลิศการแข่งขันฟุตบอลชิงแชมป์แห่งชาติเอเชีย ครั้งที่ 9 ณ กรุงโดฮา รัฐกาตาร์ * 21 ธันวาคม - ผู้ก่อการร้ายวางระเบิด เที่ยวบินแพนแอมที่ 103 ล็อกเกอร์บี|เมืองล็อกเกอร์บี สกอตแลนด์ ทำให้มีผู้เสียชีวิต 270 คน * 30 ธันวาคม - คณะพยาบาลศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ได้รับการสถาปนาเป็นคณะวิชาในลำดับที่ 16 ของจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย * 31 ธันวาคม - มีเหตุการณ์ไฟไหม้งานส่งท้ายปีเก่าต้อนรับปีใหม่ 2532 ที่ จ.เชียงใหม่ มีผู้เสียชีวิต 10 คน บาดเจ็บ 240 คน เป็นเหตุที่ทำให้งานปีใหม่ต้องยกเลิกโดยปริยาย === ไม่ทราบวัน === * ประเทศไทยเริ่มใช้เหรียญ 5 บาท และ เหรียญ 10 บาท|10 บาท * คณะแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ประสบความสำเร็จในการผ่าตัดเปลี่ยนตับเป็นครั้งแรกในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ == วันเกิด == === มกราคม === * 9 มกราคม - สุชาร์ มานะยิ่ง (ออม) พิธีกร นักแสดงหญิงชาวไทย และเป็นบุตรสาวของ พรพรรณ วนา นักร้องลูกทุ่งหญิงชาวไทย * 16 มกราคม - นีแกลส เปนต์เนอร์ นักฟุตบอลชาวเดนมาร์ก * 20 มกราคม ** อิสริยะ ภัทรมานพ (ฮั่น) นักร้อง นักแสดงชายชาวไทย ** อร อรดี นักร้องลูกทุ่งหญิงชาวไทย * 28 มกราคม - ณัฐวรา วงศ์วาสนา (มิ้นท์) นักแสดงชาวไทย * 31 มกราคม - เหมือนแพร พานะบุตร (กิ่ง The Star) นักร้องชาวไทย === กุมภาพันธ์ === * 3 กุมภาพันธ์ - โจว คยูฮยอน นักร้องเกาหลีวง Super Junior * 7 กุมภาพันธ์ - ไอ คาโงะ อดีตนักร้องหญิงชาวญี่ปุ่น * 11 กุมภาพันธ์ - หลี่ ฉุน นักร้องหญิงชาวจีน * 13 กุมภาพันธ์ - หลิน เกิงซิน นักแสดงชาวจีน * 18 กุมภาพันธ์ - ชิมชางมิน (MAX TVXQ) นักร้องกลุ่มชายของเกาหลี * 22 กุมภาพันธ์ ** มิณฑิตา วัฒนกุล นักร้องและนักแสดงชาวไทย ** โก อู-รี นักร้องนวงเรนโบว์ (วงดนตรีเกาหลี) *26 กุมภาพันธ์ - คิม ย็อน คย็อง อดีตกัปตันวอลเลย์บอลหญิงทีมชาติเกาหลีใต้ * 29 กุมภาพันธ์ ** ก้านตอง ทุ่งเงิน นักร้องลูกทุ่งหญิงชาวไทย ** ธรรมพร จูมจัตุรัส นักร้องลูกทุ่งหญิงชาวไทย === มีนาคม === * 1 มีนาคม - ปอ ปาริชาต นักร้องลูกทุ่งหญิงชาวไทย * 3 มีนาคม - อุษามณี ไวทยานนท์ (ขวัญ) นักแสดงชาวไทย * 5 มีนาคม ** พิชญา เชาวลิต (ฟาง) นักแสดงหญิงชาวไทย ** อีลียา ควาชา นักกีฬากระโดดน้ำชาวยูเครน * 9 มีนาคม - ภัทรนิษฐ์ แก้วมณี นักแสดงหญิงชาวไทย * 12 มีนาคม - วิทวัส สิงห์ลำพอง นักแสดง พิธีกร และนายแบบชาวไทย * 14 มีนาคม ** ซูเมีย อบัลฮาจา นักมวยไทยชาวโมร็อกโก ** ณธฤษภ์ ธรรมรสโสภณ นักฟุตบอลชาวไทย * 23 มีนาคม - ณัฐชา วิทยากาศ นักแสดงชาวไทย * 24 มีนาคม - สุธีวัน ทวีสิน นักร้องลูกทุ่งหญิงชาวไทย * 25 มีนาคม - กาญจน์คณึง เนตรศรีทอง นักแสดงหญิงชาวไทย * 30 มีนาคม - กณิณ ปัทมนันถ์ นักแสดงชาวไทย === เมษายน === * 3 เมษายน - ติม กรึล นักฟุตบอลชาวดัตช์ * 11 เมษายน - ชวัลกร วรรธนพิสิฐกุล (กระติ๊บ) นักแสดงหญิงชาวไทย * 17 เมษายน - ทากาฮิโระ โมริอุจิ นักร้องนำวง ONE OK ROCK ชาวญี่ปุ่น * 19 เมษายน - ฮารุนะ โคจิมะ นักแสดง นักร้อง อดีตสมาชิกไอดอลญี่ปุ่นวง AKB48 * 25 เมษายน - โจนาธาน เบลีย์ นักแสดงชายชาวอังกฤษ === พฤษภาคม === * 17 พฤษภาคม - ปาลิตา โกศลศักดิ์ นักแสดงหญิงชาวไทย * 18 พฤษภาคม - แทยัง วง บิ๊กแบง จากประเทศเกาหลีในสังกัด YG Entertainment * 23 พฤษภาคม - จรณ โสรัตน์ (ท็อป) นักแสดงชายชาวไทย * 27 พฤษภาคม - เขมนิจ จามิกรณ์ (แพนเค้ก) นักแสดงหญิงชาวไทย === มิถุนายน === * 1 มิถุนายน - ทามากิ นามิ นักร้องหญิงชาวญี่ปุ่น * 6 มิถุนายน - ธีรศิลป์ แดงดา นักฟุตบอลชาวไทย * 8 มิถุนายน - ภคมน บุณยะภูติ นักร้อง นักแสดงชาวไทย * 24 มิถุนายน - นิชคุณ หรเวชกุล ชาวไทย ซึ่งเป็นนักแสดง พิธีกร และนักร้องวง 2PM จากประเทศเกาหลีในสังกัด JYP Entertainment === กรกฎาคม === * 7 กรกฎาคม - พิชยดนย์ พึ่งพันธ์ (ซัน) นักแสดงชาวไทย * 17 กรกฎาคม - ณัฐรัฐ โมริส เลอกรอง นักแสดงและนายแบบชาวไทย * 26 กรกฎาคม - จิรัฐชัย ชยุติ นักร้องชาวไทย * 27 กรกฎาคม - แคทลียา อินทะชัย นักร้องและนักแสดงชาวไทย === สิงหาคม === * 1 สิงหาคม - กรวรรณ สุทธิวงศ์ (กวาง เดอะสตาร์) เดอะสตาร์ปีที่ 7 * 3 สิงหาคม - โด๋ ถิ มิญ นักวอลเลย์บอลชาวเวียดนาม * 8 สิงหาคม - เจ้าหญิงเบียทริซแห่งยอร์ก พระธิดาองค์โตในเจ้าชายแอนดรูว์ ดยุกแห่งยอร์ก กับซาราห์ ดัชเชสแห่งยอร์ก อดีตพระชายา * 10 สิงหาคม - พรพรรณ ฤกษ์อัตการ นักแสดงและนางงามชาวไทย * 18 สิงหาคม - ควอน จียง G-DRAGON วง บิ๊กแบง จากประเทศเกาหลีในสังกัด YG Entertainment === กันยายน === * 6 กันยายน - นิธิดล ป้อมสุวรรณ (ไนกี้) นักแสดงชาวไทย * 13 กันยายน - ทวิรัฐ รัตนเศรษฐ สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรจังหวัดนครราชสีมา * 16 กันยายน - เท็ดดี้ ไกเกอร์ นักร้องชายชาวอเมริกัน ** สุมณทิพย์ ชี - นักแสดงหญิงชาวไทย * 20 กันยายน - ภัทริน ลาภกิตติกุล นักแสดงและพิธีกรชาวไทย * 26 กันยายน - กฤษณ์ บุญญะรัง (บี้ เดอะ สกา) ยูทูปบอร์ชาวไทย === ตุลาคม === * 4 ตุลาคม - ยูบิน สมาชิกวง Wonder Girls ชาวเกาหลีใต้ * 12 ตุลาคม - แคลัม สกอตต์ นักร้องและนักแต่งเพลงชาวอังกฤษ * 13 ตุลาคม - ฟ้าเพชรน้อย ส.จิตรพัฒนา แชมป์โลกมวยสากลเยาวชน * 17 ตุลาคม - กรกันต์ สุทธิโกเศศ นักร้อง นักแสดงชื่อดัง ผู้ประกาศข่าว ช่อง เวิร์คพอยท์ * 17 ตุลาคม - ยูโกะ โอชิมะ นักร้อง นักแสดง อดีตสมาชิกไอดอลญี่ปุ่นวง AKB48 * 18 ตุลาคม - ภัทรศยา เครือสุวรรณศิริ (พีค) นักแสดงชาวไทย * 20 ตุลาคม ** ขวัญกวินท์ ธำรงรัฐเศรษฐ์ (เกี่ยวก้อย) นักแสดง และนางแบบชาวไทย ** ริสะ นีงากิ นักร้องหญิงชาวญี่ปุ่น * 21 ตุลาคม - ทิตชญา ภูดิทกุลกานต์ นักแสดงชาวไทย * 23 ตุลาคม - จิรวัฒน์ สอนวิเชียร นักฟุตซอลชาวไทย * 27 ตุลาคม ** ภูวรินทร์ คีแนน นักร้องชาวไทย ** ฌอห์ณ จินดาโชติ นักแสดง และพิธีกรชาวไทย === พฤศจิกายน === * 6 พฤศจิกายน - เอมมา สโตน นักแสดงหญิงชาวอเมริกัน * 23 พฤศจิกายน - พูลภัทร อัตถปัญญาพล นักแสดงชาวไทย * 27 พฤศจิกายน - ชีรณัฐ ยูสานนท์ (น้ำชา) นักร้องและนักแสดงชาวไทย * 28 พฤศจิกายน - ธนบูลย์ วัลลภศิรินันท์ นักแสดง ดีเจ และ พิธีกรชาวไทย * 29 พฤศจิกายน ** อธิชนัน ศรีเสวก (ไอซ์) นักแสดง และนางแบบชาวไทย ** พิมพ์นิภา จิตตธีรโรจน์ (แก้มบุ๋ม) นักแสดงชาวไทย === ธันวาคม === * 4 ธันวาคม - มาริโอ้ เมาเร่อ นักแสดงชาวไทย * 5 ธันวาคม - นวพล ลำพูน นักแสดงและนายแบบชาวไทย * 7 ธันวาคม ** บุษกร ตันติภนา (เอ้ก) นางแบบ นักร้อง นักแสดง พิธีกรรายการโทรทัศน์ ** เอมิลี บราวนิง นักแสดงหญิงชาวออสเตรเลีย ** โทรุ ยามาชิตะ มือกีต้าร์วง ONE OK ROCK ชาวญี่ปุ่น * 10 ธันวาคม - กาญจน์เกล้า ด้วยเศียรเกล้า (เกรซ) นักแสดงชาวไทย * 17 ธันวาคม - ริน ทาคานาชิ นักแสดงชาวญี่ปุ่น * 23 ธันวาคม ** เขตรัฐ เหล่าธรรมทัศน์ สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรชาวไทย ** เอริ คาเมอิ นักร้องหญิงชาวญี่ปุ่น * 24 ธันวาคม - คิม แจ-คย็อง นักร้องวงเรนโบว์ (วงดนตรีเกาหลี) * 28 ธันวาคม - พินทุสร ศรีณรงค์ นักดนตรีชาวไทยและหัวหน้าวงดุริยางค์เยาวชนไทย ในพระอุปถัมภ์สมเด็จพระเจ้าพี่นางเธอฯ == วันถึงแก่กรรม == ไฟล์:RichardFeynman-PaineMansionWoods1984 copyrightTamikoThiel bw.jpg|thumb|107x107px|ริชาร์ด ไฟน์แมน ไฟล์:Judith Barsi.jpg|thumb|140x140px|จูดิธ บาร์ซี ไฟล์:Thawal Thamrong Navaswadhi.jpg|thumb|125x125px|ถวัลย์ ธำรงนาวาสวัสดิ์ * 11 มกราคม - ประมูล อุณหธูป (นามปากกา อุษณา เพลิงธรรม) นักประพันธ์ชาวไทย (เกิด 17 มิถุนายน พ.ศ. 2463) * 15 กุมภาพันธ์ - ริชาร์ด ไฟน์แมน นักฟิสิกส์ชาวอเมริกัน (เกิด 11 พฤษภาคม พ.ศ. 2461) * 5 พฤษภาคม - ไมเคิล ชารา นักเขียนนิยายวิทยาศาสตร์ชาวอเมริกัน (เกิด 23 มิถุนายน พ.ศ. 2471) * 8 พฤษภาคม - โรเบิร์ต เอ. ไฮน์ไลน์ นักเขียนนิยายวิทยาศาสตร์ชาวอเมริกัน (เกิด 7 กรกฎาคม พ.ศ. 2450) * 25 กรกฎาคม - จูดิธ บาร์ซี นักแสดงเด็กชาวอเมริกัน (เกิด 6 มิถุนายน พ.ศ. 2521) * 27 สิงหาคม - สมเด็จพระอริยวงศาคตญาณ (วาสนมหาเถร) สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปริณายก วัดราชบพิธสถิตมหาสีมาราม (ประสูติ 2 มีนาคม พ.ศ. 2440) * 1 กันยายน - หลุยส์ อัลวาเรซ นักฟิสิกส์ชาวอเมริกัน (เกิด 13 มิถุนายน พ.ศ. 2454) * 16 ตุลาคม - สมเด็จพระราชินีฟารีดาแห่งอียิปต์|ซาฟีนาซ ซุลฟิการ์ อดีตสมเด็จพระราชินีแห่งอียิปต์ (เกิด 5 กันยายน พ.ศ. 2464) * 3 ธันวาคม - หลวงธำรงนาวาสวัสดิ์ นายกรัฐมนตรีคนที่ 8 ของไทย (เกิด 21 พฤศจิกายน พ.ศ. 2444) * 26 ธันวาคม - หม่อมเจ้าวิศิษฎ์สวัสดิรักษ์ สวัสดิวัตน์ (ประสูติ 5 เมษายน พ.ศ. 2442) == บันเทิงคดีที่อ้างอิงถึงปีนี้ == === ละครโทรทัศน์ === * ยอดหญิงสิงห์วอลเลย์ (Attack No.1) ละครโทรทัศน์ญี่ปุ่น (พ.ศ. 2545) - โคซึเอะ อายุฮาระ ตัวละครเอกของเรื่อง เกิดวันที่ 14 กันยายนของปีนี้ == รางวัล == === รางวัลโนเบล === * รางวัลโนเบลสาขาเคมี|สาขาเคมี – Johann Deisenhofer, Robert Huber, Hartmut Michel * รางวัลโนเบลสาขาวรรณกรรม|สาขาวรรณกรรม – นากิบ มาห์ฟูซ * รางวัลโนเบลสาขาสันติภาพ|สาขาสันติภาพ – กองกำลังรักษาสันติภาพแห่งสหประชาชาติ * รางวัลโนเบลสาขาฟิสิกส์|สาขาฟิสิกส์ – Leon Max Lederman, Melvin Schwartz, Jack Steinberger * รางวัลโนเบลสาขาสรีรวิทยาหรือการแพทย์|สาขาสรีรวิทยาหรือการแพทย์ – เจมส์ ดับเบิลยู. แบล็ก, เจอร์ทรูด บี. เอลเลียน, จอร์จ เอช. ฮิทชิงส์ * รางวัลโนเบลสาขาเศรษฐศาสตร์|สาขาเศรษฐศาสตร์ – Maurice Allais == ดูเพิ่ม == * รายชื่อภาพยนตร์ไทย พ.ศ. 2531 หมวดหมู่:พ.ศ. 2531|
พ.ศ. 2531
Infobox sportsperson | honorific_prefix = ร้อยโท | name = สมบัติ บัญชาเมฆ | honorific_suffix = | image = Picbuakaw.jpg | image_size = 200px | nickname = บัติ | birth_date = ปูมเข้ม 'บัวขาว' 'แบล๊กโกลด์' มวยโลก. '''หนังสือพิมพ์มติชนรายวัน'''. ปีที่ 35 ฉบับที่ 12420. วันอาทิตย์ที่ 12 มีนาคม พ.ศ. 2555. ISSN 1686-8188. หน้า 13 | birth_place = สุรินทร์ ประเทศไทย | height_cm = 178 | weight_kg = 72 | spouse = อัญวีณ์ พรชัยวิบูลย์ | coach = ว่าที่ร้อยโท ธีรวัฒน์ ยิ้วยิ้มวุฒิศักดิ์ สาสังข์ธีระพงศ์ ธรรมทอง | club = ค่ายมวย ป.ประมุข (อดีต)http://www.siamsport.co.th/Sport_Boxing/120522_447.html ซีรีส์จบ!แก๊-บัวขาวแฮบปี้เคลียร์ลงตัวค่ายมวยบัญชาเมฆ (ปัจจุบัน) | module2 = ร้อยโท '''สมบัติ บัญชาเมฆ''' หรือ '''บัวขาว บัญชาเมฆ''' ชื่อในวงการว่า '''บัวขาว''' เกิดวันที่ 8 พฤษภาคม พ.ศ. 2525 เป็นนักมวยไทย|นักมวยไทย ที่มีชื่อเสียงและเป็นที่ยอมรับในวงการการต่อสู้ระดับสากล โดยเฉพาะในทวีปยุโรปและประเทศญี่ปุ่น เคยเป็นนักมวยไทยสังกัดค่ายมวย ป.ประมุข ข้อมูลส่วนสูงในศึกRWSอยู่ที่ 178 เซนติเมตร น้ำหนัก 72.9 กิโลกรัม บัวขาวจัดเป็นหนึ่งในนักกีฬาอาชีพไทยที่ทำรายได้สูง โดยส่วนใหญ่มาจากการชกมวยที่ต่างประเทศ นอกจากนี้แล้ว ยังมีผลงานการแสดงในภาพยนตร์ไทยเรื่อง ''ซามูไร อโยธยา''http://www.siamzone.com/movie/m/5937 ซามูไรอโยธยา (2010) และใน พ.ศ. 2554 บัวขาวได้เข้าร่วมแข่งขันในรายการไทยไฟต์ ที่ประเทศไทย ในรุ่น 70 กิโลกรัม'''น็อกเอาต์ฉบับมวยสยาม'''. ปีที่ 23 ฉบับที่ 1981. วันที่ 5-11 ตุลาคม 2554. ISSN 15135438. หน้า 11 ซึ่งได้เป็นแชมป์ของการแข่งขัน บัวขาวเข้าแข่งขันไทยไฟต์อีกครั้งในวันที่ 23 ตุลาคม พ.ศ. 2555 ซึ่งจัดขึ้นที่มหาวิทยาลัยกรุงเทพธนบุรี โดยครั้งนี้ได้พบกับเมาโร เซียรา ซึ่งเป็นนักมวยไทยชาวอิตาลี และบัวขาวเป็นฝ่ายชนะน็อค'''มวยสยามรายวัน'''. ปีที่ 20 ฉบับที่ 6995. วันพุธที่ 24 ตุลาคม พ.ศ. 2555. หน้า 6 นอกเหนือจากกีฬาชกมวยแล้ว บัวขาวยังเคยเล่นฟุตบอลอาชีพในไทยลีก ดิวิชั่น 2 ให้กับสโมสรฟุตบอลอาร์แบค ฤดูกาล 2014 ในตำแหน่งศูนย์หน้า ปัจจุบันบัวขาวยังรับราชการทหารที่โรงเรียนกำลังสำรอง หน่วยบัญชาการรักษาดินแดนและจบการศึกษาจากมหาวิทยาลัยรัตนบัณฑิต ==ชาติภูมิ== สมบัติ บัญชาเมฆ หรือบัวขาว เป็นบุตรของนายเล็ง กับนางปาน (เสียชีวิตแล้ว) บัญชาเมฆ คุณพ่อเป็นชาวอำเภอปรางค์กู่ จังหวัดศรีสะเกษ ส่วนคุณแม่เป็นชาวจังหวัดสุรินทร์ ซึ่งมีเชื้อสายชาวกูยhttps://www.pptvhd36.com/sport/news/189051 "บัวขาว" โพสต์คือคนไทย เชื้อสายกูย ไม่ใช่เขมรhttps://www.thairath.co.th/sport/fightsport/muaythai/2611518 เข้าใจตรงกันนะ "บัวขาว" โพสต์ร่ายยาว ตนคือคนไทยเชื้อสายกูย ไม่ใช่เขมร โดยครอบครัวบัญชาเมฆ มีบุตร 5 คน ชาย 2 หญิง 3 โดยบัวขาว เป็นบุตรคนที่ 4http://ruknatong.blogspot.com/2015/ ชีวประวัติ บัวขาว บัญชาเมฆ เกิดและเริ่มชีวิตอาชีพมวยไทย ตั้งแต่อายุ 8 ขวบ ที่อำเภอสำโรงทาบ จังหวัดสุรินทร์ จากนั้น เขาได้เข้ากรุงเทพมาสังกัดค่ายมวย ป.ประมุข เมื่ออายุ 15 ปี บัวขาวได้รับเข็มขัดแชมป์มาครองเป็นจำนวนมากภายหลังเริ่มอาชีพมวยไทยที่กรุงเทพ ได้แชมป์เวทีมวยสยามอ้อมน้อย รุ่นเฟเธอร์เวท แชมป์ประเทศไทยรุ่นเฟเธอร์เวท และแชมป์ที่เวทีมวยสยามอ้อมน้อยอีกครั้ง ในรุ่นไลท์เวท ในปี พ.ศ. 2545 บัวขาวชนะเลิศมวยไทยมาราธอนโตโยต้า รุ่น 140 ปอนด์ ที่สนามมวยเวทีลุมพินี ชนะโคบายาชินักชกชาวญี่ปุ่นเปิดประวัติ บัวขาว ป.ประมุข. '''มติชนสุดสัปดาห์'''. ปีที่ 32 ฉบับที่ 1648. วันที่ 16-22 มีนาคม พ.ศ. 2555. ISSN 1686-8196. หน้า 96 พ.ศ. 2547 ชนะเลิศรายการ เค-วัน เวิลด์แมกซ์ 2004 ที่กรุงโตเกียว ประเทศญี่ปุ่น โดยชนะ จอห์น เวย์น พาร์ นักมวยไทยชาวออสเตรเลีย โคะฮิรุมาคิ ทากะยูกิ และมาซาโตะแชมป์เก่าชาวญี่ปุ่น และในปีต่อมา บัวขาวเกือบที่จะรักษาแชมป์รายการ เค-วัน ได้ โดยแพ้คะแนน แอนดี้ ซาวเวอร์ ในนัดชิงชนะเลิศอย่างน่ากังขา พ.ศ. 2549 เข้าชิงชนะเลิศรายการ เค-วัน เวิลด์แมกซ์ ได้ติดต่อกันเป็นปีที่ 3 และเป็นแชมป์ได้อีกครั้ง โดยเป็นนักมวยคนแรกในรายการนี้ที่ชนะเลิศสองสมัย พ.ศ. 2550 เข้าแข่งขันรายการ เค-วัน เวิลด์แมกซ์ ในวันที่ 28 มิถุนายน พ.ศ. 2550 บัวขาวสามารถผ่านเข้ารอบ 8 คนสุดท้ายโดยชนะคะแนน ไนกีย์ "เดอะ เนเจอรัล" โฮลต์ซเคน นักมวยดัตช์|ชาวฮอลแลนด์ พ.ศ. 2551 เข้าแข่งขันรายการ เค-วัน เวิลด์แมกซ์ โดยบัวขาวแพ้น็อกให้กับ โยชิฮิโร ซาโตะ นักมวยชาวญี่ปุ่น แฟนมวยบางส่วนกังขาว่ามีการล้มมวยหรือไม่ แต่พิจารณาแล้วพบว่าบัวขาวแพ้น็อกจริง ๆ ด้วยเข่าของซาโตะทำให้จุกและโดนหมัดฮุคเข้ากกหูสลบคาเวที นับเป็นความเสียใจของผู้ชมชาวไทยครั้งหนึ่ง พ.ศ. 2552 เข้าแข่งขันรายการ เค-วัน เวิลด์แมกซ์ โดยคราวนี้สามารถเข้าถึงรอบ 4 คนสุดท้าย แต่ต้องมาแพ้คะแนนให้แอนดี้ ซาวเวอร์ คู่ปรับเก่าอย่างน่ากังขาอีกหน บัวขาวถึงกับออกมาให้สัมภาษณ์ว่าอยากให้กรรมการชี้แจงผลการตัดสิน แฟนมวยเควันต่างพากันเห็นใจบัวขาวโดยมีหลักฐานคือผลโหวตนักสู้เค-วันแม็กซ์ของปีนี้ บัวขาวได้เป็นอันดับ 2 ด้อยกว่าเพียงจอร์จิโอ เปโตรเซียน ผู้เป็นแชมป์รายการเควันปีนี้เท่านั้น พ.ศ. 2554 เข้าแข่งขันในรายการไทยไฟท์ โดยเป็นฝ่ายชนะน็อค ไมเคิล พิซิเทโล่ ซึ่งเป็นนักมวยไทยชาวฝรั่งเศสในรอบรองชนะเลิศ และได้พบกับแฟร้งค์ จอร์จี้ จากประเทศออสเตรเลียในรอบชิงชนะเลิศที่ลานพระบรมรูปทรงม้า ในวันที่ 18 ธันวาคม ของปีเดียวกันนี้'''มวยสยามรายวัน'''. ปีที่ 19 ฉบับที่ 6664. วันจันทร์ที่ 28 พฤศจิกายน พ.ศ. 2554. หน้า 6 ซึ่งบัวขาวเป็นฝ่ายชนะ และครองแชมป์ในการแข่งขันครั้งนี้ พ.ศ. 2555 ตกเป็นข่าวฮือฮาเมื่อได้หายตัวออกจากค่ายอย่างเป็นปริศนา หลังจากนั้นไม่นาน บัวขาวก็ได้ปรากฏตัวพร้อมเผยว่า ที่ต้องหนีออกจากค่ายเนื่องจากไม่พอใจในหลาย ๆ อย่าง และต้องการเป็นอิสระ ซึ่งทางค่าย ป.ประมุขก็ได้เผยว่า หากบัวขาวขึ้นชกต่อไป จะถือว่าผิดสัญญาตามกฎหมาย และจะทำการฟ้องร้อง แต่ในในวันที่ 17 เมษายน บัวขาวได้ขึ้นชกในรายการไทยไฟท์ ในนัดเปิดรายการ ที่แหลมบาลีฮาย พัทยา ในรุ่น 70 กิโลกรัม ในฐานะแชมป์เก่า เป็นฝ่ายเอาชนะน็อก รัสเต็ม ซารีปอฟ นักมวยชาวรัสเซียไปได้ในยกที่ 2 ซึ่งหลังการชก บัวขาวเปิดเผยว่า ตนขึ้นชกโดยไม่กลัวว่าจะผิดกฎหมาย แม้จะต้องติดคุกก็ตาม หน้า 19 เดลินิวส์ฉบับที่ 22,833: วันพุธที่ 18 เมษายน พ.ศ. 2555 ปัจจุบัน ทำค่ายมวยที่บ้านเกิดบ้านสองหนอง อำเภอสำโรงทาบจ.สุรินทร์ "ค่ายบัญชาเมฆ"เพื่อให้เยาวชนรุ่นใหม่ได้มีโอกาสศึกษาศิลปะแม่ไม้มวยไทย == วุฒิการศึกษา == * สำเร็จการศึกษา บริหารธุรกิจบัณฑิต (ปริญญาตรี) สาขาการจัดการ หลักสูตรบริหารธุรกิจบัณฑิต (บธ.บ.) มหาวิทยาลัยรัตนบัณฑิต ปีการศึกษา 2559 ในการนี้ ทูลกระหม่อมหญิงอุบลรัตนราชกัญญา สิริวัฒนาพรรณวดี เสด็จพระดำเนินเป็นองค์ประธาน ในพิธีพระราชทานปริญญาบัตรแก่ผู้สำเร็จการศึกษา มหาวิทยาลัยรัตนบัณฑิต ประจำปีการศึกษา 2559 ณ อาคารชุมพรเขตอุดมศักดิ์ หอประชุมกองทัพเรือ กรุงเทพมหานคร (วันที่ 30 พฤศจิกายน พ.ศ. 2560) * สำเร็จการศึกษา รัฐประศาสนศาสตรมหาบัณฑิต (ปริญญาโท) สาขาวิชาการบริหารสาธารณะ (ภาคพิเศษ) วิทยาลัยบริหารศาสตร์ มหาวิทยาลัยแม่โจ้ ปีการศึกษา 2565 == การหายตัวไปใน พ.ศ. 2555 == ตั้งแต่วันที่ 1 มีนาคม พ.ศ. 2555 บัวขาวได้หายตัวไปอย่างลึกลับ และไม่สามารถติดต่อได้ โดยทางฝ่ายจัดการได้ยกเลิกแผนการเดินทางไปประเทศญี่ปุ่น ตลอดจนแผนการแข่งขันที่จะจัดขึ้นทั้งในประเทศฝรั่งเศส และอังกฤษ'''คมชัดลึก'''. ปีที่ 11 ฉบับที่ 3794. วันเสาร์ที่ 10 มีนาคม พ.ศ. 2555. หน้า 23-24 โดยมีการกล่าวถึงการหายตัวของบัวขาวในสื่อมวลชนหลายแห่ง ทั้งในและนอกประเทศไทย'''หนังสือพิมพ์มติชนรายวัน'''. ปีที่ 35 ฉบับที่ 12419. วันอาทิตย์ที่ 11 มีนาคม พ.ศ. 2555. ISSN 1686-8188. หน้า 12'''คมชัดลึก'''. ปีที่ 11 ฉบับที่ 3795. วันอาทิตย์ที่ 11 มีนาคม พ.ศ. 2555. หน้า 31 และในที่สุด บัวขาวก็ได้เปิดเผยตัว โดยให้สัมภาษณ์ว่า ที่หายตัวนั้นไปไม่ได้เป็นอารมณ์ชั่ววูบ แต่ตัดสินใจอย่างดีแล้ว เนื่องจากไม่พอใจในเรื่องส่วนแบ่งค่าตัวของตัวเอง และนักมวยรุ่นน้องในค่ายhttp://www.manager.co.th/Sport/ViewNews.aspx?NewsID=9550000032236 "บัวขาว" โผล่!เคืองค่าย ขอพักใจไม่มีกำหนด จากผู้จัดการออนไลน์ ที่สุดในวันที่ 17 เมษายน ปีเดียวกัน บัวขาวได้ขึ้นชกในรายการไทยไฟท์ ที่แหลมบาลีฮาย พัทยา ในรุ่น 70 กิโลกรัม ในฐานะแชมป์เก่า และถือเป็นนักมวยแทน ไทรโยค พุ่มพันธุ์ม่วง ที่พักผ่อนไม่เกิน 21 วัน ตามพระราชบัญญัติกีฬามวย โดยเป็นฝ่ายเอาชนะน็อก รัสเต็ม ซารีปอฟ นักมวยชาวรัสเซียไปได้ในยกที่ 2 ซึ่งหลังการชก บัวขาวเปิดเผยทั้งน้ำตาว่า ตนขึ้นชกโดยไม่กลัวว่าจะผิดกฎหมาย แม้จะต้องติดคุกก็ตาม เพราะก่อนหน้านั้นทางค่าย ป.ประมุข ได้เปิดเผยสัญญาว่า หากบัวขาวขึ้นชกในรายการนี้โดยที่ไม่สังกัดค่ายจะถือว่าผิดกฎหมาย และจะทำการฟ้องร้องหน้า 19 เดลินิวส์ฉบับที่ 22,833: วันพุธที่ 18 เมษายน พ.ศ. 2555 บัวขาว ได้ร่วมกับ ดี พุฒหอม (ครูมวยคนแรก) และ ทอง บุรากร (เทรนเนอร์คนแรก) เปิดค่ายฝึกสอนมวยไทย ที่จังหวัดสุรินทร์ โดยใช้ชื่อค่าย "บัวขาว" หรือ "บัญชาเมฆ" เป็นชื่อชั่วคราว'''หนังสือพิมพ์มติชนรายวัน'''. ปีที่ 35 ฉบับที่ 12430. วันพฤหัสบดีที่ 22 มีนาคม พ.ศ. 2555. ISSN 1686-8188. หน้า 15 ก่อนที่จะเซ็นสัญญาร่วมกับค่ายมวย ป.ประมุขอีกครั้งเป็นระยะเวลา 5 ปี == ชีวิตส่วนตัว == ด้านครอบครัว มีภรรยานอกสมรสก็คือ นางสาวอัญวีณ์ พรชัยวิบูลย์ หรือเก๋ มีลูกสาว 1 คนก็คือ ด.ญ.พิมพ์ญาดา บัญชาเมฆ (สกุลเดิม : พรชัยวิบูลย์) หรือน้องมีตังค์ และอีกชื่อหนึ่งน้องข้าวหอม ซึ่งเกิดเมื่อวันที่ 1 ธันวาคม 2558https://mgronline.com/daily/detail/9640000041145 “บัวขาว”รับ“มีตังค์”ลูกสาว โอดเมียเรียกเลี้ยงดู25ล. == โปรโมเตอร์ == บัวขาว ได้เป็นโปรโมเตอร์จัดการแข่งขันชกมวยเองเมื่อปี พ.ศ. 2556 ในรายการ "แม็กซ์เวิลด์แชมเปี้ยน 2013" ที่สนามสุรินทร์ภักดี จังหวัดสุรินทร์ ซึ่งเป็นรายการการแข่งขันมวยไทยในระดับนานาชาติ ในแบบทัวร์นาเมนต์ โดยการแข่งขันเริ่มขึ้นในวันที่ 6 พฤษภาคม ปีเดียวกัน'''บัวขาว'ประเดิม'', หน้า 21-21, 38. ไทยรัฐ: ปีที่ 34 ฉบับที่ 20177. ศุกร์ที่ 19 เมษายน พ.ศ. 2556 == รับราชการทหาร == บัวขาว บัญชาเมฆ หรือนายสมบัติ บัญชาเมฆ ได้เข้ารายงานตัวที่ โรงเรียนนายสิบทหารบก ค่ายธนะรัชต์ ศูนย์การทหารราบ อำเภอปราณบุรี จังหวัดประจวบคีรีขันธ์ เมื่อวันที่ 6 ตุลาคม พ.ศ. 2557 เพื่อเป็นทหาร โดยได้รับตำแหน่งแรกเป็นรองผู้บังคับหมู่ หมวดบริการ กองร้อยบริการ กองบริการ โรงเรียนการกำลังสำรอง ศูนย์การกำลังสำรอง ===การศึกษาหลักสูตรทางการทหาร=== * จบหลักสูตรส่งทางอากาศ รุ่นที่ 338 โรงเรียนสงครามพิเศษ ศูนย์สงครามพิเศษ == ค่ายมวยบัญชาเมฆ == บัวขาวก่อตั้ง "ค่ายมวยบัญชาเมฆ" ซึ่งมีนักมวยไทยที่มีชื่อเสียงอีก 2 คน คือ ซุปเปอร์บอน บัญชาเมฆ และ นารูโตะ บัญชาเมฆ และ ธนาธร บัญชาเมฆ (ดาวรุ่งโต๊ะจีน) == เกียรติประวัติ == * แชมป์ประเทศไทย รุ่นเฟเธอร์เวท (ที่สนามมวยลุมพินี) ปี 2544 * แชมป์ K-1 World MAX champion ปี 2547 (2004) และ 2549 (2006) เข้าชิงรอบสุดท้ายถึง 5 ครั้ง ได้แชมป์ 2 สมัย * แชมป์ 2010 Shoot Boxing S-Cup World champion ปี 2553 คนไทยคนแรก และคนเดียวในประเทศไทย * แชมป์ สภามวยไทยโลก ในพระบรมราชูปถัมภ์ WMC World champion ปี 2549, 2552, 2554, 2557 * แชมป์ สภามวยโลก WBC Muaythai Diamond World Championship ปี 2557 * แชมป์ ไหว้ครูมวยไทยสวยงาม สนามมวยลุมพินี ปี 2545 * ถ้วยพระราชทาน พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๙ แชมป์มวยไทยไฟท์ ปี 2554, 2555 * ถ้วยพระราชทาน พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๙ รางวัลนักกีฬาอาชีพดีเด่น ปี 2555 * ถ้วยพระราชทาน กษัตริย์อัลแบร์ตที่ 2 แห่งโมนาโค แชมป์ "มอนติคาโล ไฟต์ติง มาสเตอร์" ปี 2557 * กรรมการบริหารสมาคมกีฬาคิกบ็อกซิงแห่งประเทศไทย และผู้จัดการทีมนักกีฬากีฬาคิกบ็อกซิงในซีเกมส์ 2021|คิกบ็อกซิงทีมชาติไทย ในการแข่งขันกีฬาซีเกมส์ 2021 ที่ประเทศเวียดนาม * ได้รับโล่ห์ ลักษณะผู้นำดีเด่น โรงเรียนสงครามพิเศษ ศูนย์สงครามพิเศษ ==รางวัลเชิดชูเกียรติคุณ,ปริญญากิตติมศักดิ์== * เข้ารับพระราชทานปริญญาบัตรวิทยาศาสตร์มหาบัณฑิตกิตติมศักดิ์ (ปริญญาโทกิตติมศักดิ์เชิดชูเกียรติคุณ) สาขาวิทยาศาสตร์การกีฬา โดยมติสภามหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ ปี พ.ศ. 2556 ในการนี้ สมเด็จพระเจ้าลูกเธอ เจ้าฟ้าจุฬาภรณ์วลัยลักษณ์ อัครราชกุมารี เสด็จพระราชดำเนินแทนพระองค์ ในพิธีพระราชทานปริญญาบัตร * เข้ารับพระราชทานปริญญาปรัชญาดุษฎีบัณฑิตกิตติมศักดิ์ (ปริญญาเอกกิตติมศักดิ์เชิดชูเกียรติคุณ) สาขาวิชายุทธศาสตร์ การพัฒนาภูมิภาค (กลุ่มการศึกษาและจัดการภูมิปัญญา) โดยมติสภามหาวิทยาลัยราชภัฏสุรินทร์ ปี พ.ศ. 2557 ในการนี้ สมเด็จพระบรมโอรสาธิราช เจ้าฟ้ามหาวชิราลงกรณ สยามมกุฎราชกุมาร เสด็จพระราชดำเนินแทนพระองค์ ในพิธีพระราชทานปริญญาบัตร * ได้รับปริญญาศิลปศาสตรดุษฎีบัณฑิตกิตติมศักดิ์ สาขาวิชาการจัดการการกีฬา (ปริญญาเอกกิตติมศักดิ์เชิดชูเกียรติคุณ) โดยมติสภามหาวิทยาลัยรัตนบัณฑิต ปี พ.ศ. 2565 == สถิติการแข่งขัน == | class="toccolours" width=95% style="clear:both; margin:1.5em auto; font-size:85%; text-align:center;" |- ! colspan=2 style="background:#A9A9A9" | สถิติการแข่งขัน |- valign="top" | '''ชนะ 243 ครั้ง''' (ชนะน็อค 74 ครั้ง), '''แพ้ 24 ครั้ง''', '''เสมอ 14 ครั้ง''' |class="wikitable" width="100%" |- align="center" bgcolor="#dddddd" | '''วันที่''' || '''ผล''' || '''คู่ชก''' || '''รายการ''' || '''สถานที่''' || '''วิธีชนะ''' || '''ยก''' || '''เวลา''' |- style="background:#cfc;" | 2024-03-23 || Win ||align=left| มิโนรุ คิมูระ|| 2024_in_Rizin_Fighting_Federation#Rizin Landmark 9|Rizin Landmark 9 || Kobe, Japan ||KO (Right cross) || 2 ||1:19 |- style="background:#cfc;" | 2023-12-02 || Win ||align=left| Nayanesh Ayman || Legend of Rajadamnern: The Revenge || Bangkok, Thailand ||Decision (Unanimous) || 3 || 3:00 |- style="background:#c5d2ea;" | 2023-09-24 || NC ||align=left| Wang Yanlong || Grandview International Fight Super Competition || Guangzhou, China || No contest (Ruleset confusion) || 1 || 3:00 |- style="background:#c5d2ea;" | 2023-09-09 || NC ||align=left| Yasuhiro Kido || Legend of Rajadamnern: Last of the Generation, Rajadamnern Stadium || Bangkok, Thailand || Doctor stoppage (head clash) || 2 || |- style="background:#c5d2ea;" | 2023-05-06 || Draw ||align=left| Rukiya Anpo || 2023 in Rizin Fighting Federation#Rizin 42|Rizin 42 || Tokyo, Japan || Decision (Unanimous)|| 3 ||3:00 |- style="background:#cfc;" | 2022-07-06 || Win ||align=left| Dmitry Varats || World Fight Muay Thai Series || Phnom Penh, Cambodia || Decision (Unanimous) || 3 || 3:00 |- style="background:#cfc;" | 2019-10-27 || Win ||align=left| Chris Ngimbi || MAS Muay Thai || Phnom Penh, Cambodia || TKO (Referee stoppage) || 1 || 4:10 |- style="background:#cfc;" | 2019-03-09|| Win ||align=left| Artem Pashporin || All Star Fight 8||Thailand || Decision (Unanimous)|| 3 || 3:00 |- style="background:#cfc;" | 2019-01-27 || Win ||align=left| Niclas Larsen || All Star Fight 7 || Phuket, Thailand || TKO (Referee stoppage) || 3 || 3:00 |- style="background:#cfc;" | 2018-11-04 || Win ||align=left| Gaetan Dambo|| All Star Fight 6 || Pattaya, Thailand || Decision (Unanimous) || 3 || 3:00 |- style="background:#cfc;" | 2018-07-06 || Win ||align=left| Michael Krcmar|| All Star Fight 5 || Prague, Czech Republic || Decision (Unanimous) || 3 || 3:00 |- style="background:#cfc;" | 2018-05-21 || Win ||align=left| Victor Nagbe || All Star Fight 4 || Hong Kong || Decision (Unanimous) || 3 || 3:00 |- style="background:#cfc;" | 2018-04-28 || Win ||align=left| Luis Passos || All Star Fight 3 || Bangkok, Thailand || Decision (Unanimous) || 3 || 3:00 |- style="background:#fbb;" | 2018-03-05 || Loss||align=left| Jonay Risco || Enfusion 63 || Abu Dhabi || Decision|| 5 || 3:00 |- ! style=background:white colspan=9 | |- style="background:#cfc;" | 2018-02-04 || Win ||align=left| Nayanesh Ayman || 2018 in Kunlun Fight|Kunlun Fight 69 || Guiyang, China || KO (Left Hook) || 1 || 2:06 |- style="background:#cfc;" | 2017-11-12 || Win ||align=left| Marouan Toutouh || 2017 in Kunlun Fight|Kunlun Fight 67 || Sanya, China || KO (Left Hook) || 2 || 1:03 |- style="background:#cfc;" | 2017-09-30 || Win ||align=left| Sergey Kulyaba || All Star Fight 2 || Bangkok, Thailand || Decision (Unanimous) || 3 || 3:00 |- |- style="background:#cfc;" | 2017-08-20 || Win ||align=left| Azize Hlali || All Star Fight || Bangkok, Thailand || KO (Left Hook) || 1 || 2:52 |- |- style="background:#cfc;" | 2017-06-11 || Win ||align=left| Kong Lingfeng || 2017 in Kunlun Fight|Kunlun Fight 62 || Bangkok, Thailand || Decision (Unanimous) || 3 || 3:00 |- |- style="background:#cfc;" | 2017-01-01 || Win ||align=left| Tian Xin || 2017 in Kunlun Fight|Kunlun Fight 56 || Sanya, China || Decision (Unanimous) || 3 || 3:00 |- |- style="background:#cfc;" | 2016-12-10 || Win ||align=left| Andrei Kulebin || Phoenix Fighting Championship || Lebanon|Zouk Mikael, Lebanon || Decision (Unanimous) || 3 || 3:00 |- ! style=background:white colspan=9 | |- style="background:#fbb;" | 2016-11-05 || Loss ||align="left"| Yi Long || 2016 in Wu Lin Feng#Wu Lin Feng 2016: Fight of the Century 2|Wu Lin Feng 2016: Fight of the Century || Zhengzhou, China || Decision (Unanimous)|| 3 || 3:00 |- ! style=background:white colspan=9 | |- style="background:#cfc;" | 2016-09-24 || Win ||align=left| Dylan Salvador || 2016 in Kunlun Fight#Kunlun Fight 53|Kunlun Fight 53 - Muay Thai 70kg Championship || Beijing, China || Decision || 3 || 3:00 |- ! style=background:white colspan=9 | |- style="background:#cfc;" | 2016-06-05 || Win ||align=left| Wang Weihao || 2016 in Kunlun Fight#Kunlun Fight 45|Kunlun Fight 45 || Chengdu, China || TKO (Right High Kick) || 1 || 2:35 |- style="background:#cfc;" | 2016-03-20 || Win ||align=left| Kong Lingfeng || 2016 in Kunlun Fight#Kunlun Fight 39|Kunlun Fight 39 || Dongguan, China || Decision (Unanimous) || 3 || 3:00 |- style="background:#cfc;" | 2016-01-09 || Win ||align=left| Liu Hainan || 2016 in Kunlun Fight#Kunlun Fight 36|Kunlun Fight 36 || Shanghai, China || Decision (Unanimous) || 3 || 3:00 |- style="background:#cfc;" | 2015-10-28 || Win ||align=left| Gu Hui || 2015 in Kunlun Fight#Kunlun Fight 32|Kunlun Fight 32 || Dazhou, China || TKO (knees)|| 2 || 1:54 |- style="background:#fbb;" | 2015-07-28 || Loss ||align=left| Khayal Dzhaniev || Topking World Series 4 – 70&nbsp;kg Tournament, Semi-finals || Hong Kong, China || Decision || 3 || 3:00 |- style="background:#cfc;" | 2015-07-01 || Win ||align=left| Artem Pashporin || T-one Muay Thai 2015 || Beijing, China ||Decision (Unanimous) || 3 || 3:00 |- style="background:#cfc;" | 2015-06-06 || Win ||align=left| Yi Long || Wu Lin Feng 2015 – Fight of the Century || Jiyuan, China || Decision (Unanimous) || 3 || 3:00 |- ! style=background:white colspan=9 | |- style="background:#cfc;" | 2015-05-02 ||Win ||align=left| Yuan Bin || Quanwei WMC Muaythai International Title 2015 || Xiamen, China || Decision || 3 || 3:00 |- ! style=background:white colspan=9 | |- style="background:#cfc;" | 2014-12-20 || Win ||align=left| Dmytro Konstantinov || Topking World Series 3 – 70&nbsp;kg Tournament, Quarter-finals || Hong Kong, China || Decision (unanimous) || 3 || 3:00 |- style="background:#cfc;" | 2014-11-15 || Win ||align=left| Steve Moxon || Topking World Series 2 || Paris, France || TKO (elbow) || 3 || 1:07 |- style="background:#fbb;" | 2014-10-11 || Loss ||align=left| Enriko Kehl || K-1 World MAX 2014 World Championship Tournament Final || Pattaya, Thailand || Forfeit (Left before announcement of the 4th) || 4 || 0:00 |- ! style=background:white colspan=9 | |- style="background:#cfc;" | 2014-09-13 || Win ||align=left| Zhang Chunyu || Topking World Series - 70&nbsp;kg Tournament, Final 16 || Minsk, Belarus || Decision (unanimous) || 3 || 3:00 |- style="background:#cfc;" | 2014-08-15 || Win ||align=left| Abdoul Touré || Chiang Rai WBC Muaythai Championship || Chiang Rai|Chiang Rai, Thailand || TKO (Right cross elbow) || 3 || 0.44 |- ! style=background:white colspan=9 | |- style="background:#cfc;" | 2014-06-14 || Win ||align=left| Djime Coulibaly || Monte Carlo Fighting Masters 2014 || Monte Carlo, Monaco || Decision (unanimous) || 5 || 3:00 |- ! style=background:white colspan=9 | |- style="background:#cfc;" |2014-06-06 || Win || align=left| Adaylton Freitas || Muay Thai in Macau || Macau || KO (Left High Kick)|| 2 || 1:12 |- style="background:#cfc;" |2014-04-14 || Win || align=left| Victor Nagbe || Combat Banchamek || Surin, Thailand || Decision (unanimous) || 3 || 3:00 |- style="background:#cfc;" |2014-02-23 || Win || align=left| Lee Sung-Hyun || List of K-1 events|K-1 World MAX 2013 Final 4|| Baku, Azerbaijan || Decision (unanimous) || 3 || 3:00 |- ! style=background:white colspan=9 | |- style="background:#cfc;" | 2013-12-28 || Win ||align=left| :zh:周志鹏|Zhou Zhipeng || List of K-1 events|K-1 World MAX 2013 Quarter-finals || Foshan, China || Extension round decision || 4 || 3:00 |- ! style=background:white colspan=9 | |- style="background:#cfc;" | 2013-12-10 || Win ||align=left| Enriko Kehl || Max Muay Thai|MAX Muay Thai 5: The Final Chapter || Khon Kaen, Thailand || Decision || 3 || 3:00 |- style="background:#cfc;" | 2013-10-06 || Win ||align=left| Yoshihiro Sato || Max Muay Thai|MAX Muay Thai 4 || Sendai, Japan || Decision || 3 || 3:00 |- style="background:#cfc;" | 2013-09-14 || Win ||align=left| David Calvo || List of K-1 events|K-1 World MAX 2013 Final 16|| Mallorca, Spain || KO (left hook to the body) || 1 || 2:20 |- ! style=background:white colspan=9 | |- style="background:#cfc;" | 2013-08-10 || Win ||align=left| Dong Wenfei || Wu Lin Feng & MAX Muay Thai 3 || Zhengzhou, China || Decision (2-1) || 3 || 3:00 |- style="background:#cfc;" | 2013-05-06 || Win || align=left| Malik Watson || Max Muay Thai|MAX Muay Thai 1 || Surin, Thailand|Surin, Thailand || KO || 2 || |- align="center" bgcolor="#CCFFCC" | 2012-12-16 || ชนะ ||align=left| วิตาลี เกอร์คอฟ || ไทยไฟต์|ไทยไฟท์ 2012: คิงออฟมวยไทยทัวร์นาเมนท์ รอบชิงชนะเลิศ, 70 กก. ไฟนอล || ลานพระบรมรูปทรงม้า กรุงเทพ ประเทศไทย || กรรมการตัดสิน || 3 || 3:00 |- ! style=background:white colspan=9 | |- |- align="center" bgcolor="#CCFFCC" | 2012-11-25 || ชนะ ||align=left| Tomoyuki Nishikawa|| ไทยไฟต์|ไทยไฟท์ 2012: คิงออฟมวยไทยทัวร์นาเมนท์ รอบสอง, 70 กก. เซมิไฟนอล || นครราชสีมา ประเทศไทย || กรรมการตัดสิน (เป็นเอกฉันท์) || 3 || 3:00 |- align="center" bgcolor="#CCFFCC" | 2012-10-23 || ชนะ ||align=left| Mauro Serra|| ไทยไฟต์|ไทยไฟท์ 2012: คิงออฟมวยไทยทัวร์นาเมนท์ รอบแรก, 70 กก. ควอเตอร์ไฟนอล || กรุงเทพ ประเทศไทย || ทีเคโอ (เข่าขวาเข้าลำตัว) || 3 || |- align="center" bgcolor="#CCFFCC" | 2012-08-17 || ชนะ ||align=left| Toure Abdoul|| ไทยไฟท์ เอ็กซ์ตรีม 2012 || เลสเตอร์ อังกฤษ || ทีเคโอ (เตะขวากลางลำตัว) || 2 || 1:02 |- align="center" bgcolor="#CCFFCC" | 2012-04-17 || ชนะ ||align=left| Rustem Zaripov|| ไทยไฟต์|ไทยไฟท์ 2012 || พัทยา ประเทศไทย || เคโอ (ไล่ถลุง) || 2 || 2:45 |- align="center" bgcolor="#CCFFCC" | 2012-01-21 || ชนะ ||align=left| Dzhabar Askerov|| Yokkao Extreme 2012 || มิลาน อิตาลี || กรรมการตัดสิน || 3 || 3:00 |- align="center" bgcolor="#CCFFCC" | 2011-12-18 || ชนะ ||align=left| Frank Giorgi|| ไทยไฟท์ 2011 70 กก. ทัวร์นาเมนท์, ไฟนอล || กรุงเทพ ประเทศไทย || กรรมการตัดสิน || 3 || 3:00 |- ! style=background:white colspan=9 | |- |- align="center" bgcolor="#CCFFCC" | 2011-11-27 || ชนะ ||align=left| Mickael Piscitello|| ไทยไฟท์ 2011 70 กก. ทัวร์นาเมนท์, เซมิ ไฟนอล || กรุงเทพ ประเทศไทย || เคโอ (ข้อศอกขวา) || 3 || |- |- align="center" bgcolor="#CCFFCC" | 2011-09-25 || ชนะ ||align=left| Abdallah Mabel|| ไทยไฟท์ 2011 70 กก. ทัวร์นาเมนท์, ควอเตอร์ ไฟนอล || กรุงเทพ ประเทศไทย || กรรมการตัดสิน || 3 || 3:00 |- |- align="center" bgcolor="#CCFFCC" | 2011-09-02 || ชนะ ||align=left| Warren Stevelmans|| มวยไทย พรีเมียร์ ลีก: รอบ 1 || ลอง บีช, ซีเอ ประเทศสหรัฐอเมริกา || ทีเคโอ || 4 || |- ! style=background:white colspan=9 | |- align="center" bgcolor="#CCFFCC" | 2011-08-07 || ชนะ ||align=left| โทโมอากิ มากิโน|| ไทยไฟท์|ไทยไฟท์เอ็กซ์ตรีม || อาริอาเกะ โคลอสเซียม ประเทศญี่ปุ่น || ทีเคโอ || 2 || 2:49 |- |- align="center" bgcolor="#CCFFCC" | 2011-07-17 || ชนะ ||align=left| Gilmar China|| ไทยไฟท์|ไทยไฟท์เอ็กซ์ตรีม || ฮ่องกง ประเทศจีน || กรรมการตัดสิน || 3 || 3:00 |- |- align="center" bgcolor="#CCFFCC" | 2011-05-14 || ชนะ ||align=left| Djime Coulibaly|| ไทยไฟท์|ไทยไฟท์เอ็กซ์ตรีม || กาน|เมืองคานส์ ประเทศฝรั่งเศส || กรรมการตัดสิน || 3 || 3:00 |- |- align="center" bgcolor="#CCFFCC" | 2011-02-12 || ชนะ ||align=left| Youssef Boughanem|| La Nuit des Titans 6, Palais des Sports || ตูร์ ประเทศฝรั่งเศส || ทีเคโอ (ไหล่หลุด) || 1 || 1:32 |- align="center" bgcolor="#CCFFCC" | 2010-12-30 || ชนะ ||align=left| ฮิโรกิ นากาจิมะ|| เวิลด์วิคทอรี่โร้ดพรีเซนท์: โซลออฟไฟท์|| Koto, โตเกียว ประเทศญี่ปุ่น || กรรมการตัดสิน (เป็นเอกฉันท์) || 3 || 3:00 |- |- align="center" bgcolor="#CCFFCC" | 2010-11-23 || ชนะ ||align=left| Toby Imada|| ชู้ตบ็อกซิ่งเวิลด์ทัวร์นาเมนท์ 2010, ไฟนอล || โตเกียว ประเทศญี่ปุ่น || ทีเคโอ (เตะขา) || 2 || |- ! style=background:white colspan=9 | |- |- align="center" bgcolor="#CCFFCC" | 2010-11-23 || ชนะ ||align=left| Henry van Opstal|| ชู้ตบ็อกซิ่งเวิลด์ทัวร์นาเมนท์ 2010, เซมิไฟนอล || โตเกียว ประเทศญี่ปุ่น || กรรมการตัดสิน (เป็นเอกฉันท์) || 3 || 3:00 |- align="center" bgcolor="#CCFFCC" | 2010-11-23 || ชนะ ||align=left| ฮิโรกิ ชิชิโด|| ชู้ตบ็อกซิ่งเวิลด์ทัวร์นาเมนท์ 2010 ควอเตอร์ไฟนอล || โตเกียว ประเทศญี่ปุ่น || กรรมการตัดสิน (เป็นเอกฉันท์) || 3 || 3:00 |- align="center" bgcolor="#CCFFCC" | 2010-06-19 || ชนะ ||align=left| สู เหยี่ยน || อู่หลินเฟิง || มณฑลเหอหนาน ประเทศจีน || กรรมการตัดสิน || 3 || 3:00 |- align="center" bgcolor="#CCFFCC" | 2010-05-29 || ชนะ ||align=left| จอร์แดน วัตสัน|| MSA มวยไทยพรีเมียร์ลีก || ลอนดอน ประเทศอังกฤษ || กรรมการตัดสิน (เป็นเอกฉันท์) || 5 || 3:00 |- align="center" bgcolor="#FFBBBB" |- |- align="center" bgcolor="#FFBBBB" | 2009-10-26 || แพ้ ||align=left| แอนดี้ ซูเวอร์|| เค-วัน เวิลด์แมกซ์ 2009 ไฟนอล, เซมิไฟนอล || โยโกฮามา ประเทศญี่ปุ่น || กรรมการตัดสินยกพิเศษ (แยก) || 4 || 3:00 |- align="center" bgcolor="#CCFFCC" | 2009-07-13 || ชนะ ||align=left| นิกี้ โฮลสเคน|| เค-วัน เวิลด์แมกซ์ 2009 ไฟนอล 8|| โตเกียว ประเทศญี่ปุ่น || กรรมการตัดสิน (เป็นเอกฉันท์) || 3 || 3:00 |- ! style=background:white colspan=9 | |- |- align="center" bgcolor="#CCFFCC" | 2009-06-26 || ชนะ ||align=left| จอห์น เวย์น พาร์ || แชมเปี้ยนออฟแชมเปี้ยน 2 || อ่าวมอนเตโก้ ประเทศจาเมกา || กรรมการตัดสิน (เป็นเอกฉันท์) || 5 || 3:00 |- ! style=background:white colspan=9 |small| ชนะรายการ WMC/MAD มวยไทยซูเปอร์เวลเธอร์เวท เวิลด์ไตเติ้ล |- |- align="center" bgcolor="#CCFFCC" | 2009-04-21 || ชนะ ||align=left| อังเดร ดีดา|| เค-วัน เวิลด์แมกซ์ 2009 เวิลด์แชมเปี้ยนชิปทัวร์นาเมนท์ ไฟนอล 16|เค-วัน เวิลด์แมกซ์ 2009 ไฟนอล 16|| ฟุกุโอกะ ประเทศญี่ปุ่น || กรรมการตัดสินยกพิเศษ (เป็นเอกฉันท์) || 4 || 3:00 |- ! style=background:white colspan=9 | |- |- align="center" bgcolor="#FFBBBB" | 2008-11-29 || แพ้ ||align=left| อัลแบร์ท เคราส์|| อิทส์โชว์ไทม์ 2008 ไอนด์โฮเวน|| ไอนด์โฮเวน ประเทศเนเธอร์แลนด์ || กรรมการตัดสิน || 3 || 3:00 |- align="center" bgcolor="#CCFFCC" | 2008-10-01 || ชนะ ||align=left| คัลตาร์ กิลล์|แบล็คแมมบ้า || เค-วัน เวิลด์แมกซ์ 2008 ไฟนอล, รีเสิร์ฟไฟท์ || โตเกียว ประเทศญี่ปุ่น || KO (ครอสขวา) || 1 || 2:18 |- align="center" bgcolor="#FFBBBB" | 2008-07-07 || แพ้ ||align=left| โยชิฮิโร ซาโต|| เค-วัน เวิลด์แมกซ์ 2008 ไฟนอล 8|| โตเกียว ประเทศญี่ปุ่น || KO (ฮุคขวา) || 3 || 1:50 |- ! style=background:white colspan=9 | |- |- align="center" bgcolor="#CCFFCC" | 2008-04-26 || ชนะ ||align=left| Faldir Chahbari|| เค-วัน เวิลด์จีพี 2008 อินอัมสเตอร์ดัม|| อัมสเตอร์ดัม ประเทศเนเธอร์แลนด์ || กรรมการตัดสิน (แยก) || 3 || 3:00 |- align="center" bgcolor="#CCFFCC" | 2008-04-09 || ชนะ ||align=left| อัลแบร์ท เคราส์|| เค-วัน เวิลด์แมกซ์ 2008 ไฟนอล 16|| โตเกียว ประเทศญี่ปุ่น || กรรมการตัดสินยกพิเศษ (เป็นเอกฉันท์) || 4 || 3:00 |- ! style=background:white colspan=9 | |- |- align="center" bgcolor="#CCFFCC" | 2008-02-24 || ชนะ ||align=left| จูน คิม|| เค-วัน เอเชียแมกซ์ 2008 อินโซล|| โซล|โซล ประเทศเกาหลี || KO (ครอสขวา) || 2 || 0:37 |- align="center" bgcolor="#CCFFCC" | 2008-02-02 || ชนะ ||align=left| โยชิฮิโร ซาโต|| เค-วัน เวิลด์แมกซ์ 2008 เจแปนทัวร์นาเมนท์|| โตเกียว ประเทศญี่ปุ่น || กรรมการตัดสินยกพิเศษ (จับแยก) || 4 || 3:00 |- align="center" bgcolor="#FFBBBB" | 2007-10-03 || แพ้ ||align=left| มาซาโตะ (คิกบ็อกเซอร์)|มาซาโตะ|| เค-วัน เวิลด์แมกซ์ 2007 เวิลด์แชมเปี้ยนชิปไฟนอล ควอเตอร์ไฟนอล || โตเกียว ประเทศญี่ปุ่น || กรรมการตัดสิน (เป็นเอกฉันท์) || 3 || 3:00 |- align="center" bgcolor="#CCFFCC" | 2007-06-28 || ชนะ ||align=left| นิกี้ โฮลสเคน|| เค-วัน เวิลด์แมกซ์ 2007 ไฟนอล อีลิมิเนชัน|| โตเกียว ประเทศญี่ปุ่น || กรรมการตัดสิน (เป็นเอกฉันท์) || 3 || 3:00 |- ! style=background:white colspan=9 | |- |- align="center" bgcolor="#c5d2ea" | 2007-05-19 || เสมอ ||align=left| จอร์จิโอ เปโตรเซียน || เค-วัน ไฟท์ติ้งเน็ตเวิร์ก สแกดิเนเวียนควอลิฟิเคชัน 2007|เค-วัน สแกดิเนเวีย จีพี 2007|| สต็อกโฮล์ม ประเทศสวีเดน || กรรมการตัดสินให้เสมอกัน || 5 || 3:00 |- ! style=background:white colspan=9 | |- |- align="center" bgcolor="#CCFFCC" | 2007-04-04 || ชนะ ||align=left| Andy Ologun|| เค-วัน เวิลด์แมกซ์ 2007 เวิลด์อีลิทโชว์เคส|| โยโกฮามา ประเทศญี่ปุ่น || กรรมการตัดสิน (เป็นเอกฉันท์) || 3 || 3:00 |- align="center" bgcolor="#CCFFCC" | 2007-03-17 || ชนะ ||align=left| Dzhabar Askerov|| เค-วัน อีสต์ยุโรปแมกซ์ 2007|| วิลนีอุส ประเทศลิทัวเนีย || กรรมการตัดสิน (เป็นเอกฉันท์) || 3 || 3:00 |- align="center" bgcolor="#CCFFCC" | 2007-02-05 || ชนะ ||align=left| Tsogto Amara|| เค-วัน เวิลด์แมกซ์ 2007 เจแปนทัวร์นาเมนท์|| โตเกียว ประเทศญี่ปุ่น || กรรมการตัดสิน (เป็นเอกฉันท์) || 3 || 3:00 |- align="center" bgcolor="#CCFFCC" | 2006-11-24 || ชนะ ||align=left| Ole Laursen|| เค-วัน เวิลด์แมกซ์ รอบคัดเลือกยุโรปเหนือ 2007|| สต็อกโฮล์ม ประเทศสวีเดน || ทีเคโอ (ฮุคซ้าย)|| 2 || 2:49 |- align="center" bgcolor="#CCFFCC" | 2006-09-04 || ชนะ ||align=left| Hiroki Shishido|| เค-วัน เวิลด์แมกซ์ 2006 แชมเปี้ยนส์' ชาเลนจ์|| โตเกียว ประเทศญี่ปุ่น || KO (ฮุคซ้าย) || 1 || 0:15 |- align="center" bgcolor="#CCFFCC" | 2006-06-30 || ชนะ ||align=left| แอนดี้ ซูเวอร์|| เค-วัน เวิลด์แชมเปี้ยนชิป ไฟนอล, ไฟนอล || โยโกฮามา ประเทศญี่ปุ่น || KO (ฮุคขวา) || 2 || 2:13 |- ! style=background:white colspan=9 | |- |- align="center" bgcolor="#CCFFCC" | 2006-06-30 || ชนะ ||align=left| Gago Drago|| เค-วัน เวิลด์แมกซ์ 2006 เวิลด์แชมเปี้ยนชิป ไฟนอล, เซมิไฟนอล || โยโกฮามา ประเทศญี่ปุ่น || กรรมการตัดสิน (เป็นเอกฉันท์) || 3 || 3:00 |- align="center" bgcolor="#CCFFCC" | 2006-06-30 || ชนะ ||align=left| โยชิฮิโร ซาโต|| เค-วัน เวิลด์แมกซ์ 2006 เวิลด์แชมเปี้ยนชิป ไฟนอล, ควอเตอร์ไฟนอล || โยโกฮามา ประเทศญี่ปุ่น || KO (ฮุคซ้าย) || 2 || 0:18 |- align="center" bgcolor="#c5d2ea" | 2006-05-26 || เสมอ ||align=left| Mourad Sari|| เค-วัน รูลส์ "Le Grand Tournoi" 2006|| ปารีส ประเทศฝรั่งเศส || กรรมการตัดสินให้เสมอกัน || 5 || 3:00 |- align="center" bgcolor="#CCFFCC" | 2006-04-05 || ชนะ ||align=left| Virgil Kalakoda|| เค-วัน เวิลด์แมกซ์ 2006 เวิลด์ทัวร์นาเมนท์ โอเพ่น|| โตเกียว ประเทศญี่ปุ่น || ยกพิเศษ กรรมการตัดสิน (แยก) || 4 || 3:00 |- ! style=background:white colspan=9 | |- |- align="center" bgcolor="#CCFFCC" | 2006-03-19 || ชนะ ||align=left| Marco Pique|| SLAMM!! Events|SLAMM "Nederland vs Thailand"|| Almere, ประเทศเนเธอร์แลนด์ || กรรมการตัดสิน (เป็นเอกฉันท์) || 5 || 3:00 |- align="center" bgcolor="#CCFFCC" | 2006-02-18 || ชนะ ||align=left| จอมโหด เกียรติอดิศักดิ์ || WMC Explosion III || สต็อกโฮล์ม ประเทศสวีเดน || KO (ฮุคขวา) || 2 || 3:00 |- ! style=background:white colspan=9 | |- |- align="center" bgcolor="#CCFFCC" | 2006-02-04 || ชนะ ||align=left| Mike Zambidis|| เค-วัน เวิลด์แมกซ์ 2006 เจแปนทัวร์นาเมนท์|| ไซตามะ ประเทศญี่ปุ่น || กรรมการตัดสิน (เป็นเอกฉันท์) || 3 || 3:00 |- align="center" bgcolor="#CCFFCC" | 2005-11-05 || ชนะ ||align=left| Youssef Akhnikh|| มวยไทย || Trieste ประเทศอิตาลี || ทีเคโอ (Corner stoppage) || 1 || 3:00 |- align="center" bgcolor="#CCFFCC" | 2005-09-09 || ชนะ ||align=left| Jean-Charles Skarbowsky|| เอ็กซ์โพลชัน ฮ่องกง || ฮ่องกง || กรรมการตัดสิน (เป็นเอกฉันท์) || 5 || 3:00 |- ! style=background:white colspan=9 | |- |- align="center" bgcolor="#FFBBBB" | 2005-07-20 || แพ้ ||align=left| Andy Souwer|| เค-วัน เวิลด์แมกซ์ 2005 แชมเปี้ยนชิป ไฟนอล, ไฟนอล || โยโกฮามา ประเทศญี่ปุ่น || กรรมการตัดสินยกพิเศษ 2 (แยก) || 5 || 3:00 |- ! style=background:white colspan=9 | |- |- align="center" bgcolor="#CCFFCC" | 2005-07-20 || ชนะ ||align=left| อัลแบร์ท เคราส์|| เค-วัน เวิลด์แมกซ์ 2005 แชมเปี้ยนชิป ไฟนอล, เซมิไฟนอล || โยโกฮามา ประเทศญี่ปุ่น || กรรมการตัดสิน (เป็นเอกฉันท์) || 3 || 3:00 |- align="center" bgcolor="#CCFFCC" | 2005-07-20 || ชนะ ||align=left| Jadamba Narantungalag|| เค-วัน เวิลด์แมกซ์ 2005 แชมเปี้ยนชิป ไฟนอล, รอบควอเตอร์ไฟนอล || โยโกฮามา ประเทศญี่ปุ่น || กรรมการตัดสิน (เสียงข้างมาก) || 3 || 3:00 |- align="center" bgcolor="#CCFFCC" | 2005-05-04 || ชนะ ||align=left| Vasily Shish|| เค-วัน เวิลด์แมกซ์ 2005 เวิลด์ทัวร์นาเมนท์โอเพ่น|| โตเกียว ประเทศญี่ปุ่น || กรรมการตัดสิน (เป็นเอกฉันท์) || 3 || 3:00 |- ! style=background:white colspan=9 | |- |- align="center" bgcolor="#FFBBBB" | 2005-02-23 || แพ้ ||align=left| อัลแบร์ท เคราส์|| เค-วัน เวิลด์แมกซ์ 2005 เจแปนทัวร์นาเมนท์|| โตเกียว ประเทศญี่ปุ่น || กรรมการตัดสินยกพิเศษ (แยก) || 4 || 3:00 |- align="center" bgcolor="#CCFFCC" | 2004-11-06 || ชนะ ||align=left| Katsumori Maita|| ไททัน 1st|| คิตะกีวชู ประเทศญี่ปุ่น || ทีเคโอ (Corner stoppage) || 2 || 1:26 |- align="center" bgcolor="#CCFFCC" | 2004-10-13 || ชนะ ||align=left| Kozo Takeda|| เค-วัน เวิลด์แมกซ์ 2004 แชมเปี้ยนส์' ชาเลนจ์|| โตเกียว ประเทศญี่ปุ่น || 2 ยกพิเศษ กรรมการตัดสิน (เป็นเอกฉันท์) || 5 || 3:00 |- align="center" bgcolor="#CCFFCC" | 2004-07-07 || ชนะ ||align=left| มาซาโตะ (คิกบ็อกเซอร์)|มาซาโตะ|| เค-วัน เวิลด์แมกซ์ 2004 เวิลด์ทัวร์นาเมนท์ ไฟนอล, รอบไฟนอล || โตเกียว ประเทศญี่ปุ่น || กรรมการตัดสินยกพิเศษ (เป็นเอกฉันท์) || 4 || 3:00 |- ! style=background:white colspan=9 | |- |- align="center" bgcolor="#CCFFCC" | 2004-07-07 || ชนะ ||align=left| Takayuki Kohiruimaki|| เค-วัน เวิลด์แมกซ์ 2004 เวิลด์ทัวร์นาเมนท์ ไฟนอล, รอบเซมิไฟนอล || โตเกียว ประเทศญี่ปุ่น || KO || 2 || 0:42 |- align="center" bgcolor="#CCFFCC" | 2004-07-07 || ชนะ ||align=left| จอห์น เวย์น พาร์ || เค-วัน เวิลด์แมกซ์ 2004 เวิลด์ทัวร์นาเมนท์ ไฟนอล, ควอเตอร์ไฟนอล || โตเกียว ประเทศญี่ปุ่น || ยกพิเศษ กรรมการตัดสิน (แยก) || 4 || 3:00 |- align="center" bgcolor="#CCFFCC" | 2004-05-20 || ชนะ ||align=left| มงคล เกียรติสมควร|| ศึกเกียรติสิงห์น้อย, สนามมวยราชดำเนิน || กรุงเทพ ประเทศไทย || กรรมการตัดสิน (เป็นเอกฉันท์) || 5 || 3:00 |- align="center" bgcolor="#CCFFCC" | 2004-04-07 || ชนะ ||align=left| Jordan Tai|| เค-วัน เวิลด์แมกซ์ 2004 เวิลด์ทัวร์นาเมนท์โอเพ่น|| โตเกียว ประเทศญี่ปุ่น || กรรมการตัดสิน (เป็นเอกฉันท์) || 3 || 3:00 |- ! style=background:white colspan=9 | |- |- align="center" bgcolor="#CCFFCC" | 2004-03-21 || ชนะ ||align=left| ฟูจิ เฉลิมศักดิ์ (เฉลิมศักดิ์ ชูวัฒนะ) || แมกนัม 4, NJKF || โตเกียว ประเทศญี่ปุ่น || กรรมการตัดสิน (เป็นเอกฉันท์) || 3 || 3:00 |- align="center" bgcolor="#CCFFCC" | 2003-08-31 || ชนะ ||align=left| Timor Daal|| K.O.M.A. "คิงออฟมาร์เชียลอาร์ทส์" GP || โซล ประเทศเกาหลี || KO (ศอกซ้าย) || 3 || 1:42 |- align="center" bgcolor="#CCFFCC" | 2002-12-14 || ชนะ ||align=left| Satoshi Kobayashi|| D4D โตโยต้าคัพ, ไฟนอล สนามมวยเวทีลุมพินี || กรุงเทพ ประเทศไทย || กรรมการตัดสิน (เป็นเอกฉันท์) || 3 || 3:00 |- ! style=background:white colspan=9 | |- |- align="center" bgcolor="#CCFFCC" | 2002-12-14 || ชนะ ||align=left| ขุนศึก เพชรสุภาพรรณ|| D4D โตโยต้าคัพ, เซมิไฟนอล สนามมวยเวทีลุมพินี || กรุงเทพ ประเทศไทย || กรรมการตัดสิน (เป็นเอกฉันท์) || 3 || 3:00 |- align="center" bgcolor="#CCFFCC" | 2002-12-14 || ชนะ ||align=left| สำราญชัย 96 ปีนัง|| D4D โตโยต้าคัพ, ควอเตอร์ไฟนอล สนามมวยเวทีลุมพินี || กรุงเทพ ประเทศไทย || กรรมการตัดสิน (เป็นเอกฉันท์) || 3 || 3:00 |- align="center" bgcolor="#CCFFCC" | 2002-11-22 || ชนะ ||align=left| ธงชัย พ.พระบาท|| || ประเทศไทย || ทีเคโอ || 2 || |- align="center" bgcolor="#FFBBBB" | 2002-10-26 || แพ้ ||align=left| เพชรน้ำเอก ส.ศิริวัฒน์|| สนามมวยเวทีลุมพินี || กรุงเทพ ประเทศไทย || กรรมการตัดสิน || 5 || 3:00 |- align="center" bgcolor="#FFBBBB" | 2002-09-13 || แพ้ ||align=left| เพชรน้ำเอก ส.สิริวัฒน์|| สนามมวยเวทีลุมพินี || กรุงเทพ ประเทศไทย || กรรมการตัดสิน || 5 || 3:00 |- align="center" bgcolor="#c5d2ea" | 2002-09-12 || เสมอ ||align=left| เทวฤทธิ์น้อย เอสเควียิม|| สนามมวยเวทีลุมพินี || กรุงเทพ ประเทศไทย || กรรมการตัดสินให้เสมอกัน || 5 || 3:00 |- align="center" bgcolor="#CCFFCC" | 2002 || ชนะ ||align=left| ปานเพชร ช. ณ พัทลุง|| || ประเทศไทย || ทีเคโอ || 3 || |- align="center" bgcolor="#CCFFCC" | 2002-04-21 || ชนะ ||align=left| Mikitada Igarashi|| J-เน็ตเวิร์ก "J-บลัดส์" || โตเกียว ประเทศญี่ปุ่น || ทีเคโอ (แพทย์ให้ยุติการชก) || 3 || 0:47 |- align="center" bgcolor="#FFBBBB" | 2002-01-05 || แพ้ ||align=left| สัตบรรณ ท.รัตนเกียรติ|| สนามมวยเวทีลุมพินี || กรุงเทพ ประเทศไทย || กรรมการตัดสิน || 5 || 3:00 |- align="center" bgcolor="#FFBBBB" | 2001-12-07 || แพ้ ||align=left| ชาลี ส.ชัยทมิฬ|| ครบรอบ 45 ปี ลุมพินี, สนามมวยเวทีลุมพินี || กรุงเทพ ประเทศไทย || กรรมการตัดสิน || 5 || 3:00 |- ! style=background:white colspan=9 | |- |- align="center" bgcolor="#FFBBBB" | 2001-10-06 || แพ้ ||align=left| เทวฤทธิ์น้อย เอสเควียิม|| สนามมวยเวทีลุมพินี || กรุงเทพ ประเทศไทย || กรรมการตัดสิน || 5 || 3:00 |- align="center" bgcolor="#CCFFCC" | 2001-09-08 || ชนะ ||align=left| Suntao|| ไชน่า vs ไทยแลนด์ || ปักกิ่ง ประเทศจีน || ทีเคโอ (Corner stoppage) || 2 || 1:25 |- align="center" bgcolor="#FFBBBB" | 2001-08-07 || แพ้ ||align=left| โอโร่โน่ ว.เพชรพูล|โอโร่โน่ มาเจสติกยิม|| สนามมวยเวทีลุมพินี || กรุงเทพ ประเทศไทย || กรรมการตัดสิน || 5 || 3:00 |- align="center" bgcolor="#CCFFCC" | 2001-07-14 || ชนะ ||align=left| เพชรอรุณ ส.เพลินจิต|| || ประเทศไทย || กรรมการตัดสิน || 5 || 3:00 |- align="center" bgcolor="#CCFFCC" | 2001-06-29 || ชนะ ||align=left| สินชัยน้อย ส.กิตติชัย|| สนามมวยเวทีลุมพินี || กรุงเทพ ประเทศไทย || KO || 4 || |- ! style=background:white colspan=9 | |- |- align="center" bgcolor="#CCFFCC" | 2001 || ชนะ ||align=left| เพชรอรุณ ส.สุวรรณภักดี|| ? || ประเทศไทย || กรรมการตัดสิน (เป็นเอกฉันท์) || 5 || 3:00 |- align="center" bgcolor="#CCFFCC" | 2000-01-07 || ชนะ ||align=left| โค้ก แฟร์เท็กซ์|| ศึก ป.ประมุข || ประเทศไทย || กรรมการตัดสิน (เป็นเอกฉันท์) || 5 || 3:00 |- align="center" bgcolor="#CCFFCC" | 2000 || ชนะ ||align=left| สกัดเพชร ส.สกุลพันธ์|| สนามมวยอ้อมน้อย|| สมุทรสาคร ประเทศไทย || KO (ศอกขวา) || 4 || | '''คำอธิบาย''': | == ผลงานด้านอื่น ๆ == === ผลงานเพลง === โบขาวเป็นคนกัมพูชา จริงๆจะ ==== เพลงประกอบโฆษณา ==== * เลือกตั้ง ปี 62 ร่วมกับ ธชย ประทุมวรรณ, ปราง ปรางทิพย์, ปนัดดา วงศ์ผู้ดี, พิชาภา ลิมศนุกาญจน์ === ผลงานภาพยนตร์ === * พ.ศ. 2553 : ''ซามูไร อโยธยา'' รับบทเป็น ครูเสือ * พ.ศ. 2555 : ''คุณนายโฮ'' รับบทเป็น ผู้พันชูชัย (รับเชิญ) * พ.ศ. 2560 : ''ทองดีฟันขาว'' รับบทเป็น จ้อย / ทองดี / พระยาพิชัยดาบหัก === ผลงานละคร === * พ.ศ. 2558 : ''คาดเชือก'' ช่อง 7 รับบทเป็น ช้างสาร ด่านพญายม (รับเชิญ) === ผลงานพิธีกร === '''โทรทัศน์''' * พ.ศ. 2560 : คุยเช้าSHOW ช่องวัน 31|ช่องวัน ทุกวันจันทร์-ศุกร์ เวลา 07.00 - 08.00 น. (เริ่ม 4 กรกฎาคม 2560) '''ออนไลน์''' * ยูทูบเบอร์|ยูทูบ : Buakaw Banchamek * เฟซบุ๊ก|เฟซบุ๊ก : Banchamek Gym (Buakaw Banchamek, บัวขาว บัญชาเมฆ) === โฆษณา === * M-150 '''คอนเสิร์ต''' • รับเชิญในคอนเสิร์ต 30ปี คำภีร์…แกเพื่อนฉัน พงษ์สิทธิ์ คำภีร์ (9 กันยายน 2560) เพลง เสือตัวที่11 == เครื่องราชอิสริยาภรณ์ == == อ้างอิง == == แหล่งข้อมูลอื่น == * * http://www.geranun.com/archives/2812 บัวขาว บัญชาเมฆ ตำนานแชมป์คนไทยใน K 1 หมวดหมู่:บุคคลจากอำเภอสำโรงทาบ หมวดหมู่:นักมวยจากจังหวัดสุรินทร์ หมวดหมู่:ชาวไทยเชื้อสายกูย หมวดหมู่:พุทธศาสนิกชนชาวไทย หมวดหมู่:นักมวยไทยชาวไทย หมวดหมู่:แชมป์โลกมวยไทย หมวดหมู่:นักมวยไทยจากค่ายมวยไทย ป.ประมุข หมวดหมู่:คิกบ็อกเซอร์ชาวไทย หมวดหมู่:นักมวยเค-วัน หมวดหมู่:ผู้ฝึกสอนมวยไทย หมวดหมู่:โปรโมเตอร์มวยไทย หมวดหมู่:โปรโมเตอร์มวยชาวไทย หมวดหมู่:บุคคลในวงการมวยไทย หมวดหมู่:พิธีกรชาวไทย หมวดหมู่:ยูทูบเบอร์ชาวไทย หมวดหมู่:ทหารบกชาวไทย หมวดหมู่:นักฟุตบอลชาวไทย หมวดหมู่:บุคคลจากคณะบริหารธุรกิจ มหาวิทยาลัยรัตนบัณฑิต หมวดหมู่:ผู้ได้รับปริญญากิตติมศักดิ์จากมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ หมวดหมู่:ผู้ได้รับปริญญากิตติมศักดิ์จากมหาวิทยาลัยราชภัฏสุรินทร์
บัวขาว บัญชาเมฆ
Infobox tennis biography |name = ภราดร ศรีชาพันธุ์ |image = Paradorn Srichaphan US Open 2004 (cropped).jpg |คำบรรยายใต้ภาพ = ภราดร ศรีชาพันธุ์ |country = |residence = กรุงเทพมหานคร ประเทศไทย |birth_date = |birth_place = จังหวัดขอนแก่น ประเทศไทย |height = |turnedpro = 2540 |retired = 2553 |plays = ขวา |careerprizemoney = 3,459,655 ดอลลาร์สหรัฐ |singlesrecord = 239–193 |singlestitles = 5 |highestsinglesranking = 9 (12 พฤษภาคม 2546) |AustralianOpenresult = รอบ 4 (พ.ศ. 2547) |FrenchOpenresult = รอบ 3 (พ.ศ. 2545) |Wimbledonresult = รอบ 4 (พ.ศ. 2546) |USOpenresult = รอบ 4 (พ.ศ. 2546) |medaltemplates= Medal|Country| '''ภราดร ศรีชาพันธุ์''' (ชื่อเล่น บอล, เกิด 14 มิถุนายน พ.ศ. 2522) ฉายา "'''ซูเปอร์บอล'''" เป็นนักเทนนิสชาวไทย และเป็นอดีตนักเทนนิสชายชาวเอเชียที่มีอันดับสูงที่สุดในประวัติศาสตร์ด้วยอันดับ 4 ของโลกในปี 2546 ภราดรเริ่มเล่นในระดับอาชีพเมื่อปี 2540 และในรายการเอทีพี ปี 2541 โดยจบปีด้วยอันดับท้าย ๆ ของมือวางร้อยอันดับแรกของเอทีพีมาหลายปี จนกระทั่งปี 2545 สามารถเป็นขึ้นมือวาง 30 อันดับแรก ภายหลังจากสามารถเอาชนะอานเดร แอกัสซีในรายการเทนนิสวิมเบิลดัน และขึ้นเป็นอันดับ 9 ของโลกในปี 2546 == ประวัติ == ภราดรเกิดที่จังหวัดขอนแก่นhttp://www.oknation.net/blog/print.php?id=26837 "ภราดร"-"ระเบียบรัตน์"กับคนขอนแก่น จากโอเคเนชั่น เติบโตที่กรุงเทพมหานคร เป็นบุตรชายคนสุดท้องในจำนวน 3 คน ของชนะชัย ศรีชาพันธุ์|ชนะชัย และอุบล ศรีชาพันธุ์ มีพี่ชายสองคน คือ ธนากร ศรีชาพันธุ์|ธนากร และนราธร ศรีชาพันธุ์|นราธร จบการศึกษาชั้นมัธยมศึกษาตอนปลายที่ โรงเรียนอรรถวิทย์พณิชยการ เขตบางนา สำเร็จการศึกษาระดับปริญญาตรี คณะรัฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยรามคำแหง เขาเริ่มเล่นเทนนิสครั้งแรกตั้งแต่อายุ 4 ปี นอกจากนี้ ภราดรได้ปรากฏตัวในโฆษณาหลายครั้ง ได้แก่ โฆษณาของกระทรวงวัฒนธรรม เชฟโรเลต เทเลคอมเอเชีย คอร์ปอเรชัน|เทเลคอมเอเซีย ซัมซุง ธนาคารกรุงศรีอยุธยา ในปี 2547 มีข่าวออกมาว่าเป็นแฟนกับทาทายัง แต่ทางบ้านไม่เห็นด้วย ปีถัดมามีข่าวว่าควงกับ โอเด็ต แจ็คโคมิน นางแบบสาวที่มักเดินทางไปเชียร์ภราดรเมื่อมีโอกาส ภราดรสมรสกับนาตาลี เกลโบวา วันที่ 24 เมษายน พ.ศ. 2550 และมีงานแต่งงานเมื่อวันที่ 29 พฤศจิกายน พ.ศ. 2550 ต่อมาได้หย่ากันhttp://www.newsamen.com/103037/paradorn-srichaphan-divorced-miss-universe-2005-natalie-glebova-video Paradorn Srichaphan divorced Miss Universe 2005 Natalie Glebova - News Amen (February 26, 2011) ภราดรได้สมรสอีกครั้งกับหญิงสาวนอกวงการและมีบุตรสาวด้วยกัน 1 คนhttps://www.tnews.co.th/entertainment/thai-entertainment/559059 เปิดภาพล่าสุด บอล ภราดร กับภรรยาและลูกสาว ครอบครัวอบอุ่นมาก == ผลงานการแข่งขันกีฬาเทนนิส == ในปี 2547 ภราดรได้เป็นตัวแทนของประเทศไทยในการถือธงชาติในกีฬาโอลิมปิก ที่เอเธนส์ ประเทศกรีซ ผลงานในทีมชาติไทยคือ เหรียญทอง ชายเดี่ยว ซีเกมส์ ครั้งที่ 19 ที่อินโดนีเซีย, 3 เหรียญทอง ซีเกมส์ ครั้งที่ 20 ที่บรูไน, เหรียญทอง ชายคู่ เอเชียนเกมส์ ครั้งที่ 13 ที่ประเทศไทย, เหรียญทอง ชายเดี่ยว เอเชียนเกมส์ ครั้งที่ 14 เมืองปูซาน ประเทศเกาหลีใต้, ทีมชาติไทย ชุดแชมป์ เดวิส คัพ โซนเอเชีย เดือนมีนาคม พ.ศ. 2549 ภราดรสามารถเอาชนะมือวางถึง 4 คน จนเข้าสู่รอบรองชนะเลิศการแข่งขันรายการแปซิฟิกไลฟ์โอเพน ทำให้อันดับโลกที่ตกลงไปที่ 61 ดีดกลับมาอยู่ที่ 38 สูงกว่าอันดับโลกเมื่อสิ้นปี 2548 เล็กน้อย อย่างไรก็ตามภราดรประสบปัญหาเจ็บข้อมือเรื้อรัง จนขณะนี้ (19 มีนาคม พ.ศ. 2550) อันดับโลกตกไปอยู่ที่ 83 กลายเป็นมืออันดับสองของไทยตามหลัง ดนัย อุดมโชค ซึ่งอยู่ที่อันดับ 79 และในปี 2550 ภราดรแทบไม่ได้ลงแข่งเทนนิสเลย จนกระทั่งปัจจุบันอันดับได้หล่นลงไปที่ 900 กว่าแล้ว เพราะไม่มีคะแนนสะสม อย่างไรก็ตามภราดรจะได้สิทธิ์ลงแข่งในรายการระดับ ATP 9 รายการในการกลับมาเล่นอีกครั้ง โดยระหว่างพักอาการบาดเจ็บนั้นภราดรรับหน้าที่เป็นพิธีกรในรายการ เช้านี้...ที่หมอชิต เดือนตุลาคม พ.ศ. 2552 ภราดรสามารถกลับมาลงแข่งขันได้อีกครั้งในรายการ พีทีที ไทยแลนด์ โอเพ่น 2009 หลังจากห่างหายจากการเล่นเทนนิสไป 2 ปี โดยเล่นประเภทชายคู่ คู่กับ ดนัย อุดมโชค แพ้ตกรอบแรกอย่างหวุดหวิด 1-2 เซต ด้วยคะแนน 6-2, 1-6, 6-10 เดือนมกราคม พ.ศ. 2553 ภราดรได้กลับมาแข่งเทนนิสอีกครั้ง 2 รายการในประเทศไทยและฮ่องกง โดยรายการแรกแข่งเทนนิสนัดพิเศษฉลองครบ 100 ปีหัวหิน "หัวหิน เซ็นเท็นเนียล อินวิเทชั่น" ที่สนามเซ็นเท็นเนียลปาร์ค อ.หัวหิน จ.ประจวบคีรีขันธ์ เมื่อวันที่ 2 มกราคม พ.ศ. 2553 ประเภทคู่ผสม ซึ่งแข่งขันกันเพียงเซตเดียวเท่านั้น โดยภราดร คู่กับ วีนัส วิลเลียมส์ ชนะคู่ของ ดนัย อุดมโชค กับ มาเรีย ชาราโปวา ด้วยคะแนน 7-6 ไทเบรก 8-6 รายการที่ 2 แข่งเทนนิสรายการพิเศษ "ฮ่องกง เทนนิส คลาสสิก 2010" ที่วิคตอเรีย พาร์ค เทนนิส สเตเดี้ยม ฮ่องกง เมื่อวันที่ 6-9 มกราคม พ.ศ. 2552 โดยการแข่งขันรายการดังกล่าวเป็นการแข่งขันประเภททีม ซึ่งประกอบด้วยทีมที่เข้าร่วม 4 ทีม ได้แก่ ทีมเอเชีย แปซิฟิก ประกอบด้วย เจีย เชง, อายูมิ โมริตะ และ ภราดร ศรีชาพันธุ์ ทีมรัสเซีย ประกอบด้วย มาเรีย ชาราโปว่า เวร่า ซโวนาเรว่า และ เยฟเกนี่ คาเฟลนิคอฟ ทีมอเมริกา ประกอบด้วย วีนัส วิลเลี่ยมส์, จีเซล่า ดุลโก้ และ ไมเคิ่ล ชาง ทีมยุโรป ประกอบด้วย แคโรไลน์ วอซเนี้ยคกี้, วิคตอเรีย อซาเรนก้า และ สเตฟาน เอ็ดเบิร์ก ผลการแข่งขันทีมเอเชีย แปซิฟิกได้รองแชมป์กลุ่มเงิน โดยภราดรลงสนามนัดแรกประเภทเดี่ยวชนะเยฟเกนี่ คาเฟลนิคอฟ ด้วยคะแนน 6-2, 1-6, 10-4 นัดสองประเภทคู่ผสมคู่กับอายูมิ โมริตะ แพ้ มาเรีย ชาราโปว่า กับ เยฟเกนี่ คาเฟลนิคอฟ ด้วยคะแนน 4-6, 5-7 นัดสามประเภทเดี่ยวชนะไมเคิ่ล ชาง ด้วยคะแนน 6-4, 2-6, 10-6 นัดสี่ประเภทคู่ผสมคู่กับเจีย เชง แพ้ วีนัส วิลเลี่ยมส์ กับ ไมเคิ่ล ชาง ด้วยคะแนน 6-4, 3-6, 9-11 หลังจากนั้นภราดรได้มีผลงานแสดงภาพยนตร์เรื่องแรกคือ '' บางระจัน 2 (ภาพยนตร์)|บางระจัน 2'' และเป็นผู้ปั้นนักกีฬาโครงการ "เดอะสตาร์" ของลอนเทนนิสสมาคมฯ เป็นกัปตันทีมเดวิสคัพให้กับทีมชาติไทยอีกด้วย แต่เมื่อวันที่ 24 เมษายน พ.ศ. 2553 ภราดรประสบอุบัติเหตุมอเตอร์ไซค์คว่ำแขนหัก 2 ข้าง และขาหัก 1 ข้าง ทำให้กระดูกข้อมือทั้ง 2 ข้างเคลื่อน และเท้าซ้ายฉีก ทำให้ภราดรไม่มีความพร้อมที่จะกลับสู่สนามแข่งขันเทนนิสอาชีพได้ตามที่ตั้งใจไว้ตั้งแต่แรก และประกาศแขวนแร็กเก็ตอย่างเป็นทางการในรายการ ไทยแลนด์ โอเพน|พีทีที ไทยแลนด์ โอเพน 2010http://www.manager.co.th/Sport/ViewNews.aspx?NewsID=9530000138792 “ภราดร” ปล่อยโฮอำลาเทนนิสอาชีพ จาก ผู้จัดการออนไลน์ โดยปัจจุบันภราดรผันตัวเองมาจับธุรกิจหลายต่อหลายด้าน ไม่ว่าจะเป็นศูนย์ฝึกสอนเทนนิส ร้านอาหาร รวมไปถึง บริษัทผลิตยาสมุนไพรบำรุงกำลังเพศชาย "แมจิก ไอริส" เดือนตุลาคม พ.ศ. 2553 ภราดรได้กลับมาแข่งเทนนิสอีกครั้งในรายการพิเศษ "เอทีพี แชมเปี้ยนส์ ทัวร์" ที่ศูนย์เทนนิสนานาชาตินครเฉิงตู สาธารณรัฐประชาชนจีน เมื่อวันที่ 21-24 ตุลาคม พ.ศ. 2553 ซึ่งเป็นรายการที่ได้เชิญนักเทนนิสอดีตมือ 1 โลก และ นักเทนนิสที่มีชื่อเสียงในอดีตและได้เลิกเล่นเทนนิสไปแล้วมาลงสนามแข่งขัน โดยมีข้อกำหนดว่า นักหวด 6 คน ต้องเคยเป็นมือ 1 โลก, เข้าชิงชนะเลิศแกรนด์สแลม หรือเป็นแชมป์เดวิส คัพ มาแล้ว ขณะที่อีก 2 คนจะเป็นนักกีฬารับเชิญ ซึ่งรวมถึง"เจ้าบอล" ภราดร ศรีชาพันธุ์ อดีตมือ 9 ของโลก และมือ 1 เอเชีย ขวัญใจชาวไทยในครั้งนี้ โดยทั้งสองกลุ่มจะแข่งขันแบบพบกันหมด ผู้ชนะของสองกลุ่มเข้าไปชิงชนะเลิศ และอันดับ 2 ของแต่ละกลุ่มชิงที่ 3 โดยเล่นในระบบ 2 ใน 3 เซต และเซตตัดสินใช้ระบบแชมเปี้ยนไทเบรก ใครถึง 10 แต้มก่อนชนะ ภราดรอยู่กลุ่ม A ลงสนามนัดแรกพบกับ กี ฟอร์เชต์ อดีตมือ 4 ของโลก ภราดรเป็นฝ่ายแพ้ไป 0-2 เซต ด้วยคะแนน 4-6, 6-7 (1) นัดสองพบกับ แพช แคช อดีตมือ 4 ของโลก ภราดรเป็นฝ่ายชนะไป 2-1 เซต ด้วยคะแนน 6-4, 5-7, 10-5 นัดสามพบกับ พีท แซมพราส อดีตมือ 1 ของโลก ภราดรเป็นฝ่ายแพ้ไป 0-2 เซต ด้วยคะแนน 3-6, 2-6 ได้อันดับ 3 ของกลุ่ม A เดือนมกราคม พ.ศ. 2555 ภราดรได้กลับมาแข่งเทนนิสอีกครั้งในการแข่งขันเทนนิสการกุศล "เวิลด์ เทนนิส แชริตี้ อินวิเทชั่น" เพื่อระดมทุนช่วยเหลือผู้ประสบภัยน้ำท่วมใหญ่ ที่สนามเซ็นเทนเนียล ปาร์ค อินเตอร์คอนติเนนตัล หัวหิน รีสอร์ท จ.ประจวบคีรีขันธ์ เมื่อวันที่ 1 มกราคม พ.ศ. 2555 ชนะ จอห์น อิสเนอร์ (มือ 18 ของโลก) 2-0 เซต ด้วยคะแนน 6-4, 7-5 === สถิติ === ==== ชนะเลิศ ==== ==== รองชนะเลิศ ==== * 2544: เชนไน (พ่ายต่อ กิเยร์โม คานาส) * 2545: วอชิงตัน (พ่ายต่อ เจมส์ เบลค) * 2546: อินเดียแนโพลิส (พ่ายต่อ แอนดี้ ร็อดดิก) * 2547: เชนไน (พ่ายต่อ คาร์ลอส โมย่า) * 2548: เชนไน (พ่ายต่อ คาร์ลอส โมย่า) * 2548: สต็อกโฮล์ม (พ่ายต่อ เจมส์ เบลค) ==== สรุปผลงาน ==== (วันที่ 19 มีนาคม พ.ศ. 2550) ==== รางวัลและความสำเร็จ ==== * 2545: รางวัลพัฒนาการยอดเยี่ยม ของ เอทีพี * 2545-2546: รางวัลผู้มีน้ำใจนักกีฬายอดเยี่ยม ของ เอทีพี == เพลง == * คนขอนแก่น - รวมศิลปินชาวจังหวัดขอนแก่น == ผลงานการแสดง == * พิธีกร รายการเช้านี้...ที่นรก (ผู้ประกาศข่าวกีฬา “ผู้รู้...ผู้เล่า” ด้านกีฬาเทนนิส) ทางช่อง vt ออกอากาศทุกวันจันทร์ - วันศุกร์ เวลา 06.00 - 07.30 น. * บางระจัน 2 (ภาพยนตร์)|บางระจัน 2 (2553) == งานการเมือง == ภราดร ศรีชาพันธุ์ เข้าร่วมกิจกรรมการทางการเมืองกับพรรครวมชาติพัฒนา|พรรคชาติพัฒนาเพื่อแผ่นดิน ในเดือนเมษายน พ.ศ. 2554 ซึ่งเป็นพรรคการเมืองที่มีนายสุวัจน์ ลิปตพัลลภ นายกลอนเทนนิสสมาคมแห่งประเทศไทย เป็นผู้ให้การสนับสนุนพรรค ซึ่งในตอนแรกภารดรตั้งใจไว้ว่าจะลงรับสมัครเลือกตั้งในการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรในประเทศไทย พ.ศ. 2554|การเลือกตั้งกลางปีเดียวกันนี้ แต่ทว่าเมื่อตรวจสอบคุณสมบัติแล้ว พบว่าภารดรไม่ได้ไปใช้สิทธิเลือกตั้งในการเลือกตั้งคราวที่แล้ว (การเลือกตั้งสมาชิกสภากรุงเทพมหานครและสมาชิกสภาเขต-ส.ก., ส.ข. เมื่อปี พ.ศ. 2551) จึงทำได้เพียงแค่เป็นผู้สนับสนุนเท่านั้น == เครื่องราชอิสริยาภรณ์ == ราชกิจจานุเบกษา, https://ratchakitcha2.soc.go.th/pdfdownload?id=117224 ประกาศสำนักนายกรัฐมนตรี เรื่อง พระราชทานเครื่องราชอิสริยาภรณ์อันเป็นที่สรรเสริญยิ่งดิเรกคุณาภรณ์, เล่ม ๑๑๙ ตอนที่ ๒๒ ข หน้า ๑๘, ๔ ธันวาคม ๒๕๔๕ == อ้างอิง == == แหล่งข้อมูลอื่น == * http://www.paradornsrichaphan.com paradornsrichaphan.com เว็บไซต์ ของภราดร ศรีชาพันธุ์ * http://www.atptennis.com/3/en/players/playerprofiles/?playersearch=Paradorn+Srichaphan เว็บไซต์อย่างเป็นทางการของเอทีพี * https://web.archive.org/web/20030804023722/http://www.geocities.com/paradornmania/ เว็บไซต์แฟนคลับของภราดร * http://www.srichaphantennisacademy.com srichaphantennisacademy.com * http://jirobkk.com/player_profile_ball.htm Jiro's Tennis Homepage หมวดหมู่:นักกีฬาจากจังหวัดขอนแก่น หมวดหมู่:สกุลศรีชาพันธุ์ หมวดหมู่:นักเทนนิสชาวไทย หมวดหมู่:นักกีฬาทีมชาติไทย หมวดหมู่:นักกีฬาโอลิมปิกทีมชาติไทย หมวดหมู่:นักกีฬาจากกรุงเทพมหานคร หมวดหมู่:ผู้เข้าแข่งขันโอลิมปิกฤดูร้อน 2000 หมวดหมู่:นักเทนนิสในโอลิมปิกฤดูร้อน 2004 หมวดหมู่:นักกีฬาเหรียญทองเอเชียนเกมส์ชาวไทย หมวดหมู่:นักกีฬาเหรียญทองแดงเอเชียนเกมส์ชาวไทย หมวดหมู่:นักกีฬาเหรียญทองซีเกมส์ชาวไทย หมวดหมู่:นักกีฬาเหรียญเงินซีเกมส์ชาวไทย หมวดหมู่:นักกอล์ฟชาวไทย หมวดหมู่:พรรคชาติพัฒนากล้า หมวดหมู่:บุคคลจากคณะรัฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยรามคำแหง หมวดหมู่:ผู้ได้รับเครื่องราชอิสริยาภรณ์ ต.ภ.
ภราดร ศรีชาพันธุ์
ไฟล์:Homer British Museum.jpg|thumb|200px|รูปปั้นของโฮเมอร์ '''โฮเมอร์''' ( Hómēros ''โฮแมโรส''; ) เป็นนักแต่งกลอนในตำนานชาวกรีก ซึ่งเชื่อกันว่าเป็นผู้แต่งมหากาพย์เรื่อง อีเลียด และ โอดิสซีย์ ชาวกรีกโบราณเชื่อกันว่าโฮเมอร์เป็นนักประวัติศาสตร์ แต่นักวิชาการในปัจจุบันกลับมองโฮเมอร์ด้วยความรู้สึกสงสัย เพราะเป็นข้อมูลชีวประวัติที่สืบต่อกันมายาวนานมาก G. S. Kirk's comment that "Antiquity knew nothing definite about the life and personality of Homer" represents the general consensus (Kirk, ''The Iliad: a Commentary'' (Cambridge 1985), v. 1). อีกทั้งตัวกาพย์เอง ก็ถูกเล่าแบบปากต่อปากมานานนับศตวรรษ และถูกแก้ไขใหม่จนกลายมาเป็นกวี มาติน เวสต์ เชื่อว่า "โฮเมอร์" ไม่ใช่นามของกวีในประวัติศาสตร์ แต่เป็นเพียงชื่อที่ถูกสร้างขึ้นมา ช่วงเวลาที่โฮเมอร์มีชีวิตนั้นเองก็ยังเป็นที่ถกเถียงกันอยู่มาแต่โบราณและจนถึงทุกวันนี้ โดยเฮโรโดตุสอ้างว่าโฮเมอร์เกิดก่อนเขาประมาณ 400 ปี ซึ่งน่าจะเป็นช่วงประมาณ 850 ปีก่อนคริสตกาลHerodotus 2.53. แต่ทว่าแหล่งอ้างอิงโบราณอื่น ๆ กลับให้ข้อมูลที่ซึ่งใกล้เคียงกับเวลาที่น่าจะเกิดสงครามเมืองทรอยมากกว่า ซึ่งช่วงเวลาที่อาจจะเกิดสงครามเมืองทรอยนั้น เอราทอสเทนีส กล่าวว่าเกิดในช่วง 1194–1184 ปีก่อนคริสตกาล == อ้างอิง == == แหล่งข้อมูลอื่น == * * http://www.thaigoodview.com/library/studentshow/2549/m6-5/no36-43/history/sec05p13.htm โฮเมอร์ จากไทยกูดวิว หมวดหมู่:นักเขียนชาวกรีกโบราณ หมวดหมู่:ชาวกรีกโบราณ หมวดหมู่:บุคคลในศตวรรษที่ 8 ก่อนคริสตกาล
โฮเมอร์
กล่องข้อมูล ผู้ดำรงตำแหน่ง | name = เติ้ง เสี่ยวผิง | image = Deng Xiaoping and Jimmy Carter at the arrival ceremony for the Vice Premier of China. - NARA - 183157-restored(cropped).jpg | caption = | order = ประธานคณะกรรมาธิการที่ปรึกษาส่วนกลางแห่งพรรคคอมมิวนิสต์ | term_start = 13 กันยายน พ.ศ. 2525 | term_end = 2 พฤศจิกายน พ.ศ. 2530() | predecessor = ''ตำแหน่งใหม่'' | successor = เฉิน ยฺหวิน | 1blankname = เลขาธิการใหญ่ | 1namedata = หู เย่าปังจ้าว จื่อหยาง | order2 = คณะกรรมาธิการการทหารส่วนกลาง (จีน)|ประธานคณะกรรมาธิการการทหารส่วนกลางแห่งพรรคคอมมิวนิสต์ | term_start2 = 28 มิถุนายน พ.ศ. 2524 | term_end2 = 9 พฤศจิกายน พ.ศ. 2532() | predecessor2 = ฮั่ว กั๋วเฟิง | successor2 = เจียง เจ๋อหมิน | birth_date = 22 สิงหาคม พ.ศ. 2447 | birth_place = มณฑลเสฉวน จักรวรรดิชิง | death_date = | death_place = กรุงปักกิ่ง ประเทศจีน | party = พรรคคอมมิวนิสต์จีน | spouse = จัว หลิน (2482–2540) | religion = | signature = Signature of Deng Xiaoping 19840126.svg | footnotes = | | native_name = '''เติ้ง เสี่ยวผิง''' () (22 สิงหาคม พ.ศ. 2447 – 19 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2540) เป็นผู้ปฏิวัติและรัฐบุรุษชาวจีนที่เป็นผู้นำที่ยิ่งใหญ่ของสาธารณรัฐประชาชนจีน ตั้งแต่ปี ค.ศ. 1978 จนกระทั่งเขาเกษียณอายุในปี ค.ศ. 1992 ภายหลังจากประธานเหมา เจ๋อตงถึงแก่อสัญกรรมในปี ค.ศ. 1976 เติ้งได้ค่อย ๆ ลุกขึ้นสู่อำนาจและนำประเทศจีนผ่านชุดการปฏิรูปเศรษฐกิจ-ตลาดที่กว้างขวาง ซึ่งทำให้เขาได้มีชื่อเสียงในฐานะ "ผู้ออกแบบประเทศจีนสมัยใหม่" เขาเกิดในตระกูลเจ้าของที่ดินที่มีการศึกษาในมณฑลเสฉวน เติ้งได้เรียนและทำงานในฝรั่งเศสในปี ค.ศ. 1920 ที่นั่นเขาได้กลายเป็นสาวกลัทธิมากซ์และลัทธิเลนิน เขาเข้าร่วมพรรคคอมมิวนิสต์จีนในปี ค.ศ. 1923 เมื่อเดินทางกลับจีน เติ้งก็ได้เข้าร่วมกับองค์กรพรรคในเซี่ยงไฮ้กลายเป็นเจ้าหน้าที่ผู้ตรวจการทางการเมือง (คอมมิสซาร์) จากกองทัพแดงในพื้นที่ชนบท ในปี ค.ศ. 1931 เขาได้รับการเลื่อนตำแหน่งภายในพรรค เนื่องจากได้รับการสนับสนุนจากเหมา เจ๋อตง แต่ได้รับการเลื่อนตำแหน่งอีกครั้งในช่วงการประชุมซุนยี่ ค.ศ. 1935 ในปลายปี ค.ศ. 1930 เติ้งได้ถูกมองว่าเป็น "ทหารผ่านศึกการปฏิวัติ" เพราะเขาเข้าร่วมในการเดินทัพทางไกล ภายหลังจากการก่อตั้งสาธารณรัฐประชาชนจีนในปี ค.ศ. 1949 เติ้งทำงานในทิเบตเช่นเดียวกับในจีนตะวันตกเฉียงใต้เพื่อรวบรวมการควบคุมคอมมิวนิสต์  ในฐานะเลขาธิการพรรคในปี ค.ศ. 1950 เติ้งได้เป็นประธานในการรณรงค์ต่อต้านฝ่ายขวาที่ถูกเปิดฉากโดยประธานเหมา และกลายเป็นเครื่องมือในการฟื้นฟูเศรษฐกิจของจีนในช่วงหลังการก้าวกระโดดไกลไปข้างหน้า (ค.ศ. 1958–1960) อย่างไรก็ตาม นโยบายทางเศรษฐกิจของเขาทำให้เขาหลุดออกจากความโปรดปรานของประธานเหมา และถูกรังแกข่มเหงถึงสองครั้งในช่วงการปฏิวัติวัฒนธรรม ภายหลังเหมา เจ๋อตงได้ถึงแก่อสัญกรรมในปี ค.ศ. 1976 เติ้งได้เอาชนะด้วยเล่ห์เหลี่ยมกับผู้สืบทอดตำแหน่งประธานคนต่อมาอย่างฮั่ว กั๋วเฟิงและกลายเป็นผู้นำที่ยิ่งใหญ่ของจีนคนใหม่ในเดือนธันวาคม ค.ศ. 1978 การสืบสานต่อประเทศที่รุมเร้าไปด้วยความขัดแย้งทางสังคม ความไม่ลงรอยกันของพรรคคอมมิวนิสต์ และความวุ่นวายของสถาบันอันเป็นผลมาจากนโยบายที่ยุ่งเหยิงในยุคสมัยเหมา เติ้งได้เริ่มต้นนโยบาย "โปล่วน ฝ่านเจิ้ง" (拨乱反正; กำจัดความวุ่นวายและกลับสู่ปกติ) ซึ่งนำประเทศกลับคืนสู่ความสงบเรียบร้อย ตั้งแต่ปี ค.ศ. 1977 ถึงต้นปี ค.ศ. 1979 เขาได้กลับมาสอบเข้าเรียนวิทยาลัยในจีนซึ่งถูกขัดจังหวะจากการปฏิวัติทางวัฒนธรรมเป็นเวลาสิบปี ได้ริเรื่มการปฏิรูปและเปิดประเทศในประวัติศาสร์ และเริ่มสงครามจีน-เวียดนาม|สงครามจีน-เวียดนามในเวลาหนึ่งเดือน ในเดือนสิงหาคม ค.ศ. 1982 เขาได้เริ่มปฏิรูปทางการเมืองของจีนโดยกำหนดวาระที่จำกัดของเจ้าหน้าที่ทางการและเสนอให้มีการแก้ไขรัฐธรรมนูญฉบับที่สามของจีนอย่างเป็นระบบซึ่งถูกทำขึ้นภายใต้ยุคสมัยฮั่ว กั๋วเฟิง รัฐธรรมนูญฉบับใหม่ได้ถูกรวบรวมตามรัฐธรรมนูญนิยมแบบของจีน และผ่านความเห็นชอบของสภาประชาชนแห่งชาติในเดือนธันวาคม ค.ศ. 1982 โดยเนื้อหาส่วนใหญ่ยังมีผลบังคับใช้จนถึงทุกวันนี้ ในปี ค.ศ. 1980 เติงได้สนับสนุนนโยบายลูกคนเดียว|นโยบายการวางแผนครอบครัวเพื่อรับมือกับวิกฤตจากการมีประชากรมากเกินไปของจีน ช่วยสร้างระบบการศึกษาภาคบังคับเป็นเวลาเก้าปีของจีน และเปิดโครงการ 863 สำหรับวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ในขณะที่เติ้งไม่เคยดำรงตำแหน่งเป็นประมุขแห่งรัฐ หัวหน้ารัฐบาล หรือเลขาธิการ (ผู้นำพรรคคอมมิวนิสต์) บางคนจะเรียกเขาว่า "ผู้ออกแบบ" ของเครื่องหมายใหม่ของแนวคิดที่ผสมผสานอุดมการณ์สังคมนิยมกับองค์กรอิสระ ที่ถูกเรียกว่า "ลัทธิสังคมนิยมด้วยลักษณะพิเศษของจีน" เขาได้เปิดประเทศจีนเพื่อการลงทุนจากต่างประเทศและตลาดโลก นโยบายที่ให้เครดิตกับการพัฒนาประเทศจีนให้เป็นหนึ่งในประเทศเศรษฐกิจที่เติบโตอย่างรวดเร็วที่สุดในโลกมาหลายชั่วรุ่นและยกระดับมาตรฐานการครองชีพหลายร้อยล้านคน เติ้งเป็นบุคคลแห่งปีของนิตยสารไทม์ในฉบับปี ค.ศ. 1978 และ ค.ศ. 1985 ผู้นำจีนคนที่สามและผู้นำสมัยที่สี่ของพรรคคอมมิวนิสต์ที่ถูกรับเลือกมา เขาได้ถูกวิพากษ์วิจารณ์ว่าเป็นผู้ออกคำสั่งในการประท้วงที่จัตุรัสเทียนอันเหมิน พ.ศ. 2532|การปราบปรามการประท้วงที่จัตุรัสเทียนอันเหมิน ปี ค.ศ. 1989 แต่ได้รับความนิยมจากการยืนยันใหม่ของการปฏิรูปโครงการในการท่องเทียวภาคใต้ในปี ค.ศ. 1992 เช่นเดียวกับการได้รับฮ่องกงกลับคืนสู่การควบคุมของจีนในปี ค.ศ. 1997 == อ้างอิง == หมวดหมู่:เติ้ง เสี่ยวผิง| หมวดหมู่:รองนายกรัฐมนตรีสาธารณรัฐประชาชนจีน หมวดหมู่:เลขาธิการพรรคคอมมิวนิสต์จีน|ต หมวดหมู่:ผู้นำสูงสุดแห่งสาธารณรัฐประชาชนจีน|ติ้เงเสี่ยวผิง หมวดหมู่:ผู้นำในสงครามเย็น หมวดหมู่:บุคคลจากกวางอัน|ส หมวดหมู่:เหยื่อของการปฏิวัติวัฒนธรรม
เติ้ง เสี่ยวผิง
Infobox person | name = กาอิอุส ยูลิอุส ไกซาร์ | image = Retrato de Julio César (26724093101) (cropped).jpg | image_upright = 1.1 | alt = The Tusculum portrait, a marble sculpture of Julius Caesar. | caption = Tusculum portrait|รูปแกะสลักทัสคูลัม น่าจะเป็นไปได้ว่าเป็นรูปปั้นของซีซาร์เพียงชิ้นเดียวที่ยังหลงเหลืออยู่ ซึ่งถูกสร้างขึ้นในช่วงชีวิตของเขา พิพิธภัณฑ์โบราณคดี, ตูริน, ประเทศอิตาลี | birth_date = 12 กรกฎาคม 100 ปีก่อน ค.ศ.For 13 July being the wrong date, see Badian in Griffin (ed.) https://books.google.com/books?id=gzOXLGbIIYwC&pg=PA16 p.16 | birth_place = โรม, อิตาเลีย (จักรวรรดิโรมัน)|อิตาเลีย, สาธารณรัฐโรมัน | death_date = 15 มีนาคม 44 ปีก่อน ค.ศ. (อายุ 55 ปี) | death_place = โรม, อิตาเลีย | death_cause = การลอบสังหารจูเลียส ซีซาร์|ถูกลอบสังหาร (stab wounds|บาดแผลจากการถูกแทง) | resting_place = Temple of Caesar|วิหารซีซาร์, โรม | resting_place_coordinates = | nationality = | occupation = | years_active = | organization = | known_for = | notable_works = ubl|| | net_worth = | office = | opponents = | spouse = | partner = คลีโอพัตรา | children = | parents = Gaius Julius Caesar (proconsul of Asia)|กาอิอุส ยูลิอุส ไกซาร์ และ Aurelia (mother of Caesar)|เอาเรลิอา | relatives = | family = | awards = | module = Infobox military person|embed=yes | serviceyears = 81–45 ปีก่อน ค.ศ. | serviceyears_label = ปี | battles = | battles_label = สงคราม | awards = Civic Crown|มงกุฎพลเมือง '''กาอิอุส ยูลิอุส ไกซาร์''' ( ) หรือ '''จูเลียส ซีซาร์''' (; 12 กรกฎาคม 100 ปีก่อน ค.ศ. – 15 มีนาคม 44 ปีก่อน ค.ศ.) เป็นรัฐบุรุษ แม่ทัพ และผู้ประพันธ์ร้อยแก้วอันเลื่องชื่อชาวโรมัน เขามีบทบาทสำคัญในเหตุการณ์อันนำไปสู่การสิ้นสุดสาธารณรัฐโรมันและความเจริญของจักรวรรดิโรมัน ใน 60 ปีก่อน ค.ศ. ซีซาร์, มาร์กุส ลิกินิอุส กรัสซุส|กรัสซุส และปอมปีย์ ตั้งพันธมิตรทางการเมืองซึ่งจะครอบงำการเมืองโรมันไปอีกหลายปี ความพยายามของพวกเขาในการสั่งสมอำนาจผ่านยุทธวิธีประชานิยมถูกชนชั้นปกครองอนุรักษนิยมในวุฒิสภาโรมันคัดค้าน ซึ่งในบรรดานั้นมีCato the Younger|กาโตผู้เยาว์ (Cato the Younger) ด้วยการสนับสนุนบ่อยครั้งของกิแกโร ชัยชนะของซีซาร์ในสงครามกอล ซึ่งสมบูรณ์ใน 51 ปีก่อน ค.ศ. ขยายดินแดนของโรมันไปถึงช่องแคบอังกฤษและแม่น้ำไรน์ ซีซาร์เป็นแม่ทัพโรมันคนแรกที่ข้ามทั้งสองเมื่อเขาสร้างสะพานข้ามแม่น้ำไรน์และบุกครองบริเตนครั้งแรก ความสำเร็จเหล่านี้ทำให้เขามีอำนาจทางทหารซึ่งไม่มีผู้ใดเทียม และคุกคามฐานะของพอมพีย์ซึ่งเปลี่ยนไปเข้ากับวุฒิสภาหลังกรัสซุสเสียชีวิตใน 53 ปีก่อน ค.ศ. เมื่อสงครามกอลยุติ วุฒิสภาสั่งซีซาร์ให้ลงจากตำแหน่งบังคับบัญชาทหารของเขาและกลับกรุงโรม ซีซาร์ปฏิเสธคำสั่งนั้นและใน 49 ปีก่อน ค.ศ. ท้าทายโดยการข้ามแม่น้ำรูบิคอน|แม่น้ำรุบิโกพร้อมด้วยทหารหนึ่งลีเจียนโรมัน|ลีเจียน ทิ้งมณฑลของเขาและเข้าอิตาลีภายใต้อาวุธอย่างมิชอบด้วยกฎหมาย เกิดสงครามกลางเมืองซีซาร์|สงครามกลางเมืองตามมา และชัยชนะของซีซาร์ในสงครามทำให้เขามีฐานะอำนาจและอิทธิพลโดยไร้คู่แข่ง หลังเข้าควบคุมรัฐบาล ซีซาร์เริ่มโครงการปฏิรูปสังคมและรัฐบาล รวมทั้งการสถาปนาปฏิทินจูเลียน เขารวมระบบข้าราชการประจำของสาธารณรัฐเข้าสู่ศูนย์กลางและสุดท้ายประกาศตนเป็น "ผู้เผด็จการโรมัน|ผู้เผด็จการตลอดชีพ" ทำให้เขายิ่งมีอำนาจมากขึ้นไปอีก แต่ความขัดแย้งทางการเมืองใต้น้ำยังไม่สงบ และในไอดส์มีนาคม (Ides of March) คือ 15 มีนาคม 44 ปีก่อน ค.ศ. ซีซาร์ถูกกลุ่มสมาชิกวุฒิสภากบฏการลอบสังหารจูเลียส ซีซาร์|ลอบสังหาร นำโดยมาร์กุส ยูนิอุส บรูตุสผู้ลูก ผู้ซึ่งเป็นคนสนิทและเป็นเสมือนลูกศิษย์ โดยพูดเป็นประโยคสุดท้ายเป็นภาษาละตินว่า ''"Et tu Brute"'' (เจ้าด้วยหรือ บรูตุส)Woolf Greg (2006), ''Et Tu Brute? – The Murder of Caesar and Political Assassination'', 199 pages – ISBN 1-86197-741-7 สงครามครั้งสุดท้ายของสาธารณรัฐโรมัน|สงครามกลางเมืองชุดใหม่อุบัติ และรัฐบาลสาธารณรัฐอันมีรัฐธรรมนูญไม่เคยถูกฟื้นฟูอย่างสมบูรณ์ อ็อกตาวิอุส ทายาทบุญธรรมของซีซาร์ ซึ่งภายหลังรู้จักกันในพระนาม จักรพรรดิเอากุสตุส เถลิงอำนาจแต่ผู้เดียวหลังพิชิตศัตรูในสงครามกลางเมืองนั้น อ็อกตาวิอุสรวบรวมอำนาจและเริ่มสมัยจักรวรรดิโรมัน คนรู้จักชีวิตส่วนมากของซีซาร์จากบันทึกการทัพของเขาเองและจากแหล่งข้อมูลร่วมสมัยอื่น ส่วนใหญ่เป็นจดหมายและสุนทรพจน์ของกิแกโรและงานเขียนประวัติศาสตร์ของแซลลัสต์ (Sallust) เป็นหลัก ชีวประวัติซีซาร์ในภายหลังโดยซุเอโตนิอุสและพลูทาร์กก็เป็นแหล่งข้อมูลหลักเช่นกัน นักประวัติศาสตร์หลายคนถือซีซาร์เป็นผู้บัญชาการทหารที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในประวัติศาสตร์คนหนึ่ง == อ้างอิง == ==ข้อมูล== ===ข้อมูลปฐมภูมิ=== ====ผลงานตนเอง==== * http://dcc.dickinson.edu/caesar/caesar-introduction Dickinson College Commentaries: Selections from the ''Gallic War'' * http://www.forumromanum.org/literature/caesarx.html Forum Romanum Index to Caesar's works online in Latin and translation * * * ====งานเขียนนักประวัติศาสตร์สมัยโบราณ==== * https://penelope.uchicago.edu/Thayer/E/Roman/Texts/Appian/Civil_Wars/2*.html Appian, Book 13 (แปลอังกฤษ) * https://penelope.uchicago.edu/Thayer/E/Roman/Texts/Cassius_Dio/37*.html Cassius Dio, Books&nbsp;37–44 (แปลอังกฤษ) * http://classics.mit.edu/Plutarch/antony.html Plutarch on Antony (แปลอังกฤษ, Dryden edition) * https://penelope.uchicago.edu/Thayer/E/Roman/Texts/Plutarch/Lives/Caesar*.html Plutarch: The Life of Julius Caesar (แปลอังกฤษ) * https://penelope.uchicago.edu/Thayer/E/Roman/Texts/Plutarch/Lives/Antony*.html Plutarch: The Life of Mark Antony (แปลอังกฤษ) * https://penelope.uchicago.edu/Thayer/L/Roman/Texts/Suetonius/12Caesars/Julius*.html Suetonius: The Life of Julius Caesar. (ภาษาลาตินและอังกฤษ, cross-linked: แปลอังกฤษโดย J.&nbsp;C.&nbsp;Rolfe) * http://www.fordham.edu/halsall/ancient/suetonius-julius.html Suetonius: The Life of Julius Caesar (แปลอังกฤษโดย J.&nbsp;C.&nbsp;Rolfe, ปรับปรุงแล้ว) ===ข้อมูลทุติยภูมิ=== * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * ==แหล่งข้อมูลอื่น== * * https://web.archive.org/web/20101129220004/http://virgil.org/caesar/ Guide to online resources * http://www.vroma.org/~bmcmanus/caesar.html History of Julius Caesar * https://www.bbc.co.uk/history/historic_figures/caesar_julius.shtml Julius Caesar at https://www.bbc.co.uk/history/ BBC History * Grey, D. https://web.archive.org/web/20160113125550/http://cliojournal.wikispaces.com/The%2BAssassination%2Bof%2BCaesar The Assassination of Caesar, Clio History Journal, 2009. * https://web.archive.org/web/20170402081306/https://piavindex.wordpress.com/2017/04/01/caesar-courage-and-charisma/ Caesar: Courage and Charisma * หมวดหมู่:จูเลียส ซีซาร์| หมวดหมู่:ทหารชาวโรมัน หมวดหมู่:บุคคลในศตวรรษที่ 1 ก่อนคริสตกาล หมวดหมู่:บุคคลที่ถูกลอบสังหาร หมวดหมู่:เสียชีวิตจากอาวุธมีคม หมวดหมู่:บุคคลที่ถูกจับโดยโจรสลัด หมวดหมู่:ประมุขแห่งรัฐที่ถูกลอบสังหาร หมวดหมู่:บุคคลที่เกิดในปี พ.ศ. 444 หมวดหมู่:บุคคลที่เสียชีวิตในปี พ.ศ. 500
จูเลียส ซีซาร์
Infobox pageant titleholder | name = เจนนิเฟอร์ ฮอว์กินส์ | title = มิสยูนิเวิร์สออสเตรเลีย 2004(ชนะเลิศ)นางงามจักรวาล 2004(ชนะเลิศ) | image = Jennifer Hawkins 2015.jpg | caption = ฮอว์กินส์ในปี 2015 | occupation = | birth_place = รัฐนิวเซาท์เวลส์ ประเทศออสเตรเลีย | birth_name = | birth_date = | spouse = | height = | eye_color = ฟ้า | hair_color = บลอนด์ | children = 1 '''เจนนิเฟอร์ ฮอว์กินส์''' () เป็นนางแบบ พิธีกร และนางงามชาวออสเตรเลีย เป็นผู้ได้รับตำแหน่งนางงามจักรวาล 2004 ที่ประเทศเอกวาดอร์ โดยเธอเป็นผู้เข้าประกวดคนที่สองจากประเทศออสเตรเลียที่ได้รับเลือกให้เป็นนางงามจักรวาล เธอเคยเป็นพิธีกรดำเนินรายการหลายรายการของออสเตรเลีย เช่น ออสเตรเลียส์เน็กซต์ท็อปโมเดล นอกจากนี้ ฮอว์กินส์ยังเป็นผู้ก่อตั้งและประธานบริหารของแบรนด์ชุดว่ายนำ้ Cozi by Jennifer Hawkins และผลิตภัณฑ์บำรุงผิว Jbronze ที่ประสบความสำเร็จอย่างมาก ==ชีวิตส่วนตัว== เมื่อวันที่ 4 มิถุนายน 2013 ฮอว์กินส์แต่งงานกับเจก วอลล์ ที่บาหลี ประเทศอินโดนีเซีย โดยทั้งคู่คบหากันนานถึง 8 ปี ก่อนที่วอลล์จะขอฮอว์กินส์แต่งงานที่ประเทศนิวซีแลนด์ในปี 2012 เมื่อวันที่ 22 ตุลาคม 2019 เธอประกาศว่าเธอได้ให้กำเนิดลูกสาวคนแรก ชื่อ แฟรงกี ไวโอเล็ต ==อ้างอิง== == แหล่งข้อมูลอื่น == * http://jenniferhawkins.com.au/ Official website หมวดหมู่:นางแบบออสเตรเลีย หมวดหมู่:ผู้ชนะการประกวดนางงามจักรวาล หมวดหมู่:บุคคลจากซิดนีย์ หมวดหมู่:ผู้ชนะการประกวดนางงาม
เจนนิเฟอร์ ฮอว์กินส์
ไฟล์:Amelia Vega6.jpg|thumb|200px|อาเมเลีย เบกา '''อาเมเลีย เบกา โปลังโก''' () เกิดเมื่อวันที่ 7 พฤศจิกายน พ.ศ. 2527 ที่เมืองซานเตียโกเดโลสกาบาเยโรส สาธารณรัฐโดมินิกัน เป็นนางงามจักรวาลปี พ.ศ. 2546 บวกกับการตอบคำถามที่แสดงถึงความเป็นตัวของเธอเองมากที่สุด จึงชนะใจกรรมการได้ครองมงกุฎนางงามจักรวาล อาเมเลียเป็นชาวโดมินิกันคนแรกที่ได้ครองตำแหน่งอันทรงเกียรตินี้ และเป็นนางงามจักรวาลที่มีส่วนสูงมากที่สุดตั้งแต่เคยมีมา สามีของอาเมเลียคืออัล ฮอว์ฟอร์ด นักบาสเกตบอลลีกเอ็นบีเอชาวโดมินิกันเช่นกัน สังกัดทีมบอสตันเซลติก มีลูกสาวหนึ่งคน อาเมเลียออกอัลบั้มเพลงที่สาธารณรัฐโดมินิกัน และเปิดร้านเสื้อผ้าที่ไมแอมี รัฐฟลอริดา หมวดหมู่:ผู้ชนะการประกวดนางงามจักรวาล|อาเมเลีย บเบกา หมวดหมู่:ชาวโดมินิกัน หมวดหมู่:ผู้ชนะการประกวดนางงาม
อาเมเลีย เบกา
File:1997 Events Collage.png|ตามเข็มนาฬิกาจากซ้าย: ฉากภาพยนตร์ ''ไททานิค (ภาพยนตร์)|ไททานิค'' ภาพยนตร์ที่มีรายชื่อภาพยนตร์ที่ทำเงินสูงสุด|รายได้สูงสุดในขณะนั้น; ตีพิมพ์ ''แฮร์รี่ พอตเตอร์กับศิลาอาถรรพ์''; ดาวหางเฮล-บอปป์โคจรผ่านโลกและกลายเป็นหนึ่งในดาวหางที่มีผู้สังเกตมากที่สุดในคริสต์ศตวรรษที่ 20; จัตุรัสดอกชงโคทองคำที่มีการHandover of Hong Kong|ส่งมอบอำนาจอธิปไตยของฮ่องกงจากสหราชอาณาจักรให้แก่สาธารณรัฐประชาชนจีน; น้ำท่วมในยุโรปตะวันออก พ.ศ. 2540 ทำให้มีผู้เสียชีวิต 114 คนในเช็กเกีย, โปแลนด์ และเยอรมนี; โคเรียนแอร์ เที่ยวบินที่ 801 ตกลงมาในช่วงที่มีฝนตกหนักที่กวม ทำให้มีผู้เสียชีวิต 229 คน; ''Mars Pathfinder'' และ ''Sojourner (rover)|Sojourner'' ลงจอดบนดาวอังคาร; ดอกไม้นอกพระราชวังเค็นซิงตันหลังการเสียชีวิตของไดอานา เจ้าหญิงแห่งเวลส์จากรถชนที่ปารีส|300x300px|thumb|right '''พุทธศักราช 2540''' ตรงกับปีคริสต์ศักราช 1997 เป็นปีปกติสุรทินที่วันแรกเป็นวันพุธตามปฏิทินเกรกอเรียน และเป็น * ปีฉลู นพศก จุลศักราช 1359 (วันที่ 16 เมษายน เป็นวันเถลิงศก) == ผู้นำประเทศไทย == * '''พระมหากษัตริย์''': พระบาทสมเด็จพระมหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร|พระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร (9 มิถุนายน พ.ศ. 2489 – 13 ตุลาคม พ.ศ. 2559) * '''นายกรัฐมนตรี''' ** ชวลิต ยงใจยุทธ|พลเอก ชวลิต ยงใจยุทธ (25 พฤศจิกายน พ.ศ. 2539 – 8 พฤศจิกายน พ.ศ. 2540) ** ชวน หลีกภัย|นายชวน หลีกภัย (9 พฤศจิกายน พ.ศ. 2540 – 9 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2544) == เหตุการณ์ == === กุมภาพันธ์ === * 22 กุมภาพันธ์ – นักวิทยาศาสตร์ที่สถาบันรอสลินในสกอตแลนด์ ประกาศความสำเร็จในการโคลนแกะชื่อ ''"ดอลลี (แกะ)|ดอลลี่"'' === เมษายน === * 1 เมษายน - โปเกมอนอนิเมะซีซันแรกเริ่มออกอากาศเป็นตอนแรกในญี่ปุ่น * 22 เมษายน – คอมมานโดเข้าจู่โจมช่วยเหลือตัวประกันในที่พักของทูตประเทศญี่ปุ่น|ญี่ปุ่น ณ เมืองลิมา ประเทศเปรู === พฤษภาคม === * 2 พฤษภาคม – โทนี แบลร์ได้รับเลือกตั้งเป็นนายกรัฐมนตรีของสหราชอาณาจักร และนับเป็นนายกรัฐมนตรีที่อายุน้อยที่สุดในรอบ 185 ปี * 14 พฤษภาคม – วิกฤตการณ์ทางการเงินในเอเชีย พ.ศ. 2540|วิกฤติเศรษฐกิจเอเชีย พ.ศ. 2540: ผู้บริหารธนาคารแห่งประเทศไทยลงมติให้ดำเนินการแทรกแซงค่าบาท (สกุลเงิน)|เงินบาทโดยไม่จำกัดวงเงิน และใช้เงินมากกว่า 12,500 ล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือ 425,000 ล้านบาท เพื่อปกป้องค่าเงินบาทจากการโจมตีของนักเก็งกำไร === มิถุนายน === * 26 มิถุนายน – '''แฮร์รี่ พอตเตอร์กับศิลาอาถรรพ์''' นวนิยายเล่มแรกในชุด'''แฮร์รี่ พอตเตอร์''' โดย เจ.เค. โรว์ลิ่ง ออกวางจำหน่ายวันเดียวกัน === กรกฎาคม === * 1 กรกฎาคม – สหราชอาณาจักรส่งมอบฮ่องกงคืนให้กับจีน|สาธารณรัฐประชาชนจีน * 4 กรกฎาคม – ยานมาร์สพาทไฟน์เดอร์ขององค์การนาซาลงจอดบนพื้นผิวดาวอังคาร * 10 กรกฎาคม – นักวิทยาศาสตร์ในกรุงลอนดอนรายงานผลการวิเคราะห์ดีเอ็นเอ ที่ได้จากโครงกระดูกของมนุษย์ นีแอนเดอร์ทาล ผลการวิเคราะห์นี้สนับสนุนทฤษฎีออกจากแอฟริกาที่กล่าวว่า มนุษย์ในปัจจุบันมีวิวัฒนาการมาจากมนุษย์ที่อาศัยอยู่ในทวีปแอฟริกาเมื่อประมาณ 100,000-200,000 ปีก่อน === สิงหาคม === * 6 สิงหาคม – เครื่องบินโบอิง 747|โบอิง 747-300 ของสายการบินโคเรียนแอร์ เที่ยวบินที่ 801 ตกในเขตป่าของเกาะกวม ขณะมุ่งหน้าไปยังสนามบิน ทำให้มีผู้เสียชีวิต 228 คน === กันยายน === * 4 กันยายน - มือระเบิดพลีชีพสังกัดกลุ่มฮามาส วางระเบิดห้างสรรพสินค้าเบนเยฮูดาในกรุงเยรูซาเลม มีผู้เสียชีวิต 8 คน === ตุลาคม === * 11 ตุลาคม _ หลักฐานความสำเร็จของการปฏิรูปการเมืองไทย ใน 11 เดือน รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2540ประกาศใช้ * 15 ตุลาคม – องค์การนาซาส่งยานกัสซีนี–เฮยเคินส์ขึ้นสู่อวกาศเพื่อเดินทางไปสำรวจดาวเสาร์ === พฤศจิกายน === * 17 พฤศจิกายน - เกิดเหตุลอบสังหารนักท่องเที่ยวที่วิหารฮัตเซปซุตใกล้เมืองลักซอร์ ประเทศอียิปต์ มีผู้เสียชีวิต 58 คน == วันเกิด == === มกราคม === * 5 มกราคม - ณัฐชยกานต์ ปากหวาน นักแสดงชาวไทย * 7 มกราคม - อะยุมิ อิชิดะ นักร้องชาวญี่ปุ่น * 13 มกราคม - มาริอุส บอร์ก เฮออิบี * 20 มกราคม - นภสร วีระยุทธวิไล นักร้อง นักแสดง แพทย์หญิงชาวไทย * 22 มกราคม - เอะริกะ อิคุตะ นักร้องชาวญี่ปุ่น * 25 มกราคม - ธนัชชัย วิจิตรวงศ์ทอง นักแสดงชายชาวไทย * 31 มกราคม ** โช มี-ย็อน (มีย็อน) สมาชิกเกิร์ลกรุ๊ปวงไอเดิล ** ณัฐชา รัตน์ชยางคานนท์ นักแสดงชาวไทย === กุมภาพันธ์ === * 1 กุมภาพันธ์ – พัก จี-ฮโย (จีฮโย) สมาชิกเกิร์ลกรุ๊ปวงทไวซ์ * 2 กุมภาพันธ์ - แคเมอรอน บอร์ธวิก-แจ็กสัน ผู้เล่นสโมสรฟุตบอลแมนเชสเตอร์ยูไนเต็ด * 3 กุมภาพันธ์ - พัศชนันท์ เจียจิรโชติ สมาชิกวงบีเอ็นเคโฟร์ตีเอต * 10 กุมภาพันธ์ - โคลอี มอเรตซ์ นักแสดงชาวอเมริกัน * 11 กุมภาพันธ์​ -​ พัก แช-ย็อง​ (โรเซ ​แบล็กพิงก์)​ศิลปินชาวเกาหลีใต้ * 14 กุมภาพันธ์ ** แจฮย็อน ศิลปินชาวเกาหลีใต้ สมาชิกวง เอ็นซีที,เอ็นซีที 127 ** ณัฐณิชา ชมดี นักร้องชาวไทย ** ฑิชาญา บุญเลิศ นักวอลเลย์บอลหญิงชาวไทย ** เติมเศวตชัย นาคสุข นักแสดงชายชาวไทย * 18 กุมภาพันธ์ - อีซอกมิน ดีเค หรือโดกย็อม สมาชิกบอยแบนด์วงเซเวนทีน (วงดนตรี)|เซเวนทีน * 20 กุมภาพันธ์ - เสฎฐวุฒิ อนุสิทธิ์ นักแสดงชายชาวไทย * 24 กุมภาพันธ์ - มะอิระ คูยามา นักร้องชาวญี่ปุ่น * 25 กุมภาพันธ์ ** อาซิลลา ซี นักร้องชาวอินโดนีเซีย ** อิซาเบล เฟอร์แมน นักแสดงชาวอเมริกัน * 26 กุมภาพันธ์ - เจิ้ง ซีเหวย์ นักแบดมินตันชาวจีน === มีนาคม === * 2 มีนาคม - ณัฐวีร์ กล่อมพงษ์ นักเทควันโดชาวไทย * 4 มีนาคม ** คว็อน ฮย็อน-บิน นักร้อง นักแสดง และนายแบบเกาหลี ** พลอยไพลิน ตั้งประภาพร นักแสดง ยูทูบเบอร์ชาวไทย * 8 มีนาคม ** จูรินะ มัตสึอิ นักร้องป็อปหญิงญี่ปุ่น ** หฤษฎ์ ชีวการุณ นักแสดงชายชาวไทย * 9 มีนาคม - จิรัชพงศ์ ศรีแสง นักแสดงชายชาวไทย * 10 มีนาคม - ปวรวรรณ วีระภุชงค์ นักแสดงชาวไทย * 13 มีนาคม - รูแบน แนวึช นักฟุตบอลชาวโปรตุเกส * 20 มีนาคม ** รชยา ทัพพ์คุณานนต์ สมาชิกวงบีเอ็นเคโฟร์ตีเอต ** แสงมณี ส.เทียนโพธิ์ นักมวยชาวไทย * 24 มีนาคม ** จอร์แดน รอสซิเตอร์ นักฟุตบอลชาวอังกฤษ ** มินะ เมียวอิ (มินะ) สมาชิกเกิร์ลกรุ๊ปวงทไวซ์ * 27 มีนาคม​ -​ ลลิษา มโนบาล นักร้องชาวไทย * 30 มีนาคม ** ตฤณญา มอร์สัน นักแสดงชาวไทย ** ชา อึน-อู นักแสดงและสมาชิกบอยแบนด์วงอัสโตร === เมษายน === * 1 เมษายน - เอซา บัตเตอร์ฟีลด์ นักแสดงชาวอังกฤษ * 6 เมษายน ** รมิดา ธีรพัฒน์ นักแสดงหญิงชาวไทย ** คิม มิน-กยู (นักร้อง)|คิม มิน-กยู สมาชิกบอยแบนด์วงเซเวนทีน (วงดนตรี)|เซเวนทีน * 9 เมษายน - กานต์ธีรา วัชรทัศนกุล (เนย) สมาชิกวงBNK48 * 18 เมษายน - ปณิตา ธนโชติธรากร นักร้องชาวไทย * 27 เมษายน - ธีรดนย์ ศุภพันธุ์ภิญโญ (เจมส์) นักแสดงชายชาวไทย === พฤษภาคม === * 2 พฤษภาคม ** กันต์พิมุกต์ ภูวกุล (แบมแบม) สมาชิกบอยแบนด์วงก็อตเซเวน ** หม่อง ทองดี นักกีฬาร่อนเครื่องบินชาวไทย * 7 พฤษภาคม - ยูรี ตีเลอมันส์ นักฟุตบอลชาวเบลเยียม * 21 พฤษภาคม - ปุริม รัตนเรืองวัฒนา นักแสดงชาวไทย === มิถุนายน === * 4 มิถุนายน - อนุธิดา อิ่มทรัพย์ นักแสดงชาวไทยเชื้อสายเยอรมัน * 5 มิถุนายน - สุทัตตา อุดมศิลป์ (ปันปัน) นักแสดงชาวไทย * 10 มิถุนายน - ชนัญญา แสนเดช นักร้องชาวไทย * 21 มิถุนายน - แฟร์ดีนันด์ ซโวนีมีร์ ฟอน ฮับส์บูร์ก เจ้าชายฮังการี * 23 มิถุนายน - เฉิน ชิงเฉิน นักแบดมินตันชาวจีน * 25 มิถุนายน - พรนับพัน พรเพ็ญพิพัฒน์ (เนเน่) สมาชิกเกิร์ลกรุ๊ปวงบงบงเกิลส์ 303 * 26 มิถุนายน - แบ็ก เย-ริน นักดนตรีชาวเกาหลีใต้ * 30 มิถุนายน - สรรเสริญ ลิ้มวัฒนะ นักฟุตบอลชาวไทย === กรกฎาคม === * 3 กรกฎาคม - ญาณกวี บุษราคัมวดี นักแสดงชาวไทย * 4 กรกฎาคม - ณธษา เวชประสิทธิ์ นักแสดงหญิงชาวไทย * 5 กรกฎาคม - พัก จี-มิน นักร้องชาวเกาหลีใต้ * 7 กรกฎาคม - เอะรินะ อิกุตะ นักแสดงชาวญี่ปุ่น * 12 กรกฎาคม - มะลาละห์ ยูซัฟซัย นักเคลื่อนไหวชาวปากีสถาน * 19 กรกฎาคม - ปลื้ม พงษ์พิศาล นักแสดงชายชาวไทย * 26 กรกฎาคม - นรีกุล เกตุประภากร (ฟรัง) นักแสดงหญิงชาวไทย === สิงหาคม === * 4 สิงหาคม - วรัทยา ดีสมเลิศ (ไข่มุก) สมาชิกวงBNK48 * 5 สิงหาคม ** สวี เจียว นักแสดงชาวจีน ** หวัง อี้ป๋อ นักแสดง นักร้องชาวจีน * 8 สิงหาคม ** พาณิภัค วงศ์พัฒนกิจ นักกีฬาเทควันโดทีมชาติไทย ** ภูสิษฐ์ ดิษฐพิสิษฐ์ นักแสดงชายชาวไทย * 10 สิงหาคม - ไคลี เจนเนอร์ ผู้มีชื่อเสียงจากรายการเรียลลิตี นางแบบ นักลงทุน สาวสังคม และผู้มีชื่อเสียงทางบริการเครือข่ายสังคม * 13 สิงหาคม - ยอ จิน-กู นักแสดงชาวเกาหลีใต้ * 16 สิงหาคม - เกรย์สัน แชนซ์ นักร้องชาวอเมริกัน * 18 สิงหาคม ** ธัญชนก กู๊ด นักแสดงลูกครึ่งไทย-อังกฤษ ** รือนาตู ซังชึช นักฟุตบอลชาวโปรตุเกส * 21 สิงหาคม - หัสวีร์ ภัคพงษ์ไพศาล นักแสดงชายชาวไทย * 27 สิงหาคม - วรัทยา ดีสมเลิศ สมาชิกวงบีเอ็นเคโฟร์ตีเอต === กันยายน === * 1 กันยายน - จ็องกุก นักร้องชาวเกาหลีใต้ สมาชิกวง บีทีเอส (กลุ่มนักร้อง)|บีทีเอส * 11 กันยายน - เอ โมะริซะโกะ นักแสดงชาวญี่ปุ่น * 12 กันยายน - ดีลิเลียน อัลฟอร์ด นักร้องชาวไทย * 14 กันยายน ** ดอมินิก โชลังเก นักฟุตบอลชาวอังกฤษ ** พรรณนภา หาญสุจินต์ นักเทควันโดชาวไทย * 17 กันยายน - กวน เสี่ยวถง นักแสดงชาวจีน * 18 กันยายน - มณีภัสสร มอลลอย นักร้องหญิงชาวไทย === ตุลาคม === * 3 ตุลาคม - คริสโตเฟอร์ บัง (บังชาน) สมาชิกบอยแบนด์วงสเตรย์คิดส์ * 4 ตุลาคม ** ยูจู หรือ ชเว ยูนา ศิลปินเดี่ยว, อดีตสมาชิกเกิร์ลกรุปวง จีเฟรนด์ ** นิกอลา วลาชิช นักฟุตบอลชาวโครเอเชีย ** นัตยา ทองเสน นักแสดงหญิงชาวไทย ** สุพิชฌาย์ ศรีสวัสดิ์ นักแสดงและนางแบบชาวไทย * 10 ตุลาคม - จิดาภา แช่มช้อย (แพนด้า) สมาชิกวง BNK48 * 18 ตุลาคม - วิชยุตม์ ลิ่มรัตนะมงคล นักแสดงชายชาวไทย * 21 ตุลาคม - มนธภูมิ สุมนวรางกูร นักร้องชาวไทย * 23 ตุลาคม - ปิยภูมิ ธนวณิชตระกูล นักร้องชาวไทย * 23 ตุลาคม - ณิชา ยนตรรักษ์ (มินนี่) สมาชิกเกิร์ลกรุ๊ปวงไอเดิล * 24 ตุลาคม - พัก โซ-ย็อน (นักกีฬา)|พัก โซ-ย็อน นักกีฬาหญิงชาวเกาหลีใต้ * 28 ตุลาคม - วินวิน สมาชิกบอยแบนด์วงเวย์วี * 30 ตุลาคม - หิรัญกฤษฎิ์ ช่างคำ นักแสดงชายชาวไทย * 31 ตุลาคม - มาร์คัส แรชฟอร์ด นักฟุตบอลชาวอังกฤษ === พฤศจิกายน === * 6 พฤศจิกายน - อานนท์ อมรเลิศศักดิ์ นักฟุตบอลทีมชาติไทย * 7 พฤศจิกายน - ดิเอต หรือ (ซอมยองโฮ) สมาชิกบอยแบนด์วงเซเวนทีน (วงดนตรี)|เซเวนทีน * 9 พฤศจิกายน - ศิลป์ชนก คล้ายแต้ นักร้องชาวไทย * 16 พฤศจิกายน - ณัฐนิชา เชิดชูบุพการี นักร้อง และนักแสดงชาวไทย (ถึงแก่กรรมเมื่อวันที่ 7 เมษายน พ.ศ. 2561) * 17 พฤศจิกายน – คิม ยู-กย็อม สมาชิกบอยแบนด์วงก็อตเซเวน === ธันวาคม === * 1 ธันวาคม - ธีรชา ไรวา นักร้องชาวไทย * 4 ธันวาคม - คณาวุฒิ ไตรพิพัฒนพงษ์ นักแสดงชาวไทย * 16 ธันวาคม - พรชดา วราพชระ นักแสดงชาวไทย * 25 ธันวาคม - วิชญ์ภาส สุเมตติกุล นักแสดงชาวไทย * 27 ธันวาคม - วชิรวิชญ์ ชีวอารี นักร้องและนักแสดงชาวไทย == วันถึงแก่กรรม == * 19 กุมภาพันธ์ - เติ้ง เสี่ยวผิง นักการเมืองจีน (เกิด 22 สิงหาคม พ.ศ. 2447) * 28 กุมภาพันธ์ - เจ้าชายเบร์ติล ดยุกแห่งฮัลลันด์ (ประสูติ 28 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2455) * 15 กรกฎาคม - จานนี เวอร์ซาเช นักออกแบบแฟชั่นชาวอิตาลี (เกิด 2 ธันวาคม พ.ศ. 2489) * 18 กรกฎาคม - ยูจีน ชูเมกเกอร์ นักธรณีวิทยาชาวอเมริกัน (เกิด 28 เมษายน พ.ศ. 2471) * 28 กรกฎาคม - หม่อมราชวงศ์เสนีย์ ปราโมช อดีตนายกรัฐมนตรีไทย (เกิด 26 พฤษภาคม พ.ศ. 2448) * 4 สิงหาคม - ฌาน กาลม็อง อภิศตวรรษิกชนชาวฝรั่งเศส (เกิด 21 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2418) * 31 สิงหาคม - ไดอานา เจ้าหญิงแห่งเวลส์ (ประสูติ 1 กรกฎาคม พ.ศ. 2504) * 5 กันยายน - แม่ชีเทเรซา มิชชันนารีชาวแอลเบเนีย (เกิด 27 สิงหาคม พ.ศ. 2453) * 12 ตุลาคม - จอห์น เดนเวอร์ นักร้องและนักแต่งเพลงชาวอเมริกัน (เกิด 31 ธันวาคม พ.ศ. 2486) == ปีนี้ในบันเทิงคดี == * เพื่อน..ที่ระลึก (พ.ศ. 2560) - อิ๊บ ลูกสาวเศรษฐีร้อยล้านการฆ่าตัวตาย|ฆ่าตัวตายโดยการยิงปืนจ่อขมับ ณ สาธร ยูนีค ทาวเวอร์|ตึกสาธรยูนิค == รางวัล == === รางวัลโนเบล === ไฟล์:NobelP2.png|right|151x151px * รางวัลโนเบลสาขาเคมี|สาขาเคมี – Paul D. Boyer, John E. Walker, Jens C. Skou * รางวัลโนเบลสาขาวรรณกรรม|สาขาวรรณกรรม – ดาริโอ โฟ * รางวัลโนเบลสาขาสันติภาพ|สาขาสันติภาพ – International Campaign to Ban Landmines, โจดี วิลเลียมส์ * รางวัลโนเบลสาขาฟิสิกส์|สาขาฟิสิกส์ – สตีเฟน ชู, โคลด โคเฮน-ทานนุดจิ, วิลเลียม แดเนียล ฟิลลิพส์ * รางวัลโนเบลสาขาสรีรวิทยาหรือการแพทย์|สาขาสรีรวิทยาหรือการแพทย์ – สแตนลีย์ บี. พรุสซิเนอร์ * รางวัลโนเบลสาขาเศรษฐศาสตร์|สาขาเศรษฐศาสตร์ – Robert C. Merton, Myron S. Scholes == แหล่งข้อมูลอื่น == หมวดหมู่:พ.ศ. 2540|
พ.ศ. 2540
กล่องข้อมูล ผู้ดำรงตำแหน่ง | name = อดอล์ฟ ฮิตเลอร์ | image = Hitler portrait crop.jpg | caption = ภาพถ่ายทางการ ค.ศ. 1938 | order = ฟือเรอร์|''ฟือเรอร์''แห่งเยอรมนี | term_start = 2 สิงหาคม ค.ศ. 1934 | term_end = 30 เมษายน ค.ศ. 1945 | predecessor = เพาล์ ฟ็อน ฮินเดินบวร์ค(ประธานาธิบดี) | successor = คาร์ล เดอนิทซ์(ประธานาธิบดี) | order2 = นายกรัฐมนตรีเยอรมนี | president2 = เพาล์ ฟ็อน ฮินเดินบวร์ค | deputy2 = ฟรันทซ์ ฟ็อน พาเพิน''ตำแหน่งว่าง'' | term_start2 = 30 มกราคม ค.ศ. 1933 | term_end2 = 30 เมษายน ค.ศ. 1945 | predecessor2 = ควร์ท ฟ็อน ชไลเชอร์ | successor2 = โยเซ็ฟ เกิบเบิลส์ | birth_date = | birth_place = เบราเนาอัมอิน จักรวรรดิออสเตรีย-ฮังการี | death_date = | death_place = เบอร์ลิน นาซีเยอรมนี | death_cause = อสัญกรรมของอดอล์ฟ ฮิตเลอร์|ยิงตัวตายด้วยอาวุธปืน | party = พรรคนาซี (ตั้งแต่ 1920) | otherparty = พรรคกรรมกรเยอรมัน (1919–1920) | citizenship = | parents = | spouse = | cabinet = คณะรัฐมนตรีฮิตเลอร์ | signature = Hitler’s signature (1944).svg | allegiance = | branch = * กองทัพบกจักรวรรดิเยอรมัน ** กองทัพบกบาวาเรีย * ''ไรชส์แวร์'' | serviceyears = 1914–1920 | rank = unbulleted list|สิบตรีกองประจำการ () | battles = * สงครามโลกครั้งที่หนึ่ง ** แนวรบด้านตะวันตก (สงครามโลกครั้งที่หนึ่ง)|แนวรบด้านตะวันตก *** ยุทธการที่อีเปอร์ครั้งที่หนึ่ง *** ยุทธการที่แม่น้ำซอม *** ยุทธการที่อารัส (ค.ศ. 1917)|ยุทธการที่อารัส *** สมรภูมิรบพาสเชนเดล * สงครามโลกครั้งที่สอง | awards = | native_name = '''อดอล์ฟ ฮิตเลอร์''' ( ; 20 เมษายน ค.ศ. 1889 – 30 เมษายน ค.ศ. 1945) เป็นนักการเมืองชาวเยอรมันเชื้อชาติออสเตรีย หัวหน้าพรรคนาซี ฮิตเลอร์ดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีเยอรมนี ระหว่าง ค.ศ. 1933–1945 และเป็น''ฟือเรอร์''ของเยอรมนี ตั้งแต่ ค.ศ. 1934–1945 ฮิตเลอร์เป็นผู้นำสูงสุดของนาซีเยอรมนี|ไรช์เยอรมัน ผู้จุดชนวนสงครามโลกครั้งที่สองในทวีปยุโรป โดยเป็นที่ทราบกันดีในประวัติศาสตร์ว่าหนึ่งในนโยบายทางการเมืองของเขาที่มีต่อเยอรมนีได้นำไปสู่การทำลายล้างปฏิปักษ์ทางการเมืองของลัทธิชาติสังคมนิยมเยอรมันและเป็นปัจจัยสำคัญที่ทำให้เกิดฮอโลคอสต์ทั่วทั้งทวีปยุโรป ฮิตเลอร์เป็นทหารผ่านศึกสงครามโลกครั้งที่หนึ่งผู้ได้รับเหรียญกางเขนเหล็ก ต่อมา ฮิตเลอร์ได้เข้าร่วมพรรคกรรมกรเยอรมันใน ค.ศ. 1919 ซึ่งเป็นพรรคการเมืองก่อนหน้าพรรคนาซี ก่อนจะได้เป็นหัวหน้าพรรคนาซีใน ค.ศ. 1921 เขาพยายามก่อรัฐประหารซึ่งเป็นที่รู้จักกันในชื่อ กบฏโรงเบียร์ ในเมืองมิวนิก เมื่อวันที่ 8–9 พฤศจิกายน ค.ศ. 1923 แต่ล้มเหลว ฮิตเลอร์ถูกจำคุกเป็นเวลาหนึ่งปี ซึ่งในระหว่างนั้นเองที่เขาเขียนบันทึกความทรงจำ ''ไมน์คัมพฟ์'' ("การต่อสู้ของข้าพเจ้า") หลังได้รับการปล่อยตัวเมื่อวันที่ 20 ธันวาคม ค.ศ. 1924 เขาได้รับการสนับสนุนจากประชาชนโดยการโจมตีสนธิสัญญาแวร์ซาย และการเสนออุดมการณ์รวมกลุ่มเยอรมัน การต่อต้านยิว และการต่อต้านลัทธิคอมมิวนิสต์|การต่อต้านคอมมิวนิสต์ ด้วยวาทศิลป์อันมีเสน่ห์ดึงดูดและโฆษณาชวนเชื่อในนาซีเยอรมนี|การโฆษณาชวนเชื่อนาซี หลังได้รับแต่งตั้งเป็นนายกรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 30 มกราคม ค.ศ. 1933 เขาเปลี่ยนสาธารณรัฐไวมาร์เป็นนาซีเยอรมนี|ไรช์ที่สาม รัฐเผด็จการพรรคการเมืองเดียว ภายใต้อุดมการณ์นาซีอันมีลักษณะเป็นระบอบเผด็จการ|เผด็จการเบ็ดเสร็จและอัตตาธิปไตย เป้าหมายของเขาคือ ระเบียบโลกใหม่ ที่ให้นาซีเยอรมนีครอบงำยุโรปภาคพื้นทวีปอย่างสมบูรณ์ นโยบายต่างประเทศและในประเทศของฮิตเลอร์มีความมุ่งหมายเพื่อยึดเลเบินส์เราม์ ("พื้นที่อยู่อาศัย") เป็นของชาวเยอรมัน เขานำการสร้างเสริมกำลังอาวุธขึ้นใหม่และการบุกครองโปแลนด์ ในเดือนกันยายน ค.ศ. 1939 อันนำไปสู่การปะทุของสงครามโลกครั้งที่สองในทวีปยุโรป ภายในสามปีใต้การนำของฮิตเลอร์ กองทัพเยอรมันและพันธมิตรในยุโรปยึดครองดินแดนยุโรปและแอฟริกาเหนือส่วนใหญ่ อย่างไรก็ดี สถานการณ์ค่อยพลิกผันหลัง ค.ศ. 1941 กระทั่งกองทัพสัมพันธมิตรเอาชนะกองทัพเยอรมันใน ค.ศ. 1945 นโยบายความสูงสุดและที่กระตุ้นด้วยการถือชาติพันธุ์ของฮิตเลอร์ลงเอยด้วยการฆาตกรรมผู้คนนับ 17 ล้านคนอย่างเป็นระบบ ในจำนวนนี้เป็นชาวยิวเกือบหกล้านคน ปลายสงคราม ระหว่างยุทธการเบอร์ลินใน ค.ศ. 1945 ฮิตเลอร์แต่งงานกับเอฟา เบราน์ ทั้งสองทำอัตวินิบาตกรรมเมื่อวันที่ 30 เมษายน ค.ศ. 1945 เพื่อหลีกเลี่ยงไม่ให้ถูกกองทัพแดงของโซเวียตจับตัว และสั่งให้เผาร่างของตนLinge (2009), ''With Hitler to the End: The Memoir of Hitler's Valet'', pp. 199, 200 == บรรพบุรุษ == อาล็อยส์ ฮิตเลอร์ บิดาของฮิตเลอร์ เป็นบุตรนอกกฎหมายของมารีอา อันนา ชิคเคิลกรูเบอร์ (Maria Anna Schicklgruber) ดังนั้นชื่อบิดาจึงไม่ปรากฏในสูติบัตรของอาล็อยส์ เขาใช้นามสกุลของมารดา ใน ค.ศ. 1842 โยฮัน เกออร์ค ฮีดเลอร์ (Johann Georg Hiedler) สมรสกับมารีอา อันนา หลังมารีอา อันนา เสียชีวิตใน ค.ศ. 1847 และโยฮันเสียชีวิตใน ค.ศ. 1856 อาล็อยส์ได้รับการเลี้ยงดูโดยครอบครัวของโยฮัน เนโพมุค ฮีดเลอร์ พี่ชายของฮีดเลอร์ กระทั่ง ค.ศ. 1876 อาล็อยส์จึงได้มาเป็นบุตรชอบด้วยกฎหมาย และทะเบียนพิธีศีลจุ่มถูกนักบวชเปลี่ยนต่อหน้าพยานสามคน ระหว่างรอการพิจารณาที่การพิจารณาคดีเนือร์นแบร์ค|เนือร์นแบร์คใน ค.ศ. 1945 ข้ารัฐการนาซี ฮันส์ ฟรังค์ เสนอการมีอยู่ของจดหมายที่อ้างว่า มารดาของอาล็อยส์ได้รับการว่าจ้างเป็นแม่บ้านแก่ครอบครัวยิวในกราซ และว่า บุตรชายวัย 19 ปีของครอบครัวนั้น เลโอพ็อลท์ ฟรังเคินแบร์เกอร์ (Leopold Frankenberger) เป็นบิดาของอาล็อยส์ อย่างไรก็ดี ไม่มีครอบครัวฟรังเคินแบร์เกอร์หรือชาวยิวปรากฏในทะเบียนในกราซช่วงนั้น นักประวัติศาสตร์สงสัยการอ้างที่ว่า บิดาของอาล็อยส์เป็นยิว เมื่อมีอายุได้ 39 ปี อาล็อยส์เปลี่ยนไปใช้นามสกุล "ฮิตเลอร์" ซึ่งสามารถยังสะกดได้เป็น ฮีดเลอร์ (Hiedler), ฮึทเลอร์ (Hüttler, Huettler) ชื่อนี้อาจถูกใช้ตามระเบียบโดยเสมียนธุรการ ที่มาของชื่อดังกล่าวอาจหมายถึง "ผู้อาศัยอยู่ในกระท่อม" (; "กระท่อม"), "คนเลี้ยงแกะ" (; "เฝ้า") หรือมาจากคำภาษาสลาฟ ฮิดลาร์ และฮิดลาเร็ค == ชีวิตช่วงต้น == === วัยเด็ก === ไฟล์:Bundesarchiv Bild 183-1989-0322-506, Adolf Hitler, Kinderbild.jpg|upright|thumb|อดอล์ฟ ฮิตเลอร์ในวัยทารก (ประมาณ ค.ศ. 1889–1890) ไฟล์:Klara Hitler.jpg|thumb|upright|คลารา มารดาของอดอล์ฟ อดอล์ฟ ฮิตเลอร์เกิดวันที่ 20 เมษายน ค.ศ. 1889 ที่กัสท์โฮฟซุมพ็อมเมอร์ (Gasthof zum Pommer) โรงแรมแห่งหนึ่งในรันส์โฮเฟิน (Ranshofen) หมู่บ้านซึ่งถูกรวมเข้ากับเทศบาลเบราเนาอัมอิน (Braunau am Inn) จักรวรรดิออสเตรีย-ฮังการี ใน ค.ศ. 1938 เขาเป็นบุตรคนที่สี่จากทั้งหมดหกคนของอาล็อยส์ ฮิตเลอร์ และคลารา ฮิตเลอร์|คลารา เพิลท์เซิล พี่ทั้งสามคนของฮิตเลอร์ (กุสทัฟ อีดา และอ็อทโท) เสียชีวิตตั้งแต่เป็นทารก เมื่อฮิตเลอร์อายุได้สามขวบ ครอบครัวของเขาย้ายไปพัสเซา เยอรมนี ที่ซึ่งทำให้ฮิตเลอร์มีสำเนียงท้องถิ่นแบบบาวาเรียล่างมากกว่าสำเนียงเยอรมันออสเตรีย และเป็นสำเนียงที่ฮิตเลอร์ใช้ตลอดชีวิต ใน ค.ศ. 1894 ครอบครัวได้ย้ายอีกหนหนึ่งไปยังเลอ็อนดิง ใกล้กับลินทซ์ และต่อมา เมื่อเดือนมิถุนายน ค.ศ. 1895 อาล็อยส์ได้เกษียณไปยังที่ดินเล็ก ๆ ที่ฮาเฟ็ลท์ ใกล้ลัมบัค ที่ซึ่งเขาพยายามประกอบอาชีพกสิกรรมและเลี้ยงผึ้งด้วยตนเอง ฮิตเลอร์เข้าศึกษาที่โรงเรียนที่ฟิชเชิลฮัม (Fischlham) ในละแวกใกล้เคียง ขณะที่ยังเป็นเด็ก ฮิตเลอร์ได้เริ่มติดการสงครามหลังพบหนังสือภาพเกี่ยวกับสงครามฝรั่งเศส-ปรัสเซียท่ามกลางบรรดาสมบัติส่วนตัวของบิดา การย้ายไปยังฮาเฟ็ลท์เกิดขึ้นไล่เลี่ยกับการเริ่มต้นความขัดแย้งอย่างรุนแรงระหว่างพ่อลูก ซึ่งเกิดจากที่ฮิตเลอร์ปฏิเสธไม่เชื่อฟังกฎระเบียบอันเข้มงวดของโรงเรียนเขา ความพยายามทำกสิกรรมที่ฮาเฟ็ลท์ของอาล็อยส์สิ้นสุดลงด้วยความล้มเหลว และใน ค.ศ. 1897 ครอบครัวฮิตเลอร์ย้ายไปลัมบัค ฮิตเลอร์เข้าศึกษาที่โรงเรียนคาทอลิกแห่งหนึ่งในระเบียงฉันนบถเบเนดิกติน (Benedictine) คริสต์ศตวรรษที่ 11 ซึ่งที่บนธรรมาสน์นั้นมีสัญลักษณ์สวัสติกะที่ถูกปรับให้เข้ากับแบบบนตราอาร์มของเทโอโดริช ฟ็อน ฮาเกิน อดีตอธิการวัด ฮิตเลอร์วัยแปดขวบเข้าเรียนร้องเพลง ร่วมอยู่ในวงประสานเสียงของโบสถ์ และกระทั่ง วาดฝันว่าตนจะเป็นนักบวช ใน ค.ศ. 1898 ครอบครัวฮิตเลอร์กลับไปอาศัย ณ เลอ็อนดิงอย่างถาวร การเสียชีวิตของเอ็ทมุนท์ (น้องชาย) จากโรคหัด เมื่อวันที่ 2 กุมภาพันธ์ ค.ศ. 1900 กระทบต่อฮิตเลอร์อย่างลึกซึ้ง จากที่เคยเป็นเด็กที่มั่นใจ เข้าสังคม และเป็นนักเรียนที่ยอดเยี่ยม ฮิตเลอร์เป็นเด็กอารมณ์ขุ่นมัว เฉยชา และบึ้งตึงที่มีปัญหากับบิดาและครูอย่างต่อเนื่อง อาล็อยส์ประสบความสำเร็จในอาชีพในสำนักงานศุลกากร และต้องการให้ลูกชายเจริญตามรอยเขา ภายหลัง ฮิตเลอร์เล่าถึงช่วงนี้เกินความจริงเมื่อบิดาพาเขาไปชมที่ทำการศุลกากร โดยบรรยายว่า มันเป็นเหตุการณ์ที่นำไปสู่การต่อต้านอย่างไม่อาจให้อภัยระหว่างพ่อลูกที่ต่างมีความตั้งใจแรงกล้าทั้งคู่ โดยไม่สนใจความต้องการของบุตรที่อยากเข้าศึกษาในโรงเรียนมัธยมคลาสสิกและจบมาเป็นศิลปิน ในเดือนกันยายน ค.ศ. 1900 อาล็อยส์ส่งฮิตเลอร์ไปยังเรอัลชูเลอ () ในลินทซ์ ฮิตเลอร์ขัดขืนต่อการตัดสินใจนี้ และใน ''ไมน์คัมพฟ์'' ได้เปิดเผยว่า เขาตั้งใจเรียนไม่ดีในโรงเรียน ด้วยหวังว่าเมื่อบิดาเห็นว่า "ข้าพเจ้ามีความคืบหน้าน้อยเพียงใดที่โรงเรียนอาชีวะ เขาจะได้ปล่อยให้ข้าพเจ้าอุทิศตนแก่ความใฝ่ฝันของข้าพเจ้าเอง" ฮิตเลอร์เริ่มหลงใหลในลัทธิชาตินิยมเยอรมันตั้งแต่เยาว์วัย ฮิตเลอร์แสดงความภักดีต่อจักรวรรดิเยอรมัน|เยอรมนีเท่านั้น โดยเหยียดหยามราชวงศ์ฮาพส์บวร์คที่กำลังเสื่อมลงรวมถึงการปกครองของราชวงศ์เหนือจักรวรรดิที่มีความหลากหลายทางเชื้อชาติ ฮิตเลอร์และเพื่อนของเขาใช้คำทักทายภาษาเยอรมัน "การทำความเคารพฮิตเลอร์|ไฮล์" และร้องเพลงชาติเยอรมัน "ดัสลีทแดร์ด็อยท์เชิน|เยอรมันเหนือทุกสรรพสิ่ง" แทนGott erhalte Franz den Kaiser|เพลงชาติจักรวรรดิออสเตรีย หลังการเสียชีวิตกะทันหันของอาล็อยส์เมื่อวันที่ 3 มกราคม ค.ศ. 1903 พฤติกรรมของฮิตเลอร์ที่โรงเรียนอาชีวะยิ่งเลวร้ายหนักขึ้นไปอีก มารดาเขาอนุญาตให้เขาลาออกในฤดูใบไม้ผลิ ค.ศ. 1905 เขาลงเรียนที่เรอัลชูเลอในชไตเออร์ (Steyr) ในเดือนกันยายน ค.ศ. 1904 พฤติกรรมและผลการเรียนของเขาแสดงถึงพัฒนาการเล็กน้อยและต่อเนื่องอยู่บ้าง ในฤดูไบ้ไม้ร่วง ค.ศ. 1905 หลังผ่านข้อสอบปลายภาค ฮิตเลอร์ก็ได้ออกจากโรงเรียนโดยไม่แสดงความทะเยอทะยานใด ๆ ต่อการศึกษาต่อ หรือแผนการที่ชัดเจนสำหรับอาชีพในอนาคต === วัยผู้ใหญ่ช่วงต้นในเวียนนาและมิวนิก === นับจาก ค.ศ. 1907 ฮิตเลอร์ออกจากลินทซ์เพื่อจะไปอาศัยและศึกษาในเวียนนาด้วยเงินสงเคราะห์เด็กกำพร้าและการสนับสนุนจากมารดา เขาทำงานเป็นกรรมกรชั่วคราว และท้ายสุด เป็นจิตรกรขายภาพวาดสีน้ำ สถาบันวิจิตรศิลป์เวียนนาปฏิเสธเขาสองครั้ง ใน ค.ศ. 1907 และ 1908 เพราะ "ความไม่เหมาะสมที่จะวาดภาพ" ของเขา ผู้อำนวยการแนะนำให้ฮิตเลอร์เรียนสถาปัตยกรรม แต่เขาขาดเอกสารแสดงวิทยฐานะเพราะยังไม่เคยจบชั้นมัธยมศึกษา วันที่ 21 ธันวาคม ค.ศ. 1907 มารดาของเขาเสียชีวิตในวัย 47 ปี หลังสถาบันฯ ปฏิเสธเป็นครั้งที่สอง ใน ค.ศ. 1909 ฮิตเลอร์ก็หมดเงินและจำเป็นต้องใช้ชีวิตแบบโบฮีเมียโดยอาศัยอยู่ในที่พักคนไร้ที่บ้าน และใน ค.ศ. 1910 เขาย้ายเข้ามาอาศัยอยู่ในบ้านพักชายรับจ้างยากจนบนถนนเม็ลเดอมัน ขณะที่ฮิตเลอร์อยู่ที่นั่น เวียนนาเป็นแหล่งเพาะพันธุ์อคติทางศาสนาและคตินิยมเชื้อชาติแบบคริสต์ศตวรรษที่ 19 ความกลัวว่าจะถูกผู้อพยพจากตะวันออกล่วงล้ำแพร่ขยาย และนายกเทศมนตรีประชานิยม คาร์ล ลือเกอร์ (Karl Lueger) ใช้วาทศิลป์เกลียดชังยิวรุนแรงเพื่อประโยชน์ทางการเมือง คติเกลียดชังยิวรวมเยอรมันของเกออร์ก เชอเนเรอร์ (Georg Schönerer) มีผู้สนับสนุนอย่างแข็งแกร่งและฐานในย่านมาเรียฮิลฟ์ ที่ฮิตเลอร์อาศัยอยู่ ฮิตเลอร์อ่านหนังสือพิมพ์ท้องถิ่นอย่าง ''ดอยท์เชส โฟลค์สบลัทท์'' (''Deutsches Volksblatt'') ที่กระพืออคติและเล่นกับความกลัวของคริสเตียนว่าจะต้องแบกภาระจากการไหล่บ่าเข้ามาของยิวตะวันออก ความเป็นปรปักษ์ต่อสิ่งที่ฮิตเลอร์เห็นว่าเป็น "โรคกลัวเยอรมัน" ของคาทอลิก เขาจึงเริ่มยกย่องมาร์ติน ลูเธอร์ จุดกำเนิดและการพัฒนาคติเกลียดชังยิวของฮิตเลอร์นั้นยังคงเป็นประเด็นถกเถียง ฮิตเลอร์เขียนใน ''ไมน์คัมพฟ์'' ว่า เขาเกลียดชังยิวครั้งแรกในเวียนนา ไรน์โฮลด์ ฮานิช(Reinhold Hanisch) หุ้นส่วนที่มีส่วนช่วยเหลือในการขายภาพวาดของฮิตเลอร์ ได้โต้แย้งว่า ฮิตเลอร์ยังคงติดต่อกับชาวยิวในขณะที่อยู่ในเวียนนา เพื่อนสนิทของฮิตเลอร์ เอากุสท์ คูบีเซค (August Kubizek) อ้างว่า ฮิตเลอร์เป็น "ผู้เกลียดชังยิวที่ยืนยันแล้ว" ตั้งแต่ก่อนเขาออกจากลินทซ์ บันทึกของคูบีเซคถูกนักประวัติศาสตร์ บรีกิทเทอ ฮามัน (Brigitte Hamann) เขียนโต้แย้ง เขาเขียนว่า "ในบรรดาพยานคนแรก ๆ ทั้งหมดที่สามารถเชื่อถือได้อย่างจริงจัง มีคูบีเซคคนเดียวที่บรรยายฮิตเลอร์วัยหนุ่มว่าเกลียดชังยิว และชัดเจนในประเด็นนี้ว่า เขาเชื่อถือไม่ค่อยได้" แหล่งข้อมูลหลายแหล่งให้หลักฐานหนักแน่นว่าฮิตเลอร์มีเพื่อนยิวในหอพักของเขาและในที่อื่นในเวียนนา ฮามันยังสังเกตว่า ฮิตเลอร์ไม่มีบันทึกความเห็นเกลียดชังยิวระหว่างช่วงนี้ นักประวัติศาสตร์ เอียน เคอร์ชอว์ (Ian Kershaw) เสนอว่า หากฮิตเลอร์ได้ออกความเห็นเช่นนั้นจริง ความเห็นเหล่านั้นก็อาจไม่เป็นที่สังเกต เพราะคติเกลียดชังยิวที่มีอยู่ทั่วไปในเวียนนาขณะนั้น นักประวัติศาสตร์ ริชาร์ด เจ. อีแวนส์ ว่า "ปัจจุบัน นักประวัติศาสตร์ส่วนมากเห็นว่า คติเกลียดชังยิวอย่างแรงกล้าและฉาวโฉ่ของเขาเกิดขึ้นหลังจากความพ่ายแพ้ของเยอรมนี ในสงครามโลกครั้งที่หนึ่ง อันเป็นผลของคำอธิบายมหันตภัยว่าเป็นเพราะ 'ตำนานแทงข้างหลัง|การแทงข้างหลัง' ประเภทหวาดระแวง" ฮิตเลอร์ได้รับมรดกส่วนสุดท้ายจากทรัพย์สินของบิดาในเดือนพฤษภาคม ค.ศ. 1913 และย้ายไปมิวนิก นักประวัติศาสตร์เชื่อว่าฮิตเลอร์ย้ายออกจากเวียนนาเพื่อหลบเลี่ยงการเกณฑ์เข้าสู่กองทัพออสเตรีย-ฮังการี ภายหลัง ฮิตเลอร์อ้างว่า เขาไม่ประสงค์จะรับใช้ราชวงศ์ฮาพส์บวร์คเพราะการผสมผสาน "เชื้อชาติ" ในกองทัพ หลังเขาถูกเห็นว่าไม่เหมาะสมกับราชการทหาร เพราะไม่ผ่านการตรวจร่างกายในซัลทซ์บวร์คเมื่อวันที่ 5 กุมภาพันธ์ ค.ศ. 1914 เขากลับไปยังมิวนิก === สงครามโลกครั้งที่หนึ่ง === เมื่อสงครามโลกครั้งที่หนึ่งปะทุ ฮิตเลอร์สมัครเข้ารับราชการในกองทัพเยอรมัน เขาได้รับการตอบรับในเดือนสิงหาคม ค.ศ. 1914 ซึ่งมีแนวโน้มว่าเป็นผลมาจากความปล่อยปละละเลยทางธุรการ เพราะเขายังเป็นพลเมืองออสเตรีย เขาถูกจัดไปยังกรมทหารราบกองหนุนบาวาเรีย 16 (กองร้อยที่ 1 แห่งกรมลิสท์) เขาปฏิบัติหน้าที่เป็นพลนำสารส่งแนวรบด้านตะวันตกในฝรั่งเศสและเบลเยียม ใช้เวลาเกือบครึ่งหนึ่งอยู่หลังแนวหน้า เขาเข้าร่วมในยุทธการอีเปอร์ครั้งที่หนึ่ง, ยุทธการที่แม่น้ำซอม :en:Battle_of_Arras_(1917)|ยุทธการที่อารัส และยุทธการพัสเชนแดเลอ และได้รับบาดเจ็บที่แม่น้ำซอม ไฟล์:Bundesarchiv Bild 146-1974-082-44, Adolf Hitler im Ersten Weltkrieg.jpg|left|thumb|ฮิตเลอร์(คนที่นั่งด้านขวาสุด)กับเพื่อนทหารในกรมทหารราบกองหนุนบาวาเรีย 16 ระหว่างสงครามโลกครั้งที่หนึ่ง ฮิตเลอร์ได้รับเชิดชูเกียรติสำหรับความกล้าหาญ ได้รับกางเขนเหล็กชั้นที่สอง ใน ค.ศ. 1914 และโดยการแนะนำของ ฮูโก้ กัทมันนท์ เขาได้รับกางเขนเหล็กชั้นที่หนึ่ง เมื่อวันที่ 4 สิงหาคม ค.ศ. 1918 อิสริยาภรณ์ซึ่งน้อยครั้งนักจะมอบให้แก่ทหารชั้นผู้น้อยเช่นพลทหารอย่างเขา ตำแหน่งของฮิตเลอร์ที่กองบัญชาการกรม ทำให้เขามีปฏิสัมพันธ์บ่อยครั้งกับนายทหารอาวุโส อาจช่วยให้เขาได้รับเครื่องอิสริยาภรณ์นี้ แม้พฤติการณ์ที่ทำให้เขาได้รับรางวัลอาจเป็นความกล้าหาญ แต่ก็อาจไม่ใช่เรื่องพิเศษมากมายนัก เขายังได้รับเครื่องหมายบาดเจ็บสีดำ เมื่อวันที่ 18 พฤษภาคม ค.ศ. 1918 ไฟล์:Hitler 1914 1918.jpg|thumb|upright|สิบตรีกองประจำการ อดอล์ฟ ฮิตเลอร์ ระหว่างสงครามโลกครั้งที่หนึ่ง ระหว่างรับราชการที่กองบัญชาการ ฮิตเลอร์ยังสร้างสรรค์งานศิลปะของตนต่อไป โดยวาดการ์ตูนและคำชี้แจงแก่หนังสือพิมพ์กองทัพ ระหว่างยุทธการแม่น้ำซอม ในเดือนตุลาคม ค.ศ. 1916 เขาได้รับบาดเจ็บที่บริเวณขาหนีบAlastair Jamieson, http://www.telegraph.co.uk/news/newstopics/howaboutthat/3481932/Nazi-leader-Hitler-really-did-have-only-one-ball.html ''Nazi leader Hitler really did have only one ball.html'', The Daily Telegraph, retrieved on 20 November 2008 หรือต้นขาซ้ายเมื่อกระสุนปืนใหญ่ระเบิดในหลุมของพลนำสารระหว่างยุทธการแม่น้ำซอม ฮิตเลอร์ใช้เวลาเกือบสองเดือนในโรงพยาบาลกาชาดที่บีลิทซ์ เขากลับมายังกรมของเขาเมื่อวันที่ 5 มีนาคม ค.ศ. 1917 วันที่ 15 ตุลาคม ค.ศ. 1918 ฮิตเลอร์ตาบอดชั่วคราวจากการโจมตีด้วยแก๊สมัสตาร์ด และรับการรักษาในโรงพยาบาลในพาเซวัลค์ ขณะรักษาตัวอยู่ ฮิตเลอร์ทราบข่าวการพ่ายแพ้ของเยอรมนี และ จากบันทึกของเขา เมื่อทราบข่าว เขาก็ตาบอดอีกเป็นครั้งที่สอง ฮิตเลอร์รู้สึกขมขื่นต่อการพังทลายของความพยายามทำสงคราม และการพัฒนาอุดมการณ์เริ่มเป็นรูปเป็นร่างอย่างมั่นคง เขาอธิบายสงครามว่าเป็น "ประสบการณ์ยิ่งใหญ่ที่สุดเหนืออื่นใด" และได้รับการยกย่องจากนายทหารผู้บังคับบัญชาสำหรับความกล้าหาญของเขา ประสบการณ์นี้ส่งผลให้ฮิตเลอร์เป็นผู้รักชาติเยอรมันอย่างหลงใหล และรู้สึกช็อกเมื่อเยอรมนียอมจำนนในเดือนพฤศจิกายน ค.ศ. 1918 เช่นเดียวกับพวกชาตินิยมเยอรมันอื่นทั้งหลาย เขาเชื่อในตำนานแทงข้างหลัง ซึ่งอ้างว่ากองทัพเยอรมัน "ไม่แพ้ในสมรภูมิ" ได้ถูก "แทงข้างหลัง" โดยผู้นำพลเรือนและพวกมากซิสต์จากแนวหลัง นักการเมืองเหล่านี้ภายหลังถูกขนานนามว่า "อาชญากรพฤศจิกายน" สนธิสัญญาแวร์ซายกำหนดให้เยอรมนีต้องสละดินแดนหลายแห่งและให้ไรน์ลันท์ปลอดทหาร สนธิสัญญากำหนดการลงโทษทางเศรษฐกิจและเรียกเก็บค่าปฏิกรรมสงครามโลกครั้งที่หนึ่ง|ค่าปฏิกรรมสงครามจากประเทศ ชาวเยอรมันจำนวนมากเข้าใจว่าสนธิสัญญานี้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งข้อ 231 ของสนธิสัญญาแวร์ซาย|ข้อ 231 ซึ่งประกาศให้เยอรมนีรับผิดชอบต่อสงคราม เป็นความอัปยศอดสู สภาพทางเศรษฐกิจ สังคมและการเมืองในเยอรมนีได้รับผลกระทบจากสงครามและสนธิสัญญาแวร์ซายภายหลังถูกฮิตเลอร์ใช้แสวงประโยชน์ทางการเมือง == เข้าสู่การเมือง == === สมาชิกพรรคกรรมกร === หลังสงครามโลกครั้งที่หนึ่งยุติ ฮิตเลอร์กลับมายังมิวนิก เพราะไม่มีแผนหรือโอกาสการศึกษาและอาชีพอย่างเป็นทางการ เขาจึงพยายามอยู่ในกองทัพให้นานที่สุดเท่าที่จะทำได้ เดือนกรกฎาคม ค.ศ. 1919 เขาได้รับแต่งตั้งเป็นแวร์บินดุงสมันน์ (เจ้าหน้าที่การข่าว) แห่งเอาฟ์แคลรุงส์คอมมันโด (คอมมานโดลาดตระเวน) ของไรชส์แวร์ เพื่อมีอำนาจบังคับทหารอื่นและเพื่อแทรกซึมพรรคกรรมกรเยอรมัน (DAP) ระหว่างที่เขาเฝ้าติดตามกิจกรรมของพรรค DAP ฮิตเลอร์ถูกดึงดูดโดยแนวคิดต่อต้านยิว ชาตินิยม ต่อต้านทุนนิยม และต่อต้านมากซิสต์ของอันโทน เดร็คส์เลอร์ ผู้ก่อตั้งพรรค เดร็คส์เลอร์สนับสนุนรัฐบาลที่มีศักยะแข็งขัน สังคมนิยมรุ่นที่ "ไม่ใช่ยิว" และความสามัคคีท่ามกลางสมาชิกทั้งหมดของสังคม ด้วยความประทับใจกับทักษะวาทศิลป์ของฮิตเลอร์ เดร็คส์เลอร์จึงเชิญเขาเข้าร่วมพรรคกรรมกรฯ ฮิตเลอร์ยอมรับเมื่อวันที่ 12 กันยายน ค.ศ. 1919 เป็นสมาชิกพรรคคนที่ 55 ไฟล์:Hitler's_DAP_membership_card.png|thumb|left|สำเนาบัตรสมาชิกพรรคกรรมกรเยอรมันของอดอล์ฟ ฮิตเลอร์ ที่พรรคกรรมกรฯ ฮิตเลอร์พบดีทริช เอคคาร์ท หนึ่งในสมาชิกคนแรก ๆ ของพรรคและสมาชิกของลัทธิทูเลอโซไซตี (Thule Society) เอคคาร์ทได้กลายมาเป็นผู้ให้คำปรึกษาแก่ฮิตเลอร์ แลกเปลี่ยนความคิดกับเขา และแนะนำเขาให้รู้จักกับบุคคลในสังคมมิวนิกอย่างกว้างขวาง เพื่อเพิ่มความน่าดึงดูดแก่พรรค ทางพรรคได้เปลี่ยนชื่อเป็น "นาซิโยนอัลโซซีอัลลิสทีเชอ ดอยท์เชอ อาร์ไบแทร์พาร์ไท" หรือ พรรคสังคมนิยมกรรมกรแห่งชาติเยอรมัน (ย่อเป็น NSDAP) ฮิตเลอร์ออกแบบธงของพรรคเป็นสวัสติกะในวงกลมสีขาวบนพื้นหลังสีแดง หลังถูกปลดประจำการในเดือนมีนาคม ค.ศ. 1920 ฮิตเลอร์เริ่มทำงานกับพรรคเต็มเวลา ในเดือนกุมภาพันธ์ ค.ศ. 1921 ฮิตเลอร์ ซึ่งสามารถปราศรัยต่อผู้ฟังจำนวนมากได้เป็นผลดีแล้ว ปราศรัยแก่ฝูงชนมากกว่าหกพันคนในมิวนิก ในการประกาศเผยแพร่การชุมนุมดังกล่าว ผู้สนับสนุนพรรคสองคันรถบรรทุกขับไปรอบเมืองและโบกธงสวัสติกะและโยนใบปลิว ไม่นานฮิตเลอร์ก็มีชื่อเสียงในทางไม่ดีจากความเอะอะโวยวายและการปราศรัยโจมตีสนธิสัญญาแวร์ซาย นักการเมืองคู่แข่ง และโดยเฉพาะอย่างยิ่ง พวกมากซิสต์และยิว ขณะนั้นพรรคนาซีมีศูนย์กลางอยู่ในมิวนิก แหล่งเพาะหลักของลัทธิชาตินิยมเยอรมันต่อต้านรัฐบาลซึ่งตั้งใจบดขยี้ลัทธิมากซ์และบ่อนทำลายสาธารณรัฐไวมาร์ ในเดือนมิถุนายน ค.ศ. 1921 ระหว่างที่ฮิตเลอร์และเอคคาร์ทกำลังอยู่ระหว่างการเดินทางไประดมทุนยังเบอร์ลิน ได้เกิดการจลาจลขึ้นภายในพรรคกรรมกรฯ ในมิวนิก สมาชิกคณะกรรมการบริหารพรรคกรรมกรฯ ซึ่งบางคนมองว่าฮิตเลอร์ยโสเกินไป ต้องการผนวกรวมกับพรรคสังคมนิยมเยอรมัน (DSP) คู่แข่ง ฮิตเลอร์เดินทางกลับมิวนิกเมื่อวันที่ 11 กรกฎาคม ค.ศ. 1921 และยื่นใบลาออกจากพรรคด้วยความโกรธ สมาชิกกรรมการตระหนักว่าการลาออกของเขาจะหมายถึงจุดจบของพรรค ฮิตเลอร์ประกาศจะกลับเข้าพรรคอีกครั้งเมื่อเขาเป็นหัวหน้าพรรคแทนเดร็คส์เลอร์ และที่ทำการพรรคจะยังอยู่ในมิวนิกต่อไป คณะกรรมการตกลง เขาเข้าร่วมพรรคอีกครั้งเป็นสมาชิกคนที่ 3,680 เขายังเผชิญกับการคัดค้านภายในพรรคบ้าง แฮร์มันน์ เอสแซร์และพันธมิตรของเขาพิมพ์แผ่นพับ 3,000 แผ่นโจมตีฮิตเลอร์ว่าเป็นผู้ทรยศพรรค ไม่กี่วันให้หลัง ฮิตเลอร์กล่าวแก้ต่างและได้รับเสียงปรบมือดังสนั่น ยุทธศาสตร์ของเขาพิสูจน์แล้วว่าประสบผล ที่การประชุมใหญ่สมาชิกพรรคกรรมกรฯ เขาได้รับอำนาจเต็มในฐานะหัวหน้าพรรค โดยได้รับเสียงคัดค้านเพียงเสียงเดียว ฮิตเลอร์ยังได้รับการชดใช้จากคดีหมิ่นประมาทกับหนังสือพิมพ์สังคมนิยม มึนเชแนร์ โพสต์ ซึ่งตั้งคำถามถึงวิถีชีวิตและรายได้ของเขา สุนทรพจน์โรงเบียร์ที่เผ็ดร้อนของฮิตเลอร์เริ่มดึงดูดผู้ฟังขาประจำ เขาเริ่มช่ำชองในการใช้แก่นประชานิยมต่อผู้ฟังของเขา รวมทั้งการใช้แพะรับบาปผู้ซึ่งสามารถใช้กล่าวโทษแก่ความยากลำบากทางเศรษฐกิจของผู้ฟังเขา นักประวัติศาสตร์ได้สังเกตปรากฏการณ์สะกดจิตของวาทศิลป์ที่เขาใช้ต่อผู้ฟังกลุ่มใหญ่ และของตาเขาในกลุ่มเล็ก เคสเซลเขียนว่า "อย่างล้นหลาม ... ชาวเยอรมันเอ่ยกับการร่ายมนต์ของความดึงดูดใจ 'สะกดจิต' ของฮิตเลอร์ คำนี้ปรากฏขึ้นซ้ำแล้วซ้ำเล่า ฮิตเลอร์กล่าวกันว่าได้สะกดจิตประเทศชาติ ยึดพวกเขาอยู่ในภวังค์ที่ถอนตัวไม่ขึ้น" นักประวัติศาสตร์ ฮิวจ์ เทรเวอร์-โรเปอร์ อธิบาย "ความมีเสน่ห์ของดวงตาคู่นั้น ซึ่งสะกดชายที่ดูสุขุมมานักต่อนัก" เขาใช้อำนาจดึงดูดส่วนตัวของเขาและความเข้าใจในจิตวิทยาฝูงชนเป็นประโยชน์แก่เขา ระหว่างพูดในที่สาธารณะ อัลฟอนส์ เฮค อดีตสมาชิกยุวชนฮิตเลอร์ อธิบายปฏิกิริยาที่มีต่อสุนทรพจน์ของฮิตเลอร์ว่า "เราปะทุเข้าสู่ความบ้าคลังของความภูมิใจชาตินิยมที่อยู่ติดกับฮิสทีเรีย เป็นเวลาหลายนาทีติดกัน เราตะโกนสุดปอดของเรา ด้วยน้ำตาที่ไหลลงมาตามใบหน้าของเรา ซีก ไฮล์, ซีก ไฮล์, ซีก ไฮล์! นับแต่ชั่วขณะนั้น ผมเป็นของอดอล์ฟ ฮิตเลอร์ทั้งร่างกายและวิญญาณ" แม้ทักษะวาทศิลป์และคุณสมบัติส่วนตัวของเขาโดยทั่วไปจะได้รับการตอบรับดีจากฝูงชนขนาดใหญ่และในงานทางการ แต่บางคนที่พบฮิตเลอร์เป็นการส่วนตัวสังเกตว่า ลักษณะภายนอกและบุคลิกของเขาไม่อาจให้ความประทับใจสุดท้ายแก่พวกเขาได้ ผู้ติดตามคนแรก ๆ มีรูด็อล์ฟ เฮ็ส, อดีตนักบินกองทัพอากาศ แฮร์มัน เกอริง และร้อยเอกกองทัพบก แอ็นสท์ เริห์ม ผู้ซึ่งต่อมา เป็นหัวหน้าองค์การกำลังกึ่งทหารของนาซี ชตวร์มอัพไทลุง (SA, "กองพลวายุ") ซึ่งคอยคุ้มครองการประชุมและโจมตีคู่แข่งการเมืองอยู่บ่อยครั้ง อิทธิพลสำคัญต่อการคิดของเขาในช่วงนี้คือ เอาฟเบา เวไรนีกุง กลุ่มสมคบคิดอันประกอบด้วยกลุ่มพวกรัสเซียขาวเนรเทศและพวกชาติสังคมนิยมช่วงแรก ๆ กลุ่มดังกล่าว ซึ่งได้รับการสนับสนุนด้านการเงินจากกองทุนที่มาจากนักอุตสาหกรรมอันมั่งคั่งอย่างเฮนรี ฟอร์ด แนะนำเขาสู่แนวคิดของการสมคบคิดยิว โดยเชื่อมโยงการเงินระหว่างประเทศกับบอลเชวิค === กบฏโรงเบียร์ === ฮิตเลอร์ขอการสนับสนุนจากพลเอกสงครามโลกครั้งที่หนึ่ง เอริช ลูเดินดอร์ฟ สำหรับพยายามก่อรัฐประหารที่เรียกว่า "กบฏโรงเบียร์" พรรคนาซีได้ใช้ลัทธิฟาสซิสต์อิตาลีเป็นแบบภาพลักษณ์และนโยบาย และใน ค.ศ. 1923 ฮิตเลอร์ต้องการเลียนแบบ "การสวนสนามแห่งโรม" ของเบนิโต มุสโสลินี (ค.ศ. 1922) โดยจัดรัฐประหารของเขาเองในบาวาเรีย ตามด้วยการท้าทายรัฐบาลในเบอร์ลิน ฮิตเลอร์และลูเดินดอร์ฟฟ์แสวงหาสการสนับสนุนจากสทาทสคอมมิสซาร์ (ผู้ตรวจการรัฐ) กุสทัฟ ริทเทอร์ ฟ็อน คาร์|กุสทัฟ ฟ็อน คาร์ ผู้ปกครองบาวาเรียโดยพฤตินัย อย่างไรก็ดี คาร์ ร่วมกับหัวหน้าตำรวจ ฮันส์ ริทแทร์ ฟอน ไซส์แซร์ และพลเอกแห่งไรชส์แวร์ อ็อทโท ฟอน ลอสซอว์ ต้องการสถาปนาลัทธิเผด็จการชาตินิยมโดยปราศจากฮิตเลอร์ ไฟล์:Bundesarchiv Bild 102-00344A, München, nach Hitler-Ludendorff Prozess.jpg|thumb|250px|จำเลยในการพิจารณากบฏโรงเบียร์ ฮิตเลอร์เป็นคนที่สี่นับจากขวาสุด ฮิตเลอร์ต้องการฉวยโอกาสสำคัญเพื่อการปลุกปั่นและการสนับสนุนของประชาชนอย่างได้ผล วันที่ 8 พฤศจิกายน ค.ศ. 1923 เขาและ SA โจมตีการประชุมสาธารณะที่มีผู้เข้าร่วม 3,000 คน ซึ่งจัดโดยคาฮร์ในเบือร์แกร์บรอยเคลแลร์ โรงเบียร์ขนาดใหญ่ในมิวนิก ฮิตเลอร์ขัดจังหวะปราศรัยของคาฮร์และประกาศว่า "การปฏิวัติแห่งชาติเริ่มต้นขึ้นแล้ว" ประกาศจัดตั้งรัฐบาลใหม่กับลูเดินดอร์ฟฟ์ โดยชักปืนพกออกมา ฮิตเลอร์ต้องการและได้รับการสนับสนุนจากคาฮร์ ไซส์แซร์และลอสซอ กองกำลังของฮิตเลอร์ประสบความสำเร็จช่วงแรกในการยึดไรชส์แวร์และกองบังคับการตำรวจท้องถิ่น อย่างไรก็ดี ไม่มีกองทัพหรือตำรวจรัฐเข้าร่วมกับกองกำลังของเขา คาฮร์และเพื่อนของเขารีบถอนการสนับสนุนของตนและหนีไปเข้ากับฝ่ายต่อต้านฮิตเลอร์ วันรุ่งขึ้น ฮิตเลอร์และผู้ติดตามเดินขบวนจากโรงเบียร์ไปยังกระทรวงสงครามเพื่อล้มรัฐบาลบาวาเรียระหว่าง "การสวนสนามแห่งเบอร์ลิน" แต่ตำรวจสลายการชุมนุม สมาชิกพรรคนาซีสิบหกคนและเจ้าหน้าที่ตำรวจสี่นายถูกสังหารไปในรัฐประหารที่ล้มเหลว ฮิตเลอร์ซึ่งได้รับบาดเจ็บจากการถูกยิงได้หลบหนีไปยังบ้านของแอ็นสท์ ฮันฟ์สทาเองล์ และหลักฐานบางชิ้นชี้ว่า เขาคิดทำอัตวินิบาตกรรม เขารู้สึกหดหู่แต่สงบลงเมื่อถูกจับกุมในวันที่ 11 พฤศจิกายน ค.ศ. 1923 ด้วยข้อหากบฏ การพิจารณาคดีของเขาเริ่มขึ้นในเดือนกุมภาพันธ์ ค.ศ. 1924 ต่อหน้าศาลประชาชนพิเศษในมิวนิก, และอัลเฟรด โรเซนแบร์กเป็นผู้นำชั่วคราวของพรรคนาซีแทน วันที่ 1 เมษายน ฮิตเลอร์ถูกตัดสินจำคุกห้าปีในเรือนจำลันด์สแบร์ก เขาได้รับการปฏิบัติอย่างเป็นมิตรจากผู้คุม และได้รับอนุญาตให้รับจดหมายจำนวนมากจากผู้สนับสนุนและมีการเข้าเยี่ยมเป็นประจำจากเพื่อนร่วมพรรค ศาลสูงสุดบาวาเรียอภัยโทษและเขาถูกปล่อยตัวจากเรือนจำเมื่อวันที่ 20 ธันวาคม ค.ศ. 1924 แย้งต่อการทัดทานของอัยการรัฐ ซึ่งหากรวมเวลาระหว่างคุมขังรอการพิจารณาคดีแล้ว ฮิตเลอร์ได้รับโทษในเรือนจำทั้งสิ้นเกินหนึ่งปีเล็กน้อยเท่านั้น ขณะถูกจองจำอยู่ที่เรือนจำลันด์สแบร์ก เขาได้อุทิศการเขียนหนังสือที่ชื่อว่า ''ไมน์คัมพฟ์'' ("การต่อสู้ของข้าพเจ้า" เดิมชื่อ "สี่ปีครึ่งกับการต่อสู้กับคำโกหก ความเขลาและความขลาด") ฉบับตีพิมพ์ครั้งแรกส่วนใหญ่ แก่ผู้ช่วยของเขา รูด็อล์ฟ เฮ็ส ''ไมน์คัมพฟ์'' ซึ่งอุทิศให้กับสมาชิกทูเลอโซไซตี ดีทริช เอคคาร์ท เป็นทั้งอัตชีวประวัติและการแถลงอุดมการณ์ของเขา ไมน์คัมพฟ์ได้รับอิทธิพลจากหนังสือ ''The Passing of the Great Race'' โดยเมดิสัน แกรนท์ ซึ่งฮิตเลอร์เรียกว่า "ไบเบิลของข้าพเจ้า" ''ไมน์คัมพฟ์''ได้รับการตีพิมพ์สองครั้งใน ค.ศ. 1925 และ 1926 ขายได้ประมาณ 228,000 เล่มระหว่าง ค.ศ. 1925 และ 1932 ใน ค.ศ. 1933 ซึ่งเป็นปีที่ฮิตเลอร์เข้าดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรี ขายได้หนึ่งล้านเล่ม === การสร้างพรรคใหม่ === เมื่อฮิตเลอร์ถูกปล่อยตัวจากเรือนจำนั้น การเมืองในเยอรมนีสงบลงและเศรษฐกิจเริ่มฟื้นตัว ซึ่งจำกัดโอกาสของฮิตเลอร์ในการปลุกระดมทางการเมือง ผลของกบฏโรงเบียร์ที่ล้มเหลว ทำให้พรรคนาซีและองค์การสืบเนื่องถูกกฎหมายห้ามในรัฐบาวาเรีย ในการประชุมกับนายกรัฐมนตรีบาวาเรีย ไฮน์ริช เฮลด์ เมื่อวันที่ 4 มกราคม ค.ศ. 1925 ฮิตเลอร์ตกลงที่จะเคารพอำนาจโดยชอบของรัฐ และเขาจะมุ่งแสวงหาอำนาจทางการเมืองเฉพาะผ่านกระบวนการประชาธิปไตยเท่านั้น การประชุมดังกล่าวนำไปสู่การยกเลิกการห้าม NSDAP อย่างไรก็ดี ฮิตเลอร์ยังถูกห้ามมิให้ปราศรัยต่อสาธารณะ ซึ่งยังมีผลไปจนถึง ค.ศ. 1927 ในการรุกหน้าความทะเยอทะยานทางการเมืองแม้จะมีการสั่งห้ามนี้ ฮิตเลอร์แต่งตั้งเกรกอร์ ชตรัสเซอ, อ็อทโท ชตรัสเซอ และโยเซ็ฟ เกิบเบิลส์ ให้จัดการและขยายพรรคนาซีทางตอนเหนือของเยอรมนี ด้วยความเป็นผู้จัดที่ยอดเยี่ยม เกรกอร์ ชตรัสเซอ ได้เดินหน้าวิถีการเมืองที่เป็นอิสระมากขึ้น โดยเน้นองค์ประกอบของสังคมนิยมในโครงการพรรค ฮิตเลอร์ปกครองพรรคนาซีโดยอัตโนมัติโดยอ้างฟือเรอร์พรินซิพ ("หลักการผู้นำ") ตำแหน่งภายในพรรคไม่ถูกกำหนดโดยการเลือกตั้ง แต่จะถูกบรรจุผ่านการแต่งตั้งโดยผู้มีตำแหน่งสูงกว่า ซึ่งต้องการการเชื่อฟังโดยไม่มีการตั้งคำถามต่อประสงค์ของผู้นำ ตลาดหลักทรัพย์ในสหรัฐอเมริกาตกเมื่อวันที่ 24 ตุลาคม ค.ศ. 1929 ผลกระทบในเยอรมนีนั้นเลวร้ายมาก หลายล้านคนตกงานและธนาคารหลักหลายแห่งต้องปิดกิจการ ฮิตเลอร์และพรรคนาซีเตรียมฉวยโอกาสจากเหตุฉุกเฉินเพื่อเรียกเสียงสนับสนุนแก่พรรค พวกเขาสัญญาว่าจะบอกเลิกสนธิสัญญาแวร์ซาย เสริมสร้างเศรษฐกิจและจัดหางาน == การเถลิงอำนาจ == | class="wikitable plainrowheaders sortable" style="text-align: right;" |- |+ ผลการเลือกตั้งพรรคนาซี |- ! scope="col" | วันที่ ! scope="col" | คะแนนเสียงทั้งหมด ! scope="col" | ร้อยละคะแนนเสียง ! scope="col" | ที่นั่งในไรช์สทาค ! scope="col" class="unsortable" | หมายเหตุ |- ! scope="row" | พฤษภาคม ค.ศ. 1924 | 1,918,300 | 6.5 | 32 | style="text-align:left;" | ฮิตเลอร์อยู่ในเรือนจำ |- ! scope="row" | ธันวาคม ค.ศ. 1924 | 907,300 | 3.0 | 14 | style="text-align:left;" | ฮิตเลอร์ได้รับการปล่อยตัว |- ! scope="row" | พฤษภาคม ค.ศ. 1928 | 810,100 | 2.6 | 12 | style="text-align:left;" | &nbsp; |- ! scope="row" | กันยายน ค.ศ. 1930 | 6,409,600 | 18.3 | 107 | style="text-align:left;" | หลังวิกฤตการณ์การเงิน |- ! scope="row" | กรกฎาคม ค.ศ. 1932 | 13,745,000 | 37.3 | 230 | style="text-align:left;" | หลังฮิตเลอร์ลงสมัครชิงตำแหน่งประธานาธิบดี |- ! scope="row" | พฤศจิกายน ค.ศ. 1932 | 11,737,000 | 33.1 | 196 | style="text-align:left;"|&nbsp; |- ! scope="row" | มีนาคม ค.ศ. 1933 | 17,277,180 | 43.9 | 288 | style="text-align:left;" | ระหว่างฮิตเลอร์ดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรี | === รัฐบาลบรือนิง === ภาวะเศรษฐกิจตกต่ำครั้งใหญ่ในเยอรมนีเป็นโอกาสทางการเมืองสำหรับฮิตเลอร์ ชาวเยอรมันลังเลต่อสาธารณรัฐรัฐสภา ซึ่งเผชิญกับปัญหาคุกคามสำคัญจากทั้งพวกขวาและซ้ายจัดสุดโต่ง พรรคการเมืองสายกลางไม่สามารถหยุดยั้งกระแสแห่งลัทธิสุดโต่งเพิ่มขึ้นทุกที และการลงประชามติเยอรมนี ค.ศ. 1929 ช่วยยกระดับอุดมการณ์นาซี การเลือกตั้งเมื่อเดือนกันยายน ค.ศ. 1930 ส่งผลให้รัฐบาลผสมชุดใหญ่แตกหักและแทนที่โดยคณะรัฐมนตรีข้างน้อย นายกรัฐมนตรีไฮน์ริช บรือนิงแห่งพรรคกลาง ผู้นำคณะรัฐมนตรีชุดนั้น ปกครองโดยกฤษฎีกาฉุกเฉินจากประธานาธิบดี เพาล์ ฟ็อน ฮินเดินบวร์ค การปกครองโดยกฤษฎีกาจะกลายมาเป็นบรรทัดฐานใหม่และปูทางแก่รัฐบาลแบบอำนาจนิยมพรรคนาซีเติบโตจากพรรคที่ไม่มีใครรู้จักและได้คะแนนเสียง 18.3% และ 107 ที่นั่งในรัฐสภาในการเลือกตั้ง ค.ศ. 1930 กลายมาเป็นพรรคใหญ่ที่สุดอันดับสองในสภา ฮิตเลอร์ปรากฏกายครั้งสำคัญในการพิจารณาคดีของนายทหารไรชส์แวร์สองนาย ร้อยตรีริชาร์ด เชรินแกร์ และฮันส์ ลูดิน ในฤดูใบไม้ร่วง ค.ศ. 1930 ทั้งสองถูกตั้งข้อหาเป็นสมาชิกพรรคนาซีซึ่งขณะนั้น กฎหมายไม่อนุญาตให้กำลังพลไรชส์แวร์เป็นสมาชิก อัยการให้เหตุผลว่าพรรคนาซีเป็นพรรคสุดโต่ง ทนายฝ่ายจำเลย ฮันส์ ฟรังค์จึงเรียกฮิตเลอร์มาให้การเป็นพยานในศาล วันที่ 25 กันยายน ค.ศ. 1930 ฮิตเลอร์ ให้การว่า พรรคของเขาจะแสวงหาอำนาจทางการเมืองเฉพาะผ่านการเลือกตั้งตามวิถีประชาธิปไตยเท่านั้น การให้การนั้นทำให้เขาได้รับการสนับสนุนมากในหมู่นายทหารในกองทัพ มาตรการรัดเข็มขัดของบรือนิงทำให้เศรษฐกิจกระเตื้องขึ้นเล็กน้อยและไม่เป็นที่นิยมอย่างยิ่ง ฮิตเลอร์ฉวยความอ่อนแอนี้โดยส่งข้อความทางการเมืองของเขาเจาะจงไปยังประชาชนที่ได้รับผลกระทบจากภาวะเงินเฟ้อช่วงคริสต์ทศวรรษ 1920 และภาวะเศรษฐกิจตกต่ำครั้งใหญ่ เช่น ชาวนา ทหารผ่านศึก และชนชั้นกลาง ฮิตเลอร์สละสัญชาติออสเตรียของเขาอย่างเป็นทางการเมื่อวันที่ 7 เมษายน ค.ศ. 1925 แต่ในขณะนั้น เขายังไม่ได้สัญชาติเยอรมัน เป็นเวลาเกือบเจ็ดปีที่ฮิตเลอร์ไร้สัญชาติ ไม่สามารถเข้าชิงตำแหน่งทางการเมืองได้ และเสี่ยงต่อการถูกเนรเทศ วันที่ 25 กุมภาพันธ์ ค.ศ. 1932 รัฐมนตรีมหาดไทยแห่งเบราน์ชไวก์ ผู้เป็นสมาชิกพรรคนาซีแต่งตั้งฮิตเลอร์เป็นผู้บริหารตัวแทนของรัฐในไรช์สรัท (สภาล่าง) ในเบอร์ลิน ทำให้ฮิตเลอร์เป็นพลเมืองเบราน์ชไวก์ และจึงเป็นพลเมืองเยอรมันอีกทอดหนึ่งเช่นกัน ค.ศ. 1932 ฮิตเลอร์ลงสมัครรับเลือกตั้งเป็นประธานาธิบดีแข่งกับฟ็อน ฮินเดินบวร์ค เขาได้รับการสนับสนุนจากนักอุตสาหกรรมที่ทรงอำนาจที่สุดของเยอรมนีหลายคน หลังสุนทรพจน์วันที่ 27 มกราคม ค.ศ. 1932 ต่อสภาอุตสาหกรรมในดึสเซลดอร์ฟ อย่างไรก็ดี ฮินเดินบวร์คได้รับการสนับสนุนจากพรรคชาตินิยม กษัตริย์นิยม คาทอลิกและสาธารณรัฐนิยม ตลอดจนสังคมประชาธิปไตยบางพรรค ฮิตเลอร์ใช้คำขวัญระหว่างหาเสียงว่า "ฮิตเลอร์อือแบร์ดอยท์ชลันด์" (ฮิตเลอร์เหนือเยอรมนี) โดยอ้างถึงทั้งความทะเยอทะยานทางการเมืองและการหาเสียงโดยเครื่องบินของเขา ฮิตเลอร์มาเป็นอันดับสองในการเลือกตั้งทั้งสองรอบ โดยได้เสียงมากกว่า 35% ในการเลือกตั้งครั้งสุดท้าย แม้จะพ่ายต่อฮินเดินบวร์ค การเลือกตั้งครั้งนี้ได้ทำให้ฮิตเลอร์เป็นกำลังสำคัญในการเมืองเยอรมนี === การได้รับแต่งตั้งเป็นนายกรัฐมนตรี === การขาดรัฐบาลที่มีประสิทธิภาพทำให้นักการเมืองทรงอิทธิพลสองคน ฟรันทซ์ ฟ็อน พาเพิน และอัลเฟรด ฮูเกนแบร์ก ตลอดจนนักอุตสาหกรรมและนักธุรกิจหลายคน เขียนจดหมายถึงฮินเดินบวร์ค ผู้ลงนามกระตุ้นให้ฮินเดินบวร์คแต่งตั้งฮิตเลอร์เป็นหัวหน้ารัฐบาล "ซึ่งเป็นอิสระจากพรรคการเมืองในรัฐสภา" ซึ่งอาจแปรเปลี่ยนเป็นขบวนการซึ่งอาจ "สร้างความยินดีแก่ประชากรหลายล้านคน" ไฟล์:Bundesarchiv Bild 146-1972-026-11, Machtübernahme Hitlers.jpg|thumb|ฮิตเลอร์ที่หน้าต่างของทำเนียบรัฐบาลไรช์ ขณะได้รับการปรบมือต้อนรับจากประชาชนในเย็นวันที่เขาสาบานตนเข้ารับตำแหน่งนายกรัฐมนตรีเยอรมนี ฮินเดินบวร์คตกลงแต่งตั้งฮิตเลอร์เป็นนายกรัฐมนตรีอย่างไม่เต็มใจ หลังการเลือกตั้งเป็นการทั่วไปอีกสองครั้ง คือ ในเดือนกรกฎาคมและพฤศจิกายน ค.ศ. 1932 ไม่มีพรรคใดจัดตั้งรัฐบาลเสียงข้างมากได้ ฮิตเลอร์จะเป็นหัวหน้ารัฐบาลผสมช่วงสั้น ๆ จัดตั้งโดยพรรคนาซีและพรรคประชาชนแห่งชาติเยอรมัน (DNVP) ของฮูเกนแบร์ก วันที่ 30 มกราคม ค.ศ. 1933 คณะรัฐมนตรีชุดใหม่สาบานตนเข้ารับตำแหน่งระหว่างพิธีการที่กระชับและเรียบง่ายในสำนักงานของฮินเดินบวร์คพรรคนาซีนั่งเก้าอี้สามจากสิบเอ็ดตำแหน่ง ฮิตเลอร์เป็นนายกรัฐมนตรี แฮร์มัน เกอริงเป็นรัฐมนตรีลอย และวิลเฮล์ม ฟริคเป็นรัฐมนตรีมหาดไทย === เหตุการณ์เพลิงไหม้ไรชส์ทาค === ขณะดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรี ฮิตเลอร์ดำเนินการต่อต้านความพยายามของคู่แข่งพรรคพรรคนาซีในการจัดตั้งรัฐบาลเสียงข้างมาก เพราะการคุมเชิงทางการเมือง ฮิตเลอร์จึงขอประธานาธิบดีฮินเดินบวร์คให้ยุบสภาไรชส์ทาคอีกครั้ง และกำหนดการเลือกตั้งไว้ต้นเดือนมีนาคม วันที่ 27 กุมภาพันธ์ ค.ศ. 1933 เหตุเพลิงไหม้ไรชส์ทาค|อาคารไรชส์ทาคถูกวางเพลิง เกอริงกล่าวโทษว่าเป็นแผนการของคอมมิวนิสต์ เพราะมารีนึส ฟัน เดอร์ลึบเบอ ถูกพบตัวในอาคารที่เพลิงกำลังลุกโหมอยู่นั้น ด้วยการกระตุ้นของฮิตเลอร์ ฮินเดินบวร์คตอบสนองโดยออกกฤษฎีกาเพลิงไหม้ไรชส์ทาค 28 กุมภาพันธ์ ซึ่งยับยั้งสิทธิขั้นพื้นฐาน รวมทั้งหมายสั่งให้ส่งตัวผู้ถูกคุมขังมาศาล (habeas corpus) กิจกรรมของพรรคคอมมิวนิสต์เยอรมันถูกปราบปราม และสมาชิกพรรคคอมมิวนิสต์ราว 4,000 คนถูกจับกุม นักวิจัย รวมทั้งวิลเลียม แอล. ชิเรอร์ และอลัน บูลล็อก เห็นว่าพรรคนาซีเองที่เป็นผู้รับผิดชอบต่อการวางเพลิงนั้น นอกเหนือไปจากการรณรงค์ทางการเมืองแล้วพรรคนาซียังมีส่วนกับความรุนแรงกึ่งทหารและการขยายการโฆษณาชวนเชื่อต่อต้านคอมมิวนิสต์ในช่วงก่อนการเลือกตั้ง ในวันเลือกตั้ง 6 มีนาคม ค.ศ. 1933 ส่วนแบ่งคะแนนเสียงของพรรคนาซีเพิ่มขึ้นเป็น 43.9% และพรรคได้รับที่นั่งมากที่สุดในรัฐสภา อย่างไรก็ดี พรรคของฮิตเลอร์ไม่สามารถครองเสียงข้างมากอย่างสมบูรณ์ได้ จำต้องร่วมรัฐบาลกับ DNVP อีกหน === วันพ็อทซ์ดัมและรัฐบัญญัติมอบอำนาจ === ไฟล์:Bundesarchiv Bild 183-S38324, Tag von Potsdam, Adolf Hitler, Paul v. Hindenburg.jpg|thumb|เพาล์ ฟ็อน ฮินเดินบวร์ค กับอดอล์ฟ ฮิตเลอร์ 21 มีนาคม ค.ศ. 1933 วันที่ 21 มีนาคม ค.ศ. 1933 มีการตั้งไรชส์ทาคใหม่ขึ้นในพิธีเปิดที่โบสถ์แกริซันในพ็อทซ์ดัม "วันพ็อทซ์ดัม" นี้จัดขึ้นเพื่อแสดงความสามัคคีระหว่างขบวนการนาซีกับอภิชนและทหารปรัสเซียเก่า ฮิตเลอร์ปรากฏกายในชุดมอร์นิงโค้ต ซึ่งเป็นชุดพิธีการกลางวัน และทักทายประธานาธิบดีฟ็อน ฮินเดินบวร์คอย่างถ่อมตน เพื่อให้ได้มาซึ่งการควบคุมทางการเมืองเต็มที่โดยไม่ต้องกุมเสียงข้างมากเด็ดขาดในรัฐสภา รัฐบาลของฮิตเลอร์นำแอร์แมคทิกุงสเกเซตซ์ (รัฐบัญญัติมอบอำนาจ) ขึ้นออกเสียงในไรชส์ทาคที่เพิ่งเลือกตั้งใหม่ รัฐบัญญัติดังกล่าวมอบอำนาจนิติบัญญัติเต็มให้แก่คณะรัฐมนตรีของฮิตเลอร์เป็นเวลาสี่ปีและอนุญาตให้เปลี่ยนวิธีปฏิบัติจากรัฐธรรมนูญได้ (โดยมีข้อยกเว้นบางประการ) ร่างรัฐบัญญัติต้องการเสียงข้างมากสองในสามจึงผ่าน พรรคนาซีใช้บทบัญญัติแห่งกฤษฎีกาเพลิงไหม้ไรชส์ทาคกันมิให้ผู้แทนสังคมประชาธิปไตยหลายคนเข้าประชุม ขณะที่พรรคคอมมิวนิสต์ถูกยุบไปก่อนแล้ว วันที่ 23 มีนาคม ไรชส์ทาคประชุมที่โรงอุปรากรครอลล์ ภายใต้สถานการณ์วุ่นวาย ชายเอ็สอาเป็นแถวปฏิบัติหน้าที่รักษาความปลอดภัยภายในอาคาร ขณะที่คนกลุ่มใหญ่ด้านนอกคัดค้านกฎหมายที่เสนอตะโกนคำขวัญและคุกคามสมาชิกรัฐสภาที่กำลังมาถึง ฐานะของพรรคกลาง พรรคใหญ่ที่สุดอันดับสามในไรชส์ทาค กลายมาเป็นเด็ดขาด หลังฮิตเลอร์ให้คำมั่นด้วยวาจาแก่ ผู้นำพรรค ลุดวิก คาส ว่า ประธานาธิบดีฟ็อน ฮินเดินบวร์คจะยังคงมีอำนาจยับยั้ง (veto) คาสจึงประกาศว่า พรรคจะสนับสนุนรัฐบัญญัติมอบอำนาจ ท้ายสุด รัฐบัญญัติมอบอำนาจผ่านด้วยเสียง 441-84 โดยมีทุกพรรค ยกเว้นพรรคสังคมประชาธิปไตย เห็นชอบ รัฐบัญญัติมอบอำนาจ รัฐบัญญัติมอบอำนาจ ร่วมกับกฤษฎีกาเพลิงไหม้ไรชส์ทาค เปลี่ยนรัฐบาลของฮิตเลอร์เป็นเผด็ตการตามกฎหมายโดยพฤตินัย === การปลดวิสัยที่เหลือ === เมื่อมีอำนาจควบคุมเต็มเหนืออำนาจนิติบัญญัติและบริหารแล้ว ฮิตเลอร์และพันธมิตรทางการเมืองของเขาเริ่มการปราบคู่แข่งการเมืองที่เหลืออย่างเป็นระบบ พรรคสังคมประชาธิปไตยถูกยุบตามพรรคคอมมิวนิสต์และสินทรัพย์ทั้งหมดถูกยึด ขณะที่ตัวแทนสหภาพแรงงานจำนวนมากอยู่ในกรุงเบอร์ลินเพื่อร่วมกิจกรรมเมย์เดย์ พลรบวายุของเอ็สอาได้ทำลายสำนักงานสหภาพแรงงานทั่วประเทศ วันที่ 2 พฤษภาคม ค.ศ. 1933 สหภาพแรงงานทั้งหมดถูกบีบให้ยุบและผู้นำถูกจับกุม บางคนถูกส่งไปยังค่ายกักกัน องค์การสหภาพใหม่ถูกจัดตั้งขึ้น โดยเป็นตัวแทนของคนงาน นายจ้างและเจ้าของบริษัททุกคนเป็นกลุ่มเดียว สหภาพแรงงานใหม่นี้สะท้อนแนวคิดชาติสังคมนิยมในวิญญาณแห่ง "โฟล์คสเกไมน์ชัฟท์" (ชุมชนเชื้อชาติเยอรมัน) ของฮิตเลอร์ เมื่อถึงปลายเดือนมิถุนายน พรรคอื่น ๆ ก็ได้ถูกยุบไปจนหมด และด้วยความช่วยเหลือของเอ็สอา ฮิตเลอร์กดดันให้พรรครัฐบาลผสมในนามของเขา ฮูเกนแบร์ก ลาออก วันที่ 14 กรกฎาคม ค.ศ. 1933 พรรคนาซีของฮิตเลอร์ได้รับการประกาศให้เป็นพรรคการเมืองชอบด้วยกฎหมายพรรคเดียวในเยอรมนี ข้อเรียกร้องของเอ็สอาให้มีอำนาจทางการเมืองและการทหารเพิ่มขึ้นสร้างความกังวลอย่างมากในหมู่ผู้นำทางทหาร อุตสาหกรรมและการเมือง ฮิตเลอร์สนองโดยกวาดล้างผู้นำเอ็สอาทั้งหมด ในเหตุการณ์ซึ่งต่อมาเรียกว่า "คืนมีดยาว" ระหว่างวันที่ 30 มิถุนายนถึง 2 กรกฎาคม ค.ศ. 1934 ฮิตเลอร์ตั้งเป้าหมายที่แอ็นสท์ เริห์ม และคู่แข่งการเมืองคนอื่น (เช่น เกรกอร์ ชตรัสเซอร์ และอดีตนายกรัฐมนตรี ควร์ท ฟ็อน ชไลเชอร์) เริห์มและผู้นำเอ็สอาคนอื่น ๆ ร่วมกับคู่แข่งการเมืองของฮิตเลอร์จำนวนหนึ่ง ถูกล้อม จับกุม และยิงทิ้ง ขณะที่ประชาคมระหว่างประเทศและชาวเยอรมันบางคนตระหนกต่อการฆาตกรรม ชาวเยอรมันหลายคนมองว่าฮิตเลอร์กำลังฟื้นฟูระเบียบ วันที่ 2 สิงหาคม ค.ศ. 1934 ประธานาธิบดีฮินเดินบวร์คถึงแก่อสัญกรรม หนึ่งวันก่อนหน้านั้น คณะรัฐมนตรีได้ผ่านกฎหมายให้มีผลใช้บังคับเมื่อฮินเดินบวร์คเสียชีวิต ซึ่งล้มล้างตำแหน่งประธานาธิบดีและรวมอำนาจของประธานาธิบดีกับนายกรัฐมนตรี ฮิตเลอร์จึงกลายมาเป็นทั้งประมุขแห่งรัฐและประมุขรัฐบาล มีชื่อทางการว่า ฟือเรอร์|ฟือเรอร์อุนด์ไรชส์คันซเลอร์ (ผู้นำและนายกรัฐมนตรี) กฎหมายนี้แท้จริงแล้วละเมิดรัฐบัญญัติมอบอำนาจ ขณะที่รัฐบัญญัติมอบอำนาจจะให้ฮิตเลอร์เปลี่ยนวิธีปฏิบัติจากรัฐธรรมนูญได้ แต่ห้ามเขาชัดเจนมิให้ผ่านกฎหมายใด ๆ ที่ขัดกับตำแหน่งประธานาธิบดี ใน ค.ศ. 1932 มีการแก้ไขรัฐธรรมนูญเพื่อให้ประธานศาลยุติธรรมสูงสุด มิใช่นายกรัฐมนตรี รักษาการแทนประธานาธิบดีระหว่างที่มีการเลือกตั้งใหม่ ด้วยกฎหมายนี้ ฮิตเลอร์ได้ปลดทางแก้สุดท้ายตามกฎหมายที่จะถอดเขาออกจากตำแหน่ง ในฐานะประมุขแห่งรัฐ ฮิตเลอร์จึงเป็นผู้บัญชาการทหารสูงสุดด้วย การมอบสัตย์ปฏิญาณของทหารและกะลาสีตามประเพณีถูกเปลี่ยนเป็นการยืนยันความภักดีต่อฮิตเลอร์โดยตรง มากกว่าตำแหน่งผู้บัญชาการสูงสุด วันที่ 19 สิงหาคม การรวมตำแหน่งประธานาธิบดีกับนายกรัฐมนตรีได้รับการอนุมัติโดยการลงประชามติ ซึ่งได้รับเสียงสนับสนุน 90% ของผู้ออกมาใช้สิทธิ คำพูด|มันอาจจะถูกมองเป็นเรื่องเหลวไหล ถ้าผมจะบอกคุณว่าขบวนการชาติสังคมนิยม (นาซี) จะคงอยู่ต่อไปอีกเป็นพันปี! ... อย่าลืมพวกที่เคยหัวเราะใส่ผมเมื่อ 15 ปีที่แล้วตอนผมบอกว่าวันหนึ่งผมจะปกครองเยอรมันสิ ลองให้พวกนั้นมาหัวเราะตอนนี้คงไม่ต่างอะไรจากพวกโง่ ตอนผมประกาศว่าผมจะอยู่ในอำนาจ!|ฮิตเลอร์ให้สัมภาษณ์ต่อผู้สื่อข่าว, มิถุนายน 1934 ต้น ค.ศ. 1938 ฮิตเลอร์บีบให้รัฐมนตรีว่าการสงคราม จอมพล แวร์เนอร์ ฟ็อน บล็อมแบร์ค ลาออก เมื่อสำนวนตำรวจพบว่า ภรรยาใหม่ของบล็อมแบร์คเคยมีประวัติเป็นโสเภณี ฮิตเลอร์ถอดผู้บัญชาการทหารบก พลเอก แวร์แนร์ ฟอน ฟริทช์ หลังหน่วยเอ็สอาสกล่าวหาว่าเขามีส่วนในความสัมพันธ์ร่วมเพศ นายทหารทั้งสองเริ่มดวงตกเมื่อพวกเขาคัดค้านคำสั่งของฮิตเลอร์ที่สั่งให้ทั้งสองเตรียมกองทัพบกให้พร้อมเข้าสู่สงครามภายในปี ค.ศ. 1938 ฮิตเลอร์เรียกเหตุการณ์ทั้งสองนี้ว่า "เหตุอื้อฉาวบล็อมแบร์ค-ฟริทซ์" และใช้มันเป็นข้ออ้างเพื่อควบรวมสายบัญชาการกองทัพ ฮิตเลอร์ตั้งตัวเองเป็นผู้บัญชาการทหารสูงสุดแทนบล็อมแบร์ค ทำให้เขาสามารถบังคับบัญชากองทัพได้โดยตรง เขาเปลี่ยนตัวรัฐมนตรีว่าการสงครามกับโอเบอร์คอมมันโดแดร์เวร์มัคท์ (กองบัญชาการทหารสูงสุด หรือ OKW) นำโดย พลเอก วิลเฮ็ล์ม ไคเทิล และในวันเดียวกัน นายพลสิบหกนายถูกถอดจากตำแหน่ง และ 44 นายถูกย้าย ทั้งหมดถูกสงสัยว่าไม่ภักดีต่อนาซีเพียงพอ เมื่อถึงเดือนกุมภาพันธ์ ค.ศ. 1938 นายพลอื่นอีกสิบสองนายถูกปลด หลังได้เสริมสร้างอำนาจการเมืองของเขาแล้ว ฮิตเลอร์ปราบปรามหรือกำจัดคู่แข่งของเขาด้วยกระบวนการชื่อ ไกลช์ชัลทุง ("จัดแถว") เขาพยายามหาการสนับสนุนจากสาธารณะเพิ่มเติมโดยสัญญาจะกลับผลของภาวะเศรษฐกิจตกต่ำและสนธิสัญญาแวร์ซาย == ไรช์ที่สาม == === เศรษฐกิจและวัฒนธรรม === ไฟล์:Bundesarchiv Bild 102-04062A, Nürnberg, Reichsparteitag, SA- und SS-Appell.jpg|thumb|left|upright|"โทเทเนรุง" (สรรเสริญผู้ตาย) บนระเบียงหน้า "เอเรนฮัลเลอ" (หอเกียรติยศ) ในฉากหลังเป็นที่ชุมนุมนาซี "เอเรนทรีบือเน" (เวทีเกียรติยศ) รูปจันทร์เสี้ยว ในการชุมนุมที่เนือร์นแบร์ค กันยายน ค.ศ. 1934 ใน ค.ศ. 1935 ฮิตเลอร์แต่งตั้งฮียัลมาร์ ชัคท์ เป็นผู้มีอำนาจเต็มด้านเศรษฐกิจสงคราม รับผิดชอบการเตรียมเศรษฐกิจเพื่อสงคราม การฟื้นฟูบูรณะและการติดอาวุธใหม่ได้รับจัดหาเงินทุนผ่านเมโฟบิล การพิมพ์เงิน และการยึดสินทรัพย์ของผู้ที่ถูกจับกุมในข้อหาเสี้ยนหนามแผ่นดิน รวมทั้งยิว การว่างงานลดลงอย่างมาก จากหกล้านคนใน ค.ศ. 1932 เหลือหนึ่งล้านคนใน ค.ศ. 1936 ฮิตเลอร์เป็นผู้ดูแลหนึ่งในโครงการพัฒนาสาธารณูปโภคหนึ่งในครั้งใหญ่ที่สุดในประวัติศาสตร์เยอรมนี ซึ่งนำไปสู่การก่อสร้างเขื่อน เอาโทบาน|ทางหลวงพิเศษ ทางรถไฟและงานสาธารณะอื่น ๆ ค่าแรงลดลงเล็กน้อยในช่วงปีก่อนสงครามโลกครั้งที่สองเมื่อเทียบกับในสมัยไวมาร์ ขณะที่ค่าครองชีพเพิ่มขึ้น 25% รัฐบาลฮิตเลอร์สนับสนุนสถาปัตยกรรมอย่างกว้างขวาง อัลแบร์ท สเพร์ ผู้นำการตีความแบบคลาสสิกของฮิตเลอร์นำไปปรับกับวัฒนธรรมเยอรมัน ถูกกำหนดให้รับผิดชอบการปฏิสังขรณ์สถาปัตยกรรมในเบอร์ลิน ฮิตเลอร์เปิดโอลิมปิกฤดูร้อน 1936|กีฬาโอลิมปิกฤดูร้อนในเบอร์ลิน === การสร้างเสริมอาวุธและพันธมิตรใหม่ === ในการประชุมกับผู้นำทางทหารของเยอรมนีเมื่อวันที่ 3 กุมภาพันธ์ ค.ศ. 1933 ฮิตเลอร์กล่าวถึง "การพิชิตเพื่อเลเบินส์เราม์ในทางตะวันออกและทำให้เป็นเยอรมันอย่างไร้ความปรานี" เป็นความมุ่งหมายนโยบายต่างประเทศสูงสุดของเขา ในเดือนมีนาคม เจ้าชายแบร์นาร์ด วิลเฮล์ม ฟอน บือโลว์ เลขานุการเอาสวแวร์ทีเกส อัมท์ (กระทรวงการต่างประเทศ) ออกแถลงการณ์ใหญ่ถึงเป้าประสงค์ของนโยบายต่างประเทศกับเยอรมนี คือ อันชลูสส์กับออสเตรีย การฟื้นฟูพรมแดนแห่งชาติของเยอรมนีใน ค.ศ. 1914 การปฏิเสธการจำกัดทางทหารภายใต้สนธิสัญญาแวร์ซาย การได้อดีตอาณานิคมเยอรมนีในแอฟริกาคืน และเขตอิทธิพลของเยอรมนีในยุโรปตะวันออก ฮิตเลอร์พบว่าเป้าหมายของบือโลว์นั้นถ่อมเกินไป ในสุนทรพจน์ของเขาช่วงนี้ เขาเน้นย้ำเป้าหมายของนโยบายและความเต็มใจทำงานภายในความตกลงระหว่างประเทศอย่างสันติ ในการประชุมคณะรัฐมนตรีครั้งแรกใน ค.ศ. 1933 ฮิตเลอร์จัดลำดับรายจ่ายทางทหารมาก่อนเงินช่วยเหลือผู้ว่างงาน เยอรมนีถอนตัวจากสันนิบาตชาติและการประชุมปลดอาวุธโลกในเดือนตุลาคม ค.ศ. 1933 ในเดือนมีนาคม ค.ศ. 1935 ฮิตเลอร์ประกาศขยายกำลังพลเวร์มัคท์เป็น 600,000 นาย หกเท่าของจำนวนที่สนธิสัญญาแวร์ซายอนุญาต รวมถึงการพัฒนากองทัพอากาศ (ลุฟท์วัฟเฟอ) และการเพิ่มขนาดกองทัพเรือ (ครีกสมารีเนอ) อังกฤษ ฝรั่งเศส อิตาลีและสันนิบาตชาติประณามแผนการเหล่านี้ว่าเป็นการละเมิดสนธิสัญญาแวร์ซาย ความตกลงนาวิกอังกฤษ-เยอรมัน วันที่ 18 มิถุนายน ค.ศ. 1935 อนุญาตให้ระวางน้ำหนักของกองทัพเรือเยอรมันเพิ่มขึ้นเป็น 35% ของราชนาวีอังกฤษ ฮิตเลอร์เรียกการลงนามความตกลงดังกล่าวว่าเป็น "วันที่สุขที่สุดในชีวิตเขา" ดังที่เขาเชื่อว่าความตกลงนี้เป็นจุดเริ่มต้นของพันธมิตรอังกฤษ-เยอรมันที่เขาได้ทำนายไว้ใน''ไมน์คัมพฟ์'' ฝรั่งเศสและอิตาลีไม่ได้รับการปรึกษาก่อนลงนาม ซึ่งเป็นการบั่นทอนสันนิบาตชาติโดยตรง และทิ้งสนธิสัญญาแวร์ซายบนหนทางสู่ความไม่ลงรอยกัน เยอรมนียึดครองเขตปลอดทหารในไรน์ลันท์อีกครั้งในเดือนมีนาคม ค.ศ. 1936 อันเป็นการละเมิดสนธิสัญญาแวร์ซาย ฮิตเลอร์ส่งกำลังเข้าไปในสเปนเพื่อสนับสนุนพลเอกฟรังโก หลังได้รับการขอความช่วยเหลือในเดือกรกฎาคม ค.ศ. 1936 ในขณะเดียวกัน ฮิตเลอร์พยายามสร้างพันธมิตรอังฤษ-เยอรมนีอย่างต่อเนื่อง ในการสนองต่อวิกฤตเศรษฐกิจที่ลุกลามขึ้นอันเกิดจากความพยายามสร้างเสริมอาวุธขึ้นใหม่ ฮิตเลอร์จึงออกบันทึกข้อความสั่งแฮร์มัน เกอริงเพื่อดำเนินการแผนการสี่ปีเพื่อให้เยอรมนีพร้อมทำสงครามภายในสี่ปีข้างหน้า "บันทึกข้อความแผนการสี่ปี" เดือนสิงหาคม ค.ศ. 1936 กำหนดการต่อสู้สุดกำลังระหว่าง "ยิว-บอลเชวิค" กับชาติสังคมนิยมเยอรมัน ซึ่งในมุมมองของฮิตเลอร์ จำเป็นต้องมีความพยายามที่ผูกมัดในการเสริมสร้างอาวุธโดยไม่คำนึงถึงมูลค่าทางเศรษฐกิจ ไฟล์:Hitlermusso2 edit.jpg|thumb|upright|วันที่ 25 ตุลาคม ค.ศ. 1936 อิตาลีกับเยอรมนีประกาศเป็นอักษะต่อกัน เคานต์กาเลอัซโซ ซีอาโน รัฐมนตรีต่างประเทศของรัฐบาลเบนิโต มุสโสลินี ประกาศอักษะระหว่างเยอรมนีกับอิตาลี และในวันที่ 25 พฤศจิกายน เยอรมนีลงนามในสนธิสัญญาต่อต้านองค์การคอมมิวนิสต์สากลกับญี่ปุ่น อังกฤษ จีน อิตาลีและโปแลนด์ได้รับเชิญให้เข้าร่วมสนธิสัญญาดังกล่าวด้วย แต่มีเพียงอิตาลีเท่านั้นที่ลงนามใน ค.ศ. 1937 ฮิตเลอร์ละทิ้งความฝันพันธมิตรอังกฤษ-เยอรมนี โดยกล่างโทษว่าผู้นำอังกฤษ "ไม่เหมาะสม" เขาจัดการประชุมลับที่ทำเนียบรัฐบาลไรช์กับรัฐมนตรีสงครามและต่างประเทศ ตลอดจนหัวหน้าทางทหารในเดือนพฤศจิกายนปีนั้น ตามบันทึกการประชุมฮ็อสบัค ฮิตเลอร์แถลงเจตนาในการได้มาซึ่งเลเบินส์เราม์สำหรับชาวเยอรมัน และสั่งเตรียมทำสงครามในทางตะวันออก ซึ่งจะเริ่มขึ้นไม่ช้ากว่า ค.ศ. 1943 เขาแถลงว่าบันทึกการประชุมถือว่าเป็น "พินัยกรรมการเมือง" ในกรณีเขาเสียชีวิต เขารู้สึกว่าวิกฤตเศรษฐกิจเยอรมนีได้มาถึงจุดที่มาตรฐานการครองชีพในเยอรมนีถดถอยรุนแรงจนต้องใช้เฉพาะนโยบายก้าวร้าวทางทหาร คือ ยึดออสเตรียและเชโกสโลวาเกีย เท่านั้น ฮิตเลอร์กระตุ้นการปฏิบัติอย่างรวดเร็ว ก่อนที่อังกฤษและฝรั่งเศสจะเป็นผู้นำการแข่งขันอาวุธอย่างถาวร ต้น ค.ศ. 1938 ตามติดกรณีอื้อฉาวบล็อมแบร์ค-ฟริทช์ ฮิตเลอร์ถือสิทธิ์ควบคุมระบบนโยบายทางทหาร-ต่างประเทศ โดยปลดนอยรัทจากตำแหน่งรัฐมนตรีต่างประเทศ เขาครองบทบาทและตำแหน่งโอแบร์สเทียร์ เบเฟลชาแบร์ แดร์ เวร์มัคท์ (ผู้บัญชาการทหารสูงสุด) จากต้น ค.ศ. 1938 สืบมา ฮิตเลอร์ดำเนินนโยบายต่างประเทศซึ่งมีสงครามเป็นเป้าหมายสูงสุด === การล้างชาติ === มโนทัศน์หลักของนาซี คือ แนวคิดความสะอาดเชื้อชาติ วันที่ 15 กันยายน ค.ศ. 1935 เขาเสนอกฎหมายสองฉบับ ซึ่งรู้จักกันในชื่อ กฎหมายเนือร์นแบร์ค แก่ไรชส์ทาค กฎหมายนี้ห้ามการสมรสระหว่างผู้ที่มิใช่ยิวกับเยอรมันเชื้อสายยิว และห้ามการจ้างสตรีมิใช่ยิวอายุต่ำกว่า 45 ปีในครัวเรือนยิว กฎหมายกีดกันผู้ที่ "มิใช่อารยัน" จากประโยชน์ของพลเมืองเยอรมัน นโยบายสุพันธุศาสตร์ช่วงแรกของฮิตเลอร์มุ่งไปยังเด็กที่บกพร่องทางกายและการพัฒนาในโครงการที่ถูกขนานนามว่า การปฏิบัติบรันดท์ (Action Brandt) และภายหลังอนุมัติโครงการการุณยฆาตแก่ผู้ใหญ่ที่บกพร่องทางจิตและกายอย่างร้ายแรง ซึ่งปัจจุบันมักเรียกว่า การปฏิบัติเท4 (Action T4) แนวคิดเลเบินส์เราม์ของฮิตเลอร์ ซึ่งรับหลักการในไมน์คัมพฟ์ มุ่งการได้มาซึ่งดินแดนใหม่สำหรับการตั้งถิ่นฐานของชาวเยอรมันในยุโรปตะวันออก เจเนรัลพลันโอสท์ ("แผนการทั่วไปสำหรับทางตะวันออก") กำหนดให้ประชากรในยุโรปตะวันออกและสหภาพโซเวียตส่วนที่ถูกยึดครองเนรเทศไปยังไซบีเรียตะวันตก เพื่อใช้เป็นแรงงานทาสหรือสังหารทิ้ง ดินแดนที่ถูกพิชิตจะถูกตั้งเป็นอาณานิคมของผู้ตั้งถิ่นฐานชาวเยอรมันหรือที่ถูก "ทำให้เป็นเยอรมัน" แผนการเดิมกำหนดให้กระบวนการนี้เริ่มต้นหลังการพิชิตสหภาพโซเวียต แต่เมื่อไม่เป็นผล ฮิตเลอร์จึงเลื่อนแผนการออกไป จนถึงเดือนมกราคม ค.ศ. 1942 การตัดสินใจนี้ได้นำไปยังการสังหารชาวยิวและผู้ถูกเนรเทศอื่นซึ่งถูกพิจารณาว่าไม่พึงปรารถนา ฮอโลคอสต์ () (''Endlösung der jüdischen Frage'' หรือ "การแก้ปัญหาชาวยิวครั้งสุดท้าย") จัดขึ้นและดำเนินการโดยไฮน์ริช ฮิมเลอร์และไรนาร์ด ไฮดริช บันทึกการประชุมวันน์เซ ซึ่งจัดขึ้นเมื่อวันที่ 20 มกราคม ค.ศ. 1942 และนำโดยไรนาร์ด ไฮดริช ร่วมกับเจ้าหน้าที่นาซีอาวุโสอื่นอีกสิบห้าคน เป็นหลักฐานชัดเจนที่สุดถึงการวางแผนฮอโลคอสต์อย่างเป็นระบบ วันที่ 22 กุมภาพันธ์ มีบันทึกคำกล่าวของฮิตเลอร์ต่อเพื่อนร่วมงานว่า "สุขภาพดีของเราจะฟื้นคืนก็ด้วยการสังหารยิวเท่านั้น" มีค่ายกักกันและค่ายมรณะนาซีประมาณสามสิบแห่งใช้เพื่อวัตถุประสงค์นี้ จนถึงฤดูร้อน ค.ศ. 1942 สถานที่ตั้งค่ายกักกันเอาชวิทซ์ถูกดัดแปลงให้สามารถรองรับผู้ถูกเนรเทศจำนวนมากเพื่อสังหารหรือใช้แรงงานทาส ไฟล์:Buchenwald Corpses 60623.jpg|thumb|left|ทหารอเมริกันยืนอยู่ข้างรถเข็นซึ่งมีศพกองเต็มบนรถบรรทุกนอกเมรุในค่ายกักกันบูเคินวัลท์ที่เพิ่งได้รับการปลดปล่อย เมษายน ค.ศ. 1945 แม้ไม่ปรากฏว่ามีคำสั่งเจาะจงจากฮิตเลอร์ที่อนุมัติการสังหารหมู่ เขาได้อนุมัติไอน์ซัทซกรุพเพน หน่วยสังหารซึ่งติดตามกองทัพเยอรมันผ่านโปแลนด์และรัสเซีย เขายังได้รับรายงานอย่างดีเกี่ยวกับพฤติกรรมของหน่วยนี้ด้วย ระหว่างการสอบสวนโดยสายลับโซเวียต บันทึกซึ่งได้รับการเปิดเผยในอีกกว่าห้าสิบปีให้หลัง คนขับรถของฮิตเลอร์ ไฮนซ์ ลินเกอ และผู้ช่วยของเขา อ็อทโท กึนเชอ แถลงว่าฮิตเลอร์มีความสนใจโดยตรงในการพัฒนาห้องรมแก๊ส ระหว่าง ค.ศ. 1939 ถึง 1945 เอ็สอาส ซึ่งได้รับการสนับสนุนจากรัฐบาลผู้ให้ความร่วมมือและทหารเกณฑ์จากประเทศที่ถูกยึดครอง รับผิดชอบต่อการเสียชีวิตถึงสิบเอ็ดถึงสิบสี่ล้านชีวิต รวมทั้งชาวยิวหกล้านคน คิดเป็นสองในสามของประชากรยิวในยุโรป และชาวโรมาระหว่าง 500,000 ถึง 1,500,000 คน การเสียชีวิตเกิดขึ้นในค่ายกักกันและค่ายมรณะ ย่านชาวยิว และการประหารชีวิตหมู่ เหยื่อการล้างชาติหลายคนถูกรมแก๊สจนเสียชีวิต ขณะที่บ้างเสียชีวิตเพราะหิวโหยหรือป่วยขณะใช้แรงงานทาส นโยบายของฮิตเลอร์ยังส่งผลให้มีการสังหารชาวโปแลนด์ และเชลยศึกโซเวียต พวกคอมมิวนิสต์และศัตรูการเมืองอื่น พวกรักร่วมเพศ ผู้พิการทางกายหรือใจ ผู้นับถือลัทธิพยานพระยาเวห์ นิกายแอดเวนติสต์ และผู้นำสหภาพแรงงาน ฮิตเลอร์ไม่เคยปรากฏว่าเยือนค่ายกักกันและมิได้พูดถึงการสังหารอย่างเปิดเผย. == สงครามโลกครั้งที่สอง == === ความสำเร็จทางการทูตช่วงต้น === ไฟล์:Matsuoka visits Hitler.jpg|thumb|ฮิตเลอร์กับโยซูเกะ มัตสึโอกะ รัฐมนตรีต่างประเทศญี่ปุ่น ที่การประชุมในกรุงเบอร์ลินเมื่อเดือนมีนาคม ค.ศ. 1941 ที่ยืนอยู่ข้างหลังนั้นคือ โยอาคิม ฟ็อน ริบเบินทร็อพ ==== พันธมิตรกับญี่ปุ่น ==== ในเดือนกุมภาพันธ์ ค.ศ. 1938 ด้วยการแนะนำจากรัฐมนตรีต่างประเทศที่เพิ่งได้รับแต่งตั้งใหม่ เชโกสโลวาเกีย ผู้นิยมญี่ปุ่นอย่างแข็งขัน ฮิตเลอร์จึงยุติพันธมิตรจีน-เยอรมันกับสาธารณรัฐจีนและเข้าเป็นพันธมิตรกับญี่ปุ่นที่ทันสมัยและทรงอำนาจกว่า ฮิตเลอร์ประกาศรับรองแมนจูกัว รัฐที่ญี่ปุ่นยึดครองในแมนจูเรีย ของเยอรมนี และสละการอ้างสิทธิ์ของเยอรมนีเหนืออดีตอาณานิคมในแปซิฟิกที่ญี่ปุ่นถือครองอยู่ ฮิตเลอร์สั่งยุติการส่งอาวุธไปยังจีน และเรียกนายทหารเยอรมันที่ทำงานกับกองทัพจีนทั้งหมดกลับ เพื่อเป็นการตอบโต้ พลเอก เจียง ไคเช็ก ของจีนยกเลิกความตกลงเศรษฐกิจจีน-เยอรมนีทั้งหมด ทำให้เยอรมนีขาดวัตถุดิบจากจีน แม้จีนจะยังขนส่งทังสเตนซึ่งเป็นโลหะสำคัญในการผลิตอาวุธ ต่อไปจนกระทั่ง ค.ศ. 1939 ==== ออสเตรียและเชโกสโลวาเกีย ==== วันที่ 12 มีนาคม ค.ศ. 1938 ฮิตเลอร์ประกาศรวมออสเตรียเข้ากับนาซีเยอรมนีในอันชลุส จากนั้นฮิตเลอร์มุ่งความสนใจของเขาไปยังประชากรเชื้อชาติเยอรมันในเขตซูเดเทินลันท์ของเชโกสโลวาเกีย วันที่ 28-29 มีนาคม ค.ศ. 1938 ฮิตเลอร์จัดการประชุมลับขึ้นหลายครั้งในกรุงเบอร์ลินกับคอนรัด เฮนไลน์ แห่งซูเดเตนไฮม์ฟรอนท์ (Heimfront, "แนวสนับสนุน") พรรคการเมืองเชื้อชาติเยอรมันใหญ่ที่สุดในซูเดเทินลันท์ ทั้งสองตกลงว่าเฮนไลน์จะเรียกร้องสิทธิปกครองตนเองสำหรับชาวเยอรมันซูเดเตนเพิ่มขึ้นจากรัฐบาลเชโกสโลวาเกีย ซึ่งจะเป็นข้ออ้างสำหรับการปฏิบัติทางทหารต่อเชโกสโลวาเกีย ในเดือนเมษายน ค.ศ. 1938 เฮนไลน์บอกรัฐมนตรีต่างประเทศฮังการีว่า "ไม่ว่ารัฐบาลเช็กจะเสนออะไร เขาจะเรียกร้องสูงขึ้นเสมอ ... เขาต้องการบ่อนทำลายความเข้าใจทุกทาง เพราะนี่เป็นเพียงวิธีเดียวที่จะระเบิดเชโกสโลวาเกียอย่างรวดเร็ว" โดยส่วนตัว ฮิตเลอร์มองว่าปัญหาซูเดเตนไม่สำคัญ เจตนาที่แท้จริงของเขานั้นคือสงครามพิชิตเชโกสโลวาเกีย ไฟล์:Bundesarchiv Bild 137-004055, Eger, Besuch Adolf Hitlers.jpg|thumb|left|upright|เดือนตุลาคม ค.ศ. 1938 ฮิตเลอร์ (ยืนอยู่ในเมอร์ซิเดส) ขับผ่านฝูงชนในเชบ ส่วนหนึ่งของภูมิภาคซูเดเทินลันท์ที่มีประชากรชาวเยอรมันอาศัยอยู่มากของเชโกสโลวาเกีย ซึ่งถูกผนวกเข้ากับนาซีเยอรมนีจากความตกลงมิวนิก ในเดือนเมษายน ค.ศ. 1938 ฮิตเลอร์สั่งให้ OKW เตรียมการสำหรับฟัลกรึน (Fall Grün, "กรณีเขียว") ชื่อรหัสสำหรับการบุกครองเชโกสโลวาเกีย ด้วยผลของแรงกดดันทางการทูตอย่างหนักจากฝรั่งเศสและอังกฤษ วันที่ 5 กันยายน ค.ศ. 1938 ประธานาธิบดีเชโกสโลวาเกีย เอ็ดวาร์ด เบเนช จึงประกาศ "แผนการที่สี่" เพื่อจัดระเบียบประเทศใหม่ตามรัฐธรรมนูญ ซึ่งตกลงรับข้อเรียกร้องส่วนใหญ่ของเฮนไลน์ว่าด้วยการปกครองตนเองของซูเดเตน ไฮม์ฟรอนท์ของเฮนไลน์สนองต่อข้อเสนอของเบเนชด้วยการปะทะอย่างรุนแรงหลายครั้งกับตำรวจเชโกสโลวาเกีย ซึ่งนำไปสู่การประกาศกฎอัยการศึกในบางเขตของซูเดเตน เยอรมนีนั้นพึ่งพาน้ำมันนำเข้า การเผชิญหน้ากับอังกฤษเหนือกรณีพิพาทเชโกสโลวาเกียอาจตัดทอนเสบียงน้ำมันของเยอรมนีได้ ฮิตเลอร์จึงเลื่อนฟัลกรึนออกไป ซึ่งเดิมวางแผนไว้เมื่อวันที่ 1 ตุลาคม ค.ศ. 1938 วันที่ 29 กันยายน ค.ศ. 1938 ฮิตเลอร์, เนวิลล์ เชมเบอร์เลน, เอดัวร์ ดาลาดีเย และเบนิโต มุสโสลินีเข้าร่วมการประชุมหนึ่งวันในกรุงมิวนิกซึ่งนำไปสู่ความตกลงมิวนิก ซึ่งได้มอบเขตซูเดเทินลันท์ให้แก่เยอรมนี เชมเบอร์เลนพอใจกับการประชุมมิวนิก โดยเรียกผลว่า "สันติภาพในสมัยของเรา" ขณะที่ฮิตเลอร์โกรธกับโอกาสทำสงครามที่พลาดไปใน ค.ศ. 1938 ฮิตเลอร์แสดงความผิดหวังของเขาต่อความตกลงมิวนิกออกมาในสุนทรพจน์เมื่อวันที่ 9 ตุลาคม ค.ศ. 1938 ในซาร์บรึกเคน ในมุมมองของฮิตเลอร์ สันติภาพซึ่งอังกฤษเป็นนายหน้านั้น แม้จะอำนวยประโยชน์ต่อการเรียกร้องบังหน้าของเยอรมนี แต่ก็เป็นความพ่ายแพ้ทางการทูตซึ่งยิ่งกระตุ้นเจตนาของฮิตเลอร์ในการจำกัดอำนาจของอังกฤษเพื่อกรุยทางแก่การขยายตัวไปทางตะวันออกของเยอรมนี ผลจากการประชุมนี้ ฮิตเลอร์ได้รับเลือกเป็นบุคคลแห่งปีของนิตยสารไทม์ ค.ศ. 1938 ไฟล์:Bundesarchiv Bild 183-2004-1202-505, Prag, Burg, Besuch Adolf Hitler.jpg|thumb|ฮิตเลอร์เยือนปราสาทปราก ไม่นานหลังเชโกสโลวาเกียถูกยึดครอง 15 มีนาคม ค.ศ. 1939 ในปลาย ค.ศ. 1938 และต้น ค.ศ. 1939 วิกฤตการณ์เศรษฐกิจที่ดำเนินต่อไปซึ่งเกิดขึ้นจากความพยายามสร้างเสริมอาวุธใหม่บีบให้ฮิตเลอร์ตัดงบประมาณป้องกันประเทศลงอย่างมาก วันที่ 30 มกราคม ค.ศ. 1939 ฮิตเลอร์กล่าวสุนทรพจน์ "ส่งออกหรือตาย" โดยเรียกร้องการรุกทางเศรษฐกิจของเยอรมนีเพื่อเพิ่มสินทรัพย์แลกเปลี่ยนต่างประเทศเยอรมนีเพื่อจ่ายเป็นค่าวัตถุดิบ เช่น เหล็กคุณภาพสูงซึ่งจำเป็นต่ออาวุธทางทหาร วันที่ 15 มีนาคม ค.ศ. 1939 โดยเป็นการละเมิดข้อตกลงมิวนิกและอาจเป็นเพราะผลของวิกฤตการณ์เศรษฐกิจที่ถลำลึกซึ่งต้องการสินทรัพย์เพิ่มเติม ฮิตเลอร์จึงสั่งให้เวร์มัคท์บุกครองปราก และจากปราสาทปรากได้ประกาศให้โบฮีเมียและโมราเวียเป็นรัฐในอารักขาของเยอรมนี === สงครามโลกครั้งที่สองปะทุ === ในการประชุมส่วนตัวใน ค.ศ. 1939 ฮิตเลอร์อธิบายว่าอังกฤษเป็นศัตรูหลักที่จำต้องถูกพิชิต ในมุมมองของเขา การลบล้างโปแลนด์จากการเป็นชาติมีอธิปไตยเป็นการโหมโรงที่จำเป็นสู่เป้าหมายนั้น ปีกตะวันออกจำต้องได้รับการทำให้ปลอดภัย และที่ดินจะถูกเพิ่มเข้าไปในเลเบินส์เราม์ของเยอรมนี ฮิตเลอร์ต้องการให้โปแลนด์เป็นรัฐบริวารของเยอรมนีหรือมิฉะนั้นก็ถูกทำให้เป็นกลางเพื่อให้ปีกทางตะวันออกของไรช์ปลอดภัย และเพื่อป้องกันการปิดล้อมของอังกฤษที่เป็นไปได้ แต่เดิม ฮิตเลอร์ชอบแนวคิดรัฐบริวาร ซึ่งถูกปฏิเสธโดยรัฐบาลโปแลนด์ ดังนั้น ฮิตเลอร์จึงตัดสินใจบุกครองโปแลนด์ ซึ่งเขาถือว่าเป็นเป้าหมายนโยบายต่างประเทศหลักของเยอรมนีใน ค.ศ. 1939 ฮิตเลอร์ถูกขัดใจที่อังกฤษ "รับประกัน" เอกราชของโปแลนด์ ซึ่งประกาศเมื่อวันที่ 31 มีนาคม ค.ศ. 1939 และบอกแก่เพื่อนร่วมงานเขาว่า "ฉันจะบ่มเครื่องดื่มปิศาจให้พวกมัน" ในสุนทรพจน์ในวิลเฮล์มชาเวนเพื่อปล่อยเรือประจัญบานเทียร์พิทซ์ลงน้ำเมื่อวันที่ 1 เมษายน ค.ศ. 1939 ฮิตเลอร์ขู่จะบอกเลิกความตกลงนาวีอังกฤษ-เยอรมันเป็นครั้งแรก หากอังกฤษยืนกรานการรับประกันเอกราชของโปแลนด์ ซึ่งเขามองว่าเป็นนโยบาย "ตีวงล้อม" วันที่ 3 เมษายน ค.ศ. 1939 ฮิตเลอร์สั่งการให้ฝ่ายทหารเตรียมการสำหรับฟัลไวสส์ (Fall Weiss, "กรณีขาว") แผนการสำหรับการบุกครองของเยอรมนีในวันที่ 25 สิงหาคม ค.ศ. 1939 ในสุนทรพจน์ต่อไรชส์ทาคเมื่อวันที่ 28 เมษายน ฮิตเลอร์บอกเลิกทั้งความตกลงนาวิกอังกฤษ-เยอรมันและสนธิสัญญาไม่รุกรานเยอรมนี–โปแลนด์ ฮิตเลอร์กล่าวแก่นายพลของเขาว่าแผนการดั้งเดิมของเขาใน ค.ศ. 1939 คือ "... จัดตั้งความสัมพันธ์ที่ยอมรับได้กับโปแลนด์เพื่อต่อสู้กับตะวันตก" เนื่องจากโปแลนด์ปฏิเสธจะเป็นบริวารของเยอรมนี ฮิตเลอร์จึงเชื่อว่าทางเลือกเดียวของเขาคือการบุกครองโปแลนด์ นักประวัติศาสตร์ เช่น วิลเลียม คาร์, แกร์ฮาร์ด ไวน์แบร์ก และเอียน เคอร์ชอว์ เสนอว่า สาเหตุหนึ่งที่ฮิตเลอร์เร่งทำสงคราม เพราะความกลัวผิดปกติและหมกมุ่นของเขาว่าจะตายก่อนวัยอันควร และดังนั้น จึงมีความรู้สึกว่า เขาอาจไม่มีชีวิตอยู่จนสำเร็จงานของเขาก็ได้ ฮิตเลอร์เดิมกังวลว่าการโจมตีทางทหารต่อโปแลนด์อาจส่งผลให้เกิดสงครามกับอังกฤษก่อนเวลาอันควร อย่างไรก็ดี รัฐมนตรีต่างประเทศของฮิตเลอร์ และอดีตเอกอัครราชทูตประจำกรุงลอนดอน โยอาคิม ฟ็อน ริบเบินทร็อพ ยืนยันแก่เขาว่าทั้งอังกฤษและฝรั่งเศสจะไม่เคารพการผูกมัดของพวกตนต่อโปแลนด์ และสงครามเยอรมนี-โปแลนด์จะเป็นเพียงสงครามในภูมิภาคจำกัด ริบเบินทร็อพอ้างว่าในเดือนสิงหาคม ค.ศ. 1938 รัฐมนตรีต่างประเทศฝรั่งเศส ฌอร์ฌ บอแน (Georges Bonnet) ได้แถลงว่า ฝรั่งเศสมองว่ายุโรปตะวันออกเป็นเขตอิทธิพลจำเพาะของเยอรมนี ริบเบินทร็อพได้แสดงโทรเลขภายใน (diplomatic cable) แก่ฮิตเลอร์ซึ่งสนับสนุนการวิเคราะห์ของเขา เอกอัครราชทูตเยอรมนีประจำกรุงลอนดอน แฮร์แบร์ท ฟอน ดีร์คเซน สนับสนุนการวิเคราะห์ของริบเบินทร็อพด้วยการเดินหนังสือในเดือนสิงหาคม ค.ศ. 1939 โดยรายงานว่าเชมเบอร์เลนทราบ "โครงสร้างสังคมของอังกฤษ กระทั่งกรอบความคิดของจักรวรรดิอังกฤษ ว่าจะไม่รอดพ้นความยุ่งเหยิงของสงครามแม้จะชนะก็ตาม" และดังนั้นจึงจะยอมอ่อนตาม เมื่อเป็นเช่นนั้น วันที่ 21 สิงหาคม ค.ศ. 1939 ฮิตเลอร์จึงสั่งระดมพลทางทหารต่อโปแลนด์ แผนการสำหรับการทัพทางทหารในโปแลนด์ของฮิตเลอร์เมื่อปลายเดือนสิงหาคมหรือต้นเดือนกันยายนนั้นต้องอาศัยการสนับสนุนโดยปริยายของโซเวียต สนธิสัญญาไม่รุกราน (กติกาสัญญาโมโลตอฟ–ริบเบินทร็อพ) ระหว่างเยอรมนีกับสหภาพโซเวียต ภายใต้การนำของโจเซฟ สตาลิน รวมภาคผนวกลับด้วยความตกลงแบ่งโปแลนด์ระหว่างสองประเทศ ในการสนองต่อสนธิสัญญาโมโลตอฟ-ริบเบินทร็อพ อังกฤษและโปแลนด์ลงนามในพันธมิตรทางการทหารอังกฤษ-โปแลนด์เมื่อวันที่ 25 สิงหาคม ค.ศ. 1939 ซึ่งขัดกับที่ริบเบินทร็อพพยากรณ์ไว้ว่าสนธิสัญญาที่เพิ่งก่อตั้งนี้จะตัดความสัมพันธ์ระหว่างอังกฤษ-โปแลนด์ พันธมิตรนี้ ร่วมกับข่าวจากอิตาลีที่ว่ามุสโสลินีจะไม่เคารพสนธิสัญญาเหล็ก ทำให้ฮิตเลอร์เลื่อนการโจมตีโปแลนด์ออกไปจากวันที่ 25 สิงหาคม ไปเป็น 1 กันยายน ไม่กี่วันก่อนสงครามเริ่มต้น ฮิตเลอร์พยายามออกอุบายให้อังกฤษวางตัวเป็นกลางโดยเสนอการรับประกันไม่รุกรานต่อจักรวรรดิอังกฤษเมื่อวันที่ 25 สิงหาคม และโดยให้ริบเบินทร็อพเสนอแผนสันติภาพนาทีสุดท้ายด้วยจำกัดเวลาสั้นอย่างเป็นไปไม่ได้ในความพยายามที่จะกล่าวโทษว่าสงครามเป็นผลจากความเฉื่อยชาของอังกฤษและโปแลนด์ เพื่อใช้เป็นข้ออ้างสำหรับการบุกครองทางทหารต่อโปแลนด์ ฮิตเลอร์จึงอ้างสิทธิเหนือนครเสรีดันท์ซิชและสิทธิในถนนนอกอาณาเขตข้ามฉนวนโปแลนด์ ซึ่งเยอรมนีได้ยกให้ภายใต้สนธิสัญญาแวร์ซาย แม้ความกังวลของฮิตเลอร์ว่าอังกฤษอาจเข้าแทรกแซง ท้ายที่สุด เขาไม่ได้ยุติเป้าหมายในอันที่จะบุกครองโปแลนด์ และวันที่ 1 กันยายน ค.ศ. 1939 เยอรมนีก็ได้การบุกครองโปแลนด์|บุกครองโปแลนด์ทางตะวันตก อังกฤษและฝรั่งเศสสนองโดยประกาศสงครามต่อเยอรมนีในวันที่ 3 กันยายน ซึ่งได้สร้างความประหลาดใจแก่ฮิตเลอร์ ทำให้เขาหันไปหาริบเบินทร็อพและถามเขาอย่างโกรธ ๆ ว่า "ไงล่ะทีนี้" ฝรั่งเศสและอังกฤษมิได้ปฏิบัติตามการประกาศของตนในทันที และเมื่อวันที่ 17 กันยายน กองทัพโซเวียตบุกครองโปแลนด์จากทางตะวันออก quote |โปแลนด์จะไม่มีวันผงาดขึ้นมาอีกเหมือนครั้งสนธิสัญญาแวร์ซาย! นี่ไม่เพียงถูกการันตีโดยเยอรมนีเท่านั้น แต่ยังถูกการันตีโดยรัสเซียด้วย |ฮิตเลอร์ กล่าวสุนทรพจน์ต่อสาธารณะในดันท์ซิช กันยายน ค.ศ. 1939 ไฟล์:Bundesarchiv Bild 183-2008-0922-500, Reichstag, Begrüßung Adolf Hitler.jpg|thumb|upright|สมาชิกไรชส์ทาคแสดงความเคารพต่อฮิตเลอร์ที่โรงอุปรากรครอลล์เมื่อวันที่ 6 ตุลาคม ค.ศ. 1939 หลังสิ้นสุดการบุกครองโปแลนด์|การทัพต่อโปแลนด์ การสูญเสียโปแลนด์ตามมาด้วยสิ่งที่นักหนังสือพิมพ์ร่วมสมัยเรียกว่า "สงครามลวง" หรือซิทซครีก ฮิตเลอร์สั่งการให้เกาไลเทอร์แห่งโปแลนด์ตะวันตกเฉียงเหนือ อัลแบร์ท ฟอร์สแตร์ และอาร์ธูร์ ไกรแซร์ ที่เพิ่งได้รับแต่งตั้งใหม่ "แผลงพื้นที่เป็นเยอรมัน" (Germanise) และให้สัญญาแก่ทั้งสองว่า "จะไม่มีการตั้งคำถาม" ถึงวิธีการที่ใช้ ด้วยความรำคาญใจของฮิมเลอร์ ฟอร์สแตร์ให้ชาวโปแลนด์ท้องถิ่นลงนามในแบบซึ่งประกาศว่าพวกเขามีเลือดเยอรมัน และไม่ต้องใช้เอกสารหลักฐานอื่นประกอบ แต่อีกด้านหนึ่ง ไกรแซร์เริ่มการรณรงค์ล้างเชื้อชาติอย่างโหดร้ายต่อประชากรโปแลนด์ในอำนาจของเขา ไกรแซร์บ่นกับฮิตเลอร์ว่าฟอร์สแตร์อนุญาตให้ชาวโปแลนด์หลายพันคนได้รับการยอมรับว่าเป็นชาวเยอรมัน "โดยเชื้อชาติ" และดังนั้น ในมุมมองของไกรแซร์ จึงเป็นอันตรายต่อ "ความบริสุทธิ์ทางเชื้อชาติ" ของเยอรมัน ฮิตเลอร์บอกฮิมเลอร์และไกรแซร์ให้ยอมรับความขับข้องกับฟอร์สแตร์ และไม่ให้พาดพิงถึงเขา การจัดการกับกรณีพิพาทฟอร์สแตร์-ไกรแซร์นั้น ได้ถูกพัฒนาเป็นตัวอย่างของทฤษฎี "ทำงานมุ่งสู่ฟือเรอร์" ของเคอร์ชอว์ หมายความว่า ฮิตเลอร์สั่งการอย่างคลุมเครือและคาดหวังให้ผู้ใต้บังคับบัญชาของเขาดำเนินนโยบายนั้นเอง อีกกรณีพิพาทหนึ่งเกิดขึ้นระหว่างฝ่ายที่แตกต่างกัน ด้านหนึ่ง นำโดยฮิมเลอร์และไกรแซร์ สนับสนุนการกวาดล้างเชื้อชาติในโปแลนด์ และอีกด้านหนึ่ง นำโดยเกอริงและฮันส์ ฟรังค์ ข้าหลวงใหญ่ดินแดนเจเนรัลกอแวร์นเมนท์ในโปแลนด์เขตยึดครอง เรียกร้องให้เปลี่ยนโปแลนด์เป็น "ยุ้งฉาง" ของไรช์ ในการประชุมซึ่งจัดที่คฤหาสน์คารินฮัลของเกอริงเมื่อวันที่ 12 กุมภาพันธ์ ค.ศ. 1940 กรณีพิพาทนี้เดิมได้รับการตัดสินเห็นชอบกับมุมมองการแสวงหาประโยชน์ทางเศรษฐกิจของเกอริง-ฟรังค์ ซึ่งยุติการเนรเทศขนานใหญ่ซึ่งรบกวนเศรษฐกิจ อย่างไรก็ดี วันที่ 15 พฤษภาคม ค.ศ. 1940 ฮิมเลอร์นำเสนอฮิตเลอร์ด้วยบันทึกข้อความ "บางคติว่าด้วยการปฏิบัติต่อประชากรต่างด้าวในทางตะวันออก" ซึ่งเรียกร้องให้ขับไล่ประชากรยิวทั้งยุโรปไปยังแอฟริกาและลดฐานะประชากรโปแลนด์ที่เหลือลงเป็น "ชนชั้นแรงงานไร้ผู้นำ" ฮิตเลอร์ลงความเห็นต่อข้อเสนอดังกล่าวว่า "ดีงาม" เขาจึงละเลยเกอริงและฟรังค์ และนำนโยบายของฮิมเลอร์-ไกรแซร์ไปปฏิบัติในโปแลนด์ ไฟล์:Adolf Hitler in Paris 1940.jpg|thumb|upright|left|ฮิตเลอร์เยือนกรุงปารีสพร้อมด้วยสถาปนิก อัลแบร์ท ชเปียร์ (ซ้าย) และศิลปิน อาร์โน เบรเกอร์ 23 มิถุนายน ค.ศ. 1940 ฮิตเลอร์สั่งการให้เสริมสร้างกำลังทหารตามชายแดนตะวันตกของเยอรมนี และในเดือนเมษายน ค.ศ. 1940 กองทัพเยอรมันบุกครองเดนมาร์กและนอร์เวย์ ในเดือนพฤษภาคม ค.ศ. 1940 กองทัพของฮิตเลอร์โจมตีฝรั่งเศส และพิชิตลักเซมเบิร์ก เนเธอร์แลนด์ และเบลเยียม ชัยชนะเหล่านี้กระตุ้นให้มุสโสลินีนำอิตาลีเข้าพวกกับฮิตเลอร์ในวันที่ 10 มิถุนายน ค.ศ. 1940 ฝรั่งเศสยอมจำนนเมื่อวันที่ 22 มิถุนายน ค.ศ. 1940 อังกฤษ ซึ่งกองทัพถูกบีบให้ออกจากฝรั่งเศสทางทะเลจากดันเคิร์ก ยังคงสู้รบเคียงข้างเครือจักรภพแห่งชาติ|เครือจักรภพอังกฤษอื่น ๆ ในยุทธนาวีแอตแลนติก ฮิตเลอร์ทาบทามสันติภาพต่ออังกฤษ ซึ่งขณะนี้นำโดยวินสตัน เชอร์ชิลล์ และเมื่อการทาบทามนั้นถูกปฏิเสธ เขาได้สั่งการทิ้งระเบิดโฉบฉวยต่อสหราชอาณาจักร โหมโรงสู่การบุกครองสหราชอาณาจักรที่วางแผนไว้ของฮิตเลอร์เป็นชุดการโจมตีทางอากาศในยุทธการบริเตนต่อฐานทัพอากาศกองทัพอากาศอังกฤษ และสถานีเรดาร์ทางตะวันตกเฉียงใต้ของอังกฤษ อย่างไรก็ดี ลุฟท์วัฟเฟอของเยอรมนีไม่สามารถเอาชนะกองทัพอากาศอังกฤษ วันที่ 27 กันยายน ค.ศ. 1940 กติกาสัญญาไตรภาคีได้รับการลงนามในกรุงเบอร์ลิน โดยซาบูโร คูรูซุ ผู้แทนญี่ปุ่น, โยอาคิม ฟ็อน ริบเบินทร็อพ ผู้แทนไรช์ และกาลีอาซโซ ซิอาโน ผู้แทนอิตาลี ความตกลงดังกล่าวภายหลังขยายไปรวมถึงฮังการี โรมาเนียและบัลแกเรีย ประเทศเหล่านี้รู้จักกันในชื่อกลุ่มฝ่ายอักษะ|อักษะประเทศ จุดประสงค์ของสนธิสัญญาคือ เพื่อขัดขวางสหรัฐอเมริกามิให้สนับสนุนอังกฤษ จนถึงปลายเดือนตุลาคม ค.ศ. 1940 ความเป็นเจ้าทางอากาศสำหรับการบุกครองอังกฤษ ปฏิบัติการสิงโตทะเล ไม่อาจบรรลุได้ และฮิตเลอร์สั่งการตีโฉบฉวยทางอากาศยามกลางคืนตามนครต่าง ๆ ของอังกฤษ รวมทั้งลอนดอน พลีมัธ และคอเวนทรี ในฤดูใบไม้ผลิ ค.ศ. 1941 ฮิตเลอร์ถูกทำให้ไขว้เขวจากแผนการทางตะวันออกโดยกิจกรรมทางทหารในแอฟริกาเหนือ คาบสมุทรบอลข่านและตะวันออกกลาง ในเดือนกุมภาพันธ์ กองทัพเยอรมันไปถึงลิเบียเพื่อสนับสนุนอิตาลี ในเดือนเมษายน ฮิตเลอร์สั่งการบุกครองยูโกสลาเวีย และตามด้วยการบุกครองกรีซในเวลาอันรวดเร็ว ในเดือนพฤษภาคม กองทัพเยอรมันถูกส่งไปสนับสนุนกำลังกบฏอิรักที่สู้รบต่ออังกฤษและยุทธการครีต|บุกครองครีต วันที่ 23 พฤษภาคม ฮิตเลอร์ออกคำสั่งฟือเรอร์ ฉบับที่ 30 === ทางสู่ความปราชัย === เมื่อวันที่ 22 มิถุนายน ค.ศ. 1941 โดยฝ่าฝืนสนธิสัญญาไม่รุกรานฮิตเลอร์-สตาลิน ทหารเยอรมันสามล้านนายโจมตีสหภาพโซเวียตในปฏิบัติการบาร์บารอสซา การบุกครองนี้ได้ยึดพื้นที่ได้กว้างใหญ่ไพศาล รวมทั้งรัฐบอลติก เบลารุส และยูเครน อย่างไรก็ดี การรุกคืบของเยอรมนีหยุดลงไม่ไกลจากกรุงมอสโกในเดือนธันวาคม ค.ศ. 1941 โดยฤดูหนาวของรัสเซียและยุทธการมอสโก|การต้านทานอย่างดุเดือดของโซเวียต การชุมนุมของทหารโซเวียตตรงพรมแดนตะวันออกของเยอรมนีในฤดูใบไม้ผลิ ค.ศ. 1941 อาจเป็นเหตุให้ฮิตเลอร์มามีส่วนในฟลุคท์ นัค ฟอร์น ("บินไปข้างหน้า") เพื่อเผชิญหน้ากับความขัดแย้งอันหลีกเลี่ยงไม่ได้ วิกตอร์ ซูโวรอฟ, แอ็นสท์ โทพิทช์, โจอาคิม ฮอฟฟ์มันน์, แอ็นสท์ นอลเทอ และเดวิด เอียร์วิง ได้ถกเถียงกันว่าเหตุผลอย่างเป็นทางการสำหรับบาร์บารอสซาที่กองทัพเยอรมันให้นั้นเป็นเหตุผลแท้จริง คือ สงครามป้องกันเพื่อปัดป้องการโจมตีของโซเวียตที่เตรียมการไว้เมื่อเดือนกรกฎาคม ค.ศ. 1941 อย่างไรก็ดี ทฤษฎีนี้ถูกติเตียน นักประวัติศาสตร์อเมริกัน เกอร์ฮาร์ด ไวน์เบิร์ก เคยเปรียบผู้สนับสนุนทฤษฎีสงครามป้องกันกับผู้ที่เชื่อใน "เทพนิยาย" การบุกครองสหภาพโซเวียตของกองทัพบกเยอรมันถึงขีดสุดเมื่อวันที่ 2 ธันวาคม ค.ศ. 1941 เมื่อกองพลทหารราบที่ 258 รุกเข้าไปภายในรัศมี 24 กิโลเมตรจากกรุงมอสโก ใกล้พอที่จะเห็นยอดแหลมของเครมลิน อย่างไรก็ดี พวกเขาไม่ได้เตรียมการสำหรับสภาพอันโหดร้ายของฤดูหนาวรัสเซีย และกองทัพโซเวียตผลักดันกองทัพเยอรมันกลับมาเป็นระยะทางกว่า 320 กิโลเมตร วันที่ 7 ธันวาคม ค.ศ. 1941 การโจมตีเพิร์ลฮาร์เบอร์|ญี่ปุ่นโจมตีเพิร์ลฮาร์เบอร์ รัฐฮาวาย สี่วันให้หลัง การประกาศสงครามอย่างเป็นทางการต่อสหรัฐอเมริกาของฮิตเลอร์ ทำให้เยอรมนีเข้าสู่สงครามกับกำลังผสมซึ่งมีประเทศจักรวรรดิใหญ่ที่สุดในโลก คือ จักรวรรดิอังกฤษ ประเทศอุตสาหกรรมและการเงินยิ่งใหญ่ที่สุดในโลก คือ สหรัฐอเมริกา และประเทศที่มีกองทัพใหญ่ที่สุดในโลก คือ สหภาพโซเวียต ไฟล์:Bundesarchiv Bild 183-1987-0703-507, Berlin, Reichstagssitzung, Rede Adolf Hitler (color).jpg|thumb|left|ฮิตเลอร์ประกาศสงครามกับสหรัฐ 11 ธันวาคม 1941 เมื่อฮิมเลอร์เข้าพบฮิตเลอร์ในวันที่ 18 ธันวาคม ค.ศ. 1941 แล้วตั้งคำถาม ''"จะให้ทำยังไงกับพวกยิวในรัสเซีย?"'' ฮิตเลอร์ตอบว่า ''"ก็กำจัดทิ้งเหมือน ๆ กันนั่นแหละ"'') นักประวัติศาสตร์อิสราเอล เยฮูดา บาวเออร์ (Yehuda Bauer) ได้ออกความเห็นว่า ความเห็นของฮิตเลอร์นี้อาจใกล้เคียงมากที่สุดเท่าที่นักประวัติศาสตร์จะหาคำสั่งสรุปขั้นสุดท้ายจากฮิตเลอร์ในพันธุฆาตที่ดำเนินระหว่างการล้างชาติโดยนาซี ปลาย ค.ศ. 1942 กองทัพเยอรมันปราชัยในยุทธการเอล อาลาเมนครั้งที่สอง ขัดขวางแผนการของฮิตเลอร์ในการยึดคลองสุเอซและตะวันออกกลาง เดือนกุมภาพันธ์ ค.ศ. 1943 ยุทธการสตาลินกราดสิ้นสุดลงด้วยกองทัพเยอรมันที่หกถูกทำลายลงอย่างสิ้นเชิง ตามด้วยความพ่ายแพ้เด็ดขาดในยุทธการเคิสก์ การตัดสินใจทางทหารของฮิตเลอร์เริ่มไม่มั่นคงเพิ่มขึ้น และฐานะทางทหารและเศรษฐกิจของเยอรมนีบั่นทอนลงไปพร้อมกับสุขภาพของฮิตเลอร์ เคอร์ชอว์และคนอื่น ๆ เชื่อว่า ฮิตเลอร์อาจป่วยเป็นโรคพาร์กินสัน หลังการบุกครองอิตาลีของฝ่ายสัมพันธมิตรใน ค.ศ. 1943 มุสโสลินีถูกปลดโดยปีเอโตร บาโดลโย ผู้ยอมจำนนต่อฝ่ายสัมพันธมิตร ตลอด ค.ศ. 1943 และ 1944 สหภาพโซเวียตค่อย ๆ บีบให้กองทัพของฮิตเลอร์ล่าถอยตามแนวรบด้านตะวันออก วันที่ 6 มิถุนายน ค.ศ. 1944 กองทัพสัมพันธมิตรตะวันตกขึ้นฝั่งทางตอนเหนือของฝรั่งเศสในหนึ่งในปฏิบัติการสะเทินน้ำสะเทินบกที่ใหญ่ที่สุดในประวัติศาสตร์ ปฏิบัติการโอเวอร์ลอร์ด ด้วยเหตุความเสื่อมถอยของกองทัพเยอรมัน นายทหารหลายคนจึงสรุปว่า ความพ่ายแพ้หลีกเลี่ยงไม่ได้ และการตัดสินใจผิดพลาดหรือการปฏิเสธของฮิตเลอร์จะยืดสงครามออกไปและส่งผลให้ประเทศชาติพังพินาศย่อยยับ ความพยายามลอบสังหารที่ได้รับความสนใจหลายครั้งต่อฮิตเลอร์เกิดขึ้นระหว่างช่วงนี้ ไฟล์:Bundesarchiv Bild 146-1972-025-12, Zerstörte Lagerbaracke nach dem 20. Juli 1944.jpg|thumb|ห้องแผนที่ซึ่งถูกทำลายที่รังหมาป่าหลังแผนลับ 20 กรกฎาคม ระหว่าง ค.ศ. 1939 และ 1945 มีหลายแผนในการลอบสังหารฮิตเลอร์ ซึ่งบางแผนดำเนินไปยังระดับที่สำคัญ แผนที่เป็นที่รู้จักกันมากที่สุดมาจากภายในเยอรมนี และอย่างน้อยบางส่วนมาจากโอกาสที่เพิ่มขึ้นที่เยอรมนีจะแพ้สงคราม ในเดือนกรกฎาคม ค.ศ. 1944 แผนลับ 20 กรกฎาคม ส่วนหนึ่งของปฏิบัติการวาลคือเรอ เคลาส์ ฟ็อน ชเตาเฟินแบร์ค ติดตั้งระเบิดไว้ในกองบัญชาการแห่งหนึ่งของฮิตเลอร์ โวลฟ์สชันเซอ (รังหมาป่า) ที่รัสเทนบูร์ก ฮิตเลอร์รอดชีวิตอย่างหวุดหวิดเพราะบางคนผลักกระเป๋าเอกสารที่บรรจุระเบิดไปหลังขาโต๊ะประชุมที่หนักอย่างไม่รู้ เมื่อเกิดระเบิดขึ้น โต๊ะสะท้อนแรงระเบิดส่วนมากไปจากฮิตเลอร์ ภายหลัง ฮิตเลอร์สั่งการตอบโต้อย่างโหดร้าย ซึ่งส่งผลให้มีการประหารชีวิตคนกว่า 4,900 คน === ความปราชัยและอสัญกรรม === จนถึงปลาย ค.ศ. 1944 กองทัพแดงได้ขับกองทัพเยอรมันถอยกลับไปยังยุโรปตะวันตก และสัมพันธมิตรตะวันตกกำลังรุกคืบเข้าไปในเยอรมนี หลังได้รับแจ้งความล้มเหลวของการรุกอาร์เดนเนสของเขา ฮิตเลอร์จึงตระหนักว่าเยอรมนีกำลังแพ้สงคราม ความหวังของเขา ซึ่งขึ้นอยู่กับการถึงแก่อสัญกรรมของแฟรงกลิน ดี. โรสเวลต์เมื่อวันที่ 12 เมษายน ค.ศ. 1945 คือ การเจรจาสันติภาพกับอเมริกาและอังกฤษ ฮิตเลอร์สั่งการให้ทำลายโครงสร้างพื้นฐานทางอุตสาหกรรมทั้งหมดของเยอรมนีก่อนที่จะตกอยู่ในมือฝ่ายสัมพันธมิตร โดยทำตามมุมมองของเขาที่ว่าความล้มเหลวทางทหารของเยอรมนีเสียสิทธิ์ในการอยู่รอดเป็นชาติ การดำเนินการแผนการเผาทุกสิ่งทุกอย่างนี้ถูกมอบหมายไปยังรัฐมนตรีอาวุธ อัลแบร์ท ชเปียร์ ผู้ขัดคำสั่งเขาอย่างเงียบ ๆ วันที่ 20 เมษายน วันเกิดปีที่ 56 ของเขา ฮิตเลอร์เดินทางครั้งสุดท้ายจากฟือเรอร์บุงเคอร์ไปยังพื้นที่กลางแจ้ง ในสวนที่ถูกทำลายของทำเนียบรัฐบาลไรช์ เขามอบกางเขนเหล็กให้ทหารหนุ่มแห่งยุวชนฮิตเลอร์ จนถึงวันที่ 21 เมษายน แนวรบเบลารุสที่ 1 ของเกออร์กี จูคอฟ ได้เจาะผ่านการป้องกันสุดท้ายของกองทัพกลุ่มวิสตูลาของพลเอก กอททาร์ด ไฮน์รีซี ระหว่างยุทธการที่ราบสูงซีโลว์ และรุกเข้าไปยังชานกรุงเบอร์ลิน ในการไม่ยอมรับเกี่ยวกับสถานการณ์อันเลวร้ายเพิ่มขึ้น ฮิตเลอร์ตั้งความหวังของเขาต่อหน่วย ''อาร์เมอับไทลุง ชไตเนอร์'' ("กองทหารชไตเนอร์") ภายใต้การบังคับบัญชาของนายทหารวัฟเฟิน เอ็สอาส พลโท เฟลิคส์ ชไตเนอร์ ฮิตเลอร์สั่งการให้ชไตเนอร์โจมตีปีกด้านเหนือของส่วนที่ยื่นออกมา และกองพลเยอรมันที่เก้าได้รับคำสั่งให้โจมตีไปทางเหนือแบบการโจมตีขนาบ (pincer attack) ระหว่างการประชุมทหารเมื่อวันที่ 22 เมษายน ฮิตเลอร์ถามถึงการรุกของชไตเนอร์ หลังความเงียบเป็นเวลานาน เขาได้รับบอกเล่าว่า การโจมตีนั้นไม่เคยเกิดขึ้นและพวกรัสเซียได้ตีฝ่าเข้าไปในกรุงเบอร์ลิน ข่าวนี้ทำให้ฮิตเลอร์ขอให้ทุกคนยกเว้นวิลเฮ็ล์ม ไคเทิล, อัลเฟรด โยเดิล, ฮันส์ เครพส์ (นายพลแวร์มัคท์)|ฮันส์ เครพส์ และวิลเฮ็ล์ม บวร์คดอร์ฟ ออกจากห้อง จากนั้น เขาได้ประณามต่อการทรยศและความไร้ความสามารถของผู้บังคับบัญชาของเขาอย่างเผ็ดร้อน และลงเอยด้วยการประกาศเป็นครั้งแรกว่า เยอรมนีแพ้สงคราม ฮิตเลอร์ประกาศว่าเขาจะอยู่ในกรุงเบอร์ลินจนถึงจุดจบและจากนั้นยิงตัวตาย เกิบเบิลส์ออกประกาศวันที่ 23 เมษายนกระตุ้นให้พลเมืองเบอร์ลินป้องกันนครอย่างกล้าหาญ วันเดียวกันนั้น เกอริงส่งโทรเลขจากเบอร์ชเทสกาเดนในรัฐบาวาเรีย แย้งว่า ตั้งแต่ฮิตเลอร์ถูกตัดขาดในกรุงเบอร์ลิน ตัวเขาควรเป็นผู้นำเยอรมนีแทน เกอริงได้กำหนดเวลา หลังจากนั้นเขาจะพิจารณาว่าฮิตเลอร์ไร้ความสามารถ ฮิตเลอร์สนองด้วยความโกรธโดยสั่งจับกุมเกอริง และเมื่อเขียนพินัยกรรมเมื่อวันที่ 29 เมษายน เขาถอดเกอริงออกจากตำแหน่งทั้งหมดในรัฐบาล กรุงเบอร์ลินได้มาถูกตัดขาดจากส่วนที่เหลือของเยอรมนีอย่างสิ้นเชิง วันที่ 28 เมษายน ฮิตเลอร์พบว่า ฮิมเลอร์กำลังพยายามเจรจาเงื่อนไขการยอมแพ้ต่อสัมพันธมิตรตะวันตก เขาจึงสั่งจับกุมฮิมเลอร์และสั่งยิงแฮร์มันน์ เฟเกิลไอน์ (ผู้แทนเอ็สอาสของฮิมเลอร์ที่กองบัญชาการของฮิตเลอร์ในกรุงเบอร์ลิน) หลังเที่ยงคืนวันที่ 29 เมษายน ฮิตเลอร์สมรสกับเอฟา เบราน์ในพิธีตามกฎหมายเล็ก ๆ ในห้องแผนที่ภายในฟือเรอร์บุงเกอร์ หลังทานอาหารเช้างานแต่งที่เรียบง่ายกับภรรยาใหม่ของเขา จากนั้น เขานำเลขานุการเทราเดิล ยุงเงอ (Traudl Junge) ไปอีกห้องหนึ่งและบอกให้เขียนพินัยกรรมฉบับหลังสุดของอดอล์ฟ ฮิตเลอร์|พินัยกรรมฉบับหลังสุดของเขา เหตุการณ์ดังกล่าวมีฮันส์ เครพส์, วิลเฮ็ล์ม บวร์คดอร์ฟ, โยเซ็ฟ เกิบเบิลส์ และมาร์ทีน บอร์มันเป็นพยานและผู้ลงนามเอกสาร ในช่วงบ่าย ฮิตเลอร์ทราบข่าวการประหารชีวิตผู้เผด็จการชาวอิตาลี เบนิโต มุสโสลินี ซึ่งอาจเพิ่มความตั้งใจที่จะหนีการจับตัว ไฟล์:Stars & Stripes & Hitler Dead2.jpg|thumb|upright|หน้าแรกของหนังสือพิมพ์ของทัพสหรัฐ ''สตาส์แอนด์สไตรพ์'' วันที่ 2 พฤษภาคม ค.ศ. 1945 วันที่ 30 เมษายน ค.ศ. 1945 หลังการสู้รบถนนต่อถนนอย่างเข้มข้น เมื่อกองทัพโซเวียตอยู่ในระยะหนึ่งหรือสองช่วงตึกจากทำเนียบรัฐบาลไรช์ ฮิตเลอร์และเบราน์ทำอัตวินิบาตกรรม เบราน์กัดแคปซูลไซยาไนด์ และฮิตเลอร์ยิงตัวตายด้วยปืนพกวัลเทอร์ เพเพคา (Walther PPK) 7.65 มม. ของเขา ร่างไร้วิญญาณของฮิตเลอร์และเอฟา เบราน์ถูกนำขึ้นบันไดและผ่านทางออกฉุกเฉินของบังเกอร์ไปยังสวนที่ถูกระเบิดหลังทำเนียบรัฐบาลไรช์ ที่ซึ่งทั้งสองร่างถูกวางไว้ในหลุมระเบิด ราดด้วยน้ำมัน และจุดไฟ ขณะที่กองทัพแดงยิงปืนใหญ่ถล่มต่อเนื่อง เบอร์ลินยอมจำนนเมื่อวันที่ 2 พฤษภาคม บันทึกในจดหมายเหตุโซเวียต ซึ่งได้มาหลังสหภาพโซเวียตล่มสลาย แสดงให้เห็นว่า ศพของฮิตเลอร์ เบราน์ โจเซฟและมักดา เกิบเบิลส์ ลูก ๆ เกิบเบิลส์ทั้งหกคน พลเอก ฮันส์ เครพส์ และสุนัขของฮิตเลอร์ ถูกฝังและขุดขึ้นมาหลายครั้ง จากนั้นโซเวียตจัดการเผา บดและโปรยอัฐิที่แม่น้ำบีเดริทซ์ สาขาหนึ่งของแม่น้ำเอลเบ == ชีวิตส่วนตัว == === ครอบครัว === File:Bundesarchiv B 145 Bild-F051673-0059, Adolf Hitler und Eva Braun auf dem Berghof.jpg|thumb|ฮิตเลอร์กับเบราวน์ใน ค.ศ. 1942 ฮิตเลอร์ส่งเสริมภาพลักษณ์ของตนต่อสาธารณะว่าเป็นภาพลักษณ์ชายที่อยู่เป็นโสดโดยปราศจากชีวิตครอบครัว อุทิศตนทั้งหมดให้แก่ภารกิจทางการเมืองและประเทศชาติของเขา เขาพบเอฟา เบราน์ ภรรยาลับของเขา ใน ค.ศ. 1929 และสมรสกับเธอในเดือนเมษายน ค.ศ. 1945 ในเดือนกันยายน ค.ศ. 1931 เกลี เราบัล หลานสาวของเขา ทำอัตวินิบาตกรรมด้วยปืนของฮิตเลอร์ในอพาร์ตเมนต์ในมิวนิกของเขา มีข่าวลือในบรรดาคนร่วมสมัยว่า เกลีมีความสัมพันธ์เชิงโรแมนติกกับเขา และความตายของเธอนั้นเป็นบ่อเกิดแห่งความทุกข์ลึกล้ำและยาวนาน เพาลา ฮิตเลอร์ สมาชิกคนสุดท้ายของครอบครัวฮิตเลอร์สายตรงคนสุดท้าย เสียชีวิตใน ค.ศ. 1960 === มุมมองทางศาสนา === บิดามารดาของฮิตเลอร์นับถือนิกายโรมันคาทอลิก แต่หลังย้ายออกจากบ้านแล้ว เขาไม่เคยเข้าพิธีมิสซาหรือรับศีลศักดิ์สิทธิ์เลย เขาเชิดชูลักษณะจำนวนหนึ่งของนิกายโปรแตสแตนต์ที่เหมาะกับมุมมองของเขาเอง และรับเอาบางลักษณะของการจัดการเป็นระบบลำดับขั้นของศาสนจักรคาทอลิก พิธีสวดและสำนวนโวหารมาใช้ในการเมืองของเขาด้วย หลังเขาย้ายไปยังเยอรมนี ฮิตเลอร์ไม่เคยออกจากศาสนจักรของเขาเลย นักประวัติศาสตร์ ริชาร์ด ชไตก์มันน์-กัลล์ (Richard Steigmann-Gall) สรุปว่า เขา "สามารถจัดว่าเป็นคาทอลิกได้" แต่ "สมาชิกภาพศาสนจักรแต่ในนามเป็นตัววัดที่เชื่อถือไม่ได้อย่างมากในการวัดความศรัทธาแท้จริงในบริบทนี้" ต่อสาธารณะ ฮิตเลอร์มักยกย่องมรดกคริสเตียนและวัฒนธรรมคริสเตียนเยอรมัน และปฏิญาณความเชื่อในพระเยซูคริสต์ "อารยัน" พระเยซูผู้ต่อสู้กับพวกยิว เขากล่าวถึงการตีความศาสนาคริสต์ของเขาว่าเป็น แรงจูงใจสำคัญแก่การต่อต้านยิวของเขา โดยว่า "ในฐานะคริสเตียน ผมไม่มีหน้าที่จะปล่อยให้ตัวเองถูกหลอกลวง แต่ผมมีหน้าที่ที่จะสู้เพื่อความจริงและความยุติธรรม" แต่สำหรับส่วนตัว ฮิตเลอร์วิจารณ์ศาสนาคริสต์แบบดั้งเดิม โดยพิจารณาว่าเป็นศาสนาที่เหมาะสมเฉพาะสำหรับทาส เขายกย่องอำนาจแห่งโรมแต่ยังรักษาความเป็นปรปักษ์อย่างรุนแรงต่อคำสอนของโรม นักประวัติศาสตร์ จอห์น เอส. คอนเวย์ ว่า ฮิตเลอร์ยึดถือ "การต่อต้านหลัก" ต่อศาสนจักรคริสเตียน ด้านความสัมพันธ์ทางการเมืองกับศาสนจักร ฮิตเลอร์รับเอายุทธศาสตร์ "ที่เหมาะสมกับจุดประสงค์ทางการเมืองที่ส่งผลโดยตรงของเขา" ตามรายงานของสำนักงานบริการด้านยุทธศาสตร์ของสหรัฐอเมริกา ฮิตเลอร์มีแผนการใหญ่ ตั้งแต่ก่อนเขาก้าวขึ้นสู่อำนาจ ในการทำลายอิทธิพลของคริสตจักรภายในแผ่นดินไรช์ รายงานชื่อ "แผนแม่บทนาซี" (The Nazi Master Plan) ระบุว่า การทำลายล้างศาสนจักรเป็นเป้าหมายของขบวนการตั้งแต่เริ่มต้น แต่เป็นการไม่เหมาะสมที่จะแสดงท่าทีสุดโต่งนี้อย่างเปิดเผย เจตนาของเขา ตามข้อมูลของบุลล็อก คือ รอกระทั่งสงครามยุติแล้วจึงค่อยทำลายอิทธิพลของศาสนาคริสต์ ฮิตเลอร์ยกย่องประเพณีทางทหารของมุสลิม แต่มองว่าชาวอาหรับ "เป็นเชื้อชาติต่ำกว่า" เขาเชื่อว่า ชาวเยอรมันที่เป็นเชื้อชาติสูงส่งกว่า ร่วมกับศาสนาอิสลาม สามารถพิชิตดินแดนส่วนใหญ่ของโลกได้ระหว่างยุคกลาง ระหว่างการประชุมกับศาสตราจารย์ชาวญี่ปุ่นใน ค.ศ. 1931 ฮิตเลอร์ยกย่องศาสนาชินโตและวัฒนธรรมญี่ปุ่น แม้ฮิมเลอร์จะสนใจในเวทมนตร์ การตีความอักษรรูน และการตามรอยรากเหง้าก่อนประวัติศาสตร์ของชาวเยอรมัน แต่ฮิตเลอร์นั้นเน้นการปฏิบัติมากกว่า และอุดมการณ์ของเขารวมอยู่ที่ความเกี่ยวพันทางปฏิบัติมากกว่า === สุขภาพ === นักวิจัยได้เสนอว่า ฮิตเลอร์ทุกข์ทรมานจากอาการและโรคต่าง ๆ ได้แก่ โรคลำไส้แปรปรวน รอยโรคที่ผิวหนัง หัวใจเต้นผิดจังหวะ coronary sclerosis โรคพาร์กินสัน ซิฟิลิส หลอดเลือดแดงอักเสบแบบไจแอนต์เซลล์ โรคเสียงดังในหู และภาวะมีอัณฑะข้างเดียว|มีอัณฑะข้างเดียว ทฤษฎีเกี่ยวกับสภาวะทางการแพทย์ของฮิตเลอร์ยากจะพิสูจน์ และตามทฤษฎีเหล่านี้ น้ำหนักมากเกินอาจมีผลซึ่งหลาย ๆ เหตุการณ์และผลที่เกิดขึ้นภายหลังของแผ่นดินไรช์ที่สามอาจมาจากสุขภาพทางกายที่เป็นไปได้ว่าบกพร่องของปัจเจกบุคคลหนึ่งเดียว เคอร์ชอว์รู้สึกว่า เป็นการดีกว่าที่จะที่จะถือมุมมองของประวัติศาสตร์เยอรมันที่กว้างกว่า โดยพิจารณาว่า แรงผลักทางสังคมใดนำไปสู่แผ่นดินไรช์ที่สามและนโยบายมากกว่าเจริญรอยตามคำอธิบายแคบ ๆ แก่การล้างชาติโดยนาซีและสงครามโลกครั้งที่สองโดยอิงบุคคลเพียงคนเดียว ฮิตเลอร์กินมังสวิรัติ ในงานสังคม บางครั้งเขาให้คำอธิบายการฆ่าสัตว์ด้วยกราฟิกด้วยพยายามให้แขกอาหารเย็นของเขาไม่กินเนื้อ มีการอ้างเหตุผลกว้างขวางมากที่สุดว่า ความกลัวโรคมะเร็ง (ซึ่งเป็นโรคที่ทำให้มารดาของเขาเสียชีวิต) ทำให้ฮิตเลอร์กินมังสวิรัติ เขาเป็นผู้ต้านการทดลองในสัตว์ และอาจเลือกทานอาหารเพราะความเป็นห่วงสัตว์อย่างลึกซึ้ง บอร์มันสั่งให้สร้างเรือนกระจกใกล้กับแบร์กฮอฟ (ใกล้กับแบร์ชเทสกาเดน) เพื่อให้ฮิตเลอร์มีผลไม้และผักเพียงพออย่างต่อเนื่องตลอดสงคราม ฮิตเลอร์ดูถูกแอลกอฮอล์และไม่สูบบุหรี่ เขาส่งเสริมการรณรงค์งดสูบบุหรี่ในนาซีเยอรมนี|การรณรงค์งดสูบบุหรี่อย่างห้าวหาญทั่วประเทศเยอรมนี ฮิตเลอร์เริ่มใช้แอมเฟตามีนเป็นครั้งคราวตั้งแต่ ค.ศ. 1937 และเริ่มติดยาในฤดูใบไม้ร่วง ค.ศ. 1942 อัลแบร์ท สเพร์เชื่อมโยงการใช้แอมเฟตามีนนี้กับการตัดสินใจที่ไม่ยืดหยุ่นเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ ของฮิตเลอร์ (ตัวอย่างเช่น ไม่เคยอนุญาตการร่นถอยทางทหาร) ฮิตเลอร์ได้รับการสั่งจ่ายยาถึงเก้าสิบชนิดที่แตกต่างกันระหว่างสงคราม และทานยาหลายเม็ดต่อวันเพราะปัญหากระเพาะอาหารเรื้อรังและอาการป่วยอื่น ๆ เขาทุกข์ทรมานจากแก้วหูทะลุ อันเป็นผลของแรงระเบิดในแผนลับ 20 กรกฎาคม ใน ค.ศ. 1944 และถูกถอนเสี้ยนไม้สองร้อยชิ้นออกจากขาของเขา ฟิล์มภาพยนตร์ข่าวฮิตเลอร์แสดงให้เห็นว่า มือฮิตเลอร์สั่นและเขาเดินย่องแย่ง ซึ่งเริ่มขึ้นก่อนสงครามและเลวร้ายลงเมื่อใกล้บั้นปลายชีวิต แพทย์ประจำตัวฮิตเลอร์ ธีโอดอร์ โมเรล|ธีโอดอร์ โมเรลล์ รักษาฮิตเลอร์ด้วยยาซึ่งสั่งจ่ายโดยทั่วไปเพื่อรักษาโรคพาร์กินสันใน ค.ศ. 1945 แอ็นสท์-กึนเทอร์ เชนค์และแพทย์อีกหลายคนพบฮิตเลอร์ในสัปดาห์ท้าย ๆ ของชีวิตเพื่อวินิจฉัยโรคพาร์กินสัน == มรดก == ไฟล์:Mahnstein.JPG|thumb|left|220px|นอกตึกที่ฮิตเลอร์เกิดในเบราเนา อัม อินน์ ประเทศออสเตรีย เป็นศิลาอนุสรณ์ย้ำเตือนความน่าสะพรึงของสงคราม จารึกว่า: '''"เพื่อสันติภาพ เสรีภาพ''' '''และประชาธิปไตย''' '''จักไม่มีฟาสซิสต์อีก''' '''ล้านศพคอยย้ำเตือน"''' การยิงตัวตายของฮิตเลอร์ถูกเปรียบเทียบโดยคนร่วมสมัยว่าเป็น "คาถา" กำลังเสื่อม โทแลนด์ระบุว่า เมื่อไร้ซึ่งผู้นำ ลัทธิชาติสังคมนิยมก็ "ระเบิดเหมือนกับฟอง" พฤติการณ์ของฮิตเลอร์และอุดมการณ์นาซีถูกคนเกือบทั้งโลกมองว่าผิดศีลธรรมอย่างร้ายแรง อุดมการณ์การเมืองของเขานำมาซึ่งสงครามโลก ยุโรปตะวันออกและยุโรปกลางอยู่ในสภาพพังพินาศและยากจนข้นแค้น ประเทศเยอรมนีเองก็ประสบกับความวินาศย่อยยับเบ็ดเสร็จ ซึ่งถูกเปรียบเปรยว่าเป็นเวลา "ศูนย์นาฬิกา" ที่หมายถึงจุดสิ้นสุดของนาซีเยอรมนี และเป็นจุดเริ่มต้นของเยอรมนีที่ปราศนาซี นโยบายของฮิตเลอร์ได้สร้างความบอบช้ำแก่มวลมนุษยชาติในระดับที่ไม่เคยมีมาก่อน และส่งผลให้มีผู้เสียชีวิต 40 ล้านคนโดยประมาณ หรือ 27 ล้านคนเฉพาะในสหภาพโซเวียต นักประวัติศาสตร์ นักปรัชญาและนักการเมืองมักใช้คำว่า "ชั่วร้าย" (evil) ในการอธิบายระบอบนาซี ในเยอรมนีและออสเตรีย กฎหมายห้ามการปฏิเสธฮอโลคอสต์ และการแสดงสัญลักษณ์นาซี เช่น สวัสติกะ นักประวัติศาสตร์พรรคเสรีนิยมแห่งชาติเยอรมัน ฟรีดริช ไมเน็คเคอ (Friedrich Meinecke) อธิบายฮิตเลอร์ว่าเป็น ''"หนึ่งในตัวอย่างที่ดีที่สุดในห้วงประวัติศาสตร์ ที่หนึ่งบุคคลจะมีอำนาจเกินจิตนาการได้"'' นักประวัติศาสตร์ฮิวจ์ เทรเวอร์-โรเปอร์ มองเขาว่าเป็น ''"ผู้พิชิตเจ้าระเบียบ บ้าประวัติศาสตร์ บ้าปรัชญาที่สุด และยังหยาบช้า ทารุณ และใจแคบที่สุดเท่าที่โลกเคยรู้จัก"'' สำหรับนักประวัติศาสตร์ จอห์น เอ็ม. โรเบิร์ตส ความพ่ายแพ้ของฮิตเลอร์เป็นจุดจบของช่วงประวัติศาสตร์ยุโรปที่ถูกเยอรมนีครอบงำ และแทนที่ด้วยสงครามเย็น ซึ่งเป็นการเผชิญหน้าในระดับโลกระหว่างสหภาพโซเวียตกับสหรัฐอเมริกา == อ้างอิง == == บรรณานุกรม == === ตีพิมพ์ === * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * cite book | last = Overy | first = Richard | editor1-last = Lukes | editor1-first = Igor | editor2-last = Goldstein | editor2-first = Erik | title = The Munich Crisis, 1938: Prelude to World War II | chapter-url = https://archive.org/details/munichcrisis193800igor | chapter-url-access = registration | year = 1999 | publisher = Frank Cass | location = London; Portland, OR | chapter = Germany and the Munich Crisis: A Mutilated Victory? | oclc = 40862187 | ref = * cite book | last = Overy | first = Richard | editor1-last = Martel | editor1-first = Gordon | title = The Origins of the Second World War Reconsidered | year = 1999 | publisher = Routledge | location = London | chapter = Misjudging Hitler | isbn = 978-0-415-16324-8 | ref = | chapter-url = https://archive.org/details/originsofsecondw00gord_0 * * cite book | last = Overy | first = Richard | chapter = Hitler As War Leader | title = Oxford Companion to World War II | editor1-last = Dear | editor1-first = I. C. B. | editor2-last = Foot | editor2-first = M. R. D. | publisher = Oxford University Press | location = Oxford | year = 2005 | isbn = 978-0-19-280670-3 | ref = * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * === ออนไลน์ === * cite web | title = 1933&nbsp;– Day of Potsdam | website = Landeshauptstadt Potsdam | url = http://www.potsdam.de/cms/beitrag/10000945/33981/ | access-date = 13 June 2011 | ref = | date = December 2004 | archive-date = 6 June 2012 | archive-url = https://web.archive.org/web/20120606032402/http://www.potsdam.de/cms/beitrag/10000945/33981/ | url-status = dead * * Cite web |title=Nazism |url=https://www.britannica.com/event/Nazisma |archive-url=https://web.archive.org/web/20240228205817/https://www.britannica.com/event/Nazism |archive-date=28 February 2024 |website=Britannica |ref= * citation | title = Der Hitler-Prozeß vor dem Volksgericht in München | trans-title = The Hitler Trial Before the People's Court in Munich | language = de | year = 1924 | ref = * * cite news | title = Documents: Bush's Grandfather Directed Bank Tied to Man Who Funded Hitler | date = 17 October 2003 | website = Fox News | url = http://www.foxnews.com/story/2003/10/17/documents-bush-grandfather-directed-bank-tied-to-man-who-funded-hitler/ | access-date = 1 December 2014 | ref = | archive-url = https://web.archive.org/web/20141124052936/http://www.foxnews.com/story/2003/10/17/documents-bush-grandfather-directed-bank-tied-to-man-who-funded-hitler/ | agency = Associated Press | archive-date = 24 November 2014 | url-status = dead * cite web | title = Eingabe der Industriellen an Hindenburg vom November 1932 | trans-title = Letter of the industrialists to Hindenburg, November 1932 | work = Glasnost–Archiv | url = http://www.glasnost.de/hist/ns/eingabe.html | access-date = 16 October 2011 | language = de | ref = * * * cite magazine |title=Germany: Second Revolution? |date=2 July 1934 |url=http://www.time.com/time/magazine/article/0,9171,754321,00.html |archive-url=https://web.archive.org/web/20080417000456/http://www.time.com/time/magazine/article/0%2C9171%2C754321-2%2C00.html |magazine=Time (magazine)|Time |access-date=15 April 2013 |archive-date=17 April 2008 |ref= |url-status=dead * * * * * cite web | title = Hitler's Last Days | publisher = MI5 Security Service | website = mi5.gov.uk | url = https://www.mi5.gov.uk/hitlers-last-days | access-date = 19 April 2020 | ref = * cite AV media | people = Hoffman, David (creator, writer) | year = 1989 | title = How Hitler Lost the War | medium = television documentary | url = https://ew.com/article/1993/06/11/how-hitler-lost-war/ | access-date = 19 April 2020 | location = US | publisher = Varied Directions | ref = * cite encyclopedia | title = Introduction to the Holocaust | encyclopedia = Holocaust Encyclopedia | publisher = United States Holocaust Memorial Museum | url = https://encyclopedia.ushmm.org/content/en/article/introduction-to-the-holocaust | access-date = 19 April 2020 | ref = * cite AV media | people = Jones, Bill (creator, director) | year = 1989 | title = The Fatal Attraction of Adolf Hitler | medium = television documentary | url = https://www.youtube.com/watch?v=8onbm_8bcgQ | access-date = 27 April 2016 | location = England | publisher = BBC | ref = * cite web | last = Kotanko | first = Florian | title = House of Responsibility | website = House of Responsibility – Braunau am Inn | publisher = HRB News | url = https://www.hrb.at/?path=languages%2Fenglish%2Fbody.php | access-date = 19 April 2020 | ref = | archive-date = 1 August 2020 | archive-url = https://web.archive.org/web/20200801184911/https://www.hrb.at/?path=languages%2Fenglish%2Fbody.php | url-status = dead * cite news | title = Leni Riefenstahl | date = 10 September 2003 | work = The Daily Telegraph | location = London | issn = 0307-1235 | oclc = 49632006 | url = https://www.telegraph.co.uk/news/obituaries/1440991/Leni-Riefenstahl.html?pageNum=3 | access-date = 10 May 2013 | ref = * cite journal | last = Longerich | first = Heinz Peter | author-link = Peter Longerich | title = Hitler's Role in the Persecution of the Jews by the Nazi Regime | at = 15. Hitler and the Mass Shootings of Jews During the War Against Russia | journal = Holocaust Denial on Trial | publisher = Emory University | location = Atlanta | year = 2003 | url = http://www.hdot.org/en/trial/defense/pl1/15.html | archive-url = https://web.archive.org/web/20120722085727/http://www.hdot.org/en/trial/defense/pl1/15 | archive-date = 22 July 2012 | access-date = 31 July 2013 | ref = * cite journal | last = Longerich | first = Heinz Peter | title = Hitler's Role in the Persecution of the Jews by the Nazi Regime | at = 17. Radicalisation of the Persecution of the Jews by Hitler at the Turn of the Year 1941–1942 | journal = Holocaust Denial on Trial | publisher = Emory University | location = Atlanta | year = 2003 | url = http://www.hdot.org/en/trial/defense/pl1/17 | archive-url = https://web.archive.org/web/20090709111759/http://www.hdot.org/en/trial/defense/pl1/17 | archive-date = 9 July 2009 | access-date = 31 July 2013 | ref = * cite magazine |title=Man of the Year |magazine=Time |date=2 January 1939 |url=http://content.time.com/time/magazine/article/0,9171,760539-1,00.html |archive-url=https://web.archive.org/web/20190418055132/http://content.time.com/time/magazine/article/0,9171,760539-1,00.html |access-date=31 December 2019 |archive-date=18 April 2019 |url-status=live |ref= * cite AV media |people=Martin, Jonathan (creator, writer) |year=2008 |title=World War II In HD Colour |medium=television documentary |url=http://www.worldmediarights.com/index.php?hidAction=series&sid=8&name=World_War_Two_-_World_War_II_in_Colour_and_HD |access-date=27 August 2014 |location=US |publisher=World Media Rights |ref= |url-status=dead |archive-url=https://web.archive.org/web/20150228033513/http://www.worldmediarights.com/index.php?hidAction=series&sid=8&name=World_War_Two_-_World_War_II_in_Colour_and_HD |archive-date=28 February 2015 * * cite news | title = Parkinson's part in Hitler's downfall | work = BBC News | date = 29 July 1999 | url = http://news.bbc.co.uk/2/hi/health/406713.stm | access-date = 13 June 2011 | ref = * * cite web | title = Poles: Victims of the Nazi Era: The Invasion and Occupation of Poland | website = ushmm.org | publisher = United States Holocaust Memorial Museum | url = http://www.ushmm.org/education/resource/poles/poles.php | archive-url = https://web.archive.org/web/20130303110620/http://www.ushmm.org/education/resource/poles/poles.php | archive-date = 3 March 2013 | access-date = 1 December 2014 | ref = * * * cite AV media | people = Rees, Laurence (writer, director) Kershaw, Ian (writer, consultant) | year = 2012 | title = The Dark Charisma of Adolf Hitler | medium = television documentary | url = http://www.bbc.co.uk/programmes/b01p01pm | access-date = 6 September 2014 | location = UK | publisher = BBC | ref = * * cite web | author = Staff | title = Hitler really did have only one testicle, German researcher claims | url = https://www.theguardian.com/world/2015/dec/19/hitler-really-did-have-only-one-testicle-german-researcher-claims | website = The Guardian | access-date = 14 June 2022 | language = en | date = 19 December 2015 | ref = * * * == แหล่งข้อมูลอื่น == * * * * สืบตำแหน่ง| ก่อนหน้า = อันโทน เดร็คส์เลอร์ | ตำแหน่ง = พรรคนาซี|หัวหน้าพรรคกรรมกรชาติสังคมนิยมเยอรมัน | ช่วงเวลา = 1921–1945 | ถัดไป = มาร์ทิน บอร์มัน สืบตำแหน่ง| ก่อนหน้า = เพาล์ ฟ็อน ฮินเดินบวร์ค|จอมพล เพาล์ ฟ็อน ฮินเดินบวร์ค |ตำแหน่ง =ฟือเรอร์|ฟือเรอร์แห่งเยอรมนี| ช่วงเวลา = 1934–1945|ถัดไป = คาร์ล เดอนิทซ์|จอมพลเรือ คาร์ล เดอนิทซ์ navboxes|list= หมวดหมู่:บุคคลที่เกิดในปี พ.ศ. 2432 หมวดหมู่:บุคคลที่เสียชีวิตในปี พ.ศ. 2488 หมวดหมู่:อดอล์ฟ ฮิตเลอร์| หมวดหมู่:ผู้นำนาซี หมวดหมู่:ผู้นำสูงสุด หมวดหมู่:นักลัทธิฟาสซิสต์ หมวดหมู่:ชาวเยอรมันเชื้อสายออสเตรีย หมวดหมู่:นายกรัฐมนตรีเยอรมนี หมวดหมู่:ทหารชาวเยอรมันในสงครามโลกครั้งที่หนึ่ง‎ หมวดหมู่:บุคคลในสงครามโลกครั้งที่สอง หมวดหมู่:ผู้ฆ่าตัวตาย หมวดหมู่:เสียชีวิตจากอาวุธปืน หมวดหมู่:ผู้รอดชีวิตจากการลอบสังหาร หมวดหมู่:จิตรกรชาวเยอรมัน หมวดหมู่:บุคคลจากเบราเนาอัมอิน
อดอล์ฟ ฮิตเลอร์
Infobox scientist | name = ดาวิท ฮิลเบิร์ท | image = Hilbert.jpg | image_size = 220px | caption = ดาวิท ฮิลเบิร์ท ใน ค.ศ. 1912 | birth_date = | birth_place = เคอนิชส์แบร์คหรือซนาเมนสค์ (แคว้นคาลีนินกราด)|เวเลา แคว้นปรัสเซียในราชอาณาจักรปรัสเซีย (ปัจจุบันคือคาลีนินกราดหรือซนาเมนสค์ (แคว้นคาลีนินกราด)|ซนาเมนสค์ในรัสเซีย) | death_date = | death_place = เกิททิงเงิน นาซีเยอรมนี | nationality = เยอรมนี|เยอรมัน | field = คณิตศาสตร์, ฟิสิกส์, ปรัชญา | work_institutions = มหาวิทยาลัยเคอนิชส์แบร์คมหาวิทยาลัยเกิททิงเงิน | alma_mater = มหาวิทยาลัยเคอนิชส์แบร์ค (ปรัชญาดุษฎีบัณฑิต) '''ดาวิท ฮิลเบิร์ท''' (, ; 23 มกราคม ค.ศ. 1862 – 14 กุมภาพันธ์ ค.ศ. 1943) เป็นนักคณิตศาสตร์ นักปรัชญา และนักฟิสิกส์ชาวเยอรมัน เขาได้รับการยอมรับว่าเป็นนักคณิตศาสตร์ที่มีอิทธิพลอย่างสูงในคริสต์ศตวรรษที่ 19 และต้นคริสต์ศตวรรษที่ 20 แม้ว่าผลงานของเขาเองก็มากพอที่จะทำให้เขาได้รับการยกย่องนี้ แต่ความเป็นผู้นำทางด้านคณิตศาสตร์ของเขาในช่วงบั้นปลายชีวิตต่างหากที่ทำให้เขาโดดเด่นจากผู้อื่น เขาเป็นศาสตราจารย์ที่มหาวิทยาลัยเกิททิงเงินแทบจะทั้งชีวิตของเขา นอกจากงานคณิตศาสตร์แล้ว เขายังมีอิทธิพลในด้านฟิสิกส์ด้วย กล่าวคือ เขาเป็นหนึ่งในผู้ให้กำเนิดทฤษฎีสัมพัทธภาพ ร่วมกับอัลเบิร์ต ไอน์สไตน์ แต่ไม่ได้หมายความว่าไอน์สไตน์ลอกงานของฮิลเบิร์ท เพียงแต่ทฤษฎีของทั้งคู่มีความคล้ายคลึงกัน == ผลงานโดยสังเขป == *ปริภูมิฮิลเบิร์ท (Hilbert space) ในทางฟิสิกส์ถือว่าเป็นมิติหนึ่งที่ไม่มีที่สิ้นสุด *ปัญหาทางคณิตศาสตร์ 23 ข้อ *เมทริกซ์ฮิลเบิร์ท (Hilbert matrix) *จำนวนฮิลเบิร์ท (Hilbert number) มาจากรูปแบบ ''4n+1'' ได้แก่จำนวนเต็มบวก 1, 5, 9, 13, 17, 21, 25, 29, 33, 37, 41, 45, 49, 53, 57, 61, 65, 69, 73... จำนวนเหล่านี้เรียกได้อีกอย่างหนึ่งว่า "จำนวนเฉพาะของพีทาโกรัส" หรือ "จำนวนกึ่งเฉพาะ" ซึ่งมีรูปแบบ ''(4a + 3) × (4b + 3)'' *พหุนามฮิลเบิร์ท (Hilbert polynomial) *ลูกบาศก์ฮิลเบิร์ท (Hilbert cube) เป็นหนึ่งในปริภูมิทอพอโลยีของวิชาคณิตศาสตร์ *สัญลักษณ์ฮิลเบิร์ท (Hilbert symbol) *ทฤษฎีบท 90 ของฮิลเบิร์ท (Hilbert's theorem 90) หรือซัทซ์ 90 *การแปลงฮิลเบิร์ท (Hilbert transform) *ฟังก์ชันฮิลเบิร์ท (Hilbert function) *สเปกตรัมฮิลเบิร์ท (Hilbert spectrum) *ลูกบาศก์ฮิลเบิร์ท (Hilbert cube) *วงแหวนฮิลเบิร์ท (Hilbert ring) *เส้นโค้งฮิลเบิร์ท *อนุกรมฮิลเบิร์ท-ปวงกาเร (Hilbert–Poincaré series) หมวดหมู่:บุคคลที่เกิดในปี พ.ศ. 2405 หมวดหมู่:นักคณิตศาสตร์ชาวเยอรมัน หมวดหมู่:นักฟิสิกส์ชาวเยอรมัน หมวดหมู่:บุคคลจากแคว้นคาลีนินกราด หมวดหมู่:ชาวปรัสเซีย หมวดหมู่:ศิษย์เก่าจากมหาวิทยาลัยเคอนิชส์แบร์ค หมวดหมู่:บุคคลจากมหาวิทยาลัยเคอนิชส์แบร์ค หมวดหมู่:บุคคลจากมหาวิทยาลัยเกิททิงเงิน
ดาวิท ฮิลเบิร์ท
Infobox cyclist | name = แลนซ์ อาร์มสตรอง | image = Lance Armstrong Tour 2010 team presentation (cropped).jpg | caption = แลนซ์ อาร์มสตรองในการแข่งขันตูร์เดอฟรองซ์ ปี 2010 | fullname = Lance Edward Armstrong | nickname = Le BossBig Tex | birth_name= Lance Edward Gunderson | birth_date = | birth_place = Richardson, Texas|ริชาร์ดสัน รัฐเท็กซัส สหรัฐ | height = | weight = | discipline = ถนน | role = นักจักรยาน | ridertype = All-rounder | amateuryears1 = 1990–1991 | amateurteam1 = | amateuryears2 = 1991 | amateurteam2 = USA Cycling|ทีมชาติสหรัฐ | proyears1 = 1992–1996 | proteam1 = Motorola (cycling team)|โมโตโรลา | proyears2 = 1997 | proteam2 = | proyears3 = 1998–2005 | proteam3 = | proyears4 = 2009 | proteam4 = | proyears5 = 2010–2011 | proteam5 = | majorwins = '''Grand Tour (cycling)|Grand Tour''' :'''ตูร์เดอฟร็องส์''' ::2 individual stages (1993 Tour de France|1993, 1995 Tour de France|1995) '''Race stage|Stage races''' :Tour de Luxembourg (1998) :Tour DuPont (1995, 1996) '''Classic cycle races|One-day races and Classics''' :UCI Road World Championships&nbsp;– Men's road race|World Road Race Championships (1993 UCI Road World Championships|1993) : :Clásica de San Sebastián (1995) :La Flèche Wallonne (1996) :Trofeo Laigueglia (1993) | show-medals = no | medaltemplates = Medal|Country| '''แลนซ์ เอ็ดเวิร์ด อาร์มสตรอง''' (, สกุลเดิม: '''กันเดอร์สัน''' (Gunderson); เกิดวันที่ 18 กันยายน ค.ศ. 1971) เป็นอดีตนักแข่งจักรยานถนนอาชีพชาวอเมริกัน เขาเป็นแชมป์โลกในปี 1993 หลังจากเลิกแข่งจักรยาน อาร์มสตรองยังลงแข่งวิ่งมาราธอน การแข่งจักรยานภูเขามาราธอน ไตรกีฬาและไอรอนแมน (Ironman) เขาเป็นที่รู้จักกันดีจากผลงานของเขาในการแข่งขันตูร์เดอฟร็องส์ แต่ในเดือนมิถุนายน 2012 คณะกรรมการต่อต้านการใช้สารกระตุ้นของสหรัฐอเมริกา (US Anti-Doping Agency, USADA) กล่าวหาว่าอาร์มสตรองใช้สารกระตุ้นผิดกฎหมาย และในเดือนสิงหาคม คณะกรรมการดังกล่าวประกาศสั่งห้ามมิให้อาร์มสตรองลงแข่งขันตลอดชีพ เช่นเดียวกับริบตำแหน่งทั้งหมด วันที่ 22 ตุลาคม 2012 สหพันธ์จักรยานสากล ซึ่งเป็นองค์กรกำกับดูแล ยอมรับคำตัดสินของ USADA และยืนยันทั้งการสั่งห้ามตลอดชีพและการริบตำแหน่งทั้งหมดตั้งแต่เดือนสิงหาคม 1998 ซึ่งรวมถึงแชมป์ตูร์เดอฟร็องส์ตั้งแต่ปี 1999 ถึง 2005 แลนซ์​ อาร์มสตรอง ป่วยเป็นโรคมะเร็งที่สมอง ปอด และอัณฑะ เมื่อปี 1996 เขามีชื่อเสียงอย่างมากในการเอาชนะมะเร็งและกลับมาแข่งจักรยานได้อีกครั้ง เขาเป็นผู้ก่อตั้งและอดีตประธานมูลนิธิแลนซ์ อาร์มสตรองเพื่อการสนับสนุนผู้ป่วยมะเร็ง ในเดือนตุลาคม 2012 อาร์มสตรองลาออกจากตำแหน่งประธานหลังมีการตีพิมพ์ข้อกล่าวหาของ USADA == สถิติรายการใหญ่ == WD = ถอนตัว == หมายเหตุและอ้างอิง == ;หมายเหตุ ;อ้างอิง == บรรณานุกรม == * * == อ่านเพิ่ม == * * * * * * * * == แหล่งข้อมูลอื่น == * * http://www.livestrong.org/ The Lance Armstrong Foundation * * * http://d3epuodzu3wuis.cloudfront.net/ReasonedDecision.pdf USADA – U.S. Postal Service Pro Cycling Team Investigation – Reasoned Decision * Kimmage, Paul. http://www.timesonline.co.uk/tol/sport/more_sport/cycling/article6638135.ece?token=null&offset=12&page=2 "Tour gears up for return of Lance Armstrong", ''The Sunday Times'', July 5, 2009. * https://web.archive.org/web/20130120021459/http://www.oprah.com/own_tv/onc/lance-armstrong-one.html Lance Armstrong Talks to Oprah oprah.com * หมวดหมู่:นักจักรยานชาวอเมริกัน หมวดหมู่:บุคคลจากออสติน หมวดหมู่:บุคคลจากแดลลัส หมวดหมู่:ผู้รอดชีวิตจากมะเร็งอัณฑะ หมวดหมู่:ชาวอเมริกันเชื้อสายนอร์เวย์
แลนซ์ อาร์มสตรอง
กล่องข้อมูล ผู้นำประเทศ | name = ฟิเดล กัสโตร | colorcode = Red | image = Fidel Castro 1950s.jpg | imagesize = 250px | caption = กัสโตรในวอชิงตัน ค.ศ. 1959 | office = เลขาธิการพรรคคอมมิวนิสต์คิวบา | deputy = ราอุล กัสโตร | term_start = 24 มิถุนายน ค.ศ. 1961 | term_end = 19 เมษายน ค.ศ. 2011 | predecessor = | successor = ราอุล กัสโตร | office2 = รายนามประธานาธิบดีคิวบา|ประธานาธิบดี (ประธานาธิบดีคิวบา|ประธานสภาแห่งรัฐ) คนที่ 17 | term_start2 = 2 ธันวาคม ค.ศ. 1976 | term_end2 = 19 กุมภาพันธ์ ค.ศ. 2008 | deputy2 = ราอุล กัสโตร | predecessor2 = โอสวัลโด ดอร์ติโกส ตอร์ราโด(เป็นประธานาธิบดี) | successor2 = ราอุล กัสโตร | office3 = ประธานสภารัฐมนตรีคิวบา | term_start3 = 2 ธันวาคม ค.ศ. 1976 | term_end3 = 19 กุมภาพันธ์ ค.ศ. 2008 | deputy3 = ราอุล กัสโตร | predecessor3 = ตัวเอง (เป็นนายกรัฐมนตรี) | successor3 = ราอุล กัสโตร | office4 = นายกรัฐมนตรีคิวบา | president4 = มานูเอล อูร์รูเตีย เยโอโอสวัลโด ดอร์ติโกส ตอร์ราโด | term_start4 = 16 กุมภาพันธ์ ค.ศ. 1959 | term_end4 = 2 ธันวาคม 1976 | predecessor4 = โฮเซ มิโร การ์โดนา | successor4 = ยุบเลิกตำแหน่ง | office5 = เลขาธิการขบวนการไม่ฝักใฝ่ฝ่ายใดคนที่ 7 และ 23 | term_start5 = 16 กันยายน ค.ศ. 2006 | term_end5 = 24 กุมภาพันธ์ ค.ศ. 2008 | predecessor5 = อับดุลลาห์ อาหมัด บาดาวี | successor5 = ราอุล กัสโตร | term_start6 = 10 กันยายน ค.ศ. 1979 | term_end6 = 6 มีนาคม ค.ศ. 1983 | predecessor6 = จูเนียส ริชาร์ด ชยะวรรธะเน | successor6 = นีลัม ซันจิวา เรดดี | birth_date = | birth_place = บิรัน สาธารณรัฐคิวบา (1902–59)|คิวบา | death_date = | death_place = อาบานา ประเทศคิวบา | party = พรรคคอมมิวนิสต์คิวบา | relations = (พี่น้อง)ราอุล กัสโตร | spouse = มีร์ตา เดียซ-บาลาร์ต (1948–1955)ดาเลีย โซโต เดล บาเย (1980–2016) | children = | allegiance = | branch = กองทัพคิวบา|กองทัพปฏิวัติคิวบา | unit = ขบวนการ 26 กรกฎาคม | serviceyears = 1953–1959 | rank = ไฟล์:Cargo Comandante en Jefe Cuba.svg|50px Comandante | battles = การปฏิวัติคิวบา | awards = วีรบุรุษแห่งสาธารณรัฐคิวบา | alma_mater = มหาวิทยาลัยอาบานา | profession = ทนายความ | religion = เทวัสนิยมBardach, Ann Louise. "http://www.washingtonpost.com/wp-dyn/content/article/2007/02/23/AR2007022301723.html LOVE, FIDEL Letters From Prison: Castro Revealed." ''The Washington Post''. February 23, 2007. Retrieved on October 15, 2011. | signature = Fidel Castro Signature.svg | footnotes = *รักษาการอำนาจประธานาธิบดีถูกโอนให้ราอุล กัสโตรตั้งแต่วันที่ 31 กรกฎาคม ค.ศ. 2006 | native_name = '''ฟิเดล อาเลฮันโดร กัสโตร รุซ''' ( (ไฟล์:Speaker Icon.svg|13px| สื่อ:Es-Fidel Castro.ogg|audio); 13 สิงหาคม ค.ศ. 1926 — 25 พฤศจิกายน ค.ศ. 2016) เป็นนักปฏิวัติและนักการเมืองคิวบา ซึ่งดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีคิวบาตั้งแต่ ค.ศ. 1959 ถึง 1976 และประธานาธิบดีคิวบา|ประธานาธิบดีตั้งแต่ ค.ศ. 1976 ถึง 2008 เขายังดำรงตำแหน่งเลขาธิการใหญ่พรรคคอมมิวนิสต์คิวบานับแต่ก่อตั้งพรรคใน ค.ศ. 1961 กระทั่ง ค.ศ. 2011 เขามีแนวคิดทางการเมืองแบบมากซ์-เลนิน ภายใต้การปกครองประเทศของเขา สาธารณรัฐคิวบาได้เปลี่ยนเป็นรัฐสังคมนิยมพรรคการเมืองเดียว โดยยึดอุตสาหกรรมหรือธุรกิจเป็นของรัฐและมีการปฏิรูปสังคมไปปฏิบัติในทุกภาคส่วนของสังคม ฟิเดลเกิดเป็นบุตรนอกกฎหมายของชาวนาร่ำรวยคนหนึ่ง กัสโตรกลายมาข้องเกี่ยวกับการเมืองต่อต้านจักรวรรดินิยมฝ่ายซ้าย ขณะศึกษากฎหมายที่มหาวิทยาลัยอาบานา และภายหลังนำตัวเองเข้าไปพัวพันกับกบฏติดอาวุธต่อสู้รัฐบาลฝ่ายขวาในสาธารณรัฐโดมินิกันและโคลอมเบีย เขาดำเนินต่อไปกระทั่งล้มประธานาธิบดีคิวบา ฟุลเฮนซิโอ บาติสตา ซึ่งได้รับการหนุนหลังจากสหรัฐอเมริกา และถูกมองอย่างกว้างขวางว่าเป็นผู้เผด็จการ โดยก่อนหน้านั้น เขานำการโจมตีติดอาวุธค่ายทหารมอนคาดาที่ล้มเหลวใน ค.ศ. 1953 ถูกจำคุกหนึ่งปี จากนั้น เขาเดินทางไปยังเม็กซิโก ด้วยความช่วยเหลือของราอุล กัสโตร น้องชาย และเช เกบารา เพื่อน เขารวบรวมกลุ่มนักปฏิวัติชาวคิวบาเป็นขบวนการ 26 กรกฎาคม หลังกลับมายังคิวบาพร้อมกับขบวนการดังกล่าว เขามีบทบาทสำคัญในการปฏิวัติคิวบา โดยนำสงครามกองโจรต่อกองทัพของบาติสตาอย่างได้ผล และบาติสตาเองต้องลี้ภัยออกนอกประเทศใน ค.ศ. 1959 ไม่นานให้นานฟิเดลได้มาเป็นผู้บัญชาการทหารสูงสุดของกองทัพและนายกรัฐมนตรีตามลำดับ การพัวพันในการล้มบาติสตา เช่นเดียวกับการต้องสงสัยความสัมพันธ์กับผู้นำโซเวียต นิกิตา ครุสชอฟ ทำให้สหรัฐอเมริกาตื่นตระหนก ซีไอเอได้จัดการรุกรานอ่าวหมูใน ค.ศ. 1961 เพื่อล้มรัฐบาลของเขา แต่ล้มเหลว ก่อนเดินหน้าบงการความพยายามลอบสังหารเขาซ้ำอีกและปิดกั้นทางเศรษฐกิจต่อคิวบา เพื่อสนองภัยคุกคามนี้ กัสโตรสร้างพันธมิตรกับสหภาพโซเวียตและอนุญาตให้โซเวียตเก็บอาวุธนิวเคลียร์บนเกาะได้ นำไปสู่เหตุการณ์วิกฤตการณ์ขีปนาวุธคิวบาใน ค.ศ. 1962 โดยรับเอาลัทธิมากซ์-เลนินเป็นอุดมการณ์ชี้นำของเขา ใน ค.ศ. 1961 กัสโตรประกาศลักษณะสังคมนิยมของการปฏิวัติคิวบา และใน ค.ศ. 1965 มาเป็นเลขาธิการใหญ่ของพรรคคอมมิวนิสต์ที่เพิ่งตั้งขึ้น ขณะที่พรรคการเมืองอื่นถูกยุบ จากนั้น เขานำการเปลี่ยนแปลงคิวบาสู่สาธารณรัฐสังคมนิยม ยึดอุตสาหกรรมไปเป็นของรัฐและนำสาธารณสุขถ้วนหน้าและการศึกษาแบบให้เปล่า เช่นเดียวกับปราบปรามการต่อต้านภายใน กัสโตรเป็นผู้สนับสนุนหลักการร่วมมือระหว่างประเทศที่กระตือรือร้น เขาได้ริเริ่มคณะแพทย์คิวบาผู้ซึ่งทำงานทั่วโลกกำลังพัฒนา และช่วยเหลือกลุ่มสังคมนิยมปฏิวัติต่างประเทศหลายกลุ่มด้วยหวังว่าจะโค่นทุนนิยมโลก ใน ค.ศ. 1976 เขากลายมาเป็นประธานสภาแห่งรัฐ เช่นเดียวกับสภารัฐมนตรี ในเวทีระหว่างประเทศ เขาถือตำแหน่งเลขาธิการใหญ่ขบวนการไม่ฝักใฝ่ฝ่ายใดนับจาก ค.ศ. 1979 ถึง 1983 หลังการล่มสลายของสหภาพโซเวียตพันธมิตรหลัก ใน ค.ศ. 1991 กัสโตรได้นำคิวบาเข้าสู่ "ระยะพิเศษ" ทางเศรษฐกิจ จากนั้นก่อนนำพาคิวบาเข้าสู่พันธมิตรโบลิเวียเพื่ออเมริกาใน ค.ศ. 2006 และสร้างพันธมิตรทางเศรษฐกิจและการเมืองกับชาติอื่นในลาตินอเมริกา ซึ่งเรียกว่า "สายสัมพันธ์ชมพู" ท่ามกลางสุขภาพที่ย่ำแย่ลง ในปีเดียวกัน กัสโตรโอนความรับผิดชอบไปยังรองประธานาธิบดี ราอุล กัสโตร ผู้ได้รับเลือกเป็นประธานาธิบดีเมื่อฟิเดลลงจากตำแหน่งใน ค.ศ. 2008 กัสโตรเป็นบุคคลโลกที่ก่อให้เกิดการโต้แย้งและความเห็นแตกต่างกันอย่างสูง ขณะที่ผู้สนับสนุนเขายกย่องว่าเป็นตัวแทนของการต่อต้านจักรวรรดินิยม มีมนุษยธรรมและอนุรักษ์สิ่งแวดล้อมและคนยากจนทั่วโลก แต่นักวิจารณ์เขาได้กล่าวหาว่าเป็นผู้เผด็จการซึ่งการปกครองประเทศแบบเอกาธิปไตยได้มีการละเมิดสิทธิมนุษยชนขึ้นหลายครั้ง อย่างไรก็ดี เขาได้มีอิทธิพลอย่างสำคัญต่อการเมืองผู้นำหลายประเทศทั่วโลก ได้แก่ เนลสัน มันเดลา, อูโก ชาเบซ และเอโบ โมราเลส และเขายังได้รับความเลื่อมใสจากพวกนิยมซ้าย นักสังคมนิยมและนักต่อต้านจักรวรรดินิยมจำนวนมากทั่วโลก == อ้างอิง == === หมายเหตุ === === เชิงอรรถ === === นามานุกรม === * * * * * *cite book |title=My Life: A Spoken Autobiography |last= Castro |first=Fidel |others=Ramonet, Ignacio (interviewer) |year=2009 |publisher=Scribner |location=New York |isbn=978-1-4165-6233-7 |ref= * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * == หนังสืออ่านเพิ่ม == * * * == แหล่งข้อมูลอื่น == * * http://www.cuba.cu/gobierno/discursos/ Fidel Castro's speeches * https://www.marxists.org/history/cuba/archive/castro/ Fidel Castro History Archive at ''Marxists Internet Archive'' * * https://web.archive.org/web/20161219054644/http://www.imdb.com/character/ch0028277/ Fidel Castro (Character) on IMDb * https://vault.fbi.gov/fidel-castro Fidel Castro Records at FBI Records: The Vault * http://news.bbc.co.uk/2/hi/in_pictures/4392634.stm Fidel Castro: A Life in Pictures – slideshow by ''BBC News'' * https://www.npr.org/templates/story/story.php?storyId=5598311 Fidel Castro: From Rebel to El Presidente – timeline by ''NPR'' * http://www.cidob.org/biografias_lideres_politicos/america_central_y_caribe/cuba/fidel_castro_ruz Fidel Castro – extended biography by ''Barcelona Centre for International Affairs'' * https://americanarchive.org/catalog/cpb-aacip_15-84mkmc9h Say Brother; 914; Invitation From Cuba Date N/A, National Records and Archives Administration, American Archive of Public Broadcasting หมวดหมู่:ฟิเดล กัสโตร| หมวดหมู่:บุคคลที่เกิดในปี พ.ศ. 2469 หมวดหมู่:บุคคลที่เสียชีวิตในปี พ.ศ. 2559 หมวดหมู่:ผู้นำสูงสุด หมวดหมู่:ผู้นำในสงครามเย็น หมวดหมู่:เลขาธิการพรรคคอมมิวนิสต์คิวบา หมวดหมู่:ประธานาธิบดีคิวบา หมวดหมู่:นายกรัฐมนตรีคิวบา หมวดหมู่:นักลัทธิคอมมิวนิสต์ หมวดหมู่:นักปฏิวัติ หมวดหมู่:ผู้นำที่ได้อำนาจจากรัฐประหาร หมวดหมู่:ผู้รอดชีวิตจากการลอบสังหาร หมวดหมู่:วีรชนแห่งสหภาพโซเวียต
ฟิเดล กัสโตร
Infobox scientist | birth_name = Jean-Paul Charles Aymard Sartre | region = ปรัชญาตะวันตก | era = ปรัชญาในศตวรรษที่ 20 | image = Sartre 1967 crop.jpg | caption = ฌ็อง-ปอล ซาทร์ ในปีค.ศ.1967 | name = ฌ็อง-ปอล ซาทร์ | full_name = Jean-Paul-Charles-Aymard Sartre | birth_date = | birth_place = ปารีส สาธารณรัฐฝรั่งเศสที่ 3 | death_date = | death_place = ปารีส ประเทศฝรั่งเศส | school_tradition = Continental philosophy, อัตถิภาวนิยม, ปรากฏการณ์วิทยา, existential phenomenology, อรรถปริวรรตศาสตร์, Western Marxism, อนาธิปไตย (ตอนปลาย) | main_interests = อภิปรัชญา, ญาณวิทยา, จริยธรรม, consciousness, self-consciousness, วรรณกรรม, ปรัชญาการเมือง, ภววิทยา, อเทวนิยม | alma_mater = เอกอลนอร์มอลซูว์เปรีเยอร์, มหาวิทยาลัยปารีสAt the time, the ENS was part of the University of Paris according to the decree of 10 November 1903. (Bachelor of Arts|B.A., Master of Arts|M.A.) | influenced = เซอเรน เคียร์เคอกอร์, ซีมอน เดอ โบวัวร์, Gustave Flaubert|Flaubert, เกออร์ค วิลเฮ็ล์ม ฟรีดริช เฮเกิล, มาร์ติน ไฮเด็กเกอร์, เอ็ดมุนด์ ฮุสเซิร์ล, อ็องรี แบร์กซอน, Alexandre Kojève|Kojève, Gaston Bachelard|Bachelard, คาร์ล มาคส์, Wilhelm Stekel|Stekel, Maurice Merleau-Ponty|Merleau-Ponty, Paul-Yves Nizan|Nizan, Emmanuel Levinas|Levinas, มาร์แซล พรุสต์, หลุยส์-เฟอร์ดินานด์ เซลีน, อ็องรี เลอแฟฟวร์,Ian H. Birchall, ''Sartre against Stalinism'', Berghahn Books, 2004, p. 176: "Sartre praised highly Lefebvre's work on sociological methodology, saying of it: 'It remains regrettable that Lefebvre has not found imitators among other Marxist intellectuals'." ฌ็อง-ฌัก รูโซ | influences = Raymond Aron|Aron, อาลแบร์ กามูว์, ซีมอน เดอ โบวัวร์, Frantz Fanon|Fanon, เช เกบารา, R. D. Laing|Laing, เออร์วิง กอฟฟ์แมน, Maurice Merleau-Ponty|Merleau-Ponty, André Gorz|Gorz, Gilles Deleuze|Deleuze, Francis Jeanson|Jeanson, เรอเน เลโบวิตซ์, ฌาคส์ ลากอง, แฮโรลด์ พินเทอร์, Jacques Rancière|Rancière, อาแล็ง บาดียู, ปิแอร์ บูร์ดิเยอ, Bas van Fraassen|van Fraassen, จูดิธ บัตเลอร์ | notable_ideas = Bad faith (existentialism)|Bad faith, "existence precedes essence", Nothing#Existentialists|nothingness, "Hell is other people", Situation (Sartre)|situation, transcendence of the Ego ("every positional consciousness of an object is a non-positional consciousness of itself"),Sartre, J.-P. 2004 1937. ''The Transcendence of the Ego''. Trans. Andrew Brown. Routledge, p. 7.Siewert, Charles, http://plato.stanford.edu/archives/fall2011/entries/consciousness-intentionality/ "Consciousness and Intentionality", The Stanford Encyclopedia of Philosophy (Fall 2011 Edition), Edward N. Zalta (ed.). Sartrean terminology | partner = ซีมอน เดอ โบวัวร์ (1929–1980; เขาเสียชีวิต) | signature = Jean-Paul Sartre signature.svg ไฟล์:Jean-Paul Sartre FP.JPG|thumb|ฌ็อง-ปอล ซาทร์ '''ฌ็อง-ปอล ซาทร์''' (, 21 มิถุนายน พ.ศ. 2448 ปารีส|กรุงปารีส, ประเทศฝรั่งเศส - 15 เมษายน พ.ศ. 2523 ที่กรุงปารีส) เป็นนักเขียนนวนิยาย, นักบทละคร, นักปรัชญา และผู้มีบทบาทสำคัญในแนวคิดอัตถิภาวนิยมหรือทฤษฎีที่ว่าทุกคนนั้นอิสระและรับผิดชอบในการกระทำของตน (Existentialism) เป็นนักปรัชญาผู้ประกาศเสรีภาพของมนุษย์ในแง่ปัจเจกชน ได้รับรางวัลโนเบลสาขาวรรณกรรมเมื่อปี พ.ศ. 2507 (ค.ศ. 1964) แต่ไม่ยอมรับรางวัลดังกล่าว == ประวัติ == ฌ็อง-ปอล ซาทร์ เข้ารับการศึกษาที่ เอโกล นอร์มาล ซูเปรีเยอร์ ระหว่างปี ค.ศ. 1924 – ค.ศ. 1929 เมื่อเรียนจบ ก็ได้เป็นอาจารย์สาขาปรัชญาที่ เลอ แอร์ฟ เมื่อปี ค.ศ. 1931 ซาทร์สูญเสียบิดาตั้งแต่วัยเยาว์ และเติบโตในบ้านของตา ชื่อ คาร์ล ชไวทเซอร์ (ผู้เป็นลุงของอัลเบิร์ต ชไวทเซอร์) ซึ่งเป็นศาสตราจารย์ภาษาเยอรมันที่มหาวิทยาลัยซอร์บอนน์ ระหว่างปี 1931 - 1945 ซาทร์ได้สอนหนังสือหลายที่ รวมทั้งในอังกฤษ และสุดท้ายก็กลับมาที่ปารีส มีสองครั้งที่อาชีพของเขาถูกขัดขวาง ครั้งหนึ่ง เมื่อต้องศึกษาเป็นเวลา 1 ปี ในกรุงเบอร์ลิน และครั้งที่สองเมื่อต้องเป็นทหารในสงครามโลกครั้งที่ 2 เมื่อปี 1939 ครั้นปีต่อมาถูกจับเป็นเชลย และอีกปีถัดมาก็ได้รับการปลดปล่อย ช่วงเวลาที่สอนหนังสือนั้น ซาทร์ได้ตีพิมพ์หนังสือเรื่อง La Nausee, 1938 เป็นครั้งแรกที่ทำให้เขามีชื่อเสียง นวนิยายเรื่องนี้เขียนในรูปบันทึกประจำวัน เล่าถึงความรู้สึกชิงชัง เมื่อเผชิญหน้ากับโลกของทางวัตถุ ไม่เพียงแต่โลกของคนอื่นเท่านั้น แต่ยังเป็นการรับรู้ถึงตัวของเขาด้วย ซาทร์ได้รับอิทธิพลจากนักปรัชญาเยอรมัน ชื่อเอดมุนด์ ฮุสเซล และนำมาใช้ด้วยทักษะอันเลิศในผลงานพิมพ์ 3 เล่ม คือ L'Imagination (1936; จินตนาการ), Esquisse d'une théorie des émotions (1939; ร่างทฤษฎีแห่งอารมณ์) และ L'Imaginaire : Psychologie phénoménologique de l'imagination (1940; จิตวิทยาแห่งจินตนาการ) แต่ทว่าใน L'Être et le néant (1943; ความมีอยู่ และความไม่มีอะไร)ซาทร์กำหนดฐานะของจิตสำนึกมนุษย์ หรือความไม่มีอะไร (néant) ไว้ตรงข้ามความมีอยู่ หรือความเป็นสิ่งของ (être) ซาทร์เริ่มเขียนนวนิยายชุด 4 เล่ม เมื่อปี 1945 ชื่อ Les Chemins de la liberté อีก 3 เล่ม คือ L'Âge de raison (1945; ยุคแห่งเหตุผล), Le Sursis (1945; ) และ La Mort dans l'âme (1949;เหล็กในวิญญาณ) หลังพิมพ์ครั้งที่ 3 ซาทร์ก็เปลี่ยนใจหันกลับไปสู่บทละครอีก หลังสงครามโลกครั้งที่สอง ซาทร์เขียนโจมตีความยะโสของมนุษย์ และเสรีภาพของปัจเจกชน ซาทร์ได้เปลี่ยนความสดใสไปสู่แนวคิดของความรับผิดชอบของสังคมหลายปีแล้ว ที่เขาแสดงความใสใจคนรวย และคนที่ไม่มีมรดกทุกชนิด ขณะเป็นครูเขาปฏิเสธไม่ยอมผูกเน็คไท ราวกับเขาจะเช็ดชนชั้นทางสังคมให้สลายไปด้วยเน็คไท และเข้าใกล้พวกคนใช้แรงงานมากขึ้น ในงานเรื่อง L'Existentialisme est un humanisme (1946;) ตอนนี้เสรีภาพแสดงนัยของความรับผิดชอบทางสังคม ในนวนิยายและบทละครเรื่องต่างๆ ของเขา ซาทร์ได้พยายามแสดงความคิดเห็นในสื่อของเขาระหว่างช่วงสงคราม และบทละครใหม่ ก็ตามติดมาเรื่อยๆ ได้แก่ Les Mouches (ออกแสดง 1943), Huis- clos (1944) Les Mains Sales (1948) Le Diable et le bon dieu (1951) และ Les Séquestres d'Altona (1959)บทละครทั้งหมด จะเน้นที่พฤติกรรมก้าวร้าวดั้งเดิมของมนุษย์ต่อมนุษย์ ซึ่งดูเหมือนมีแต่การมองโลกในแง่ร้าย แต่ตามคำสารภาพของซาตร์เอง จุดมุ่งหมายนั้นไม่มีเรื่องศีลธรรมของการใช้ทาสเลย กิจกรรมทางการเมืองหลังสงครามโลกครั้งที่สอง ซาทร์มีความสนใจอย่างกระตือรือร้นต่อชนวนการทางการเมืองในฝรั่งเศส และโน้มเอียงไปทางฝ่ายซ้าย ก็ประกาศชัดมากขึ้น เขาเป็นผู้นิยมสหภาพโซเวียตอย่างยิ่ง แม้จะไม่ได้เป็นสมาชิกพรรคคอมมิวนิสต์ก็ตาม ในปี 1954 ซาตร์เดินทางไปโซเวียต ประเภทแถบสแกนดิเนเวีย แอฟริกา สหรัฐอเมริกา และคิวบา เมื่อรัสเซียนำรถถังบุกกรุงบูดาเปส ในปี 1956 ความหวังของซาทร์ที่มีต่อลัทธิคอมมิวนิสต์ก็พังครืนอย่างน่าเศร้า เขาเขียนบทความขนาดยาว ใน Les Temps Modernes เรื่อง Le Fantôme de Staline ซึ่งตำหนิการแทรกแซงของรัสเซีย และการยอมรับพรรคคอมมิวนิสต์ฝรั่งเศส ซาทร์ได้ร่วมมือกับซีมอน เดอ โบวัวร์ (Simone de Beauvoir) เขียนเรื่อง Mémoires d'une jeune fille rangée,1958 และเรื่อง La Force de l'âge, 1960-2 โดยได้เล่าถึงชีวิตของซาทร์ จากสมัยนักเรียน จนถึงกลางศตวรรษที่ 50 ใน École Normale Supérieure ในภายหลังเขาได้พบผู้คนมากมาย ที่มีจุดมุ่งหมายจะเป็นนักเขียนที่มีชื่อเสียง ในจำนวนนี้ได้แก่ แรมง อารง (Raymond Aron) มอริส แมร์โล-ปงตี (Maurice Merleau-Ponty), ซีมอน แวย์ (Simone Weil), แอมานุแอล มูนีเย (Emmanuel Mounier), ฌ็อง อีปอลิต (Jean Hippolyte) และโกลด เลวี-สโทรส (Claude Levi-Strauss) ผ่านไปหลายปี ทัศนคติเชิงวิจารณ์นี้เปิดทางสู่รูปแบบของสังคมนิยมแบบซาทร์ ซึ่งจะพบการแสดงออกในผลงานใหญ่ชิ้นใหม่ ชื่อ Critique de la raison dialectique (1960) ซาทร์ได้ดำเนินการตรวจสอบเชิงวิจารณ์ถึงวิภาษวิธีแบบมากซ์ และค้นพบว่า ไม่มีความยั่งยืนในรูปแบบที่โซเวียตใช้ ==งานเขียนที่ได้รับการแปลเป็นภาษาไทย== #''คนไม่มีเงา'' (กรุงเทพฯ: ดวงกมล, 2517). #''เพียงความใกล้ชิด (Intimacy)'' แปลโดย น. ชญานุตม์ (กรุงเทพฯ: กอไผ่, 2526). #''รวมเรื่องสั้น ฌอง-ปอล ซาร์ตร์'' บรรณาธิการโดย สุชาติ สวัสดิ์ศรี (กรุงเทพฯ: ดวงกมลวรรณกรรม, 2536). == ดูเพิ่ม == * รายชื่อผู้ได้รับรางวัลโนเบลสาขาวรรณกรรม == หนังสืออ่านเพิ่มเติม == * Annie Cohen-Solal, ''Sartre 1905-80'', 1985. * Simone de Beauvoir, ''Adieux: A Farewell to Sartre'', New York: Pantheon Books, 1984. * Thomas Flynn, ''Sartre and Marxist Existentialism: The Test Case of Collective Responsibility'', Chicago: University of Chicago Press, 1984. * John Gerassi, ''Jean-Paul Sartre: Hated Conscience of His Century'', Volume 1: Protestant or Protester?, University of Chicago Press, 1989. ISBN 0-226-28797-1. * R. D. Laing and D. G. Cooper, ''Reason and Violence: A Decade of Sartre's Philosophy, 1950-1960'', New York: Pantheon, 1971. * Suzanne Lilar, ''A propos de Sartre et de l'amour'', Paris: Grasset, 1967. * Axel Madsen, ''Hearts and Minds: The Common Journey of Simone de Beauvoir and Jean-Paul Sartre'', William Morrow & Co, 1977. * Heiner Wittmann, ''L'esthétique de Sartre. Artistes et intellectuels'', translated from the German by N. Weitemeier and J. Yacar, Éditions L'Harmattan (Collection L'ouverture philosophique), Paris 2001. * Elisabeth Roudinesco, ''Philosophy in Turbulent Times: Canguilhem, Sartre, Michel Foucault|Foucault, Althusser, Deleuze, Derrida'', Columbia University Press, New York, 2008. * Jean-Paul Sartre and Benny Levy, ''Hope Now: The 1980 Interviews'', translated by Adrian van den Hoven, Chicago: University of Chicago Press, 1996. * P.V. Spade, http://pvspade.com/Sartre/pdf/sartre1.pdf Class Lecture Notes on Jean-Paul Sartre's ''Being and Nothingness''. 1996. * Jonathan Webber ''The existentialism of Jean-Paul Sartre'', London: Routledge, 2009 * H. Wittmann, ''Sartre und die Kunst. Die Porträtstudien von Tintoretto bis Flaubert'', Tübingen: Gunter Narr Verlag, 1996. * H. Wittmann, ''Sartre and Camus in Aesthetics. The Challenge of Freedom.''Ed. by Dirk Hoeges. Dialoghi/Dialogues. Literatur und Kultur Italiens und Frankreichs, vol. 13, Frankfurt/M: Peter Lang 2009 ISBN 978-3-631-58693-8 * Wilfrid Desan, ''The Tragic Finale: An Essay on the philosophy of Jean-Paul Sartre'' (1954) * BBC (1999). "http://video.google.com/videoplay?docid=5997040150951355473# The Road to Freedom". ''Human, All Too Human (TV series)|Human, All Too Human''. * Pink Floyd and Philosophy "Careful with that Axiom Eugene" by George A. Reisch Chicago: Open Court Publishing Company, 2007. == แหล่งข้อมูลอื่น == ==== By Sartre ==== * http://www.laphilosophie.fr/livres-de-Sartre-texte-integral.html Full Ebooks in French on the website 'La philosophie' * http://www.thenation.com/doc.mhtml?i=19471018&s=sartre Americans and Their Myths Sartre's essay in ''The Nation (U.S. periodical)|The Nation'' (18 October 1947 issue) * http://www.philosophyarchive.com/index.php?title=Sartre#Primary_Sources Sartre Texts on Philosophy Archive * http://www.marxists.org/reference/archive/sartre/index.htm Sartre Internet Archive on http://www.marxists.org/ Marxists.org * French http://www.incipitblog.com/index.php/2005/11/01/jean-paul-sartre-les-mots-1964/ Audiobook (mp3) , incipit of The Words (1964), read aloud in French by IncipitBlog. ==== On Sartre ==== * http://www.sartreuk.org UK Sartre Society * http://www.ges-sartre.fr Groupe d'études sartriennes, Paris * http://home.mira.net/~andy/works/sartre.htm Sartre’s Critique of Dialectical Reason essay by Andy Blunden * http://www.iep.utm.edu/s/sartre-ex.htm Jean-Paul Sartre (1905–1980): Existentialism Internet Encyclopedia of Philosophy * http://plato.stanford.edu/entries/sartre/ Jean-Paul Sartre (Stanford Encyclopedia of Philosophy) * http://www.sartre.org/ Sartre.org Articles, archives, and forum * http://semimarx.free.fr/rubrique.php3?id_rubrique=36 Texts on Sartre Sartre Rubric on the website of the Sorbonne Marx Seminar * http://enjoyment.independent.co.uk/books/features/article226073.ece "The Second Coming Of Sartre" , John Lichfield, ''The Independent'', 17 June 2005 * http://www.newcriterion.com/archive/extras/sartre.htm The World According to Sartre essay by Roger Kimball * http://pubs.socialistreviewindex.org.uk/isj102/pitt.htm Reclaiming Sartre A review of Ian Birchall, ''Sartre Against Stalinism'' * http://atheisme.free.fr/Biographies/Sartre_e.htm Biography and quotes of Sartre * http://www.sens-public.org/article.php3?id_article=300 Living with Mother. Sartre and the problem of maternity , Benedict O'Donohoe, International Webjournal''Sens Public''. * https://archive.today/20121209175828/igitur-archive.library.uu.nl/student-theses/2006-0912-200835/MA%20Eindwerkstuk%202006%20Eindversie.doc L’image de la femme dans le théâtre de Jean-Paul Sartre - Jean-Paul Sartre:sexiste? by Stephanie Rupert * http://www.scribd.com/doc/2358674/Pierre-Michel-JeanPaul-Sartre-et-Octave-Mirbeau Pierre Michel, ''Jean-Paul Sartre et Octave Mirbeau''. * http://www.bbc.co.uk/radio4/history/inourtime/inourtime_20041007.shtml Listen to Radio 4's In Our Time programme on Sartre - RealAudio * http://www.sens-public.org/spip.php?article544 Sartre: philosophy, literature, politics (articles), International Webjournal Sens Public Persondata |NAME=Sartre, Jean Paul |ALTERNATIVE NAMES= |SHORT DESCRIPTION=French philosopher |DATE OF BIRTH= |PLACE OF BIRTH=Paris |DATE OF DEATH= |PLACE OF DEATH=Paris หมวดหมู่:นักปรัชญาชาวฝรั่งเศส หมวดหมู่:นักปรัชญาการเมือง หมวดหมู่:นักเขียนชาวฝรั่งเศส หมวดหมู่:ผู้ได้รับรางวัลโนเบลสาขาวรรณกรรม หมวดหมู่:ชาวฝรั่งเศสผู้ได้รับรางวัลโนเบล หมวดหมู่:บุคคลจากปารีส หมวดหมู่:ศิษย์เก่าจากเอกอลนอร์มาลซูว์เปรีเยอร์ หมวดหมู่:ศิษย์เก่าจากมหาวิทยาลัยปารีส หมวดหมู่:เชลยศึกสงครามโลกครั้งที่สองที่ถูกจับโดยเยอรมนี หมวดหมู่:นักสังคมนิยมแบบอิสรนิยม
ฌ็อง-ปอล ซาทร์
ไฟล์:Elfriede jelinek 2004 small.jpg|thumb|เอ็ลฟรีเดอ เย็ลลีเน็ค '''เอ็ลฟรีเดอ เย็ลลีเน็ค''' (; 20 ตุลาคม พ.ศ. 2489 – ) นักเขียนชาวออสเตรีย ได้รับรางวัลโนเบลสาขาวรรณกรรมประจำปี พ.ศ. 2547 เย็ลลีเน็คเกิดเมื่อวันที่ 20 ตุลาคม พ.ศ. 2489 ในประเทศออสเตรีย บิดามีเชื้อสายเช็ก-ยิว มารดาเป็นชาวเวียนนา ในวัยเยาว์เธอได้รับการศึกษาด้านดนตรีหลายอย่าง เช่น เปียโน ออร์แกน รีคอร์เดอร์ เธอได้ศึกษาต่อด้านการเรียบเรียงเสียงประสานในสถาบัน Vienna Conservatory หลังจบการศึกษาจาก Albertsgymnasium ในปี พ.ศ. 2507 เธอได้ศึกษาด้านประวัติศาสตร์ศิลปะและการละครที่มหาวิทยาลัยแห่งเวียนนา ขณะที่ยังคงศึกษาด้านดนตรี และสอบได้ประกาศนียบัตรนักออร์แกน เมื่อปี พ.ศ. 2514 จากสถาบัน Conservatory เย็ลลีเน็คเริ่มต้นเขียนบทกวีตั้งแต่วัยเยาว์ และได้ตีพิมพ์รวมบทกวีชื่อ ''Lisas Schatten'' เมื่อปี พ.ศ. 2510 เมื่อได้ติดต่อกับขบวนการนักศึกษา งานเขียนของเธอจึงมีทิศทางในเชิงวิพากษ์วิจารณ์สังคม เช่น นวนิยายเสียดสีเมื่อปี พ.ศ. 2513 เรื่อง ''wir sind lockvögel baby!'' และ ''Michael. Ein Jugendbuch für die Infantilgesellschaft'' เมื่อปี พ.ศ. 2515 ผลงานส่วนใหญ่เขียนเป็นภาษาเยอรมัน == ดูเพิ่ม == * รายชื่อผู้ได้รับรางวัลโนเบลสาขาวรรณกรรม หมวดหมู่:นักเขียนชาวออสเตรีย หมวดหมู่:นักเขียนบทละคร หมวดหมู่:นักเขียนนวนิยายชาวออสเตรีย หมวดหมู่:ผู้ได้รับรางวัลโนเบลสาขาวรรณกรรม หมวดหมู่:ชาวออสเตรียผู้ได้รับรางวัลโนเบล หมวดหมู่:ผู้หญิงผู้ได้รับรางวัลโนเบล หมวดหมู่:บุคคลจากรัฐสตีเรีย หมวดหมู่:ชาวออสเตรียเชื้อสายเช็ก หมวดหมู่:ชาวออสเตรียเชื้อสายยิว
เอ็ลฟรีเดอ เย็ลลีเน็ค
Infobox officeholder |honorific-prefix = พลตรี |name = อองซาน |honorific-suffix = |native_name = |native_name_lang = Burmese |image = Aung San color portrait.jpg |alt = |caption = |order = นายกรัฐมนตรีพม่า|ผู้นำคนที่ 5 แห่งพม่าของบริเตน นายกรัฐมนตรีพม่า|รองประธานคณะผู้บริหารระดับสูงของพม่า |term_start = 26 กันยายน ค.ศ. 1946 |term_end = 19 กรกฎาคม ค.ศ. 1947 |predecessor = Sir Paw Tun |successor = อู้นุ (เป็นนายกรัฐมนตรีพม่า|นายกรัฐมนตรี) |order1 = ประธานสันนิบาตเสรีภาพประชาชนต่อต้านฟาสซิสต์ |term_start1 = 27 มีนาคม ค.ศ. 1945 |term_end1 = 19 กรกฎาคม ค.ศ. 1947 |predecessor1 = ไม่มี |successor1 = อู้นุ |order2 = รัฐมนตรีว่าการสงครามแห่งพม่า |term_start2 = 1 สิงหาคม ค.ศ. 1943 |term_end2 = 27 มีนาคม ค.ศ. 1945 |predecessor2 = ไม่มี |successor2 = | party = สันนิบาตเสรีภาพประชาชนต่อต้านฟาสซิสต์พรรคคอมมิวนิสต์พม่า | birth_name = Htein Lin | birth_date = | birth_place = นะเมาะ, ภาคมะกเว, พม่าภายใต้การปกครองของสหราชอาณาจักร|ประเทศพม่าของบริเตน | death_date = | death_place = ย่างกุ้ง, พม่าภายใต้การปกครองของสหราชอาณาจักร|ประเทศพม่าของบริเตน | death_cause = ถูกลอบสังหาร | resting_place = Martyrs' Mausoleum, ประเทศพม่า | nationality = พม่า | ethnicity = ชาวพม่า | other_names = Bo TayzaOmoda MonjiTan LushouMyo AungNaung ChoSet Phe | known_for = | occupation = นักการเมือง, พลตรี | spouse = | children = Aung San OoAung San LinอองซานซูจีAung San Chit | father = U Pha | mother = Daw Suu | relations = Ba Win (พี่/น้องชาย)Aung Than (พี่/น้องชาย)Sein Win (Burmese government in exile)|Sein Win (หลานชาย)Alexander Aris (หลานชาย) | alma_mater = มหาวิทยาลัยย่างกุ้ง | signature = Aung San Signature.svg | nickname = | allegiance = Burma National Armyสันนิบาตเสรีภาพประชาชนต่อต้านฟาสซิสต์พรรคคอมมิวนิสต์พม่า | branch = | serviceyears = | rank = พลตรี | unit = | commands = | battles = | awards = '''โบโชะ อองซาน''' (, ; 13 กุมภาพันธ์ 191519 กรกฎาคม 1947) เป็นนักการเมือง, นักเคลื่อนไหวเพื่อเอกราช และนักปฏิวัติชาวพม่า ผู้ก่อตั้งกองทัพพม่า และได้รับการขนานให้เป็นFather of the Nation|บิดาแห่งรัฐพม่าสมัยใหม่ เขามีบทบาทมากในการได้รับเอกราชของพม่า แต่ถูกลอบสังหารราวหกเดือนก่อนที่พม่าจะได้รับเอกราช อองซานทั้งก่อตั้งและมีส่วนเกี่ยวข้องอย่างมากกับกลุ่มและขบวนการทางการเมือง และเข้าใช้ชีวิตไปกับการศึกษาแนวคิดทางการเมืองต่าง ๆ ตลอด เขาเป็นผู้นิยมการต่อต้านลัทธิจักรวรรดิ และเมื่อเป็นนักศึกษาได้เรียนรู้เกี่ยวกับลัทธิคอมมิวนิสต์และสังคมนิยม ต่อมาได้ศึกษาเกี่ยวกับวงไพบูลย์ร่วมแห่งมหาเอเชียบูรพาของญี่ปุ่นเมื่อครั้งเป็นสมาชิกของกองทัพบกจักรวรรดิญี่ปุ่น เขาได้รับการเลือกตั้งเป็นกรรมการระดับสูงของสภานักศึกษามหาวิทยาลัยย่างกุ้งตั้งแต่ปีแรกที่เข้าเรียน และเป็นบรรณาธิการประจำหนังสือพิมพ์มหาวิทยาลัย อองซานเข้าร่วมสมาคมเราชาวพม่า|สมาคมทะขิ่นในปี 1938 ในตำแหน่งเลขาธิการ และต่อมาได้ก่อตั้งพรรคคอมมิวนิสต์พม่า และพรรคสังคมนิยมพม่า ==ชีวิตช่วงต้น== อองซานเกิดที่เมืองเล็ก ๆ ชื่อนะเมาะในภาคมะกเว เมื่อวันที่ 13 กุมภาพันธ์ 1915 ในครอบครัวชนชั้นกลางThant 213 เข้ามีพี่น้องรวมตัวเอง 9 คน โดยเป็นคนสุดท้อง ในจำนวนนี้เป็นพี่สาวสามคน และพี่ชายห้าคนNay 99 ชื่อ "อองซาน" นั้นตั้งโดยพี่ชายคนหนึ่งของเขา Aung Than อองซานเข้าเรียนชั้นประถมที่โรงเรียนพุทธของสำนักสงฆ์แห่งหนึ่งใน นะเมาะ แต่ต่อมาได้ย้ายไปเยนานช่อง ตอนอยู่ประถมสี่ หลังพี่ชายคนโตสุด Ba Win ได้รับตำแหน่งผู้อำนวยการโรงเรียนมัธยมที่เมืองนั้นNay 106 เมื่อเป็นวัยรุ่น อองซานมักอ่านหนังสือและครุ่นคิดกับตัวเองอยู่คนเดียวเป็นเวลาหลายชั่วโมง ในบทความชิ้นแรกสุดที่เขาได้เขียน ซึ่งตีพิมพ์ในส่วน "ความเห็น" ของ ''The World of Books'' เขาต่อต้านแนวคิดปัจเจกนิยมของตะวันตกซึ่งได้รับการสนับสนุนโดยอู้ตั่น แต่ต่อมาอองซานและอู้ตั่นก็เป็นเพื่อนกันThant 214 == การปฏิวัติตะคีน == ในเดือนตุลาคม ปี 1938 อองซานออกจากการศึกษานิติศาสตร์และเข้าสู่เวทีการเมืองระดับชาติ ในเวลานี้เขามีจุดยืนต่อต้านอังกฤษและต่อต้านลัทธิจักรวรรดิอย่างมั่นคง เขาเข้าร่วมเป็นสมาชิกของ ''สมาคมเราชาวพม่า|สมาคมทะขิ่น'' และเป็นเลขานุการของสมาคมจนถึงเดือนสิงหาคม 1940 ขณะดำรงตำแหน่ง เขาได้มีส่วนช่วยจัดการชุดการนัดประท้วงหยุดงานซึ่งต่อมาเป็นที่รู้จักในชื่อการปฏิวัติ ME 1300 ซึ่งตั้งตามปฏิทินพม่า 1300 ตรงกับเดือนสิงหาคม 1938 ถึงกรกฎาคม 1939Naw 41-43 ในวันที่ 18 มกราคม 1939 สมาคมเราชาวพม่าประกาศเจตจำนงที่จะใช้กำลังเพื่อล้มรัฐบาล ส่งผลให้ประชาคมถูกเพ่งเล็งและกำจัดโดยเจ้าหน้าที่รัฐ ในวันที่ 23 มกราคม ตำรวจบุกเข้าสำนักงานของสมาคมที่เจดีย์ชเวดากอง และอองซานถูกจับกุมและคุมขังในคุกเป็นเวลา 15 วัน ฐานอั้งยี่และสมรู้ร่วมคิดล้มล้างรัฐบาล แต่ต่อมาได้ถูกเพิกถอนข้อกล่าวหาNaw 44 หลังเขาถูกปล่อยตัว เขาได้วางแผนการเพื่อขับเคลื่อนการได้รับเอกราชของพม่าโดยการเตรียมจัดการนัดประท้วงหยุดงานใหญ่ทั่วประเทศ, การรณรงค์ไม่จ่ายภาษี และจัดความไม่สงบผ่านการรบแบบกองโจรSmith 58 มนเดือนสิงหาคม 1939 อองซานร่วมก่อตั้งและเป็นเลขาธิการประจำพรรคคอมมิวนิสต์พม่า ที่ซึ่งในภายหลังเขายอมรับว่าความสัมพันธ์กับพรรคไม่ค่อยราบรื่นนัก เขาเข้าร่วมและลาออกจากพรรคถึงสองครั้ง ไม่นานหลังตั้งพรรค เขาได้ตั้งองค์กรคล้ายคลึงขึ้นอีก คือ "พรรคประชาปฏิวัติ" (People's Revolutionary Party) หรืออีกชื่อคือ "พรรคปฏิวัติพม่า" (Burma Revolutionary Party) ซึ่งมีจุดยืนมาร์กซิสต์ มีเป้าหมายเพื่อล้มล้างการปกครองของอังกฤษเหนือพม่า ต่อมาพรรคนี้กลายเป็นพรรคสังคมนิยมพม่าหลังสงครามโลกครั้งที่สองSmith 56-57 นับตั้งแต่เป็นนักเรียนจนถึงสมัยทำงานทางการเมือง อองซานแทบไม่ได้รับค่าตอบแทนมากนัก เขาจึงใช้ชีวิตส่วนใหญ่ในช่วงนี้อยู่ในความยากจน สมาชิกและผู้ร่วมงานกับเขาชื่นชมเขามากในฐานะบุคคลที่มีความสามารถในการบริหารจัดการที่ยอดเยี่ยมและจรรยาบรรณการทำงานที่แข็งแกร่ง แต่บางครั้งเขาก็ถูกวิจารณ์ว่าขาดทักษะการประชาสัมพันธ์ และบ้างถึงกับว่าเขาเป็นคนหยิ่งยโส ตลอดช่วงนี้เขาปฏิเสธการดื่มแอลกอฮอล์และไม่เคยมีความสัมพันธ์เชิงชู้สาวNaw 45-48 ==สงครามโลกครั้งที่สอง== หลังสงครามโลกครั้งที่สองปะทุในเดือนกันยายน 1939 อองซานมีส่วนร่วมก่อตั้งองค์การชาตินิยมอีกแห่ง คือ Freedom Bloc|กลุ่มเสรีภาพ ซึ่งเชื่อมการทำงานของตะคีน, สหพันธ์นักเรียนนักศึกษาพม่า, พระสงฆ์ที่มีความตื่นตัวทางการเมือง และPoor Man's Party|พรรคยาจกของ ดร. Ba MawLintner 1990 โดยมี Ba Maw เป็น ''anarshin'' ("เผด็จการ") ของฟรีดอมบล็อก ส่วนอองซานเป็นเลาธิการของกลุ่ม กิจกรรมและเป้าหมายของกลุ่มมีใจกลางอยู่ที่แนวคิดการใช้ประโยชน์จากสงครามเพื่อให้พม่าได้รับเอกราชThant 217 ซึ่งนำเอาแบบอย่างในการดำเนินการมาจาก "All India Forward Bloc|กลุ่มก้าวหน้า" ของอินเดีย ซึ่งนำโดยSubhas Chandra Bose|จันทระ โพส ผู้ที่มีการติดต่อเสมอ ๆ กับ Ba MawNaw 49 ในปี 1939 ถูกจับกุมฐานล้มรัฐบาล แต่ต่อมาก็ถูกปล่อยตัวSmith 58 หลังเพียงสิบเจ็ดวันLintner 2003 41 ในเดือนมีนาคม 1940 เขาเข้าร่วมการประชุมของคองเกรสแห่งชาติอินเดีย ที่Ramgarh Cantonment|รามคฤห์ในประเทศอินเดีย พร้อมทั้งสมาชิกตะคีน เช่น Than Tun และ Ba Hein ระหว่างนั้น อองซานได้พบกับผู้นำขบวนการเอกราชอินเดียจำนวนมาก เช่น ชวาหะร์ลาล เนห์รู, มหาตมะ คานธี และ สุภาษ จันทระ โพสThant 228 ==หลังสงครามโลกครั้งที่สอง== หลังสิ้นสุดสงครามโลกครั้งที่สอง สมาชิกของกองทัพพม่าที่ตั้งขึ้นเองบางส่วนได้รับข้อเสนอรับตำแหน่งในกองทัพแห่งชาติของพม่าถายใต้บังคับการของอังกฤษ ข้อตกลงมีขึ้นที่ซีลอนโดยLouis Mountbatten, 1st Earl Mountbatten of Burma|ลอร์ดหลุยส์ เมาท์แบตเติน เมื่อกันยายน 1945 อองซานไม่ได้รับเชิญเข้าร่วมการตกลงนี้เพราะเขากำลังตกเป็นประเด็นถกเถียงว่าเขาควรถูกนำเข้าสู่ขบวนการยุติธรรมหรือไม่ จากบทบาทของเขาในการประหารชีวิตผู้นำมุสลิมใน สะเทิม ระหว่างสงครามSmith 65-66 ==การลอบสังหาร== ในช่วงปีท้าย ๆ ของพม่าภายใต้การปกครองของสหราชอาณาจักร อองซานได้ผูกมิตรกับGovernor of Burma|ผู้ว่าการพม่า Reginald Dorman-Smith|เรจินัลด์ ดอร์มัน-สมิธ ในปี 1946 ราวหนึ่งปีก่อนเขาถูกลอบสังหาร อองซานเคยกล่าวว่าเขารู้สึกกลัวว่าตนเองอาจถูกลอบสังหารThant 248 เวลาราว 10:30 นาฬิกา ของวันที่ 19 กรกฎาคม 1947 รถจีปของกองทัพคันหนึ่งพร้อมกลุ่มชายติดอาวุธขับเข้ามาในสวนของMinisters' Building|อาคารรัฐมนตรี ขณะอองซานกำลังมีประชุมกับสมาชิกรัฐบาลชุดใหม่ อาคารนี้ไม่มีกำแพงหรือรั้วล้อมในเวลานั้นThant 254 และถึงแม้จะมีคนเตือนแล้วว่าอองซานกำลังถูกวางแผนฆาตกรรมLintner 2003 xii ยามรักษาประตูเข้าออกของอาคารก็ไม่มีทีท่าจะกังวลกับชายติดอาวุธกลุ่มนี้ที่เข้ามาในอาคาร ชายสี่คนลงจากรถพร้อมปืนปืนกลมือทอมป์สันสามลำ และ สเตนหนึ่งลำ พร้อมระเบิด วิ่งขึ้นบนบันไดเข้าไปยังโถงประชุม ยิงยามรักษาประตูด้านนอกห้อง และบุกเข้าไปในโถงประชุม มือปืนตะโกนว่า "อยู่กับที่! อย่าขยับ!" อองซานลุกขึ้นและถูกยิงเข้าที่อก เสียชีวิตโดยทันที และมีสมาชิกสภาอีกสี่คนที่ถูกกราดยิง สามคนได้รับบาดเจ็บ และสามคนเท่านั้นที่รอดชีวิต :en:U_Saw|ยู ซอว์ อดีตนายกรัฐมนตรีพม่าก่อนสงครามโลกครั้งที่สองคนสุดท้าย ถูกจับกุมฐานก่อการฆาตกรรมในวันเดียวกันLintner 2003 xiii ต่อมา ยู ซอว์ถูกตัดสินกระทำผิดจริงและประหารชีวิตโดยการแขวนคอ อย่างไรก็ตามมีการถกเถียงถึงกลุ่มหรือพรรคอื่น ๆ ที่มีส่วนร่วมในการก่อการลอบสังหารอองซานในครั้งนี้ บางส่วนเชื่อว่าเจ้าหน้าที่ของอังกฤษเป็นผู้อยู่เบื้องหลังSmith 71-72 ==มรดก== Martyrs' Mausoleum|สุสานผู้พลีชีพสร้างขึ้นที่ฐานของเจดีย์ชเวดากองในปี 1947 และวันที่ 19 กรกฎาคม วันที่อองซานถูกลอบสังหาร ได้รับการประกาศเป็นวันผู้เสียสละแห่งพม่า วันหยุดทางการของรัฐบาลพม่าYe Mon and Myat Nyein Aye''BBC News'' สุสานของอองซานหลังเดิมถูกทำลายจากเหตุระเบิดเมื่อ 9 ตุลาคม 1983 ในระหว่างความพยายามลอบสังหารประธานาธิบดีเกาหลีใต้ ช็อน ดู-ฮวัน โดยเจ้าหน้าที่เกาหลีเหนือThant 293 ไม่กี่เดือนหลังอองซานเสียชีวิต พม่าได้รับเอกราชจากอังกฤษในวันที่ 4 มกราคม 1948 แต่ต่อมาในเดือนสิงหาคม 1948 ได้เกิดความขัดแย้งภายในพม่าระหว่างกลุ่มต่าง ๆ ซึ่งยังคงดำเนินมาถึงปัจจุบันThant 258-259Lintner 2003 203 ธนบัตรจัต พม่าตีพิมพ์ภาพของอองซานบนธนบัตรครั้งแรกในปี 1958 ราวสิบปีหลังเขาถูกฆาตกรรม หน้าของเขาปรากฏบนธนบัตรพม่าจนกระทั่งพม่าถูกระฐประหารโดยกองทัพ ตั้งแต่ปี 1988 เป็นต้นมา รูปของอองซานถูกแทนที่ด้วยภาพวิถีชีวิตพม่า เป็นไปได้ว่าเพื่อลดความนิยมของลูกสาวของอองซาน อองซานซูจี ซึ่งกำลังมีบทบาททางการเมืองต่อต้านการรัฐประหารและเผด็จการในเวลานั้น ในปี 2017 สมัชชาแห่งสหภาพลงคะแนนเสียง 286 ต่อ 107 เพื่อนำภาพของอองซานกลับมา โดยมีธนบัตร 1,000 จัต ที่มีภาพของอองซานออกสู่สาธารณะอีกครั้งเมื่อ 4 มกราคม 2020 วันครบรอบIndependence Day (Myanmar)|การได้รับเอกราชZaw ==ครอบครัว== ขณะอองซานดำรงตำแหน่งรัฐมนตรีการรบในปี 1942 เขาพบและสมรสกับ Khin Kyi ทั้งคู่มีลูกด้วยกันสี่คน หลังอองซานถูกสังหาร ภรรยาหม้ายของเขาได้รับแต่งตั้งเป็นทูตพม่าประจำอินเดีย และจากนั้นครอบครัวก็ย้ายออกจากพม่าRogers 27 ลูกคนที่อายุน้อยที่สุดที่มีชีวิตรอดคือ อองซานซูจี ขณะเกิดเหตุลอบสังหารอองซาน เธออายุเพียงสองขวบเท่านั้นThant 333 ต่อมาอองซานซูจีได้ก้าวเข้าสู่การเมืองพม่าและเป็นบุคคลสำคัญในการเมืองพม่าจนกระทั่งเธอถูกรัฐประหารในปี 2021 == อ้างอิง == ===บรรณานุกรม=== *https://www.bbc.com/news/world-asia-38974455 "North Korea's History of Foreign Assassinations and Kidnappings". ''BBC News''. 14 February 2017. Retrieved 19 September 2020. *Houtman, Gustaaf. https://web.archive.org/web/20080228011308/http://ghoutman.googlepages.com/houtmanAung-sanslan-zintheblueprinta.pdf "Aung San’s Lan-Zin, the Blue Print and the Japanese Occupation of Burma". In Kei Nemoto (ed). ''Reconsidering the Japanese military occupation in Burma (1942–45)''. Tokyo: Tokyo University of Foreign Studies. Research Institute for Languages and Cultures of Asia and Africa (ILCAA). 30 May 2007. pp.&nbsp;179–227. , Retrieved 23 August 2020. *Bertil Lintner|Lintner, Bertil. ''The Rise and Fall of the Communist Party of Burma''. Cornell Southeast Asia Program Publication. 1990 *Lintner, Bertil. ''Burma in Revolt: Opium and Insurgency Since 1948''. Chiang Mai, Thaiand: Silkworm Books. 2003. *Maung Maung. ''Aung San of Burma''. The Hague: Martinus Nijhoff for Yale University. 1962. *Rogers, Benedict. ''Burma: A Nationa at a Crossroads''. Great Britain: Random House. 2012. *Smith, Martin. ''Burma: Insurgency and the Politics of Ethnicity.'' London and New Jersey: Zed Books. 1991. *South, Ashley. ''Ethnic Politics in Burma: States of Conflict''. New York, NY: Routelage. 2009. *Stewart, Whitney. ''Aung San Suu Kyi: Fearless Voice of Burma''. Twenty-First Century Books. 1997. *Thant Myint-U. ''The River of Lost Footsteps: A Personal History of Burma''. London: Faber and Faber Limited. 2008. *Ye Mon and Myat Nyein Aye. https://www.mmtimes.com/national-news/yangon/20910-martyrs-mausoleum-gets-an-upgrade.html "Martyr's Mausoleum Gets and Upgrade" . ''Myanmar Times''. 17 June 2016. Retrieved 14 November 2020. *Zaw Zaw Htwe. https://www.irrawaddy.com/news/burma/gen-aung-san-returns-myanmar-banknotes-30-year-absence.html "Gen. Aung San Returns to Myanmar Banknotes After 30-Year Absence". ''The Irrawaddy''. 7 January 2020. Retrieved 7 September 2020. หมวดหมู่:อองซาน| หมวดหมู่:นักการเมืองพม่า หมวดหมู่:ผู้นำ หมวดหมู่:นักปฏิวัติ หมวดหมู่:ชาวพม่าที่ถูกลอบสังหาร หมวดหมู่:เสียชีวิตจากอาวุธปืน หมวดหมู่:รัฐพม่า หมวดหมู่:บุคคลจากภาคมะกเว หมวดหมู่:นายพลชาวพม่า หมวดหมู่:นายพลในสงครามโลกครั้งที่สอง
อองซาน
Infobox royalty | name = เจ้าชายวิลเลียม | image = Procession to Lying-in-State of Elizabeth II at Westminster Hall - 65.jpg | full name = วิลเลียม อาร์เทอร์ ฟิลิป หลุยส์ | title = เจ้าชายแห่งเวลส์ | birth_style = ประสูติ | birth_date = | birth_place = โรงพยาบาลเซนต์แมรี ลอนดอน, สหราชอาณาจักร | father = สมเด็จพระเจ้าชาลส์ที่ 3 แห่งสหราชอาณาจักร | mother = ไดอานา เจ้าหญิงแห่งเวลส์ | spouse = แคเธอริน เจ้าหญิงแห่งเวลส์ (2011–ปัจจุบัน) | issue = * เจ้าชายจอร์จแห่งเวลส์ * เจ้าหญิงชาร์ลอตต์แห่งเวลส์ (ประสูติ พ.ศ. 2558)|เจ้าหญิงชาร์ลอตต์แห่งเวลส์ * เจ้าชายหลุยส์แห่งเวลส์ | dynasty = ราชวงศ์วินด์เซอร์|วินด์เซอร์ |signature=|caption=เจ้าชายวิลเลียม ในปี 2022 '''เจ้าชายวิลเลียม เจ้าชายแห่งเวลส์''' () หรือ '''วิลเลียม อาร์เทอร์ ฟิลิป หลุยส์''' (; ประสูติ 21 มิถุนายน ค.ศ. 1982) เป็นพระราชโอรสพระองค์ใหญ่ในสมเด็จพระเจ้าชาลส์ที่ 3 แห่งสหราชอาณาจักร|สมเด็จพระเจ้าชาลส์ที่ 3 และไดอานา เจ้าหญิงแห่งเวลส์ เป็นพระราชนัดดาในสมเด็จพระราชินีนาถเอลิซาเบธที่ 2 แห่งสหราชอาณาจักร|สมเด็จพระราชินีนาถเอลิซาเบธที่ 2 และเจ้าชายฟิลิป ดยุกแห่งเอดินบะระ และรัชทายาทแห่งสหราชณาจักรและเครือจักรภพอังกฤษ|เครือจักรภพ เจ้าชายทรงอยู่ลำดับการสืบราชบัลลังก์อังกฤษ|ลำดับที่ 1 ของการสืบสันตติวงศ์สหราชอาณาจักรและประเทศต่าง ๆ ในเครือจักรภพอีก 15 ประเทศ หลังจากการสวรรคตและพิธีฝังพระบรมศพสมเด็จพระราชินีนาถเอลิซาเบธที่ 2 แห่งสหราชอาณาจักร|การสวรรคตของสมเด็จพระอัยยิกาธิราชเมื่อวันที่ 8 กันยายน ค.ศ. 2022 ใน ค.ศ. 2007 เจ้าชายวิลเลียมทรงเข้าร่วมกองพันทหารม้า ''บลูส์แอนด์รอยัลส์'' ''(Blues and Royals)'' ของกรมทหารม้ารักษาวังแห่งกองทัพบกอังกฤษ เช่นเดียวกับเจ้าชายแฮร์รี ดยุกแห่งซัสเซกซ์|เจ้าชายแฮร์รีพระอนุชาของพระองค์ และทรงสถานะเป็นทหารยศยศทางทหารและตำรวจในสหราชอาณาจักร|ร้อยตรี ''(Second Lieutenant)'' ในกองทัพนับแต่นั้นเป็นต้นมา ซึ่งนามของพระองค์ในกองพันคือร้อยตรีวิลเลียม เวลส์ เจ้าชายถูกจัดอยู่ในลำดับที่ 1 ของราชนิกุลรุ่นเยาว์ที่เซ็กซี่มากสุดในโลก == พระประวัติ == ไฟล์:Trooping the Colour, Saturday June 16th 2007.jpg|200px|thumb|left|เจ้าชายวิลเลียม (ที่สองจากซ้าย) ทรงฉลองพระองค์เต็มพระยศในพระราชวังบักกิงแฮม เจ้าชายวิลเลียมประสูติเมื่อวันที่ 21 มิถุนายน พ.ศ. 2525 ณ โรงพยาบาลเซนต์มารีส์ เขตแพดดิงตัน ทางตะวันตกของกรุงลอนดอน พระบิดาของพระองค์คือเจ้าชายชาลส์ เจ้าชายแห่งเวลส์ พระราชอิสริยยศในขณะนั้น ซึ่งเป็นพระราชโอรสพระองค์ใหญ่ในสมเด็จพระราชินีนาถเอลิซาเบธที่ 2 และเจ้าชายฟิลิป ดยุกแห่งเอดินบะระ ส่วนพระมารดาคือเลดีไดอานา สเปนเซอร์ อดีตเจ้าหญิงแห่งเวลส์ ธิดาคนเล็กของจอห์น สเปนเซอร์ เอิร์ลสเปนเซอร์ที่ 8 และฟรานเซส ชานด์ คิดด์|ฟรานเซส รูธ เบิร์ค-รอช ในฐานะพระราชนัดดาในพระประมุขแห่งอังกฤษและพระโอรสของเจ้าชายแห่งเวลส์ เจ้าชายทรงดำรงพระอิสริยยศ '''เจ้าชายวิลเลียมแห่งเวลส์''' ''(His Royal Highness Prince William of Wales)'' ทรงมีหมายเลขบัตรประชาชน คือ I00000172 วิลเลียมรับพิธีรับเข้าเป็นคริสต์ศาสนิกชน|บัพติศมาจากศาสนาจารย์ ดร.โรเบิร์ต รันซี อาร์ชบิชอปแห่งแคนเทอร์เบอรีในขณะนั้น เมื่อวันที่ 4 สิงหาคม พ.ศ. 2525 ณ ห้องทรงดนตรี พระราชวังบักกิงแฮม อันเป็นวันคล้ายวันพระราชสมภพของสมเด็จพระราชินีเอลิซาเบธ พระราชชนนี พระปัยยิกา (ย่าทวด) ของพระองค์พระชนมายุครบ 82 พรรษา โดยมีพระบิดาและพระมารดาอุปถัมภ์คือสมเด็จพระราชาธิบดีกอนสตันดีโนสที่ 2 แห่งกรีซ เซอร์ลอเรนซ์ ฟอน แดร์ โพสต์ เจ้าหญิงอเล็กซานดรา เดอะออนะระเบิล เลดีโอกิลวี|เจ้าหญิงอเล็กซานดรา นาตาเลีย กรอสเวอร์เนอร์ ดัชเชสแห่งเวสต์มินสเตอร์|ดัชเชสแห่งเวสต์มินสเตอร์ นอร์ตัน แนตช์บูล บารอนบราเบิร์นที่ 8|ลอร์ดบราเบิร์น และซูซาน ฮูสซีย์ บารอนฮูสซีย์แห่งนอร์ธแบรดลีย์|เลดี้ ซูซาน ฮูสซีย์ วิลเลียมทรงสืบเชื้อสายมาจากพระเจ้าชาลส์ที่ 2 แห่งอังกฤษ|พระเจ้าชาลส์ที่ 2 และพระเจ้าเจมส์ที่ 2 แห่งอังกฤษ|พระเจ้าเจมส์ที่ 2 ผ่านทางพระอัยกาฝ่ายพระมารดา เมื่อพระองค์ได้เสวยราชสมบัติเป็นกษัตริย์ จะทรงเป็นประมุขพระองค์แรกนับตั้งแต่แอนน์ สมเด็จพระราชินีนาถแห่งบริเตนใหญ่|สมเด็จพระราชินีนาถแอนน์ที่สืบเชื้อสายมาจากพระเจ้าชาลส์ที่ 1 แห่งอังกฤษ|พระเจ้าชาลส์ที่ 1 เมื่อครั้นยังทรงพระเยาว์ วิลเลียมมีพระนามเรียกเล่นว่า "วอมแบ็ต" (มาร์ซูเปียเลียในประเทศออสเตรเลีย|ออสเตรเลีย) หรือ"วิลส์" (ชื่อย่อของ "วิลเลียม" ในภาษาอังกฤษ) และมีพระอนุชาหนึ่งพระองค์คือเจ้าชายเฮนรีแห่งเวลส์|เจ้าชายแฮร์รี ซึ่งประสูติตามหลังพระองค์ 2 ปี เจ้าชายวิลเลียมเคยทูลพระมารดา (เจ้าหญิงไดอานา) ว่าพระองค์อยากเป็นตำรวจเมื่อพระองค์โตขึ้น เพื่อที่จะได้ปกป้องพระมารดาของพระองค์ แต่พระอนุชา (เจ้าชายแฮร์รี่) กลับบอกพระองค์ว่า "พี่เป็นมิได้หรอก พี่จะต้องเป็นกษัตริย์" การปรากฏตัวของพระองค์ต่อหน้าสาธารณชนครั้งแรกคือเมื่อวันที่ 1 มีนาคม พ.ศ. 2534 (วันเซนต์เดวิดส์) ในระหว่างการเสด็จเยี่ยมเมืองคาร์ดิฟฟ์ แคว้นเวลส์ กับพระบิดาและพระมารดา หลังจากที่พระองค์เสด็จถึงแคว้นเวลส์ พระองค์เสด็จต่อไปที่มหาวิหารลันดาฟฟ์ พระองค์ทรงลงพระนามในสมุดบันทึกผู้เดินทาง ซึ่งเป็นที่ปรากฏว่าทรงใช้พระหัตถ์ด้านซ้ายเขียนหนังสือ วันที่ 3 มิถุนายนของปีเดียวกัน วิลเลียมทรงถูกส่งไปยังโรงพยาบาลรอยัลเบิร์กเชอร์ หลังจากที่ทรงถูกตีที่พระนลาฏ อย่างไรก็ตามพระองค์มิได้ทรงหมดสติ แต่มีรอยร้าวที่พระเศียรของพระองค์ และทรงเข้ารักษาพระวรกายที่โรงพยาบาลเกรตออร์มอนด์สตรีท โดยมีผลให้ทรงมีแผลนั้นตลอดพระชนม์ชีพ ในปี 2554 เจ้าชายวิลเลียมได้รับสถาปนาเป็นดยุกแห่งเคมบริดจ์ก่อนการเสกสมรสกับเคท มิดเดิลตัน เจ้าชายวิลเลียมทรงเป็นดยุกแห่งรอธซีและดยุกแห่งคอร์นวอลล์ภายหลังการเสด็จขึ้นครองราชย์ของพระเจ้าชาลส์ที่ 3 พระบิดาของพระองค์เมื่อวันที่ 8 กันยายน พ.ศ. 2565 ในวันต่อมา พระองค์ได้รับการสถาปนาให้เป็นเจ้าชายแห่งเวลส์และเอิร์ลแห่งเชสเตอร์ พระอิสริยยศซึ่งสงวนไว้สำหรับ รัชทายาทผู้มีสิทธิโดยตรง ของพระมหากษัตริย์ที่ครองราชย์ และเคทยังได้รับแต่งตั้งให้เป็นเจ้าหญิงแห่งเวลส์ในระหว่างการพระราชทานพระราชดำรัสเป็นครั้งแรกของพระเจ้าชาลส์ที่ 3 แก่ประชาชน ทั้ง 2 พระองค์มีพระโอรส-ธิดา 3 พระองค์คือ เจ้าชายจอร์จแห่งเวลส์|เจ้าชายจอร์จ, เจ้าหญิงชาร์ลอตต์แห่งเวลส์ (ประสูติ พ.ศ. 2558)|เจ้าหญิงชาร์ลอตต์ และ เจ้าชายหลุยส์แห่งเวลส์|เจ้าชายหลุยส์ == การศึกษา == * ทรงสำเร็จการศึกษาปริญญาตรี จากมหาวิทยาลัยอีตันในสาขาวิชาภูมิศาสตร์ ชีววิทยาและประวัติศาสตร์ศิลป์ (ผลการทรงศึกษาทั้งหมดด้วยลำดับขั้น A) * พ.ศ. 2544 – ทรงสำเร็จการศึกษาปริญญาโท สาขาวิชาประวัติศาสตร์ศิลป์ จากมหาวิทยาลัยเซนต์แอนดรูส์ ในสกอตแลนด์ ด้วยเกียรตินิยมอันดับ 2 * พ.ศ. 2553 – ฝึกนักบินเฮลิคอปเตอร์ซี คิงของหน่วยค้นหาและกู้ภัยของกองทัพอากาศ == พระกรณียกิจ == == พระชายาและพระโอรสธิดา == กลางเดือนกุมภาพันธ์ พ.ศ. 2553 มีข่าวคราวพระองค์จะทรงหมั้นกับเคต มิดเดิลทัน|เคต มิดเดิลตัน ทายาทบริษัทจิ๊กซอว์ ก่อนที่จะมีการประกาศเมื่อวันที่ 16 พฤศจิกายน 2553 ว่าวิลเลียมได้ทรงหมั้นกับมิดเดลตันแล้ว โดยพระราชพิธีเสกสมรสกับเคต มิดเดิลทันได้มีขึ้นในวันที่ 29 เมษายน พ.ศ. 2554 อย่างยิ่งใหญ่อลังการและสมเกียรติ ณ เวสต์มินสเตอร์แอบบีย์ ในกรุงลอนดอน == ฐานันดรและพระอิสริยยศ == * 21 มิถุนายน พ.ศ. 2525 – 29 เมษายน พ.ศ. 2554: ''ฮิสรอยัลไฮเนส'' เจ้าชายวิลเลียมแห่งเวลส์ (His Royal Highness Prince William of Wales) * 29 เมษายน พ.ศ. 2554 – 8 กันยายน 2565: ''ฮิสรอยัลไฮเนส'' ดยุกแห่งเคมบริดจ์ (His Royal Highness The Duke of Cambridge) **''ในสก็อตแลนด์'': ''ฮิสรอยัลไฮเนส'' เอิร์ลแห่งสตราเธิร์น (His Royal Highness The Earl of Strathearn)http://www.dukeandduchessofcambridge.org/news-and-diary/the-duke-and-duchess-of-cambridge-visit-glasgow Duke and Duchess of Cambridge – visit the Emirates Arena "The Duke and Duchess, known as the Earl and Countess of Strathearn when in Scotland..." (Accessed 24 July 2013)http://www.princeofwales.gov.uk/the-prince-of-wales/the-princes-charities/dumfries-house Prince of Wales – Dumfries House (Section: April 5th Official Opening of the Tamar Manoukian Outdoor Centre) "...Their Royal Highnesses The Prince Charles, Duke of Rothesay and the Earl and Countess of Strathearn..." (Accessed 24 July 2013) ** ''ในไอร์แลนด์เหนือ'': บารอนแห่งแคร์ริกเฟอร์กัส (Baron Carrickfergus) * 8 กันยายน – 9 กันยายน พ.ศ. 2565 : ''ฮิสรอยัลไฮเนส'' ดยุกแห่งคอร์นวอลล์และเคมบริดจ์ (His Royal Highness The Duke of Cornwall and Cambridge) * 9 กันยายน พ.ศ. 2565 – ปัจจุบัน: ''ฮิสรอยัลไฮเนส'' เจ้าชายแห่งเวลส์ (His Royal Highness The Prince of Wales) **''ในสก็อตแลนด์'': ''ฮิสรอยัลไฮเนส'' ดยุกแห่งรอธซี (His Royal Highness The Duke of Rothesay) == พงศาวลี == เจ้าชายวิลเลียมทรงเป็นสมาชิกราชวงศ์วินด์เซอร์ ทั้งทรงเป็นสมาชิกราชวงศ์ชเลสวิช-ฮ็อลชไตน์-เซอเนอร์ปอร์-กลึคส์บวร์คตามพระชนกด้วย == อ้างอิง == == แหล่งข้อมูลอื่น == * http://www.royal.gov.uk/output/page5573.asp Royal.gov.uk - เจ้าชายวิลเลียม * http://www.princeofwales.gov.uk/personalprofiles/princewilliam/index.html Prince of Wales.gov.uk - เจ้าชายวิลเลียม * http://www.monarchywales.org.uk Monarchy Wales * * http://genealogics.org/pedigree.php?personID=I00000172&tree=LEO บรรพบุรุษของเจ้าชายวิลเลียม หมวดหมู่:ราชวงศ์วินด์เซอร์ หมวดหมู่:บุคคลจากลอนดอน หมวดหมู่:รัชทายาทสหราชอาณาจักร หมวดหมู่:เจ้าชายแห่งเวลส์ หมวดหมู่:เจ้าชายอังกฤษ หมวดหมู่:ดยุกแห่งคอร์นวอลล์ หมวดหมู่:ดยุกแห่งรอธซี หมวดหมู่:ดยุกแห่งเคมบริดจ์ หมวดหมู่:นักบินเฮลิคอปเตอร์ หมวดหมู่:บุคคลจากวิทยาลัยอีตัน หมวดหมู่:นักโปโลชาวสหราชอาณาจักร
เจ้าชายวิลเลียม เจ้าชายแห่งเวลส์
กล่องข้อมูล ผู้ดำรงตำแหน่ง | name = แฟรงคลิน ดี. โรเซอเวลต์ | image = FDR 1944 Color Portrait.jpg | imagesize = 220px | smallimage = | caption = | order = ประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกา คนที่ 32 | term_start = 4 มีนาคม ค.ศ. 1933 | term_end = 12 เมษายน ค.ศ. 1945 () | vicepresident = จอห์น แนนซ์ การ์เนอร์ (1933–1941), เฮนรี เอ. วอลเลซ (1941–1945), แฮร์รี เอส. ทรูแมน (1945) | viceprimeminister = | deputy = | lieutenant = | president = | primeminister = | predecessor = เฮอร์เบิร์ต ฮูเวอร์ | successor = แฮร์รี เอส. ทรูแมน | order2 = ผู้ว่าการรัฐนิวยอร์ก คนที่ 44 | term_start2 = 1 มกราคม 1929 | term_end2 = 31 ธันวาคม 1932 | vicepresident2 = | viceprimeminister2 = | deputy2 = เฮอร์เบิร์ต เอช. เลห์แมน | lieutenant2 = | president2 = | primeminister2 = | predecessor2 = อัลเฟรด อี. สมิธ | successor2 = เฮอร์เบิร์ต เอช. เลห์แมน | order3 = รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงทหารเรือ | term_start3 = 1913 | term_end3 = 1920 | vicepresident3 = | viceprimeminister3 = | deputy3 = | lieutenant3 = | president3 = วูดโรว์ วิลสัน | primeminister3 = | predecessor3 = | successor3 = | order4 = สมาชิกวุฒิสภา แห่งรัฐนิวยอร์ก | term_start4 = 1 มกราคม 1911 | term_end4 = 17 มีนาคม 1913 | predecessor4 = | successor4 = | birth_date = | birth_place = ไฮด์พาร์ก รัฐนิวยอร์ก | death_date = | death_place = วอร์ม สปริงส์ รัฐจอร์เจีย | = constituency | party = พรรคเดโมแครต (สหรัฐอเมริกา)|พรรคเดโมแครต | spouse = เอเลนอร์ โรเซอเวลต์ | profession = ทนายความ | religion = คริสต์ศาสนา|คริสต์ เอพิสโคเพเลียน | signature = Franklin Roosevelt Signature.svg | footnotes = | native_name = '''แฟรงคลิน เดลาโน โรเซอเวลต์''' (; 30 มกราคม ค.ศ. 1882 – 12 เมษายน ค.ศ. 1945) มักจะเรียกเป็นคำย่อว่า '''เอฟดีอาร์''' (FDR) เป็นรัฐบุรุษและผู้นำทางการเมืองชาวอเมริกันที่ทำหน้าที่เป็นประธานาธิบดีสหรัฐ|ประธานาธิบดีแห่งสหรัฐอเมริกาคนที่ 32 ตั้งแต่ ค.ศ. 1933 จนกระทั่งถึงแก่อสัญกรรมใน ค.ศ. 1945 สมาชิกพรรคเดโมแครต เขาได้รับชนะการเลือกตั้งเข้าชิงตำแหน่งประธานาธิบดีถึงสี่ครั้งและกลายเป็นบุคคลสำคัญในเหตุการณ์ของโลกในช่วงครึ่งแรกของศตวรรษที่ 20 โรเซอเวลต์ได้ชี้นำกับรัฐบาลสหรัฐในช่วงภาวะเศรษฐกิจตกต่ำครั้งใหญ่ ได้นำสัญญาใหม่ของเขามาใช้ในวาระการประชุมภายในประเทศเพื่อตอบสนองต่อวิกฤตเศรษฐกิจที่เลวร้ายที่สุดในประวัติศาสตร์อเมริกา ในฐานะที่เป็นผู้นำที่โดดเด่นของพรรคตนเอง เขาได้จัดตั้งการร่วมมือสัญญาใหม่ (New Deal Coalition) ซึ่งเป็นการปรับเปลี่ยนทางการเมืองอเมริกามาเป็นระบบห้าพรรค (Fifth Party System) และนิยามฝ่ายเสรีนิยม ชาวอเมริกันมาโดยตลอดในช่วงกลางศตวรรษที่ 20 ในวาระในการดำรงตำแหน่งที่สามและสี่ของเขานั้นถูกครอบงำโดยสงครามโลกครั้งที่สอง ซึ่งเพิ่งจะยุติลงได้ไม่นานหลังจากที่เขาถึงแก่อสัญกรรมในที่ทำงาน เขาได้รับคำวิจารณ์ในเรื่องประเด็นต่าง ๆ เอาไว้มากมาย เขาได้รับการจัดอันดับโดยนักวิชาการว่าเป็นหนึ่งในสามประธานาธิบดีแห่งสหรัฐที่ยิ่งใหญ่ที่สุด พร้อมกับจอร์จ วอชิงตันและเอบราแฮม ลิงคอล์น โรเซอเวลต์เกิดในไฮด์พาร์ก รัฐนิวยอร์ก ในครอบครัวชาวอเมริกันเชื้อสายดัตช์ที่เป็นที่รู้จักกันเป็นอย่างดีคือ ทีโอดอร์ โรเซอเวลต์ ประธานาธิบดีแห่งสหรัฐอเมริกาคนที่ 26 และวิลเลียม เฮนรี แอสปินวอลล์ (William Henry Aspinwall) แฟรงคลิน เดลาโน โรเซอเวลต์ได้เข้าเรียนที่โรงเรียนกรอตัน วิลยาลัยฮาร์วาด์ และโรงเรียนกฎหมายโคลัมเบีย และได้ไปซักซ้อมทางด้านกฎหมายในนครนิวยอร์ก ในปี 1905 เขาได้แต่งงานกับลูกพี่ลูกน้องของเขาที่ย้ายออกไปคือ เอเลนอร์ โรเซอเวลต์ พวกเขามีลูกถึงหกคน ซึ่งมีเพียงแค่ห้าคนที่รอดชีวิตจนเติบโตเป็นผู้ใหญ่ เขาได้รับชัยชนะในการเลือกตั้งวุฒิสภาแห่งรัฐนิวยอร์กในปี 1910 และหลังจากนั้นได้ทำหน้าที่เป็นผู้ช่วยเลขานุการแห่งกองทัพเรือภายใต้การนำโดยประธานาธิบดีวูดโรว์ วิลสันในช่วงสงครามโลกครั้งที่หนึ่ง โรเซอเวลต์เป็นคู่หูกับเจมส์ เอ็ม ค็อกซ์ที่เข้าแข่งขันบนตั๋วแห่งชาติของพรรคเดโมแครต ปี 1920 แต่ค็อกซ์พ่ายแพ่ให้แก่ Warren G. Harding ฝ่ายพรรคริพับลิกัน ในปี 1921 โรเซอเวลต์ได้มีอาการป่วยเป็นอัมพาตครึ่งท่อนที่มีความเชื่อกันในสมัยนั้นว่าเป็นโรคโปลิโอ และขาของเขาได้กลายเป็นอัมพาตอย่างถาวร ในขณะที่เขาได้พยายามที่จะฟื้นฟูจากสภาพอย่างนั้น โรเซอเวลต์ได้ก่อตั้งศูนย์บำบัดในเมืองวอร์มสปิรงส์ รัฐจอร์เจีย สำหรับผู้ที่ป่วยเป็นโรคโปลิโอ ในสภาพที่ไม่สามารถเดินได้โดยเพียงลำพัง โรเซอเวลต์ได้เดินทางกลับไปที่สำนักงานสาธารณะด้วยการได้รับชัยชนะในการเลือกตั้งรับตำแหน่งผู้ว่าการรัฐนิวยอร์กในปี 1928 เขาได้ดำรงตำแหน่ง ตั้งแต่ปี 1929 ถึง 1933 และทำหน้าที่เป็นผู้ว่าการปฏิรูป ได้นำเสนอโครงการต่าง ๆ เพื่อต่อสู้กับวิกฤตเศรษฐกิจที่เกิดขึ้นในสหรัฐอเมริกา ในการเลือกตั้งเข้าชิงตำแหน่งประธานาธิบดี ค.ศ. 1932 โรเซอเวลต์ได้รับชัยชนะเหนือประธานาธิบดี เฮอร์เบิร์ต ฮูเวอร์ จากฝ่ายพรรคริพับลิกันอย่างถล่มทลาย โรเซอเวลต์ได้เข้ารับตำแหน่งในขณะที่สหรัฐอเมริกากำลังตกอยู่ในท่ามกลางภาวะเศรษฐกิจตกต่ำครั้งใหญ่ วิกฤตเศรษฐกิจที่เลวร้ายที่สุดในประวัติศาสตร์ของประเทศ ในช่วงที่ดำรงตำแหน่งได้เพียงร้อยวันในการประชุมสภาคองเกรสสหรัฐครั้งที่ 73 โรเซอเวลต์ได้กลายเป็นหัวหอกในการออกกฎหมายของสหรัฐอย่างที่ไม่เคยมีมาก่อนและได้ออกคำสั่งแก่ฝ่ายผู้บริหารจำนวนมาก เมื่อได้จัดตั้งสัญญาใหม่ โครงการต่าง ๆ มากมายที่ถูกออกแบบมาเพื่อการบรรเทา ฟื้นฟู และการปฏิรูป เขาได้สร้างโครงการต่าง ๆ มากมายเพื่อช่วยเหลือบรรเทาแก่ผู้ว่างงานและเกษตรกร ในขณะที่กำลังหาทางการฟื้นฟูทางเศรษฐกิจด้วยฝ่ายบริหารการฟื้นฟูแห่งชาติ (National Recovery Administration) และโครงการอื่น ๆ นอกจากนี้เขายังได้ทำการปฏิรูปทางด้านกฏระเบียบที่สำคัญเกี่ยวกับการเงิน การสื่อสาร และแรงงาน และปกครองในช่วงปลายของยุคต้องห้ามสุรา เขาได้กำกับควบคุมรายการวิทยุเพื่อที่จะได้พูดให้แก่ประชาชนชาวอเมริกันโดยตรง ด้วยการให้ที่อยู่ของสถานีวิทยุ"fireside chat" 30 แห่งในช่วงที่เขาดำรงตำแหน่งประธานาธิบดี และกลายเป็นประธานาธิบดีแห่งสหรัฐอเมริกาคนแรกที่ได้รับการถ่ายทอดสดทางโทรทัศน์ เศรษฐกิจได้มีการพัฒนาอย่างรวดเร็ว ตั้งแต่ปี 1933 ถึง 1936 โรเซอเวลต์ได้รับชัยชนะอย่างถล่มทลายในการเลือกตั้งใหม่ในปี 1936 อย่างไรก็ตาม เศรษฐกิจกลับเข้าสู่ภาวะถดถอยในปี 1937 และ 1938 ภายหลังการเลือกตั้งปี 1936 โรเซอเวลต์ได้พยายามหาทางในกระบวนการแต่งตั้งผู้พิพากษา ค.ศ. 1937 (Judicial Procedures Reform Bill 1937; "แผนการบรรจุผู้พิพากษา") ซึ่งจะมีการขยายขนาดของศาลสูงสุดสหรัฐ สองพรรคฝ่ายอนุรักษ์นิยมได้ร่วมมือกันที่เกิดขึ้นในปี 1937 ได้เข้าขัดขวางกระบวนการการจ่ายเงินและปิดกั้นการดำเนินงานของโครงการสัญญาใหม่และการปฏิรูปที่กำลังไปได้ไกล โครงการและกฎหมายที่สำคัญที่เหลือรอดซึ่งดำเนินการภายใต้การนำของโรเซอเวลต์ ได้แก่ สำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (Securities and Exchange Commission) กฎหมายแรงงานสัมพันธ์แห่งชาติ (National Labor Relations Act) บริษัท์ค้ำประกันเงินฝากของรัฐบาลกลาง (Federal Deposit Insurance Corporation) และประกันสังคม (Social Security) โรเซอเวลต์ได้ประสบความสำเร็จอีกครั้งในการเลือกตั้งใหม่ในปี 1940 ด้วยชัยชนะของเขาทำให้เขากลายเป็นประธานาธิบดีแห่งสหรัฐเพียงคนเดียวที่ดำรงตำแหน่งได้มากกว่าสองวาระ ในช่วงสงครามโลกครั้งที่สองที่ได้ปรากฏเป็นลาง ๆ ในช่วงปี 1938 โรเซอเวลต์ได้ให้การสนับสนุนทางการทูตและการเงินที่แข็งแกร่งแก่จีน สหราชอาณาจักร และท้ายที่สุดคือสหภาพโซเวียต ในขณะที่สหรัฐยังคงวางตัวเป็นกลางจากสงครามอย่างเป็นทางการ ภายหลังจากญี่ปุ่นการโจมตีเพิร์ลฮาร์เบอร์|โจมตีเพิร์ลฮาร์เบอร์ เมื่อวันที่ 7 ธันวาคม ค.ศ. 1941 เหตุการณ์นี้ที่ทำให้เขามีชื่อเสียงจากคำกล่าวสุนทรพจน์ของเขาว่า "วันซึ่งที่จะมีชีวิตอยู่ในความอัปยศ" ("a date which will live in infamy") โรเซอเวลต์ได้ประกาศสงครามกับจักรวรรดิญี่ปุ่น|ญี่ปุ่นในรัฐสภาและอีกไม่กี่วันต่อมาก็ประกาศสงครามกับนาซีเยอรมนี|เยอรมนีและราชอาณาจักรอิตาลี|อิตาลี ด้วยความช่วยเหลือจากผู้ช่วยระดับชั้นนำของเขา แฮร์รี่ ฮอปกิ้น และด้วยการสนับสนุนแห่งชาติที่แข็งแกร่งมาก เขาได้ทำงานอย่างใกล้ชิดกับนายกรัฐมนตรีแห่งสหราชอาณาจักร วินสตัน เชอร์ชิล ผู้นำโซเวียต โจเซฟ สตาลิน และจอมทัพแห่งกองทัพจีน เจียง ไคเชก ในบทบาทเป็นผู้นำฝ่ายสัมพันธมิตรในสงครามโลกครั้งที่สอง|ฝ่ายสัมพันธมิตรในการต่อสู้รบกับฝ่ายอักษะ โรเซอเวลต์ได้กำกับดูแลในการขับเคลื่อนทางเศรษฐกิจของสหรัฐ เพื่อสนับสนุนความพยายามในการทำสงคราม และยุทธ์ศาสตร์ครั้งแรกในทวีปยุโรปได้ประสบความสำเร็จซึ่งทำให้เยอรมนีต้องพ่ายแพ้ซึ่งมีความสำคัญมากกว่าญี่ปุ่น นอกจากนี้เขายังได้ริเริ่มการพัฒนาระเบิดปรมาณูลูกแรกของโลกและทำงานร่วมกับผู้นำฝ่ายสัมพันธมิตรคนอื่น ๆ เพื่อวางรากฐานสำหรับองค์กรสหประชาชาติและสถาบันอื่น ๆ ในช่วงหลังสงคราม โรเซอเวลต์ได้รับชัยชนะอีกครั้งในการเลือกตั้งใหม่ในปี 1944 แต่สุขภาพร่างกายของเขาได้ถดถอยลงในช่วงสงคราม เขาได้ถึงแก่อสัญกรรมในเดือนเมษายน ค.ศ. 1945 เขาได้ดำรงตำแหน่งได้แค่เพียง 11 สัปดาห์ในวาระที่สี่ของเขา ฝ่ายอักษะได้ยอมจำนนต่อฝ่ายสัมพันธมิตรในช่วงเดือนต่อมาหลังจากที่โรเซอเวลต์ถึงแก่อสัญกรรม ในช่วงที่ตำแหน่งประธานาธิบดีนั้นได้ตกเป็นของแฮร์รี เอส. ทรูแมน == อ้างอิง == หมวดหมู่:แฟรงคลิน ดี. โรเซอเวลต์| หมวดหมู่:ประธานาธิบดีสหรัฐ หมวดหมู่:นักการเมืองอเมริกัน หมวดหมู่:พรรคเดโมแครต (สหรัฐ) หมวดหมู่:บุคคลจากมหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ด หมวดหมู่:ชาวอเมริกันเชื้อสายฝรั่งเศส หมวดหมู่:ชาวอเมริกันเชื้อสายดัตช์ หมวดหมู่:บุคคลจากรัฐนิวยอร์ก หมวดหมู่:ผู้รอดชีวิตจากการลอบสังหาร หมวดหมู่:ศิษย์เก่าจากมหาวิทยาลัยโคลัมเบีย หมวดหมู่:ตระกูลโรเซอเวลต์
แฟรงคลิน ดี. โรเซอเวลต์
กล่องข้อมูล ผู้ดำรงตำแหน่ง | name = แฮร์รี เอส ทรูแมน | image = TRUMAN 58-766-06 (cropped).jpg | imagesize = | smallimage = | caption = ทรูแมนในปีค.ศ. 1947 | order = ประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกา | term_start = 12 เมษายน ค.ศ. 1945 | term_end = 20 มกราคม ค.ศ. 1953() | vicepresident = ว่าง (1945-1949) อัลเบน บาร์กเลย์ (1949-1953) | viceprimeminister = | deputy = | lieutenant = | president = | primeminister = | predecessor = แฟรงกลิน ดี. โรสเวลต์ | successor = ดไวต์ ดี. ไอเซนฮาวร์ | order2 = รองประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกา | term_start2 = 20 มกราคม ค.ศ. 1945 | term_end2 = 12 เมษายน ค.ศ. 1945() | vicepresident2 = | viceprimeminister2 = | deputy2 = | lieutenant2 = | president2 = แฟรงกลิน ดี. โรสเวลต์ | primeminister2 = | predecessor2 = เฮนรี่ เอ. วอลเลซ | successor2 = อัลเบน บาร์กเลย์ | order3 = | term_start3 = | term_end3 = | vicepresident3 = | viceprimeminister3 = | deputy3 = | lieutenant3 = | president3 = | primeminister3 = | predecessor3 = | successor3 = | order4 = | term_start4 = | term_end4 = | vicepresident4 = | viceprimeminister4 = | deputy4 = | lieutenant4 = | president4 = | primeminister4 = | predecessor4 = | successor4 = | birth_date = | birth_place = ลามาร์ รัฐมิสซูรี | death_date = | death_place = แคนซัสซิตี รัฐมิสซูรี | = constituency | party = พรรคเดโมแครต | spouse = | profession = | religion = | signature = Harry S Truman Signature.svg | footnotes = | native_name = พันเอก '''แฮร์รี เอส ทรูแมน''' (ภาษาอังกฤษ|อังกฤษ: Harry S Truman; 8 พฤษภาคม ค.ศ. 1884 – 26 ธันวาคม ค.ศ. 1972) นักการเมืองและทหารบกชาวสหรัฐอเมริกา เป็นประธานาธิบดีแห่งสหรัฐอเมริกา|ประธานาธิบดีคนที่ 33 ของสหรัฐอเมริกา ตั้งแต่ ค.ศ. 1945 ถึง 1953 ซึ่งรับตำแหน่งต่อจากประธานาธิบดีแฟรงกลิน ดี. รูสเวลต์ที่ถึงแก่อสัญกรรม ในขณะที่ดำรงตำแหน่งเป็นรองประธานาธิบดีแห่งสหรัฐอเมริกา|รองประธานาธิบดี เขาได้นำแผนมาร์แชลล์มาใช้เพื่อฟื้นฟูเศรษฐกิจของยุโรปตะวันตกและก่อตั้งลัทธิทรูแมนและองค์กรเนโท ทรูแมนได้รับเลือกตั้งเป็นวุฒิสภาสหรัฐใน ค.ศ. 1934 และได้มีชื่อเสียงระดับชาติในฐานะประธานคณะกรรมการทรูแมนเพื่อมุ่งเป้าหมายไปที่การลดความสูญเสียและไร้ประสิทธิภาพในข้อตกลงสงคราม ไม่นานหลังจากที่ได้รับตำแหน่งประธานาธิบดี เขาได้อนุมติให้การทิ้งระเบิดนิวเคลียร์ที่ฮิโรชิมะและนางาซากิ|ใช้ระเบิดนิวเคลียร์เป็นครั้งแรกและครั้งเดียวในสงคราม การบริหารประเทศของทรูแมนมีส่วนร่วมในนโยบายการต่างประเทศและละทิ้งลัทธิโดดเดียว เขาได้รวบรวมการร่วมมือสัญญาใหม่ของเขาในช่วงการเลือกตั้งเข้าชิงตำแหน่งประธานาธิบดี ค.ศ. 1948 และได้รับชัยชนะอย่างน่าตกใจที่รักษาตำแหน่งประธานาธิบดีของเขาไว้ได้อีกวาระหนึ่ง ทรูแมนได้ควบคุมการปิดกั้นเบอร์ลิน|การขนส่งทางอากาศไปยังกรุงเบอร์ลิน ค.ศ. 1948 เมื่อคอมมิวนิสต์เกาหลีเหนือได้เข้ารุกรานเกาหลีใต้ เขาได้รับการอนุมัติจากองค์การสหประชาชาติในการดำเนินนโยบายครั้งใหญ่ที่เรียกว่าสงครามเกาหลี สามารถปกป้องเกาหลีใต้เอาไว้ได้และเกือบจะยึดครองเกาหลีเหนือแต่จีนได้เข้ามาแทรกแซงกองทัพยูเอ็น/สหรัฐจึงถูกผลักดัน และป้องกันการตีโต้กลับของคอมมิวนิสต์เกาหลีเหนือ ในเรื่องภายในประเทศ ธนบัตรที่ได้รับการรับรองจากทรูแมนได้รับการคัดค้านจากฝ่ายอนุรักษ์นิยม แต่การบริหารของเขาได้ประสบความสำเร็จในการเศรษฐกิจสหรัฐผ่านความท้าทายเศรษฐกิจในช่วงหลังสงคราม ใน ค.ศ. 1948 เขาได้เสนอกฎหมายสิทธิพลเมืองที่ครอบคลุมเป็นครั้งแรกและออกคำสั่งการบริหารเพื่อริเริ่มการรวมตัวทางเชื้อชาติในกองทัพและหน่วยงานของรัฐบาลกลาง ด้วยข้อกล่าวหาของการคอรัปชั่นในการบริหารของทรูแมนได้กลายเป็นประเด็นที่สำคัญในการรณรงค์หาเสียงเลือกตั้งในส่วนภาคกลางในการเลือกตั้งเข้าชิงตำแหน่งประธานาธิบดี ค.ศ. 1952 และผลปรากฏว่าดไวต์ ดี. ไอเซนฮาวร์จากพรรคริพับลิกันได้ชนะในการเลือกตั้งกับ Adlai Stevenson II จากพรรคเดโมแครต การถูกปลดเกษียณที่ยากลำบากทางการเงินของทรูแมนได้เป็นจุดเด่นโดยการสืบค้นห้องสมุดประธานาธิบดีและสิ่งสือพิมพ์บันทึกความทรงจำของเขา เมื่อเขาได้ออกจากตำแหน่ง การดำรงเป็นประธานาธิบดีของทรูแมนได้ถูกวิพากษ์วิจารณ์อย่างหนัก แต่นักวิชาการได้ฟื้นฟูภาพลักษณ์ของเขาใน ค.ศ. 1960 และได้รับการจัดอันดับว่าเป็นหนึ่งในประธานาธิบดีที่ดีที่สุด == หมายเหตุเรื่องชื่อ == ชื่อกลางของ '''แฮร์รี เอส ทรูแมน''' หรือตัว เอส ที่เห็นในชื่อนี้นั้นไม่ใช่อักษรย่อ และไม่มีคำเต็มแต่อย่างใด มีเพียงแค่ตัว เอส เท่านั้น ทรูแมนเคยกล่าวเล่น ๆ ว่าตัว เอส นั้นเป็นคำ ไม่ใช่อักษรย่อ ดังนั้นจึงไม่สมควรมีจุดด้านหลัง แต่สิ่งพิมพ์อย่างเป็นทางการต่าง ๆ นั้นใช้จุดลงท้ายตัวเอสแทบทั้งสิ้น ถึงกระนั้นการใช้จุดลงท้ายนั้นไม่ได้มีการใช้โดยทั่วไป ในปัจจุบันบางสิ่งพิมพ์ยังคงไม่เติมจุดหลังตัว เอส หมวดหมู่:แฮร์รี เอส. ทรูแมน| หมวดหมู่:ประธานาธิบดีสหรัฐ หมวดหมู่:รองประธานาธิบดีสหรัฐ หมวดหมู่:พรรคเดโมแครต (สหรัฐ) หมวดหมู่:นักการเมืองอเมริกัน หมวดหมู่:ผู้นำในสงครามเย็น หมวดหมู่:บุคคลจากรัฐมิสซูรี หมวดหมู่:ผู้รอดชีวิตจากการลอบสังหาร หมวดหมู่:ตระกูลทรูแมน
แฮร์รี เอส. ทรูแมน
กล่องข้อมูล ผู้ดำรงตำแหน่ง | name = จอน อึ๊งภากรณ์ | image = Jon Ungphakorn.jpg | order1 = สมาชิกวุฒิสภา | termstart1 = 22 มีนาคม พ.ศ. 2543 | termend1 = 21 มีนาคม พ.ศ. 2549 | birth_date = | birth_place = ลอนดอน, สหราชอาณาจักร | signature = Jon Ungphakorn signature.svg | image_size = 200px | caption = จอน ใน พ.ศ. 2562 | parents = ป๋วย อึ๊งภากรณ์ (บิดา) | alma_mater = มหาวิทยาลัยซัสเซ็กส์ '''จอน อึ๊งภากรณ์''' (เกิด 19 กันยายน พ.ศ. 2490) ผู้อำนวยการโครงการอินเทอร์เน็ตเพื่อกฎหมายประชาชน (iLaw) อดีตกรรมการนโยบายองค์การกระจายเสียงและแพร่ภาพสาธารณะแห่งประเทศไทยhttp://www.bangkokbiznews.com/home/detail/politics/life/20100802/346006/บอร์ดทีวีไทยจับสลากลากออก-หลังครบวาระ.html บอร์ดทีวีไทยจับสลากลากออก-หลังครบวาระ ด้านประชาสังคม อดีตสมาชิกวุฒิสภากรุงเทพมหานครที่ทำงานอย่างต่อเนื่องด้านสังคมและการสนับสนุนองค์กรพัฒนาเอกชน เป็นผู้ก่อตั้ง มูลนิธิเข้าถึงเอดส์ และหนังสือพิมพ์ออนไลน์ประชาไท == ประวัติ == จอน เป็นบุตรชายคนโตของศาสตราจารย์ ป๋วย อึ๊งภากรณ์ และนางมากาเร็ต สมิธ เกิดเมื่อวันที่ 19 กันยายน พ.ศ. 2490 ที่ลอนดอน|กรุงลอนดอน แคว้นอังกฤษ|อังกฤษ สหราชอาณาจักร จบการศึกษาวิศวกรรมอิเล็กทรอนิกส์ จากมหาวิทยาลัยซัสเซ็กส์ (Sussex) ที่อังกฤษ แต่กลับมาใช้ชีวิตในเมืองไทย เข้าทำงานเป็นอาจารย์สอนนักศึกษาแพทย์ในมหาวิทยาลัยมหิดล เป็นเวลา 5 ปี แต่จากเหตุการณ์ความรุนแรงทางการเมืองในช่วง พ.ศ. 2516–19 ทำให้เขาหันมาสนใจประเด็นปัญหาทางสังคม == งานสังคม == เมื่อ พ.ศ. 2523 ได้ก่อตั้งโครงการอาสาสมัครเพื่อสังคม (ภายหลังจัดตั้งเป็น ''มูลนิธิอาสาสมัครเพื่อสังคม'') เพื่อสร้างบัณฑิตอาสาสมัคร ให้ช่วยเหลือคนยากจนในชนบท และทำงานร่วมกับองค์กรพัฒนาเอกชน (เอ็นจีโอ) จอนยังมีส่วนช่วยองค์กรพัฒนาเอกชนที่ตั้งขึ้นใหม่ ให้มีการบริหารจัดการที่ดี และช่วยเหลือด้านเงินทุนสำหรับโครงการต่าง ๆ และมีส่วนในการประสานภาคประชาสังคมเข้าด้วยกัน เมื่อ พ.ศ. 2534 จอนได้ก่อตั้ง มูลนิธิเข้าถึงเอดส์ ริเริ่มการให้คำปรึกษาแก่ผู้ติดเชื้อเอชไอวี/เอดส์ และครอบครัวของผู้ป่วยเหล่านั้น เพื่อต่อสู้เรื่องปัญหาการรังเกียจและเข้าใจผู้ป่วยเหล่านี้ผิด และพยายามให้ความรู้ในเรื่องสิทธิผู้ป่วยที่จะได้รับการรักษาอย่างเต็มที่และมีประสิทธิภาพ เมื่อ พ.ศ. 2543 จอน อึ๊งภากรณ์ได้รับการเลือกตั้งเป็นสมาชิกวุฒิสภากรุงเทพมหานคร แม้ว่าในขณะนั้นจอนยังเป็นที่รู้จักในหมู่ประชาชนทั่วไปไม่มากนักก็ตาม ทั้งนี้ก็เพื่อจะได้มีโอกาสในการสร้างความเข้าใจกับสังคมและมีโอกาสในการทำงานเพื่อสังคมให้มากขึ้น ทั้งนี้จอนได้เป็นเลขานุการคณะกรรมาธิการการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ วุฒิสภา และเป็นประธานคณะอนุกรรมาธิการหลักประกันทางสังคม ของวุฒิสภาด้วย ครั้นเมื่อเมื่อปี พ.ศ. 2547 ก็ได้ร่วมกับกลุ่มเพื่อนก่อตั้งหนังสือพิมพ์ออนไลน์อิสระ ชื่อ ''ประชาไท''https://prachatai.com/journal/2005/08/5101 ยกย่อง "จอน อึ๊งภากรณ์" แมกไซไซต่อสู้เพื่อสิทธิประชาชน หนังสือพิมพ์ออนไลน์อิสระ ประชาไท == รางวัล == จอน อึ๊งภากรณ์ได้รับรางวัลแมกไซไซ สาขาบริการรัฐกิจ ประจำปี ค.ศ. 2005 (พ.ศ. 2548) จากการประกาศเมื่อวันที่ 1 สิงหาคม พ.ศ. 2548 และเข้ารับรางวัลที่กรุงมะนิลา ประเทศฟิลิปปินส์ ในวันที่ 31 สิงหาคม ปีเดียวกัน เป็นที่น่าสังเกตว่าจอนได้รับรางวัลแมกไซไซ สาขาเดียวกันกับศาสตราจารย์ป๋วย อึ๊งภากรณ์ ผู้เป็นบิดา ซึ่งได้รับรางวัลนี้เมื่อ พ.ศ. 2508 == อ้างอิง == == ดูเพิ่ม == * ประชาไท หนังสือพิมพ์อิสระที่จอนร่วมก่อตั้ง == แหล่งข้อมูลอื่น == * http://www.aidsaccess.com/ มูลนิธิเข้าถึงเอดส์ * http://www.thaingo.org/man_ngo/john.htm ประวัติจอน อึ๊งภากรณ์ จากเว็บไทยเอ็นจีโอ หมวดหมู่:การเมืองภาคประชาชน หมวดหมู่:ผู้ได้รับรางวัลแมกไซไซ หมวดหมู่:แนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ หมวดหมู่:สมาชิกวุฒิสภากรุงเทพมหานคร หมวดหมู่:ชาวไทยเชื้อสายอังกฤษ หมวดหมู่:บุคคลจากโรงเรียนเตรียมอุดมศึกษา หมวดหมู่:บุคคลจากโรงเรียนสาธิตมหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ ปทุมวัน หมวดหมู่:ผู้ได้รับเครื่องราชอิสริยาภรณ์ ป.ช. หมวดหมู่:ผู้ได้รับเครื่องราชอิสริยาภรณ์ ป.ม. หมวดหมู่:ผู้ได้รับเครื่องราชอิสริยาภรณ์ ต.จ. (ฝ่ายหน้า) หมวดหมู่:ชาวไทยเชื้อสายสหราชอาณาจักร หมวดหมู่:สกุลอึ๊งภากรณ์ หมวดหมู่:ศิษย์เก่าจากมหาวิทยาลัยซัสเซกซ์ หมวดหมู่:บุคคลจากมหาวิทยาลัยมหิดล
จอน อึ๊งภากรณ์
ไฟล์:Chopin, by Wodzinska.JPG|thumb|250px|เฟรเดริก ชอแป็ง '''เฟรเดริก ฟร็องซัว ชอแป็ง''' (, ) หรือ '''ฟรือแดรึก ฟรันต์ซีเชก ชอแป็ง''' () เป็นคีตกวีชาวโปแลนด์ เกิดเมื่อวันที่ 1 มีนาคม ค.ศ. 1810 เสียชีวิตเมื่อวันที่ 17 ตุลาคม ค.ศ. 1849 จากวัณโรคที่ส่งผลต่อระบบทางเดินหายใจ ชื่อที่บิดามารดาของเขาตั้งให้คือ "Fryderyk Franciszek Chopin" ต่อมาได้หันมาใช้ชื่อเป็นภาษาฝรั่งเศสเมื่อเขาได้ตัดสินใจจากประเทศบ้านเกิดเป็นการถาวรเพื่อมุ่งหน้าสู่กรุงปารีส ประเทศฝรั่งเศส == ประวัติ == ชอแป็งเกิดเมื่อวันที่ 1 มีนาคม ค.ศ. 1810 (ตามบันทึกของสังฆมณฑลบอกว่าเป็นวันที่ 22 กุมภาพันธ์) ที่เมืองแชลาซอวาวอลา () ซึ่งตั้งอยู่ตอนกลางของประเทศโปแลนด์ บิดาของเขาชื่อนีกอลา (Nicolas Chopin) เป็นชาวฝรั่งเศสโดยกำเนิด พื้นเพมาจากเมืองมาแร็งวีล-ซูร์-มาดง (Marainville-sur-Madon) ในแคว้นลอแรน มารดาเป็นชาวโปแลนด์ ชอแป็งเริ่มเรียนดนตรีตั้งแต่อายุหกขวบ และแต่งเพลงแรกเมื่ออายุเพียงเจ็ดขวบ และเปิดการแสดงต่อสาธารณชนครั้งแรกเมื่ออายุแปดขวบ (ค.ศ. 1818) ครูสอนดนตรีคนแรกของชอแป็งได้แก่ วอยแชค ชึฟนือ () และหลังจาก ค.ศ. 1826 เขาได้เข้ารับการศึกษาที่โรงเรียนดนตรีแห่งกรุงวอร์ซอ ซึ่งเขาได้รับการถ่ายทอดวิชาดนตรีจากยูแซฟ เอลส์เนอร์ (Józef Elsner) เป็นหลัก ใน ค.ศ. 1830 เขาได้จากประเทศโปแลนด์|โปแลนด์ประเทศบ้านเกิดเพื่อมาประกอบอาชีพนักดนตรีที่ประเทศฝรั่งเศส ซึ่งเขาได้ใช้ช่วงชีวิตที่เหลือพำนักอยู่ที่กรุงปารีสหรือไม่ก็ในบริเวณใกล้เคียง เขาตกหลุมรักสาวนางหนึ่งอย่างหัวปักหัวปำ ความรักที่เขามีต่อหล่อนเป็นแรงบันดาลใจในการประพันธ์เพลง "บัลลาดหมายเลข 1 โอปุสที่ 23" ที่แสนไพเราะ รวมถึงท่อนที่สองของคอนแชร์โตหมายเลข 1 ระหว่าง ค.ศ. 1838 ถึง ค.ศ. 1847 เขาได้กลายเป็นชู้รักของฌอร์ฌ ซ็องด์ (George Sand) นักประพันธ์นวนิยายชาวฝรั่งเศสผู้อื้อฉาว แต่ในที่สุดก็ได้แยกทางกันด้วยความเต็มใจของทั้งสองฝ่ายเมื่ออาการป่วยของชอแป็งทรุดหนัก ฉากหนึ่งของเรื่องราวความรักของคู่รักบันลือโลกที่ผู้คนจดจำได้ดีที่สุด เห็นจะได้แก่เหตุการณ์ในเกาะมายอร์กา ประเทศสเปน ในช่วงที่ชอแป็งใช้ชีวิตส่วนใหญ่อยู่อย่างอนาถในบ้านชาวนาโดยปราศจากเครื่องทำความร้อน บทเพลงเขาได้ประพันธ์ระหว่างช่วงเวลาอันน่าสังเวชนี้ได้แก่พรีลูด โอปุสที่ 28 อันพรรณนาถึงความสิ้นหวังของทั้งคู่ ช่วงเวลาดังกล่าวได้มีผลกระทบอย่างใหญ่หลวงต่อสุขภาพของชอแป็งที่ป่วยจากวัณโรคเรื้อรัง ทำให้เขาและฌอร์จ ซ็องด์ตัดสินใจเดินทางกลับกรุงปารีสเพื่อรักษาชีวิตเอาไว้ เขารอดชีวิตมาได้ก็จริง แต่ก็ไม่หายขาดจากอาการป่วย จนกระทั่งจบชีวิตอย่างน่าสลดด้วยวัยเพียง 39 ปี ชอแป็งสนิทกับฟรานซ์ ลิซท์, วินเชนโซ เบลลีนี (ผู้ซึ่งศพถูกฝังอยู่ใกล้กับเขาที่สุสานแปร์ลาแชซในกรุงปารีส) และเออแฌน เดอลาครัว เขายังเป็นเพื่อนกับคีตกวีแอ็กตอร์ แบร์ลีโยซ และโรแบร์ท ชูมันน์ และแม้ว่าชอแป็งได้มอบเพลงบางบทเพื่ออุทิศให้เพื่อนนักประพันธ์ทั้งสองก็ตาม แต่เขาก็ไม่ค่อยประทับใจบทเพลงที่ทั้งสองแต่งขึ้นเท่าไรนัก เขาได้ขอร้องให้ร้องเพลงสวดเรเควียมของว็อล์ฟกัง อมาเดอุส โมทซาร์ท|โมซาร์ทในงานศพของเขา แต่เมื่อเขาเสียชีวิตลงใน ค.ศ. 1849 พิธีศพที่จัดขึ้นที่โบสถ์ลามาดแลน (La Madeleine) ไม่ได้ราบเรียบเสียทีเดียว เนื่องจากเป็นครั้งแรกที่ได้มีการขออนุญาตใช้วงประสานเสียงสตรีในการร้องเพลงสวด ข่าวอื้อฉาวดังกล่าวได้แพร่ออกไปส่งผลให้ต้องเลื่อนพิธีฝังศพออกไปอีกสองสัปดาห์ แต่ในที่สุดโบสถ์ก็ยอมรับคำขอดังกล่าว ทำให้คำขอร้องครั้งสุดท้ายของชอแป็งเป็นจริงขึ้นมา ผลงานทุกชิ้นของชอแป็งเป็นงานชิ้นเอก ส่วนใหญ่ใช้สำหรับเดี่ยวเปียโน งานประเภทเรียบเรียงเสียงประสานมีเพียงคอนแชร์โตสองบท, ปอลอแนซ (polonaise) หนึ่งบท, รอนโด (rondo) หนึ่งบท และวารียาซียง (variation) อีกจำนวนหนึ่ง ซึ่งทั้งหมดบรรเลงด้วยเปียโนและวงออร์เคสตรา เพลงเชมเบอร์มิวสิกมีเพียงห้าชิ้น ซึ่งสี่ชิ้นแรกแต่งไว้ตั้งแต่วัยเด็ก ชิ้นสุดท้ายเป็นโซนาตาสำหรับเชลโลและเปียโน ซึ่งเป็นผลงานชิ้นสุดท้ายที่เขานำออกแสดงต่อสาธารณชนร่วมกับโอกุสต์ ฟร็องชอม (Auguste Franchomme) เพื่อนของเขาผู้เป็นนักเชลโลเลื่องชื่อ มิตรภาพได้ถูกถ่ายถอดมาเป็นความละเมียดละไมของเชลโล เนื่องจากเชมเบอร์มิวสิกของชอแป็งใช้เชลโลบรรเลงถึงสี่ในห้าชิ้นด้วยกัน === บทเพลงสำหรับบรรเลงเปียโน เรียงลำดับตามหมายเลขของโอปุส === Opus * 1 รอนโดในบันไดเสียง c (1825) * 2 วารียาซียงสำหรับเปียโนและวงออร์เคสตรา จาก „Lá ci darem la mano“ ของว็อล์ฟกัง อมาเดอุส โมทซาร์ท|โมซาร์ท (Mozart) ในบันไดเสียง B (1827/8) * 3 แอ็งทรอดุกซียงและปอลอแนซ สำหรับเชลโลและเปียโน ในบันไดเสียง c (1829) * 4 โซนาตาสำหรับเปียโน หมายเลข 1 ในบันไดเสียง c (1828) * 5 รอนโดอาลามาซูร์ ในบันไดเสียง f (1826/7) * 6 มาซูร์กาสี่บท ในบันไดเสียง fis, cis, E, es (1830/2) * 7 มาซูร์กาห้าบท ในบันไดเสียง B, a, f, As, C (1830/2) * 8 ทรีโอสำหรับเปียโน ไวโอลิน และเชลโล ในบันไดเสียง g (1829) * 9 น็อกเทิร์นสามบทในบันไดเสียง b, Es, H (1830/2) * 10 เอทูดสิบสองบท (อุทิศให้แก่สหายฟรันซ์ ลิซท์) ในบันไดเสียง C, a, E, cis, Ges, es, C, F, f, As, Es, c (1830/2) * 11 คอนแชร์โต สำหรับเปียโนและออร์เคสตราหมายเลข 1 ในบันไดเสียง e (1830) * 12 แอ็งทรอดุกซียงและวารียาซียงบรีย็องต์ จาก „Je vends des scapulaires“ ของ „Ludovic“ d’Hérold ในบันไดเสียง B (1833) * 13 ฟ็องแตซีสำหรับเปียโนและออร์เคสตรา จากทำนองเพลงของโปแลนด์ ในบันไดเสียง A (1829) * 14 รอนโดของชาวกรากุฟ สำหรับเปียโนและออร์เคสตรา ในบันไดเสียง F (1831/3) * 15 น็อกเทิร์นสามบทในบันไดเสียง F, Fis, g (1831/3) * 16 แอ็งทรอดุกซียงและรงโด ในบันไดเสียง c (1829) * 17 มาซูร์กาสี่บท ในบันไดเสียง B, e, As, a (1831/3) * 18 กร็องด์วาลส์บรีย็องต์ ในบันไดเสียง Es (1833) * 19 โบเลอโรในบันไดเสียง C (etwa 1833) * 20 สแกร์โซหมายเลข 1 ในบันไดเสียง b (1831/4) * 21 คอนแชร์โตสำหรับเปียโนและออร์เคสตราหมายเลข 2 ในบันไดเสียง f (1829/30) * 22 อันดันเตสปีอานาโต และกร็องด์ปอลอแนซบรีย็องต์ ในบันไดเสียง Es (1830/6) * 23 บัลลาดหมายเลข 1 ในบันไดเสียง g (1835) * 24 มาซูร์กาสี่บท ในบันไดเสียง g, C, As, b (1833/6) * 25 เอตู๊ดสิบสองบท (อุทิศให้แก่มาดามก็องเตส โดกุลต์)ในบันไดเสียง As, f, F, a, e, gis, cis, Des, Ges, b, a, c (1833/7) * 26 ปอลอแนซสองบท ในบันไดเสียง cis, es (1831/6) * 27 น็อกเทิร์นสองบท ในบันไดเสียง cis, Des (1833/6) * 28 พรีลูด 24 บทในทุกบันไดเสียง (1838/9) * 29 แอ็งพรงป์ตูว์หมายเลข 1 ในบันไดเสียง As (etwa 1837) * 30 มาซูร์กาสี่บท ในบันไดเสียง c, h, Des, cis (1836/7) * 31 สแกร์โซหมายเลข 2 ในบันไดเสียง b (1835/7) * 32 น็อกเทิร์นสองบท ในบันไดเสียง H, As (1835/7) * 33 มาซูร์กาสี่บท ในบันไดเสียง gis, D, C, h (1836/8) * 34 วอลซ์สามบท ในบันไดเสียง As, a, F (1831/8) * 35 โซนาตาสำหรับเปียโน หมายเลข 2 ในบันไดเสียง b-moll (1839) * 36 แอ็งพรงป์ตูว์ หมายเลข 2 ในบันไดเสียง Fis (1839) * 37 น็อกเทิร์น สองบท ในบันไดเสียง g, G (1837/9) * 38 บัลลาด หมายเลข 2 ในบันไดเสียง F (1839) * 39 สแกร์โซ หมายเลข 3 ในบันไดเสียง cis (1839) * 40 ปอลอแนซ สองบท ในบันไดเสียง A (เรียกอีกชื่อว่า„Militaire“)และบันไดเสียง c (1838/9) * 41 มาซูร์กาสี่บท ในบันไดเสียง cis, e, B, As (1838/9) * 42 กร็องด์วอลซ์ ในบันไดเสียง As (1839/40) * 43 ตารันเตลลา ในบันไดเสียง as (1841) * 44 ปอลอแนซ ในบันไดเสียง fis (1841) * 45 พรีลูด (1838/39) * 46 อัลเลโกร ของคอนแชร์โต (1832/41) * 47 บัลลาด หมายเลข 3 ในบันไดเสียง As (1841) * 48 น็อกเทิร์น สองบท ในบันไดเสียง c, fis (1841) * 49 ฟ็องแตซีในบันไดเสียง f (1841) * 50 มาซูร์กาสามบท ในบันไดเสียง G, As, cis (1841/2) * 51 แอ็งพรงป์ตูว์ หมายเลข 3 ในบันไดเสียง Ges (1842) * 52 บัลลาด หมายเลข 4 ในบันไดเสียง f (1842) * 53 ปอลอแนซ ในบันไดเสียง As เรียกอีกชื่อว่า(„Héroïque“) (1842) * 54 สแกร์โซหมายเลข 4 ในบันไดเสียง E (1842) * 55 น็อกเทิร์น สองบท ในบันไดเสียง f, Es (1843) * 56 มาซูร์กาสามบท ในบันไดเสียง H, C, c (1843) * 57 แบร์เซิร์ส (เพลงกล่อมเด็ก) ในบันไดเสียง Des (1844) * 58 โซนาตาสำหรับเปียโน หมายเลข 3 ในบันไดเสียง b (1844) * 59 มาซูร์กาสามบท ในบันไดเสียง a, As, fis (1845) * 60 บาร์การอล ในบันไดเสียง fis (1846) * 61 ปอลอแนซ-ฟ็องแตซี ในบันไดเสียง As (1846) * 62 น็อกเทิร์น สองบท ในบันไดเสียง B, E (1845/6) * 63 มาซูร์กาสามบท ในบันไดเสียง B, f, cis (1846) * 64 วอลซ์ สามบท ในบันไดเสียง Des เรียกอีกชื่อว่า („Valse minute“), cis, As (1840/7) * 65 โซนาตาสำหรับเชลโลและเปียโน ในบันไดเสียง g (1846/7) บทประพันธ์ที่ได้รับการเผยแพร่หลังจากการเสียชีวิต: * 66 ฟ็องแตซี-แอ็งพรงป์ตูว์ หมายเลข 4, cis (vers 1843) * 67 มาซูร์กาสี่บท ในบันไดเสียง G, g, C, a (1830/49) * 68 มาซูร์กาสี่บท ในบันไดเสียง C, a, F, f (1830/49) * 69 วอลซ์สองบท ในบันไดเสียง As, b (1829/35) * 70 วอลซ์สามบท ในบันไดเสียง Ges, As, Des (1829/41) * 71 ปอลอแนซสามบท ในบันไดเสียง d, B, f (1824/28) ** 72.1 น็อกเทิร์น ในบันไดเสียง e ** 72.2 บทเพลงไม่ทราบชื่อ ** 72.3 เอกอแซซสามบท ในบันไดเสียง D, G, Des (vers 1829) * 73 รอนโดสำหรับเปียใน ในบันไดเสียง C (1828) * 74 บทเพลงที่ใช้ทำนองของโปแลนด์ (1829/47) บทเพลงที่ปราศจากหมายเลขโอปุส: * ปอลอแนซ ในบันไดเสียง B (1817) * ปอลอแนซ ในบันไดเสียง g (1817) * ปอลอแนซ ในบันไดเสียง As (1821) * แอ็งทรอดุกซียงและวารียาซียง สำหรับบทเพลงของเยอรมัน ในบันไดเสียง E (1824) * ปอลอแนซ ในบันไดเสียง gis (1824) * มาซูร์กา ในบันไดเสียง B (1825/26) * มาซูร์กา ในบันไดเสียง G (1825/26) * วารียาซียง สำหรับเปียโนสี่มือ ในบันไดเสียง D (1825/26) * เพลงมาร์ชงานศพ ในบันไดเสียง c (1837) * ปอลอแนซ ในบันไดเสียง b (1826) * น็อกเทิร์น ในบันไดเสียง e (1828/30) * ซูเวอร์นีร์เดอปากานีนี ในบันไดเสียง A (1829) * มาซูร์กา ในบันไดเสียง G (1829) * วอลซ์ ในบันไดเสียง E (1829) * วอลซ์ ในบันไดเสียง Es (1829) * มาซูร์กาพร้อมบทร้องบางส่วน ในบันไดเสียง G (1829) * วอลซ์ ในบันไดเสียง As (1829) * วอลซ์ ในบันไดเสียง e (1830) * ซารีพร้อมบทร้องบางส่วน (1830) * ปอลอแนซ ในบันไดเสียง Ges (1830) * เลนโตกอนกรันเอสเปรสซีโอเน (Lento con gran espressione) ในบันไดเสียง cis (1830) * มาซูร์กา ในบันไดเสียง B (1832) * มาซูร์กา ในบันไดเสียง D (1832) * คอนแชร์โตกร็องด์ดูโอ สำหรับบทละครเรื่อง "Robert le Diable" ของไมเออแบร์ (Meyerbeer) สำหรับเชลโลและเปียโน ในบันไดเสียง E (1832/33) * มาซูร์กา ในบันไดเสียง C (1833) * กันตาบีเล ในบันไดเสียง B (1834) * มาซูร์กา ในบันไดเสียง As (1834) == มีเดีย == == แหล่งข้อมูลอื่น == หมวดหมู่:บุคคลที่เกิดในปี พ.ศ. 2353 หมวดหมู่:บุคคลที่เสียชีวิตในปี พ.ศ. 2392 หมวดหมู่:นักเปียโนชาวโปแลนด์ หมวดหมู่:คีตกวีชาวโปแลนด์ หมวดหมู่:นักดนตรีคลาสสิก หมวดหมู่:คีตกวีชาวฝรั่งเศส หมวดหมู่:บุคคลจากปารีส หมวดหมู่:เสียชีวิตจากวัณโรค หมวดหมู่:บุคคลจากจังหวัดมาซอฟแช หมวดหมู่:ชาวโปแลนด์เชื้อสายฝรั่งเศส หมวดหมู่:ศิษย์เก่าจากมหาวิทยาลัยวอร์ซอ
เฟรเดริก ชอแป็ง
ไฟล์:Robert_Schumann.jpg|right|thumb|200px|โรแบร์ท ชูมัน '''โรแบร์ท อเล็คซันเดอร์ ชูมัน''' () เป็นคีตกวีและนักวิจารณ์ดนตรีชาวเยอรมัน เกิดวันที่ 8 มิถุนายน พ.ศ. 2353 ที่เมืองซวิคเคา เสียชีวิต 29 กรกฎาคม พ.ศ. 2399 ที่เมืองเอ็นเดอนิช (Endenich) ซึ่งปัจจุบันนี้กลายเป็นส่วนหนึ่งของเมืองบ็อน ประเทศเยอรมนี == ประวัติ == ในวัยเด็ก โรแบร์ท ชูมัน มีความสนใจในศิลปะสองแขนง นั่นคือเปียโนกับวรรณคดี (บิดาของเขาเป็นนักประพันธ์และบรรณาธิการ) ดังนั้นในวัยเด็กเขาจึงแต่งทั้งเพลงและหนังสือ รวมถึงบทกวีด้วย เมื่อบิดาที่เขารักเสียชีวิตลง เขาจึงสูญเสียผู้ให้การสนับสนุนที่จะทำให้เขาเป็นนักดนตรีอาชีพ มารดาของเขาผลักดันให้เขาเรียนกฎหมาย ระหว่างเรียนกฎหมายที่เมืองไลพ์ซิช เขาก็ได้เรียนเปียโนกับฟรีดริช วีค (Friedrich Wieck) ผู้ที่ภายหลังเป็นพ่อตาของเขา เมื่อเขาแต่งงานกับบุตรสาวของวีค ชื่อคลารา ชูมัน|คลารา เขายอมทำทุกวิถีทางเพื่อยอมเป็นนักดนตรีเอก ทั้งการฝึกฝนด้วยความขยันขันแข็ง และได้ใช้เครื่องกลช่วยเพิ่มความเร็วให้กับการเคลื่อนไหวของนิ้ว จนทำให้นิ้วกลางมือขวาใช้การไม่ได้ ความฝันที่จะกลายเป็นนักเปียโนเอกต้องสิ้นสุดลงเมื่อเขามีอายุได้เพียง 22 ปีเท่านั้น หลังจากช่วงเวลาที่เขาต้องซึมเศร้ากับความพิการและการตกหลุมรักสตรีที่แต่งงานแล้ว ในปี พ.ศ. 2377 (ค.ศ. 1834) ชูมันได้หันมาสนใจและใส่ใจกับการประพันธ์เพลงและการเขียนบทความใน "น็อยเออไซท์ชริฟท์เฟือร์มูซีค" (Neue Zeitschrift für Musik) (นิตยสารใหม่เพื่อการดนตรี) ซึ่งเขาได้ทำหน้าที่เป็นนักวิจารณ์และผู้เชี่ยวชาญด้านดนตรี เขาปกป้องแนวคิดด้านดนตรีที่เป็นดนตรีแท้จริงจากแนวคิดของพวกนายทุน (ภาษาเยอรมันเรียกว่า "Philister") ในช่วงเวลานี้เองที่เขาได้ประพันธ์ผลงานอย่าง "คาร์นาวัล โอปุส 9" (Carnaval op.9) ในปี พ.ศ. 2378 (ค.ศ. 1835) หลังจากถูกบังคับให้แยกทางกับคลารา เขาได้ประพันธ์บทเพลง "โซนาตาแห่งความรัก" ให้แก่เธอ แต่คำขอแต่งงานของเขาถูกพ่อของคลาราปฏิเสธ ทำให้เขาตกอยู่ในภาวะซึมเศร้าอีกครั้ง เขายังคงประพันธ์ผลงานต่อไปและเป็นงานที่เต็มเปี่ยมไปด้วยแรงบันดาลใจ เพลงที่โด่งดังได้แก่ ''เซนด็องฟ็อง'', ''ฟ็องแตซี'', ''โนเวลเล็ต'' เกิดขึ้นมาในช่วงนี้เอง เขาได้หนีไปที่รักษาแผลใจที่กรุงเวียนนา ประเทศออสเตรีย และประพันธ์เพลงต่าง ๆ ระหว่างที่รอขอแต่งงานกับคลารา ปี พ.ศ. 2383 (ค.ศ. 1840) เป็นปีนำโชคของชูมัน เขาได้แต่งงานกับคลาราในที่สุด ความสุขนี้ได้ถูกถ่ายทอดผ่านบทเพลงของเขา เขาได้ประพันธ์เพลงมากมายจากบทกวีของโยฮันน์ วอล์ฟกัง ฟอน เกอเทอ ชิลเลอร์ หรือไฮน์ เช่นเพลง ''Liederkreis'' ''ความรักของนักกวี'' และ ''ความรักและชีวิตของหญิงคนหนึ่ง'' ในปีต่อมา เขาได้ลองแต่งเพลงสำหรับวงดุริยางค์ (''ซิมโฟนีหมายเลข 1'' ''ซิมโฟนีหมายเลข 4'' ฯลฯ) ในปี พ.ศ. 2385 (ค.ศ. 1842) เขาได้หันมาโปรดปราน ดนตรีเชมเบอร์|เชมเบอร์มิวสิก โดยเขาประพันธ์ไว้หลายชิ้น ในปีถัดมาเขาได้แต่ง โอราโตริโอ ("oratorio") ''Le Paradis et la Péri'' และได้ติดตามคลารา ภรรยาที่อ่อนโยนและแสนดีของเขา ผู้ซึ่งเป็นนักเปียโนฝีมือฉกาจ ออกเปิดการแสดงที่ประสบความสำเร็จอย่างถล่มทลายทั่วทวีปยุโรป หรือแม้กระทั่งในประเทศรัสเซีย ในปี พ.ศ. 2387 (ค.ศ. 1844) คู่รักได้ตั้งถิ่นฐานที่เมืองเดรสเดิน ที่ซึ่งเขาได้ประพันธ์อุปรากรชิ้นแรกและชิ้นเดียว ชื่อ ''เจโนเววา'' แต่เขาก็ยังคงแต่งฟิวก์ ซิมโฟนี เพลงสำหรับเปียโน ควอร์เต็ต ฯลฯ ไปด้วย ตั้งแต่ปี พ.ศ. 2393 (ค.ศ. 1850) เขาได้เป็นวาทยกรแห่งเมืองดึสเซิลดอร์ฟ แต่เมื่อถึงปี พ.ศ. 2396 (ค.ศ. 1853) สภาพร่างกายของเขาเสื่อมโทรมลงเป็นอันมาก และความเจ็บปวดจากโรคซิฟิลิส ทำให้เขาพยายามฆ่าตัวตายในวันที่ 27 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2397 (ค.ศ. 1854) ด้วยการกระโดดแม่น้ำไรน์ที่เย็นจัดจนเป็นน้ำแข็ง ถึงเขาจะโชคดีรอดมาได้ด้วยความช่วยเหลือจากพวกกะลาสี แต่ก็ต้องก็ต้องทนทุกข์ทรมานทั้งทางร่างกายและจิตใจ จากนั้นเขาก็ถูกส่งตัวไปพักฟื้นที่เมืองเอ็นเดอนิช ไม่มีสิ่งใดสามารถทำให้เขาคลายความทุกข์ลงได้ เขาเสียสติไปแล้ว เนื่องด้วยคิดถึงคลาราสุดที่รัก และเพื่อนรักเฟลิคส์ เม็นเดิลส์โซน และนักดนตรีรุ่นน้อง โยฮันเนิส บรามส์ ที่เขาได้พบเมื่อสองปีที่แล้ว ในขณะที่เขามีสภาพกึ่งดีกึ่งร้าย ก็ได้ประพันธ์ (''บทเพลงแห่งรุ่งอรุณ'') ชูมันจบชีวิตลงเมื่อวันที่29 กรกฎาคม พ.ศ. 2399 (ค.ศ. 1856) ซึ่งทำให้เขาพ้นจากความทุกข์ทั้งปวงได้ในที่สุด == ผลงาน == ผลงานบางส่วน: * Symphonies : ** Symphonie n°1 (Robert Schumann)|Symphonie n°1 en si bémol majeur op 38, dite le « printemps » ** Symphonie n°2 (Robert Schumann)|Symphonie n°2 en ut majeur op 38 ** Symphonie n°3 (Robert Schumann)|Symphonie n°3 en mi bémol majeur op 97 « rhénane » ** Symphonie n°4 (Robert Schumann)|Symphonie n°4 en ré mineur op 120 * บทเพลงสำหรับ piano ** Variations Abegg op 1 ** Papillons op2, ** Toccata op 7 1830 ** Études symphoniques op.13, 1834 ** Carnaval op 9 1835 ** Fantaisie op. 17 (qui se distingue par ses dimensions et une présentation plus abstraite) 1836 ** Drei romanzen op.28 ** Davidsbündlertänze op. 6 1837 ** Fantaisiestücke op. 12 1837 aussi adaptées pour violoncelle et piano ** Scènes d'enfants op.15 1838 ** Kreisleirianas op.16 1838 ** Novelettes op. 21, 1838 ** Carnaval de Vienne op. 26 ** Scènes d'enfance op.15 ** Kreisleriana op.17 ** Fantaisiestücke op.12 ** Humoresque op.20 * บทเพลงสำหรับขับร้อง ** Les amours du poète ** L'amour et la vie d'une femme (Schumann)|L'amour et la vie d'une femme * ดนตรีเชมเบอร์|เชมเบอร์มิวสิก ** Les Fées (pour alto et piano) == แหล่งข้อมูลอื่น == http://infopuq.uquebec.ca/~uss1010/catal/schumann/schr.html หมวดหมู่:คีตกวีชาวเยอรมัน หมวดหมู่:นักเปียโนชาวเยอรมัน หมวดหมู่:บุคคลจากบ็อน
โรแบร์ท ชูมัน
Infobox writer |name = ริชชาร์ท วากเนอร์ Richard Wagner |image = RichardWagner.jpg |imagesize = 238px |caption = วากเนอร์ใน ค.ศ. 1871 |pseudonym = |birth_name = |birth_date = |birth_place = ไลพ์ซิช ราชอาณาจักรซัคเซิน |death_date = |death_place = เวนิส ราชอาณาจักรอิตาลี |occupation = คีตกวี, วาทยกร, ผู้กำกับมหรสพ, นักโต้วาที |nationality = เยอรมัน |movement = |notableworks = |spouse = |children = |relatives = |signature = Richard Wagner Signature.svg '''ริชชาร์ท วากเนอร์''' () เป็นคีตกวี วาทยกร ผู้กำกับมหรสพ และนักโต้วาทีชาวเยอรมัน เขาถือเป็นผู้ทรงอิทธิพลที่สุดในวงการอุปรากร ชีวิตของวากเนอร์นับว่ามีสีสันมาก เคยลี้ภัยการเมือง วนเวียนเรื่องรักใคร่มากมาย เดี๋ยวตกยากเดี๋ยวได้ดี ด้วยเหตุนี้ ผลงานของเขาทั้งคีตกรรมและการละครจึงมีความย้อนแย้งกันเองขึ้นกับช่วงเวลา เช่นผลงานของเขาเรื่อง ("บุรุษดัตช์ล่องนภา") แต่งขึ้นขณะที่เขาโดยสารเรือเพื่อหนีหนี้แล้วเผชิญพายุ ระหว่างนั้นก็ได้รับฟังตำนานของเรือฟลายอิงดัตช์แมน ทั้งหมดนี้เป็นแรงบันดาลใจแก่เขา อีกผลงานเด่นคืออุปรากรเรื่อง ''โลเอินกรีน'' เกี่ยวกับอัศวินที่ขี่หงส์ขาวมาช่วยหญิงสาวผู้ถูกกล่าวหาว่าฆ่าน้องชายของตนผู้เป็นเจ้าครองแคว้น อัศวินต่อสู้กับผู้สำเร็จราชการจนได้รับชัยชนะ อุปรากรเรื่องนี้สร้างความประทับใจอย่างมากต่อพระเจ้าลูทวิชที่ 2 แห่งบาวาเรีย ถึงกับทรงตั้งชื่อปราสาทที่สร้างขึ้นใหม่ตามชื่อหงส์ขาวว่าปราสาทน็อยชวานชไตน์ พระเจ้าลูทวิชอุดหนุนวากเนอร์หนักมาก ถึงขั้นเกิดข่าวลือว่าทั้งสองเป็นคู่รักกัน ผลงานเด่นที่สุดของเขาคือเรื่อง ''แดร์ริงเด็สนีเบอลุงเงิน|แหวนของนีเบอลุง'' ซึ่งถือเป็นอุปรากรที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของศตวรรษ เขาใช้เวลาแต่งเรื่องนี้ถึง 26 ปีและมีความยาวถึง 15 ชั่วโมง เป็นเรื่องเกี่ยวกับเทวตำนาน มีทั้งคนแคระและยักษ์ อุปรากรเรื่องนี้มีอิทธิพลต่อนวนิยาย ''เดอะลอร์ดออฟเดอะริงส์'' ของเจ. อาร์. อาร์. โทลคีน จูเซปเป แวร์ดี เอกกวีอุปรากรชาวอิตาลีซึ่งเป็นคู่แข่งของเขา ยกย่องเขาว่าเป็น "หนึ่งในอัจฉริยบุคคลที่ยิ่งใหญ่ที่สุดผู้ทิ้งคุณค่าอมตะไว้เป็นมรดกโลก" == ประวัติ == ริชชาร์ท วากเนอร์ เกิดที่เมืองไลพ์ซิช เมื่อ 22 พฤษภาคม ค.ศ. 1813 เป็นบุตรคนที่เก้าของคาร์ล ฟรีดริช วากเนอร์ (Carl Friedrich Wagner) เสมียนตำรวจเมืองไลพ์ซิช กับโยฮันนา โรซีเนอ (Johanna Rosine) ลูกสาวช่างอบขนมปังWagner (1992) 3; Newman (1976) I, 12 คาร์ลเสียชีวิตจากไข้รากสาดใหญ่ขณะเด็กชายมีอายุเพียงหกเดือน หลังจากนั้น มารดาจึงไปอาศัยอยู่กับไกเออร์ เพื่อนของคาร์ลผู้เป็นนักแสดงและนักเขียนบทละครNewman (1976) I, 6 เชื่อว่าโยฮันนากับไกเออร์สมรสกันใน ค.ศ. 1814 แต่ไม่ปรากฏหลักฐานในงานทะเบียนของโบสถ์ เธอพาลูกย้ายไปอาศัยที่บ้านไกเออร์ที่เมืองเดรสเดิน เด็กชายริชชาร์ทจึงเติบโตที่นั่นจนมีอายุสิบสี่ปี ซึ่งตลอดที่ผ่านมา เด็กชายมีอีกชื่อว่า '''วิลเฮ็ล์ม ริชชาร์ท ไกเออร์''' (Wilhelm Richard Geyer) วากเนอร์เกือบจะเชื่อว่าไกเออร์คือพ่อที่แท้จริงของตนเองNewman (1976) I, 9 ความหลงใหลในงานละครของไกเออร์เริ่มส่งอิทธิพลต่อลูกบุญธรรมของเขา ในที่สุด วากเนอร์ก็เริ่มมีส่วนร่วมในการแสดงละครของไกเออร์ ในหนังสือ ("ชีวิตของข้าพเจ้า") ซึ่งเป็นอัตชีวิตประวัติของวากเนอร์ระบุว่าตนเองมักจะมีส่วนร่วมในบททูตสวรรค์Wagner (1992) 5 ต่อมาในปลาย ค.ศ. 1820 วากเนอร์เข้าศึกษาที่โรงเรียนเมืองโพเซินดอร์ฟ ใกล้กับเดรสเดิน เขามีโอกาสเรียนเปียโนที่นั่นแต่ประสบปัญหาเมื่อต้องเล่นบนบันไดเสียง จึงอาศัยการฝึกฝนแบบฟังด้วยหูมากกว่า หลังไกเออร์เสียชีวิตใน ค.ศ. 1821 วากเนอร์ถูกส่งตัวไปยังโรงเรียนกางเขน () ซึ่งเป็นสถาบันการศึกษาของคณะสวดกางเขนเดรสเดิน () ด้วยทุนทรัพย์จากน้อยชายของไกเออร์ ขณะที่มีอายุเก้าขวบ วากเนอร์มีโอกาสได้รับชมงานอุปรากร ของคาร์ล มารีอา ฟ็อน เวเบอร์|เวเบอร์และเกิดความประทับใจมากGutman (1990) 78 เขาเริ่มมีความใฝ่ฝันจะเป็นนักเขียนบทละคร บทละครแรกของเขาคือโศกนาฎกรรมที่ชื่อ ซึ่งเขียนจบใน ค.ศ. 1826 ขณะที่ยังเรียนอยู่ งานชิ้นนี้ได้รับอิทธิพลอย่างมากจากผลงานของวิลเลียม เชกสเปียร์|เชกสเปียร์และโยฮัน ว็อล์ฟกัง ฟ็อน เกอเทอ|เกอเทอ เขาเริ่มสนใจดนตรีและร้องขออนุญาตจากครอบครัวให้เขาเรียนดนตรีWagner (1992) 25–7 ก่อน ค.ศ. 1827 ครอบครัวของเขาย้ายกลับมาพำนักที่เมืองไลพ์ซิช ใน ค.ศ. 1828 วากเนอร์ในวัยสิบห้าปีได้รับฟังซิมโฟนีหมายเลข 7 (เบทโฮเฟิน)|ซิมโฟนีหมายเลข 7 และซิมโฟนีหมายเลข 9 (เบทโฮเฟิน)|ซิมโฟนีหมายเลข 9 ของลูทวิช ฟัน เบทโฮเฟิน|เบทโฮเฟิน ซึ่งกลายเป็นแรงบันดาลใจหลักให้เขา นอกจากนี้ วากเนอร์ยังประทับใจมากต่อผลงานเรควีเอ็ม (โมทซาร์ท)|เรควีเอ็มของว็อล์ฟกัง อมาเดอุส โมทซาร์ท|โมทซาร์ทNewman (1976) I, 62 ==ผลงานอุปรากร== ไฟล์:Richard Wagner, Paris, 1861.jpg|170px|thumb|วากเนอร์ในวัย 48 ปีขณะลี้ภัย * (1832) ''Die Hochzeit'' ("วิวาห์") * (1834) ''Die Feen'' ("นางฟ้า") * (1836) ''Das Liebesverbot'' ("รักต้องห้าม") * (1837) ''Rienzi'' — ''Rienzi, der letzte der Tribunen'' * (1843) ''Der fliegende Holländer'' ("บุรุษดัตช์ล่องนภา") * (1845) ''ทันฮ็อยเซอร์|Tannhäuser'' * (1848) ''โลเอินกรีน|Lohengrin'' * (1859) ''ทริสทันอุนท์อีซ็อลเดอ|Tristan und Isolde'' ("ทริสทันกับอีซอลเดอ") * (1867) ''ครูเพลงแห่งเนือร์นแบร์ค|Die Meistersinger von Nürnberg'' ("ครูเพลงแห่งเนือร์นแบร์ค") * ''แดร์ริงเด็สนีเบอลุงเงิน|Der Ring des Nibelungen'' ("แหวนของนีเบอลุง") ** (1854) บทนำ: ''Das Rheingold'' ("ขุมทองแม่น้ำไรน์") ** (1856) ภาคหนึ่ง: ''Die Walküre'' ("ธิดาวัลคือเรอ") ** (1871) ภาคสอง: ''Siegfried'' ("ซีคฟรีท") ** (1874) ภาคสาม: ''เกิทเทอร์เด็มเมอรุง|Götterdämmerung'' ("เทวาอัสดง") * (1882) ''Parsifal'' ("เพอร์ซิวัล") ==อ้างอิง== หมวดหมู่:คีตกวีชาวเยอรมัน หมวดหมู่:นักดนตรีคลาสสิก หมวดหมู่:คีตกวีอุปรากร หมวดหมู่:บุคคลจากไลพ์ซิช หมวดหมู่:ผู้เขียนอัตชีวประวัติชาวเยอรมัน
ริชชาร์ท วากเนอร์
Infobox writer | name = รีวโนซูเกะ อากูตางาวะ | native_name = | native_name_lang = ja | image = Akutagawa Ryunosuke photo2.jpg | caption = | birth_name = รีวโนซูเกะ นีฮาระ (新原 龍之介) | birth_date = | birth_place = Kyōbashi, Tokyo|เคียวบาชิ โตเกียว จักรวรรดิญี่ปุ่น | death_date = | death_place = โตเกียว จักรวรรดิญี่ปุ่น | occupation = นักเขียน | genre = เรื่องสั้น | movement = นวยุคนิยม | notableworks = | children = 3 (รวมยาซูชิ อากูตางาวะ) | influences = | influenced = | language = ภาษาญี่ปุ่น|ญี่ปุ่น | alma_mater = มหาวิทยาลัยโตเกียว|มหาวิทยาลัยจักรวรรดิโตเกียว | spouse = ฟูมิ อากูตางาวะ | module = '''รีวโนซูเกะ อากูตางาวะ''' () หรือชื่อศิลปินว่า '''โชโกโด ชูจิง''' (; 1 มีนาคม ค.ศ. 1892 – 24 กรกฎาคม ค.ศ. 1927) เป็นนักเขียนชาวญี่ปุ่นที่ดำเนินการในช่วงยุคไทโชของประเทศญี่ปุ่น ถือเป็น "บิดาแห่งเรื่องสั้นญี่ปุ่น" และรางวัลอากูตางาวะ รางวัลวรรณกรรมชั้นนำของญี่ปุ่น ตั้งชื่อตามเขาJewel, Mark. "Japanese Literary Awards" . Retrieved 2014-06-25. เขาฆ่าตัวตายขณะอายุ 35 ปีด้วยการกินบาร์บิทอลoverdose|เกินขนาดhttps://web.archive.org/web/20080324004444/http://www.time.com/time/magazine/article/0,9171,822615,00.html Books: Misanthrope from Japon Monday, Time Magazine. Dec. 29, 1952 รีวโนซูเกะ อากูตางาวะก็สร้างผลงานไว้มากมายประมาณ 140 เรื่อง ส่วนใหญ่เป็นเรื่องสั้นและนิยายขนาดสั้น (รวมถึงเรื่อง ราโชมอน (Rashomon) ค.ศ. 1915 อันมีชื่อเสียงโด่งดัง ต่อมานำไปสร้างเป็นภาพยนตร์ชื่อก้องโดยอากิระ คูโรซาวะ) แต่ไม่มีผลงานที่เป็นนวนิยายเรื่องยาว มารดาของรีวโนซูเกะวิกลจริตและเสียชีวิตขณะที่เขายังเล็ก ลุงผู้เป็นเจ้าของนามสกุลที่เขาใช้รับเขาไปเลี้ยง เขาเข้าศึกษาด้านวรรณคดีที่มหาวิทยาลัยโตเกียว|มหาวิทยาลัยจักรวรรดิโตเกียว และจบการศึกษาในปี 1916 เขาแต่งงานสองปีหลังจากนั้น มีบุตรชายสามคนและทำงานเป็นครูสอนภาษาอังกฤษ ต่อมาได้เดินทางไปประเทศจีนและรัสเซีย กล่าวกันว่างานเขียนของรีวโนซูเกะ อากูตางาวะเป็นการนำประเพณีและตำนานของเอเชียมาตีความใหม่ได้อย่างมีชั้นเชิงยอดเยี่ยม โดดเด่นด้วยการผสมผสานอย่างล้ำลึกกับความคิดตะวันตกและเทคนิคทางวรรณกรรม == ผลงาน == * 老年 (โรเน็น) ค.ศ. 1914 * 羅生門 (ราโชมอน) (ประตูผี) - Rashōmon ค.ศ. 1915 * 鼻 (ฮานะ) - The Nose ค.ศ. 1916 * 芋粥 (อิโมะกายุ) - Yam Gruel ค.ศ. 1916 * 煙草と悪魔 (โทบะโกะโทะอาคุมะ) ค.ศ. 1916 * 戯作三昧 (เกสะคุซันมาอิ) ค.ศ. 1917 * 蜘蛛の糸 (คุโมะโนะอิโตะ) - The Spider’s Thread ค.ศ. 1918 * 地獄変 (จิโกะคุเฮ็น) - Hell Screen ค.ศ. 1918 * 邪宗門 (จาชูมอน) ค.ศ. 1918 * 魔術 (มาจุทซึ) ค.ศ. 1919 * 南京の基督 (นันคินโนะคิริซุโตะ) - Christ in Nanking ค.ศ. 1920 * 杜子春 (โทชิชุน) - Tu Tze-chun ค.ศ. 1920 * アグニの神 (อะงุนิโนะคามิ) ค.ศ. 1920 * 藪の中 (ยาบุโนนากะ) - In a Grove ค.ศ. 1921 * トロッコ (โทโรคโคะ) ค.ศ. 1922 * 玄鶴山房 (เกนคะคุซันโบ) ค.ศ. 1927 * 侏儒の言葉 (ชูจูโนะโคโตบะ) ค.ศ. 1927 * 文芸的な、あまりに文芸的な (บันเกเตะกินะ, อะมะรินิบันเกเตะกินะ) ค.ศ. 1927 * 河童 (คัปปะ) - Kappa ค.ศ. 1927 * 歯車 (ฮะงะรุมะ) - Cogwheel ค.ศ. 1927 * 或る阿呆の一生 (อะรุอะโฮโนะอิโช) - A Fool's Life ค.ศ. 1927 * 西方の人 (เซโฮโนะฮิโตะ) - The Man of the West ค.ศ. 1927 === ผลงานที่แปลเป็นภาษาไทย === * ''เรื่องสั้น สามมุมมอง หนึ่งความเป็นจริง ที่มาของ ราโชมอน'' * ''ท่านหญิงแห่งโระคุโนะมิยะ'' == อ้างอิง == == แหล่งข้อมูลอื่น == * * * * * หมวดหมู่:นักเขียนชาวญี่ปุ่น หมวดหมู่:กวีชาวญี่ปุ่น หมวดหมู่:ผู้ฆ่าตัวตาย หมวดหมู่:บุคคลจากโตเกียว หมวดหมู่:เสียชีวิตจากการใช้ยา
รีวโนซูเกะ อากูตางาวะ
ไฟล์:Johann Strauss I (1).jpg|thumb|200px|โยฮัน ชเตราส์ (ผู้พ่อ) '''โยฮัน ชเตราส์''' (; 14 มีนาคม ค.ศ. 1804 – 25 กันยายน ค.ศ. 1849) เป็นคีตกวีชาวออสเตรีย ผลงานที่ทำให้เขาเป็นที่รู้จักได้แก่เพลงวอลซ์ และเพื่อทำให้เพลงประเภทนี้เป็นที่รู้จักกันมากขึ้น โยเซฟ แลนเนอร์ จึงได้ (โดยไม่ตั้งใจ) จัดตั้งมูลนิธิขึ้นเพื่อให้บุตรชายของเขาสืบสานอาณาจักรดนตรีต่อไป อย่างไรก็ดี บทเพลงของเขาที่เป็นที่รู้จักมากที่สุดเห็นจะได้แก่ ''ราเด็ตสกี้มาร์ช'' (ตั้งชื่อตามโยเซฟ ราเด็ตสกี้ ฟอน ราเด็ตส์) ในขณะที่เพลงวอลซ์ที่เลื่องชื่อที่สุดของเขาได้แก่ ''Lorelei Rhine Klänge'' โอปุส 154 == ชีวิตและงาน == ชเตราส์ ผู้พ่อ เป็นบิดาของโยฮัน ชเตราส์ (ผู้บุตร)|โยฮัน ชเตราส์ ผู้บุตร, โยเซฟ ชเตราส์ และ เอด๊วด ชเตราส์ เขายังมีบุตรสาวอีกสองคน ได้แก่ อันนา และเทเรเซ รวมถึงบุตรชายคนที่สาม เฟอร์ดินาน และมีชีวิตอยู่ดูโลกได้เพียงแค่สิบเดือน บิดามารดาของชเตราส์เป็นผู้ดูแลกระท่อม และแม้ว่าเหตุร้ายจะมาเยือนครอบครัวของเขา เมื่อมารดาเสียชีวิตด้วยโรคไข้หวัดเมื่อเขาอายุได้เพียงเจ็ดขวบ เมื่อเขามีอายุได้สิบสองปี บิดาของเขาชื่อฟร้านซ์ บอร์เกียส ก็ได้เสียชีวิตอีกคนจากการจมน้ำในแม่น้ำดานูบ แม่บุญธรรมของเขาได้จัดการให้เขาได้ไปฝึกหัดงานเย็บเล่มหนังสือกับโยฮัน ลิชต์ไชเดิ้ล แต่เขากลับหาเวลาว่างไปหัดไวโอลินกับวิโอล่า และสามารถหางานในวงดนตรีท้องถิ่นของนายวงชื่อมิคาเอ็ล พาร์เมอร์ จากนั้นเขาก็ออกจากวงเพื่อไปร่วมวงสตริงควอร์เต็ตที่เป็นที่นิยม ชื่อว่าวง ''แลนเนอร์ ควอร์เต็ต'' ตั้งขึ้นโดยโยเซฟ แลนเนอร์คู่แข่งในอนาคตของเขา และสองพี่น้องตระกูลดราเก้นเฮก ชื่อคาร์ลกับโยฮัน วงสตริงควอร์เต็ตนี้เล่นเพลงวอลซ์แบบเวียนนา และเพลงคันทรี่แดนซ์ (Kontretanz)แบบเยอรมัน และได้ขยายไปเป็นวงเครื่องสายใน ค.ศ. 1824 ในขณะที่มีปัญหาทะเลาะเบาะแว้งกับเพื่อนร่วมวง เขาไม่เคยทิ้งงานฝึกหัดเป็นช่างเย็บเล่มหนังสือ เขายังได้เรียนดนตรีกับโยฮัน โปลิชานสกี้ (Johann Polischansky) ในช่วงฝีกหัดงานอีกด้วย ต่อมาเขาได้เลื่อนขั้นเป็นผู้แทนวาทยากรในวงดุริยางค์ที่เขาเล่นอยู่ และใน ค.ศ. 1825 ก็ได้จัดตั้งวงดนตรีของตนเองขึ้น และเริ่มประพันธ์เพลงสำหรับเล่นเองในวง เขาได้กลายเป็นนักประพันธ์เพลงเต้นรำที่มีชื่อเสียงมากที่สุดและเป็นที่รักของผู้ฟังมากที่สุดคนหนึ่งในเวียนนา และได้นำวงของเขาออกเดินสายเปิดการแสดงในประเทศเยอรมนี|เยอรมนี ประเทศเนเธอแลนด์|เนเธอร์แลนด์ ประเทศเบลเยียม|เบลเยี่ยม ประเทศอังกฤษ|อังกฤษ และ ประเทศสก็อตแลนด์|สก็อตแลนด์ ในขณะเดินทางต่อไปยังประเทศฝรั่งเศส เขาได้ยินเพลงควอดริลและเริ่มแต่งขึ้นมาเองบ้าง และเป็นผู้ที่ทำให้เพลงประเภทนี้เป็นที่รู้จักในประเทศออสเตรีย|ออสเตรีย ชเตราส์สมรสกับมาเรีย อันนา ในปี 1825 ที่โบสต์แห่งหนึ่งในเมืองไลช์เทนธัล ชานกรุงเวียนนา ชีวิตสมรสของเขาไม่ค่อยจะราบรื่น และการออกตระเวนเปิดการแสดงในต่างประเทศบ่อยทำให้เขาห่างเหินจากครอบครัวขึ้นทุกที และทำให้เขารู้สึกเป็นคนแปลกหน้าขึ้นเรื่อย ๆ ต่อมาเขามีภรรยาน้อยชื่อ เอมิล แทรมบุช ในปี 1834 ที่เขามีบุตรด้วยถึงแปดคนด้วยกัน เหตุผลส่วนตัวของชเตราส์อาจเป็นสาเหตุให้โยฮัน ชเตราส์ (ผู้บุตร) ได้พัฒนาเป็นนักประพันธ์เนื่องจากโยฮัน บิดาได้ห้ามมิให้บุตรชายเรียนดนตรี ด้วยการประกาศยอมรับบุตรสาวที่เกิดจากเอมิลอย่างเปิดเผย มาเรีย อันนาได้ฟ้องหย่าในปี 1844 และได้อนุญาตให้โยฮัน จูเนียร์ ได้เรียนดนตรีอย่างจริงจัง โยฮัน บิดา เป็นผู้ที่ยึดกฎระเบียบเคร่งครัด และบังคับให้บุตรประกอบอาชีพที่ไม่เกี่ยวข้องกับดนตรี ความคิดส่วนตัวของชเตราส์ไม่ค่อยชัดเจนนัก เพื่อหลีกเลี่ยงความขัดแย้งกับคนในครอบครัว แต่เขาก็เข้าใจความลำบากที่นักดนตรีที่กำลังก่อร่างสร้างตัวต้องเผชิญเป็นอย่างดี นอกเหนือจากปัญหาครอบครัวแล้ว เขายังได้ไปเปิดการแสดงในเกาะอังกฤษบ่อยครั้ง และเตรียมที่จะเขียนบทเพลงให้กับองค์กรการกุศลที่นั่น เพลงวอลซ์ของเขาพัฒนาจากระบำชาวนาในจังหวะสาม/สี่ เป็นสี่/สี่ และมีท่อนนำ และไม่ค่อยมีการอ้างถึงโครงสร้างเพลงวอลซ์แบบห้า/สองที่ตามมา และมักจะมีท่อนสร้อยสั้น ๆ อีกทั้งท่อนจบที่เร่งเร้า ในขณะที่โยฮัน ชเตราส์ (ผู้บุตร) ได้ขยายโครงสร้างเพลงวอลซ์และใช้เครื่องดนตรีมากกว่าบิดา และแม้ว่าชเตราส์ ผู้เป็นบิดามีความสามารถทางดนตรีไม่เก่งกาจเท่าบุตรชายของเขา หรือไม่มีหัวการค้าเท่าไหร่นัก เขาก็เป็นหนึ่งในนักประพันธ์เพลงเพียงไม่กี่คน (รวมทั้งโยเซฟ แลนเนอร์ที่แต่งเพลงพร้อมกับตั้งชื่อเพลง ทำให้ผู้คนจดจำได้ง่าย อีกทั้งยังเพิ่มยอดขายของโน้ตอีกด้วย โยฮัน ชเตราส์ (ผู้บุตร)|โยฮัน ชเตราส์ ผู้บุตร มักจะเล่นเพลงที่บิดาเป็นคนแต่ง และยังเปิดเผยว่าชอบบทเพลงเหล่านี้ ถึงแม้ว่าจะเป็นที่ทราบกันในสังคมชาวเวียนนาว่าบิดาเขามีคู่แข่งมากแค่ไหน อีกทั้งยังมีสื่อมวลชนช่วยโหมกระพือกระแส โดยส่วนตัวแล้ว โยฮัน ชเตราส์ ที่หนึ่ง ปฏิเสธที่จะเปิดการแสดงอีกที่คาสิโนของนายดอมมาเยอร์ ที่เสนอให้บุตรชายของเขาเริ่มอาชีพวาทยกรและคอยช่วยเหลือให้ก้าวหน้าในอาชีพการงานตลอดชีวิต และในภายหลัง ชื่อเสียงของบุตรชายก็บดบังผู้เป็นบิดา ในแง่ของความนิยมในส่วนของดนตรีคลาสสิก ชเตราส์เสียชีวิตที่กรุงเวียนนา ในปี 1849 จากโรคไข้แดงศพของเขาถูกฝังที่สุสานเมืองเดิบลิง (Döbling) ข้างกับแลนเนอร์ เพื่อนของเขา และก่อน ค.ศ. 1904 ศพของทั้งสองได้ถูกย้ายไปที่หลุมฝังศพแห่งเกียรติยศที่เมืองเซนทรัลไฟรด์ฮอฟ สุสานเมืองโดบลิงได้กลายเป็นสวน ชเตราส์-แลนเนอร์ในปัจจุบัน เอกเตอร์ แบร์ลิออซ ได้ยกย่อง'บิดาของเพลงวอลซ์เวียนนา' ด้วยคำกล่าวที่ว่า 'กรุงเวียนนาที่ปราศจากชเตราส์ ก็เหมือนออสเตรียที่ปราศจากแม่น้ำดานูบ' หมวดหมู่:คีตกวีชาวออสเตรีย|โยฮัน ชเตราส์ บิดา หมวดหมู่:นักดนตรีคลาสสิก หมวดหมู่:บุคคลจากเวียนนา
โยฮัน ชเตราส์ (ผู้พ่อ)
ไฟล์:Johann Strauss II.jpg|right|thumb|150px|โยฮัน ชเตราส์ ที่สอง ไฟล์:Johann_Strauss_Denkmal.jpg|right|250px|thumb|รูปปั้นราชาแห่งเพลงวอลซ์เหมือนมีชีวิต ที่สแตดพาร์ก ในกรุงเวียนนา '''โยฮัน ชเตราส์''' (; 25 ตุลาคม ค.ศ. 1825 – 3 มิถุนายน ค.ศ 1899) บ้างเรียก '''โยฮัน ชเตราส์ที่ 2''' เป็นคีตกวีชาวประเทศออสเตรีย|ออสเตรีย ซึ่งบทประพันธ์เพลงวอลซ์ของเขาเป็นที่รู้จักอย่างกว้างขวาง โดยเฉพาะอย่างยิ่ง เดอะ บลู ดานูบ โยฮัน ชเตราส์ ผู้บุตร เป็นบุตรชายของโยฮัน ชเตราส์ (ผู้พ่อ)|โยฮัน ชเตราส์ ผู้พ่อ ซึ่งเป็นคีตกวีเช่นกัน น้องชายของเขา 2 คน คือ โยเซฟ ชเตราส์ กับ เอด๊วด ชเตราส์ ก็เป็นนักประพันธ์เพลง แต่โยฮันที่สองเป็นคนที่โด่งดังที่สุดในตระกูล เขาเป็นที่รู้จักในนามของ ''ราชาเพลงวอลซ์'' ในช่วงที่เขายังมีชีวิตอยู่ และเป็นผู้สร้างให้เกิดกระแสความนิยมเพลงวอลซ์ในกรุงเวียนนา ตลอดช่วงคริสต์ศตวรรษที่ 19 ชเตราส์ได้กลายเป็น ''ราชาเพลงวอลซ์'' เนื่องจากได้ปฏิวัติรูปแบบวอลซ์ด้วยการยกระดับเพลงระบำชาวนาอันต่ำต้อย ขึ้นมาเป็นเพลงเพื่อให้ความบันเทิงแก่บุคคลชั้นสูงในราชสำนักฮับส์บวร์กได้ เขาไม่เพียงแค่ปฏิวัติเพลงวอลซ์เท่านั้น แต่งานของเขายังโดดเด่นกว่าคีตกวีในยุคเดียวกัน ไม่ว่าจะเป็น โยเซฟ แลนเนอร์ และ โยฮัน ชเตราส์ (ผู้พ่อ)|โยฮัน ชเตราส์ ผู้พ่อ รวมทั้งยังได้สุขสำราญกับชื่อเสียงที่มากกว่าอีกด้วย เพลงโพลก้า กับเพลงมาร์ชของเขายังเป็นที่รู้จักกันดี รวมถึงจุลอุปรากร ชื่อว่า ''Die Fledermaus''. == ประวัติ == ชเตราส์เกิดที่กรุงเวียนนา บิดาของเขาไม่ต้องการให้เขาประกอบอาชีพนักดนตรีแต่อยากให้เป็นนายธนาคารมากกว่า อย่างไรก็ดี เขาได้หัดเล่นไวโอลินอย่างลับ ๆ ตั้งแต่วัยเด็กกับฟรานซ์ อามอน นักไวโอลินในวงดนตรีของพ่อ อยู่มาวันหนึ่ง เมื่อบิดาทราบว่าเขาฝ่าฝืนคำสั่ง โยฮันที่สองเล่าถึงเหตุการณ์วันนั้นว่า เป็น "ฉากที่มีแต่ความรุนแรงและไม่น่าดูชม" และ "บิดาของเขาไม่ต้องการรับรู้ใด ๆ ทั้งสิ้นเกี่ยวกับแผนการทางดนตรีของเขา" มิใช่ว่าชเตราส์ผู้พ่อไม่ต้องการให้เกิดนักดนตรีคู่แข่ง แต่เขาต้องการให้บุตรของตนหลีกหนีจากชีวิตนักดนตรีเสียมากกว่า จนกระทั่งเมื่อบิดาทิ้งครอบครัวไปอยู่กับภรรยาน้อย เอมิล แทรมบุช จึงเปิดโอกาสให้โยฮันที่สองสามารถเริ่มอาชีพนักประพันธ์เพลงอย่างจริงจังได้ เมื่อเขามีอายุได้ 17 ปี ชเตราส์ได้ศึกษา counterpoint และ เสียงประสาน จากนักทฤษฎีดนตรี ศาสตราจารย์โยอาคิม ฮอฟฟ์มันน์ ผู้เป็นเจ้าของโรงเรียนดนตรีเอกชน ความสามารถของเขาเป็นที่ประจักษ์แก่คีตกวี โยเซฟ เดร็คชเลอร์ ซึ่งเป็นครูสอนแบบฝึกหัดด้านเสียงประสานให้ ครูสอนไวโอลินอีกคนชื่ออันโตน โคลมันน์ เป็นผู้ฝึกสอนบัลเลต์ให้กับอุปรากรแห่งราชสำนักเวียนนา ก็ได้เขียนจดหมายแนะนำตัวให้เขาเป็นอย่างดี ด้วยจดหมายแนะนำที่ยอดเยี่ยมหลายฉบับ เขาได้เข้าพบผู้มีอำนาจในกรุงเวียนนาเพื่อขอใบอนุญาตเปิดการแสดง และตั้งวงดุริยางค์ของตนเองขึ้น โดยได้ว่าจ้างสมาชิกจากวงดนตรีต่าง ๆ ที่เล่นในผับ Zur Stadt Belgrad (แหล่งของนักดนตรีที่หางานทำ) มาร่วมวง อิทธิพลของโยฮัน ชเตราส์ (ผู้พ่อ)|โยฮัน ชเตราส์ ผู้พ่อ ทำให้สถานที่ต่าง ๆ ไม่กล้าว่าจ้างชเตราส์บุตร ด้วยเกรงว่าจะทำให้ชเตราส์ผู้พ่อโกรธ แต่ชเตราส์บุตรสามารถโน้มน้าวผู้บริหารของคาสิโนดอมมาเยอร์ ผู้จัดการสถาบันไฮท์ซิง ในกรุงเวียนนาเป็นผลสำเร็จ ทำให้เขาได้เริ่มเปิดการแสดง สื่อมวลชนต่างโหมเสนอข่าว "ชเตราส์ ปะทะ ชเตราส์" หรือการเผชิญหน้าระหว่างบุตรกับบิดา ซึ่งผู้เป็นพ่อเองก็ไม่ยอมไปเปิดการแสดงที่คาสิโนของนายดอมเมอเยอร์อีกตลอดชีวิต ด้วยความโกรธที่บุตรฝ่าฝืนความปรารถนาของเขา ซึ่งเป็นที่น่าประหลาดใจเนื่องจากสถาบันไฮท์ซิงเป็นที่ที่เขาประสบความสำเร็จในการแสดงหลายครั้งด้วยกัน == ผลงานของโยฮัน ชเตราส์ ที่สอง == === จุลอุปรากร === * ''Indigo und die Vierzig Räuber'' (1871) * ''Der Karneval in Rom'' (1873) * ''Die Fledermaus'' (1874) * ''Cagliostro in Wien'' (1875) * ''Prinz Methusalem'' (1877) * ''Blindekuh'' (1878) * ''Das Spitzentuch der Königin'' (1880) * ''Der lustige Krieg'' (1881) * ''Eine Nacht in Venedig'' (1883) * ''Der Zigeunerbaron'' (1885) * ''Simplicius (operetta)|Simplicius'' (1887) * ''Fürstin Ninetta'' (1893) * ''Jabuka'' (1894) * ''Waldmeister'' (1895) * ''Die Göttin der Vernunft'' (1897) * ''Wiener Blut (operetta)|Wiener Blut'' (1899) === อุปรากร === * ''Ritter Pásmán'' (1892) === บัลเลต์ === * ''Aschenbroedel|Aschenbrödel'' (1899) === วอลซ์ === * Liebeslieder op.114 ''Lovesongs'' (1852) * Phönix-Schwingen op. 125 ''Wings of the Phoenix'' (1853) * Schneeglöckchen op. 143 ''Snowbells'' (1854) * Nachtfalter op. 157 ''Moths'' (1855) * Man lebt nur Einmal! op. 167 ''Man only Lives Once!'' (1855) * Accelerationen op.234 ''Accelerations'' (1860) * Immer Heiterer op. 235 ''Always Cheerful'' (1860) * Karnevalsbotschafter op. 270 ''Carnival Ambassador'' (1862) * Leitartikel op.273 ''Leading Article'' (1863) * Morgenblätter op.279 ''Morning Journals'' (1863) * Studentenlust op. 285 ''Students' Joy'' (1864) * Feuilleton op.293 (1865) * Bürgersinn op. 295 ''Citizen Spirit'' (1865) * Flugschriften op.300 ''Pamphlets'' (1865) * Wiener Bonbons op.307 ''Viennese Sweets'' (1866) * Feenmärchen op. 312 ''Fairytales'' (1866) * The Blue Danube|An der schönen Blauen Donau op.314 ''On the Beautiful Blue Danube'' (1867) * Künstlerleben op.316 ''Artists' Life'' (1867) * Telegramme op. 318 ''Telegrams'' (1867) * Die Publicisten op.321 ''The Publicists'' (1868) * G'schichten aus dem Wienerwald ''Tales from the Vienna Woods'' op.325 (1868), * Illustrationen op. 331 ''Illustrations'' (1869) * Wein, Weib und Gesang op.333 ''Wine, Women and Song'' (1869) * Freuet Euch des Lebens op. 340 ''Enjoy Life'' (1870) * Neu Wien op. 342 ''New Vienna'' (1870) * Tausend und eine Nacht op.346 ''Thousand and One Nights'' (1871) * Wiener Blut op. 354 ''Viennese Blood'' (1873) * Bei uns Z'haus op.361 ''At Home'' (1873) * Wo die Zitronen blühen op. 364 ''Where the Lemons Blossom'' (1874) * Du und du op. 367 ''You and you'' (1874) * Cagliostro-Walzer op.370 (1875) * O Schöner Mai! op.375 ''Oh Lovely May!'' (1877) * Rosen aus dem Süden op.388 ''Roses from the South'' (1880) * Nordseebilder op.390 ''North Sea Pictures'' (1880) * Kuss-Walzer op.400 ''Kiss Waltz'' (1881) * Frühlingsstimmen op.410 ''Voices of Spring'' (1883) * Lagunen-Walzer op. 411 ''Lagoon Waltz'' (1883) * Schatz-Walzer op. 418 ''Treasure Waltz'' (1885) * Wiener Frauen op. 423 ''Viennese Ladies'' (1886) * Donauweibchen op. 427 ''Danube Maiden'' (1887) * Kaiser-Jubiläum-Jubelwalzer op. 434 ''Emperor Jubilation'' (1888) * Kaiser-Walzer op.437 ''Emperor Waltz'' (1888) * Rathausball-Tänze op. 438 ''City Hall Ball'' (1890) * Groß-Wien op. 440 ''Great Vienna'' (1891) * Seid umschlungen Millionen op. 443 ''Be Embraced Millions'' (1892) === โพลก้า === * Explosions-Polka op. 43 * Annen op. 117 (1852) ''Anna'' * Tritsch-Tratsch-Polka op. 214 (1858) ''Chit-chat'' * Maskenzug op. 240 ''Masked Ball'' * Demolirer op. 269 ''Demolition Men'' (1862) * Vergnügungszug op. 281 ''Journey Train'' (1864) * S gibt nur a Kaiserstadt,'s gibt nur a Wien! op. 291 ''Only an Imperial City, one Vienna'' * Kreuzfidel op. 301 ''Cross-Fiddling'' * Lob der Frauen Polka-mazurka op. 315 ''Praise of Women'' * Leichtes Blut Galop op. 319 ''Light Blood'' * Figaro-Polka op. 320 * Nikolai-Quadrille op. 65 * Ein Herz, ein Sinn! Polka-mazurka op. 323 ''One Heart, One Mind!'' * Unter Donner und Blitz op. 324 ''Thunder & Lightning'' (1868) * Freikugeln op. 326 ''Free-shooter'' (1868) * Fata Morgana Polka-mazurka op. 330 * Éljen a Magyar! polka schnell op. 332 ''Long live the Magyar!'' * Im Krapfenwald'l op. 336 ''In Krapfen's Woods French Polka'' * Im Sturmschritt op. 348 ''At the Double!'' * Die Bajadere op. 351 ''The Bayadere'' * Vom Donaustrande op. 358 ''By the Danube's Shores'' * Bitte Schön! op. 372 ''If You Please!'' (1875) * Auf der Jagd! op.373 ''On the Hunt!'' (1875) * Banditen-Galopp op. 378 ''Bandits' Galop'' (1877) === มาร์ช === * ''Kaiser Franz Josef Rettungs'' op. 126 * ''Napoleon'' op. 156 * ''Persischer'' op. 289 * ''Egyptischer'' op. 335 * ''Jubelfest'' op. 396 * ''Deutschmeister Jubiläumsmarsch'' op. 470 * ''Auf's Korn!'' op. 478 == ภาพยนตร์ == หมวดหมู่:นักดนตรีคลาสสิก|โยฮัน ชเตราส์ บุตร หมวดหมู่:คีตกวีชาวออสเตรีย หมวดหมู่:บุคคลจากเวียนนา
โยฮัน ชเตราส์ (ผู้บุตร)
'''โยฮันเนิส บรามส์''' (; 7 พฤษภาคม ค.ศ. 1833 - 3 เมษายน ค.ศ. 1897) เป็นคีตกวีและวาทยกรชาวเยอรมัน หลายคนยกย่องเขาในฐานะทายาททางดนตรีของลูทวิช ฟัน เบทโฮเฟิน ซิมโฟนีบทแรกของเขาได้รับการยกย่องจาก ฮันส์ ฟ็อน บือโล ว่าเป็นซิมโฟนีบทที่ 10 ของเบทโฮเฟิน ไฟล์:JohannesBrahms.jpg|thumb|250px|right|โยฮันเนิส บรามส์ == ชีวประวัติและผลงาน == บรามส์เกิดเมื่อวันที่ 7 พฤษภาคม ค.ศ. 1833 ที่นครฮัมบวร์คประเทศเยอรมนี บิดาของบรามส์เป็นนักเล่นดับเบิลเบสและยังเป็นครูดนตรีคนแรกของเขาอีกด้วย บรามส์ได้แสดงให้เห็นถึงความสามารถมากอันโดดเด่นเกินวัย สนใจเครื่องดนตรีทุกประเภท ครูดนตรีคนสำคัญของเขาได้แก่เอดูอาร์ท มาคส์เซิน ได้สอนเขาอย่างตั้งอกตั้งใจ ด้วยความหวังที่ว่าเขาจะกลายเป็นนักเปียโนเอกในอนาคต โดยได้สอนเทคนิคการเล่นของโยฮัน เซบัสทีอัน บัค|บัค ว็อล์ฟกัง อมาเดอุส โมทซาร์ท|โมทซาร์ท และลูทวิช ฟัน เบทโฮเฟิน|เบทโฮเฟิน ซึ่งกลายเป็นที่จดจำของบรามส์ไปตลอด โดยมิได้ทำลายพรสวรรค์ทางการสร้างสรรค์ของศิษย์ ความสามารถทางการเล่นเปียโนของเขา ทำให้เขาได้เป็นนักดนตรีอาชีพครั้งแรกที่ผับแห่งหนึ่งในนครฮัมบวร์ค ตั้งแต่มีอายุเพียงสิบสามปี ในปีค.ศ. 1853 บรามส์ออกตระเวนเปิดการแสดงกับเพื่อนนักไวโอลิน ชื่อแอแด แรเมญี ซึ่งทำให้เขามีโอกาสได้พบกับนักไวโอลินชื่อดังแห่งยุค โยเซ็ฟ โยอาคิม ผู้ซึ่งประทับใจฝีมือของบรามส์มาก และยังได้แนะนำให้เขาได้รู้จักกับฟรันทซ์ ลิสท์ และโดยเฉพาะอย่างยิ่งโรแบร์ท ชูมัน|ชูมัน กับภรรยา คลารา ชูมัน ซึ่งเขาได้สนิทสนมด้วยเป็นอย่างดี อิทธิพลของชูมันที่มีต่องานของบรามส์นั้นใหญ่หลวงนัก ระหว่างปี ค.ศ. 1857 ถึง ค.ศ. 1859 เขาได้รับแต่งตั้งให้เป็นหัวหน้าคณะนักร้องประสานเสียงประจำวังของเจ้าชายแห่งเด็ทม็อลท์ ในช่วงเวลานี้เองที่เขาได้ประพันธ์เซเรเนดสำหรับวงดุริยางค์ขึ้นสองบท และคอนแชร์โตสำหรับเปียโนชื้นแรก ในค.ศ. 1862 เขาได้เดินทางกลับสู่นครเวียนนา ชื่อเสียงในฐานะนักดนตรีของเขาเพิ่มขึ้น และได้รับการยกย่องให้เป็น ''ทายาทดนตรีของเบทโฮเฟิน'' เพลงสวดเรเควียมของเขาเป็นเครื่องพิสูจน์คำกล่าวนั้นได้เป็นอย่างดี ในปีค.ศ. 1870 เขาได้พบกับวาทยกรฮันส์ ฟ็อน บือโล ผู้ซึ่งมีอุปการคุณต่องานดนตรีของบรามส์เป็นอย่างมากในภายหลัง ในปีค.ศ. 1876 บรามส์แต่งซิมโฟนีบทแรกสำเร็จ ได้รับการขนานนามว่าเป็น ''ซิมโฟนีบทที่ 10 ของเบทโฮเฟิน'' ตามคำกล่าวของฮันส์ ฟ็อน บือโล|บือโล จากนั้นก็มีงานประพันธ์สำหรับวงดุริยางค์ตามมาจำนวนมาก ซิมโฟนีอีกสามบท คอนแชร์โตสำหรับไวโอลิน คอนแชร์โตหมายเลขสองสำหรับเปียโน จนกระทั่งถึงผลงานเอกในช่วงบั้นปลายชีวิต นั่นก็คือบทเพลงสำหรับแคลริเน็ต งานของบรามส์ได้รับอิทธิพลหลากหลาย โดดเด่นด้วยศาสตร์แห่งเคานเตอร์พ็อยนต์และพอลิโฟนี ความงดงามของบทเพลงที่เขาประพันธ์อยู่ที่รูปแบบคลาสสิกที่ถูกแต่งแต้มด้วยความถวิลหาของยุคโรแมนติก แต่ก็มีเอกลักษณ์เฉพาะตัว สีสันทางดนตรีอันบรรเจิด ท่วงทำนองที่สร้างสรรค์ และจังหวะทำให้ประหลาดใจด้วยการสอดประสานกัน เป็นผลงานส่วนตัวของบรามส์ที่เปี่ยมด้วยคุณภาพ ซึ่งเราอาจนึกว่าจะเข้าใจยากเมื่อแรกได้ยิน แต่เราก็จะเข้าถึงได้และขาดไม่ได้ในที่สุด นับเป็นหนึ่งในคีตกวีคนสำคัญของประวัติศาสตร์ดนตรีตะวันตก ศพของโยฮันเนิส บรามส์ถูกฝังไว้ที่สุสานกลางแห่งนครเวียนนา ในส่วนของนักดนตรีคนสำคัญผู้ล่วงลับ == ผลงานหลักๆ == === สำหรับวงดุริยางค์ === * ''เซเรเนด โอปุส 11 และโอปุส 16'' * ''ซิมโฟนีหมายเลข 1 ในบันไดเสียง เอไมเนอร์ โอปุส 68'' * ''ซิมโฟนีหมายเลข 2 ในบันไดเสียง ดีเมเจอร์ โอปุส 75'' * ''ซิมโฟนีหมายเลข 3 ในบันไดเสียง เอเมเจอร์ โอปุส 90'' * ''ซิมโฟนีหมายเลข 4 ในบันไดเสียง อีไมเนอร์ โอปุส 98'' * ''เพลงโหมโรง "อะคาเดมิก เฟสติวัล" โอปุส 81'' * ''เพลงโหมโรง "ทราจิก" โอปุส 81'' * ''วาริเอชั่นจากทำนองของไฮเดิน โอปุส 56'' * ''ฮังกาเรียน แดนซ์'' === คอนแชร์โต === * ''คอนแชร์โตสำหรับเปียโน หมายเลข 1 โอปุส 15'' * ''คอนแชร์โตสำหรับเปียโน หมายเลข 2 โอปุส 83'' * ''คอนแชร์โตสำหรับไวโอลิน โอปุส 77'' * ''ดัลเบิ้ลคอนแชร์โตสำหรับไวโอลิน และเชลโล่ โอปุส 102'' === เชมเบอร์มิวสิก === * ''ควินเต็ต สำหรับแคลริเน็ตและเครื่องสาย โอปุส 115'' * ''ทริโอ สำหรับ แคลริเน็ต เชลโล่ และเปียโน โอปุส 114'' * ''เซ็กเต็ตสำหรับเครื่องสาย หมายเลข 1 โอปุส 18'' * ''เซ็กเต็ตสำหรับเครื่องสาย หมายเลข 2 โอปุส 36'' * ''โซนาต้าสำหรับแคลริเน็ตและเปียโน โอปุส 120'' * ''โซนาต้าสำหรับไวโอลินและเปียโน โอปุสที่ 100 โอปุส 108'' * ''โซนาต้าสำหรับเชลโล่และเปียโน หมายเลข 2 โอปุส 99'' * ''ควินเต็ตสำหรับเครื่องสาย หมายเลข 1 โอปุส 88'' * ''ควินเต็ตสำหรับเครื่องสาย หมายเลข 2 โอปุส 111'' * ''ควอร์เต็ตสำหรับเครื่องสาย หมายเลข 1 และหมายเลข 2 โอปุส 51'' * ''ควอร์เต็ตสำหรับเครื่องสาย หมายเลข 3 โอปุส 67'' * ''ควอร์เต็ตสำหรับเปียโนและเครื่องสาย หมายเลข 1 โอปุส 25 หมายเลข 2 โอปุส 26 และหมายเลข 3 โอปุส 60'' === ดนตรีขับร้อง === * ''"เยอรมัน" เรเควียม โอปุส 45'' * ''Magelone Romanzen'' '' (เพลงโรแมนซ์สิบห้าบท) โอปุส 33'' ; ''Zigeurnerlieder'' '' (เพลงร้องยิปซี) '', ''Volskieder'' '' (เพลงพื้นบ้าน) '' * ''Rinaldo โอปุส 50'' * ''เพลงขับร้องสี่บท โอปุส 121'' * ''แรพโซดี้สำหรับ นักร้องเสียงอัลโต้ และวงดุริยางค์ โอปุส 53'' * ''เพลงอื่น ๆ อีกมากมาย'' === ดนตรีสำหรับเปียโน === '''บรามส์''' ได้แต่งเพลงบรรเลงเปียโนไว้เพียง 12 ชิ้น จากแคตตาล็อกผลงานทั้งหมดรวมกว่า 122 ชิ้น * ''โซนาต้าสำหรับเปียโน หมายเลข 1 โอปุส 1'' * ''โซนาต้าสำหรับเปียโน หมายเลข 3 ในบันไดเสียง เอฟไมเนอร์ โอปุส 5'' * ''บัลลาร์ดสำหรับเปียโน โอปุส 10'' * ''วาริเอชั่น กับ ฟิวก์ จากทำนองเพลงของไฮเดิ้น โอปุส 24'' * ''วาริเอชั่น กับ ฟิวก์ จากทำนองเพลงของปากานีนี โอปุส 35'' * ''วอลซ์ 16 บท โอปุส 39'' * ''แรพโซดี้ โอปุส 76'' * ''แรพโซดี้สำหรับเปียโน โอปุส 79'' * ''บทเพลงสำหรับเปียโน โอปุส 116 และโอปุส 117'' * ''บทเพลงหกชิ้นสำหรับเปียโน โอปุส 118 และ 119'' บรามส์ยังได้ประพันธ์เพลงจำนวนหนึ่งไว้สำหรับบรรเลงด้วยเปียโนสี่มือ : * ฮังกาเรียน แดนซ์ 21 บท ไฟล์:Johannes_Brahms_-_Ungarischer_Tanz_5_g-moll.ogg|ฟัง == ผู้ถ่ายทอดผลงานของบรามส์ที่มีชื่อเสียง == * วาทยากร : Carl Schuricht, Bruno Walter, Karel Ančerl, Wilhelm Furtwängler, Arturo Toscanini, Claudio Abbado, Herbert von Karajan * นักเปียโน : Wilhelm Backhaus, Julius Katchen, Claudio Arrau, Rudolf Serkin, Maurizio Pollini, Radu Lupu * นักไวโอลิน : Ginette Neveu, Nathan Milstein, Christian Ferras, Josef Suk, Itzhak Perlman * เชมเบอร์มิวสิก : วงควอร์เต็ต แห่ง Wienerkonzerthaus, วงบุชส์ควอร์เต็ต วงบูดาเปสต์ควอร์เต็ต วงอมาดิอุส ควอร์เต็ต, วงอัลบัน แบร์กควอร์เต็ต * นักร้องเดี่ยว : Kathleen Ferrier, Hans Hotter, Dietrich Fischer-Dieskau, Jorge Chaminé, Thomas Quastoff, Alexander Kipnis == แหล่งข้อมูลอื่น == * http://www.johannesbrahms.de/indexe.htm เกี่ยวกับบรามส์ (ภาษาอังกฤษ) * http://www.uquebec.ca/~uss1010/catal/brahms/braj.html#Oeuvre แคตตาล็อกผลงานของบรามส์ฉบับสมบูรณ์ (ภาษาฝรั่งเศส) * http://www.classiccat.net/brahms_j/index.htm Classic Cat - Brahms mp3s หมวดหมู่:คีตกวีชาวเยอรมัน หมวดหมู่:บุคคลจากฮัมบวร์ค หมวดหมู่:ผู้ได้รับพัวร์เลอเมรีท (ชั้นพลเรือน)
โยฮันเนิส บรามส์
ไฟล์:georges_bizet.jpg|thumb|250px|right|ฌอร์ฌ บีแซ '''ฌอร์ฌ บีแซ''' (, ; 25 ตุลาคม ค.ศ. 1838 – 3 มิถุนายน ค.ศ. 1875) คีตกวีชาวฝรั่งเศสในคริสต์ศตวรรษที่ 19 คือ นักประพันธ์ชาวฝรั่งเศสในยุค ดนตรีสมัยโรแมนติก ซึ่งเป็นที่รู้จักกันดีในการงานประพันธ์อุปรากร|โอเปร่า แต่ถึงแก่กรรมก่อนวัยอันควรเสียก่อนหลังจากประสบความสำเร็จของงานประพันธ์ การ์เมน ซึ่งได้กลายเป็นหนึ่งในผลงานที่ได้รับความนิยม และ มีการนำมาใช้เป็นบทแสดงบ่อยครั้งที่สุดในการแสดงแบบโอเปร่า ในระหว่างการศึกษาที่ฉลาดเฉลียวของเขาที่Conservatoire de Paris|วิทยาลัยดนตรีและนาฏศิลป์ชั้นสูงแห่งชาติ ณ กรุงปารีส บีแซได้รับรางวัลมากมาย รวมถึงรางวัล พรีเดอรอม อันทรงเกียรติในปี ค.ศ. 1857 และได้รับการยอมรับว่าเป็นนักเปียโนที่โดดเด่น แม้ว่าเขาจะไม่ใช้ประโยชน์จากทักษะดังกล่าว และไม่ค่อยได้แสดงต่อหน้าสาธารณะก็ตาม หลังอยู่ที่อิตาลีมากว่า 3 ปี เขากลับมาที่ปารีสและพบว่าโรงละครโอเปร่าหลักของปารีสชื่นชอบละครคลาสสิกที่มีชื่อเสียงอยู่แล้วมากกว่าการเปิดโอกาสให้มือสมัครเล่นอย่างเขา การเรียบเรียงบทเพลงสำหรับคีย์บอร์ด และออเคสตราของเขาจึงถูกมองข้ามไป ส่งผลให้อาชีพของเขาหยุดชะงักลงและอาศัยการหาเลี้ยงชีพจากการเรียบเรียงและถอดโน้ตจากดนตรีของคนอื่นเป็นหลัก เขาเริ่มแสดงละครหลายเรื่องในช่วงทศวรรษที่ 1860 โดยแทบไม่พักเพื่อประสบความสำเร็จ แต่ส่วนใหญ่กลับถูกโยนทิ้ง โอเปร่าที่อยู่ในช่วงเวลานี้มี 2 เรื่อง คือเรื่อง ''เลแปเชอร์เดแปร์ล''(Les pêcheurs de perles) และ ''ลาฌอลีฟีย์เดอแปร์ต'' (La jolie fille de Perth) ซึ่งมาประสบความสำเร็จในภายหลัง หลังจาก สงครามฝรั่งเศส-ปรัสเซีย ในปี ค.ศ. 1870-1871 ระหว่างที่บีแซรับราชการในกองกําลังป้องกันชาติ เขาประสบความสำเร็จนิดหน่อยจากโอเปร่าเดี่ยว เรื่อง Djamileh แม้ว่าจะเป็นบทประพันธ์ออเคสตราชุดที่ถูกแต่งขึ้นมาระหว่างลาร์เลเซียน|เพลงที่แต่งขึ้นโดยบังเอิญ และ Alphonse Daudet แต่ทำให้บท ''ลาร์เลเซียน'' (L'Arlésienne') ได้รับความนิยมในทันที บทประพันธ์โอเปร่าเรื่องสุดท้ายของเขา ''การ์เมน'' (Carmen) ถูกเลื่อนออกไปเนื่องจากมีเนื้อหาที่เกี่ยวกับการทรยศและการฆาตกรรมซึ่งมีความกังวลว่าอาจทำให้ผู้ชมรู้สึกไม่สบายใจ หลังจากเปิดตัวในวันที่ 3 มีนาคม ค.ศ. 1875 บีแซถูกโน้มน้าวว่างานนี้เป็นงานที่ล้มเหลว เขาเสียชีวิตด้วยอาการหัวใจวายเฉียบพลันในอีก 3 เดือนต่อมา โดยไม่มีวันได้รู้เลยว่าบทประพันธ์ดังกล่าวจะเป็นความสำเร็จที่ยิ่งใหญ่จวบจนปัจจุบันนี้ บีแซแต่งงานกับ Geneviève Halévy ซึ่งเขามีความสุขเป็นระยะ ๆ และมีลูกชายหนึ่งคน พลังจากงานศพของเขา งานของเขาที่นอกเหนือจาก ''การ์เมน'' (Carmen) ก็มักถูกปฏิเสธ ต้นฉบับถูกแจกจ่ายออกไปหรือสูญหาย ผลงานของเขาถูกแก้ไขและดัดแปลงบ่อยครั้ง ตัวเขาเองไม่ได้ทำการก่อตั้งโรงเรียน และไม่มีลูกศิษย์หรือผู้สืบทอดที่ชัดเจน ผลงานของเขาถูกมองข้ามอยู่หลายปีแต่ค่อย ๆ เริ่มมีการแสดงผลงานของเขาบ่อยขึ้นในช่วงศตวรรษที่ 20 ซึ่งต่อมานักวิจารณ์ให้ความยกย่องว่าบีแซเป็นนักประพันธ์ที่มีความสามารถ สร้างสรรค์ และเสียดายการเสียชีวิตก่อนวัยอันควรของเขาที่นับเป็นความสูญเสียอันยิ่งใหญ่ของโรงละครดนตรีของฝรั่งเศส == ประวัติ == ฌอร์ฌ บีแซ เกิดที่กรุงปารีส ในปี ค.ศ. 1838 บิดาเป็นอาจารย์สอนขับร้อง มารดาเป็นนักเปียโนสมัครเล่น เสียชีวิตที่บูฌีวาล ในปี ค.ศ. 1875 บีแซเมีความสามารถทางดนตรีตั้งแต่วัยเด็ก และได้เข้ารับการศึกษาที่วิทยาลัยดนตรีและนาฏศิลป์ชั้นสูงแห่งชาติ ณ กรุงปารีส เมื่อมีอายุได้ 19 ปี เขายังได้รับรางวัลทางดนตรีมากมาย ทั้งการแข่งขัน โซลเฟจ เปียโน ฟิวก์ และออร์แกน แม้กระทั่งวันนี้ ผลงานประพันธ์อุปรากรเรื่อง การ์เมน ก็ยังเป็นหนึ่งในอุปรากรที่มีการแสดงมากที่สุดเรื่องหนึ่งในโลก'' ===ช่วงเริ่มต้น=== ====ภูมิหลังครอบครัวและวัยเด็ก==== ฌอร์ฌ บีแซ เกิดที่ปารีสเมื่อวันที่ 25 ตุลาคม ค.ศ. 1838 เขาได้รับการขึ้นทะเบียนชื่อว่า อเล็กซองดร์ ซีซาร์ ลีโอโปลด์ แต่เข้าพิธีศีลล้างบาปเป็นชื่อ "ฌอร์ฌ" เมื่อวันที่ 16 มีนาคม ค.ศ. 1840 และเป็นที่รู้จักในชื่อนี้ตลอดชีวิต อดอล์ฟ บีแซ บิดาของเขา เคยเป็นช่างตัดผมและทำวิกผมมาก่อน ต่อมาได้ผันตัวเองมาเป็นครูสอนร้องเพลง แม้จะไม่ได้รับการฝึกอบรมอย่างเป็นทางการ.Dean (1965), p. 1 ฌอร์ฌ บีแซ ยังประพันธ์ผลงานบางชิ้น ซึ่งอย่างน้อยก็มีเพลงที่ตีพิมพ์เผยแพร่หนึ่งเพลง Curtiss, p. 7 ในปี ค.ศ. 1837 อดอล์ฟ สมรสกับ เอมี่ เดลซาร์ต ท่ามกลางเสียงคัดค้านจากครอบครัวของเธอ ซึ่งมองว่าเขาเป็นคู่ครองที่ไม่เหมาะสม แม้ว่าตระกูลเดลซาร์ตจะยากจน แต่ก็เป็นครอบครัวที่มีวัฒนธรรมและมีความเชี่ยวชาญด้านดนตรีสูง Dean (1965), pp. 2–4 เอมี่เป็นนักเปียโนที่มีความสามารถยอดเยี่ยม ขณะที่ François Delsarte|ฟร็องซัว เดลซาร์ต (François Delsarte) น้องชายของเธอก็เป็นนักร้องและครูสอนร้องเพลงที่มีชื่อเสียง เคยแสดงร้องเพลงให้กับราชสำนักของทั้ง พระเจ้าหลุยส์-ฟีลิปที่ 1 แห่งฝรั่งเศส|พระเจ้าหลุยส์-ฟีลิป และ จักรพรรดินโปเลียนที่ 3 Curtiss, pp. 8–10 โรซีน ภรรยาของฟร็องซัว เดลซาร์ต เป็นอัจฉริยะด้านดนตรี เคยดำรงตำแหน่งผู้ช่วยศาสตราจารย์ สอน solfeggio|ซอลเฟจ ที่ Conservatoire de Paris|วิทยาลัยดนตรีและนาฏศิลป์ชั้นสูงแห่งชาติ ณ กรุงปารีส ตั้งแแต่ายุ 13 ปี Curtiss, pp. 12–13 ผู้เขียนอย่างน้อยหนึ่งคนแนะนำว่า เอมี่ มาจากครอบครัวชาวยิว แต่สิ่งนี้ไม่ได้รับการพิสูจน์ในชีวประวัติอย่างเป็นทางการของฌอร์ฌPhilip Bohlman, ''Jewish Musical Modernism, Old and New'', University of Chicago Press (2008), p. 10 ฌอร์ฌ บุตรเพียงคนเดียว แสดงพรสวรรค์ด้านดนตรีตั้งแต่วัยเด็ก และเรียนรู้พื้นฐานของสัญลักษณ์ดนตรีได้อย่างรวดเร็วจากคุณแม่ผู้ซึ่งน่าจะเป็นผู้สอนเปียโนคนแรกของเขาเอง ด้วยการแอบฟังที่ประตูห้องเรียนของอดอล์ฟ ฌอร์ฌ เรียนรู้ที่จะร้องเพลงที่ยากลำบากได้อย่างแม่นยำจากความจำ และพัฒนาทักษะในการระบุและวิเคราะห์ chord (music)|โครงสร้างคอร์ด ที่สลับซับซ้อน พรสวรรค์อันโดดเด่นนี้ทำให้พ่อแม่ผู้มุ่งหวังของเขาเชื่อว่าเขาพร้อมที่จะเริ่มเรียนที่สถาบันดนตรีปารีส (Conservatoire) แม้ว่าขณะนั้นเขาจะมีอายุเพียงเก้าขวบเท่านั้น (เกณฑ์อายุขั้นต่ำสำหรับการเข้าเรียนคือ 10 ปี) ฌอร์ฌ ได้รับการสัมภาษณ์โดย Joseph Meifred นักเป่า ฮอร์น ผู้เชี่ยวชาญซึ่งเป็นคณะกรรมการฝ่ายวิชาการของสถาบันดนตรีปารีส (Conservatoire) เมเฟริดประทับใจในทักษะที่เด็กชายแสดงออกมากจนยกเว้นกฎเกณฑ์เรื่องอายุและเสนอที่จะรับเขาไว้ทันทีที่มีที่ว่าง Curtiss, pp. 15–17 ====โรงเรียนสอนดนตรี==== File:Theatre du Conservatoire Paris CNSAD.jpg|thumb|left|ส่วนหนึ่งของ Conservatoire de Paris|วิทยาลัยดนตรีและนาฏศิลป์ชั้นสูงแห่งชาติ ณ กรุงปารีส, ที่ บีแซ เรียนระหว่างปี ค.ศ. 1848 ถึง ค.ศ. 1857 (ภาพถ่ายปี ค.ศ. 2009) บีแซ ได้รับการรับรองเข้าเรียนที่สถาบันดนตรีปารีส (Conservatoire) เมื่อวันที่ 9 ตุลาคม ค.ศ. 1848 เพียงสองสัปดาห์ก่อนวันเกิดครบรอบ 10 ปีของเขา เขาสร้างความประทับใจตั้งแต่เนิ่น ๆ ภายในระยะเวลาหกเดือน เขาได้รับรางวัลชนะเลิศด้าน solfège ซึ่งเป็นความสามารถที่สร้างความประทับใจให้กับ Pierre-Joseph-Guillaume Zimmerman อดีตอาจารย์สอนเปียโนของสถาบันดนตรีปารีส (Conservatoire) ซิมเมอร์มันได้สอน บีแซ แบบตัวต่อตัวในวิชา counterpoint และ fugue ซึ่งดำเนินต่อไปจนกระทั่งชายชราผู้นี้เสียชีวิตในปี ค.ศ. 1853 บีแซได้พบกับลูกเขยของซิมเมอร์แมนซึ่งเป็นนักแต่งเพลง Charles Gounod, ในชั้นเรียนเหล่านี้ ซึ่งในที่สุดกลายเป็นผู้มีอิทธิพลอย่างยาวนานต่อสไตล์ดนตรีของนักเรียนรุ่นเยาว์ แม้ว่าความสัมพันธ์ของทั้งคู่มักจะตึงเครียดในปีต่อ ๆ มาก็ตามDean (1965), p. 6 นอกจากนี้เขายังได้พบกับลูกศิษย์ของ Gounod อีกคนหนึ่ง ซึ่งก็คือ Camille Saint-Saëns วัย 13 ปี ซึ่งยังคงเป็นเพื่อนที่ดีของบีแซ ภายใต้การสอนของ Antoine François Marmontel ศาสตราจารย์ด้านเปียโนของ Conservatoire การเล่นเปียโนของบีแซพัฒนาขึ้นอย่างรวดเร็ว เขาได้รับรางวัลที่สองของ Conservatoire สาขาเปียโนในปี ค.ศ. 1851 และรางวัลที่หนึ่งในปีถัดมา บีแซจะเขียนถึง Marmontel ในภายหลังว่า "ในชั้นเรียนของคุณ คนหนึ่งอะไรบางอย่างที่นอกเหนือจากเปียโน อีกคนหนึ่งกลายเป็นนักดนตรี"Curtiss, p. 21 บทประพันธ์ชิ้นแรกของ บีแซ ที่ยังคงอยู่ เป็นเพลงร้อง (songs) สองเพลงที่ไม่มีเนื้อร้องสำหรับ โซปราโน ซึ่งมีอายุราวๆ ปี ค.ศ. 1850 ในปี ค.ศ. 1853 เขเข้าร่วมชั้นเรียนแต่งเพลงของ Fromental Halévy และเริ่มสร้างสรรค์ผลงานที่มีความซับซ้อนและคุณภาพเพิ่มมากขึ้น Dean (1965), pp. 7–8 เพลงสองเพลงของเขา "Petite Marguerite" และ "La Rose et l'abeille" ถูกตีพิมพ์เผยแพร่ในปี ค.ศ. 1854 Dean (1965), pp. 153, 266–267 ในปี ค.ศ. 1855 เขาแต่ง บทโหมโรง (overture) อันทะเยอทะยานสำหรับวงออเคสตราขนาดใหญ่ Dean (1965), pp. 138–39, 262–63 และเรียบเรียงผลงานสองชิ้นของกูโนด์เป็นเวอร์ชันเปียโนสี่มือ ได้แก่ โอเปร่า ''La nonne sanglante'' และซิมโฟนีหมายเลข D แรงบันดาลใจจากการทำงานกับซิมโฟนีของกูโนด์ ทำให้ บีแซ แต่ง ซิมโฟนีหมายเลข C (บีแซ)|ซิมโฟนีของตัวเอง หลังจากวันเกิดครบรอบ 17 ปีของเขาในไม่ช้า ซึ่งมีความคล้ายคลึงกับของกูโนด์อย่างมาก - มีบางช่วงที่เหมือนกันทุกประการ บีแซ ไม่เคยเผยแพร่ซิมโฟนีนี้ ซึ่งเพิ่งกลับมาเป็นที่รู้จักอีกครั้งในปี ค.ศ. 1933 และได้รับการแสดงอีกครั้งในปี ค.ศ. 1935 Curtiss, pp. 38–39 ในปี ค.ศ. 1856 บีแซ เข้าร่วมชิงรางวัล Prix de Rome อันทรงเกียรติ ผลงานของเขาไม่ประสบความสำเร็จ แต่ผลงานของคนอื่นๆ ก็เช่นเดียวกัน รางวัลในปีนั้นไม่มีผู้ได้รับ Curtiss, pp. 39–40 หลังจากความพ่ายแพ้ครั้งนี้ บีแซ เข้าร่วมการประกวดละครโอเปร่า ซึ่ง Jacques Offenbach จัดขึ้นสำหรับนักแต่งเพลงรุ่นใหม่ โดยมีรางวัลเป็นเงิน 1,200 franc#French franc|ฟรังก์. รางวัลสำหรับการประกวดคือการใช้ บทประพันธ์ บทเดียวของ ''Le docteur Miracle'' ที่แต่งโดย Léon Battu และ Ludovic Halévy รางวัลนี้มอบให้แก่ บีแซ ร่วมกับ Charles Lecocq Dean (1965), p. 9 ซึ่งเป็นการตัดสินประนีประนอม ต่อมาหลายปี Charles Lecocq ได้วิจารณ์การตัดสินครั้งนี้ โดยกล่าวว่าคณะกรรมการมีการแทรกแซงโดย Fromental Halévy เพื่อผลักดันให้ บีแซ ชนะเลิ ผลจากความสำเร็จ ทำให้ บีแซ กลายเป็นแขกประจำในงานปาร์ตี้วันศุกร์ของ Offenbach ซึ่งเขาได้พบกับนักดนตรีคนอื่นๆ รวมถึง Gioachino Rossini ผู้มีอายุมากแล้ว ท่านได้มอบรูปถ่ายที่มีลายเซ็นต์ให้กับชายหนุ่มคนนี้ Dean (1965), pp. 10–11 บีแซ ชื่นชมผลงานของ รอสซินี (Rossini) เป็นอย่างมาก หลังจากการพบกันครั้งแรกไม่นาน เขียนว่า "รอสซินี (Rossini) เป็นผู้ยิ่งใหญ่ที่สุดในบรรดาพวกเขาทั้งหมด เพราะเขามีคุณสมบัติครบถ้วนเหมือนโมสาร์ท" สำหรับการประกวด Prix de Rome ปี 1857 บีแซ ได้รับการสนับสนุนอย่างกระตือรือร้นจาก กูโนด์ เลือกที่จะใช้ cantata ''Clovis et Clotilde'' ที่แต่งโดย Amédée Burion บีแซ ได้รับรางวัลนี้หลังจากสมาชิกของ Académie des Beaux-Arts ลงมติใหม่ ซึ่งพลิกคำตัดสินเบื้องต้นของคณะกรรมการ ที่ตัดสินให้ นักโอโบ ชาร์ลส์ โคลิน ชนะเลิศ ตามเงื่อนไขของรางวัล บีแซ ได้รับเงินทุนสนับสนุนเป็นเวลาห้าปี โดยสองปีแรกใช้ในกรุงโรม ปีที่สามในเยอรมนี และสองปีสุดท้ายในปารีส ข้อกำหนดเพียงอย่างเดียวคือการส่ง "envoi" ซึ่งเป็นผลงานต้นฉบับที่สร้างความพึงพอใจให้กับ สถาบันศิลปะ (Académie des Beaux-Arts) ทุกปี ก่อนเดินทางไปกรุงโรมในเดือนธันวาคม ค.ศ. 1857 บีแซ ได้รับการแสดง cantata รับรางวัลที่ สถาบันศิลปะ (Académie des Beaux-Arts) ต่อหน้าผู้ชมที่ต้อนรับอย่างกระตือรือร้น Curtiss, pp. 48–50 ===กรุงโรม ปี 1858–1860=== File:Villa Medicis.jpg|thumb|วิลล่า เมดิชิ (Villa Medici) สถานที่ตั้งอย่างเป็นทางการของ สถาบันศิลปะฝรั่งเศสประจำกรุงโรม (Académie des Beaux-Arts) นับตั้งแต่ปี ค.ศ. 1803 ในวันที่ 27 มกราคม ค.ศ. 1858 บีแซ เดินทางมาถึง Villa Medici ซึ่งเป็นวังสมัยศตวรรษที่ 16 ที่ตั้งของ สถาบันศิลปะฝรั่งเศสประจำกรุงโรม (Académie des Beaux-Arts) นับตั้งแต่ปี ค.ศ. 1803 เขาบรรยายสถานที่แห่งนี้ในจดหมายที่ส่งกลับบ้านว่าเป็น "สวรรค์" Curtiss, p. 53 ภายใต้การดูแลของผู้อำนวยการ จิตรกร Jean-Victor Schnetz วิลล่า เมดิชิ (Villa Medici) เป็นเสมือนสภาพแวดล้อมที่เหมาะสำหรับให้ บีแซ และเพื่อนศิลปินที่ได้รับรางวัลคนอื่นๆ สามารถรังสรรค์ผลงานศิลปะของตนเองได้อย่างเต็มที่ บีแซ ชื่นชอบบรรยากาศอันมีชีวิตชีวา และเข้าร่วมกิจกรรมทางสังคมอย่างรวดเร็ว ภายในหกเดือนแรกที่กรุงโรม บทประพันธ์ชิ้นเดียวที่เขาสร้างสรรค์ขึ้นคือ ''Te Deum'' ประพันธ์เพื่อเข้าประกวดรางวัล ร็อดริเกส (Rodrigues Prize) ซึ่งเป็นการแข่งขันสำหรับผลงานดนตรีศาสนาชิ้นใหม่สำหรับผู้ได้รับรางวัล Prix de Rome บทประพันธ์ชิ้นนี้ไม่สามารถสร้างความประทับใจให้กับคณะกรรมการ พวกเขาตัดสินมอบรางวัลให้กับ Adrien Barthe ผู้เข้าแข่งขันคนเดียวที่เหลือ บีแซ รู้สึกท้อแท้จนถึงขนาดประกาศว่าจะไม่เขียนดนตรีที่เกี่ยวกับศาสนาอีกต่อไป ''Te Deum'' ของเขาถูกลืม และไม่ได้มีการเผยแพร่จนกระทั่งปี ค.ศ. 1971 Dean (1965), pp. 15 and 21 ตลอดฤดูหนาวของปี ค.ศ. 1858–1859 บีแซ ตั้งใจสร้างผลงาน envoi ชิ้นแรกของเขา เป็น opera buffa ดัดแปลงจากบทประพันธ์ ''Don Procopio'' ของ คาร์โล คัมเบียจโจ ตามเงื่อนไขของรางวัล ผลงาน envoi ชิ้นแรกของ บีแซ ควรจะโด่งดัง แต่หลังจากประสบการณ์กับ ''Te Deum'' เขาก็ไม่อยากแต่งดนตรีศาสนาอีกต่อไป เขาหวั่นวิตกเกี่ยวกับการฝ่าฝืนกฎครั้งนี้ว่าจะได้รับการตอบรับจากสถาบันอย่างไร แต่เบื้องต้น บทประพันธ์ ''Don Procopio'' ได้รับการตอบรับเชิงบวก พวกเขาชื่นชม "ความง่ายดายและยอดเยี่ยม" ของนักประพันธ์เพลง และ "สไตล์ที่ดูใหม่และกล้าหาญ" Dean (1965), p. 42 File:Young Georges Bizet.png|thumb|left|upright|รูปถ่ายของ ฌอร์ฌ บีแซ ช่วงทศวรรษที่ 1860 สำหรับผลงาน envoi ชิ้นที่สอง บีแซ ไม่ต้องการทดสอบขีดจำกัดของ สถาบัน มากเกินไป จึงเสนอที่จะส่งผลงานประเภทกึ่งศาสนาในรูปแบบของเพลงมิซซาฆราวธรรม บนเนื้อร้องโดย Horace. ผลงานนี้มีชื่อว่า ''Carmen Saeculare'', ซึ่งตั้งใจไว้เป็นบทเพลงสรรเสริญ Apollo และ Diana (mythology)|Diana ไม่มีหลักฐานใด ๆ หลงเหลืออยู่ และไม่น่าจะเป็นไปได้ที่ บีแซ เคยเริ่มต้นประพันธ์มันเลย Curtiss, pp. 94–95 แนวโน้มที่จะคิดโครงการใหญ่โต แล้วล้มเลิกอย่างรวดเร็ว กลายเป็นลักษณะเด่นของ บีแซ ในช่วงปีที่กรุงโรม นอกเหนือจาก ''Carmen Saeculare'' เขายังเคยพิจารณาและยกเลิกโครงการอ opera อย่างน้อยห้าเรื่อง สองโครงการเป็นซิมโฟนี และ บทกวีซิมโฟนิกบนธีมของ Odysseus#Journey home to Ithaca|Ulysses and Circe.Dean (1965), pp. 20, 260–266, 270–271 หลังจาก ''Don Procopio'' บีแซ สร้างสรรค์ผลงานเพิ่มเติมเพียงชิ้นเดียวในกรุงโรม นั่นคือ บทกวีซิมโฟนิก ''Vasco da Gama'' ผลงานนี้แทนที่ ''Carmen Saeculare'' ในฐานะผลงาน envoi ชิ้นที่สอง และได้รับการตอบรับที่ดีจาก สถาบัน แม้จะถูกลืมเลือนอย่างรวดเร็วในเวลาต่อมา Curtiss, pp. 106–107 ในช่วงฤดูร้อนปี 1859 บีแซ เดินทางท่องเที่ยวกับเพื่อนร่วมทางหลายคน บริเวณภูเขาและป่าไม้รอบเมือง Anagni และ Frosinone นอกจากนี้ พวกเขายังได้ไปเยี่ยมชมสถานกักขังนักโทษที่ Anzio โดยบีแซได้เขียนจดหมายเล่าถึงประสบการณ์ของเขาอย่างกระตือรือร้นไปยัง มาร์มอนเทล Dean (1965), p. 17 ในเดือนสิงหาคม เขาออกเดินทางไกลลงไปทางใต้สู่ Naples และ Pompeii ที่นั่นเขาไม่ประทับใจเมืองนาโปลี แต่กลับชื่นชมเมืองปอมเปอีอย่างมาก "ที่นี่คุณได้ใช้ชีวิตอยู่กับผู้คนโบราณ คุณจะได้เห็นวิหาร โรงละคร บ้านเรือนที่ยังคงมีเฟอร์นิเจอร์ เครื่องครัว..." Curtiss, p. 88 บีแซ เริ่มร่างซิมโฟนีอิงจากประสบการณ์ในอิตาลีของเขา แต่ยังไม่ประสบความสำเร็จมากนักในตอนแรก โครงการนี้ ซึ่งกลายเป็นซิมโฟนี Roma Symphony (Bizet)|''Roma'' ยังไม่เสร็จสมบูรณ์จนกระทั่งถึงปี 1868 เมื่อกลับไปกรุงโรม บีแซ ขออนุญาตขยายระยะเวลาการพักอาศัยในอิตาลีเป็นปีที่สาม แทนที่จะไปเยอรมนี เพื่อที่เขาจะได้สร้างสรรค์ "ผลงานสำคัญ" (ซึ่งยังไม่ได้มีการระบุว่าเป็นผลงานอะไร) Dean (1965), p. 19 ในเดือนกันยายน 1860 ขณะเดินทางไปเที่ยวเมือง Venice กับเพื่อนและเพื่อนร่วมรางวัล Ernest Guiraud บีแซได้รับข่าวว่าแม่ของเขาป่วยหนักที่ปารีส เขาจึงเดินทางกลับบ้าน Curtiss, pp. 97–106 ===นักแต่งเพลงฉุกเฉิน=== ====กรุงปารีส ปี 1860–1863==== File:Théâtre Historique on the Boulevard du Temple - L'illustration 12 April 1862 - Levin p380.jpg|thumb|โรงละคร Théâtre Historique ในปารีส หนึ่งในบ้านของบริษัท Théâtre Lyrique ถ่ายในปี 1862 ตามเงื่อนไขของทุนการศึกษาที่เหลืออีกสองปี บีแซ มีฐานะทางการเงินที่มั่นคงชั่วคราวในช่วงเวลานี้ เขาจึงสามารถมองข้ามปัญหาเบื้องต้นที่นักประพันธ์เพลงรุ่นเยาว์คนอื่น ๆ ในเมืองต้องเผชิญไปก่อนได้ Dean (1965), pp. 41–42 ตามปกติ โรงอุปรากรที่ได้รับการอุดหนุนจากรัฐบาลมีอยู่สองแห่ง ได้แก่ Paris Opera|Opéra และ Opéra-Comique, ซึ่งล้วนนำเสนอบทเพลงการแสดงแบบดั้งเดิม ซึ่งมักจะกดทับและสร้างความหงุดหวังให้กับพรสวรรค์ใหม่ในประเทศ ฝีมือการประพันธ์ของผู้ได้รับรางวัล Prix de Rome เพียงแปดคนจากทั้งหมด 54 คน ระหว่างปี 1830 ถึง 1860 เท่านั้นที่ได้มีการนำไปแสดงที่ Opéra Steen, p. 586 แม้ว่านักประพันธ์เพลงชาวฝรั่งเศสประสบความสำเร็จมากขึ้นที่ Opéra-Comique แต่รูปแบบและลักษณะของการผลิตยังคงเดิม ไม่ค่อยมีการเปลี่ยนแปลงไปมากนัก นับตั้งแต่ทศวรรษ 1830 โรงละครขนาดเล็กหลายแห่งรองรับการแสดง operetta ซึ่งเป็นสนามที่ คีตกวี ออฟเฟนบัค (Offenbach) ครองความเป็นใหญ่ในยุคนั้น ในขณะที่ Comédie-Italienne|Théâtre Italien เน้นการแสดงอุปรากรอิตาลี คัดเกรด โอกาสที่ดีที่สุดสำหรับนักประพันธ์เพลงอุปรากรผู้มีความทะเยอทะยานคือ คณะละคร Théâtre Lyrique ซึ่งแม้จะประสบปัญหาทางการเงินซ้ำซาก แต่ก็ยังคงดำเนินการแสดงเป็นระยะๆ ในสถานที่ต่างๆ ภายใต้การบริหารงานของ Léon Carvalho ผู้จัดการมากด้วยความสามารถ คณะละครนี้เคยจัดแสดงรอบปฐมทัศน์ของ ''Faust (opera)|Faust'' และ ''Roméo et Juliette'' ของกูโนด์ (Gounod) รวมถึงเวอร์ชันย่อของ ''Les Troyens'' ของเบอร์ลิโอซ (Berlioz)Neef (ed.), pp. 48, 184, 190 วันที่ 13 มีนาคม 1861 บีแซ เข้าร่วมชมการแสดงรอบปฐมทัศน์ที่ปารีสของอ opera ''Tannhäuser (opera)|Tannhäuser'' โดย Richard Wagner|วากเนอร์ ซึ่งการแสดงครั้งนี้เต็มไปด้วยเสียงโวยวายของผู้ชมที่ถูกจัดฉากโดย Jockey-Club de Paris สโมสรขี่ม้าที่มีอิทธิพลOsborne, p. 89 แม้จะวุ่นวายไปด้วยเสียงโวยวาย บีแซ กลับเปลี่ยนความคิดเห็นเกี่ยวกับดนตรีของวากเนอร์ ซึ่งก่อนหน้านี้เขาเคยปฏิเสธว่าเป็นเพียงแค่แปลกประหลาด ตอนนี้เขาประกาศว่าวากเนอร์ "เหนือกว่านักประพันธ์เพลงที่มีชีวิตอยู่ทั้งหมด" หลังจากนั้น บีแซ มักถูกกล่าวหาว่ามีแนวโน้มดนตรีแบบ "วากเนอร์" ตลอดอาชีพการประพันธ์เพลงของเขา Curtiss, p. 112 ในฐานะนักเปียโน บีแซ แสดงฝีมืออันยอดเยี่ยมตั้งแต่ยังเด็ก ผู้ร่วมยุคสมัยหนึ่งกล่าวว่า เขาสามารถมั่นใจได้ในอนาคตบนเวทีคอนเสิร์ต แต่เลือกที่จะปิดบังพรสวรรค์ของเขา "ราวกับว่ามันเป็นความชั่วร้าย" Curtiss, p. 109 ในเดือนพฤษภาคม ค.ศ. 1861 บีแซ ได้แสดงทักษะอันยอดเยี่ยมในโอกาสที่หายาก เมื่อเขาไปร่วมงานเลี้ยงอาหารค่ำ ซึ่งมี Franz Liszt|ลิซต์ อยู่ด้วย ในงานเลี้ยงนั้น บีแซ สร้างความประหลาดใจให้กับทุกคนด้วยการเล่นเปียโนเพลงที่ยากที่สุดเพลงหนึ่งของ ลิซต์ ได้อย่างแม่นยำโดยไม่ต้องเตรียมตัวมาก่อน ลิซต์ กล่าวว่า "ผมคิดว่ามีเพียงสองคนเท่านั้นที่สามารถเอาชนะความยากลำบากนี้ได้ ... แต่ตอนนี้มีถึงสามคน และ ... คนที่อายุน้อยที่สุดอาจจะเป็นคนที่กล้าหาญและฉลาดที่สุด" Dean (1965), p. 45 File:Bizet - Les pêcheurs de perles - Scene from act II at the Metropolitan - The Victrola book of the opera.jpg|thumb|left| ฉากจากองก์ที่ 2 ของ ''Les pêcheurs de perles'' ผลงานชิ้นที่ 3 ของบีแซ ล่าช้าออกไปอีกเกือบปีเนื่องจากมารดาของเขาป่วยหนักและเสียชีวิตในเดือนกันยายน 1861 ในที่สุด เขาก็ได้ส่งผลงานออร์เคสตรา 3 ชิ้น ได้แก่ บทนำที่ชื่อว่า ''La Chasse d'Ossian'' บทประพันธ์สั้นรวดเร็ว (scherzo) และ มาร์ชงานศพ บทนำนั้นสูญหายไปแล้ว บทประพันธ์สั้นรวดเร็วดังกล่าวถูกนำไปใช้ในซิมโฟนี ''Roma'' ในภายหลัง ส่วนดนตรีของมาร์ชงานศพถูกปรับแต่งและนำไปใช้ในอุปรากรเรื่องอื่น Dean (1980), pp. 754–755 บีแซ ใช้เวลากับผลงานส่งชิ้นสุดท้าย ซึ่งเป็นอุปรากร 1 บทบาท เรื่อง ''La guzla de l'émir'' เกือบทั้งปี 1862 ในฐานะโรงละครที่ได้รับเงินอุดหนุนจากรัฐ โอเปร่า-คอมิก มีหน้าที่ต้องนำเสนอผลงานของผู้ได้รับรางวัล ปรีซ์ เดอ โรม (Prix de Rome) เป็นระยะๆ ''La guzla'' จึงได้เข้าสู่การซ้อมในปี 1863 ตามกำหนด แต่ทว่า ในเดือนเมษายน บีแซ ได้รับข้อเสนอ ซึ่งมาจาก Count Alexandre Joseph Colonna-Walewski|Count Walewski, ให้แต่งเพลงสำหรับอุปรากร 3 องก์ นี่คือ ''Les pêcheurs de perles'' อิงจากบทเพลงของ Michel Carré และ Eugène Cormon เนื่องจากเงื่อนไขของข้อเสนอนี้คือ โอเปร่าควรเป็นผลงานชิ้นแรกที่ผู้แต่งแสดงต่อสาธารณะ บีแซจึงรีบถอน ''La guzla'' ออกจากการเขียน และรวมดนตรีบางส่วนเข้ากับโอเปร่าใหม่ การแสดง ''Les pêcheurs de perles'', ครั้งแรกโดยบริษัท Théâtre Lyrique จัดขึ้นเมื่อวันที่ 30 กันยายน ค.ศ. 1863. โดยทั่วไปแล้วความคิดเห็นเชิงวิพากษ์วิจารณ์มักไม่เป็นมิตร แม้ว่าแบร์ลิออซจะชมผลงานนี้ โดยเขียนว่า "เป็นเกียรติให้แก่คุณบีแซ"Curtiss, pp. 140–141 ปฏิกิริยาของสาธารณชนค่อนข้างไม่สบายใจ การละครโอเปร่าหยุดไปหลังจากการแสดง 18 รอบ และไม่มีการนำมาเล่นอีกจนกระทั่งปี 1886Dean (1980), pp. 755–756 ในปี ค.ศ. 1862, บีแซ ให้กำเนิดลูกชายกับ Marie Reiter แม่บ้านของครอบครัว เด็กชายถูกเลี้ยงดูมาโดยเชื่อว่าเป็นลูกของอดอล์ฟ บีแซ จนกระทั่ง ปี 1913 Reiter ก่อนที่เธอจะเสียชีวิต เธอได้เปิดเผยความจริงกับลูกชายว่าบีแซเป็นบิดาของเขาCurtiss, p. 122 ====ปีแห่งความตรากตรำ==== File:Bizet caricature 1863.jpg|thumb|upright|ภาพล้อเลียนของ บีแซ จากนิตยสารฝรั่งเศส ''Diogène'' ค.ศ. 1863 เมื่อทุน Prix de Rome ของเขาหมดลง บีแซพบว่าเขาไม่สามารถหาเลี้ยงชีพจากการเขียนเพลงได้ เขารับนักเรียนเล่นเปียโนและนักเรียนแต่งเพลงบางคน ซึ่งสองคนนั้นคือ Edmond Galabert และ Paul Lacombe (composer)|Paul Lacombe ซึ่งต่อมากลายเป็นเพื่อนสนิทของเขา นอกจากนี้เขายังทำงานเป็นนักดนตรีในการซ้อมและออดิชั่นสำหรับผลงานจัดแสดงต่างๆ รวมถึงบทเพลง''L'enfance du Christ'' ของ Berlioz และ บทอุปรากร ''Mireille (opera)|Mireille'' ของ Gounod.Curtiss, p. 146 ทว่างานหลักของเขาในช่วงเวลานี้ คือการเรียบเรียงผลงานของผู้อื่น เขาถอดเสียงเปียโนสำหรับโอเปร่าและผลงานอื่น ๆ หลายร้อยชิ้น และเตรียมโน้ตเพลงและเรียบเรียงวงดนตรีออเคสตราสำหรับดนตรีทุกประเภทDean (1965), pp. 54–55 นอกจากนี้เขายังเป็นนักวิจารณ์เพลงของ ''La Revue Nationale et Étrangère'' ในเวลาสั้น ๆ โดยใช้นามแผงจากชื่อเดิมของเขาว่า "Gaston de Betzi". การมีส่วนร่วมเพียงครั้งเดียวของบีแซในตำแหน่งนี้ปรากฏเมื่อวันที่ 3 สิงหาคม ค.ศ. 1867 หลังจากนั้นเขาก็ทะเลาะกับบรรณาธิการคนใหม่ของนิตยสารและลาออกSteen, p. 589 ตั้งแต่ปี ค.ศ. 1862 บีแซ ทำงานเป็นระยะกับบท ''Ivan IV'' ซึ่งเป็นบทอุปกรากรที่กล่าวถึงเรื่องราวของ Ivan the Terrible. Carvalho ไม่สามารถทำงานได้ทันตามกำหนดเวลา ซึ่งเป็นผลให้ในเดือนธันวาคม ค.ศ. 1865 บีแซ เสนอบทดังกล่าวให้กับ Opéra ซึ่งถูกปฏิเสธ งานจึงถูกพักและไม่มีการนำมาจัดแสดงจนกระทั่งปี 1946.Dean (1965), p. 261 ในเดือนกรกฎาคม 1866 บีแซ เซ็นสัญญาอีกฉบับกับ Carvalho สำหรับบทประพันธ์ ''La jolie fille de Perth'' โดย Jules-Henri Vernoy de Saint-Georges หลังจาก Walter Scott|Sir Walter Scott, ซึ่งผู้เขียนชีวประวัติของบีแซ ที่ชื่อ Winton Dean กล่าวว่า "เป็นสิ่งที่เลวร้ายที่สุดที่บีแซเคยถูกเรียกให้ไปทำ".Dean (1965), p. 62 ปัญหาเกี่ยวกับการคัดเลือกนักแสดงและปัญหาอื่น ๆ ทำให้การฉายรอบปฐมทัศน์ล่าช้าไปหนึ่งปีก่อนที่ Théâtre Lyrique จะแสดงในที่สุดในวันที่ 26 ธันวาคม ค.ศ. 1867. การรับสื่อมวลชนได้รับความนิยมมากกว่าโอเปร่าอื่น ๆ ของบีแซ นักวิจารณ์ของ ''Le Ménestral's'' ยกย่องการแสดงครั้งที่สองว่าเป็น "ผลงานชิ้นเอกตั้งแต่ต้นจนจบ".Dean (1965), pp. 71–72 Dแม้ว่าโอเปร่าจะประสบความสำเร็จ แต่ปัญหาทางการเงินของ Carvalho ทำให้มีการแสดงเพียง 18 รอบเท่านั้น ในขณะที่มีการซ้อม ''La jolie fille'' บีแซทำงานร่วมกับนักประพันธ์เพลงอีกสามคน ซึ่งแต่ละคนมีส่วนร่วมในการประพันธ์อุปรากรตั้งแต่องก์เดียว ถึง สี่องก์ ในเรื่อง ''Marlbrough s'en va-t-en guerre'' หลังจากงานถูกจัดแสดงที่ Théâtre de l'Athénée ในวันที่ 13 ธันวาคม 1867, มันประสบความสำเร็จอย่างมากและนักวิจารณ์ของ ''Revue et Gazette Musicale's'' ก็ยกย่องการกระทำของบีแซอย่างล้นหลาม: "ไม่มีอะไรจะมีสไตล์ ฉลาดกว่า และในขณะเดียวกันก็โดดเด่นไปมากกว่านี้แล้ว"Curtiss, pp. 206–209 บีแซยังหาเวลาทำซิมโฟนี ''Roma'' ที่ดำเนินมายาวนานให้เสร็จและเขียนผลงานคีย์บอร์ดและเพลงมากมาย อย่างไรก็ตาม ชีวิตของบีแซในช่วงนี้เต็มไปด้วยความผิดหวังอย่างมาก โอเปร่าที่ฉายไว้อย่างน้อยสองเรื่องถูกยกเลิกโดยแทบไม่มีงานทำเลย ผลงานการแข่งขันหลายรายการ รวมทั้งบทร้องและเพลงสรรเสริญที่แต่งขึ้นสำหรับ Exposition Universelle (1867)|นิทรรศการปารีสในปี 1867 ไม่ประสบผลสำเร็จCurtiss, pp. 194–198 ''La Coupe du Roi de Thulé'' ซึ่งเป็นผลงานของเขาสำหรับการแข่งขันโอเปร่า ไม่ได้ถูกจัดให้อยู่ในห้าคนแรก จากคะแนนที่น่าผิดหวังเหล่านี้เป็นผลให้นักวิจารณ์คาดการณ์ว่า ''Carmen'' จะเป็นผลงานที่ไม่ค่อยดีเช่นกันDean (1965), pp. 77–79Dean (1980), p. 757 วันที่ 28 กุมภาพันธ์ ค.ศ. 1869 ซิมโฟนี ''Roma'' ถูกจัดแสดงขึ้นที่ the Cirque Napoléon โดย Jules Pasdeloup หลังจากนั้น บีแซบอกกับ Galabert จากเสียงที่ได้รับทั้งเสียงปรบมือ เสียงผิวปาก และเสียงแซว เขาถือว่างานประสบความสำเร็จCurtiss, p. 232 ===ชีวิตแต่งงาน=== File:Madame Georges Bizet by Jules-Élie Delaunay (conrasted).jpg|thumb|upright|left|ภาพวาด Geneviève Bizet ในปี ค.ศ. 1878 โดย Jules-Élie Delaunay ไม่นานหลังจากการเสียชีวิตของ Fromental Halévy ในปี 1862 มีคนเข้าหาบีแซในนามของ Mme. Halévy เกี่ยวกับการทำให้บทอุปรากรของอาจารย์เขาเสร็จสิ้น ซึ่งมีชื่อว่า ''Noé (opera)|Noé''.Dean (1965), p. 84 แม้ว่าบีแซจะไม่ได้ให้การช่วยเหลือ แต่เขาเลือกที่จะรักษาความสัมพันธ์กับครอบครัว Halévy ซึ่ง Fromental จากไปโดยมีลูกสาว 2 คน คนโต Esther เสียชีวิตในปี 1864 จากเหตุการณ์ที่ทำให้ Mme. Halévy บอบช้ำอย่างรุนแรง อันเป็นสาเหตุให้เธอไม่สามารถฝืนใจอยู่ร่วมกับลูกสาวคนเล็กของเธอ Geneviève Halévy|Geneviève ที่ไปอยู่ร่วมกับสมาชิกครอบครัวคนอื่น ๆ ตั้งแต่อายุ 15 ปีDean (1965), p. 82 ไม่ชัดเจนว่า Geneviève กับ บีแซ มีความสัมพันธ์อันลึกซึ้งตั้งแต่เมื่อไหร่ แต่ในเดือนตุลาคม ค.ศ. 1867 เขาบอกกับ Galabert: "ผมได้พบรักจากสตรีที่น่ารักนางหนึ่ง และในอกสองปีเธอจะเป็นภรรยาของผม!"Dean (1965), pp. 69–70 ทั้งสองแต่งงานกันถึงครอบครัว Halévy จะไม่เห็นด้วย ไม่อนุญาตในช่วงแรก ตามคำกล่าวของบีแซ พวกเขามองว่าไม่เหมาะสมกัน: "จน, หัวโบราณ, ต่อต้านศาสนา และโบฮีเมีนย"Steen, pp. 589–590 ซึ่งคณบดีตั้งข้อสังเกตว่าเป็นเหตุแปลกของการคัดค้านจาก "ครอบครัวที่เต็มไปด้วยศิลปินและคนประหลาด"Dean (1965), p. 70 เมื่อถึงฤดูร้อนปี ค.ศ. 1869 การคัดค้านของพวกเขาก็หมดสิ้นไป และงานแต่งงานเกิดขึ้นในวันที่ 3 มิถุนายน ค.ศ. 1869. Ludovic Halévy เขียนในบันทึกของเขา: "บีแซมีจิตวิญญาณและพรสวรรค์ เขา ''"ควรจะ"'' ประสบความสำเร็จ".Curtiss, p. 250 == ผู้รับบทเป็นการ์เมนผู้โด่งดัง == * เทเรซา เบอร์แกนซา * มาเรีย คัลลาส * วิคตอเรีย เดอ ลอสแอนเจลิส * เกรซ บัมบรี * แอกเนส บัลต์ซา * เรจีน เครสปิน == ผลงานเพลง == === ดนตรีสำหรับอุปรากรและการแสดงบนเวที === * ลาแพรแทร็ส, จุลอุปรากร (1854) * เลอด็อกเตอร์มีรักล์, อุปรากรชวนหัว (1857) * ดอนโปรโกปีโอ, อุปรากรชวนหัว (1859) * เลแปเชอร์เดแปร์ล, อุปรากร (1863) * ลาฌอลีฟีย์เดอแปร์ต, อุปรากร (1867) * ลาร์เลเซียน, musique de scène (1872) * การ์เมน, อุปรากร (1875) * Djamileh, อุปรากร (1878) === ดนตรีสำหรับวงดุริยางค์ เปียโน และทำนองเพลง === * Symphonie en ut majeur (1855) * Six Chants du Rhin (1865) * Variations chromatiques (1868) * Souvenirs de Rome (« Roma ») (1869) * Jeux d'enfants, suite pour piano à quatre mains (1871) * Patrie, ouverture symphonique (1874) == มีเดีย == == ดูเพิ่ม == === สมาคมสหายของฌอร์ฌ บีแซ === ที่อยู่: 16, rue Philippe Pagès 78300 Bougival * ประธาน Jean Lacouture * รองประธาน Jorge Chaminé และ Hervé Lacombe === หนังสือชีวประวัติ === * Michel Cardozer, Bizet, Paris, Mazarine, 1982 * Frédéric Robert, Georges Bizet, Paris, Seghers, 1969 (rééd. Genève, Slatkine, 1981) * Jean Roy, Bizet, Paris, Seuil, 1983, (Coll. Solfèges)momo * Hervé Lacombe, Bizet, Fayard, 2001 === ภาพยนตร์ที่สร้างจากงานของบีแซ === * การ์เมน ภาพยนตร์สร้างขึ้นเมื่อปี ค.ศ. 1983 โดยคาร์ลอส โซรา เกี่ยวข้องกับอุปรากรการ์เมน และนวนิยายเรื่องการ์เมนของ โพรเพอร์ เมริเม ==อ้างอิง== ==แหล่งข้อมูล== * * * * * * * * * * * * * * * * * ==แหล่งข้อมูลอื่น ๆ== * * (Complete works list reflecting current scholarship) * http://www.lesamisdebizet.com Les Amis de Georges Bizet * * * https://atom.lib.byu.edu/obps/search/?adv=person%3A%28georges+bizet%29 Entry "Georges Bizet" in Opera and Ballet Scores Online หมวดหมู่:คีตกวีชาวฝรั่งเศส หมวดหมู่:คีตกวีอุปรากร หมวดหมู่:บุคคลจากปารีส
ฌอร์ฌ บีแซ
ไฟล์:Bartók Béla 1927.jpg|thumb|250px '''เบ-ลอ วิกโตร์ ยาโนช บอร์โตก''' () เกิดเมื่อวันที่ 25 มีนาคม พ.ศ. 2424 (ค.ศ. 1881) ที่เมืองน็อจแซ็นด์มิกโลช (Nagyszentmiklós) ประเทศฮังการี|ฮังการี (ในปัจจุบันคือเมืองซึนนีกอลาอูมาเร ประเทศโรมาเนีย) เสียชีวิตเมื่อวันที่ 26 กันยายน พ.ศ. 2488 (ค.ศ. 1945) ที่นครนิวยอร์ก) เป็นทั้งคีตกวี นักเปียโน และนักสะสมดนตรีพื้นบ้านในแถบยุโรปตะวันออก เขาเป็นหนึ่งในกลุ่มผู้จัดตั้งสาขาวิชาดนตรีชาติพันธุ์วิทยา (ethnomusicology) == ประวัติ == มารดาของบอร์โตกได้สอนดนตรีให้แก่เขาตั้งแต่วัยเด็ก ซึ่งเขาได้เปิดตัวในฐานะนักเปียโนตั้งแต่อายุเพียงสิบปี ที่สถาบันดนตรีหลวงแห่งบูดาเปสต์ เขาได้พบกับโซลตาน โกดาย (Zoltán Kodály) และต่อมา ทั้งคู่ร่วมกันรวบรวมและสะสมดนตรีพื้นบ้านในท้องถิ่น ก่อนหน้านั้นดนตรีพื้นบ้านฮังการีในทัศนะของบอร์โตกมีพื้นฐานมาจากทำนองเพลงของพวกยิปซี ที่คีตกวีเอก ฟรันซ์ ลิซท์ นำมาเรียบเรียงใหม่ และในปี พ.ศ. 2446 (ค.ศ. 1903) เขาได้ประพันธ์ผลงานชิ้นสำคัญสำหรับวงดุริยางค์ ที่มีชื่อว่า ''Kossuth'' ในขณะที่พำนักอยู่ที่เมืองแมนเชสเตอร์ ตั้งแต่ปี พ.ศ. 2450 (ค.ศ. 1907) ถึงปี พ.ศ. 2477 (ค.ศ. 1934) เขาได้เรียนเปียโน ที่วิทยาลัยดนตรีหลวงแห่งบูดาเปสต์ ในปี พ.ศ. 2450 เขาได้ประพันธ์บทเพลงพื้นบ้านฮังการี 3 เพลง และในปี พ.ศ. 2451 (ค.ศ. 1908) เขาได้ประพันธ์บทเพลงสำหรับวงควอเต็ตบทแรก ในปี พ.ศ. 2454 (ค.ศ. 1911) เขาได้นำเสนอผลงานประพันธ์อุปรากรเรื่องเดียวของเขา นั่นก็คือ ''ปราสาทของนายหนวดน้ำเงิน'' รัฐบาลฮังการีได้ขอให้เขายกเลิกการใช้นามแฝง ''Béla Balázs'' ในการประพันธ์อุปรากร ในระหว่างสงครามโลกครั้งที่หนึ่ง เขาได้แต่งเพลงประกอบบัลเล่ต์เรื่อง ''เจ้าชายแห่งไพรสณฑ์'' และ ''แมนดารินวิเศษ'' ตามด้วยโซนาตาอีกสองบทสำหรับบรรเลงด้วยเปียโนและไวโอลิน ที่ได้กลายเป็นหนึ่งในผลงานที่มีความสลับซับซ้อนที่สุดของเขา เขาได้ประพันธ์สตริงควอเต็ต หมายเลข 3 สตริงควอเต็ต หมายเลข 4 ซึ่งได้รับการยกย่องว่าเป็นบทเพลงควอเต็ตที่ดีที่สุดเท่าที่มีการแต่งมา ในปี พ.ศ. 2470 - พ.ศ. 2471|2471 ซึ่งทำให้ภาษาทางการประสานเสียงของเขาเรียบง่ายลงเป็นต้นมา ''สตริงควอเต็ต หมายเลข 5 '' (พ.ศ. 2477) กลับมีรูปแบบที่ยึดกับขนบประเพณีเดิมมากขึ้น จากนั้นบอร์โตกได้ประพันธ์ สตริงควอเต็ต หมายเลข 6 อันเป็นควอเต็ตบทสุดท้ายที่เศร้าสร้อย ในปีพ.ศ. 2482 (ค.ศ. 1939) ที่จบลงด้วยการสูญเสียมารดาสุดที่รักของเขา บทเพลงเหล่านี้เป็นชุดสุดท้ายที่เขาประพันธ์ขึ้นในยุโรป ในปี พ.ศ. 2483 (ค.ศ. 1940) ซึ่งเป็นช่วงเริ่มต้นของสงครามโลกครั้งที่สอง เขาได้เดินทางอย่างหมดอาลัยตายอยากไปยังสหรัฐอเมริกา เขารู้สึกไม่ค่อยดี จึงเป็นช่วงที่ไม่ได้ประพันธ์เพลง ต่อมาแซร์จ คูสเซอวิทสกี ได้ว่าจ้างให้เขาแต่งเพลงคอนแชร์โตสำหรับวงดุริยางค์ ซึ่งดูเหมือนว่าจะทำให้ความกระตือรือร้นในการแต่งเพลงของบอร์โตกหวนกลับมา เขาเริ่มประพันธ์ ''คอนแชร์โตสำหรับเปียโน หมายเลข 3'' ซึ่งเป็นบทเพลงที่เรียบง่ายและออกแนวนีโอคลาสสิก และเขาก็ได้เริ่มแต่งคอนแชร์โตสำหรับวิโอลาตามมาอีก บอร์โตกเสียชีวิตด้วยโรคลูคีเมีย ผู้ที่ประพันธ์คอนแชร์โตสำหรับวิโอลาต่อจนจบคือลูกศิษย์ของเขา ''ทิบอร์ เซอร์ลี'' == ผลงานทางดนตรีชิ้นสำคัญ == === เปียโน === * ''อัลเลโกร บาร์บาโร'' สำหรับเปียโน * สวีท โอปุสที่ 14 สำหรับเปียโน * โซนาตาสำหรับเปียโน * สวีต ''กลางที่โล่ง'' สำหรับเปียโน * ''มิโครคอสมอส'' สำหรับเปียโน === เชมเบอร์มิวสิก === * โซนาตา สำหรับเดี่ยวไวโอลิน * โซนาตาสองบท และ แร็พโซดีสองบท สำหรับไวโอลิน และ เปียโน * ''คอนทราสต์'' สำหรับคลาริเน็ท ไวโอลิน และ เปียโน * ''โซนาตาสำหรับเปียโนสองหลัง และเครื่องเคาะ'' * สตริงควอเต็ต หกบท === บทเพลงสำหรับวงดุริยางค์ === * คอนแชร์โต สำหรับ เปียโน สามบท * คอนแชร์โตสำหรับเปียโน หมายเลข 2 * คอนแชร์โตสำหรับไวโอลิน สองบท * คอนแชร์โตสำหรับเปียโน หมายเลข 3 * คอนแชร์โตสำหรับวิโอลา * ''ดนตรีสำหรับเครื่องสาย เครื่องเคาะ และเซเลสต้า'' * ''คอนแชร์โตสำหรับวงดุริยางค์'' === อื่น ๆ === * อุปรากรเรื่อง ''ปราสาทของนายหนวดน้ำเงิน'' * ละครใบ้เรื่อง ''แมนดารินวิเศษ'' * บัลเลต์เรื่อง ''เจ้าชายแห่งไพรสนฑ์'' * คันตาตา ''คันตาต้า โพรฟานา'' หมวดหมู่:คีตกวีชาวฮังการี หมวดหมู่:นักเปียโน หมวดหมู่:นักดนตรีคลาสสิก หมวดหมู่:ชาวอเมริกันเชื้อสายฮังการี หมวดหมู่:เสียชีวิตจากมะเร็งเม็ดเลือดขาว
เบ-ลอ บอร์โตก